ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย แต่เราก็ตายด้วยโรคมะเร็ง
มะเร็งเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเป็นและเมื่อเป็นมะเร็งแล้วก็ไม่อยากมีใครตายเพราะมะเร็ง

ไม่มีใครอยากเป็นมะเร็งตาย

ใครอยากตายด้วยโรค มะเร็ง ( Cancer ) ยกมือขึ้น? ถามมาได้ไงไม่คิด ไม่มีใครเค้าอยากเป็นกันหรอกมะเร็งเนี่ย ดิฉันคนหนึ่งละที่ไม่ยกมือเป็นอันขาด ดั่งคำของพระพุทธเจ้าเคยพูดไว้ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คือการไม่เจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต ยิ่งถ้าเป็นโรคมะเร็ง ( Cancer ) ด้วยแล้วดิฉันขอไม่เป็นเด็ดขาดค่ะ ทำไมนะหรือค่ะ? การรักษามะเร็งไม่ใช่ว่าแค่กินยา 2-3 วันแล้วจะหายได้เหมือนเวลาเป็นหวัดเจ็บคอนี่คะ

การรักษามะเร็งต้องเจ็บตัวผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อออกมา ต้องทนเจ็บปวดจากผลข้างเคียงของการให้รังสีหรือเคมีบำบัด จะกินก็ลำบาก เจ็บคอจะกินข้าวแต่ละทีนึกว่ามีเข็มมาทิ่มอยู่ในคอสักสิบเล่ม นอนก็ไม่หลับ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ ผมร่วงเกือบหมดหัวถึงแม้ว่าจะขึ้นใหม่ตอนหลังก็เถอะค่ะ ถ้าไม่เป็นมันก็คงจะดีกว่า แถมยังต้องเสียทั้งเงิน ทั้งเวลาในการรักษา ถึงรัฐบาลจะให้รักษาฟรี แต่ก็คงไม่มีใครไปส่งหรือให้น้ำมันรถในการเดินทางเราฟรีหรอกค่ะ จะไปคนเดียวก็ไม่ได้ต้องมีญาติไปด้วยอีก ที่นี้ทำไงค่ะ คนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นสามี เป็นน้องก็ต้องหยุดงานเพื่อพาไปหาหมอทำให้ขาดรายได้ แล้วไม่ใช่ว่าไปครั้งเดียวจบไม่ต้องไปอีกนะคะ ต้องไปเป็นสิบสิบครั้งกว่าจะรักษาหาย เรียกว่าถ้าเป็น มะเร็ง ( Cancer ) ก็มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้น อีกอย่างก็ผลข้างเคียงจากการให้รังสีหรือเคมีบำบัดนี่ทรมานจริงๆ ดิฉันเห็นแล้วทั้งสงสารทั้งกลัวเกิดขึ้นในใจ ที่กล้าพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าพี่สาวดิฉันเป็นมะเร็งเต้านม ( breast cancer ) และเคยไปให้เคมีบำบัดมาแล้ว ดิฉันเคยถามพี่ว่าเป็นไงบ้าง? เจ็บมากไหม? คำตอบที่ได้รับทำเอาดิฉันน้ำตาซึมทีเดียวค่ะ พี่บอกว่ามันปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว จะนั่งจะนอนจะยืนก็ปวด ทำยังไงก็ไม่หายได้แต่ทนอย่างเดียว แต่ก็ต้องทนเพราะยังห่วงลูกอยู่ ลูกยังเล็กเหลือเกิน ถ้าพี่เป็นอะไรไปลูกพี่จะอยู่ยังไง พี่ต้องอดทนจนถึงที่สุด ดิฉันได้ฟังก็รู้สึกสะเทือนใจมากแต่ก็ทำได้แค่พูดให้กำลังใจว่าเดี๋ยวก็หาย หมอสมัยนี้เค้าเก่งรักษาหายอยู่แล้ว เห็นแบบนี้ทำให้ดิฉันไม่อยากเป็น มะเร็ง ( cance ) มาก แต่เชื่อมั้ยคะ คนจำนวนไม่น้อยถึงไม่อยากเป็นมะเร็ง ( cance ) แต่ก็ต้องตายด้วยโรคมะเร็งอยู่ดี ที่เป็นยังงั้นก็เพราะการใช้ชีวิตของเราเองนั่นแหละที่ทำให้เราเป็นมะเร็งได้โดยที่เราไม่รู้ตัว จากความเร่งรีบและความรักสบายในการชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้มากขึ้น ทั้งอาหารการกินที่ต้องกินอย่างรีบเร่งหรือกินบุฟเฟต์ปิ้งย่างที่เตาไหม้แล้วไหม้อีก มลพิษที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งควันบุหรี่ ควันรถ สารพิษที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม เหล้าที่ทุกคนดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน มีงานที่เลี้ยงที่ไหนต้องมีเหล้าไว้ให้ดื่มกันไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช งานศพ รับรองว่ามีเหล้าให้กินทุกงานค่ะ นี่ยังไม่รวมค่านิยมในการกินที่ต้องกินเนื้อสัตว์ถึงจะเป็นคนรวย ถ้ากินผักกินหญ้าเป็นคนจน ทำให้คนหันมากินเนื้อสัตว์กันมากกว่าการกินผักผลไม้ อาหารฟ้าดฟู้ดส์แบรนด์นอกกินแล้วดูดีมีเงิน ทุกอย่างที่ดิฉันพูดมานี่เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งทุกอย่าง

แล้วแบบนี้! ถึงเราจะไม่อยากเป็น มะเร็ง ( cance ) ตายแต่เราก็คงต้องตายด้วยมะเร็งแน่ๆ เพราะแม้แต่ในอากาศที่เราสูดดมเข้าไปยังทำให้เกิดมะเร็งได้เลย นี่ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อยู่กับสารก่อ มะเร็ง ( cance ) ทุกวัน ไม่หันมาใส่ใจสุขภาพ ด้วยการเลือกกินผักผลไม้ปลอดสารพิษแทนการกินฟาดฟุดส์ บุฟเฟต์ปิ้งย่าง และเนื้อสัตว์ หันมาออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แทนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม งดสูบบุหรี่หรืออยู่ในที่มีควันบุหรี่อบอวลอยู่ เพียงแค่นี้ดิฉันรับรองว่าเมื่อคุณไม่ตายด้วยโรคมะเร็งชัวร์

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม