ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส คือ
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis ) คือ เชื้อที่ทำให้สุกรป่วย และตายบ่อย ซึ่งในโรคไข้หูดับเป็นการติดต่อจากหมูสู่คนได้ ผู้ป่วยที่พบเป็นกลุ่มชายวัยกลางคน และผู้สูงอายุ กว่าครึ่งของผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุราเป็นประจำ มักพบว่ามีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไต มะเร็ง ยังมีประวัติการรับประทานลาบ หลู้ ส้า ดิบ มีรายงานพบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 19 ตุลาคม 2561 มีผู้ป่วยโรคไข้หูดับแล้ว 274 ราย เสียชีวิต 26 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาอายุ 45-54 ปี ภาคที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ ภาคเหนือ จำนวน 199 ราย หรือเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ป่วยทั้งหมด จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ พะเยา อุตรดิตถ์ กำแพงเพช นครสวรรค์ และสระแก้ว
ผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับ
-
- ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรคโดยตรง เช่น ผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู และผู้ที่รับประทานเนื้อหมูดิบ เป็นต้น
- กลุ่มที่เสี่ยงจะมีอาการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น
- การสัมผัสเนื้อหมู เลือดดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ของหมูที่ป่วย
อาการโรคไข้หูดับ
-
- เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะเวลาฟักตัว 3-5 วัน
- เวียนหัวจนทรงตัวไม่ได้
- ปวดหัวอย่างรุนแรง
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- อาเจียน
- หูหนวก
- คอแข็ง
- ท้องเสีย
- กรณีที่เชื้อติดเข้าสู่กระแสเลือดจะส่งผลกระทบไปถึงเยื่อหุ้มสมองจะทำให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ม่านตาอักเสบ
- ประสาทหูชั้นในทั้ง 2 ข้าง จะทำให้เกิดอาการเป็นหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียงและประสาททรงตัว จึงทำให้เกิดอาการหูดับ หูตึง จนถึงขั้นทำให้เกิดอาการหูหนวกตามมาในที่สุด
วิธีป้องกันโรคไข้หูดับ
1. ปรุงอาหารที่ทำจากเนื้อหมูให้สุกจนทั่วต้องไม่มีสีแดง
2. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่ไม่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์
3. ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้า บู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน
4. หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด
5. ล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง
ข้อควรระวัง หากมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที และบอกอาการที่เป็นประวัติการกินหรือสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/th/site/newsview/view/978