โรคฟีนิลคีโตนูเรีย
โรคฟีนิลคีโตนูเรียเกิดจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญที่ถ่ายทอดยีนด้อย โดยพบได้น้อยในประเทศไทยประมาณ 1 คนต่อ 2 แสนคน ผู้ป่วยจะไม่สามารถสลายกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนและเจริญเติบโตของสมอง กรดอะมิโนนี้จะเปลี่ยนเป็นไทโรซีนที่ช่วยในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทและสมอง การได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ นม ถั่วลิสง อะโวคาโด และกล้วย จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
อาการของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
- ชัก
- ตัวสั่น
- สมาธิสั้น
- ทารกจะมีพัฒนาการช้า
- ปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง
- ผิวหนังซีด และผมเปลี่ยนสี
- ลมหายใจ ผิวหนัง มีกลิ่นสาบ
- ร่างกายเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ หรือแคระแกรน
สาเหตุของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
เกิดจากความบกพร่องในยีนที่ช่วยสร้างฟีนิลอะลานีนไฮดรอกซีเลส เมื่อเอนไซม์หายไปร่างกายจะไม่สามารถทำลายฟีนิลอะลานีนได้ทำให้เกิดการสะสมของฟีนิลอะลานีนในร่างกายมากเกินไป อาจเป็นอันตรายนำไปสู่ความเสียหายของประสาทและสมอง เช่น ด้านพฤติกรรม ด้านจิตเวช ด้านพัฒนาการ เป็นต้น
การตรวจโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ และเลือดด้วยการเจาะส้นเท้าของทารกหลังคลอด 2 วัน และส่งตรวจทางห้องแลปจะทราบผลประมาณ 1 เดือน หากผลตรวจออกมาพบว่า ค่าฟีนิลอะลานีนในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
การรักษาโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
แพทย์จะทำการรักษามุ่งเน้นเพื่อลดระดับของฟีนิลอะลานีนลงให้ได้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้เกิดเป็นภาวะปัญญาอ่อน และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในทารกที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ข้อควรปฏิบัติดังนี้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส ถั่วเหลือง ไก่ ปลา
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารให้ความหวาน เช่น น้ำตาลเทียม น้ำอัดลม โซดา
- ควรเสริมกรดอะมิโนที่มีสารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย
- ทารกที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ต้องดื่มนมพิเศษที่สกัดสารฟีนิลอะลานีนออกไปแล้ว
- ยา วิตามิน หรืออาหารบางชนิดอาจมีสารให้ความหวาน มีกรดอะมิโน หรือนมผง
พร่องมันเนย ควรสอบถามอย่างละเอียดก่อนซื้อทุกครั้ง
การป้องกันโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
แพทย์จะแนะนำให้พ่อแม่ที่เคยมีบุตรคนแรกเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรียมาแล้ว หากต้องการมีบุตรคนต่อไป ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคฟีนิลคีโตนูเรียก่อน
แม้โรคฟีนิลคีโตนูเรียจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนในเด็กที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ยังช่วยให้เด็กมีพัฒนาการและสติปัญญาเหมือนเด็กปกติได้
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม