ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแพงไหมในแต่ละครั้ง ใช้กี่ cc โปรโมชั่นฉีดใต้ตา ราคาคุ้มค่า

0
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไร ? แพงไหม ?  คุ้มค่าหรือไม่ ?  หากต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง หมอมีข้อมูลราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาให้เปรียบเทียบ ในแต่ละยี่ห้อ รวมถึงปริมาณที่ใช้ พร้อมสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาดำ ตาลึก ตาโหล หรือมีถุงใต้ตา ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ เลือกวิธีไหนดี ถึงจะปลอดภัย คุ้มค่า สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเป็นอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด ทั้งปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ร่องตาลึก  ตาโหล มีถุงใต้ตา ช่วยให้ใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาไม่แพงครับ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และไม่มีรอยแผลเป็นหลังฉีดใต้ตา 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา คืนความสดใสให้ดวงตา

ทั้งนี้การฉีด filler ใต้ตาราคาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นต้น ๆ ต่อ 1 CC  โดยใต้ตาเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความพิถีพิถันในการฉีดเนื่องจากบริเวณใต้ตาจะแบ่งเป็นผิวชั้นลึกและชั้นตื้น ต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสม เช่น การฉีดใต้ชั้นตื้น ที่ผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบางจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วไม่ฟูมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติครับ

ยี่ห้อ ฟิลเลอร์ใต้ตาตัวอย่างยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ใต้ตาที่หมอแนะนำ

  • Filler Restylane (สวีเดน)

Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่มี 2 เทคโนโลยีการผลิต คือ NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Restylane โดยจะทำฟิลเลอร์ให้เป็นเม็ดละเอียด (particle) เพื่อให้ได้เนื้อ Filler ที่มีค่า Elasticity สูงที่สุด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย  มีหลายรุ่นให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น 

  • Restylane รุ่น  Perlane Lyft  : มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Defyne :  เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital Light  : มีส่วนผสมของยาชา เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง หรือสำหรับเก็บรายละเอียด อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital : เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลเรียบเนียน อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Classic : เป็นเนื้อเจลอนุภาคใหญ่ เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก อยู่ได้นาน 12 เดือน

โดย Filler restylane ใต้ตา ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14,000.-/ 1 CC ในแต่ละเคสอาจใช้จำนวน CC  ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลครับ  

  • Filler Juvederm (อเมริกา)

Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Filler Restylane จุดเด่นอยู่ที่ในเนื้อฟิลเลอร์จะมี Crosslink (จำนวนการเชื่อมพันธะ) ที่ยิ่งมีเยอะก็จะอยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง อุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ฉีดแล้วไม่ฟูมาก เหมาะกับผิวบริเวณที่ขยับบ่อย ๆ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Allergan มีความพิเศษ คือ มีความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่นขึ้น ช่วยยกกระชับได้ดี ยี่ห้อที่นิยมใช้ฉีดใต้ตาได้แก่ 

  • Juvederm รุ่น Volite : มีลักษณะเนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Juvederm  รุ่น Voluma : ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm รุ่น Volux : เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ในส่วนของ ราคา Filler Juvederm โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14,000- 18,000.- /1 CC  

  • Filler Belotero  (สวิตเซอร์แลนด์ )

ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น และการเกาะกันเป็นเนื้อเดียว หลังฉีดไม่ไหลเป็นก้อน สามารถปั้นทรงได้สวย สำหรับตำแหน่งใต้ตา สามารถฉีดได้ทั้งการเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก และเก็บรายละเอียดผิวใต้ตาให้เรียบเนียน โดยหมอจะเลือกรุ่นที่ฉีดแล้วคงรูปไม่ฟูเยอะ เช่น 

  • Belotero รุ่น  Volume : เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero  รุ่น Revive : เนื้อละเอียด เหมาะฉีดใต้ตา เติมปาก ปรับสภาพผิวหน้า ลำคอ หลังมือ อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ราคา Filler Belotero ฉีดใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000.- /1 CC ส่วนรุ่นไหนจะเหมาะกับใคร และจะต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณเท่าไร กี่ CC แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำให้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ?

สำหรับผู้ที่สงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละคน  แต่ละคลินิก ทำไมราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอะไร ? ข้อเท็จจริง คือขึ้นอยู่ 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ 
  • ปริมาณ CC ที่ใช้ฉีดแก้ปัญหาใต้ตา 
  • เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฉีด

ตัวอย่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต่างกันรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา   (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 CC)                                (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 CC)

ส่วนมากฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC ครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล เช่น ความลึก ริ้วรอย ความคล้ำของใต้ตา ถ้ามีปัญหามากก็อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น ราคาก็สูงขึ้น หรือในเคสที่มีปัญหาน้อย ๆ ก็สามารถแบ่งฟิลเลอร์ 1 CC สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ใช้กี่ CC ฉีดแล้วเห็นผล 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาโปรโมชัน

สำหรับใครที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และเห็นโฆษณาการเติมใต้ตาราคาโปรโมชัน ของแต่ละคลินิกที่มีราคาถูกแพง แตกต่างกัน หากต้องการเปรียบเทียบราคา ต้องดูด้วยว่าคลินิกนั้น ๆ  ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใด  ซึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่คลินิกชั้นนำเลือกใช้ ได้แก่ 

  • ฟิลเลอร์ Juvederm ประเทศอเมริกา
  • ฟิลเลอร์ Restylane ประเทศสวีเดน 
  • ฟิลเลอร์ Belotero ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

ทั้ง 3 ยี่ห้อ ล้วนเป็นฟิลเลอร์แบรนด์ระดับโลก ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง และมีการนำเข้า -จัดเก็บตัวยาอย่างถูกต้องเหมาะสม แพทย์จึงสามารถเลือกใช้ยี่ห้อ/รุ่น ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาของคนไข้จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแตกต่างกับหัตถการอื่นไหม ? 

ในผู้ที่มีปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล วิธีแก้ไขที่ได้รับความนิยม คือ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และการฉีดไขมันใต้ตา ทั้ง 2 วิธีสามารถแก้ไขได้ แต่ก็มีข้อดี – ข้อเสียที่แตกต่างกัน รวมถึงราคาก็แตกต่างกันด้วยครับ  

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา VS ไขมันใต้ตาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน เฉลี่ย 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ และการฉีดใต้ตาราคา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000- 18,000.-/1 CC 

ข้อดี

  1. หลังฉีดเห็นผลทันทีและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2 สัปดาห์
  2. ฟิลเลอร์แท้ (HA) สามารถสลายได้หมด 100% โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  3. หลังฉีดไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่ใช่การต้องผ่าตัด 
  4. สามารถใช้หน้าได้เลย ในบางเคสอาจมีอาการบวมเข็มหลังฉีด แต่จะหายได้เอง ใน 7-14 วัน
  5. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง 

ข้อเสีย 

  1. ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร
  2. ในเคสที่ผิวบาง อาจมีอาการช้ำให้เห็น ในจุดที่ลงเข็ม แต่อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เองครับ
  • ฉีดไขมันใต้ตา  

การฉีดไขมันใต้ตา คือการฉีดไขมันตัวเอง เพื่อเติมเต็มร่องลึก ให้ผิวเต่งตึงได้ เป็นการแก้ไขปัญหาใต้ตาจากสาเหตุของร่องตาลึกโบ๋ จากการขาดไขมัน คงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล ราคาฉีดไขมันใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ต่อครั้ง

 

ข้อดี

  1. ลดความเสี่ยงต่ออาการแพ้ เนื่องจากเป็นการใช้ไขมันของตัวคนไข้เอง 
  2. ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถือว่าพักฟื้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการผ่าตัดครับ

ข้อเสีย

  1. มีกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่สามารถทำได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะต้องมีการตรวจเช็คไขมันและมีกระบวนการดูดไขมันออกมา และปั่นแยกเป็นของเหลว ก่อนนำมาใช้ฉีดไขมันใต้ตา
  2. มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน
  3. หลังฉีดอาจเกิดผิวไม่เรียบ ไม่เสมอกัน เพราะไขมันที่ฉีดไปจะถูกร่างกายนำไปใช้
  4. ต้องทำซ้ำหลายครั้ง อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในครั้งแรก นั่นหมายถึงต้องเจ็บตัวหลายครั้งครับ และฉีดไขมันตัวเอง ไม่มีประสิทธิภาพในการยกเหมือนกับฟิลเลอร์
  5. หลังฉีดแล้วจะมีอาการบวมเล็กน้อย จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง 

ดังนั้นหากให้แนะนำแก้ปัญหาใต้ตาวิธีไหนดี ปลอดภัย คุ้มค่า สามารถแก้ปัญหาได้ริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ร่องลึกใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่หมอแนะนำมากที่สุดครับ เพราะความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา หากมองถึงเรื่องความคุ้มค่า ราคาไม่แพง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่าคุ้มค่ากว่าครับ 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ลดริ้วรอย ปลอดภัย เห็นผลชัดเจน

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

สรุป

ใครที่กังวลว่าฉีดใต้ตาดำ ราคาไม่คุ้มค่า หรือกลัวเสี่ยงอันตราย ก่อนฉีดหมอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดี เปรียบเทียบราคา ฟิลเลอร์ใต้ตาของแต่ละที่ และสอบถามหมอโดยตรง เพื่อความปลอดภัย

สำหรับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา คุ้มค่าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้ครับ ซึ่งปัญหาใต้ตาของคนไข้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป ควรเลือกฉีดใต้ตาในคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีประสบการณ์ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัยครับ

Ulthera กระชับผิว เห็นผลแค่ไหน ช่วยอะไรได้บ้าง เจ็บไหม ต้องใช้กี่ไลน์ ?

0
Ulthera

Ulthera

Ulthera

Ulthera คือเครื่องยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Focused Ultrasound) ทำให้ผิวยกขึ้นโดยไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเสริมความงามปัจจุบัน

การทำ Ulthera แตกต่างจาก Thermage – Hifu อย่างไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ต้องใช้กี่ใช้กี่ช็อต/ไลน์ ? ราคาเท่าไร เหมาะกับใครบ้าง ? หมอสรุปให้ในบทความนี้ครับ

Ulthera คือ ?

Ulthera หรือ Ultherapy คือ เครื่องยกกระชับผิว ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาคลื่นเสียงอัลตราซาวน์ ให้สามารถยิงพลังงานเข้าไปในชั้นผิวที่ต้องการ เพื่อให้เกิดความร้อน 60-70°C เนื้อเยื่อจะหดตัว ทำให้ผิวยกกระชับขึ้น แน่นขึ้น และเกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้คุณภาพผิวดีและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น 

Ulthera คือลักษณะพลังงานของ Ulthera จะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ครอบคลุมสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย 

ระดับความลึกในการยิงของหัว Ulthera

  • หัว 1.5 mm : เหมาะสำหรับริ้วรอยผิวชั้นบน ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
  • หัว 3.0 mm : เหมาะสำหรับกระชับชั้นไขมัน (Subcutis) ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว บริเวณกรอบตาและหน้าผาก และสามารถยิงชั้น SMAS ในบางบริเวณของใบหน้าที่ผิวบาง
  • หัว 4.5 mm : เหมาะสำหรับชั้น SMAS ที่เป็นผิวหนังชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ช่วยยกกระชับผิวจากโครงสร้าง

Ulthera SPT Techniqueนอกจากนี้ยังมี Ulthera SPT Technique คือ การใช้เทคนิคแบบ Customize เพื่อแก้ปัญหาผิวของคนไข้แต่ละคนโดยเฉพาะ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

Ulthera ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • เก็บกรอบหน้า ยกหน้าให้ดูกระชับขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • ช่วยลดริ้วรอย ลดร่องแก้ม ร่องใต้ตา
  • ช่วยยกหางคิ้วและหางตา
  • ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น สุขภาพดี

H2 Ulthera มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

ข้อดีอัลเทอร่า 

  • สามารถยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องฉีดตัวยาใด ๆ
  • สามารถยกกระชับได้ทั้งใบหน้าและลำตัว
  • มีความปลอดภัยสูง และเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
  • สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยจะเห็นผลทันทีหลังทำประมาณ 30% 
  • หลังทำกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น
  • ทำเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี

ข้อเสียอัลเทอร่า

  • ในขั้นตอนการยิงพลังงาน คนไข้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิว (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสม)
  • หลังทำ Ulthera คนไข้บางรายอาจมีรอยแดงเกิดขึ้น จะค่อย ๆ หายไปเองใน 1 ชั่วโมง
  • อาจจะมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์แรก 
  • ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจึงเห็นผลลัพธ์เต็มที่

ทำ Ulthera มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?

  • ปรึกษาแพทย์ ประเมินปัญหา และวางแผนการปรับรูปหน้า
  • แพทย์จะแจ้งจำนวนไลน์ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคส
  • เตรียมผิว ทำความสะอาดผิวหน้า
  • แปะยาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
  • ใช้เครื่อง Ulthera ยิงเพื่อยกกระชับผิวบริเวณที่มีปัญหา
  • ใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 45-60 นาที (ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ)

ทำ Ulthera ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Ulthera ทำได้ทั้งใบหน้าและลำตัวครับ จุดหลัก ๆ ที่นิยมทำ ได้แก่ทำ Ulthera ตำแหน่งไหนได้บ้าง

  • ใบหน้า กรอบหน้า
  • รอบดวงตา หางคิ้ว หางตา 
  • ใต้คาง ลำคอ เหนียง 
  • ท้องแขน และ หน้าท้อง 
  • ผิวหน้าอก

ทำ Ulthera แต่ละตำแหน่ง ใช้กี่ช็อต / ไลน์ ? 

ทำ Ulthera แต่ละตำแหน่งจะใช้ช็อตหรือไลน์ ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน และบริเวณที่ทำ ถ้าทำเฉพาะจุดบนใบหน้า จะเริ่มที่ประมาณ 200-300 ไลน์ แต่ถ้าทำทั่วหน้า หรือจุดอื่น ๆ ที่พื้นที่กว้างกว่า ก็อาจต้องใช้ประมาณ 600 ไลน์ขึ้นไปครับ

Ulthera รีวิว

Ulthera รีวิวก่อน-หลังทำทันทีรีวิว Ulthera

Ulthera เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่เริ่มมีอายุ ต้องการยกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 
  • ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก แต่ยังไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าและไม่มีเวลาพักฟื้น 
  • ผู้ที่มีไขมันที่แก้มไม่เยอะมาก ต้องการปรับหน้าเรียว ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น เห็นแนวกราม 
  • ผู้ที่ต้องการลดเหนียง ลดความหย่อนคล้อยบริเวณคอและหน้าอก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับ ดูเปล่งปลั่ง รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

Ulthera เจ็บไหม ทำแล้วหน้าบวมไหม ?

ระหว่างทำ Ulthera คนไข้จะรู้สึกเจ็บได้เป็นปกติครับ เนื่องจากเป็นการยิงพลังงานลงในชั้นผิว และจะรู้สึกอุ่น ๆ เล็กน้อยขณะทำเพราะใต้ผิวจะเกิดการสะสมความร้อน ส่วนหลังทำมีอาการบวมเล็กน้อย ไม่ได้บวมมากจนสังเกตได้ครับ จะค่อย ๆ ยุบบวมไปเอง ใน 2-3 วัน

การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Ulthera

การดูแลตัวเองก่อนทำ Ulthera

การดูแลตัวเองก่อนทำ Ulthera ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากครับ สามารถนัดเข้ามาปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อมูลโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด หรือประวัติการทำหัตการอื่น ๆ บนใบหน้า ถ้าไม่ติดอะไรก็ทำ Ulthera ได้เลย 

การดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera

  •  หลีกเลี่ยงแสงแดด การตากแดดจัด หรือความร้อน หลังทำ 4-5 วัน
  •  ก่อนออกแดด ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
  •  ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

Ulthera กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

  • Ulthera กี่วันเห็นผล ?

หลังทำ Ulthera เห็นผลทันทีประมาณ 30% และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน

  • Ulthera อยู่ได้กี่เดือน ? อยู่ได้นานไหม ?

สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี หากมีการใช้พลังงานสูงมากพอ (คนไข้ต้องทนเจ็บได้) และมีการดูแลหลังทำที่เหมาะสม ไม่มีพฤติกรรมทำร้ายผิว เช่น ตากแดดจัด ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย สูบบุหรี่ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ 

Ulthera กับ Thermage และ Hifu แตกต่างกันอย่างไร ?

