โรคมะเร็งไม่ถามหา พวกเราล้วนออกห่างจากมะเร็ง
ทำไมช่วงนี้มีแต่ข่าวขอรับบริจาคให้กับโรงพยาบาลนะ? ดิฉันดูข่าวที่ไรก็เห็นแต่ข่าวโรงพยาบาลต้องการรับบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารผู้ป่วยเพิ่ม ต้องการเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่ม มีการจัดกิจกรรมเพื่อรับบริจาคเงินเข้าโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทำไมโรงพยาบาลถึงยังไม่เพียงพอต่อปริมาณผู้ป่วยกันนะ ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลในประเทศไทยเรานี่ก็มีตั้งมากตั้งมาย มาคิดๆ ดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะตัวดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็เนื่องมาจากการไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองนั่นเองนั่นแหละค่ะ บางคนเป็นพวกบ้าวัตถุนิยมค่ะ ชีวิตต้องมีบ้านหลังใหญ่ ต้องมีรถโก้ๆ ต้องกินอาหารตามร้านหรูๆ เป็นหน้าเป็นตาเอาไว้อวดคนอื่น วันวันก็เลยต้องจมอยู่กับการทำงานเพื่อหาเงินมาปรนเปรอความต้องการของตัวเอง ชีวิตมีแต่ความเครียดจากการทำงานและเครียดกับความอยากได้อยากมี กินแต่อาหารจานด่วนเพราะความสะดวกรวดเร็ว อาหารที่กินเข้าไปก็มีแต่น้ำมัน ไขมัน แป้ง เนื้อสัตว์ บางทีอาทิตย์หนึ่งยังไม่เคยกินผักผลไม้เลยสักคำ เรื่องออกกำลังกายนี่อย่าหวังเลยค่ะ ออกกำลังกายทำไมกันแค่ทำงานทุกวันนี่ก็เหนื่อยหลือเกินแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อนมากกว่าจะให้ไปออกกำลังกายให้เหนื่อยอีกทำไมกันอีก การพักผ่อนที่ว่านี่คือการกิน การนอน การไปเที่ยวดื่มเหล้า สูบบุหรี่กับเพื่อน การใช้ชีวิตแบบที่ไม่ดูแลสุขภาพต่อเนื่องเป็นเวลานานร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลง จนวันหนึ่งร่างกายทนไม่ไหวเกิดล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งโรคที่เป็นกันมากจากการไม่ดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตแบบนี้ก็คือโรค มะเร็ง นั่นเอง
แต่ปัจจุบันนี้ดิฉันเห็นทุกคนตื่นตัวเรื่องการออกกำลังกายกันมากขึ้น คนทำงานมีการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น มีการแบ่งเวลามาออกกำลังกาย อย่างตอนเช้าหรือตอนเย็นตามสวนสาธารณะต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีคนไปออกกำลังกายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ ยิ่งตอนเย็นๆ นี่คนยิ่งมากเพราะเลิกงานแล้วแทนที่จะไปเที่ยวหรือไปหาอาหารตามร้านกินกันก็หันมาออกกำลังกาย บางคนมากันเป็นคู่ บางคนมาเป็นครอบครัวใหญ่มีคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายและลูกหลานตัวเล็ก มาวิ่งเล่นส่งเสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณสนามเด็กเล่น แบบนี้รับรองว่าสุขทั้งกายสุขทั้งใจกันทั้งครอบครัวเลยค่ะ และทางหน่วยงานต่างๆ ก็มีการส่งเสริมเกี่ยวกับการออกกำลังกายมากขึ้น มีการจัดอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่มาช่วยแนะนำการออกกำลังกายที่ถูกต้องให้กับทคนทั่วไป อย่างที่หมู่บ้านของดิฉันนี่มีการติดตั้งเครื่องออกกำลังกายเพิ่มให้ชาวบ้านได้ไปเล่นกันอย่างทั่วถึงและมีการจัดครูสอนเต้นแอโรบิกมาสอนเต้นให้ทุกเย็นที่ลานกิจกรรมหน้าองค์การบริหารส่วนตำบลด้วยนะ ตอนเย็นดิฉันยังไปเต้นด้วยเกือบทุกวันเลยนะคะ นึกย้อนกลับไปก่อนที่ดิฉันจะเป็น มะเร็ง นะ กิจกรรมพวกนี้ไม่มีหรอกค่ะ แค่สนามที่จะไปวิ่งยังไม่มีเลย ถ้าอยากวิ่งก็ต้องไปวิ่งตามสนามฟุตบอลในโรงเรียนใกล้ๆ บ้านเอา แต่ก็อย่างว่านะคะสมัยนั้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ยุคนี้เป็นยุคแห่งสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก นอกจากการออกกำลังกายแล้วเราก็ยังหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินกันมากขึ้น มีการรณรงค์เลิกใช้สารเคมีฆ่าแมลงในปลูกผักผลไม้ มีการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ที่ปลอดสารพิษตกค้างทำให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่มีคุณภาพ เมื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอประกอบกับการกินอาหารที่มีคุณภาพร่างกายก็แข็งแรงมีภูมิต้านทานโรค ดิฉันเองถึงจะเคยเป็นมะเร็งมาแล้ว เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ดิฉันมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าแต่ก่อนอีกนะคะ เพราะการที่เราใส่ใจเรื่องการกินและออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ตลอด ทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์มีภูมิต้าทานโรคสูง แค่นี้ก็ทำให้ชีวิตของเราออกห่างจากมะเร็งไปไกลแล้วค่ะ
ดิฉันเชื่อว่าถ้าทุกคนเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เป็นคนที่รักสุขภาพของตนเองเหมือนที่ดิฉันเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นคนที่รู้จักรักตัวเอง ด้วยใช้ชีวิตอย่างเห็นความสำคัญของร่างกายมากกว่าสิ่งของรอบตัว เชื่อมั้ยคะ ว่าเวลาที่เราเสียชีวิตนี่แม้แต่เงินบาทเดียวเราก็เอาติดตัวไปไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อเราเห็นความสำคัญและให้เวลาในการดูแลร่างกายของเราเป็นอย่างดีแล้ว ร่างกายของเราก็จะตอบแทนเราโดยการที่จะไม่ยอมให้เจ้ามะเร็งมันแอบย่องเข้ามาในร่างกาย แบบนี้โรคมะเร็งคงไม่กล้าถามหาเราหรอกค่ะ แค่นี้เราก็ออกห่างจากมะเร็งได้แล้ว ดิฉันเลือกที่จะอยู่ห่างจาก มะเร็ง แล้วคุณเลือกหรือยังค่ะว่าคุณอยากอยู่ใกล้ชิดหรือห่างไกลจากมะเร็ง?
Content by Amprohealth
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม