Home Blog

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

0
ตาสองชั้น

ในปัจจุบันเทรนด์ทำศัลยกรรมตาหรือตาสองชั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เพราะนอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยละมุน ส่งผลทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อีกด้วย 

แต่ก่อนทำตาสองชั้นก็จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ เทคนิคการทำตาสองชั้น เนื่องจากการทำตาสองชั้นแต่ละเทคนิคก็จะมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน และนั่นก็อาจจะส่งผลต่อผลลัพธ์หลังทำด้วย สำหรับผู้ที่กำลังมองหาเทคนิคทำตาสองชั้นแบบไหนดี ก่อนตัดสินใจเลือกเทคนิคทำตาสองชั้นที่ต้องการ สามารถเช็กข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับเทคนิคการทำตาสองชั้นและอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่


สารบัญบทความ


เหตุผลที่ควรทำตาสองชั้น 

ทำตาสองชั้น

เมื่อพูดถึงการทำตาสองชั้น ส่วนใหญ่อาจจะมองว่าทำไปเพื่อความสวยงามของใบหน้า แต่ที่จริงแล้วการทำตาสองชั้นนั้นมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้

  • ช่วยทำให้ดวงตาดูสมดุล

หลาย ๆ คนที่มีตาสองชั้นข้างเดียว ตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน อาจจะมองว่าลักษณะตาเหล่านี้ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล ในกรณีนี้สามารถทำตา 2 ชั้นข้างที่มีปัญหาเพื่อแก้ปัญหาตาที่ไม่เท่ากันให้สมดุลมากขึ้นได้ แต่ก็จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นเพื่อให้ตาสองชั้นเท่ากันอย่างเป็นธรรมชาติ

  • ช่วยแก้ปัญหาหนังตาต่าง ๆ 

สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตา เช่น กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงจนเกิดตาสองชั้นหลบใน หรือหนังตาย่อนคล้อยจนไปบดบังการมองเห็น เมื่อทำตาสองชั้นแล้วปัญหาที่กล่าวไปข้างต้นนั้นก็จะหายไป และถูกแทนด้วยตาสองชั้นสวยที่ไม่มีหนังตาคอยบดบัดทัศนียภาพการมองเห็น

  • ช่วยให้ภาพรวมของใบหน้าดูอ่อนโยน

แม้ว่าตาชั้นเดียวจะทำให้ใบหน้าดูหมวย น่ารักอย่างมีสไตล์ แต่ตาชั้นเดียวก็อาจทำให้ดวงตาดูเล็ก ดูดุ ดูน่ากลัวมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การทำตา 2 ชั้นจะช่วยให้ดวงตาใหญ่ขึ้น ส่งผลทำให้ใบหน้าดูหวานและอ่อนโยนขึ้นได้

  • เสริมสร้างความมั่นใจ เพิ่มโหงวเฮ้งให้กับตนเอง

บางคนที่มีปัญหาตาทั้งสองข้างไม่เท่ากันหรือไม่ชอบตาชั้นเดียวก็อาจจะรู้สึกไม่มั่นใจกับใบหน้าตนเอง การทำตาสองชั้นก็จะช่วยทำให้รู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีอยากให้ชั้นตาของตนเองมีลักษณะตรงตามหลักโหงวเฮ้งก็สามารถทำตาสองชั้นตามที่ต้องการได้

เทคนิควิธีทำตาสองชั้นมีอะไรบ้าง

เทคนิคทำตาสองชั้นในปัจจุบันมีหลายวิธีให้เลือก โดยแต่ละเทคนิคเหมาะกับลักษณะตาของผู้เข้ารับการรักษาต่างกัน ดังนี้

เทคนิคทำตาสองชั้น – เลเซอร์

เทคนิคทำตาสองชั้นด้วยการใช้เลเซอร์ เป็นการนำเลเซอร์ Plexr ที่ใช้คลื่น Plasma ซึ่งเป็นคลื่นที่มีพลังงานความร้อน 60 องศาเซลเซียสมาฉายบริเวณเปลือกตา ทำให้หนังตาที่ดูตกหรือหย่อนคล้อยหมดไป และตาสองชั้นที่ทำก็จะมีทรงสวยอย่างเป็นธรรมชาติได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังบริเวณรอบดวงตา 

การทำตาสองชั้นด้วยเลเซอร์เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีตาสองชั้นแต่อยากแก้ปัญหาหนังตาหย่อนคล้อยหรือหนังตาตาตก
  • ผู้ที่ต้องการแก้ตาสองชั้นให้เป็นทรงตามที่ต้องการ
  • ผู้ที่ตื่นกลัวการผ่าตัด
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดทำตาสองชั้นได้

ข้อดีของการทำตาสองชั้นด้วยเลเซอร์

  • สามารถแก้ไขปรับตาสองชั้นได้อย่างแม่นยำ
  • ใช้เวลาเลเซอร์ทำตา 2 ชั้นไม่นาน
  • ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นที่เห็นชัด 
  • เลเซอร์ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้ตาสองชั้นสวยอย่างเป็นธรรมชาติ
  • เลเซอร์ไปกระตุ้นให้ผิวบริเวณรอบดวงตากระชับมาดขึ้น
  • ผลข้างเคียงน้อย ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน

ข้อจำกัดของการทำตาสองชั้นด้วยเลเซอร์

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีตาชั้นเดียว
  • เลเซอร์ตาสองชั้นจะได้ผลลัพธ์ดีไม่เท่าการผ่าตัด

เทคนิคทำตาสองชั้น – แผลเล็ก

เทคนิคทำตาสองชั้นแบบแผลเล็กหรือที่เรียกกันว่าเทคนิคกรีดตาสั้น เป็นการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก ๆ ประมาณ 2-5 มิลลิเมตรขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ดำเนินการผ่าตัด แล้วจึงเย็บชั้นตาให้เกิดตาสองชั้นขึ้น ซึ่งหลังจากพักฟื้นก็จะได้ชั้นตาที่ดูสวย แทบไม่เห็นรอยแผล

การทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลสั้นเหมาะกับ

  • ผู้ที่มีตาชั้นเดียว ตาเล็ก
  • ผู้อายุน้อยที่หนังตายังไม่หย่อนคล้อยมาก 
  • ผู้ที่มีเปลือกตาหรือไขมันใต้เปลือกตาไม่หนา

ข้อดีของการทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลสั้น

  • ใช้เวลาผ่าตัดตาสองชั้นไม่นาน
  • ไม่รบกวนผิวหนังรอบข้าง ผลข้างเคียงน้อย
  • แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก ทำให้ใช้เวลาพักฟื้นน้อย  สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ไว
  • รอยแผลจากการผ่าตัดเล็กมากจนสังเกตได้ยาก ทำให้มีตาสองชั้นแบบธรรมชาติ

ข้อจำกัดของการทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลสั้น

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเปลือกหนังตาหนาหรือผู้ที่มีหนังตาตกเยอะ
  • กรณีผู้สูงอายุที่หนังตาหย่อนคล้อยสูงอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผลลัพธ์จากการรักษา

เทคนิคทำตาสองชั้น – แผลยาว

เทคนิคทำตาสองชั้นแบบแผลยาวหรือที่เรียกกันว่าเทคนิคกรีดแผลยาว เป็นการผ่าตัดแผลขนาดยาวกว่าแบบเทคนิคแผลเล็กเพื่อเย็บชั้นตาตามแนวได้โดยที่ไม่ต้องตัดหนังตาที่เกินออกมา ทำให้ชั้นตาหลังผ่าตัดดูสวยและคมชัดอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น

การทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลยาวเหมาะกับ

  • ผู้ที่มีตาเล็ก ตาชั้นเดียว
  • ผู้ที่เปลือกตาไม่หนาหรือมีไขมันใต้ตาไม่เยอะ
  • วัยรุ่นหรือผู้ที่หนังตาไม่ตก 

ข้อดีของการทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลยาว

  • สามารถนำไขมันใต้ชั้นตาออกได้
  • มีโอกาสเกิดหนังตาตกจากชั้นตาน้อยกว่าแบบกรีดแผลสั้น

ข้อจำกัดของการทำตาสองชั้นแบบกรีดแผลยาว

  • อาจเห็นรอยแผลกรีดและเกิดอาการบวมช้ำนาน
  • ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่าผ่าตัดตาสองชั้นแบบกรีดแผลสั้น
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเปลือกตาหนา ไขมันใต้ชั้นตาเยอะมาก
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาตกเยอะ

เทคนิคผ่าตัดเปิดหัวตา

เทคนิคการผ่าตัดเปิดหัวตา เป็นการผ่าตัดเปลือกตาบริเวณหัวตาให้ดวงตาดูกลมโต เรียวยาว มักทำควบคู่กับตาสองชั้นเพื่อให้ตาสองชั้นดูโค้งสวยอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เทคนิคนี้แพทย์จะประเมินลักษณะหนังตาก่อนทำ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่ต้องการมีตา 2 ชั้นต้องทำเทคนิคนี้

การผ่าตัดเปิดหัวตาเหมาะกับ

  • ผู้ที่หัวตาหนาปิดขอบตาล่าง
  • ผู้ที่ตาทั้งสองข้างห่างกันเยอะ

ข้อดีของการผ่าตัดเปิดหัวตา

  • ทำให้ดวงตาดูเรียวยาวมากขึ้น
  • ทำให้ชั้นตาสองชั้นดูโค้งอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ทำให้มุมมองการมองเห็นกว้างมากขึ้น

ข้อจำกัดของการผ่าตัดเปิดหัวตา

  • ถ้าเปิดหัวตาเยอะอาจทำให้ดวงตาดูไม่สวยอย่างเป็นธรรมชาติ
  • มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้

SLC Hospital เชี่ยวชาญด้านการทำศัลยกรรมตาสองชั้น

สถานทำตาสองชั้น

การเลือกเทคนิคทำตาสองชั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกสถานที่ทำตาสองชั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะสถานที่รักษาที่ดีก็จะต้องมีแพทย์เฉพาะทางเป็นผู้ทำตาสองชั้นให้โดยเฉพาะเพื่อให้ได้ตาสองชั้นสวยๆดูเป็นธรรมชาติหลังจากทำ และจะต้องคำนึงถึงเรื่องความสะอาดเพื่อความปลอดภัยในการรักษา