ถ้าจะจับกลุ่มตามรูปแบบพลังงาน Ulthera และ Hifu ใช้คลื่นเสียง ULTRASOUND เหมือนกันครับ ส่วน Thermage จะใช้คลื่นวิทยุ MONOPOLAR RF

Ulthera กับ Thermage และ Hifu แตกต่างกันอย่างไร

 

  • Ulthera และ Hifu เหมาะกับคนที่มีชั้นไขมันน้อย แตกต่างกันที่ Ulthera จะมีหน้าจอแสดงชั้นผิวระหว่างยิงพลังงาน มีความแม่นยำกว่า อยู่ได้นาน 1 ปี ส่วน Hifu จะราคาถูกลงมาครับ ความเข้มข้นของการส่งผ่านคลื่นจะน้อยกว่า ระยะเวลาของผลลัพธ์จะอยู่ได้ 3-6 เดือน
  • Thermage เหมาะกับคนที่มีไขมันเยอะ และต้องการยกกระชับผิว จะมีขนาดจุดพลังงานเป็นก้อนใหญ่กว่า เน้นกระตุ้นคอลลาเจน ผิวหน้าแน่นขึ้น กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

Ulthera ราคาเท่าไร ?

Ulthera ราคาจะอยู่ในช่วงหลักหมื่นขึ้นไปครับ ขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ที่ใช้ และบริเวณที่ทำ ถ้าพื้นที่กว้าง ๆ ต้องใช้ไลน์มาก ก็จะราคาสูงขึ้นครับ เริ่มที่ 200 ไลน์ ราคา 19,999.- โดยราคาในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็จะไม่ได้ต่างกันมาก เพราะมีต้นทุนหัวยิงที่พอใช้หมดก็ต้องเปลี่ยนครับ ถ้าเจอโฆษณาขาย Ulthera ในราคาถูกมาก ๆ ผิดปกติ ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเครื่องแท้หรือไม่ เพราะมีเครื่องปลอม เครื่องเลียนแบบเยอะครับ

ทำ Ulthera ที่ไหนดี ?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
  • ตรวจสอบเครื่องอัลเทอร่าแท้ นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetics 
  • แพทย์มีประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ปัญหาผิว ประเมินจำนวนไลน์ที่ต้องใช้ และแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
  • มีรีวิว Ulthera จากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้
  • มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก เช่น เบอร์โทร, Line@ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อแพทย์ที่ดูแลได้
  • มีการติดตามผลหลังทำ แนะนำวิธีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

สรุป

การทำ Ulthera เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่เหมาะกับคนที่ไม่อยากฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก ไม่อยากเจ็บตัวหรือมีแผลหลังทำ ช่วยกระชับผิวอย่างเห็นผล และยังช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีคุณภาพดีขึ้น พร้อมลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

ทั้งนี้ต้องทำ Ulthera ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องแท้และแพทย์มีประสบการณ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

เจาะลึกฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ช่วยอะไร ? อันตรายไหม ? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง ?

0
ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อ ไขมัน และกระดูกรอบ ๆ ดวงตาจะเกิดการยุบตัวลง ทำให้เกิดร่องใต้ตา เบ้าตาลึก หน้าดูแก่กว่าวัย สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งเป็นสาร HA ที่มีคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยเติมเต็มในส่วนที่ใต้ตายุบตัวเป็นร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ลดรอยคล้ำใต้ตา ถุงใต้ตา โดยไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาและกำลังศึกษาข้อมูล ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไร ? อันตรายไหม ? ฉีดยี่ห้อไหนดี ? บทความนี้จะคลายทุกข้อสงสัย พร้อมพาไปเจาะลึกข้อดี-ข้อเสียฟิลเลอร์ใต้ตา วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ และการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่า

ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ฉีดเข้าไปเติมเต็มบริเวณร่องใต้ตาให้เรียบเนียน ใต้ตาดูตื้นขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดขอบตาดำและริ้วรอยรอบดวงตา      

ฟิลเลอร์ใต้ตา ใครฉีดได้บ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตา ขอบตาดำ เบ้าตาลึก ตาโหล มีถุงใต้ตาและริ้วรอยที่ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย หรือมีปัญหาใต้ตาจากลักษณะพันธุกรรม กลัวการผ่าตัด ไม่อยากมีแผล ต้องการเห็นผลเร่งด่วน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไรบ้าง  มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแก้ปัญหาใต้ตาอย่างตรงจุดและครอบคลุม ทั้งการช่วยเติมเต็มเบ้าตาลึกที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกใต้ตา ยกกระชับผิวบริเวณใต้ตาที่หย่อนคล้อย เพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยคล้ำใต้ตา รวมถึงช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นใต้ตาและหางตาให้ดูเต่งตึง 

ข้อดีของฟิลเลอร์ใต้ตา คือ หลังทำเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที สวยแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น ส่วนข้อเสียของฟิลเลอร์ใต้ตา คือ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร ต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์      

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา อันไหนดีกว่ากัน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฉีดไขมันใต้ตา
ฉีด HA ใต้ตา ซึ่งเป็นสารที่สร้างเลียนแบบสารธรรมชาติในร่างกาย ปลอดภัยสูง ใช้ไขมันของตัวเองจากบริเวณอื่นของตัวเองมาเติมใต้ตา ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้
หลังทำเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ฉีดครั้งแรกเห็นผลไม่ชัด ต้องมาฉีดซ้ำ 2-3 ครั้ง
ใช้เวลาทำไม่นาน ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น ขั้นตอนการทำค่อนข้างยุ่งยาก และมีความเสี่ยง
อาจมีอาการบวมเข็มเล็กน้อยหลังฉีด หายได้เอง มีแผลในจุดที่ดูดไขมัน อาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบ
ยุบบวมและเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์  ยุบบวม 1-2 สัปดาห์ และเข้าที่ประมาณ 2-3 เดือน

จะเห็นว่าทั้ง 2 หัตถการมีทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา เลือกทำอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของแต่ละคน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ช่วยประเมินสาเหตุใต้ตาและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

ฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC ?

Filler ใต้ตาใช้กี่ CC ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาของแต่ละเคส ก่อนฉีดหมอจะประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมให้เป็นรายบุคคล โดยทั่วไปจะใช้ 2-4 CC ไม่จำเป็นต้องเติมทีเดียวปริมาณมาก ๆ สามารถทยอยเติมฟิลเลอร์ใต้ตาได้

ฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว

ฟิลเลอร์ใต้ตารีวิวรีวิวผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 CC

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว

รีวิวผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 CC

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่ใน 2-3 สัปดาห์ โดยระยะเวลาของผลลัพธ์ฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่น/ยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมไปถึงการดูแลหลังทำของแต่ละบุคคล       

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บไหม อันตรายไหม ?

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทางคลินิกจะมีการแปะยาชาให้ รวมไปถึงตัวฟิลเลอร์หลายยี่ห้อเองก็มีส่วนผสมของยาชาอยู่แล้ว ทำให้ขณะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะไม่ได้เจ็บมาก อาจมีความรู้สึกตึง ๆ เวลาที่ฉีดใต้ตาชั้นลึก หรือบางคนก็อาจจะไม่เจ็บเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีดของหมอด้วย

ส่วนคนที่กังวลว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม หากฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์แท้ แน่นอนว่าย่อมปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย เพราะหมอที่ชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ จะรู้ตำแหน่งและเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง แม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงในการฉีดพลาดเข้าเส้นเลือดได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม   

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีผลข้างเคียงไหม ดูแลตัวเองอย่างไร ?

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจเกิดขึ้นได้บ้าง เพราะเนื้อเยื่อใต้ตาค่อนข้างบางกว่าบริเวณอื่น ทำให้เกิดอาการบวมเข็ม บวมแดง เขียวช้ำ หรือรู้สีกคันได้ ถือเป็นอาการปกติที่พบได้ทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถดูแลได้ง่าย ๆ โดยการหลีกเลี่ยงการนวด หรือกดในจุดนั้น ๆ และระวังการขยับใบหน้าเยอะ ๆ 

H2: ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร ?

กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการใช้ฟิลเลอร์ปลอม เลือกรุ่นฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม แพทย์ขาดประสบการณ์ ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง ผิดชั้นผิว ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนบวม

วิธีแก้ไขเคสฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน หากฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้จะสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม แต่ถ้าใช้ฟิลเลอร์ปลอมต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงได้

ฟิลเลอร์ใต้ตาแท้ – ปลอม ดูอย่างไร ?

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมดูอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ใต้ตาแท้ สังเกตได้จากกล่องฟิลเลอร์ จะมีภาษาไทยติดอยู่บนกล่อง พร้อมกับมีรายละเอียดของราคา และวันหมดอายุระบุไว้ข้างกล่องอย่างชัดเจน โดยเลข Lot. ที่กล่อง หลอด สติกเกอร์ และซอง จะต้องตรงกัน สามารถตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ หรือสแกน QR code เช็กได้ในบางรุ่น

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ?

ฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดใต้ตา ต้องฉีดแล้วคงรูป ไม่ฟูเยอะ เนื้อนิ่ม ไม่เป็นก้อน เนื้อโมเลกุลเหมาะสมกับบริเวณใต้ตา โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่นิยม หลัก ๆ มี 3 ยี่ห้อ ได้แก่ Juvederm, Restylane และ Belotero

ฟิลเลอร์ใต้ตา

 

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ 13,xxx.-/1 CC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด รุ่นและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ รวมไปถึงโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก  

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี พิจารณาอะไรบ้าง ?

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยพิจารณาได้จากเช็กลิสต์ดังต่อไปนี้

  • คลินิกได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักแสดงไว้ชัดเจน 
  • บรรยากาศในคลินิกสะอาด ห้องทำหัตถการกว้างขวาง ไม่อับทึบ ตั้งอยู่ในทำเลที่สังเกตง่าย
  • แพทย์ Full-time อยู่ประจำที่คลินิก นำชื่อ-สกุลไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ของแพทยสภาได้
  • แพทย์มีประสบการณ์ รู้เทคนิคการฉีด ประเมินปัญหาและวางแผนการแก้ไขอย่างเหมาะสม
  • มีการนัดติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำอย่างใกล้ชิด
  • มีรีวิวจากผู้รับบริการจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นผลลัพธ์ของแต่ละเคส
  • มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย สามารถทำการนัดหมายล่วงหน้าหรือปรึกษาแพทย์ได้โดยตรง

ใครที่กำลังมองหาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ V Square Clinic ใช้ฟิลเลอร์แท้ ทีมแพทย์มีประสบการณ์ และชำนาญด้านศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ (Fine Art of Filler) สามารถประเมิน เลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละคน ฉีดด้วยเทคนิคเฉพาะ มือเบา บวมช้ำน้อย มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย   

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีแก้ปัญหาใต้ตา เติมร่องใต้ตา ลดถุงใต้ตา ลดขอบตาคล้ำได้อย่างตรงจุดและเห็นผล ก่อนฉีดควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ดีอย่างไร ? อันตรายไหม ? ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดร่องแก้ม

0
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ร่องแก้มลึกที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดครับ การมีร่องแก้มชัดจะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ดูมีอายุ เมื่อร่องแก้มตื้นขึ้น หรือจางลง ใบหน้าก็จะดูเด็กลงตามไปด้วย

ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยอะไรได้บ้าง อันตรายไหม รวมถึงคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัย เช่น ฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้กี่ cc , ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่, ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร และเลือกคลินิกอย่างไรดี ?


ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณที่มีปัญหาร่องแก้มลึก เนื้อฟิลเลอร์จะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล นิ่ม และมีความคงตัว สามารถเข้าไปหนุนและทดแทนส่วนที่มีการยุบตัวของโครงสร้างผิวและกระดูกได้ ช่วยทำให้ร่องลึกจางลง ร่องแก้มตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยได้ยาก


ปัญหาร่องแก้มลึก มีสาเหตุมาจากอะไร ?

โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดร่องแก้มลึก เกิดจากอายุที่มากขึ้น โครงสร้างผิวมีการเสื่อมสภาพลง สรุปมาเป็น 4 สาเหตุ ดังนี้

  • ร่องแก้มลึกจากการยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรง
  • ร่องแก้มลึกจากการยุบตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา
  • ร่องแก้มลึกจากการยิ้มบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงเกินไป
  • ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง หรือตากแดดบ่อย ชั้นผิวบางลง

สาเหตุการเกิดร่องแก้มลึก

อายุที่มากขึ้นทำให้ชั้นผิว กระดูก รวมถึงชั้นไขมันหย่อนคล้อยลง เกิดเป็นร่องแก้มลึกได้ง่าย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อย่างพฤติกรรมการใช้ชีวิต การแสดงสีหน้า มลภาวะ หรือในคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ ชั้นไขมันบนใบหน้าห้อยย้อยลงมาปิดแก้ม ก็ทำให้เป็นรอยร่องแก้มชัดขึ้นได้ครับ


ร่องแก้มลึก แก้ด้วยวิธีใดได้บ้าง ?

ร่องแก้มลึก แก้ได้หลายวิธีครับ แต่จะได้ผลมากน้อยต่างกันไป บางวิธีก็เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาเฉย ๆ ไม่ได้ช่วยแก้ไขให้ตรงจุด หมอสรุปข้อดี-ข้อเสีย แต่ละวิธีไว้ให้ครับ

  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุด สามารถทดแทนส่วนที่เสื่อมไปของโครงสร้างผิวได้ และยังช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึกให้ตื่นขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้มเห็นผลทันที เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ร่องแก้มลึก
  • ร้อยไหมยกกระชับ ช่วยแก้ร่องแก้มได้จากสาเหตุที่ผิวแก้มหย่อนลงมา แล้วทำให้เกิดเป็นรอยร่องแก้ม เมื่อใช้ไหมดึงแก้มลึก ร่องแก้มก็จะจางลง สามารถใช้การร้อยไหมร่วมกับฉีดฟิลเลอร์ได้ครับ จะช่วยให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ลดลง
  • Hifu ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่จะไม่ได้เห็นผลชัดเจนเท่าฟิลเลอร์หรือร้อยไหมครับ ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่ หมอจะแนะนำให้ทำไฮฟู่ร่องแก้มร่วมกับวิธีอื่น ๆ จะช่วยให้เห็นผลชัดเจนขึ้น 
  • ฉีดโบท็อก ช่วยแก้ร่องแก้มลึกจากสาเหตุที่ยิ้มบ่อย ๆ แล้วทำให้กล้ามเนื้อบริเวณร่องแก้มแข็งแรงเกินไป โบท็อกจะช่วยคลายกล้ามเนื้อออก แต่ไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อกอย่างเดียวครับ เพราะจะทำให้ยิ้มแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ แนะนำให้ใช้โบท็อก 50% และฟิลเลอร์ 50%

จะเห็นว่าวิธีลดริ้วรอยร่องแก้มแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นต่างกัน เหมาะใช้แก้ปัญหาร่องแก้มจากสาเหตุที่แตกต่างกันครับ และสามารถประยุกต์ใช้แต่ละหัตถการเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดมากขึ้น ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละคน ควรปรึกษาหมอที่มีประสบการณ์ จะได้แนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดให้ได้ครับ

ทาครีมลดริ้วรอย ช่วยลดร่องแก้มได้ไหม ?

การทาครีมลดริ้วรอย ไม่ใช่วิธีที่สามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้โดยตรงครับ เพราะปัญหาอยู่ในผิวชั้นลึก ซึ่งครีมอาจจะซึมเข้าไปไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทาครีมไม่มีประโยชน์นะครับ การทาครีมเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยรักษาคุณภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยาก สามารถทาครีมร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์เสริมกันได้ครับ


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มให้ผลดีไหม ถ้าเทียบกับหัตถการอื่น ๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ หมอสรุปข้อดีของฟิลเลอร์ร่องแก้มไว้ตามด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • ผลลัพธ์ : การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ปัญหาร่องแก้มที่ตรงจุด และเห็นผลชัดเจนที่สุดครับ
  • ราคา : ราคาไม่ได้แตกต่างกับหัตถการอื่นมากครับ ถ้าเทียบ 1 CC หากมีปัญหาร่องแก้มลึกมาก ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากขึ้น ราคาก็อาจจะสูงกว่าโบท็อกหรือร้อยไหม แต่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า
  • ระยะเวลา : หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีดครับ หัตถการอื่น ๆ ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน
  • ผลข้างเคียง : ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแทบจะไม่มีผลข้างเคียงครับ อาจจะมีอาการบวมจากเข็มหรือเนื้อฟิลเลอร์ในช่วงแรกเล็กน้อย แต่ 3 วันก็จะดีขึ้นครับ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายไหม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ไม่อันตรายครับ หากฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ (HA) และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ 

ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ซึ่งถูกสร้างเลียนแบบ Hyaluronic Acid ที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติครับ จึงทำให้มีความปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดการแพ้ ฉีดแล้วกลมกลืนเรียบเนียนไปกับผิว หลังฉีดเมื่อเวลาผ่านไปจะสลายไปเองตามธรรมชาติครับ (6-24 เดือน) ดังนั้นฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะช่วยแก้ร่องแก้มลึกถาวรไม่ได้ แต่ก็สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ ไม่มีผลข้างเคียงครับ

ในต่างประเทศ Filler จะหมายถึงสารเติมเต็มทุกประเภท เช่น ซิลิโคนเหลว การฉีดไขมัน ฉีดคอลลาเจนจากสัตว์ แต่สำหรับในประเทศไทย ฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. มีเพียงประเภทเดียวคือฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ดังนั้นฟิลเลอร์แท้ที่หมอในประเทศไทยพูดถึงก็จะหมายถึงฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ครับ


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมีความเสี่ยงไหม ?

จริง ๆ แล้ว การทำหัตถการทุกอย่างมีความเสี่ยงครับ มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำหัตถการด้วย

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มให้ปลอดภัย หมอต้องระมัดระวังไม่ให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดการอุดตันเส้นเลือด หรือโดนเส้นเลือดสำคัญบนใบหน้า ที่จะส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น ทำให้เนื้อตาย ตาบอด ดังนั้นแพทย์ต้องมีประสบการณ์ สามารถฉีดฟิลเลอร์ลงในชั้นผิวที่ถูกต้อง ไม่ให้เข็มไปโดนจุดสำคัญอื่น ๆ 

และที่สำคัญคือต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ครับ เพราะหากฉีดฟิลเลอร์แท้แล้วมีปัญหา เราสามารถฉีดตัวยา Hyaluronidase สลายฟิลเลอร์ได้ ฟิลเลอร์จะถูกสลายทันที ก็จะไม่มีอันตรายครับ


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเจ็บไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ในระหว่างฉีดคนไข้อาจจะรู้สึกตอนจิ้มเข็มเข้าไป หรือตอนเดินยา แต่จะไม่เจ็บครับ ก่อนฉีดหมอจะมีการแปะยาชาให้ และในเนื้อฟิลเลอร์ก็จะมีส่วนผสมของยาชาอยู่ด้วย


ฟิลเลอร์ร่องแก้มเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด
  • ผู้ที่มีปัญหากระดูกใต้ตาหรือร่องแก้มทรุดตัว
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวบาง เกิดร่องแก้มได้ง่าย
  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาร่องแก้มโดยไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันที
  • ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูเด็กลง ดูกระชับขึ้น

ใครที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สารไฮยาลูรอนิคแอซิด 
  • สตรีมีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร 
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา (แจ้งแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคล)
  • ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด (แจ้งแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคล)
  • ผู้ที่เป็นเริม หรืองูสวัด

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

  • งดยาและวิตามินบางชนิดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • ก่อนฉีดอย่างน้อย 3 วัน งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้า 
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ข้อปฏิบัติหลังฉีด filler ร่องแก้ม จะช่วยลดผลข้างเคียง ทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วและอยู่ได้นานขึ้นครับ

  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาและกดนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
  • หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติ จะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน (หากหลังจาก 3 วันไปแล้ว มีอาการบวมมากขึ้นให้ติดต่อกลับมาที่คลินิกเพื่อรับยาทานเพิ่ม)
  • พยายามอย่าขยับใบหน้าเยอะ ๆ โดยเฉพาะช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
  • หลังฉีดอาจมีอาการปวดหรือบวมในจุดที่ฉีด คลินิกจะมีการจ่ายยาแก้ปวด ลดบวมกลับไปให้ทาน
  • ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดดแรง ๆ
  • ให้งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  • ควรงดทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ หมูกระทะ ชาบู อาหารหมักดอง อาหารที่เผ็ดมาก ๆ จนหน้าแดง อาหารหวานจัดและอาหารดิบจากร้านที่ไม่สะอาด
  • ควรงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรใช้ยี่ห้อไหนดี ?

สำหรับการฉีดร่องแก้มควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ทนต่อการขยับได้ดีครับ เพราะเป็นบริเวณที่มีการขยับบ่อย 

  • Juvederm Ultra Plus เนื้อนิ่มและฟูมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องแก้มลึก
  • Juvederm Voluma เนื้อแน่นและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เติมเต็มร่องลึกได้
  • Juvederm Volift เนื้อนิ่มมีความละเอียดมาก เหมาะสำหรับคนผิวบาง
  • Juvederm Volux เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดร่องแก้มชั้นลึก
  • Restylane Volyme เนื้อนิ่มปานกลาง และความยืดหยุ่นสูงมาก เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม
  • Belotero Intense เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นดี ช่วยฟื้นฟูและเพิ่ม volume ของชั้นผิว
  • Definisse Restore เนื้อนิ่ม มีความแน่นปานกลาง เหมาะกับการเติมริ้วรอยร่องลึก

ฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้กี่ cc ?

สำหรับปัญหาร่องแก้มลึก จะใช้ฟิลเลอร์ 2-4 CC ครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามีร่องแก้มลึกมากแค่ไหน 


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม อยู่ได้นานไหม ?

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม อยู่ได้นานไหม ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ครับ สำหรับร่องแก้มจะอยู่ได้ประมาณ 12-24 เดือน ทั้งนี้การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ก็มีผลต่ออายุของฟิลเลอร์เช่นกันครับ


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไร ?

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อและรุ่นที่ใช้ครับ สำหรับที่ V Square Clinic ราคาฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเริ่มที่ 9,900.-/1CC

  • Juvederm 11,000-18,000.-
  • Restylane 14,000.-
  • Belotero 9,900.-
  • Definisse 15,000.-

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกี่วันถึงจะเห็นผล ?

หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีครับ จากร่องลึกก็จะตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น เห็นผลเต็มที่ 100% ใน 2 สัปดาห์


ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ไหนดี

  • คลินิกได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณะสุข แสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักชัดเจน
  • แพทย์ที่อยู่ประจำคลินิก สามารถนำรายชื่อไปตรวจสอบได้ว่าเป็นแพทย์จริง ในเว็บไซต์ของแพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/  มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
  • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ ทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอ
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ว่าเป็นของแท้ 
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หมอมีการแกะกล่องใหม่ให้ดูก่อนฉีดทุกครั้ง
  • มีการนัดติดตามผลหลังทำทุกเคส และมีช่องทางติดต่อที่สะดวก สามารถสอบถามหรือปรึกษากับแพทย์ได้โดยตรง เช่น เบอร์โทร Line@ Facebook Messenge

ปัญหาที่อาจจะเกิดหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นก้อน เกิดได้ทั้งจากการฉีดฟิลเลอร์แท้ และฟิลเลอร์ปลอมครับ ถ้าใช้ฟิลเลอร์แท้ สาเหตุจะมาจากเทคนิคการฉีดของแพทย์ หรือการเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม สามารถแก้ไขด้วยการฉีดสลายได้ แต่ถ้าเป็นฟิลเลอร์ปลอม จะมีอาการบวม เป็นก้อนแข็ง และอาจจะไหลย้อย ต้องแก้ด้วยการผ่าตัดขูดออกครับ
  • ฟิลเลอร์สลายเร็ว อาจเกิดจากการดูแลตัวเองหลังฉีดครับ มีพฤติกรรมทำร้ายผิว ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น แต่ก็สามารถกลับมาฉีดฟิลเลอร์เพิ่มได้ใหม่ ไม่อันตรายครับ
  • ฉีดแล้วร่องลึก แก้มย้อยกว่าเดิม เกิดจากการใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้องของแพทย์ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เช่น ฉีดฟิลเลอร์ในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม หรือในจุดที่ไม่เหมาะสม ฉีดโดนกล้ามเนื้อ ทำให้ฟิลเลอร์ถูกดึงมากองเป็นก้อน แก้มดูย้อยกว่าเดิมได้

รีวิว ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มรีวิว ก่อน-หลัง เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ใบหน้าดูเด็กลงอย่างชัดเจน

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม


สรุป

ปัญหาร่องแก้ม เป็นจุดที่หลายคนกังวลเวลามีปัญหาร่องลึกครับ เนื่องจากพอมีแล้วจะทำให้ใบหน้าดูมีอายุขึ้นมาก แต่การแก้ปัญหาหมอก็จะต้องดูว่า แต่ละเคสเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมากแค่ไหน มีปัญหาจากอะไร เพราะบางครั้งร่องแก้มลึกก็เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน ต้องเลือกและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติครับ

ร้อยไหม คืออะไร อันตรายหรือไม่ ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?

0
ร้อยไหม

ร้อยไหม

ร้อยไหม

ร้อยไหม เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่นิยมคือการร้อยไหมดึงหน้า ร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว หลังทำเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที หมอจะใช้เข็มนำเส้นไหมละลาย ปัจจุบันนิยมใช้ไหมก้างปลาที่มีเงี่ยง สอดลงในชั้นผิวหนัง ผิวจะถูกเงี่ยงเกี่ยวขึ้นตามทิศทางที่ร้อยไหมเข้าไป จึงสามารถยกหน้า ยกแก้มที่หย่อนคล้อยได้ทันทีครับ   

ร้อยไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

  • ร้อยไหมหน้าเรียว ช่วยปรับรูปหน้ายกกระชับ 
  • ร้อยไหมจมูก ช่วยยกดั้งโด่ง ดีดปลายพุ่ง 
  • ร้อยไหม Foxy Eyes ช่วยแก้ตาตก ยกหางตาเฉี่ยว 
  • ร้อยไหม ช่วยลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว

การร้อยไหม ช่วยทำให้ใบหน้าที่หย่อนคล้อยมีความกระชับ ริ้วรอยแลดูจางลง ดูอ่อนเยาว์ ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ใบหน้าได้สัดส่วน หลังทำเห็นผลชัดเจนทันทีครับ ถ้าคนไข้มีผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ และไม่อยากผ่าตัด การร้อยไหม เป็นวิธีที่แพทย์แนะนำ

ขั้นตอนการร้อยไหมร้อยไหมยกกระชับหน้าเรียว

เส้นไหมที่ร้อยเข้าไป จะช่วยประคองผิวหรือยกพยุงผิวคล้ายเส้นเอ็นบนใบหน้า และช่วยกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ และยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนัง ทำให้หน้าใสขึ้น 

ล้วยังสามารถร้อยไหมจมูก เสริมจมูกโด่งโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือร้อยไหม Foxy Eyes แก้ปัญหาหนังตาตก ดึงหางตาให้ยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูคมและมีเสน่ห์มากขึ้นได้ด้วยครับ   

การร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง ?

ร้อยไหม จะเหมาะกับผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อย แก้มห้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่มักจะเกิดกับคนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากจำนวนอิลาสตินในชั้นผิวลดน้อยลง หรือผู้ที่ยังมีอายุไม่เยอะ แต่รูปหน้ามีความหย่อนคล้อย ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน ไม่มีมิติ ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น ก็สามารถร้อยไหมได้เช่นกัน

หมอจะต้องประเมินปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ก่อนครับ กรณีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก ๆ และมีการยุบของผิวตามวัย การร้อยไหมเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยลดความหย่อนคล้อยได้ทั้งหมด สามารถร้อยไหมร่วมกับทำหัตถการอื่น ๆ เช่น โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์ หรือ กลุ่มเครื่องยกกระชับ เช่น Hifu Ultraformer lll, Ulthera SPT เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ

หมอประเมินใบหน้าหมอประเมินปัญหาและสภาพผิว

ร้อยไหม อันตรายไหม ?

ร้อยไหมไม่อันตรายครับ หากมีการเตรียมตัวที่ดี หาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกร้อยไหมที่ได้มาตรฐาน ร้อยไหมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งรู้เทคนิคการร้อยไหม จุดดึงไหมที่ถูกต้อง เลือกใช้เข็ม และชนิดเส้นไหม 

ซึ่งต้องเป็นไหมละลายที่ผ่านการรับรองจากอย. ละลายหมด 100% ไม่มีสารตกค้าง ถึงจะมั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย 

ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม ที่ควรรู้ ?

ผลข้างเคียงหลังร้อยไหม เช่น อาการบวม หรือเขียวช้ำ ถือเป็นเรื่องปกติครับ เพราะในขั้นตอนการร้อยไหมหมอจะต้องใช้เข็มนำเส้นไหมแทงเข้าไปใต้ผิวหนัง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการบวมช้ำหลังทำค่อนข้างสูง ทั้งจากการฉีดยาชา และเลือดที่ออกใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจจะบวมมากขึ้นในช่วง 3-4 วันแรก แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองใน 7-14 วัน 

ส่วนผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ไหมทะลุ ไหมขาด เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ติดเชื้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากการร้อยไหมโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้เทคนิค ดึงไหมตึงเกินไป หรือใช้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งพบได้ในเคสที่ร้อยไหมกับหมอเถื่อน คลินิกเถื่อนครับ 

ข้อห้ามในการร้อยไหม มีอะไรบ้าง ?

สำหรับผู้ที่อยากร้อยไหม ควรเช็กความพร้อมของตนเอง เพราะการร้อยไหมมีข้อห้ามในคนบางกลุ่ม ก่อนร้อยไหมหมอจะมีการสอบถามหรือซักประวัติคนไข้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่อยู่ในข้อห้ามเหล่านี้ เช่น  

  • มีภาวะอักเสบติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะร้อยไหม
  • เคยมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัสดุเส้นไหมที่วินิจฉัยว่าแพ้โดยแพทย์, อาการข้างเคียง (Side Effect) อื่น ๆ ไม่ได้ถือว่าเป็นการแพ้ (Allergy)
  • มีประวัติแพ้ยาชา (ถ้าคนไข้ไม่เคยฉีดยาชาทำฟันมาก่อน ควรแจ้งแพทย์เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ยาชา)
  • มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorder) แพทย์จะพิจารณาตามดุลยพินิจ
  • อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (กรณีให้นมบุตรควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ดูแลก่อนทำ) 

ร้อยไหมแล้วหน้าบวม 14 วัน เกิดจากอะไร ?

โดยปกติอาการบวมหลังร้อยไหม จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองใน 7-14 วัน ซึ่งการยุบบวมเร็ว-ช้า ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ แต่ถ้าหากคนไข้มีอาการบวมนาน 14 วัน อาจเกิดได้จากสาเหตุ ดังนี้

  • เนื้อแก้มเยอะ หรือดึงไหมเยอะเกินไป คนที่แก้มเยอะแล้วอยากร้อยไหมให้หน้าเรียวเร็ว ๆ หรือร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ดึงไหมเยอะเกินจนเนื้อแก้มไปกองด้านบนของใบหน้า จะทำให้ดูเหมือนหน้าบวมได้ครับ ในกรณีนี้จะบวมนานเกิน 1 เดือน ต้องรอให้ไหมเริ่มคลาย 2-3 เดือน อาการถึงจะเริ่มดีขึ้น 
  • ดึงไหมผิดแนว ปกติการร้อยไหมจะเน้นแก้ไขความหย่อนของแก้มในบริเวณใกล้ ๆ มุมปาก ร้อยไหมกรอบหน้ามากกว่าครับ ถ้าร้อยไหมเพื่อดึงร่องแก้ม จะทำให้โหนกแก้มเนื้อเยอะขึ้นและทำให้หน้าดูบวมได้ 
  • อักเสบติดเชื้อ ปกติหลังร้อยไหม 3-4 วันแรกจะบวมมากขึ้น จากนั้นอาการบวมจะเริ่มยุบลงจนเข้าที่ใน 14 วัน แต่ถ้าหลังจาก 4 วันแล้วยังบวมแดงมากขึ้น ปวดมากขึ้น ให้รีบกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินและรับยากินเพิ่ม
  • บวมเลือด มีเลือดออกในชั้นผิว (hematoma) และบวมน้ำ มีน้ำคั่งในชั้นผิวจากการอักเสบ (edema) ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะยุบหายไปเองในระยะ 2-3 อาทิตย์ ไม่มีอันตราย หากเลือกใช้เข็มร้อยไหมที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการบวมเลือดและบวมน้ำได้ครับ  

เข็มร้อยไหมแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร ?

ในการร้อยไหม จะมีการใช้เข็มลักษณะต่าง ๆ เพื่อนำเส้นไหมเข้าสู่ชั้นผิว โดยเข็มแต่ละแบบจะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป 

เข็มที่ใช้ร้อยไหม(เข็ม L, เข็มทู่, เข็มตัด, เข็มแหลม)

  • เข็มแหลม จะตัดผ่านเนื้อคล้ายการใช้มีดคม ๆ ตัด เจ็บน้อยกว่า บวมน้ำน้อยกว่าบวมเลือด โดยเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่โดนตัดผ่านจะสมานได้ไวกว่าการใช้เข็มทู่ แต่ถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่ก็มีโอกาสบวมเลือดได้ การใช้เข็มแหลมจึงต้องอาศัยประสบการณ์และความระมัดระวังของแพทย์สูง
  • เข็มทู่ มีโอกาสเกิดการบวมน้ำได้ครับ เข็มจะผ่านเนื้อโดยการฉีกออกคล้ายการใช้มีดทื่อ ๆ ตัด เจ็บมากกว่าเข็มแหลม สามารถหลบเส้นเลือดใหญ่ ๆ ได้ แต่ถ้าโดนเส้นเลือดเล็ก ๆ ก็ยังขาดอยู่ดีครับ เข็มทู่ที่ใช้ร้อยไหมจะใหญ่กว่าเข็มทู่ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ จึงมีอาการบวมช้ำเยอะกว่า
  • เข็มตัด เป็นเข็มกึ่งแหลม กึ่งทู่ ปลายเข็มมีลักษณะคล้ายหลอด มีความคมแต่ไม่ได้แหลมเท่าเข็มแหลม
  • เข็ม L เป็นการพัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้น ส่วนปลายของเข็มจะแหลมกว่าเข็มตัด สามารถช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้

เข็มแต่ละแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หมอจะต้องประเมินว่าเข็มแบบไหนเหมาะกับเคสไหน เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิวหรือมีพังผืดเยอะ ก็จะเหมาะกับเข็มแหลมมากกว่า ที่ V Square Clinic มีเข็มทุกแบบให้หมอเลือกใช้ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนครับ

ทำไมร้อยไหม 3-4 เดือน ก็คลายแล้ว ?

ระยะเวลาที่ไหมสามารถดึงผิวไว้ได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพผิวของแต่ละบุคคล ในเคสที่รู้สึกว่าผิวหน้าเริ่มหย่อน ไม่ตึงเหมือนตอนที่ร้อยไหมในช่วงแรก หลัก ๆ เกิดจาก 3 ปัจจัย 

  • อิลาสตินที่มีอยู่เดิมในผิว เส้นไหมจะมีเงี่ยงคล้ายตะขอเกี่ยวผิวให้ดึงขึ้นตามแนวเส้นไหมที่ร้อยเข้าไป แต่ถ้าหากผิวของคนไข้เสื่อมสภาพ เงี่ยงที่เกี่ยวผิวก็จะเกาะอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่มีหลักให้ยึด เลยทำให้ไหมคลายก่อนที่ไหมจะละลายครับ 
  • อิลาสตินที่สร้างขึ้นมาใหม่ การร้อยไหมช่วยกระตุ้นการสร้างอิลาสตินได้ แม้ว่าเส้นไหมจะละลายไปแล้ว เช่น ในคนที่อายุเยอะ แม้ว่าผิวจะขาดอิลาสติน แต่ถ้าร้อยไหมเพิ่มหลาย ๆ ครั้งก็จะช่วยให้อยู่ได้นานขึ้นตามอิลาสตินใหม่ที่สร้างขึ้น    
  • อายุของเส้นไหม ไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและอายุของเส้นไหมที่แตกต่างกัน ถ้าร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ใช้เส้นไหมที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่เหมาะกับปัญหาของคนไข้ ก็ทำให้ไหมคลายเร็ว ไหมขาดได้ครับ   

ร้อยไหมอะไรดีที่สุด ?

เส้นไหมที่ใช้ร้อยไหมมีให้เลือกหลายชนิด ซึ่งถ้าแยกตามวัสดุไหมละลายที่นิยม คือ PDO (Polydioxanone), PLLA  (Polylactate) และ PCL (Polycaprolactone) ทั้ง 3 ชนิดผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผล แต่ละชนิดจะแตกต่างกันที่ขนาดของเส้นไหม คุณภาพไหม ราคา รวมถึงระยะเวลาอยู่ได้นาน 

ปัจจุบันไหม PCL+PLLA เป็นเส้นไหมที่ดีที่สุดและนิยมใช้มากที่สุดครับ เพราะมีการพัฒนาโดยการนำจุดเด่นของไหม PCL มาผสมกับจุดเด่นของไหม PLLA  ซึ่งที่ V Square Clinic จะเลือกใช้เส้นไหมที่ดีที่สุดเท่านั้นครับ

ร้อยไหมอะไรดีที่สุด ร้อยไหมแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร 

ข้อปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง ร้อยไหม เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

ก่อนร้อยไหม 

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินใบหน้าและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน 
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา วิตามินและยาที่ทานประจำ (ก่อนร้อยไหมควรงดยาและวิตามิน เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ginseng และ Vitamin E)
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมงก่อนร้อยไหม 
  • ทางคลินิกจะมีการฉีดยาชาให้ทุกเคสก่อนร้อยไหม เนื่องจากต้องใช้เข็มแทงลงไปใต้ผิวหนังชั้นลึก จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาครับ

หลังร้อยไหม 

  • 3 ชั่วโมง รอยเข็มที่ร้อยไหมโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ ได้
  • 6 ชั่วโมง ยาชาเริ่มหายบวม ถ้าจุดไหนยังบวมมาก สามารถประคบเย็นเบา ๆ ได้ ไม่ควรกดแรง
  • 24 ชั่วโมง เริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น หากต้องการเห็นผลชัดเจนขึ้น ต้องรอประมาณ 14 วัน ถึงจะยุบบวมเต็มที่ 
  • 48 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง ของดิบ แอลกอฮอล์ หรือของแสลง รวมถึงการสัมผัสความร้อน เช่น เข้าซาวน่า หรือออกแดด จะช่วยให้ยุบบวมได้ไวขึ้น
  • 3 วัน อาการปวดบวมแดงช้ำจะเริ่มดีขึ้นและลดลง หากอาการมีแนวโน้มแย่ลงให้ติดต่อคลินิกเพื่อขอรับยากินเพิ่ม สามารถขยับใบหน้าได้เกือบเท่าปกติ เพราะไหมเข้าที่แล้วประมาณ 90% แต่ยังไม่ควรกดนวดแรง ๆ
  • 7-10 วัน รอยเขียวช้ำอาจจะยังมีอยู่ และจะค่อย ๆ จางลงใน 14 วัน ไม่ควรประคบร้อน
  • 14 วัน อาการบวมหายเกือบ 100% สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ กินอาหารได้ปกติ และพยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
  • 1 เดือน ร้อยไหมดึงหน้า ไม่ควรอ้าปากกว้าง ๆ เช่น อ้าปากทำฟัน หรือแปรงฟันแรง ๆ

ร้อยไหมแต่ละชนิด ราคาเท่าไหร่ ?

ไหมแต่ละชนิด ราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละคลินิก โปรโมชั่นในช่วงนั้น ๆ จำนวนเส้นไหมที่ใช้ รวมถึงเทคนิคการร้อยและประสบการณ์ของแพทย์ 

ที่ V Square Clinic ร้อยไหมราคา เริ่มต้นที่ 8,900 บาท ก่อนร้อยไหม หมอจะทำการประเมินอย่างละเอียดในแต่ละเคสครับว่าไหมชนิดไหนเหมาะกับคนไข้ ต้องใช้ไหมกี่เส้น เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับงบประมาณและความต้องการครับ 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า

รีวิวร้อยไหม แก้ปัญหาแก้มเยอะ หน้ากลม ช่วยยกกระชับให้หน้าเรียว

ร้อยไหมหน้าเรียว ถ่ายรูปท่าไหนก็มั่นใจทุกมุม ใบหน้า V Shape

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

สรุป ร้อยไหม

การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกความงาม ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อย เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ใบหน้าเข้ารูปดูเป็นธรรมชาติ 

การเลือกคลินิก เลือกหมอสำคัญครับ คลินิกต้องได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ช่วยลดอาการบวมช้ำ ใบหน้าเข้าที่เร็วครับ

ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

0
Thermage

Thermage

Thermage

Thermage หรือ เทอมาร์จ เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยสลายไขมันได้ นิยมทำบริเวณแก้มและเหนียง เพื่อยกหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้าครับ 

ในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ การทำ Thermage มาแนะนำอย่างละเอียด เช่น การทำ Thermage คืออะไร ?  ช่วยอะไรบ้าง ? หากต้องการทำ มีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร ? การทำหน้าเทอมาจเหมาะกับใคร รวมถึง ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ต่างจากการดูดไขมัน – Hifu – Ulthera อย่างไร ? คุ้มค่าหรือไม่ ? กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ? หลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?  และที่สำคัญ คือ Thermage แท้ดูอย่างไร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยครับ


Thermage คืออะไร ?

Thermage คือ เครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับผิว สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจน ด้วยการยิงคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ลงไปในชั้นผิวหนัง โดยสามารถส่งพลังความร้อนจากคลื่นได้ตั้งแต่ผิวชั้นบนหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) จนถึงชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous) ซึ่งอยู่ลึกสุดของโครงสร้างผิว จึงสามารถยกกระชับหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทำหน้าเทอมาจ

โดยความร้อนจะไปทำให้ผิวเกิดการหดตัว ลดเนื้อไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแน่นกระชับขึ้นได้ในระยะยาว 

ที่สำคัญคือ เครื่องThermage ได้ผ่านการรับรองให้เป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีความปลอดภัยสูง โดยเครื่อง Thermage FLX เป็นเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด (2018) ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สามารถปล่อยพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ  มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ ในขณะที่ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก ตัวเครื่องจะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สบายผิว และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิว Burn รวมทั้งมีระบบสั่น Vibration ที่ทำให้รู้สึกสบายมากยิ่งขึ้นขณะทำครับ


Thermage ช่วยอะไรบ้าง ?

Thermage FLX  มีหัวยิงหลายแบบ จึงสามารถช่วยดูแลผิวได้หลายเรื่อง ดังนี้ 

  • ช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง กรอบหน้าชัดขึ้น 
  • ช่วยลดไขมันสะสม บริเวณแก้ม ใต้คาง และลำคอ
  • ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเนียนขึ้น แน่นกระชับ
  • ช่วยลดปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น 

Thermage มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

ข้อดี 

  1. ช่วยให้หน้ากระชับได้รูป ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอย
  2. ช่วยสลายไขมันบริเวณใบหน้า เหนียง
  3. สามารถทำได้ทั้งใบหน้า ลำคอ และลำตัว
  4. หลังทำไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  5. ช่วยให้ผิวตึงกระชับขึ้น เห็นผลชัดเจนตั้งแต่เดือนที่ 2 ขึ้นไป
  6. สามารถคงผลลัพธ์ยาวนาน 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแล)

ข้อเสีย 

  1. หลังทำอาจเกิดมีรอยแดง แต่สามารถหายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง 
  2. หากแพทย์ผู้ทำไม่ชำนาญ หรือนำเครื่องปลอมไม่มีคุณภาพมาใช้ อาจเกิดผิวไหม้ เพราะใช้พลังงานสูง หรือ ใบหน้าเบี้ยว เพราะการส่งพลังงานไปกระทบกับเส้นประสาทบนใบหน้า

Thermage เหมาะกับใคร ?

การทำเทอร์มาจ เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณใบหน้าเยอะ  คนที่หน้าอ้วน มีไขมันบริเวณแก้ม หรือคนที่มีเหนียงใต้คาง ต้องให้มีกรอบหน้า รวมถึงผู้ที่มีอายุผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยย่น ผิวขาดคอลลาเจน รวมถึงผู้ที่มีไขมันกองในบริเวณคาง หรือที่เราเรียกกันว่ามีเหนียง ก็เหมาะกับการทำเทอร์มาจ ครับ


Thermage ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Thermage FLX สามารถใช้ได้หลายส่วนในร่างกายทั้งหน้าและลำตัว (ต้นแขน, หลังมือ, หน้าท้อง, สะโพก) ครับ แต่บริเวณที่ได้รับความนิยมและเห็นผลลัพธ์หลังทำชัดเจน คือ 

  • ใบหน้า  : สามารถยกกระชับได้ทั่วหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีแก้มห้อย 
  • คอ : สามารถยกกระชับผิวบริเวณลำคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย 
  • เหนียง : ช่วยลดเหนียง กระชับผิวใต้คางหย่อนคล้อย ให้มีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น และใบหน้าเรียวกระชับ

นอกจากนี้ยังสามารถ ทำรอบดวงตา หรือ Thermage ตา ได้เช่นกัน ช่วยให้ผิวรอบดวงตาที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ดูดีขึ้น รวมถึงสามารถทำเพื่อยกคิ้วให้ได้รูป แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และผิวเปลือกตาที่มีรอยย่นได้ด้วย โดย Thermage FLX สามารถช่วยลดเนื้อไขมัน ปรับผิวให้ตึงกระชับมากขึ้น กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น เพิ่ม skin quality (ผิวเด็ก) ริ้วรอย และรูขุมขนเล็กลงได้ครับ


Thermage รีวิว

ตัวอย่างรีวิวการทำ Thermage รุ่น FLX


ขั้นตอนการทำ Thermage เป็นอย่างไร ?

การทำ Thermage มีขั้นตอนในการทำง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่มี​รอยแผล เริ่มจาก

  • เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าคนไข้ แปะยาชาก่อนทำประมาณ 30 นาที
  • แพทย์ออกแบบตำแหน่งในการยกกระชับผิว
  • เริ่มการทำ Thermage ใช้ระยะเวลาไม่นาน ประมาณ 40-90 นาที
  • แพทย์ยิงพลังงานความร้อนลงชั้นผิวในบริเวณที่ต้องการ
  • ระหว่างทำจะใช้ระบบสั่นและระบบปล่อยความเย็นที่หัวเครื่องมือ ทำให้คนไข้รู้สึกสบาย ลดความเจ็บปวด
  • ทำจนครบตามจำนวน shot คือ 450 หรือ 900 shot
  • หลังทำเห็นผลทันที 20% 

ทั้งนี้ ในขั้นตอนระหว่างทำ Thermage แพทย์ผู้ทำจะสอบถามความรู้สึกร้อนของคนไข้เป็นระยะ ๆ ครับ เพื่อปรับค่าพลังงานให้เหมาะสม โดยแบ่งระดับความรู้สึกตั้งแต่ 0-4 ระดับ

  • ระดับ 0-1 รู้สึกผิวสั่นอย่างเดียว แต่ไม่อุ่น = การรักษาจะได้ผลที่ต้องการน้อย
  • ระดับ 2-2.5 ร้อนในระดับที่ทนได้ = ให้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่ต้องการ
  • ระดับ 3-4 ร้อนมากเกินไป = ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าระดับอื่น แต่อาจทำให้บาดเจ็บหรือเกิดผลข้างเคียงบ้างในบางรายที่ผิวแพ้ง่าย

Thermage กับ ดูดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน ?

จริงๆ แล้วการทำ Thermage กับ ดูดไขมัน มีเป้าหมายการทำที่ต่างกันครับ 

  • การทำ Thermage คือเน้นเรื่องการยกกระชับ แต่สามารถสลายไขมันได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีไขมันไม่มาก 
  • การดูดไขมัน คือการกำจัดไขมันโดยเฉพาะด้วยการทำให้ไขมันแตกตัวและดูดออก เหมาะกับผู้ที่มีไขมันจำนวนมาก 

หากถามว่า Thermage กับ ดูดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน ก็ต้องกลับไปที่ปัญหาของคนไข้แต่ละรายครับ ถึงจะเลือกหัตถการที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลได้ 


การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Thermage

ก่อนทำ 

  • เตรียมผิวให้พร้อมด้วยการทาครีมบำรุงผิว หรือการทำทรีตเมนต์
  • รับประทานอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้กับผิว
  • นอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
  • 1 สัปดาห์ก่อนทำ งดรับประทานยาและวิตามินที่ทำทำให้เลือดออกง่าย
  • งดการสูบบุหรี่
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ

หลังทำ 

  • หลังทำ Thermage สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
  • สามารถใช้ครีมบำรุง หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • เน้นทาครีมบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
  • เน้นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการโดดแดดจัด ๆ หลังทำประมาณ 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น สตีม ซาวน่า 2 อาทิตย์
  • งดทำทรีทเมนต์/เลเซอร์ร้อน/RF ลงผิวชั้นลึก ประมาณ 1 เดือน

ทำ Thermage กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ?

สำหรับ Thermage รุ่น FLX หลังทำสามารถเห็นผลหลังทำ 20 % และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ 2-3 เดือน และเห็นผลยาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการบำรุงผิวแต่ละบุคคล


วิธีสังเกต Thermage แท้

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีเครื่องThermage ปลอมเข้ามาในคลินิกความงามครับ เพราะเครื่อง Thermage แท้ราคาค่อนข้างสูง จึงมีการพยายามทำเครื่องปลอมที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นเครื่อง Thermage มาใช้ดูแลคนไข้ หรือ ทำเครื่องปลอมที่มีรูปลักษณ์หน้าตาเหมือนกับเครื่อง Thermage ของจริง แต่คุณภาพไม่ได้และเป็นอันตรายต่อผิว 

สำหรับผู้ที่ต้องการทำ Thermage ก่อนทำต้องมั่นใจว่าเป็นเครื่องแท้ ได้มาตรฐานโดยมี มีข้อสังเกต ดังนี้

  • มีสติกเกอร์เครื่องแท้ติดอยู่หน้าคลินิก
  • มีโล่ และประกาศนียบัตร ที่ออกโดย SOLTA MEDICAL
  • มีสติกเกอร์เครื่องแท้ ติดไว้ด้านหน้าตัวเครื่อง

สาระน่ารู้ : ปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการปลอมในรูปแบบเครื่อง Thermage จริง แต่ใช้หัวปลอม ก็มีครับ โดยในขั้นตอนการทำจริง ๆ หัวยิง Thermage FLX จะใช้แล้วทิ้งครับ คือ 1 หัวจะยิงได้ 900 shot เท่านั้น ดังนั้นทุกหัวยิงมีราคาต้นทุน กรณีที่พบการโฆษณาการทำไม่จำกัดซ็อต หรือยิงแบบบุฟเฟ่ต์ จึงเป็นไปไม่ได้ เสี่ยงเจอเครื่องปลอมแน่นอนครับ


Thermage – Ulthera – Hifu ต่างกันอย่างไร ?

Hifu Ulthera และ Thermage จะส่งพลังงานลงไปในใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน 45-70°C ในช่วงระยะเวลาหนึ่งทั้งหมด โดยแตกต่างกันที่ขนาดของจุดที่ focus ครับ

Hifu Ulthera และ Thermage

  • Hifu macrofocus หรือ Hifu Ultraformer III เป็นจุดขนาด 0.5-1 mm พลังงานคงที่ คล้าย ๆ จุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว ทำให้เกิดการหดของเนื้อเยื่อตามทิศทางของเส้น หมอสามารถจะออกแบบ Vector ในการยิง สามารถยิงเรียงเป็นเส้นตรงเพื่อยกกระชับผิวตามแนวที่ต้องการ
  • Ulthera เป็นจุดขนาด 1 mm ยิงลงลึกถึงใต้ผิวหนังชั้น smas (ชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า) ได้ผลแม่นยำ ตรงจุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ต้องการยกกระชับผิว ให้ดูอ่อนเยาว์ และปรับรูปหน้าให้มีกรอบหน้าชัด และผิวเรียบเนียน
  • Thermage เป็นก้อนความร้อนขนาด 3-16 cm2 พลังงานจะครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าแบบจุด มีจุดเด่นในการลดชั้นไขมันที่ใบหน้า ผิวแน่นกระชับขึ้น และเพิ่ม Skin Quality (ผิวเด็ก) เหมาะสำหรับคนที่ทนความเจ็บได้ในระดับสูงจึงจะคุ้มค่าในการทำ

มีการเปรียบเทียบกันอยู่บ่อย ๆ ครับ สำหรับ 3 เครื่องนี้ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับผิวได้เหมือนกัน แล้วเครื่องไหนดีกว่ากัน? หมอสรุปอย่างนี้ครับว่า เนื่องจากแต่ละเครื่องมือจะมีจุดเด่นพิเศษเฉพาะตัว ที่ให้ผลลัพธ์การรักษาที่แตกต่างกัน

ก่อนอื่นแพทย์จะต้องประเมินปัญหา สภาพผิวหน้า ความต้องการของคนไข้ รวมถึงงบประมาณ ก่อนเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีครับ


Thermage ราคา

Thermage มีหลายราคาครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละเคส ถ้าหากต้องทำหลาย shot ราคาก็จะสูงขึ้นตามจำนวน shot ไปด้วยครับ แต่โดยทั่วไป ในผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ลดแก้มลดเหนียงจะใช้ประมาณ 450 shot ราคาเฉลี่ยอยู่ ประมาณ 30,000.- ครับ


ทำ Thermage ที่ไหนดี ?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • ตรวจสอบว่าเครื่อง Thermage ที่ใช้เป็นของแท้ ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ แพทย์แกะหัวใหม่ให้ดูก่อนทำ

  • ทำ Thermage กับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น ผ่านการอบรมการใช้เครื่องมือ สามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับปัญหาของคนไข้และแก้ไขได้อย่างตรงจุด
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นแพทย์จริง โดยนำชื่อ-นามสกุล เช็กได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา (https://checkmd.tmc.or.th/)
  • คลินิกมีรีวิวทำ Thermage ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ ทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอ

สรุป

การทำ Thermage ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในยกกระชับและฟื้นฟูผิว สามารถสลายไขมันได้ เหมาะกับการยกกระชับหน้า ลดแก้มและลดเหนียง ช่วยใบหน้าเข้ารูป มีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น รวมถึงช่วยทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวแน่นกระชับขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยลดลง และคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี เป็นอีกหนึ่งหัตถการดูแลรูปหน้าและผิวพรรณที่มีความคุ้มค่า และปลอดภัย แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำภายใต้ คลินิกที่ได้มาตรฐาน ทีมแพทย์มีประสบการณ์ และใช้เครื่องมือทันสมัย Thermage เครื่องแท้ เท่านั้น

ฉีดโบท็อก คืออะไร ? ต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ? เหมาะกับใคร ? บทความนี้มีคำตอบ

0
โบท็อก

โบท็อก

การฉีดโบท็อกคือวิธีลดริ้วรอยที่ได้รับความนิยม และเป็นหัตถการความงามที่หลายคนเลือกทำเป็นอันดับแรก ๆ ครับ เราสามารถเริ่มฉีดโบท็อกได้ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือช่วงที่เริ่มมีริ้วรอย จะช่วยให้ผิวเต่งตึง ลดการพับของผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อนาคตได้ครับ

ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า โบท็อกต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ช่วยอะไรบ้าง ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?  และต้องใช้กี่ unit ราคาเท่าไร ยี่ห้อไหนดี  ระยะเวลาว่าหลังฉีดแล้วกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม โบท็อกแท้ดูอย่างไร ? 

รวมถึงหากมีแพ้โบท็อก ดื้อโบท็อก ทำอย่างไร  ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ก่อน – หลังฉีดดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อยู่ได้นานที่สุด 


โบท็อก

ริ้วรอยเป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับริ้วรอยบนใบหน้า มักจะเกิดจากการที่เมื่อเราแสดงสีหน้า กล้ามเนื้อจะมีการหดตัวและคลายออก ทำให้เห็นเป็นสีหน้าต่าง ๆ เช่น เวลายิ้ม เวลาโกรธ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ สูญเสียอีลาสติน คอลลาเจน ผิวแห้งและไม่มีความยืดหยุ่น ก็จะส่งผลให้เวลาแสดงสีหน้า ผิวเกิดรอยยับ รอยย่น หากปล่อยทิ้งไว้ริ้วรอยเหล่านี้ก็จะลึกขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

การฉีดโบท็อก ตัวยาจะเข้าไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) โดยจับกับสารสื่อประสาทเพื่อยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณ ลดการหลั่งสารอะเซติลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งจะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกิดการหดตัว ผิวชั้นบนก็จะไม่พับลงตามเวลาเราแสดงสีหน้า ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะจางลงไป ผิวหน้ากลับมาเต่งตึง


โบท็อก คือ การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย จริงไหม ?

โบท็อกไม่ใช่สารพิษครับ Botox เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งจริง ๆ มีหลายชนิด แต่ตัวที่นำมาใช้ในการเสริมความงามคือ Botulinum Toxin Type A ฉีดแล้วมีความปลอดภัย ผ่านการวิจัยพัฒนา ทำให้ได้ตัวยาที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สามารถใช้ได้ทั้งการฉีดเพื่อความงาม และฉีดเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ  

การออกฤทธิ์ของโบท็อก

โบท็อกเป็นโปรตีนในน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ ส่วนที่ 1 จะถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ประสาทและออกฤทธิ์ ส่วนที่ 2 จะไม่ถูกดูดซึมและปลิวออกไปตามกระแสเลือด และขับออกจากร่างกาย


จริง ๆ แล้ว โบท็อก คืออะไร ช่วยอะไรกันแน่ ?

โบท็อกซ์ (Botox) เมื่อฉีดไปแล้วตัวยาจะทำงานกับระบบประสาท มีการออกฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ หมายความว่าสามารถออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อได้ทุกจุดที่ฉีดในร่างกายครับ ไม่จำเป็นต้องใช้กับการลดริ้วรอยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หมอสรุปประโยชน์ของโบท็อกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย
  • ฉีดโบท็อกเพื่อปรับรูปหน้า ลดกราม 
  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดกล้ามแขน น่องขา
  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อ (รวมถึงภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรักแร้)
  • ฉีดโบท็อกเพื่อรักษาโรคทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ เช่น ไมเกรน ปวดต้นคอหรือหลัง (Office  Syndrome) ตากระตุก หน้ากระตุก ปากเบี้ยว คอบิด หรือภาวะการกัดฟัน 

Filler กับ Botox กับความเข้าใจที่ผิด ๆ

หลายคนอาจเข้าใจว่าฟิลเลอร์กับโบท็อก ใช้ลดริ้วรอยได้เหมือน ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้ว ประเภทของริ้วรอยที่เหมาะกับแต่ละหัตถการ และจุดประสงค์ในการฉีดต่างกันครับ

โบท็อก  เหมาะฉีดลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า (Dynamic line) เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยตีนกา ริ้วรอยหางตา และสามารถฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ เช่น ลดกราม ลดกล้ามแขน น่อง

ฟิลเลอร์ : เหมาะฉีดลดริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสีย elastin, collagen, hyaluronic acid (Static line) หรือ ริ้วรอยที่เกิดจากการที่โครงสร้างผิวทรุดตัว ทำให้เกิดเป็นร่องลึก ผิวหนังหย่อนคล้อย เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก และยังนิยมใช้ฉีดปรับรูปหน้า เสริมคาง หน้าผาก ปาก ขมับ 

ทั้งนี้หากต้องการปรับรูปหน้าและลดริ้วรอย ไม่จำเป็นต้องเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถทำทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกร่วมกันได้ จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ


ฉีดโบท็อก อันตรายไหม ? 

การฉีดโบท็อกไม่อันตรายครับ หากฉีดโบท็อกในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ และใช้ตัวยาแท้ นำเข้าอย่างถูกต้อง แต่ก็จะมีข้อห้ามสำหรับคนที่โรคประจำตัวซึ่งส่งผลต่อการฉีดโบท็อก ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน
  • ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ เช่น amyotrophic lateral sclerosis (ALS) /Lou Gehrig’s disease / myasthenia gravis / Lambert-Eaton syndrome
  • ผู้ที่กำลังมีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก

ดังนั้นก่อนฉีดโบท็อก ที่คลินิกก็จะมีการสอบถามประวัติ โรคประจำตัว และยาที่รับประทานประจำ เพื่อประเมินว่าสามารถฉีดโบท็อกได้หรือไม่

ฉีดโบท็อก อันตรายไหม


โบท็อกปลอม ดื้อโบท็อก อันตรายกว่าที่คิด ?

ขอแยกเป็น 2 กรณีครับ 1. โบท็อกปลอม อันนี้แปลว่าเป็นตัวยาที่ไม่ใช่ Botulinum Toxin เช่น ฉีดน้ำเกลือให้ แต่หลอกว่าเป็นโบท็อก ซึ่งก็จะไม่เห็นผลครับ หากกรณีร้ายแรงที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของสารที่นำมาฉีด ก็อาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้ เช่น อักเสบ ติดเชื้อ 

กรณีที่ 2. โบท็อกหิ้ว หลายคนยังคิดว่าก็คงเหมือน ๆ กับโบท็อกทั่วไป คือเป็นโบท็อกแท้ แต่ลักลอบนำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะไม่ผ่านการตรวจสอบจากอย. ไม่รู้ที่มาที่ไปของสารประกอบที่อยู่ในตัวยา นอกจากนี้การนำเข้าโดยแอบเอาใส่กระเป๋าเดินทางมาทำให้ไม่ได้เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ตัวยาเสื่อมคุณภาพ เห็นผลไม่เต็มที่หรืออยู่ได้สั้นลง ต้องฉีดบ่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงการดื้อโบท็อกได้ครับ

ผลจากการฉีดโบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว ที่ไม่ได้มาตรฐาน

  • ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เช่น กรามไม่เล็กลง ริ้วรอยไม่หายไป 
  • ตัวยาออกฤทธิ์น้อย หมดฤทธิ์ไว
  • ตัวยากระจายโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ทำให้หนังตาตก ปากเบี้ยว
  • ความไม่บริสุทธิของตัวยา ทำให้เสี่ยงต่อการแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ
  • ต้องฉีดโบท็อกบ่อยขึ้น เสี่ยงต่อการดื้อโบท็อก (อาการดื้อโบท็อก ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา)

ดื้อโบท็อก


วิธีตรวจสอบยาโบท็อกของแท้ แต่ละยี่ห้อ ?

  • โบท็อกแท้ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน หมอต้องแกะกล่องใหม่ผสมยาให้ดูต่อหน้า
  • มีตัวหนังสือภาษาไทยแสดงเลขที่อย. มีวันผลิตและวันหมดอายุที่กล่องกับขวดตรงกัน
  • มีข้อมูลระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใด สามารถตรวจสอบชื่อคลินิกกับบริษัทนำเข้าได้

ฉีดโบท็อก ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

ฉีดโบท็อก ตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ Unit

การฉีดโบท็อกหลัก ๆ ที่นิยมจะเป็นการฉีดลดริ้วรอยบนใบหน้า และปรับรูปหน้าลดกรามครับ ส่วนอื่น ๆ จะเป็นเรื่องของการฉีดเพื่อลดเหงื่อ ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง แขน รวมถึงฤทธิ์ของโบท็อกยังช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน หรือออฟฟิศซินโดรมได้ด้วยครับ


โบท็อก ยี่ห้อไหนดี ?

โบท็อกแต่ละยี่ห้อ จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีการผลิตครับ หมอจะประเมินและแนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละคน 

โบท็อกอเมริกา (Allergan)

มีงานวิจัยรับรองยาวนานที่สุด (3,500 งานวิจัย since 1989) จุดเด่นคือมีการพัฒนามาเพื่อทำให้เกิดโอกาสดื้อโบท็อกน้อยที่สุด และผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ โบท็อกยี่ห้อ Allergan ยาจะกระจายตัวแคบที่สุด หมอสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้แม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีที่สุด

โบท็อกเกาหลี (Nabota/Astox/Neuronox)

Nabota Botox ได้รับความนิยมมากในประเทศไทยครับ เป็นโบท็อกเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจาก อย.อเมริกา (U.S.FDA approved 2018) จุดเด่นคือเน้นพัฒนาให้ตัวยาออกฤทธิ์ไว เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลโบท็อกแบบเร่งด่วน

Aestox เป็นโบท็อกที่พยายามพัฒนาให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์ไว แต่คงผลลัพธ์ได้สั้นกว่าโบท็อกยี่ห้ออื่นเล็กน้อย แต่ราคาไม่สูงเท่า เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลไว และมีงบประมาณจำกัด

Neuronox เป็นโบท็อกที่ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ยากระจายตัวแคบ ฉีดแล้วเห็นผลดี และลดโอกาสของการดื้อยาได้ ถือว่าเป็นโบท็อกเกาหลี ที่แพทย์และคลินิกความงามทั่วประเทศให้การยอมรับถึงประสิทธิภาพ มีงานวิจัยรองรับ ในราคาที่เข้าถึงได้

โบท็อกอังกฤษ (Dysport)

โบท็อก Dysport จุดเด่นคือยากระจายได้อย่างทั่วถึง ไม่กระจุกเป็นจุดแคบ ๆ เหมาะกับการฉีดลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ลดต้นแขน ลดน่อง ที่มีพื้นที่กว้าง และเหมาะกับการฉีดโบท็อกด้วยเทคนิค dermolift เพื่อยกกระชับหน้า 

ในการฉีด Dysport ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีความระมัดระวังสูงในการฉีด เพราะยากระจายตัวกว้าง หากแพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ยากระจายตัวไปโดนกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ ทำให้ตาตก ปากเบี้ยวหรือยิ้มไม่สุด

โบท็อกเยอรมัน (Xeomin)

จะเน้นพัฒนาโดยเอาข้อดีของ Allergan และ Dysport มารวมกัน โดยคุณสมบัติต่าง ๆ จะอยู่กึ่งกลางระหว่างอเมริกากับอังกฤษครับ ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงและไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ฉีดแล้วหน้าไม่ดูแข็งตึง นอกจากนี้คือมีงานวิจัยแสดงว่า Xeomin ได้ผลดีในเคสที่ดื้อโบท็อก ฉีดแล้วได้ผล (โดยที่เคสนั้น ๆ ต้องหยุดการฉีดโบท็อกมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี)


ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ให้เห็นผลและปลอดภัยพิจารณาอะไรบ้าง ?

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐานตาม ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีป้ายชื่อสถานพยาบาล เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และแสดงใบอนุญาตอย่างชัดเจน สังเกตได้ง่าย
  • เป็นแพทย์จริง สามารถนำชื่อ-นามสกุล เข้าไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ของแพทยสภาได้ และมีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก 
  • มีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ เช่น Facebook Review, Pantip
  • ใช้โบท็อกแท้ ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ ก่อนฉีดหมอแกะกล่องใหม่ ผสมยาให้ดูต่อหน้า
  • มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยสามารถปรึกษาหมอได้โดยตรง และมีการแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก

โบท็อก ราคา

โบท็อก ราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อโบท็อกที่เลือกใช้ ปริมาณโบท็อกที่ใช้ และจุดที่ฉีดครับ ถ้าเป็นโบท็อกฝั่งอเมริกา ยุโรป ก็จะมีราคาสูงกว่าโบท็อกเกาหลี 

ส่วนปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขครับ เช่น ลดกรามหน้าเรียว ราคาจะอยู่ที่ 6,999/100 U หรือ ฉีดลดริ้วรอยทั่วหน้า ปรับหน้าเรียว ราคาจะอยู่ที่ 9,000/100 U แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ช่วยประเมินและเลือกยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสมกับปัญหารวมถึงงบประมาณของแต่ละคนครับ


ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม กี่เดือนต้องฉีดซ้ำ ?

ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล

  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 3-4 วัน คนไข้จะรู้สึกตึง ๆ ที่หน้า และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ 
  • หลังฉีดโบลิฟท์กรอบหน้า เหนียง คอ โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 3-4 วัน ผิวจะเริ่มตึงกระชับขึ้น และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์
  • หลังฉีดโบลดกราม โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 14 วัน คนไข้จะรู้สึกว่ากรามเริ่มนิ่ม และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน

โบท็อกจะอยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน (ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคนร่วมด้วย) หากผลของโบท็อกเริ่มคลาย สามารถฉีดเพิ่มได้ครับ แต่ไม่ควรฉีดถี่เกินไป ขั้นต่ำควรเว้น 3 เดือน และไม่เว้นระยะห่างนานเกินไป (เกิน 5-6 เดือน) เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานปกติ และอาจจะต้องใช้ยูนิตของโบท็อกเยอะขึ้นในการฉีดเพื่อให้เห็นผล


สำคัญ ! ห้ามทำหลังฉีดโบท็อก

หลังฉีดโบท็อก

  • หลังฉีดโบท็อกควรงดนอนราบ 3 ชม. งดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่หน้าเยอะขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้โบท็อกย่อยสลายไว คือความร้อน และการไหลเวียนของเลือด (Metabolism)
  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก งดสูบบุหรี่
  • งดอาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า ผลไม้ดอง
  • งดอาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง หรือต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ

ทั้งนี้แนะนำให้งดในช่วง 2 สัปดาห์แรกสำคัญที่สุดครับ เพื่อให้ตัวยาได้ออกฤทธิ์เต็มที่ หลังจากนั้นข้อห้ามเหล่านี้ก็อาจส่งผลบ้าง แต่ไม่มาก คนไข้ที่มีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ร้อนที่ต้องทำเป็นประจำ ควรทำมาก่อนฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดจะต้องงดไป 2 สัปดาห์ จึงจะทำต่อได้ครับ


ผลข้างเคียง ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

  • ปริมาณโบท็อกซ์ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
  • ฉีดโบท็อกไม่ถูกตำแหน่ง อาจทำให้โบท็อกไปโดนกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ ทำให้ตาตก ปากเบี้ยว หน้าไม่เท่ากัน
  • ฉีดโบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว ไม่เห็นผล หรืออยู่ได้สั้นลง เสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกมากขึ้น และอาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายตามมา เช่น แพ้ อักเสบ ติดเชื้อ
  • ฉีดโบท็อกกับหมอกระเป๋า หรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้เพียงพอ ห้องทำหัตถการไม่สะอาด ห้ามฉีดเด็ดขาด

หากฉีดโบท็อกแท้ แล้วมีผลข้างเคียงที่เกิดการเทคนิคการฉีด เช่น ตาตก ปากเบี้ยว จริง ๆ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ตัวยาจะหมดฤทธิ์ ใบหน้าก็จะกลับมาเป็นปกติครับ หรือจะเร่งการสลายด้วยการใช้ความร้อนช่วยก็ได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อให้ประเมินและแก้ไขเป็นรายบุคคล


โบท็อก VS ร้อยไหม VS เมโสแฟต VS เครื่องยกกระชับ เปรียบเทียบกันชัด ๆ

  • โบท็อก VS ร้อยไหม : การร้อยไหมจะช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ แก้มย้อย แก้มห้อย เป็นปัญหามาจากโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อยลงตามอายุที่มากขึ้น โบท็อกจะช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ และกระชับผิวเล็กน้อยเท่านั้นครับ
  • โบท็อก VS เมโสแฟต : ทั้งสองหัตถการมีจุดประสงค์ในการใช้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ โบท็อกช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อ ส่วนเมโสแฟตจะเป็นการฉีดเพื่อลดไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง
  • โบท็อก VS เครื่องยกกระชับ : เครื่องมือยกกระชับ เช่น Hifu Ulthera Thermage จะเป็นการใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุ ส่งพลังงานไปใต้ผิวเพื่อให้เกิดความร้อน เนื้อเยื่อจะหดตัวและยกกระชับขึ้น เป็นการแก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิวจากชั้นลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวคุณภาพดีขึ้น ต่างจากโบท็อกที่แก้ปัญหาริ้วรอยจากกล้ามเนื้อครับ

แต่ละหัตถการจะใช้ลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าจากปัญหาที่ต่างกันครับ แต่จริง ๆ แล้วสามารถทำหัตถการร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ต้องอยู่ในการดูแลและพิจารณาลำดับหัตถการของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยนะครับ


ฉีดโบท็อก คือทางออกสำหรับใครบ้าง ?

การฉีดโบท็อกเป็นทางออกสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย หรือต้องการปรับรูปหน้า โดยที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ถือว่าเป็นหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่าง และเป็นเบสิคในการเสริมความงามที่หลาย ๆ คนเลือกทำเป็นอย่างแรก ๆ มีความปลอดภัยและผลข้างเคียงน้อย หลังฉีดโบท็อกสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ


สรุป

สำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอย การฉีดโบท็อกตั้งแต่อายุน้อย จะช่วยรักษาคุณภาพของผิวไว้ได้ด้วยครับ เพราะเมื่อผิวไม่เกิดการพับบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ในจุดเดิม ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น ช่วยยืดเวลาในการเกิดริ้วรอยออกไปได้ รวมถึงยังเป็นหัตถการที่แก้ปัญหาได้หลากหลาย สามารถปรับรูปหน้าเรียว ลดกราม หรือปรับลดขนาดกล้ามเนื้อในจุดต่าง ๆ ให้เรียวสวยขึ้นได้

ทั้งนี้การฉีดโบท็อก ไม่ใช่ว่าจะฉีดกับใครก็ได้ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อกแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยมากที่สุดครับ

Hifu คืออะไร ช่วยอะไรบ้าง ? เปรียบเทียบ Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร ?

0
hifu

hifu


Hifu 

หนึ่งในนวัตกรรมยกกระชับผิวที่ทำแล้วเห็นผลลัพธ์ชัดเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด คือการทำ Hifu ครับ เพราะพลังงานของเครื่องที่ยิงลงไป สามารถลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS ที่เป็นผิวหนังชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า หลังทำผิวที่หย่อนคล้อยจะดูยกกระชับ และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้ครับ

สำหรับใครที่ต้องการกระชับผิวพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำการทำ Hifu ครับ Hifu คืออะไร ? ช่วยอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ? นิยมทำตำแหน่งไหน ใช้กี่ช็อต/ไลน์ ? hifu มีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร กี่วันเห็นผล ? เปรียบเทียบ HIfu กับหัตถการอื่น ๆ 


Hifu คืออะไร ?

กระบวนการทำงานของ hifu

Hifu (Hight intensity focus ultrasound) คือเครื่องมือยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงยิงลงไปในชั้นผิวแต่ละชั้นเพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว คล้ายกับการผ่าตัดดึงหน้า หลังทำผิวจะดูยกกระชับ ริ้วรอยลดลง ช่วยลดเหนียง ลดแก้มห้อย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้

Hifu/ไฮฟู่  ปัจจุบันมีออกมาจำหน่ายหลายยี่ห้อครับ ยี่ห้อที่ดีและได้รับความนิยมที่สุดคือ Ulthera ซึ่งเป็นเครื่อง Original ของ Hifu รองลงมาคือ Ultraformer III และเครื่อง hifu อื่น ๆ เช่น Exilis Elite, Smazlift, Sygmalift, Lifthera และ Contlex แต่ละยี่ห้อจะมีเทคโนโลยีที่ต่างกันไปตามเกรดของคุณภาพครับ ซึ่งในบทความนี้หมอจะกล่าวถึง Hifu ยี่ห้อ Ultraformer III เป็นหลักครับ


เครื่อง Hifu Ultraformer III คือ ?

Ultraformer III คืออะไร

Hifu Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ระบบ Macrofocus ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถกระตุ้น Collagen ได้ในทุกชั้นผิว มีรอบพลังงานไวที่สุดเมื่อเทียบกับ Hifu ยี่ห้ออื่น ๆ ตามท้องตลาด มีความปลอดภัยสูง สามารถใช้พลังงานได้สูงเต็มที่โดยไม่ทำร้ายผิวหนัง และผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะมีความแน่นขึ้น กระชับขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผิวยกกระชับ   รูขุมขนดีขึ้น ผิวเนียนนุ่มขึ้น หน้าเรียบเนียนใสและอ่อนเยาว์ครับ


Hifu ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิว 
  • ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้คิ้วยกขึ้น 
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก รวมถึงริ้วรอยรอบดวงตา 
  • ช่วยปรับหน้าเรียว V-shape เก็บกรอบหน้า ลดเหนียง ลดคาง 2 ชั้น 
  • ช่วยกระชับต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย 
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว คงความอ่อนเยาว์ ลดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้างในเวลาเดียวกัน

Hifu เหมาะกับใคร ?

  • คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ แก้มตก แก้มห้อย หน้าไม่ได้รูป
  • คนที่มีริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ริ้วรอยมุมปาก ร่องน้ำหมาก 
  • คนที่มีเหนียงใต้คาง มีคางสองชั้น ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย มีกรอบหน้าชัดขึ้น
  • คนที่ต้องการปรับรูปหน้า แต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น 
  • คนที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว คงความอ่อนเยาว์

Hifu มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

  • เป็นคลื่นอัลตราซาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก ไม่เกิดผิวไหม้
  • มีหลายหัวยิงให้เลือกใช้ ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว ผลลัพธ์แม่นยำ ตรงจุด
  • มีหัวยิงพิเศษ Cherry Pink ที่เป็นหัวใหม่ล่าสุด สามารถยิงลงลึกถึง 2.0 mm และมีรูปทรงหัวยิงที่เล็ก เรียว บาง ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอยทั่วใบหน้า ยกคิ้ว ยกหนังตาตก แก้ปัญหาร่องแก้ม
  • เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม เพราะไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด สามารถแก้ปัญหาผิว ใบหน้าหย่อนคล้อยได้แม่นยำ ตรงจุด
  • ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ลดแก้ม ลดเหนียงแล้ว Hifu ยังสามารถทำในจุดอื่น ๆ ที่ต้องการให้ยกกระชับ  เช่น แก้ม, เหนียง, กรอบหน้า, ร่องแก้ม, ใต้ตา, เปลือกตาบน, หน้าผาก รวมถึงลำตัว เช่น  ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง และสะโพก 
  • หลังทำสามารถใช้หน้าได้เลย ไม่มีรอยแดง ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และมีขั้นตอนการทำไม่นาน ประมาณ 30-50 นาที
  • เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 20% และเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 5-6 เดือน สามารถมาทำเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพผิว
  • ข้อเสียพบได้น้อย ส่วนมากจะพบในคนที่ใช้เครื่องปลอม เครื่องเกรดต่ำ ทำ Hifu กับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ไม่มีประสบการณ์การใช้เครื่อง

ทำ Hifu ตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ช็อต/ไลน์ ?

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 line
  • แก้ม และ เหนียง ประมาณ 300 line
  • ใต้ตา และ ร่องแก้ม ประมาณ 300 line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 700 line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 line 

การทำ Hifu ถ้าเลือกใช้จำนวนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา ใช้น้อยเกินไป อาจทำให้เห็นผลลัพธ์ไม่ชัดเจนและอยู่ได้สั้นลง หรือในเคสที่มีเนื้อแก้มน้อย แก้มตอบ แต่มีร่องแก้มลึก หากใช้จำนวนช็อตเยอะก็จะยิ่งทำให้แก้มดูตอบกว่าเดิม


Hifu รีวิว

รีวิว ทำ Hifu Ultraformer III ก่อน-หลังทำ

hifu รีวิวhifu รีวิว

รีวิว hifu ยกกระชับผิว ย้อนวัย

รีวิว Hifuยกกระชับหน้าหย่อนคล้อย คงความอ่อนเยาว์


ทำ Hifu กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

โดยทั่วไปการทำ Hifu จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน และสามารถมีระยะเวลาถึง 1 ปี ถ้าใช้ค่าพลังงานที่สูง ขึ้นอยู่กับคนไข้สามารถทนเจ็บได้หรือไม่ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังทำ หากดูแลตามคำแนะนำของหมอ ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานขึ้นครับ


ทำ Hifu เจ็บไหม  มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

การทำ Hifu เจ็บครับ แต่อยู่ในระดับที่ทนได้ เครื่อง Hifu เกรดดี จะต้องทำแล้วเจ็บ หลังทำจึงอาจมีอาการบวมได้เป็นเรื่องปกติ แต่ได้ผลดี ผิวยกกระชับและอยู่ได้นานขึ้น เพราะหลักการทำงานของ Hifu คือจะต้องยิงคลื่นเสียงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ  SMAS เพื่อให้ผิวยกกระชับ เต่งตึงขึ้น

หากคนไข้กลัวเจ็บมาก ๆ ไม่สามารถทนเจ็บได้ก็เลือกระดับที่ทนไหว แล้วใช้ความถี่ในการทำไฮฟู่แทนก็จะได้ผลเหมือนกันครับ


การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Hifu

การดูแลตัวเอง ก่อนทำ Hifu 

การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer III ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนครับ เหมือนกับการทำทรีทเมนต์ผิวทั่วไป คนไข้สามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  • หากทำเลเซอร์เป็นประจำ ควรเว้นระยะก่อนทำ Hifu ประมาณ 2 สัปดาห์
  • หากคนไข้ฉีดโบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม มาก่อน ควรเว้นระยะก่อนทำ Hifu อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ผิวฟื้นฟูเต็มที่
  • สามารถทำทรีทเม้นท์บำรุงผิวก่อนการทำ Hifu ได้
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ 3-7 วัน
  • สำหรับผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโรคเริม หรือมีปัญหาติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการทำ

การดูแลตัวเอง หลังทำ Hifu 

  • สามารถทาครีมบำรุงได้ตามปกติ และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า spf สูง เพื่อป้องกันแสงแดดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • หากคนไข้มีอาการผิวตึง ปวดบริเวณใบหน้า สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงการออกแดด 1-2 สัปดาห์ เพื่อฟื้นฟูให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
  • ไม่ควรนวด กด หรือถูกบริเวณใบหน้าแรง ๆ 
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เพราะอาจทำให้กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจน ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อันไหนดีกว่ากัน ?

Hifu กับ Botox ทั้งคู่เป็นหัตถการที่หวังผลในเรื่องลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียวได้เหมือนกันครับ แต่มีข้อแตกต่างกันในเรื่องหลักการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย รวมไปถึงระยะเวลาเห็นผล

  • Hifu จะทำงานด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ส่งลงไปในชั้นผิวหนัง โดยคลื่นจะมีลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง ซึ่งคลื่นนี้จะไปทำให้ชั้นไขมันและชั้น SMAS เกิดการหดตัวด้วยความร้อน 60°C-70°C โดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้ หลักการคล้าย ๆ กับเนื้อที่เราวางลงบนกระทะร้อน ๆ เนื้อจะหดครับ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง และช่วยปรับรูปหน้าเรียววีเชฟได้
  • โบท็อกซ์ (Botox) จะเป็นการฉีดตัวยา “Botulinum Toxin A” เข้าไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์จับกับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว ผิวบริเวณนั้นจึงขยับได้น้อยลง และไม่เกิดการพับ จึงช่วยลดริ้วรอยได้ ในคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อก็สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้กรามเล็กลง หน้าดูเรียวขึ้นครับ 

สรุปแล้ว Hifu กับ Botox อันไหนดีกว่ากัน ? คำตอบ คือดีทั้งคู่ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้มีปัญหาอะไรและต้องการแก้อย่างไร เช่น คนไข้มีปัญหาริ้วรอยที่ไม่ลึกมากตรงบริเวณหน้าผาก หางตา การฉีดโบท็อกอย่างเดียวก็เพียงพอครับ แต่ในเคสที่ดื้อโบท็อก ก็สามารถใช้ Hifu เพื่อช่วยในการลดริ้วรอยได้

ทั้งนี้รวมไปถึงความคุ้มค่าอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย เช่น งบประมาณ จำนวนครั้งที่ต้องทำ ระยะเวลาเห็นผลซึ่งต้องวิเคราะห์เป็นรายบุคคลครับ


เปรียบเทียบ Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี ?

Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร

Hifu Thermage และ Ulthera เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิวเหมือนกันครับ แต่จะมีความต่างกันที่หลักการทำงาน ขนาดของจุดที่ focus และระดับพลังงานที่ลงลึกในชั้นผิว ซึ่งจะมีผลต่อผลลัพธ์หลังทำ หมอจะอธิบายความแตกต่างของทั้ง 3 เครื่องแบบเข้าใจง่าย ดังนี้ครับ

Hifu กับ Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับที่มีหลักการทำงานเหมือนกันครับ ทั้งการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ระดับพลังงานที่ลงลึกได้ถึงผิวชั้น smas และเด่นเรื่องยกกระชับ ยกแก้ม ลดความหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน แต่มีความต่างกันเล็กน้อยตรงที่ Ulthera มีขนาดจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ 1 mm. ในขณะที่ Hifu มีขนาดจุดโฟกัส 0.5-1 mm. และ Ulthera จะมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงผ่านหน้าจอเครื่องแบบ Real Time 

ส่วน Thermage จะเป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) มีขนาดจุดโฟกัสที่ 3-4 cm2 ลงลึกจากผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน พลังงานที่ปล่อยออกมาจะส่งผ่านความร้อนแบบ Column ทำให้สามารถสร้างความร้อนใต้ผิวหนังได้ลึกและทั่วถึงมากกว่าเครื่องมืออื่น ๆ จึงเด่นในการช่วยสลายไขมันสะสม 

สรุป Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร ? ความต่างในด้านผลลัพธ์การยกกระชับ ทำให้หน้ายก แก้มยก Hifu กับ Ulthera จะทำได้ดีกว่า Thermage ครับ เพราะพลังงานที่ยิงจะเป็นเส้นตรงเรียงกัน จึงสามารถยกกระชับผิวในทิศทางของเส้นที่ยิงได้ แต่ Thermage พลังงานเป็นวงกว้าง ครอบคลุมทั้งชั้นผิว ทิศทางพลังงานไม่ชัดเจน จึงเด่นในเรื่องลดไขมัน และช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม แต่การยกกระชับทำได้ไม่ดีเท่า Hifu กับ Ulthera 

สรุป Ultraformer III vs Ulthera vs Thermage เครื่องไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? ถ้าคนไข้มีงบประมาณปานกลาง ทนเจ็บได้ระดับปานกลาง หมอแนะนำเป็น Hifu แต่ถ้ามีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกหน่อย และอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นเป็นปี ทนเจ็บได้มากกว่า หมอจะแนะนำ Ulthera ส่วนใครที่สามารถทนเจ็บไหว การทำ Thermage เหมาะสมครับ ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำด้วยครับ


Hifu ราคาเท่าไหร ?

Hifu ราคาเริ่มต้นที่ 3,999.-/100 ไลน์ครับ นอกจากนี้ราคายังขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์ร่วมด้วยครับ

คนไข้ที่เจอโปรโมชั่น Hifu ราคาถูก หรือเป็นแบบไฮฟู่บุฟเฟ่ต์ ไม่จำกัดจำนวนซ็อตแล้วรู้สึกคุ้มค่า แต่บางทีไฮฟู่ราคาถูกก็อาจไม่ได้ดีเสมอไปครับ เพราะหัวที่ใช้ยิง hifu ย่อมมีต้นทุนตามจำนวน line ที่ใช้ยิง เช่น ต้องทิ้งแล้วเปลี่ยนหัวใหม่เมื่อยิงครบ 20,000 line ดังนั้น หากเป็นหัวยิงคุณภาพดี เป็นไม่ได้เลยที่จะมีราคาถูกมากครับ


ทำ Hifu ที่ไหนดี ?

ทำ Hifu ที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบการให้ประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดไว้ในบริเวณที่ที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจน 
  • ใช้เครื่อง Ultraformer III แท้ มีคุณภาพ 
  • ควรทำ Hifu กับแพทย์มีประสบการณ์ สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมตรงจุด มีความรู้และเทคนิคในการใช้เครื่อง hifu 
  • มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลคนไข้ในภายหลัง และมีการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวทั้ง ก่อน – หลังทำไฮฟู่ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คนไข้เข้าใจเป็นอย่างดี 
  • คลินิกควรมีช่องทางไว้สำหรับติดต่อได้สะดวก โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line@ คนไข้จะได้สามารถสอบถามข้อสงสัยกับคุณหมอที่ทำเคสของตนเองได้โดยตรงอย่างทันการณ์

สรุป

Hifu Ultraformer III เป็นนวัตกรรมความงามที่ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว ลดริ้วรอยแห่งวัย และเพิ่มความกระชับให้กับบริเวณผิวหน้าได้อย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ ชะลอการเกิดริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับ

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? รู้ข้อดี-ข้อเสียก่อนฉีดปรับรูปหน้า

0
ฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีลดร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกเสริมความงาม 

เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์มากขึ้น ฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงไหม ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? เจ็บไหม ? ใช้กี่ CC ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ต่างจากฉีดไขมันอย่างไร ? ฟิลเลอร์แท้-ปลอม ดูอย่างไร ? ยี่ห้อไหนดี ? หมอตอบทุกข้อสงสัยในบทความนี้ครับ 


ฟิลเลอร์ คืออะไร ? 

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA Filler ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทดแทนคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเกิดร่องลึก ริ้วรอย รวมทั้งความหย่อนคล้อย โดยฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ

Filler คืออะไร ? ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกควรรู้


ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก จากการที่กระดูกยุบตัว เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก 
  • ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น ขมับตอบ ปากไม่เท่ากัน 
  • ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง 
  • ผู้ที่มีหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ช่วยรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น โดยไม่ทิ้งรอยแผล 

ฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ช่วยลดริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้สวยงามสมส่วน โดย Filler จะเข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต   

ฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง

หลังฉีดฟิลเลอร์ เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที

ฟิลเลอร์ ข้อดี 

  • เห็นผลเร็ว หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 
  • ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น 
  • สามารถใช้หน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 
  • ขั้นตอนสะดวก ใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที 
  • ฟิลเลอร์สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง
  • หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถฉีดสลายออกได้ และเติมใหม่ได้   

ฟิลเลอร์ ข้อเสีย

  • หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจได้ผลลัพธ์ไม่สวยงาม เช่น ฉีดฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน   
  • ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร (แต่สามารถฉีดซ้ำหรือเติมใหม่ได้เพื่อคงผลลัพธ์)

ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน 

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการความงามที่ช่วยเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับฉีดปรับรูปหน้าด้วยวิธีอื่น เช่น ฉีดไขมันหน้าเด็ก VS ฉีดฟิลเลอร์ เลือกวิธีไหนดี ? หมอเปรียบเทียบขั้นตอนการทำ ระยะเวลาเห็นผล ระยะเวลาคงผลลัพธ์ และความคุ้มค่า เพื่อประกอบการตัดสินใจ     

  • ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA Filler ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ หลังจากแพทย์ประเมินปัญหาและสภาพผิว แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ ปริมาณ CC ที่เหมาะสม ก่อนฉีดจะมีการแปะยาชา ทำให้ขณะฉีดเจ็บน้อยหรือแทบไม่รู้สึกเจ็บ หลังฉีดครั้งแรกเห็นผลลัพธ์ทันที อาจมีอาการบวม เป็นอาการปกติ ยุบบวมและเห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน ระยะเวลาอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้   
  • ฉีดไขมัน เป็นการใช้ไขมันของตัวเองมาฉีด ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ โดยจะดูดไขมันจากหน้าท้องหรือต้นขา นำมาตรวจเช็กและปั่นแยกเป็นของเหลวก่อนฉีด ทำให้มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน ทำครั้งแรกผลลัพธ์อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก ต้องทำซ้ำหลายครั้ง เจ็บตัวหลายครั้ง และอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียนเสมอกันได้      

ฟิลเลอร์ ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? 

การฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะฉีดบริเวณที่มีปัญหาร่องลึก ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า มี 7 จุด ที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน  

ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์เติมเติมเต็มขมับยุบ ขมับตอบ

  1. ฟิลเลอร์ใต้ตา เติมเต็มร่องลึก ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูเด็กลง  
  2. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม  แก้ปัญหาร่องแก้มลึก เติมเต็มร่องริ้วรอย ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  3. ฟิลเลอร์แก้มส้ม เติมเต็มแก้มส่วนบนให้ยกกระชับ ดูมีมิติ หน้าดูเด็กลง 
  4. ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน เสริมโหงวเฮ้ง 
  5. ฟิลเลอร์ขมับ แก้ปัญหาขมับลึก ขมับตอบ เติมเต็มใบหน้าให้มีมิติ 
  6. ฟิลเลอร์ปาก ปรับรูปทรงปาก ช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น 
  7. ฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย วีเชฟ แก้คางสั้น คางตัด คางถอย 

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังสามารถฉีดในตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ยกหน้า ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก ฟิลเลอร์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกมุมปาก ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว (Skinbooster) ฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์มือ ฟิลเลอร์หลุมสิว ได้ด้วยครับ 


ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละตำแหน่ง ใช้กี่ CC ? 

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 3-5 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง 1-2 CC

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่งจะใช้ปริมาณ CC ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ หมอจะต้องประเมินก่อน โดยดูจากความลึกของผิวที่ต้องการเติมเต็ม ลักษณะโครงสร้างใบหน้า กรณีปัญหาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูก ปริมาณ CC ที่เหมาะสม ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยครับ


รีวิว ฉีดฟิลเลอร์ 

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์(2)

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์คาง

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์(1)

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

แก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา ร่องแก้มลึก หน้าหย่อนคล้อย ด้วยฟิลเลอร์

 ฉีดฟิลเลอร์ แก้ไขใต้ตาดำ หน้าผากยุบ


ฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? อยู่ได้กี่เดือน ? 

หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ เห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน (2 อาทิตย์) ต้องรอให้ฟิลเลอร์ยุบบวมก่อนครับ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 

ฟิลเลอร์จะไม่อยู่ถาวรครับ สามารถสลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมทั้งการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ตามคำแนะนำของแพทย์ หลังฟิลเลอร์สลายสามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ครับ  


การดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง ฉีดฟิลเลอร์

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 

  • ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกหมอที่มีประสบการณ์ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้ 
  • งดยาและวิตามินบางชนิด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. John’s Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng และ Vitamin E
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว ดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้รับประทานยาห้ามเลือด หรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ

หลังฉีดฟิลเลอร์ 

  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา และกดนวดในตำแหน่งที่ฉีด 
  • อาจมีอาการบวมเป็นปกติ จะค่อย ๆ ยุบบวมใน 5-7 วัน (คลินิกจะจ่ายยาแก้ปวดลดบวมให้)
  • หากก่อนฉีดฟิลเลอร์ ไม่ได้รับประทานยาฆ่าเชื้อ หลังฉีดฟิลเลอร์ควรรีบรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
  • อยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง 
  • งดเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 1 เดือน
  • งดรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อการอักเสบ และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ ปิ้งย่าง ชาบู อาหารหมักดอง อาหารรสจัด อาหารดิบหรือปรุงไม่สุก 
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า และส่งผลการรักษาอยู่ได้สั้นลง 

ฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ จะมีในเรื่องของอาการบวม ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย เป็นปกติครับที่หลังฉีด-3 วัน จะมีอาการบวมมากขึ้น แต่จะค่อย ๆ ยุบบวมลงใน 5-7 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน 

นอกจากฟิลเลอร์ที่ใช้ ประสบการณ์ เทคนิคของแพทย์ รวมทั้งยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก็สำคัญครับ กรณีฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมเป็นก้อน เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ โดยตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม  


อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม และการฉีดสลายฟิลเลอร์ 

การฉีดฟิลเลอร์ปลอม จำพวกซิลิโคนเหลว พาราฟิน จะไม่สลายตามธรรมชาติ และส่งผลเสียในระยะยาวครับ รวมถึงการใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมประสิทธิภาพ ฉีดแล้วไม่เห็นผล หรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ฟิลเลอร์เน่า อักเสบติดเชื้อ ฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ไหลย้อยผิดทิศทาง หรือเกิดการอุดตันในเส้นเลือด เสี่ยงเนื้อตายและตาบอด  

ฟิลเลอร์ปลอม ไม่สามารถฉีดสลายได้ครับ ต้องขูดฟิลเลอร์ออก ถ้าโดนเส้นประสาทอาจให้ใบหน้าผิดรูปได้ หรือในกรณีฟิลเลอร์ปลอมเป็นก้อนขนาดใหญ่ และแข็ง ต้องผ่าตัดออก ซึ่งต้องทำโดยศัลยแพทย์เท่านั้น ถ้าฉีดฟิลเลอร์มานานจนเป็นพังผืดเกาะ ก็จะไม่สามารถเอาออกได้ทั้งหมด


วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์จึงต้องมั่นใจก่อนว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นฟิลเลอร์แท้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่ต้องมาควบคู่กัน โดยสามารถตรวจสอบฟิลเลอร์ก่อนฉีด ดังนี้  

  • ฟิลเลอร์แท้ ต้องมีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาไทย
  • เลข lot ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์หรือหลอด ตรงกัน
  • สามารถนำเลข lot โทรเช็กกับบริษัทนำเข้าได้ 

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ เช็กให้ชัวร์ก่อนฉีด


ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ? 

ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมีหลายยี่ห้อครับ ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดียว ไม่สามารถฉีดได้ทุกตำแหน่ง แก้ได้ทุกปัญหา แต่ละยี่ห้อจึงมีแยกย่อยออกเป็นรุ่นต่าง ๆ ให้แพทย์เลือกใช้ โดยปัจจุบันมีฟิลเลอร์ แบรนด์ระดับโลกที่แพทย์ความงามทั่วโลกให้ความไว้วางใจหลายยี่ห้อครับ เช่น 

  • Juvederm (ฟิลเลอร์อเมริกา)
  • Restylane (ฟิลเลอร์สวีเดน) 
  • Belotero (ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์)
  • Definisse (ฟิลเลอร์อิตาลี)
  • Flore Max (ฟิลเลอร์เกาหลี)

แต่ละตำแหน่งบนใบหน้า ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ?  

แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด ผลลัพธ์ดีครับ


ฉีดฟิลเลอร์ ราคา

ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเริ่มต้น 9,900 บาท/CC สำหรับแบรนด์ฟิลเลอร์ฝั่งยุโรป แต่ถ้าคนไข้มีงบประมาณไม่มาก ก็สามารถเลือกใช้แบรนด์ฟิลเลอร์เกาหลี ซึ่งจะมีราคาที่ถูกลงครับ โดยคลินิกส่วนใหญ่จะมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อ หลายรุ่น ให้แพทย์เลือกใช้ และคนไข้ได้เลือกตามงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีการจัดโปรโมชัน ส่วนลด หรือรูดผ่อน 0% กับบัตรเครดิต ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ราคาคุ้มค่ามากขึ้น  


ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? 

เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? ไม่ควรเลือกจากราคาเพียงอย่างเดียวครับ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา เช่น มาตรฐานของคลินิก ประสบการณ์แพทย์ ฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมทั้งรีวิวจากคนไข้ที่ใช้บริการ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มั่นใจทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการครับ  

คลินิกฉีดฟิลเลอร์

คลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน


สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีแก้ปัญหาผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุครับ ซึ่งจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนตามธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้เกิดการยุบตัวเป็นร่องหรือเกิดริ้วรอย การฉีด Filler จะเข้าไปเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เต่งตีง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ 

สำหรับใครที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถส่งรูปหน้ามาให้แพทย์ประเมินปัญหาก่อนได้ทางออนไลน์ หรือสอบถามข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิลเลอร์ได้ หมอตอบเอง ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

รวมข้อควรรู้ก่อน ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีอย่างไร ? มีผลข้างเคียงไหม ?

0
ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

สำหรับคนที่ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้น แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์มาก ๆ ครับ เพราะสามารถปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นแบบเห็นผลชัดเจน ช่วยให้คนที่มีปัญหาคางสั้น หน้ากลม หรือมีปัญหาคางตัด คางบุ๋ม คางสองข้างไม่เท่ากัน มีรูปหน้าที่สมมาตรมากขึ้น เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน และยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนไข้ไม่ต้องการเสี่ยงกับการผ่าตัดเสริมคาง

ใครที่วางแผนปรับรูปหน้า ต้องการแก้ปัญหาคางสั้น หน้ากลม แต่ยังไม่มั่นใจว่าฉีดฟิลเลอร์คางดีไหม ? ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ? ฉีดฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี ใช้ filer กี่ cc ? หมอได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจไว้ให้แล้วในบทความนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การเสริมคางให้ยาวขึ้นด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid (HA) เข้าไปบริเวณคาง และทำการปรับตกแต่งรูปคางให้รับกับใบหน้า เป็นหนึ่งในวิธีปรับหน้าเรียววีเชฟที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ช่วยแก้ปัญหาคางต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เมื่อเวลาผ่านไปฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเรื่องอะไรบ้าง

  • แก้ปัญหาคางสั้น หน้ากลมที่เกิดจากลักษณะโครงหน้าสั้นโดยกำเนิด หรือมีกระดูกส่วนล่างของใบหน้าถอยหลุบเข้าไปด้านใน ทำให้ดูปากอูม ฟันยื่น ฟันไม่สบกัน
  • แก้ปัญหาคางตัดที่มีลักษณะคางทู่ที่มักพบในคนเอเชียที่ส่วนใหญ่จะมีกระดูกกรามใหญ่ ทำให้ใบหน้าส่วนล่างดูกว้าง 
  • แก้ปัญหาคางไม่เท่ากัน ที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีคางผิดรูป หลังฉีดคางจะสมมาตรยิ่งขึ้น
  • แก้ปัญหาคางถอยที่ใบหน้าส่วนล่างถอยเข้าไปด้านใน ทำให้สัดส่วนของใบหน้าดูไม่มีมิติ
  • แก้ปัญหาคางบุ๋มที่มีร่องตรงกลางบุ๋มลงไป ดูเป็นคลื่น ทำให้หน้าดูแข็ง 
  • ช่วยปรับโหงวเฮ้งในทางที่ดีขึ้น

ข้อดี-ข้อเสียของฟิลเลอร์คางมีอะไรบ้าง ?

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยแบบเร่งด่วน 
  • หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • ไม่มีรอยแผล รอยบวมช้ำเหมือนการผ่าตัดเสริมคาง
  • สามารถฉีดได้เรื่อย ๆ โดยไม่ทำให้เนื้อคางผิดรูป
  • หลังฉีดหากไม่ถูกใจกับผลลัพธ์ ยาวหรือสั้นเกินไปก็สามารถฉีดสลาย และฉีดเติมคางได้ปรับแก้ได้ตามความเหมาะสม
  • มีราคาถูกกว่าการผ่าตัดเสริมคาง
  • หากแพทย์ฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ฟิลเลอร์จะไม่เป็นก้อน ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น 

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ต่อการฉีด 1 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองของแต่ละคน)
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นมาก ๆ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ ไม่สามารถเสริมคางให้ยาวมากได้เท่ากับการผ่าตัด ถ้าเติมเยอะเกินไปอาจทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้

ลักษณะคางที่ดีเป็นอย่างไร ?

ลักษณะคางที่ดีเป็นอย่างไร

โหงวเฮ้งคาง (ตี่เก๊าะ) จะบ่งบอกถึง ความรู้ ความสามารถ 

ลักษณะคางที่ดี คือ คางจะต้องมีความกลมมน มีรูปคางนูนที่ไม่ใช่นูนด้วยกระดูก แต่นูนด้วยเนื้อ เป็นเครื่องหมายแสดงว่า เป็นคนมีวาสนามั่งมีทรัพย์เชื่อตัวเองมากกว่าจะเชื่อผู้อื่น สติปัญญาสูง

ลักษณะด้อย

  • คางสองชั้น : อาจจะดูเป็นคนเกียจคร้าน นิยมวัตถุมากกว่าความรับผิดชอบของตน จึงดูเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย
  • คางแหลม : ไม่ค่อยประนีประนอม มีทางเลือกหลายทางในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย
  • คางหลบ คางสั้น : ไม่ค่อยเน้นสังคม ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ มีลับลมคมใน มักขี้กังวล ลูกน้องบริวารไม่จริงใจ ทำงานรวดเร็ว ขาดความอดทน ขี้เกรงใจ

เปรียบเทียบฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง แบบไหนดีกว่ากัน ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ผ่าตัดเสริมคาง
เป็นการใช้สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปยังบริเวณคาง เพื่อเสริมคางให้ยาวขึ้น เป็นการผ่าตัดใส่ซิลิโคนสังเคราะห์เข้าไปใต้เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อเสริมคางให้ยาวขึ้น
เหมาะกับผู้ที่มีคางสั้นแต่ไม่มากเกินไป มีคางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน ใบหน้าไม่สมมาตร หรือผู้ที่อยากปรับแต่งรูปหน้า เสริมให้หน้าเรียว  เหมาะกับผู้ที่มีคางสั้นมาก ๆ ต้องการปรับรูปทรงคางให้ยาวมากกว่า 1 cm.   
หลังฉีด 3 วันอาจมีอาการบวมเล็กน้อย แต่จะยุบบวมเข้าที่ใน 7-14 วัน มีอาการบวมได้ 3-4 สัปดาห์ เข้าที่ใน 1-3 เดือน
เห็นผลทันทีหลังทำ ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เห็นผลใน 3 เดือน และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน หากดูแลแผลไม่ดี อาจเสี่ยงแผลติดเชื้อ เป็นหนอง อักเสบ
หากฉีดด้วยตัวยาแท้ สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือสามารถฉีดสลายได้ในกรณีที่ต้องการแก้ไขผลลัพธ์ และยังฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ   หากต้องการแก้ไข จะต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง และหากใช้ซิลิโคนไม่มีเกรด อาจทำให้คางเสียรูป ใบหน้าไม่เท่ากันได้

สรุปฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง แบบไหนดีกว่ากัน ? หากคนไข้ที่ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้นแบบเห็นผลเร่งด่วน ไม่มีเวลาพักฟื้น และมีรูปคางที่ไม่สั้นมาก การฉีดฟิลเลอร์จะตอบโจทย์มากกว่าครับ แต่สำหรับคนไข้ที่มีเวลาพักฟื้น และมีรูปคางที่สั้นมาก ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้นมากกว่า 1 cm. จะเหมาะกับการผ่าตัดเสริมคางครับ 

ทั้งนี้ควรพิจารณาจากปัญหาของแต่ละคน ก่อนตัดสินใจหมอแนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหาและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางอันตรายไหม ?

กล้ามเนื้อ mentalis บริเวณคาง

การฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่อันตรายครับ หากฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง แต่หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ก็จะส่งผลเสียได้ เพราะบริเวณคางจะมีกล้ามเนื้อ mentalis ซึ่งเป็นจุดที่แพทย์ต้องระวัง ถ้าฉีดฟิลเลอร์ไปโดนกล้ามเนื้อมัดนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อดึงฟิลเลอร์ให้มากองรวมกัน ทำให้คางเสียรูป ยิ้มแล้วฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์คางเจ็บไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เจ็บครับ เพราะในเนื้อฟิลเลอร์บางรุ่นจะมีการผสมยาชาไว้อยู่แล้ว ส่วนใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ ก็สามารถให้หมอแปะยาชาก่อนฉีดได้ รวมไปถึงตอนฉีดก็จะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดอาการเจ็บอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเจ็บจนทนไม่ไหวครับ

ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์คาง ?

  • คนที่มีผิวติดเชื้อ ผิวอักเสบในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สารไฮยาลูรอนิกแอซิด รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • สตรีมีครรภ์ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนฉีด
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (ASA), ยาแก้อักเสบปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (NSAIDS), ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Warfarin), วิตามินอี (Vitamin E), สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba) เป็นต้น แต่สามารถฉีดได้ในบางกรณี จึงจำเป็นต้องหยุดยาก่อนฉีด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการหยุดยา
  • กรณีที่เป็นเริม หรืองูสวัดอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้นได้ครับ

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 อาทิตย์

  • งดยาก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ibuprofen, diclofenac, ponstan เนื่องจากขณะฉีดอาจโดนเส้นเลือดได้ ส่งผลให้เลือดหยุดไหลช้าหรือช้ำง่ายกว่าปกติ 
  • งดวิตามิน St. John’s Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E 
  • งดการใช้ยาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น tretinoin, (เรตินเอ), retinols(เรตินอล), retinoids (เรตินอยด์) BHA, AHA ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน
  • งดดึงขน โกนขน หรือแวกซ์ขนในบริเวณดังกล่าวก่อนฉีด filler อย่างน้อย 3 วัน  
  • งดเลเซอร์หน้า นวดหน้า อย่างน้อย 3 วัน
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ อบซาวน่า
  • ในกรณีที่คนไข้มียาที่ต้องกินประจำ แพทย์จะพิจารณาให้ทานยาห้ามเลือดหรือยาลดบวมตามความเหมาะสมในแต่ละเคส เพื่อลดการบวมช้ำจากรอยเข็ม 
  • สามารถแต่งหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ 
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์จะมีการคลีนหน้า เพื่อแปะยาชา และรอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที

คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที สามารถยิ้มได้ปกติครับ แต่ควรงดสัมผัสบริเวณที่ฉีด เช่น กด นวด บีบ หรือขยับผิวในจุดนั้นมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ตัวฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนไปยังจุดอื่นได้
  • ห้ามเท้าคาง นอนคว่ำ นอนตะแคง และหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณคาง
  • ในช่วง 1 เดือนแรก ควรงดการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น การทำซาวน่า ตากแดด ออกกำลังกายหนัก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้เกิดการยุบบวมช้าหรืออักเสบได้
  • 2-3 คืนแรก ควรนอนหมอนสูงกว่าระดับหน้าอก งดนอนตะแคง
  • งดการทานอาหารที่ส่งผลต่อการยุบบวมของฟิลเลอร์ เป็นเวลา 14 วัน

ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้ยี่ห้อไหนดี กี่ CC ?

การฉีดฟิลเลอร์คางด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะต้องฉีดเสริมที่กระดูก ไม่ใช่เสริมที่เนื้อคาง ดังนั้นควรเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง เพื่อให้ปั้นเป็นทรงสวย ขึ้นรูปได้ง่าย สำหรับยี่ห้อที่เหมาะสม ได้แก่

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane Perlane Lyft เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน 
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งและฟูปานกลาง อุ้มน้ำได้มาก มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm Volux เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาออกมาล่าสุด เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จึงมีความยืดหยุ่นสูง ปั้นทรงสวย และคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง มีจุดเด่นในการใช้แก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติม mid-face คาง กรอบหน้า อยู่ได้นาน 18 เดือน 
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore Max เป็นฟิลเลอร์แน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง/ขมับ อยู่ได้นาน 9-12 เดือน 

สำหรับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางจะอยู่ที่ 1-2 CC โดยปกติหากไม่ได้มีปัญหาคางสั้นมาก หลังฉีด 1 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนแล้วครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-24 เดือนครับ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงหากดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์คาง ราคาเท่าไร ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ราคาเริ่มต้นที่ 7,900.-/1 cc ครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ซึ่งหากเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน มักจะมีราคาฉีดฟิลเลอร์คางที่ไม่ต่างกันมาก เพราะมีราคาต้นทุนที่ใกล้เคียงกัน อาจจะมีความต่างกันที่โปรโมชั่น ณ เวลานั้น ๆ รวมไปถึงค่าฝีมือแพทย์ 

กรณีคนไข้เจอฟิลเลอร์คางราคาถูกมาก ๆ  เบื้องต้นให้สอบถามกับทางคลินิกว่าใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร ผลิตจากประเทศใด หากทางคลินิกบ่ายเบี่ยงเป็นไปได้ว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือหมอที่ฉีดเป็นหมอกระเป๋า ไม่มีประสบการณ์ หมอแนะนำให้เลี่ยงจะดีที่สุดครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางกี่วันถึงจะเห็นผล ? 

หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 70-80% และจะเห็นผลชัดเจน ฟิลเลอร์เข้าที่ใน 14 วัน ซึ่งถ้าเทียบกับวิธีเสริมคางแบบอื่นอย่างการผ่าตัดหรือฉีดไขมัน การฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่ามากครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี

    1. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง มีป้ายชื่อสถานพยาบาลชัดเจน ตั้งอยู่ในทำเลที่น่าเชื่อถือ ไม่อับทึบ
    2. แพทย์ที่มีประสบการณ์ ในการฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถวิเคราะห์ ประเมิน และแก้ปัญหาของคนไข้ได้ตรงจุด เลือกรุ่นฟิลเลอร์ และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง (ตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/  )
    3. ใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่นำมาฉีดเป็นฟิลเลอร์แท้ คนไข้ควรศึกษาจุดสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ และควรให้แพทย์ที่ฉีดเปิดกล่องให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง
    4. ดูรีวิวที่น่าเชื่อถือ จากแหล่งที่เป็นกลาง คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง เช่น Facebook ,Pantip โดยควรดูรีวิวที่เป็นวิดีโอประกอบ ไม่ควรดูรูปภาพเพียงอย่างเดียวครับ 
    5. มีการติดตามผลและช่องทางการติดต่อที่สะดวก หลังฉีดฟิลเลอร์คาง มีการติดตามผล ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง และมีช่องทางติดต่อแพทย์เจ้าของเคสโดยตรง หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์คาง

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ จะมีอาการบวมประมาณ 3-7 วัน ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ครับ จะค่อย ๆ ยุบบวม ฟิลเลอร์จะเข้าที่ใน 2 สัปดาห์

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์คาง

รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง แก้ไขปัญหาคางสั้น  l มั่นใจไปกับ V Square Clinic

รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง 1 CC ที่ V Square Clinic

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นวิธีเสริมคางยาว ปรับรูปหน้าให้เรียววีเชฟที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนครับ ซึ่งถ้าหากฉีดด้วยเทคนิคการเสริมกระดูก จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดเสริมคาง แต่มีข้อดีกว่า คือ สามารถปรับแต่งทรงคางได้ตามต้องการ และเมื่อสลายไปก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่ทำให้เนื้อคางผิดรูปครับ