อาการปวดหลัง
อาการปวดหลัง เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย ทั้งแต่อายุน้อยจนกระทั้งผู้ที่มีอายุมาก ก็สามารถเกิดอาการปวดหลังได้ทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอาการปวดหลังเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ในผู้ที่มีอายุน้อย อาการปวดจะมีเกิดเนื่องจากอุบัติเหตุ การทำงานที่ต้องยกของหนัก หรือการทำงานด้วยท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน ส่วนในผู้สูงอายุอาการปวดหลังเกิดขึ้นจากการเสื่อมของกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นส่วนมาก ซึ่งอาการปวดที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการทำกิจวัตรประจำวันบางชนิดที่ต้องมีการใช้กล้ามเนื้อหลังอย่างผิดวิธี เช่น การกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ที่ต้องก้มเป็นระยะเวลานาน
อาการปวดหลังสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.การปวดตั้งแต่บริเวณเอว บั้นเอว
2.การปวดที่บริเวณเอวลงมาสู่บริเวณต้นขา
3.การปวดที่เกิดขึ้นจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งอาการปวดชนิดนี้จะเป็นอาการปวดชนิดเรื้อรัง คือ จะมีอาการเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน แต่อาการจะไม่รุนแรง มี อาการปวดหลัง จากตื่นนอน เมื่อลุกขึ้นเดินหรือยืนสักพักอาการปวดก็จะหายไปเอง
4.อาการปวดที่สะโพก อาการจะมีความรุนแรงเมื่อทำการเดิน หรือทำการเคลื่อนไหวตัวเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ
อาการปวดหลัง เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่อาการปวดหลังที่สร้างผลกระทบให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันมากที่สุด ก็คือการปวดหลังชนิดเฉียบพลัน อาการปวดหลังชนิดนี้จะมีอาการปวดที่รุนแรงเกิดขึ้นในทันที ซึ่งต้องทำการสังเกตด้วยว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น การยกของหนัก การเอี้ยวตัวด้วยท่าทางที่ผิดปกติ การล้ม เมื่อทราบถึงสาเหตุจะได้ไม่ทำพฤติกรรมดังกล่าวซ้ำอีก ป้องกันอาการปวดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อมีอาการปวดชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้น ผู้ป่วยต้องรีบทำการประคบเย็นทันทีหรือภายใน 48 ชั่วโมงเพื่อลดอาการปวด และหลังจากนั้นให้ทำการประคบร้อน อาการปวดหลังจะทุเลาลง แต่ในผู้ป่วยบางรายเมื่อทำการประคบเย็นและประคบร้อนแล้ว แต่อาการปวดก็ยังไม่ทุเลาสามารถกินยาเพื่อช่วยลดอาการปวดที่เกิดขึ้นได้ แต่ว่าถ้าทำการกินยาและรักษาเบื้องต้นแล้ว อาการปวดยังไม่ดีขึ้นผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้หายสนิท
อาการปวดหลัง เป็นอาการที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกตลอดเวลา ถ้าเรายังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการปวดหลัง ไม่ว่าจะทำการยกของหนักด้วยท่าที่ผิด การนั่ง นอน ยืนเป็นเวลานานโดยไม่ทำการเปลี่ยนท่าเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังก็เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหลัง เส้นเอ็นและเอ็นกล้ามเนื้อมีความอ่อนแอไม่สามารถรองรับแรงกดหรือมีความยืดหยุ่นน้อย ดังนั้นการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและเอ็นกล้ามเนื้อจึงเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลังจึงเป็นวิธีที่ดีทีสุด
เราจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลังได้อย่างไร ?
1.ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การทำงานและดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอกับความเครียด และสำหรับที่ต้องทำงานยกของหนัก นั่งในท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน ทุกอย่างทำให้กล้ามเนื้อเกิดความเครียด ตึง ซึ่งเมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีความเมื่อยล้าเกิดขึ้นแล้ว เราควรหยุดพักเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถทุก ๆ ชั่วโมง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อลดความเสี่ยงในการอาการปวดหลัง
2.ห้ามยกของหนัก
การยกของหนักเป็นสาเหตุที่ทำให้หลังมีอาการบาดเจ็บและเกิดอาการปวดในทันที ซึ่งการยกของหนักนั้นสามารถทำได้แต่ต้องทำด้วยท่าทางที่ถูกต้อง ซึ่งท่าที่ถูกต้องก็คือ การย่อเข่าทั้งสองลง หลังเหยียดตรง มือทั้งสองข้างจับกับสิ่ง ที่ต้องการยกให้มั่น ออกแรงที่ขาและเข่าเพื่อยกสิ่งของนั้นขึ้น อย่าทำการก้มและยกของหนักขึ้นเพราะการยกของด้วยท่าดังกล่าวจะทำให้เกิดอาการปวดหลังในทันที
3.เปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ
การนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะทำงานเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงเป็นจุด ๆ ซึ่งจะทำให้หลังปวดได้ ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ หรือทุกชั่วโมง ทำการยืดเส้นยืดสาย ด้วยการยกมือขึ้นเหนือศีรษะและโน้มตัวไปข้างหน้า-ข้างหลัง ข้างขวา ข้างซ้าย เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหลัง
4.การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงแล้วอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นก็มีน้อยลงตามไปด้วย
ท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลัง
1.ท่าเหยียดขาตรง
เริ่มจากนอนราบกับพื้น แขนทั้งสองข้างแนบลำตัว ปลายเท้าชิด ทำการยกปลายเท้าทั้งสองข้างขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำการเกร็งกล้ามเนื้อ อยู่ในท่านี้ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 รอบ ครั้งละ 3 รอบ
2.ท่ายืดขางอ
เริ่มจากนอนราบกับพื้น แขนทั้งสองข้างแนบลำตัว ปลายเท้าชิด ค่อยลากปลายเท้าเข้าหาลำตัว เข่ายกขึ้นจนขนานกับพื้นทำการแยกเข่าทั้งสองข้างออกจากกัน พยายามกดเข่าลงให้แนบกับพื้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องวางแนบกับพื้นก็ได้
3.ท่างอเข่าเข้าหาลำตัว
เริ่มจากนอนราบกับพื้น แขนทั้งสองข้างแนบลำตัว ปลายเท้าชิด ยกข่าขึ้นโดยที่เข่าทั้งสองข้างยังชิดกันอยู่ นำมือทั้งสองข้างไปโอบรอบเข่าทั้งสองข้าง ดึงเข่าเข้าหาลำตัวช้า ๆ ให้เข้ามาใกล้ลำตัวมากที่สุด ในครั้งแรกที่ทำเข้าอาจจะยังไม่แนบลำตัว แต่เมื่อทำในครั้งต่อไปเราจะสามารถดึงเข่าให้มาชิดกับลำตัวได้มากขึ้น จนในที่สุดเข่าก็จะมาชิดติดกับลำตัวได้ อยู่ในท่านี้ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 รอบ ครั้งละ 3 รอบ
5.ท่าปั่นจักรยานกลางอากาศ
เริ่มจากนอนราบกับพื้น แขนทั้งสองข้างแนบลำตัวฝ่ามือแนบพื้น ปลายเท้าชิด ใช้ฝ่ามือดันสะโพกให้ยกจากพื้นเล็กน้อย ยกขาทั้งสองข้างขึ้นกลางอากาศ ทำท่าคล้ายกับการปั่นจักรยาน ทำการปั่น 20 รอบ ครั้งละ 3 รอบ
6.ท่ากระดกขากลางอากาศ
เริ่มจากนอนราบกับพื้น แขนทั้งสองข้างแนบลำตัวฝ่ามือแนบพื้น ปลายเท้าชิด ใช้ฝ่ามือดันสะโพกให้ยกจากพื้นเล็กน้อย ลดขาขวาลงและยกขาซ้ายขึ้น อยู่ในท่านี้ 10 วินาที สลับเอาขาซ้ายขึ้นและขาขวาลง อยู่ในท่านี้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 รอบ ครั้งละ 3 รอบ
7.ก้มแตะปลายเท้า
เริ่มจากยืนตัวตรง หลังตรง ปลายเท้าแยกออกจากันเล็กน้อย มือทั้งสองข้างโน้มมาข้างหน้า ค่อย ๆ ก้มตัวลงให้ปลายนิ้วมือจรดปลายเท้า ในการทำครั้งแรกปลายนิ้วมือจะไม่สามารถจรดปลายเท้าได้ แต่เมื่อทำไปอย่างต่อเนื่องกล้ามเนื้อหลังจะมีความยืดหยุ่นปลายนิ้วมือจะสามารถลงมาจรดปลายเท้าได้อย่างง่ายดาย
8.ท่าคลานเข่า
เริ่มจากทำท่าคลานเข่า มือและเข่าเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการรับน้ำหนัก ยกขาขวาแล้วยืดออกไปด้านหลัง เหยียดขาให้ตรงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เกร็งกล้ามเนื้อไว้ 10 วินาที ลดขาลงมาอยู่ในท่าเริ่มต้น สลับยกขาซ้ายขึ้นเหยียดขาให้ตรงเท่าที่จะทำได้ เกร็งกล้ามเนื้อไว้ 10 วินาที ลดขาลงมาอยู่ในท่าเริ่มต้น ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง ท่านี้จะสามารถช่วยลด อาการปวดหลัง ที่ร้าวลงไปยังบริเวณต้นขาได้ด้วย
การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อต้องทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลได้ ในการทำครั้งแรกอย่าเพิ่งหักโหมหรือพยายามทำให้ได้ตามที่ใจต้องการ
กล้ามเนื้อที่ไม่ได้รับการออกกำลังมาก่อนจะมีความยืดหยุ่นน้อย เมื่อทำบางท่าอาจจะไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้ แต่เมื่อทำซ้ำไปสักระยะหนึ่งกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและสามารถยืดหยุ่นได้ดี ท่าการออกกำลังกายก็จะสวยงาม ความแข็งแรงก็สูงส่งผลให้อาการปวดหลังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยหรือไม่เกิดขึ้นได้เลย
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรเดินโดยไม่มีการใช้ไม้พยุงเพื่อช่วยลดแรกที่จะส่งไปยังกล้ามเนื้อและกระดูกที่หลังอย่างเด็ดขาด เพราะว่าจะทำให้อาการปวดที่เป็นอยู่นั้นมีความรุนแรงมากขึ้น จึงนับว่าไม้ค้ำรักแร้หรือไม้ช่วยพยุงเดินนั้นสามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้เช่นกัน เพราะว่าไม้ช่วยพยุงจะช่วยช่วยลดการลงน้ำหนักไปที่กล้ามเนื้อหลังและขาข้างที่มีอาการปวด โดยไม้ช่วยพยุงจะเป็นตัวรับแรงและน้ำหนักนั้นไว้เอง ไม้ช่วยพยุงที่นำมาใช้ควรมีความสูงพอดี ห้ามสูงหรือต่ำกว่าอย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้ผู้ใช้มีการแย่ลงกว่าเดิมได้ โดยไม้ช่วยพยุงเมื่อตั้งฉากกับพื้นราบแล้วต้องมีความสูงพอกับใต้รักแร้ วัสดุที่นำมาใช้ทำไม้ช่วยพยุงต้องเป็นวัสดุที่มีความ ทนทาน เช่น ไม้หรืออลูมิเนียม และช่วงที่อยู่ใต้รักแรต้องหุ้มด้วยวัสดุนิ่มเพื่อรองรับน้ำหนักใต้วงแขนแล้วไม่ทำให้ใต้วงแขนเกิดอาการเจ็บได้
การไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษานั้น ในขั้นแรกแพทย์จะทำการซักประวัติและให้กรอกแบบสอบถามเพื่อที่จะได้ประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วยว่ามีอาการอยู่ในระดับใดแล้ว ซึ่งลักษณะของแบบสอบถามจะมีลักษณะดังนี้
ชื่อ-สกุล____________________________________อายุ______วันที่____________เพศ_____
H.N._____________________________อาชีพ_____________________________________ ท่านปวดหลังมานานแค่ไหน_________ปี__________เดือน_________สัปดาห์ ท่านปวดหลังมานานแค่ไหน_________ปี__________เดือน_________สัปดาห์ ครั้งที่ 1 วันที่________________ ถ้าความปวดมากที่สุด = 10 ความไม่ปวดเลย = 0 ขณะนี้ท่านมีความปวดมาก-น้อยแค่ไหน
ไม่ปวดเลย ปวดมากสุด ครั้งที่ 2 วันที่________________ ถ้าความปวดมากที่สุด = 10 ความไม่ปวดเลย = 0 ขณะนี้ท่านมีความปวดมาก-น้อยแค่ไหน
ไม่ปวดเลย ปวดมากสุด ครั้งที่ 3 วันที่________________ ถ้าความปวดมากที่สุด = 10 ความไม่ปวดเลย = 0 ขณะนี้ท่านมีความปวดมาก-น้อยแค่ไหน
ไม่ปวดเลย ปวดมากสุด |
เมื่อทำการกรอกเอกสารฉบับนี้แล้ว ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง แพทย์ที่ทำการตรวจจะให้ทำแบบสอบถามอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อที่จะได้ทราบถึงสาเหตุของอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เพื่อที่จะได้ให้การรักษาอย่างถูกต้อง
แบบสอบถามสำรวจอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง ( Modified Oswestry Low Backk Pain Disability Questionnaire )
ชื่อ-สกุล___________________________________อายุ______วันที่_____________เพศ_____
H.N._____________________________อาชีพ_____________________________________ ท่านปวดหลังมานานแค่ไหน_________ปี__________เดือน_________สัปดาห์ ท่านปวดหลังมานานแค่ไหน_________ปี__________เดือน_________สัปดาห์ กรุณาใส่เครื่องหมาย ✔ หน้าหัวข้อที่ท่านรู้สึกเกี่ยวกับท่าน สวนที่ 1 : ความรุนแรงของความปวด ( pain intensity ) ロ ไม่มีความปวดสักครั้งเลย ロ สามารถทนต่อความปวดได้โดยไม่ต้องรับประทานยา ロ มีความปวดอยู่แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาระงับปวดเพือบรรเทาอาการปวด ロ เมื่อรับประทานยาแล้วอาการปวดที่เป็นอยู่หายหมด ロเมื่อรับประทานยาแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดได้เพียงบางส่วน ロเมื่อรับประทานยาแล้วไม่สามารถช่วยลดหรือทำให้อาการปวดหายไปได้ จึงไม่รับประทานยาแก้ปวด ส่วนที่ 2 : อาบน้ำ, ทำความสะอาดตัวเอง, แต่งตัว ( personal care ) ロ ดูแลตัวเองได้แต่มีอาการปวดเกิดขึ้นอยู่บ้าง ロ ดูแลตัวเองได้โดยไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย ロ ดูแลตัวเองได้ตามปกติโดยไม่คำนึงถึงอาการปวด ロ ดูแลตัวเองได้โดยมีอาการปวดเพิ่มขึ้น จึงทำช้าช้าด้วยความระมัดระวัง ロ ต้องให้คนอื่นช่วยทำทุกอย่างและทุกวันในเรื่องดูแลตัวเอง ロ ต้องนอนอยู่บนเตียงเพราะอาการปวด และดูแลตัวเองลำบาก ส่วนที่ 3 : ยกของหนัก ( lifting ) ロ ยกหรือแบบอะไรไม่ได้เลย ロ ยกได้แต่ของเบาๆ ロ ยกของหนักได้โดยไม่ปวด ロ ยกของหนักได้แต่รู้สึกปวดเล็กน้อย ロ ยกของหนักจากพื้นขึ้นมาปวด แต่ถ้ายกอยู่ระดับโต๊ะพอจะยกได้ ロ ความปวดทำให้ยกของหนักไม่ไหว แต่ถ้าของเบาหน่อยพอยกได้ ส่วนที่ 4 : การเดิน ( walking ) ロ นอนอยู่บนเตียงตลอด ロ เดินไหวแต่ต้องใช้ไม้เท้าหรือไม้ช่วยพยุงใต้รักแร้ช่วยในการเดินอาการปวดจึงไม่มี ロ เดินครึ่งกิโลเมตรก็มีอาการปวด ロ เดินได้แค่ 1 กิโลเมตร ก็มีอาการปวดแล้ว ロ เดินมากกว่า 2 กิโลเมตร จะเริ่มมีอาการปวด ロ เดินไกลแค่ไหนก็ไม่มีอาการปวด ส่วนที่ 5 : การนั่ง ( sitting ) ロ นั่งเก้าอี้บางตัวได้นานโดยไม่กำหนดเวลา ロ หนังเก้าอี้ทุกตัวได้นานโดยไม่กำหนดเวลา ロ นั่งได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง จะปวดแล้ว ロ นั่งได้ครั้งละไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะเริ่มมีอาการปวดเกิดขึ้นแล้ว ロ นั่งได้นาน 10 นาที จะเริ่มมีอาการปวดเกิดขึ้นแล้ว ロ มีอาการปวดจนนั่งไม่สามารถนั่งได้เลย ส่วนที่ 6 : การนอน ( sleeping ) ロ มีอาการปวดจนนอนไม่ได้เลย ロ เมื่อรับประทานยาแก้ปวดแล้ว สามารถนอนหลับได้น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ロเมื่อรับประทานยาแก้ปวดแล้ว สามารถนอนหลับได้น้อยกว่า 4 ชั่วโมง ロเมื่อรับประทานยาแก้ปวดแล้ว สามารถนอนหลับได้ 6 ชั่วโมง ロ สามารถนอนได้เฉพาะตอนที่รับประทานยาแก้ปวด ロ อาการปวดทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้ ส่วนที่ 7 : การยืน ( standing ) ロ ยืนได้นานโดยไม่มีอาการปวด ロ อาการปวดเกิดขึ้นตลอดจนไม่สามารถยืนได้ ロ ยืนได้นานแต่มีอาการปวดเล็กน้อย ロ ยืนนานเกิน 1 ชั่วโมง ไม่ได้ ロ ยืนนานเกิน 30 นาที ไม่ได้ ロ ยืนนานเกิน 10 นาทีไม่ได้ ส่วนที่ 8 : การเดินทาง ( travelling ) ロ เดินทางไปไหนได้โดยไม่มีอาการปวด ロ เดินทางไปไหนได้แม้จะมีอาการปวดบ้างเล็กน้อย ロ มีอาการปวดอยู่บ้างแต่ยังเดินทางได้กว่า 2 ชั่วโมง ロ มีอาการปวดมาก จนเดินทางได้น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ロ มีอาการปวดมาก จนเดินทางเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ロ มีอาการปวดมากไปไหนไม่ได้เลย นอกจากมาหาแพทย์หรือไปโรงพยาบาล ส่วนที่ 9 : การเข้าสังคม ( Social Life ) ロ ไม่มีการสมาคมเลยเพราะมีอาการปวด ロ สมาคมได้ปกติโดยไม่มีอาการปวด ロ สมาคมได้แต่มีอาการปวดเล็กน้อย ロ ทำอะไรที่ชอบยังได้ แม้จะมีอาการปวดบ้าง ロ อาการปวดที่เกิดขึ้นทำให้การสมาคมลดลง ロ อาการปวดที่เกิดขึ้นทำให้การสมาคมลำบากจนคิดอยากอยู่บ้าน ส่วนที่ 10 : การทำงาน / ทำงานบ้าน ロ ทำได้ตามปกติไม่มีอาการปวด ロ ปวดมากจนต้องอยู่เฉยๆไม่ทำงานเลย ロ ทำงานได้ มีอาการปวดเกิดขึ้นบ้างแต่ยังทำได้สม่ำเสมอ ロ ทำงานได้ แต่ถ้างานหนักจะเสร็จทันที ( ยกของหนัก, ดูดฝุ่น, ถูบ้าน ) ロ อาการปวดทำให้ทำได้แต่งานเบาเบาๆเท่านั้น ロ มีอาการปวดมาก จนงานเบาเบาๆก็ทำไม่ไหว |
แบบสอบถามทั้งสองแบบจะทำให้แพทย์ทราบถึงอาการของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน และสามารถทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง ผู้ป่วยจะหายจากอาการปวดหลังจากการรักษาที่สาเหตุแท้จริง
อาการปวดหลัง เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ และทุกเพศ ดังนั้นการใช้ชีวิตประจำวันเราควรใส่ใจอวัยวะทุกส่วน ใช้งานด้วยท่าทางที่ถูกต้อง รู้จักออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เราจะได้ไม่ต้องมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทุกทรมานกัน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
มนูญ บัญชรเทวกุล. การป้องกันและแก้อาการปวดหลัง. กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน, 2551.
https://www.medicinenet.com/shoulder_pain_facts/article.html