สำหรับผู้ที่อยากมีตาสองชั้นทรงสวยเข้ากับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยมากที่สุด SLC Hospital คือ โรงพยาบาลตกแต่งเสริมความงามร่างกายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถวางใจเรื่องการให้บริการและความสะอาดของสถานที่

ในระหว่างทำตากับ SLC Hospital ทางโรงพยาบาลจะให้แพทย์เฉพาะทางเป็นผู้ประเมินสภาพดวงตาของผู้เข้ารับการรักษา แล้วเลือกเทคนิคทำตาสองชั้นที่เหมาะกับสภาพดวงตาเพื่อให้ได้ตาสองชั้นที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

สรุปอยากทำตาสองชั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การทำตาสองชั้นมีส่วนช่วยทั้งเรื่องของความงามบนใบหน้าและช่วยแก้ปัญหาทางด้านการมองเห็นในกรณีที่หนังตาตกหรือหย่อนคล้อยได้ แต่เพื่อให้การทำตาสองชั้นประสบความสำเร็จได้ด้วยดีก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เช่น ก่อนทำตา 2 ชั้นให้ปรึกษาแพทย์ก่อนว่ามีโรคประจำตัวใด ๆ ที่ส่งผลต่อการทำตาสองชั้นหรือไม่ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อนและหลังทำตาสองชั้น เป็นต้น

และปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตาสองชั้นสวยอย่างเป็นธรรมชาติได้ ก็ควรให้แพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ประเมินสภาพดวงตาและดำเนินการทำตาสองชั้นด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่มองหมอทำตา 2 ชั้นเก่งๆ สามารถใช้บริการกับ SLC Hospital สถานทำศัลยกรรมเพื่อช่วยให้คุณมีตาสองชั้นสวยและเข้ากับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

0
Sculptra

ในปัจจุบันหัตถการเสริมความงามให้กับผิวหน้ามีให้เลือกหลากหลายตามความเหมาะสม แต่หนึ่งในหัตถกรรมเสริมความงามให้กับผิวที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานนั้นก็คือ โปรแกรมSculptra การเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้าเพื่อกระตุ้นโครงสร้างใต้ชั้นผิวให้แข็งแรง อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวภายนอกดูเรียบเนียนและกระจ่างใสได้อย่างปลอดภัย สำหรับผู้ที่สนใจฉีด Sculptra มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความนี้กันได้เลย!


สารบัญบทความ


การฉีด Sculptra คืออะไร ช่วยด้านใดได้บ้าง

sculptra คือ

โปรแกรมsculptra คือ การนำสาร Poly-L-lactic Acid (PLLA) ที่สังเคราะห์จากพืชมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในชั้นผิวหนัง เพราะเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ผิวจะเริ่มผลิตคอลลาเจนน้อยลง แต่ร่างกายยังคงเสียคอลลาเจนเท่าเดิม ทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ เริ่มปรากฏมากขึ้น

โแรแกรมSculptra จึงเป็นสารเติมเต็มที่จะคอยช่วยกระตุ้นการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว ทำให้โครงสร้าง

ผิวหนังแข็งแรง ริ้วรอยหรือรอยลึกที่ปรากฏบนผิวค่อย ๆ จางลง และผิวหน้ามีความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น


Sculptra มีกลไกทำงานอย่างไร

ปกติแล้วโปรแกรม Sculptra ที่นำมาฉีดนั้นจะเป็นสาร PLLA ที่ผสมกับน้ำกลั่นบริสุทธิ์แล้วฉีดเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ตามบริเวณขมับ แก้ม และกรอบหน้า เพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนผิวหน้าให้ดูตื้นขึ้น

เมื่อผ่านไป 2-3 วัน ร่างกายจะขับน้ำส่วนเกินออกแต่สาร PLLA ที่ยังคงอยู่ในผิว ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มปริมาณเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเซลล์นี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่จำเป็นต่อผิวขึ้นมา 

หลังจากนั้นสาร PLLA จะเริ่มสลายตัว แต่ยังเหลือคอลลาเจนใต้ผิวอยู่ จึงช่วยให้โครงสร้างชั้นผิวมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรงมากขึ้น ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ พร้อมทั้งช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น


Sculptra ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

โปรแกรมSculptra เป็นหัตถการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนแบบฉีดที่สามารถทำได้หลายบริเวณโดยเฉพาะจุดที่มักพบปัญหาริ้วรอย เช่น ขมับ หน้าแก้ม กรอบหน้า แต่มักจะเลี่ยงการฉีด โปรแกรม Sculptra บริเวณ T-zone เช่น หน้าผาก จมูก คาง ใต้ตา เพราะเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันและมีรูขุมขนมาก


ฉีด Sculptra ดีอย่างไร 

sculptra ดีไหม

ในปัจจุบันมีหัตถการมากมายที่ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ความหย่อนคล้อยบนผิวหน้าได้ เช่นสารลดเลือนริ้วรอย(Toxin)  เลเซอร์ยกกระชับ  ร้อยไหม และอื่น ๆ รวมถึง โปรแกรมSculptra ซึ่งเป็นการฉีดสารเติมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง หากไม่แน่ใจว่าควรฉีด โปรแกรมsculptra ดีไหม? ลองมาพิจารณาข้อดี-ข้อจำกัดของการทำหัตถการนี้ก่อนตัดสินใจทำ

ข้อดี 

การฉีด โแรแกรมSculptra มีข้อดีกับผิว ได้แก่

  • ปลอดภัยต่อร่างกายสูง เพราะสารผลิตจากการสังเคราะห์จากพืช 
  • ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว
  • ช่วยกระชับผิว ให้ผิวมีความหยืดหย่นมากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • ช่วยทำให้ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้น
  • ผลลัพธ์หลังจากกระตุ้นคอลลาเจนจะคงอยู่นานประมาณ 2 ปี 

ข้อจำกัด

การฉีด Sculptra เติมคอลลาเจนให้ผิวหน้ามีข้อจำกัดที่ทำให้บุคคลบางกลุ่มไม่ควรฉีด เช่น

  • ผู้ที่แพ้สาร PLLA
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดหยุดไหลยากหรือทานยาที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด
  • ผู้ที่ทานยากดภูมิหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีแผลอักเสบหรือมีการติดเชื้อของผิวบริเวณที่ฉีด เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนได้

ต้องฉีด Sculptra กี่ครั้งถึงจะเห็นผล

จำนวนครั้งที่ Sculptra แล้วเห็นผลนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล  แนะนำทำ 1-2 ขวด ติดต่อกัน 2-3ครั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วการฉีด Sculptra จะเห็นผลชัดเจนหลักจากการฉีดไปแล้ว 4สัปดาห์ โดยจะต้องเว้นระยะฉีดครั้งถัดไปอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 2 ปีขึ้นอยู่กับการดูแลตนเอง


เลือกฉีด Sculptra ที่ไหนดี

Sculptra เป็นหัตถการที่จำเป็นต้องอาศัยทักษะ ความรู้ และความชำนาญของแพทย์เวลาฉีดกระตุ้นคอลลาเจนใบหน้า เพื่อให้เห็นผลลัพธ์เต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิดผลข้างเคียง ดังนั้นจึงควรฉีด Sculptra กระตุ้นคอลลาเจนกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ฉีดให้เท่านั้น 

สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรมกระตุ้นการสร้างคอลลาด้วยSculptra Infiniz Clinic เป็นคลินิกเสริมความงามที่อยากแนะนำ เพราะทางคลินิกมีใบประกอบกิจการอย่างถูกต้อง และมีแพทย์เฉพาะทางที่ให้บริการฉีด Sculptra ของแท้เข้าสู่ผิว ทำให้รู้สึกวางใจได้ว่า Sculptra ที่ฉีดเข้าไปมีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ผิวที่เรียบเนียน ริ้วรอยดูจางลงจริง


ฉีด Sculptra ปลอดภัย กับ Infiniz Clinic 

Sculptra เป็นวิธีกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อให้ผิวเรียบเรียน กระชับ ริ้วรอยดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการฉีดสารที่สังเคราะห์จากพืชและมีความปลอดภัยต่อร่างกาย แต่การฉีด Sculptra สารกระตุ้นคอลลาเจนนี้จำเป็นต้องให้แพทย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ฉีดด้วย

ซึ่งที่ Infiniz Clinic นับเป็นอีกคลินิกเสริมความงามหนึ่งที่มีความปลอดภัยและให้บริการฉีด Sculptra โดยคุณหมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ อาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์ฉีด Sculptra หลายเคส และได้รับรางวัลทางด้านหัตถการความงามมากมาย สำหรับใครที่ต้องการสอบถามเกี่ยวกับการฉีดโปรแกรมSculptra  สามารถสอบถามกับคุณหมอและทีมงานเพิ่มเติมดังช่องทางต่อไปนี้

  • Facebook : Infiniz Clinic : Skin & Facial Design Expert 
  • Line ID: @Infinizclinic
  • โทร : 098-828-5444

รวมยาทาแผลเป็น ยี่ห้อยอดนิยม ช่วยลดรอยแผลผ่าตัด คีลอยด์ ให้กลับมาเรียบเนียน

0
ยาทาแผลเป็น

รอยแผลเป็นถือเป็นปัญหาผิวที่ทำหลายคนหมดความมั่นใจ โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด ศัลยกรรมความงาม ตุ่มผื่น เป็นต้น หากต้องการให้ผิวเรียบเนียน แผลหายแบบไม่ทิ้งร่องรอย ควรดูแลด้วยยาทาแผลเป็นที่มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะยาทาแผลเป็นอีสุกอีใส ครีมลดรอยดำแผลเป็น ครีมลดรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ ยาทาแผลเป็นผ่าตัด แผลคีลอยด์ ยาทาเหล่านี้จะช่วยลดเลือนให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง


สารบัญบทความ


มีวิธีไหนที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นได้บ้าง?

รอยแผลเป็น เกิดจากกระบวนการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เมื่อผิวหนังได้รับบาดเจ็บ โดยแผลเป็นมีหลายประเภท เช่น รอยแผลเป็นแบบนูน แบบหลุม แบบแบน แบบคีลอยด์ และแบบเปลี่ยนสี รอยแผลเป็นสามารถจางลงหรือหายไปได้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง โดยวิธีที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นมีดังนี้

  • ใช้ยาทาแผลเป็นเนื้อครีมหรือเจล : จะต้องรอให้แผลปิด ไม่มีสะเก็ด จึงค่อยเริ่มทายาแผลเป็นลงไป ส่วนมากมักมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวอย่าง Vitamin E ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แผลนุ่มขึ้น ไม่แห้งกร้าน โดยวิธีนี้อาจใช้เวลานานกว่าจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
  • ยาทาแผลเป็นแบบซิลิโคนเจล : สามารถช่วยลดขนาดแผลเป็นลงได้ ช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำในผิว บางยี่ห้อเนื้อเจลจะมีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น ช่วยปกป้องแผลจากสิ่งสกปรก ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ โดยควรใช้ยาทาแผลเป็นต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน แผลเป็นจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ฉีดสารทางการแพทย์ : หากทายาแผลเป็นแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น อาจใช้การฉีดสารทางการแพทย์อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สเตียรอยด์ ฟิลเลอร์ เป็นต้น
  • ผ่าตัดลดรอยแผลเป็น : ทำได้หลายวิธี เช่น การปลูกถ่ายกราฟต์ผิวหนัง การขัดผิว และการตัดเนื้อส่วนเกินออก เป็นต้น

เลือกซื้อยาทาแผลเป็นยังไงดี? 

วิธีเลือกซื้อยาทาแผลเป็น ควรดูขนาดของแผล สาเหตุการเกิด และบริเวณที่เกิด เพื่อกำหนดความเข้มข้นของยาที่ต้องใช้ได้อย่างเหมาะสม เช่น แผลเล็กบนใบหน้า จะต้องใช้ยาทาแผลเป็นแบบอ่อนโยน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ส่วนแผลที่มีขนาดใหญ่ อาการรุนแรงกว่า ควรใช้แบบที่มียาเข้มข้นสูง เป็นต้น


ใช้ยาลดรอยแผลเป็นยังไงให้เห็นผลไว? 

อยากใช้ยาทาแผลเป็นให้เห็นผลไว ต้องศึกษาวิธีใช้ให้ถูกวิธี และทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาด พร้อมเช็ดมือและบริเวณที่ต้องการใช้ยาทาแผลเป็นให้แห้งสนิทก่อนเสมอ
  • เกลี่ยยาทาแผลเป็นบาง ๆ บนแผล เช้า-เย็น เป็นประจำ จนกว่าแผลเป็นจะหายสนิทหรือจางลงมากที่สุด
  • สามารถทาครีมกันแดดทับ เพื่อปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย อันเป็นสาเหตุของรอยดำบนแผล

แนะนำ 5 ยาทาแผลเป็น หมดห่วงเรื่องผิวเสีย เผยความเนียนสวย

ยาทาแผลเป็นมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาด โดยแต่ละแบรนด์ก็มีส่วนผสม คุณสมบัติเด่น และเนื้อครีมแตกต่างกันไป สำหรับคนที่ไม่รู้จะใช้ยาทาแก้รอยแผลเป็นยี่ห้อไหนดี? ขอแนะนำ 5 ยาทาแผลประสิทธิภาพสูงที่ควรมีติดบ้าน

1. Dermatix Ultra

Dermatix Ultra

ขอบคุณรูปจาก Dermatix Thailand

Dermatix Ultra ยาทาลดรอยแผลเป็นเนื้อเจล ที่มีส่วนประกอบของ CPX technology ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แผลมีสัมผัสนุ่มขึ้น ผสานคุณค่ากับ Vitamin C Ester ที่ช่วยให้แผลมีสีจางลง ถือเป็นยาทาแผลเป็นจากความร้อนที่มีประสิทธิภาพดี เช่น น้ำมันกระเด็น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก 

2. Rebac Silicone Gel

Rebac Silicone Gel

ขอบคุณรูปจาก Biopharm

ยาทาแผลเป็น Rebac Silicone Gel ถูกออกแบบเพื่อใช้เป็นยาทาแผลเป็นหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ เช่น แผลผ่าคลอด แผลศัลยกรรมความงามและอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นนูนและคีลอยด์ที่ทำให้คันหรือตึงเจ็บ 

โดย Rebac ผลิตจากซิลิโคนเกรดการแพทย์ มีคุณสมบัติพิเศษเป็น Film Former เมื่อทาลงบนผิวจะก่อให้เกิดแผ่นฟิล์มเคลือบอยู่ด้านบน ช่วยป้องกันน้ำและฝุ่นละอองเข้าสู่แผล หากใช้ต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ รอยดำรอยแดงที่แผลจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาชั้นนำ หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lazada

3. Strataderm Gel

Strataderm Gel

ขอบคุณรูปจาก Healthy Max Market

Strataderm Gel ยาทาแผลคีลอยด์แบบซิลิโคนเจลชนิด Polydimethylsiloxanes เนื้อแห้งไว ไม่เหนอะหนะ เหมาะสำหรับเด็กและผิวแพ้ง่าย เพียงทาวันละ 1-2 ครั้ง จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แผลอ่อนนุ่มขึ้น ลดอาการคันและรอยแดงของแผล เมื่อใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน แผลเป็นจะจางลง 

4. Hiruscar Silicone Pro 

Hiruscar Silicone Pro

ขอบคุณรูปจาก Hiruscar Thailand

Hiruscar Silicone Pro ยาทาแผลเป็นที่สามารถใช้ได้ทั้งแผลเป็นใหม่และเก่า เนื้อเป็นซิลิโคนเจลใส ทาง่าย แห้งไว ช่วยคงความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำในผิว ลดอาการคัน ทั้งยังมี Vitamin C และ E ช่วยรักษาแผลเป็นให้หายเร็วขึ้น ลดการเกิดรอยแดง และความหยาบกร้านบนผิว 

5. Provamed Scar Silicone

Provamed Scar Silicone

ขอบคุณรูปจาก Provamed

ยาทาแผลเป็น Provamed Scar Silicone เนื้อซิลิโคนใส แห้งไว มีสาร CPX ช่วยสร้างแผ่นฟิล์มเคลือบแผล นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของ Epitensive โปรตีนจากพืชที่ช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียน พร้อมสารบำรุง Vitamin C และ E เติมความชุ่มชื้น เพิ่มความกระจ่างใส สามารถใช้ได้กับแผลเป็นใหม่ไม่เกิน 6 เดือน เพียงใช้ยาทาลดรอยแผลเป็นบาง ๆ ทุกวัน จะเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ดี


ยาทาแผลเป็น ตัวช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสวยงาม

วิธีดูแลแผลเป็นอย่างง่ายและปลอดภัยจากผลข้างเคียง คือการใช้ยาทาแผลเป็นต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น พร้อมบำรุงผิวให้กลับมาเรียบเนียน ดูกระจ่างใส เรียกความมั่นใจให้กลับมาอีกครั้ง สามารถทาต่อเนื่องจนกว่าแผลเป็นจะหายสนิทหรือไม่สามารถจางลงได้อีก

ฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความมั่นใจให้ริมฝีปากสวย เป็นธรรมชาติ ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง?

0

ฟิลเลอร์ปาก

สำหรับใครที่ใฝ่ฝันอยากมีริมฝีปากสวย อวบอิ่ม และดูสุขภาพดี ฟิลเลอร์ปากคือหัตถการยอดนิยมที่เป็นตัวช่วยเพื่อให้คุณสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องปากบาง ริมฝีปากไม่เท่ากัน หรือร่องลึกที่ขอบปาก แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำ Filler ปาก ยังมีสิ่งสำคัญที่ควรรู้อีกมากมาย บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัย เตรียมความพร้อมก่อนก้าวสู่โลกแห่งการฉีดฟิลเลอร์ปาก เผยทุกเคล็ดลับ เพื่อริมฝีปากสวยดั่งใจ ปลอดภัย ไร้กังวล

ฟิลเลอร์ปากคืออะไร ให้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง?

ทำความรู้จักฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปากเป็นการปรับรูปร่างของปากเป็นทรงเกาหลีหรือทรงปากสายฝอต่าง ๆ ด้วยการฉีดสารที่มีคุณสมบัติคล้ายกรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยสารนี้จะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม คล้ายกับเนื้อเยื่อของริมฝีปาก เมื่อฉีดเข้าไปจึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 

ปัจจุบันมีแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำจากต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากมาย ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีคุณสมบัติและความเหมาะสมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความอวบอิ่ม การปรับรูปทรงฉีดปาก หรือการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปากให้ดูเด้งและมีมิติมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ปากเกาหลีและรูปทรงต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจและเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า

ฟิลเลอร์ปากมีข้อดีอะไรบ้าง?

ปัจจุบันฟิลเลอร์ปากสายฝอและทรงต่าง ๆ เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม ซึ่งก็มีข้อดีหลายประการ ดังนี้

  • เห็นผลลัพธ์ทันที : หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม เป็นรูปทรงตามที่ต้องการ และมีมิติมากขึ้น
  • ดูเป็นธรรมชาติ : เนื้อสัมผัสของฟิลเลอร์มีความใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อของริมฝีปาก ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ปลอมหรือแข็งทื่อจนเกินไป
  • ไม่ต้องพักฟื้น : หลังจากฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแต่การฉีดฟิลเลอร์ปากอาจบวมเล็กน้อยในช่วงแรก 
  • คงทนนาน : รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปากจากหลายคนให้ความเห็นว่าผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่า 4-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและการดูแลรักษา

เปรียบเทียบระหว่าง ฉีดฟิลเลอร์ปาก และ ผ่าตัดปาก

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ปากและการผ่าตัดปาก จะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์มีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แม้ว่าการผ่าตัดปากจะให้ผลลัพธ์ที่ถาวร แต่ก็มีข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนรูปทรงภายหลัง รวมถึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีรอยแผลเป็น 

ในทางกลับกัน ฟิลเลอร์ปากนั้นสามารถปรับขนาดและรูปทรงได้ตามต้องการ ด้วยเทคนิคการฉีดที่หลากหลาย โดยเฉพาะปากกระจับสายฝอและฟิลเลอร์ปากเกาหลีที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังมีความปลอดภัยเพราะเป็นสารที่สลายได้เองตามธรรมชาติและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานโดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่มีแผลเป็นอีกด้วย

ฟิลเลอร์ปากมีกี่ทรง ทรงไหนนิยมที่สุด?ทรงฟิลเลอร์ปากที่ได้รับความนิยม

ปัจจุบันเทรนด์ของทรงฟิลเลอร์ปากมีหลากหลาย ซึ่งการเลือกรูปทรงที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้หลายคนจะนิยมนำภาพของฝรั่งที่มีริมฝีปากอวบอิ่มมาเป็นตัวอย่าง แต่ควรคำนึงว่าโครงหน้าของฝรั่งมีลักษณะเด่นชัดกว่าคนไทย ซึ่งเข้ากันได้ดีกับริมฝีปากที่หนาและเต็มอิ่ม 

ขณะที่โครงหน้าคนไทยส่วนใหญ่อาจไม่เหมาะกับริมฝีปากลักษณะดังกล่าว ดังนั้น การเลือกรูปแบบจึงควรใช้ตัวอย่างจากคนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่มีโครงหน้าใกล้เคียงกับคนไทยมากกว่า เพื่อให้ได้ทรงปากฟิลเลอร์ที่ดูเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับใบหน้ามากที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์ปากโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย ถ้าทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง อย่างไรก็ตาม อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นั้นมักมาจากฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดปากกับหมอเถื่อน ซึ่งฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ก่อให้เกิดอาการแพ้ การติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงร้ายแรงอื่น ๆ ได้ ขณะที่การฉีดฟิลเลอร์โดยผู้ที่ไม่มีความรู้ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่นกัน

ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • บวม ช้ำ หรือรอยแดง : หลังฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีดในช่วงแรก ซึ่งมักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • แพ้หรือระคายเคือง : แม้ฟิลเลอร์มีความปลอดภัยสูง แต่ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ทำให้เกิดผื่นแดงหรือคันได้
  • มีก้อนเนื้อ : ในกรณีที่ฉีดไม่ถูกวิธีหรือฉีดปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจต้องรักษาโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ปาก

ฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัย ต้องดูอะไรบ้าง?

เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นไปอย่างปลอดภัย สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือการเลือกแพทย์ผู้ทำการฉีดและผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ใช้ โดยควรมั่นใจว่าแพทย์มีใบอนุญาตและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าคลินิกนั้นได้รับการรับรองตามมาตรฐาน มีสภาพแวดล้อมที่สะอาด 

และในส่วนของผลิตภัณฑ์ ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของส่วนประกอบ

Infiniz Clinic คลินิกฉีดฟิลเลอร์ปาก

ถ้าหากคุณอยู่ระหว่างการตัดสินใจหรือมองหาคลินิกที่เชื่อถือได้เพื่อฉีดฟิลเลอร์ปาก ‘Infiniz Clinic’ พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้วยทีมแพทย์ ซึ่งนำโดย คุณหมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์มานานกว่า 15 ปี และเป็นหนึ่งในอาจารย์แพทย์ผู้สอนการฉีดฟิลเลอร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย 

โดยที่ Infiniz Clinic ใช้เฉพาะฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งการันตีคุณภาพและความสำเร็จจากรางวัลต่าง ๆ มาแล้วมากมาย โดยถ้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ช่องทางดังนี้

  • Facebook : Infiniz Clinic :: Skin & Facial Design Expert 
  • Line ID: @Infinizclinic
  • โทร : 098-828-5444

 

 

รวมเรื่องต้องรู้ก่อนปลูกผม เตรียมบอกลาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน

0
ปลูกผม

ปัญหาเรื่องศีรษะล้าน ผมร่วง ผมบาง มักสร้างความกังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากส่งผลถึงภาพลักษณ์และความงามโดยตรง หลายคนจึงต้องสรรหาวิธีช่วยให้ผมกลับมาดกดำ เงางาม ทำให้หัตถการอย่างการปลูกผมได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเห็นผลชัดเจน อีกทั้งยังสามารถปลูกผมให้ขึ้นถาวรได้



รู้จักกับเทคนิคการปลูกผม 

การปลูกผม หรือ Hair Transplant คือหนึ่งในหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านได้ดี ในการรักษามักนำรากผมจากบริเวณที่มีความแข็งแรง เช่น ท้ายทอย หรือด้านข้างศีรษะ มาปลูกลงบนบริเวณที่มีปัญหา ไม่ว่าจะบริเวณนั้นจะมีผมร่วง ผมบาง หัวเถิก หัวล้าน มีแผลเป็น เพื่อให้ผมที่หายไปกลับมางอกเรียงตัวสวยอีกครั้ง ส่วนเทคนิคการปลูกผมจะแบ่งออกเป็น 4 วิธี ดังนี้

ปลูกผมแบบ FUT

ปลูกผม FUT (Follicular Unit Transplantation) ถือเป็นการปลูกผมถาวรที่ได้รับความนิยมมานาน โดยแพทย์จะผ่าตัดหนังศีรษะออกมาพร้อมรากผมจำนวนมาก นำไปแยกกอรากผมออกจากกัน แล้วจึงปลูกบริเวณที่ต้องการ วิธีการนี้เหมาะกับคนที่มีปัญหารุนแรง ต้องการกราฟผมมากกว่า 3,000 ขึ้นไป

ปลูกผมแบบ FUE

ปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) เป็นเทคนิคการปลูกผมถาวรที่ไม่ต้องผ่าตัดหนังศีรษะออกมาเป็นชิ้นเหมือนวิธี FUT แต่จะใช้เครื่องมือ Micropunch เพื่อเจาะเอากราฟผมที่มีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ออกมา จากนั้นนำไปแช่ลงในน้ำยาแช่กราฟผม และนำไปปลูกบริเวณที่ต้องการ 

วิธีปลูกผม FUE นี้ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากแผลมีขนาดเล็กไม่ถึง 1 มิลลิเมตร และไม่ต้องพักฟื้นนาน เพียง 2-3 วันก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณกราฟผมที่อาจได้จำนวนไม่เยอะ ทำให้ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาผมเป็นบริเวณกว้าง 

ปลูกผมแบบ LLLT

ปลูกผม LLLT (Low Level Laser Light Therapy) เป็นเทคนิคปลูกผมไม่ต้องผ่าตัด โดยจะใช้การยิงแสงเลเซอร์สีแดงลงไปที่หนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เมื่อเซลล์ต้นกำเนิดได้สารอาหารเพียงพอ ผมก็จะแข็งแรงขึ้น ลดการหลุดร่วง และเจริญเติบโตดี

ปลูกผมแบบ DHI

ปลูกผม DHI (Direct Hair Implant) จะอยู่ในขั้นตอนการปลูกกลับกราฟผม ซึ่งจะมีการใช้เครื่องมือ DHI Implanter แทนการใช้ Forceps แบบเดิม จึงช่วยลดความเสียหายแก่เซลล์ต้นกำเนิดและเพิ่มโอกาสปลูกผมติดมากขึ้น


สารพัดข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจปลูกผม 

การปลูกผมมีรายละเอียดมากมาย ก่อนทำจึงควรศึกษาให้ดีว่ามีข้อดี ข้อจำกัดอย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจ

การปลูกผมเหมาะกับใครบ้าง

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน มีรอยแผลเป็น อยากให้ผมกลับมาเต็ม เรียงสวยเป็นธรรมชาติ หรือคนที่หน้าผากเถิกจนเสียความมั่นใจ ก็สามารถปลูกผมหน้าผากเพิ่มให้ดูแคบลงได้

ข้อดีของการปลูกผม

ปลูกผมช่วยสร้างความมั่นใจในตนเองมากขึ้น และผมที่ขึ้นใหม่จะอยู่ถาวร สามารถเติบโตหรือร่วงได้ตามปกติ 

ข้อจำกัดของการปลูกผม

คนที่ผมท้ายทอยหรือข้างศีรษะน้อย อาจจะไม่เหมาะกับการปลูกผม และจะต้องมีวันสำหรับพักฟื้นอย่างน้อย 1 วัน หรือคนที่มีโรคผมร่วงบางชนิดอาจจะต้องรอโรคนั้นสงบก่อนจึงปลูกผมได้


ขั้นตอนการปลูกผม ต้องทำอะไรบ้าง?   

  • เข้ารับการประเมินจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ พร้อมหาวิธีการปลูกผมที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา
  • สำหรับผู้ที่สามารถปลูกผมได้ แพทย์จะให้คำแนะนำอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวก่อนปลูกผม ขั้นตอนการรักษา ผลลัพธ์ และอาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ผู้เข้ารับการรักษาควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • ก่อนปลูกผมจะมีการทำความสะอาดหนังศีรษะ และโกนผมบริเวณที่ต้องการศัลยกรรมปลูกผม เพื่อให้มองเห็นกอผมได้อย่างชัดเจน จากนั้นจึงทำการออกแบบแนวไรผมให้เหมาะกับรูปหน้า
  • แพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่ และทำการปลูกผมตามเทคนิคที่ได้เลือกเอาไว้ ใช้เวลาตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป 
  • เมื่อปลูกผมกลับเรียบร้อย จะมีการฉายแสงด้วยเครื่อง Heallite หรือ LLLT ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น พร้อมนัดหมายการฉายแสงซ้ำในอีก 1-2 วัน หลังจากปลูกผมก็สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

ข้อควรปฏิบัติหลังปลูกผม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

  • แพทย์จะนัดคนไข้เข้ามาดูแผล ทำความสะอาดศีรษะ และติดตามอาการ ช่วง 1-5 วันแรกหลังปลูกผม และจะเพิ่มระยะนัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเหมาะสม
  • ห้ามสระผมเองเด็ดขาด จนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  • เมื่อสระผมเองได้ ให้ใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยนต่ออย่างน้อย 1 เดือน
  • งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ ทั้งก่อนและหลังปลูกผมเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้ปลูกผมไม่ขึ้น
  • งดการออกกำลังกายหนัก สามารถทำได้เมื่อผ่านไปราว 3-4 สัปดาห์
  • รับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาต้านอักเสบให้ครบตามแพทย์สั่ง
  • หากผ่านไประยะหนึ่งแต่ผมยังไม่ขึ้น หรือมีอาการข้างเคียง เช่น เลือดออกมากผิดปกติ หนังศีรษะบวม มีแผลน้ำเหลืองบริเวณที่ทำการปลูกผม ควรรีบเดินทางมาพบแพทย์

เลือกคลินิกปลูกผมที่ไหนดี ให้หมดห่วงเรื่องหัวล้าน 

ปลูกผมที่ไหนดี

ไม่รู้จะปลูกผมที่ไหนดี แนะนำให้เลือกจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบได้ ใช้เครื่องมือทันสมัย มีแพทย์เฉพาะทางด้านการศัลยกรรมปลูกผม ราคาสมเหตุสมผล และมีรีวิวปลูกผมจากผู้ใช้บริการจริง เหมือนที่ Dr.Tarinee Hair Clinic คลินิกปลูกผมที่ให้บริการโดยคุณหมอแก้ว แพทย์หญิง ธาริณี ก่อวิริยกมล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมปลูกผม โรคเส้นผมและหนังศีรษะ ผู้มีประสบการณ์กว่า 15 ปี ที่พร้อมให้บริการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะด้วยความจริงใจจนกว่าเส้นผมและหนังศีรษะของคุณจะกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง


การปลูกผม ทางออกของคนผมน้อย

การปลูกผมเป็นวิธีการรักษาปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะได้อย่างเห็นผล มีหลายเทคนิคที่สามารถปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้ จึงควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ พร้อมเลือกทางที่ดีสูงสุด

นมผึ้ง สารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยให้ผิวสุขภาพดี

0
นมผึ้ง
นมผึ้ง


ทำความรู้จักนมผึ้ง (Royal Jelly)

นมผึ้ง หรือ Royal Jelly เป็นสารอาหารที่ผลิตโดยผึ้งงานเพื่อใช้เลี้ยงราชินี ผลิตจากต่อมไฮโปฟาริงจ์ และในมุมของสกินแคร์ นมผึ้งคือส่วนประกอบที่น่าสนใจ เนื่องจากมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหน้า โดยยกตัวอย่างได้แก่

  • โปรตีน : มีโปรตีนที่สามารถช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิวหน้าและส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
  • ไขมัน : อิมพีริอล 10-HDA ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
  • วิตามิน : วิตามิน B และวิตามิน C ที่ช่วยในการลดอาการอักเสบของผิวหน้าและช่วยให้ผิวสดใส

สารอาหารในนมผึ้งยังมีอีกมากมาย ซึ่งการใช้นมผึ้งในสกินแคร์จะช่วยให้ผิวหน้าดูมีความอ่อนเยาว์และมีความกระจ่างใสขึ้น แต่ก่อนการใช้งานจริงควรทำการทดสอบผิวก่อน เพราะผิวแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ดังนั้น อาจเกิดอาการแพ้ต่อสารต่าง ๆ ในนมผึ้งได้เช่นกัน 


ประโยชน์ของนมผึ้งในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ประโยชน์ของนมผึ้ง

จากด้านบนที่เราได้ทราบกันไปแล้วว่า นมผึ้งมีประโยชน์มากมายจากสารอาหารสำคัญต่าง ๆ หัวข้อนี้เราจึงได้รวบรวมประโยชน์ของนมผึ้งออกมาเป็นข้ออย่างชัดเจน ดังนี้

  • เพิ่มความชุ่มชื้น : นมผึ้งมีสรรพคุณที่ช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้น และช่วยลดการแห้งได้ เนื่องจากมีสารต่าง ๆ เช่น โปรตีน และวิตามิน B ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิว
  • ป้องกันเชื้อโรค : นมผึ้งช่วยในการป้องกันและรักษาสิว รวมถึงการอักเสบของผิว
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน : นมผึ้งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของผิวหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและแข็งแรง
  • ควบคุมความมันของผิว : นมผึ้งมีส่วนผสมที่ช่วยในการควบคุมความมันของผิวให้มีสมดุล ลดปัญหาสิวและการอุดตันได้
  • เพิ่มความอ่อนเยาว์ : นมผึ้งช่วยชะลอวัยเนื่องจากมีสารช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ทำให้มีการฟื้นฟูผิว ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์

ใครควรใช้นมผึ้งบ้าง?

ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของนมผึ้งเหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการดูแลผิวหน้าเพื่อความชุ่มชื่นและการฟื้นฟูผิว เช่น

  1. ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น : นมผึ้งช่วยในการบำรุงและเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวที่แห้ง ลอก เป็นขุย
  2. ผิวที่มีริ้วรอย : สารต่างๆ ในนมผึ้งสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ ช่วยให้ผิวดูยืดหยุ่นขึ้น
  3. ผิวที่มีสิวหรืออักเสบ : สารที่ป้องกันการเกิดเชื้อโรคในนมผึ้งช่วยในการป้องกันและรักษาสิว และช่วยลดการอักเสบของผิวได้ร่วมด้วย

ข้อควรระวังในการใช้นมผึ้ง

ข้อควรระวังในการใช้นมผึ้ง

ในการใช้สกินแคร์ที่มีนมผึ้งเป็นส่วนผสมนั้น มีสิ่งที่ควรระวังบางประการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหรือปัญหาในผิวหน้าตามมา ยกตัวอย่างเช่น

  • ทดสอบอาการแพ้ : นมผึ้งเป็นสารที่มีส่วนประกอบเยอะจึงอาจเกิดอาการแพ้ได้ เพื่อความปลอดภัยจึงควรทดสอบด้วยการทาบริเวณหน้าเล็กน้อยก่อนการใช้งานจริง
  • การใช้เกินขนาด : การใช้นมผึ้งมากไปอาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ ควรใช้ตามคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์
  • ปรึกษาแพทย์ : หากมีปัญหาหรือความสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนมผึ้ง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังก่อนการใช้งาน
  • การใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น : หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนมผึ้งร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมี ควรทดลองใช้เบื้องต้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย
  • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ : การเลือกผลิตภัณฑ์นมผึ้งที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่าง ๆ บนผิวหน้า

วิธีเลือกโรงงานผลิตนมผึ้งที่ได้มาตรฐาน

สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่กำลังมองหาโรงงานผลิตนมผึ้งที่ได้มาตรฐาน เราได้รวบรวมวิธีการเลือกโรงงานเพื่อให้ได้สินค้าที่ออกมาตรงตามความต้องการ และสามารถวางขายตามท้องตลาดได้อย่างยั่งยืน ดังนี้ 

  • มีมาตรฐานระดับสากล : ตรวจสอบว่าโรงงานมีการรับรองคุณภาพ เช่น ISO 22716, IGMP ASEAN, HALAL และอื่น ๆ
  • มีประสบการณ์อย่างยาวนาน : ค้นหาโรงงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตสกินแคร์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพสินค้า
  • การวิจัยและพัฒนา : โรงงานมีการวิจัยและพัฒนาในด้านผลิตภัณฑ์สกินแคร์ สามารถปรับปรุงสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้
  • มีบริการครบครัน : หากต้องการลดขั้นตอนต่าง ๆ ควรเลือกโรงงานที่มีการแบบ One-Stop Service สามารถช่วยให้คำปรึกษาตั้งแต่การคิดค้นสูตรไปจนถึงการวางแผนการตลาด 

สรุปเกี่ยวกับนมผึ้ง

นมผึ้งถือเป็นวัตถุดิบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ใช้สกินแคร์ เนื่องจากมีคุณสมบัติต่าง ๆ มากมายที่ช่วยให้ผิวสุขภาพดี ช่วยลดริ้วรอย ป้องกันการเกิดสิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ถูกนำไปผสมในสกินแคร์ชนิดต่าง ๆ มากมาย

ผู้ประกอบการที่สนใจในการตีตลาดสกินแคร์ผสมนมผึ้ง แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้โรงงานผลิตสกินแคร์ที่ไหนดี เราขอแนะนำ Pure Derima Laboratories โรงงานผลิตครีมและเครื่องสำอางแบบ OEM ที่สามารถปรับปรุงสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณ ทั้งยังได้รับการรองรับด้วยมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้เลยว่าสินค้าตรงตามมาตรฐานและไม่ซ้ำใครในท้องตลาด

  • Facebook: Pure Derima Laboratories
  • Line ID: @purederima
  • เบอร์โทรศัพท์ : 02-285-4266

รู้จัก Ultraformer MPT นวัตกรรมยกกระชับผิวแห่งปี

0
Ultraformer MPT
Ultraformer MPT

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ปัญหาผิวก็เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ร่องลึก หลายคนจึงมองหานวัตกรรมยกกระชับผิวหน้าและผิวกายอย่าง Ultraformer MPT เครื่องยกกระชับที่มีประสิทธิภาพ สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS พร้อมสลายไขมันใต้ชั้นผิวภายในเครื่องเดียว สำหรับใครที่สงสัยว่า Ultraformer คืออะไร ราคาเท่าไหร่? บทความนี้มีคำตอบ!



Ultraformer MPT คืออะไร?

Ultraformer Micro-Pulse Technology หรือ Ultraformer MPT คือ เครื่องยกกระชับผิวหน้าและผิวกายที่ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ริ้วรอยและร่องลึก ตลอดจนสลายไขมันใต้ชั้นผิวด้วยการส่งคลื่นพลังงานที่มีความเข้มข้นสูงลงไปยังผิวหนังชั้นลึกผ่านนวัตกรรมที่เรียกว่า Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU) ทำให้ผิวเกิดการยกกระชับ เห็นกรอบหน้าเรียวชัดขึ้น ริ้วรอยและร่องลึกดูจางลง อีกทั้งเครื่อง Ultraformer MPTยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย

Ultrafromer MPT คือหนึ่งในเครื่องยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยมีหลักการทำงาน 2 รูปแบบ ได้แก่ Micro & Macro Focused Ultrasound ที่สามารถส่งพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ถึงผิวชั้นใต้ผิวหนังในระดับความลึกที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • Micro Focused Ultrasound : ส่งพลังงานคลื่นที่ระดับความลึก 1.5 mm., 3 mm. และ 4.5 mm. ในอุณหภูมิ 65-70 องศาเซลเซียส ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยจุดเล็กบริเวณผิวหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิว
  • Macro Focused Ultrasound : ส่งพลังงานคลื่นที่ระดับความลึก 6 mm., 9 mm. และ 13 mm. ในอุณหภูมิ 65-70 องศาเซลเซียส ช่วยยกกระชับผิว สลายไขมันส่วนเกินบริเวณกรอบหน้าและลำตัว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนแก่ผิว

Ultraformer MPT Vs Ultraformer III ต่างกันอย่างไร? 

Ultraformer MPT และ Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่มีประสิทธิภาพ และมีหลักการทำงานอย่างการส่งพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ลงไปยังใต้ชั้นผิวหนังเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ชนิด มีข้อแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในด้านลักษณะการปล่อยคลื่นพลังงาน, ระดับความลึกของพลังงาน, หัวยิง ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาในการทำหัตถการและผลลัพธ์หลังทำที่แตกต่างด้วยเช่นกัน 

โดย Ultraformer MPT สามารถปล่อยพลังงานอยู่ที่จำนวน 417 Dots ต่อช็อต มีหัวยิงที่หลากหลายเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการปล่อยพลังงานให้เหมาะสมกับชั้นผิวแต่ละบริเวณ ซึ่งผลลัพธ์หลังทำจะอยู่ได้นาน 6-9 เดือน ในขณะที่ Ultraformer III สามารถปล่อยพลังงานรูปแบบเดียวคือ Single Dot อยู่ที่จำนวน 17 Dots ต่อช็อตเท่านั้น ทำให้ผลลัพธ์หลังทำอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ให้ความรู้สึกเจ็บกว่าเครื่อง Ultraformer MPT


Ultraformer MPT มีข้อดีอะไรบ้าง?

Ultraformer MPT เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่สามารถยกกระชับผิวได้ตั้งแต่ผิวหน้า ลำคอ ไปจนถึงลำตัว โดยสามารถเข้าถึงพื้นที่ผิวส่วนเว้าโค้งได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณสามารถพิจารณาข้อดีต่าง ๆ ของเครื่องยกกระชับดังกล่าวได้ดังนี้ 

  • Ultraformer MPT ประกอบด้วยหัวยิงที่หลากหลาย สามารถปรับระดับความลึกและรูปแบบการส่งพลังงานคลื่นให้เหมาะสมกับชั้นผิวแต่ละบริเวณ
  • ปล่อยพลังงานลงไปยังผิวหนังได้อย่างล้ำลึกถึงชั้น SMAS
  • ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกให้ดูจางลง รวมถึงสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจนครบภายในเครื่องเดียว
  • เครื่องยกกระชับผิวที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวและทำลายเนื้อเยื่อผิวโดยรอบ
  • เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงหลังทำได้อย่างเป็นธรรมชาติตั้งแต่ครั้งแรก
  • นวัตกรรมผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เช่น KFDA เกาหลี FDA อเมริกา และ อย.ไทย เป็นต้น
  • หลังทำหัตถการสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
  • เครื่องยกกระชับ Ultraformer MPT ให้ความรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่ารุ่นอื่น ๆ 

Ultraformer MPT หลังทำเห็นผลเร็วไหม อยู่ได้นานแค่ไหน 

การทำ Ultraformer MPT เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำประมาณ 20% และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ผิวยกกระชับ ริ้วรอยและร่องลึกดูจางลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นภายใน 1-3 เดือน โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและวิธีการดูแลตนเองหลังทำหัตถการ

สำหรับผู้ต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ควรทำ Ultraformer MPT อย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3-6 เดือน ทั้งนี้ ควรปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินและวิเคราะห์แนวทางรักษาให้เหมาะกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล


Ultraformer MPT ราคาเท่าไหร่

โดยทั่วไปแล้ว Ultraformer MPT มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5,000-18,000 บาท เป็นต้นไป ซึ่งราคาดังกล่าวขึ้นอยู่กับบริเวณที่เลือกทำ Ultraformer MPT, จำนวนช็อต, โปรโมชันของคลินิก, สภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ ตลอดจนจำนวนครั้งในการทำตามที่แพทย์ประเมิน หากต้องการทราบราคาที่แน่นอน แนะนำให้สอบถามรายละเอียดกับสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เลือกเข้ารับบริการโดยตรง


ทำ Ultraformer MPT เลือกทำที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกที่มีเครื่อง Ultraformer MPT ที่ได้มาตรฐาน นำเข้าอย่างถูกต้อง มีเครื่องมือทางการแพทย์ครบครัน
  • มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังและมีประสบการณ์ใช้เครื่องยกกระชับผิว
  • พิจารณาคลินิกที่มีแพทย์เป็นผู้ทำหัตถการโดยตรง
  • คลินิกเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • คลินิกที่ให้บริการทำ Ultraformer MPT มีรีวิวและผลลัพธ์หลังของผู้เข้ารับบริการจริง
  • ค่าหัตถการมีราคาสมเหตุสมผล มีการเปรียบเทียบราคากับคลินิกอื่น ๆ ร่วมด้วยก่อนตัดสินใจทำหัตถการ
  • คลินิกมีช่องทางการติดต่อที่สะดวกและติดตามผลลัพธ์หลังทำหัตถการ

สรุป Ultraformer MPT ตัวช่วยยกกระชับผิว พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียน

Ultraformer MPT เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอยให้ดูจางลง พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวและไม่ต้องพักฟื้น เครื่องยกกระชับดังกล่าวสามารถส่งคลื่นพลังงานลงสู่ผิวหนังชั้นลึกได้อย่างแม่นยำ มอบผลลัพธ์ผิวยกกระชับได้ยาวนาน 6-9 เดือน ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจทำหัตถการควรให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหาผิวเพื่อประเมินแนวทางรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ


ICSI (อิ๊กซี่) คืออะไร ช่วยให้ผู้มีบุตรยากตั้งครรภ์ได้จริงหรือ

0
ICSI คือ

ICSI คือ

ท่ามกลางความท้อแท้จากภาวะมีบุตรยาก ICSI หรือ การฉีดอสุจิเข้าไซโตพลาสซึมของไข่ เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นำพาคู่รักสู่ประตูแห่งความหวังด้วย ICSI คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้ไข่และอสุจิ สองชีวิตจิ๋ว ผสานรวมเป็นหนึ่ง ก่อกำเนิดเป็นทารกน้อย เติมเต็มความฝันของคู่รักที่โหยหาการเป็นพ่อแม่ เติมเต็มความอบอุ่นให้กับครอบครัวด้วยสมาชิกใหม่ที่มีสุขภาพแข็งแรงในเวลาที่ต้องการ


ICSI (อิ๊กซี่) คืออะไร?

การทำอิ๊กซี่ หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีที่ช่วยในการเจริญพันธุ์ โดยย่อมาจาก Intracytoplasmic Sperm Injection เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิ 1 ตัวเข้าสู่ไซโตพลาสซึมของไข่ 1 ใบโดยตรง ช่วยให้เกิดการปฏิสนธิ โดยไม่ต้องพึ่งพาการเคลื่อนที่ของอสุจิเอง ICSI เหมาะสำหรับผู้มีบุตรยากที่มีสาเหตุมาจากปัญหาการเคลื่อนที่ของอสุจิ ปัญหาที่ท่อนำไข่ ภาวะมีบุตรยากไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงความต้องการในการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม

ขั้นตอนการทํา ICSI มีกระบวนการ ดังต่อไปนี้

  1. แพทย์จะฉีดยากระตุ้นไข่ แต่ต้องระวังอาการข้างเคียง เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่จำนวนมาก
  2. แพทย์จะทำการเก็บไข่ ICSI โดยใช้เข็มนำทางอัลตราซาวด์ผ่านช่องคลอด
  3. ฝ่ายชายจะเก็บตัวอย่างอสุจิ
  4. แพทย์จะคัดกรองอสุจิที่แข็งแรงที่สุด 1 ตัว และฉีดเข้าสู่ไซโตพลาสซึมของไข่ 1 ใบโดยตรง
  5. ตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ
  6. แพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุด 1 – 2 ตัว ใส่กลับเข้าสู่โพรงมดลูก

อิ๊กซี่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับผู้มีบุตรยาก ด้วยประสิทธิภาพของ ICSI คือ 

  • เพิ่มโอกาสการปฏิสนธิ เพราะ ICSI ช่วยให้แพทย์สามารถคัดกรองอสุจิที่แข็งแรงที่สุด และฉีดเข้าสู่ไข่โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาการเคลื่อนที่ของอสุจิเอง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาอสุจิจำนวนน้อย เคลื่อนที่ช้า หรือรูปร่างผิดปกติ
  • แก้ปัญหาท่อนำไข่สำหรับผู้ที่มีปัญหาท่อนำไข่อุดตัน โดยแพทย์สามารถเก็บไข่และอสุจิ นำมาผสมพันธุ์ในห้องปฏิบัติการ และใส่ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นกลับสู่โพรงมดลูก
  • ICSI ช่วยให้แพทย์สามารถเก็บตัวอย่างเซลล์จากตัวอ่อนก่อนใส่กลับสู่โพรงมดลูก เพื่อตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการคลอดบุตรที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • ตัวอ่อนที่เกิดจาก ICSI สามารถแช่แข็งเก็บไว้ได้นานถึง 10 ปี ช่วยให้คู่รักสามารถตัดสินใจเรื่องการตั้งครรภ์ได้ในภายหลัง หรือบริจาคตัวอ่อนให้กับคู่รักอื่น ๆ ที่ต้องการมีบุตรได้

ICSI, IVF และ IUI มีข้อแตกต่างกันอย่างไร?

อิ๊กซี่

ICSI, IVF และ IUI ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการเจริญพันธุ์ที่มีเป้าหมาย เพื่อช่วยให้ผู้มีบุตรยากตั้งครรภ์ ด้วยการกระตุ้นการตกไข่ในผู้หญิงก่อน โดยใช้ยาหรือฮอร์โมน แล้วเก็บตัวอย่างอสุจิจากฝ่ายชาย ก่อนจะผสมไข่และอสุจิในห้องปฏิบัติการ หากแต่ทั้ง 3 วิธีมีความแตกต่างกัน ดังนี้

ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) มีขั้นตอน คือ ฉีดอสุจิ 1 ตัวเข้าสู่ไข่ 1 ใบโดยตรง แล้วรอให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้น จึงใส่ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นกลับสู่โพรงมดลูก เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาการเคลื่อนที่ของอสุจิที่รุนแรง, ปัญหาที่ท่อนำไข่ และต้องการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม อิ๊กซี่มีข้อดี คือ มีโอกาสสำเร็จสูงที่สุด เหมาะกับกรณีที่มีปัญหาอสุจิรุนแรง แต่มีขั้นตอนซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีราคาแพงที่สุด โดยอัตราสำเร็จประมาณ 40 – 50% ต่อรอบ

IVF (In Vitro Fertilization) มีขั้นตอน คือ นำไข่และอสุจิมาผสมกันในจานเพาะเลี้ยง แล้วรอให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้น จึงใส่ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาการเคลื่อนที่ของอสุจิ,  ปัญหาที่ท่อนำไข่ และภาวะมีบุตรยากไม่ทราบสาเหตุ IVF มีข้อดี คือ มีโอกาสสำเร็จสูงกว่า IUI และสามารถคัดเลือกตัวอ่อนก่อนใส่กลับได้ แต่มีขั้นตอนซับซ้อน ใช้เวลานาน และราคาแพง โดยอัตราสำเร็จประมาณ 25 – 35% ต่อรอบ

IUI (Intrauterine Insemination) มีขั้นตอน คือ ฉีดอสุจิที่ผ่านการคัดกรองแล้วเข้าสู่โพรงมดลูกในช่วงที่มีไข่ตก เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาการเคลื่อนที่ของอสุจิ, ปัญหาที่ปากมดลูก, ปัญหาที่ท่อนำไข่ และการตกไข่ไม่สม่ำเสมอ IUI มีข้อดี คือ ขั้นตอนง่าย รวดเร็ว และราคาไม่แพง แต่โอกาสสำเร็จต่ำ โดยอัตราสำเร็จประมาณ 10 – 20% ต่อรอบ


ข้อดีของ ICSI คืออะไร

การทำอิ๊กซี่เป็นเทคโนโลยีที่มีขั้นตอนซับซ้อน แต่ก็มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

  • เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ของผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ท่อนำไข่อุดตัน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีภาวะหลังผ่าตัดท่อนำไข่ให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้
  • เพิ่มโอกาสในการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมก่อนใส่กลับสู่โพรงมดลูก
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นอสุจิที่เก็บจากอัณฑะโดยตรง (TESA), อสุจิที่เก็บจากท่อนำไข่ (PESA) หรืออสุจิที่เก็บจากต่อมลูกหมาก (MESE) 
  • อิ๊กซี่เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์แฝด เพราะแพทย์สามารถฉีดอสุจิหลายตัวเข้าสู่ไข่หลายใบ 
  • สามารถเก็บตัวอ่อนที่เกิดจาก ICSI ไว้ได้นานถึง 10 ปี ด้วยการแช่แข็ง
  • ช่วยลดความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรม เพราะ ICSI ช่วยให้แพทย์สามารถคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมก่อนใส่กลับสู่โพรงมดลูกได้

วิธีการเตรียมตัวก่อนทำ ICSI 

ขั้นตอนการทํา ICSI 

การเตรียมตัวก่อนทำ ICSI เป็นขั้นตอนการทํา ICSI ที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายจะต้องมีความพร้อม ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยวิธีการเตรียมตัวก่อนทําอิ๊กซี่ คือ

  1. ฝ่ายหญิง
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เก็บตัวอย่างเลือด ตรวจฮอร์โมน และอัลตราซาวด์รังไข่ 
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งงดสูบบุหรี่, งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ โปรตีน และธัญพืช, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ทานประจำ แพทย์อาจสั่งให้หยุดยาบางชนิดก่อนทำ ICSI
  • เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการกระตุ้นการตกไข่ เพราะแพทย์จะสั่งยาหรือฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่จำนวนมาก
  • แพทย์จะนัดหมายเก็บไข่ ICSI เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่ โดยใช้เทคนิคการเก็บไข่ทางช่องคลอดโดยใช้เข็มนำทางอัลตราซาวด์
  1. ฝ่ายชาย
  • แพทย์จะนัดหมายเก็บตัวอย่างอสุจิ โดยทั่วไปจะแนะนำให้เก็บตัวอย่างอสุจิ 2 – 3 ครั้ง
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นเดียวกับฝ่ายหญิง

นอกจากนี้ ในการทำอิ๊กซี่ยังมีข้อควรระวังบางประการ ได้แก่

  • ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2 – 3 วันก่อนทำ ICSI
  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด
  • ควรเลิกสูบบุหรี่ก่อนทำ ICSI อย่างน้อย 3 เดือน
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดทุกชนิด

สรุป ICSI คืออะไร

การทำอิ๊กซี่ หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีที่ช่วยในการทำลูก ด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าสู่ไข่โดยตรง ช่วยให้เกิดการปฏิสนธิ โดยไม่ต้องพึ่งพาการเคลื่อนที่ของอสุจิเอง เหมาะสำหรับผู้มีบุตรยากจากปัญหาการเคลื่อนที่ของอสุจิที่รุนแรง, ปัญหาที่ท่อนำไข่ และต้องการคัดเลือกตัวอ่อนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม สำหรับคู่รักที่กำลังพิจารณาทำ ICSI ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เพื่อรับคำแนะนำ พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง และโอกาสความสำเร็จ


 

ฟิลเลอร์ (Filler) ตัวช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยและมีใบหน้าสวยใสในสไตล์ที่ต้องการ

0
ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

กาลเวลาเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ริ้วรอยบนใบหน้าย่อมปรากฏชัดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีความงามที่ทันสมัยสามารถช่วยเติมเต็มความอ่อนเยาว์และคืนความมั่นใจให้คุณได้อีกครั้ง ด้วย “ฟิลเลอร์” ตัวช่วยเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนตามต้องการ

ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายสูตรให้เลือก โดยแพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ให้เหมาะกับปัญหาและความต้องการของแต่ละคน บทความนี้จะพาไปรู้จักกับข้อมูลควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ยี่ห้อฟิลเลอร์ ข้อดี ข้อเสีย ราคาฟิลเลอร์ และคำแนะนำในการดูแลทั้งก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจเลือกใช้ฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย


ทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ ก่อนฉีดครั้งแรกมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องรู้?

การฉีดฟิลเลอร์คือการฉีดสารในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายที่มีบทบาทในการเสริมสร้างโครงสร้างผิว จึงช่วยรักษาความยืดหยุ่น ความเต่งตึง และความชุ่มชื้นของผิว เมื่อร่างกายสูญเสียสารนี้เนื่องจากวัยที่มากขึ้นก็จะส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอย มีร่องลึก และความหย่อนคล้อย

การฉีด Filler เข้าไปยังจุดต่าง ๆ จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา ฉีดฟิลเลอร์คาง ไปจนถึงฟิลเลอร์หลุมสิว ซึ่งจะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นผิว จึงนับเป็นทางเลือกยอดนิยมในการรักษาปัญหาริ้วรอยให้กลับมาดูอ่อนกว่าวัย


ฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

ปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์

Filler คือวิธีรักษาปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะการที่ฟิลเลอร์สามารถใช้แก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำในบริเวณที่ต้องการ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนทรงปาก คาง ให้มีสัดส่วนที่สวยงามตามที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้รับจะดูเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับรูปลักษณ์ของใบหน้า

อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญคือผลการรักษาจะเห็นได้อย่างรวดเร็วทันทีที่ทำ โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้น และยังได้รับการรับรองด้านความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงที่ร้ายแรง นอกจากนี้ ยังสามารถทำซ้ำได้อย่างต่อเนื่องเมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลงตามระยะเวลาที่ผ่านไป


บริเวณไหนบ้างที่ฉีดฟิลเลอร์ได้?

จากคุณสมบัติของฟิลเลอร์ในการเติมเต็มบริเวณต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันมีหลายจุดที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก : ช่วยลบริ้วรอยในช่วงหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว ริ้วหน้าผากนูน หรือริ้วรอยย่นอื่น ๆ ให้ดูตื้นและจางลง
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา : ช่วยเติมเต็มบริเวณรอบดวงตาที่เริ่มมีริ้วรอยหรือถุงใต้ตา ทำให้ดวงตาดูกระจ่างสดใส
  • ฟิลเลอร์ปาก : เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก โดยเฉพาะการฉีดปากสายฝอ รวมถึงลดเลือนริ้วรอยรอบปาก
  • ฟิลเลอร์คาง : การฉีดคางเหมาะสำหรับคนที่มีคางสั้นหรือต้องการปรับรูปทรงใหม่ให้ดูเรียวยาวขึ้น
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม : เติมร่องแก้มลึก ริ้วรอยบนแก้มให้ดูเรียบเนียน โดย filler ร่องแก้มจะทำให้ดูอ่อนวัย
  • ฟิลเลอร์ขมับ : ปรับรูปทรงและลดริ้วขมับที่ทำให้ดูหงิกงอ เพิ่มความกระชับให้แก่ใบหน้า

ฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง อันตรายหรือไม่?

การฉีดฟิลเลอร์อาจมีผลข้างเคียงบางประการที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวมแดง ปวด หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการชั่วคราวและมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน นอกจากนี้ ผลข้างเคียงที่ร้ายแรง เช่น อาการแพ้หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้บ้างแต่ไม่บ่อย โดยเฉพาะถ้าฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์

อย่างไรก็ดี คนที่ตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรระวังเรื่องการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการควบคุมคุณภาพ หรือการฉีดฟิลเลอร์ราคาถูกกว่าปกติ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อน โดยควรฉีดฟิลเลอร์กับสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลเท่านั้น


การดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ควรทำอย่างไร?

การดูแลตัวเองเมื่อฉีดฟิลเลอร์

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงต่าง ๆ ของการฉีดฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังฉีดล้วนมีความสำคัญ โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองหลัก ๆ ดังนี้

การดูแลตัวเองก่อนฉีดฟิลเลอร์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรงดเว้นยาและวิตามินบางชนิด เช่น NSAIDs แอสไพริน และวิตามินอี หลีกเลี่ยงการโกนหนวด การใช้ยาผลัดเซลล์ผิว รวมทั้งเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้ ควรแจ้งแพทย์ถ้ามีโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้เป็นประจำ เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์เป็นไปอย่างปลอดภัยมากที่สุด

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์ควรงดการกดหรือนวดบริเวณที่ฉีด ไม่ควรทำหัตถการอื่น ๆ อีกประมาณ 2 สัปดาห์ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2-3 วัน รวมทั้งหลีกเลี่ยงความร้อนจากการอบหรือซาวน่าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และงดอาหารรสจัด ของหมักดอง หรืออาหารที่แพ้ง่ายราว 1 สัปดาห์


ฉีดฟิลเลอร์เลือกไปฉีดที่ไหนดีที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ?

สำหรับใครที่กำลังมองหาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกคลินิกที่มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ตรง โดย ‘Infiniz Clinic’ เป็นหนึ่งในคลินิกชั้นนำที่ให้บริการด้านความงามอย่างครบวงจร โดยมีแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศเช่นอาจารย์หมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ อาจารย์สอนฉีดฟิลเลอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี จึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถช่วยให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาเรื่องผิวหน้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย


สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ เคล็ดลับความงามเพื่อการมีใบหน้าที่อ่อนกว่าวัย

ฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในเคล็ดลับและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการแก้ไขปัญหาเรื่องผิวหน้าในปัจจุบัน โดยเป็นสารเติมเต็มริ้วรอยที่มีลักษณะคล้ายกับสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย จึงปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ภายใต้การดูแลของแพทย์จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ โดยควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

การฉีด PRP คืออะไร? นวัตกรรมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

0
ฉีด PRP

การฉีด PRP คืออะไร? นวัตกรรมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

ปัจจุบันมีนวัตกรรมมากมายที่สามารถช่วยในการฟื้นฟูและบรรเทาอาการผมร่วง ผมบางได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ “การฉีด PRP” นั่นเอง ซึ่งการใช้ PRP หรือ Platelet Rich Plasma นั้นจะเป็นการช่วยจากภายใน เสริมให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น ดังนั้น ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ PRP ให้มากยิ่งขึ้น หากพร้อมแล้วสามารถไปอ่านข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้านล่างนี้เลย! 



การฉีด PRP คืออะไร?

การฉีด PRP ผมคืออะไร? หลายคนอาจยังไม่รู้จักกับ PRP มากนัก โดย PRP ย่อมาจาก Platelet Rich Plasma ซึ่งเป็นการนำเลือดของผู้ที่ต้องการรักษาไปปั่นเพื่อแยกเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นจะทำการฉีด PRP กลับเข้าไปในส่วนที่ต้องการทำการรักษา

โดยการที่จะทำการแยกเกล็ดเลือดออกจากพลาสมานั้น ต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง จึงควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่อันตราย

ใน PRP จะมีสารที่เรียกว่า Growth Factor ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโต มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงกระตุ้น Stem Cell ให้สร้างเนื้อเยื่อใหม่ จึงทำให้หากเราฉีด PRP บริเวณหนังศีรษะก็จะมีโอกาสที่รากผมนั้นแข็งแรงขึ้น ทั้งยังกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้อีกนั่นเอง


ขั้นตอนการฉีด PRP 

ฉีด prp ข้อเสีย

หากต้องการเข้ารับบริการฉีด PRP คุณจะต้องทำการปรึกษาและวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทาง หลังจากนั้นจะมีขั้นตอนการรักษา ดังนี้

  1. 1.แพทย์จะทำการเจาะเลือดจากผู้ที่ต้องการเข้ารักษาในปริมาณ 10-13 มล. 
  2. 2.หลังจากเจาะเลือดแล้ว แพทย์จะนำเลือดนั้นเข้าเครื่องแยกเกล็ดเลือดเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้ได้ PRP
  3. 3.ระหว่างรอ แพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการฉีด PRP ผม
  4. 4.เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แพทย์จะทำการฉีด PRP ปริมาณ 0.1 มล. ต่อตร.ซม. ที่ความลึก 2-3 มม. 
  5. 5.หลังจากฉีด PRP จะมีการฉายเลเซอร์ความเข้มขึ้นต่ำอีกประมาณ 20 นาที เพื่อบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ รวมถึงกระตุ้นการสร้างเส้นผมอีกด้วย

การฉีด PRP มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไร?

หลายคนอาจสงสัย และมีคำถามเกี่ยวกับข้อดี-ข้อจำกัดของการฉีด PRP เพราะการใช้ PRP ฉีดเข้าสู่ร่างกายนั้น ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ดังนั้น ในหัวข้อนี้ เราได้รวมข้อมูลข้อดีและข้อจำกัดมาไว้แล้ว ดังนี้

ข้อดีของการฉีด PRP

  • สามารถช่วยรักษาอาการผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ได้
  • ไม่ต้องพักฟื้นนานหลังทำหัตถการ
  • ช่วยให้เส้นผมที่มีอยู่แล้วแข็งแรงขึ้น
  • ปลอดภัยด้วยการใช้เลือดของคนไข้เอง
  • ช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผมได้
  • ไม่มีแผลเป็นจากการรักษา
  • สามารถฉีด PRP ร่วมกับการรักษาแบบอื่น ๆ ได้

ข้อจำกัดของการฉีด PRP

  • ไม่เหมาะกับผู้มีภาวะโลหิตจาง หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง, ผู้ติดเชื้อ HIV หรือมะเร็งเม็ดเลือด เป็นต้น
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือต้องให้นมบุตร
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาประเภทสลายลิ่มเลือด หรือต้านเกล็ดเลือด เช่น NSAID
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังมีอาการไข้หวัด ไม่สบาย หรือเพิ่งหายจากอาการเจ็บป่วย

ทั้งก่อนและหลังฉีด PRP ผมนั้น คนไข้จะต้องทำการดูแลตนเองอย่างระมัดระวัง เพื่อลดโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง ทั้งควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดอีกด้วย


ฉีด PRP ที่ไหนดี?

การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลในการเข้ารับบริการฉีด PRP นั้น ถือว่าเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาอาการผมร่วงผมบางออกมาปลอดภัย รวมถึงเป็นไปตามที่คนไข้คาดหวัง ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมวิธีการเลือกที่ฉีด PRP มาไว้แล้ว ดังนี้

  • มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและอื่น ๆ ที่สามารถทำหัตถการฉีด PRP ได้ และมีประสบการณ์ในการทำหัตถการนี้
  • เป็นสถานพยาบาลหรือคลินิกที่มีใบอนุญาตเปิดสถานประกอบการ โดยมีการแสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ที่สามารถนำไปตรวจสอบบนเว็บไซต์  https://checkmd.tmc.or.th/ ได้
  • ใช้เครื่องมือจากแล็บในการผลิต PRP ที่ได้มาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และมีการรับรองระดับสากล เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงรุนแรง หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ
  • ภายในสถานพยาบาลมีความสะอาด ปลอดเชื้อ ลดโอกาสเกิดอันตรายหลังฉีด PRP ผม
  • มีราคาใกล้เคียงกับในท้องตลาด ไม่แพงหรือถูกจนเกินไป
  • มีที่ตั้งที่เข้าถึงง่าย สามารถเดินทางไปได้สะดวก เพื่อให้คนไข้สะดวกหากต้องเข้าพบแพทย์หลายครั้ง
  • มีช่องทางติดต่อที่ชัดเจน หลากหลายช่องทาง เพื่อที่จะสามารถติดต่อสอบถามได้ตามเหมาะสม

แนะนำคลินิกปลูกผม Dr.Tarinee Hair Clinic 

ฉีด prp ราคา

หากใครที่กำลังสงสัยว่า ฉีด PRP ผมที่ไหนดี? นอกจากสภาพเส้นผมของเราแล้ว การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นของกระบวนการรักษา ฉะนั้น เราจึงควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจเข้ารับบริการในคลินิกใด ๆ ก็ตาม

เราขอแนะนำ Dr.Tarinee Hair Clinic คลินิกปลูกผมที่มีแพทย์เฉพาะทางต่อยอดโรคเส้นผม และการผ่าตัดปลูกถ่ายผม จากโรงพยาบาลศิริราช ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี ด้วยนวัตกรรม Premium PRP ของ Dr.Tarinee Hair Clinic จะช่วยให้คนไข้มีเส้นผมที่แข็งแรง และสุขภาพดียิ่งขึ้น


สรุปเกี่ยวกับการฉีด PRP

การเสริมความแข็งแรงของเส้นผมด้วยการฉีด PRP ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ที่มีอาการผมร่วง ผมบาง ซึ่งการฉีด PRP ผมจะเป็นการฉีดเกล็ดเลือดของตัวคนไข้เองลงบนบริเวณหนังศีรษะ ช่วยให้เซลล์รากผมและเส้นผมนั้นมีสุขภาพดีมากขึ้น ทั้งยังมีโอกาสแพ้น้อยอีกด้วย

การฉีก PRP เหมาะกับผู้ที่ยังมีเส้นผมอยู่ แต่ต้องการให้เส้นผมเหล่านั้นแข็งแรงยิ่งขึ้น หากกำลังมองหาคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์มากประสบการณ์ในการทำหัตถการฉีด PRP ขอแนะนำ Dr.Tarinee Hair Clinic คุณสามารถปรึกษาและวางแผนการรักษากับแพทย์เฉพาะทางได้ง่าย ๆ ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการจริง