
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าประชากรทั่วไปหลายเท่า สาเหตุหลักมาจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคหรือควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า HIV มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอย่างไร มีมะเร็งชนิดใดที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV และแนวทางการรักษาและการป้องกันมีอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจอย่างครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ดูแลตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง
HIV คืออะไร? และทำไมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
HIV เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ร่างกายจะอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome)
ความเชื่อมโยงกับมะเร็ง เกิดขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้:
- ไม่สามารถทำลายเซลล์ผิดปกติได้
- มีไวรัสก่อมะเร็ง (Oncoviruses) เช่น HPV, EBV, HHV-8 เข้ามาซ้ำเติม
- เพิ่มโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ในระยะยาว
มะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV
มะเร็งที่พบในผู้ติดเชื้อ HIV สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ (AIDS-defining Cancers)
เป็นมะเร็งที่ถือว่าเป็นเกณฑ์วินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ว่าเข้าสู่ระยะเอดส์ ได้แก่:
- Kaposi’s Sarcoma (KS): มะเร็งของเยื่อบุเส้นเลือดที่เกิดจากไวรัส HHV-8
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma): โดยเฉพาะชนิด Non-Hodgkin’s lymphoma และ Primary CNS Lymphoma
- มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม (Invasive Cervical Cancer): พบได้ในผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV ร่วมกับ HIV
2. มะเร็งที่ไม่ได้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยเอดส์ (Non-AIDS-defining Cancers)
แต่มีอุบัติการณ์สูงในผู้ติดเชื้อ HIV เช่น:
- มะเร็งทวารหนัก (Anal cancer)
- มะเร็งตับ (จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี/ซี)
- มะเร็งปอด
- มะเร็งศีรษะและลำคอ
- มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมความเสี่ยงมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV เพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้เกิดมะเร็งทันที แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น ๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่:
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การติดเชื้อ HPV หรือไวรัสตับอักเสบ
- ไม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
- CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³
- ระยะเวลาการติดเชื้อ HIV นานโดยไม่รักษา
การวินิจฉัยมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV
การวินิจฉัยใช้หลักการเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป ได้แก่:
- ตรวจร่างกายและซักประวัติ
- ตรวจเลือด รวมถึง CD4 และ Viral Load
- การตรวจเฉพาะทาง เช่น Pap smear, ตรวจคัดกรอง HPV, ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ CT scan
- การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันเซลล์มะเร็ง
แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วย HIV ที่เป็นมะเร็งสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป โดยคำนึงถึง:
1. การผ่าตัด
ใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลามมาก เป็นการรักษาระยะเริ่มต้น
2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)
จำเป็นต้องพิจารณา CD4 และ Viral Load ก่อนการรักษาอย่างรอบคอบ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง
3. การฉายรังสี (Radiotherapy)
ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือศีรษะลำคอ
4. การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART)
เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยให้ผู้ป่วยทนต่อการรักษามะเร็งได้ดีขึ้น
แนวทางการป้องกันมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV
การป้องกันยังเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อ HIV โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- รับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจคัดกรองมะเร็ง (เช่น Pap smear, HPV test)
- ฉีดวัคซีน HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
- รักษาสุขอนามัยและพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ
การดูแลตนเองเมื่อเป็นผู้ติดเชื้อ HIV เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง
- ควรเข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- ควบคุมความเครียด และดูแลสุขภาพจิตใจ
- หากพบความผิดปกติใด ๆ เช่น ก้อนที่โตผิดปกติ เสียงแหบ น้ำหนักลดเร็ว ควรรีบพบแพทย์
- หมั่นตรวจระดับ CD4 และ Viral Load เพื่อประเมินความเสี่ยง
สรุป
ความเชื่อมโยงระหว่าง HIV กับโรคมะเร็ง เป็นเรื่องที่สำคัญและควรให้ความใส่ใจอย่างยิ่ง การที่ภูมิคุ้มกันต่ำจากการติดเชื้อ HIV ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพและป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม ก็สามารถลดโอกาสเกิดมะเร็งได้มาก และมีชีวิตที่ยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HIV และมะเร็ง
Q: ผู้ติดเชื้อ HIV ต้องกลัวมะเร็งมากแค่ไหน?
A: ผู้ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดมะเร็ง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการรักษาอย่างถูกต้องและตรวจร่างกายสม่ำเสมอ
Q: มะเร็งชนิดไหนพบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV?
A: Kaposi’s sarcoma, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก
Q: การรักษามะเร็งในผู้ป่วย HIV แตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่?
A: ไม่ต่างในหลักการ แต่ต้องระวังผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากภูมิคุ้มกันต่ำ
Q: การรับวัคซีน HPV และไวรัสตับอักเสบช่วยได้ไหม?
A: ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งตับ
Q: HIV รักษาหายไหม?
A: HIV ยังไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้จนระดับไวรัสต่ำมากจนไม่แพร่เชื้อ และมีชีวิตได้ปกติหากรักษาต่อเนื่อง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
[/vc_column_text]
เอกสารอ้างอิง
Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.
Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.