คอลลาเจนคืออะไร กินคอลลาเจนตอนไหนดี บทความนี้มีคำตอบ
( Collagen ) คือ โปรตีนที่ได้จากการรวมตัวของกรดอะมิโน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง บำรุงผิวไม่ให้เหี่ยวย่น

คอลลาเจน

คอลลาเจน ( Collagen ) คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่ง เป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง ขน เส้นผม และกระดูกอ่อน ซึ่งร่างกายมนุษย์ทุกคนสามารถสร้างขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ทําหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย โดยร่างกายจะสามารถผลิตได้มากในขณะที่เรามีอายุน้อย และจะลดปริมาณการผลิตลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ขึ้นไปพบว่าการสังเคราะห์จะลดลงหรือในผู้ที่มีปัจจัยบางอย่างทำให้เสื่อมสภาพหรือถูกทำลายได้ง่าย

ทำไมคอลลาเจนจึงมีความสำคัญต่อผิวของคุณ

คอลลาเจน ( Collagen ) คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่พบในร่างกายมนุษย์
คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เล็บ ขน โดยเส้นใยคอลลาเจนช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพิ่มความยืดหยุ่นผิวหนัง และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว คอลลาเจนพบได้ในกระดูกอ่อน กระดูก หลอดเลือดกระจกตา กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ และระบบทางเดินอาหาร เมื่ออายุประมาณ 30 ปีหลังจากนี้ร่างกายของเราจะสร้างฮอร์โมนและผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงทำให้ผิวแห้ง ผิวบาง กระตุ้นให้เกิดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยมากขึ้น

คอลลาเจน ต่างจากคอลลาเจนเปปไทด์ อย่างไร

คอลลาเจนเปปไทด์ ( Collagen peptides ) คือ โปรตีนที่พบมากในร่างกายมนุษย์เป็นกรดอะมิโนสายสั้นที่เป็นส่วนประกอบของคอลลาเจนประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น 8 ใน 9 ชนิด โดยนำคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดใหม่มาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ ( Hydrolysis ) หรือปฏิกิริยาที่มีน้ำเข้าไปสลายพันธะทำให้สารโมเลกุลใหญ่ แตกตัวเป็นสารที่มีโมเลกุลเล็กลงทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องใช้เพื่อสร้างเนื้อเยื่อ ผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ และหลอดเลือด คอลลาเจนเปปไทด์มีโปรตีนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ ไกลซีน ( glycine ) ไฮดรอกซีโพรลีน ( hydroxyproline ) และโพรลีน ( proline )

ประเภทคอลลาเจนที่พบบ่อยที่สุด

Collagen มีทั้งหมด 28 ชนิด แต่ละชนิดแตกต่างกันไปตามชนิดและรูปแบบของกรดอะมิโนที่ประกอบขึ้น คอลลาเจนที่พบบ่อยที่สุดในอาหารเสริมจะเป็นประเภท Collagen Type1 Collagen Type2 Collagen Type3 จากการศึกษาพบว่า Collagen Type 1 มีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยมากที่สุดในบรรดาคอลลาเจนประเภทต่าง ๆ โปรตีนเส้นใยนี้ช่วยลดริ้วรอยได้ดีที่สุดและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง
1. คอลลาเจนชนิดที่ 1 ( Collagen Type 1 ) พบมากที่สุดถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในร่างกาย เส้นใยคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบโครงสร้างที่สำคัญของเนื้อเยื่อหลาย ๆ ในร่างกายสามารถพบได้ในผิวหนัง กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด
2. คอลลาเจนชนิดที่ 2 ( Collagen Type 2 ) มีความสำคัญกับกระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้พบในกระดูกอ่อนประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าคอลลาเจนชนิดที่ 1 ช่วยสร้างกระดูกอ่อนขึ้นมาใหม่ ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ
3. คอลลาเจนชนิดที่ 3 ( Collagen Type 3 ) มีความสำคัญต่อโครงสร้างของกล้ามเนื้อ อวัยวะ และหลอดเลือด เนื่องจาก CollagenType 3 พบมากที่สุดในกล้ามเนื้อมักใช้คอลลาเจนชนิดที่ 3 ช่วยในการสร้างมวลกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย ช่วยในการสังเคราะห์เกล็ดเลือดจึงมีความสำคัญต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือด

ประโยชน์ของคอลลาเจน

1. ช่วยดูแลข้อต่อกระดูก รักษาโรคข้อเสื่อม
2. ช่วยลดเลือนริ้วรอย
3. ป้องกันฝ้า จุดด่างดำ
4. ทำให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำที่ชั้นผิว
5. เพิ่มความยืดหยุ่น กระชับ เรียบเนียน ผิวขาวใส
6. ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรง
7. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
8. ลดกระบวนการสลายแคลเซียม
9. ช่วยรักษาสิว ลดการอักเสบ
10. ช่วยปกป้องผิวและกรองสารพิษจากสิ่งแวดล้อมและเชื้อโรคอื่น ๆ ได้

กินคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ประโยชน์

1. กินตอนท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ จะทำให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด
2. ทานคอลลาเจนที่มีส่วนผสมของวิตามินซี หรือทานร่วมกับวิตามินซี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ผิวขาว
3. เลือกทานคอลลาเจนที่มีขนาดเล็ก เช่น คอลลาเจนเปปไทด์ ( Collagen Peptide ) เพราะสามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้เร็วและมีประสิทธิภาพ

ร่างกายต้องการคอลลาเจนวันละเท่าไหร่

ความต้องการคอลาเจนของแต่ละคนแต่ละช่วงอายุมีต้องการที่เหมาะสมแตกต่างกัน ซึ่งมีคำแนะนำดังนี้

  • การทานคอลลาเจนเพื่อลดริ้วรอยแนะนำให้รับประทานวันละ 10,000 มก. ต่อวัน
  • หากต้องการทานคอลลาเจนเพื่อบำรุงสุขภาพเฉย ๆ ไม่หวังเห็นผลรวดเร็วให้รับประทานวันละ 5,000 มก. ต่อวัน
  • ผู้สูงอายุที่ต้องการทานเพื่อบำรุงรักษากระดูก ควรรับประทานระหว่าง 2,500 มก. – 5,000 มก. ต่อวัน

แหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่ม Collagen

1. ถั่วเหลือง ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองทุกชนิด รวมถึงชีสทุกประเภทนั้นก็จะมีเจนิสติน ( genistein ) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ ไอโซฟลาโวน โดยมีส่วนเร่งกระบวนการผลิตคอลลาเจน จึงช่วยในการยกกระชับผิวพรรณให้เกิดความเต่งตึงและยังช่วยบล็อกเอนไซม์ชนิดไม่ดีที่จะเข้ามาทำร้ายผิวให้หย่อนคล้อยจนมีรอยตีนกาได้
2. วิตามินซี มีผักผลไม้หลายชนิดที่ให้วิตามินซี ไม่ว่าจะเป็นมะขามป้อม ฝรั่ง มะนาว ส้มหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี ผักต่างๆ ก็ได้แก่ พริกหยวก ผักหวาน ดอกแค และมะเขือเทศ เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการผลิต Collagen และยังช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรงได้ด้วย
3. กรดไขมันโอเมก้า-3 อีกหนึ่งแหล่งที่จะช่วยเสริมสร้าง Collagen จากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 นี้จะเข้าไปช่วยเติมเต็มร่องลึกของเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระหรือปัจจัยอื่นๆ สามารถทานอาหารที่ให้กรดไขมันชนิดนี้ได้จากปลาแซลมอน ทูน่า อะโวคาโด และอัลมอนด์ เป็นต้น
4. ดาร์กช็อกโกแลต เนื่องจากมีผลงานวิจัยจากทางเยอรมนีให้การยืนยันแล้วว่า การกินดาร์กช็อกโกแลตนั้นไม่มีผลกระทบใดต่อผิว แต่ยังสามารถช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้เป็นอย่างดี เพราะดาร์กช็อกโกแลตอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง นับว่าเพียงพอทีเดียวต่อการเสริมสร้าง คอลลาเจน จึงทำให้ผิวพรรณกระชับยืดหยุ่น นุ่มชุ่มชื้นและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ด้วย
5. ผักใบเขียว ผักใบเขียวแทบทุกชนิด เรียกว่ายิ่งเขียวเข้มมากเท่าไรยิ่งดีมากเท่านั้น โดยเฉพาะคะน้า ผักโขม ผักกาดหอม ปวยเล้งและหน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น เนื่องจากผักสีเขียวขึ้นชื่อว่าช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเพราะสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน ( lutein )
6. โปรตีนที่เป็นเนื้อสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ซึ่งนำมาประกอบอาหารจำพวก ต้มยำไก่ ซุปเปอร์ขาไก่ ทำให้วิตตามินซีดูดซึมคอลลาเจนได้ดี หรืออาหารประเภท ชุปกระดูก ปลาต่างๆ

ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ

1. ผู้ที่สูบบุหรี่
2. อายุมากขึ้น
3. ผู้ที่มีความเครียด
4. ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
5. รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
6. ได้รับรังสี UV จากแสงแดดมากเกินไป
7. กินน้ำตาลมากเกินไป
8. พันธุกรรม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการกำหนดปริมาณคอลลาเจนในร่างกายของแต่ละคน

ผลิตภัณฑ์ที่นำคอลลาเจนมาใช้

1. ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ( ครีม, สบู่, เซรั่ม )
2. คลินิกเสริมความงาม ( การฉีดเข้าผิวหน้า )
3. ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม( แบบเม็ด, แบบชง, เครื่องดื่มพร้อมทาน )
4. ด้านการแพทย์ ( ลักษณะของผิวหนังเทียมรักษาแผลไฟไหม้, ใช้รักษาโรคข้อเสื่อม )
5. ขนม เยลลี่ ลูกอม น้ำผลไม้ ผง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

https://thaibeautytalk.com/