เล็บอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
การอักเสบของเล็บ คือการติดเชื้อของผิวหนังระหว่างโคนเล็บมือหรือเล็บเท้า โดยผิวหนังรอบเล็บจะบวมแดง  เป็นหนอง และมีกลิ่นเหม็น

เล็บอักเสบ

เล็บอักเสบ (Paronychia) เป็น การติดเชื้อของผิวหนังระหว่างโคนเล็บมือหรือเล็บเท้า สังเกตได้ชัดเมื่อเล็บมีการอักเสบเนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อมักจะปรากฏอาการผิวหนังรอบเล็บบวมแดงขึ้นรู้สึกปวดตุบ ๆ บางครั้งเล็บเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงจะเริ่มเป็นหนองสีเหลืองขุ่น ติดเชื้อราชนิดแคนดิดาจะเป็นหนองสีขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็น พบได้บ่อยในผู้ที่มีอาชีพต้องอยู่กับน้ำหรือพื้นที่เปียกชื้นเป็นเวลานาน เช่น แม่ครัว พ่อค้าแม่ค้าตามตลาดสด พนักงานล้างจาน เป็นต้น

อาการของเล็บที่อักเสบ

  • ผิวหนังรอบเล็บมีการอักเสบจะปวดตุบ ๆ บวมแดง กดเจ็บ
  • ถ้าพบการติดเชื้อแบคทีเรียจะเป็นหนองสีเหลือง หรือสีเขียว
  • เล็บที่อักเสบจากการติดเชื้อราแคนดิดาจะเป็นหนองสีขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็น

สาเหตุของการเกิดเล็บที่อักเสบ

  • การเล็บพิการมาแต่กำเนิด
  • การขาดสารอาหาร เช่น วิตามิน โปรตีน
  • การติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย
  • เล็บได้รับบาดเจ็บจากถูกกระแทก
  • มือหรือเท้ามักเปียกชื้นอยู่บ่อยครั้ง

วิธีการดูแลรักษาเล็บที่อักเสบ

การรักษาเล็บมีหลายวิธี เช่น
1. ควรดูแลรักษาความสะอาดเล็บมือเล็บเท้า
2. ควรใส่ถุงมือ รองเท้าบูทกันน้ำหากต้องสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ
3. หากมือแห้งควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
4. การใช้ยาปฏิชีวนะ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบลดอาการปวดบวมได้
5. การใช้ยาทาภายนอกเพื่อรักษาเชื้อรา
6. หลีกเลี่ยงการกัดเล็บ
7. ควรตัดเล็บให้สั้น
8. หลีกเลี่ยงการแช่มือหรือเท้าในน้ำเป็นเวลานาน
9. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

อย่างไรก็ตามแม้การอักเสบที่เล็บเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง หากไม่ดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมออาจส่งผลให้เล็บที่อักเสบติดเชื้อแบบเรื้อรังมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้การรักษาก็จะใช้เวลานานออกไปอีก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม