ต้นนมควาย ผลไม้ชื่อแปลกที่หากินยากสรรพคุณโดดเด่น

0
1702
ต้นนมควาย
ต้นนมควาย ผลไม้ชื่อแปลกที่หากินยากสรรพคุณโดดเด่น ผลออกเป็นกลุ่ม ผลดิบสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ผลสุกสีแดงรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว
ต้นนมควาย
ผลไม้หากินยาก ผลออกเป็นกลุ่ม ผลดิบสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ผลสุกสีแดงรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว

ต้นนมควาย

ต้นนมควาย เป็นไม้พุ่งเตี้ยลักษณะจะมีผลดิบสีเขียวเมื่อเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปจนถึงแดงอมส้มผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายส่วนที่ใช้เป็นยา คือ ผล เนื้อไม้ ราก ใช้เป็นยาบำรุงน้ำนม ถอนพิษ แก้ผดผื่นคัน แก้โรคผมแห้งของสตรีที่คลอดบุตร และอยู่ไฟไม่ได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Uvaria rufa Blume จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ อีกว่า นมแมวป่า (เชียงใหม่), ติงตัง (นครราชสีมา), สีม่วน (ชัยภูมิ), พีพวน ผีพวนน้อย (อุดรธานี), พีพวนน้อย (ชุมพร), ตีนตั่ง ตีนตั่งเครือ (ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, นครราชสีมา), นมวัว นมควาย บุหงาใหญ่ หมากผีผวน (พิษณุโลก, กระบี่), บุหงาใหญ่ นมแมวป่า หมากผีผ่วน (ภาคเหนือ), หำลิง พีพวนน้อย (ภาคอีสาน), นมแมว นมวัว (ภาคกลาง), นมควาย (ภาคใต้), ลูกเตรียน กรีล (เขมร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์), บักผีผ่วน (ลาว) เป็นต้น[1],[3],[4]

ลักษณะของต้นนมควาย

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในหลาย ๆ ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยจะพบได้ทุกภาค จัดเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นไปได้ไกลถึง 5 เมตร เปลือกลำต้นมีสีม่วงอมเทา เนื้อไม้แข็ง กิ่งและยอดอ่อนปกคลุมด้วยขนละเอียดสีน้ำตาลแดงอย่างหนาแน่น แต่เมื่อแก่แล้วผิวจะเกลี้ยงและไม่มีขน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบความชื้นระดับปานกลาง ชอบแสงแดดตลอดวัน ถือเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง สามารถพบได้ตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง หรือตามป่าผลัดใบทั่วไป[1],[2],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันไปตามข้อต้น ลักษณะใบเป็นรูปรี รูปยาวรี รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลมเป็นติ่ง โคนใบมนหรือเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร แผ่นใบบาง มีเส้นใบประมาณ 8-15 คู่ หลังใบมีขนเป็นรูปดาวแข็ง ส่วนท้องใบมีขนอ่อนนุ่มเป็นสีน้ำตาลแดงอยู่หนาแน่น ก้านใบมีขนหนาแน่นยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตรงข้ามกันกับใบหรือเหนือซอกใบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกประมาณ 2-3 ดอก ช่อดอกยาวประมาณ 1.1-1.5 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-3 มิลลิเมตร มีขนกระจายอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนก้านดอกย่อยยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร มีขนขึ้นหนาแน่น มีใบประดับอยู่ 1 ใบ เป็นรูปสามเหลี่ยมปลายมน ติดอยู่ตรงกลางที่ก้านดอก มีขนาดกว้างประมาณ 3-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-13 มิลลิเมตร และมีขนขึ้นหนาแน่น ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 3 กลีบ มีลักษณะคล้ายกับกระดาษและมีขนขึ้นปกคลุม มาเชื่อมติดกันที่โคนอยู่เล็กน้อย ปลายแยกเป็น 3 แฉก ลักษณะกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ ส่วนที่โคนกว้างประมาณ 5-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร กลีบดอกมีด้วยกันอยู่ 6 กลีบ แยกจากกัน และบางครั้งอาจมีถึง 8 กลีบ โดยจะแยกเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ขนาดเท่า ๆ กัน โดยดอกมีสีแดงสดแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนกในภายหลัง ลักษณะกลีบดอกเป็นรูปรีแกมรูปไข่กลีบ มีขนาดกว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 8-10 มิลลิเมตร ปลายกลีบมนหรือกลม มีขนทั้งสองด้าน เมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว กลีบดอกมักจะโค้งลงไปหาทางก้านดอก ดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมากอัดกันอยู่อย่างหนาแน่นประมาณ 30-45 อัน ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร โคนและปลายตัด ขอบเรียบ วงนอกมักเป็นหมัน เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันจะมีประมาณ 10-12 อัน เรียงซ้อนเหลื่อมและแยกกันในชั้นนอกสุดของวง เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ จะมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3.5-4 มิลลิเมตร โคนตัด ปลายกลมหรือมน ส่วนขอบเป็นเยื่อบาง ๆ เป็นจักฟันเลื่อยถี่ มีสีเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ผิวเกลี้ยง ส่วนเกสรเพศเมียมีประมาณ 7-12 อัน ในแต่ละอันจะมีออวุลอยู่ประมาณ 20-25 ออวุล ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตรหรืออาจมากกว่าเล็กน้อย และยาวประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร โคนและปลายตัด เป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อน มีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่นตามก้านเกสรเพศเมีย และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ คาร์เพลแยกออกเป็นจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นที่หอม ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
  • ผล ออกเป็นกลุ่ม แต่ละช่อผลจะมีผลย่อยอยู่ประมาณ 4-20 ผล ผลมีลักษณะเป็นทรงกลมรี รูปรี รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.1 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.7-4 เซนติเมตร ผิวย่นและมีขนสีน้ำตาลสั้น ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลสุกเต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ส่วนก้านผลยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร ก้านผลย่อยยาวประมาณ 1.8-2.6 เซนติเมตร เนื้อข้างในผลเป็นสีขาว ในแต่ละผลนั้นจะมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมากประมาณ 14-18 เมล็ด เรียงตัวกันอยู่เป็น 2 แถว ลักษณะเมล็ดเป็นรูปรี ปลายมน โคนเว้า ส่วนขอบเรียบ ผิวเมล็ดเกลี้ยงเป็นสีน้ำตาลมัน มีขนาดกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-2 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร จะติดผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของนมควาย

1. แก่นและรากถ้านำมาต้มรวมกันกับน้ำ แล้วนำมาดื่มสามารถเป็นยาแก้ไข้กลับหรือไข้ซ้ำได้ หรือต้มกินแก้ไข้อันเนื่องมาจากรับประทานของแสลงที่เป็นพิษเข้าไป (แก่นและราก)[1],[2],[3]
2. ช่วยในการรักษาอาการไข้ที่ไม่สม่ำเสมอ (รากและเนื้อไม้)[3]
3. ผลสุกนั้นเป็นยารักษาโรคหืด (ผล)[3]
4. ผลสุกนำมาตำแล้วเอามาผสมกับน้ำใช้เป็นยาทาแก้เมล็ดผดผื่นคันตามตัวได้ (ผล)[1],[2],[3]
5. ผลใช้เป็นยาเย็นมีฤทธิ์ในการถอนพิษ (ผล)[2],[3]
6. เถาแห้งนำมาปิ้งให้เหลือง แล้วหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ชงกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต (พุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) (เถา)[4]
7. แพทย์พื้นบ้านของทางภาคอีสานมักนิยมใช้เป็นหนึ่งในสมุนไพรรักษากามโรค (ไม่ได้ระบุส่วนที่ใช้)[4]
8. รากสามารถนำมาใช้เป็นยากระตุ้นการคลอดบุตรของสตรี ซึ่งชาวบ้านในแถบหมู่เกาะลูซอนและมินดาเนาของประเทศฟิลิปปินส์จะนำเอารากมาแช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรรับประทาน
9. ใช้เป็นยาเพิ่มการบีบตัวของมดลูก และช่วยเร่งการคลอดบุตร (ราก)[3]
10. นำรากในปริมาณที่พอประมาณ เอามาต้มกับน้ำจนเดือด ใช้ดื่มครั้งละแก้ว วันละ 1-2 ครั้ง จะเป็นยาแก้โรคไตพิการได้ดีในระดับหนึ่ง (ราก)[4]
11. รากช่วยในการบำรุงน้ำนมของสตรี (ราก)[1],[3],[4]
12. รากมีรสเย็นช่วยแก้ผอมแห้ง โรคผอมแห้งของสตรีหลังการคลอดบุตรและอาการอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)[1],[2],[3] ในตำรายาพื้นบ้านของทางภาคอีสานมักจะใช้รากนมควาย รากหญ้าคา เหง้าต้นเอื้องหมายนา และลำต้นอ้อยแดง อย่างละเท่า ๆ กัน กะใช้อยู่ที่ตามความเหมาะสม นำมาต้มกับน้ำเดือด ใช้ดื่มขณะที่ยังอุ่น ๆ ให้สตรีที่ผอมแห้งแรงน้อย และนำมาใช้ในการบำรุงเลือดได้ดี (ราก)[4]

ประโยชน์ของนมควาย

1. ผลสุกจะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว ใช้รับประทานเป็นผลไม้ มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น น้ำผลไม้ ไวน์ และผลไม้อบแห้ง เป็นต้น[2],[3],[4]
2. ชาวชนบททางภาคอีสานมักจะนิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเตรียมสีย้อมฝ้ายหรือไหม จากการสกัดสีจากกิ่งของต้นด้วยตัวทำละลาย[5]
3. เป็นไม้ที่จัดได้ว่าหายาก มีผลไว้รับประทาน และให้ดอกที่สีสันสวยงาม จึงเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “นมควาย”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 122.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “นมควาย”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 385-386.
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พีพวนน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [25 มี.ค. 2014].
4. หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 568, วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557. “นมควาย ผลกินได้ รากเป็นสมุนไพร”. (ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์).
5. โรงเรียนบ้านท่าเสียว. “ดอกนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tasieo.ac.th. [25 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.vendio.com/stores/
2.https://sylviatramos.blog/