หญ้างวงช้าง ใบมีสรรพคุณลดระดับน้ำตาลในเลือด

0
1418
หญ้างวงช้าง
หญ้างวงช้าง ใบมีสรรพคุณลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ล้มลุก ใบหยาบมีรอยย่น ท้องใบมีขน ดอกเล็กสีฟ้าอ่อนหรือสีขาว โคนกลีบมีขนสีขาว ผลขนาดเล็กเปลือกแข็ง
หญ้างวงช้าง
เป็นไม้ล้มลุก ใบหยาบมีรอยย่น ท้องใบมีขน ดอกเล็กสีฟ้าอ่อนหรือสีขาว โคนกลีบมีขนสีขาว ผลขนาดเล็กเปลือกแข็ง

หญ้างวงช้าง

หญ้างวงช้าง  เป็นไม้กลางแจ้ง มักขึ้นในที่มีความชื้น โตได้ดีในดินทุกชนิด มักพบเจอตามพื้นที่ชื้นแฉะ อย่างเช่น ริมแม่น้ำ ลำคลอง ทางน้ำ ท้องนา หรือตามที่รกร้างตามวัดวาอาราม บ้างที่จะปลูกไว้ขายเป็นยาสดตามสวนยาจีนชื่อสามัญ Turnsole, Indian Heliotrope, Alacransillo, Eye bright, Indian Turnsole [6] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Heliotropium indicum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Heliophytum indicum (L.) DC., Tiaridium indicum (L.) Lehm.) อยู่วงศ์หญ้างวงช้าง (BORAGINACEAE)[1],[2],[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ ต้าเหว่ยเอี๋ยว (จีนกลาง), ไต่บ๋วยเอี้ยว (จีนแต้จิ๋ว), หญ้างวงช้าง (ไทย), หวายงวงช้าง (ศรีราชา), เงียวบ๋วยเช่า (จีนกลาง), ผักแพวขาว (กาญจนบุรี), หญ้างวงช้างน้อย (ภาคเหนือ), กุนอกาโม (มลายู-ปัตตานี), ชื้อเจาะ(ม้ง) [1],[2],[3],[4],[5]

ลักษณะของหญ้างวงช้าง

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีอายุแค่ฤดูเดียว จะเกิดช่วงฤดูฝน พอหน้าแล้งก็จะตาย ต้นสูงประมาณ 15-60 เซนติเมตร จะแตกกิ่งก้านเยอะ ทั้งต้นจะมีขนขึ้น ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด [1],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกใบเรียงสลับกันหรือจะออกเกือบตรงข้าม ใบเป็นรูปป้อม รูปไข่ รูปกลมรี ที่ปลายใบจะแหลมและสั้น ที่กลางใบจะกว้างออก ส่วนที่โคนใบจะมนรีหรือจะเรียวถึงก้านใบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีขนาดยาวประมาณ 3-8 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้ม พื้นผิวใบหยาบ จะมีรอยย่น ขรุขระ ท้องใบจะมีขนขึ้นนิดหน่อย ส่วนหลังใบก็มีขนขึ้นนิดหน่อยเช่นกัน ก้านใบมีความยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร[1],[2],[4]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ออกดอกที่ปลายยอด ที่ปลายช่อจะม้วนลงคล้ายงวงช้าง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 3-20 เซนติเมตร ออกดอกทางด้านบนแค่เพียงด้านเดียวและเรียงเป็นแถว ดอกย่อยมีลักษณะเล็กและเป็นสีฟ้าอ่อน สีขาว กลีบดอกมีอยู่ 5 กลีบ มีขนาดยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร ที่ปลายกลีบจะแยกจากกัน ส่วนที่โคนดอกจะเชื่อมกันเป็นหลอด มีขนที่ด้านนอก มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ ที่โคนกลีบจะเชื่อมกัน มีขนสีขาวขึ้น มีเกสรเพศผู้ 5 อันอยู่ในหลอดดอก ที่ฐานดอกมีเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มีลักษณะเป็นรูปจานแบน [1],[2],[3]
  • ผล เป็นรูปไข่ ผลมีลักษณะเป็นคู่ และมีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ผลเกิดจากรังไข่ 2 อันรวมตัวกัน เปลือกผลจะแข็ง ภายในจะแบ่งเป็น 2 ช่อง และแต่ละช่องจะมีเมล็ดอยู่ตามช่อง [1],[2],[4]

ประโยชน์หญ้างวงช้าง

1. คนอีสานมีภูมิปัญญาใช้เป็นประโยชน์ในด้านเครื่องมือตรวจวัดอากาศ วัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าต้องการวัดคุณภาพอากาศ ให้ดูที่ช่อดอกถ้าเหยียดตรงแสดงว่าฝนแล้งจัด ถ้าช่อดอกม้วนงอแสดงว่าปีมีน้ำเยอะ ถ้าหากแปลงนามีขึ้นเยอะแสดงว่าแปลงนามีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องใส่ปุ๋ยผลผลิตที่ดี จากการทดลองปรากฏว่าแปลงที่มีหญ้างวงช้างเจริญงอกงามดี จะให้ผลผลิตได้มากกว่าแปลงที่ไม่มีหญ้างวงช้างประมาณ 60% (จากการทดลองไม่มีการใส่ปุ๋ยทั้งสองแปลงเพื่อการเปรียบเทียบ)[9]
2. ใบ ใช้รักษาสิวได้ (ข้อมูลไม่ระบุวิธีใช้ แต่เข้าใจว่าเอาใบมาตำใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นสิว)[3]
3. ใช้ประโยชน์ในงานย้อมสีได้ จากการสกัดน้ำสีที่ได้จากใบ ถ้าเอาไปย้อมเส้นไหมจะเห็นว่าเส้นไหมที่มีคุณภาพดี ทนต่อแสงในระดับดี และทนต่อการซักระดับดี โดยจะให้สีน้ำตาลอ่อน[8]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อให้สัตว์ทดลองทาน liver microsome ออกซิไดซ์ ได้สาร dehydroheliotrine แบบรวดเร็ว pyrrolic dehydroalkaloid เป็น reactive alkylating agent ซึ่งจะทำให้เกิดแผลในตับ (แค่จำนวนเล็กน้อยก็ทำให้เกิดแผล) แผลที่เกิดขึ้นกว่าจะแสดงอาการให้รู้ก็เป็นปี ๆ และในขนาดสูงจะทำให้เกิด liver necrosis อาการที่สังเกตเห็นได้ในสัตว์ นั่นก็คือ ซึมตัวเหลือง ความอยากอาหารลดน้อยลง เนื้อเยื่ออ่อน มีสีซีด[7]
  • จากการทดลองใช้เป็นยารักษาแผลมีหนอง ฝีเม็ดเล็ก โดยนำทั้งต้นแห้ง 50 กรัม มาหั่นเป็นฝอยผสมน้ำ 1 ลิตร เอามาต้มด้วยไฟอ่อนให้เหลือครึ่งลิตร โดยแบ่งทานหลังอาหารครั้งละ 20 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นเด็กให้ลดปริมาณตามสัดส่วน จากการรักษาด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าคนไข้จำนวน 213 ราย ที่ทานยา 1-3 วัน หาย 73 ราย, ทานยา 4-5 วัน หาย 96 ราย, ทานยา 6-10 วัน หาย 52 ราย, ทานยา 10 วันขึ้นไป หายจำนวน 28 ราย จากการทดสอบเบื้องต้นปรากฏว่ายานี้มีผลกับฝีขนาดเล็ก ที่เริ่มเป็นหนองและเริ่มเป็นหนองแล้ว (มีเนื้อเยื่อตายแล้ว) แต่ถ้าใช้ในตอนเริ่มเป็นจะได้ผลการรักษาดีกว่า[4]
  • สารที่ได้จากการสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์การกระตุ้นมดลูกหนูทดลอง ซึ่งทำให้มีการบิดตัวของมดลูกแรงขึ้น และมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Schwartz) ได้ระยะหนึ่ง จะทำให้คนไข้ยืดต่อเวลาชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง[2]
  • ทั้งต้นพบสาร Indicinine Acetyl indicine, Indicine เป็นต้น[2] พบสารสำคัญอีกหลายชนิด อย่างเช่น Pyrrolizidine, Alkaloid, Tumorigenic สารเหล่านี้เป็นพิษกับร่างกาย ควรใช้แบบระมัดระวังให้มาก ๆ [9]
  • มีการทดลองในคนโดยทานสารสกัดน้ำที่ได้จากทั้งต้นแห้งของ และปรากฏว่าช่วยลดอาการอักเสบและเร่งการเจริญของเนื้อเยื่อที่แผลได้[9]
  • จากการทดลองกับหนูขาว ปรากฏว่าสารสกัดที่ได้จากรากด้วยแอลกอฮอล์ 95% และสารกลุ่มอัลคาลอยด์จากเมล็ด จะมีฤทธิ์ที่ต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ, มีฤทธิ์ที่ช่วยลดความดันโลหิตแบบอ่อน, มีฤทธิ์ที่ยับยั้งเซลล์เนื้องอกบางชนิด แต่พบว่าทั้งต้นมีสารพิษที่เป็นพิษกับตับ ต้องศึกษากันอย่างละเอียดต่อไป[9]
  • เมื่อนำรากมาต้มให้เข้มข้น แล้วฉีดเข้าเส้นเลือดแมวที่สลบ ปรากฏว่าความดันโลหิตแมวลดน้อยลง และกระตุ้นการหายใจได้แรงยิ่งขึ้น แต่ลดการเต้นของหัวใจของคางคกที่แยกจากตัว ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะไม่มีผลอันนี้ ส่วนที่สกัดด้วยน้ำไม่มีผลที่เด่นชัดกับกล้ามเนื้อลำไส้เล็กของหนูที่แยกจากตัว แต่กับลำไส้เล็กของกระต่ายทดลองที่แยกออกจากตัว มีผลที่ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวได้ ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์มีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ลำไส้เล็กของกระต่ายเท่านั้น ส่วนที่สกัดทั้งสองจะไม่มีผลกับกล้ามเนื้อเรียบที่ท้องคางคก แต่มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูใหญ่ที่แยกจากตัว ทั้งส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์กับน้ำจะมีสารทำให้มดลูกบีบตัว ส่วนที่สกัดจากใบมีผลกับโรคของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งของหนูเล็ก ช่วยต่อต้านเนื้องอกได้ระยะหนึ่ง ด้วยการยืดอายุหนูออกไป ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะไม่เห็นพิษชัด (ใช้ยาฉีดขนาดเข้มข้น 1:1 เข้าช่องท้องหนูเล็กในขนาด 0.8 มิลลิกรัม ปรากฏว่าไม่ทำให้หนูทดลองตาย) ส่วนที่สกัดด้วยน้ำจะมีพิษกับหนูเล็กนิดหน่อย[2],[4]

สรรพคุณหญ้างวงช้าง

1. สามารถใช้รักษาอาการฟกช้ำได้ (ประเทศอินเดีย-ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด)[9]
2. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาลดบวม สามารถช่วยแก้แผลบวมมีหนอง และช่วยลดอาการปวดบวมฝีหนองได้ (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
3. สามารถใช้แก้หนองในช่องคลอดได้ (ทั้งต้น)[1]
4. สามารถช่วยแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบาได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทานเป็นยา (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
5. ทั้งต้นหญ้าจะมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้บิด (ทั้งต้น)[2]
6. สามารถช่วยแก้อาการปวดท้องได้ โดยนำต้นสดประมาณ 30-60 กรัม มาต้มกับน้ำทาน (ต้น)[4]
7. สามารถช่วยแก้หอบหืดได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
8. ทั้งต้น มีรสขม เป็นยาสุขุม จะออกฤทธิ์กับกระเพาะปัสสาวะและปอด สามารถใช้เป็นยาแก้อาการไอได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
9. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาช่วยดับพิษร้อน แก้ไข้ ลดไข้ ถอนพิษไข้ ช่วยดับพิษร้อน โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทานเป็นยา (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
10. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่สามารถช่วยแก้โรคลักปิดลักเปิด และโรคเลือดออกตามไรฟันได้ (ทั้งต้น)[1]
11. น้ำที่ได้จากใบสามารถใช้เป็นยาหยอดตาแก้ตาฟางได้ และทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ตาฟาง (น้ำจากใบ,ทั้งต้น)[1],[3],[4]
12. สามารถช่วยแก้เด็กตกใจเวลากลางคืนบ่อย ๆ ได้ (ทั้งต้น)[4]
13. น้ำที่ได้จากใบจะมีสรรพคุณที่สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (น้ำจากใบ)[1]
14. บางตำราใช้ทั้งต้น มาผสมใบชุมเห็ดไทย ดอกชุมเห็ดไทย ใบผักเสี้ยนผี ดอกผักเสี้ยนผี ใช้เป็นยาพอกแก้ปวดตามข้อได้ อย่างเช่น ข้อเข่า ในขณะที่พอกให้พันด้วยผ้าไว้จนรู้สึกร้อนตรงบริเวณที่พอก แล้วเปิดผ้าออก เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แล้วทาด้วยน้ำมันมะพร้าว (ทั้งต้น)[9]
15. ใบสามารถใช้เป็นยาพอกฝี รักษาโรคผิวหนังได้ (ใบ)[1],[3]
16. ในอินเดียใช้แก้กลากเกลื้อน ไฟลามทุ่ง แก้แมลงสัตว์กัดต่อยด้วย (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด)[9]
17. สามารถช่วยแก้แผลฝีเม็ดขนาดเล็ก มีหนองได้ โดยนำรากสดประมาณ 60 กรัม มาผสมเกลือนิดหน่อย แล้วต้มกับน้ำทาน และนำใบสดมาตำกับข้าวเย็น (ไม่ได้ระบุว่าเป็นข้าวเย็นเหนือหรือข้าวเย็นใต้) นำมาใช้พอกแผล (ราก,ใบ)[4]
18.ใบสามารถใช้เป็นยาพอกรักษาแผลได้ (ใบ)[1],[3]
19. รากกับดอกถ้าใช้ในปริมาณน้อยจะมีสรรพคุณที่เป็นยาขับระดู โดยนำดอกสดมาต้มทาน แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ (ราก,ดอก)[1],[3]
20. ในอินเดียใช้เป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด) เมล็ดสามารถใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บปวดกระเพาะอาหารได้ (เมล็ด)[9]
21. สามารถช่วยแก้อาการปวดท้องที่เกิดจากอาหารเป็นพิษได้ โดยนำลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มผสมต้นว่านน้ำ (แป๊ะอะ), หญ้าปันยอด (ชั้วจ้างหม่อ) (ต้น)[5]
22. สามารถช่วยแก้ฝีมีหนองในช่องหุ้มปอด แก้ปอดอักเสบ แก้ฝีในปอด โดยนำต้นสด 60 กรัม มาต้มผสมน้ำผึ้งทาน หรือนำทั้งต้นสดประมาณ 60-120 กรัม มาตำคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
23. น้ำที่ได้จากใบสามารถใช้ทำยาอมกลั้วคอช่วยแก้อาการเจ็บคอได้ (น้ำที่ได้จากใบ)[1],[2],[3]
24. ทั้งต้นใช้เป็นยาเย็น สามารถช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยดับร้อนในได้ (น้ำที่ได้จากใบ,ทั้งต้น)[1],[4]
25. สามารถช่วยแก้อาการปากเปื่อยได้ โดยนำต้นสดมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาบ้วนปากและกลั้วคอวันละ 4-6 ครั้ง (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
26. สามารถนำรากสดมาตำคั้นเอาน้ำมาใช้หยอดตาแก้ตาฟาง ตาอักเสบ ตามัว ตาเจ็บ (ราก)[1],[3]
27. สามารถนำใบสดมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาใช้เป็นยาหยอดหูได้ (ใบ)[1],[3]
28. ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้โรคชักในเด็กได้ (ทั้งต้น)[1],[3]

การเก็บมาใช้

  • ให้เก็บทั้งต้นที่โตเต็มที่และมีดอก มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำสะอาด ใช้เป็นยาสดหรือเอามาตากแห้งเก็บไว้ใช้[4]

วิธีใช้

ให้ใช้ต้นสดครั้งละ 30-60 กรัม มาคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งทาน ถ้าเป็นต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม ถ้าใช้ภายนอกให้เอามาต้มเใช้น้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำมาอมบ้วนปาก[2],[4]

ข้อควรระวังในการใช้

  • ทั้งต้นมีสารพิษ Pyrrolizidine alkaloid จะออกฤทธิ์กับตับ ถ้าได้รับครั้งแรกจะทำให้อาเจียน หลังจากนั้นเป็นเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง จะมีอาการชักกระตุกควบคู่กับอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง หมดสติ วิธีรักษาเบื้องต้นคือให้รีบทำให้อาเจียน โดยทาน Syrup of ipecac 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับเด็กที่อายุ 1-12 ปี ให้ทาน 1 ช้อนโต๊ะ[6] อีกข้อมูลระบุเอาไว้ว่าสารที่เป็นพิษนั่นก็คือสาร Lasiocarpine จะมีฤทธิ์ที่ทำให้ตับอักเสบ (cirrhoesis) เป็นพิษกับตับ[7] มีข้อมูลอื่นที่ระบุไว้ว่า แม้ได้รับครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ตับแบบเรื้อรังได้
  • ห้ามให้สตรีที่มีครรภ์ทาน[4]
  • ถ้าใช้ในขนาดที่เยอะเกินขนาด อาจจะทำให้แท้งบุตรได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หญ้างวงช้าง (Ya Nguang Chang)”. หน้า 316.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้า งวงช้าง”. หน้า 582.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หญ้างวงช้าง”. หน้า 803-805.
4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 12 คอลัมน์: สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “หญ้างวงช้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [07 ก.ค. 2014].
5. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “หญ้างวงช้าง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6 (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [07 ก.ค. 2014].
6. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หญ้า งวง ช้าง” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [07 ก.ค. 2014].
7. กองวิจัยทางแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2530. (วันทนา งามวัฒน์). “สารพิษในพืชและอาการพิษในสัตว์ทดลอง”. หน้า 3.
8. พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “หญ้างวงช้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [07 ก.ค. 2014].
9. แผ่นดินทอง. “หญ้างวงช้างภูมิปัญญาตรวจวัดอากาศ”. อ้างอิงใน: มติชนสุดสัปดาห์, 4 พ.ย. 2554. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: glamdring.baac.or.th. [07 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org/
2. https://www.nparks.gov.sg/
3. https://medthai.com