อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย
ผู้ป่วยที่มีอาการไตวาย มักจะต้องได้รับโภชนาการที่ดีและมีความเหมาะสม กับช่วงระยะของอาการไตวายที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ซึ่งการรับประทานโภชนาการที่ดีและมีความเหมาะสมนั้น จะช่วยทำให้ลดอัตราการเจ็บป่วย ตลอดจนกระทั่งลดอาการแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่ง อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย จะถูกจำกัดสารอาหารต่างๆตามระยะของโรค
การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 1 – 3 ต้องจำกัดโปรตีน ไขมัน น้ำตาล และเกลือ
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 4 – 5 ต้องจำกัดและควบคุมอาหารมากขึ้น ต้องระมัดระวังเรื่องฟอสเฟต และ โพแทสเซียม
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย หลังจากที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จะต้องควบคุมอาหารเหมือนกับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 1 – 3 ซึ่งจะต้องพิจารณาไตใหม่ด้วยว่า สามารถทำงานได้ดีหรือไม่
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายหลังจากล้างไตหรือทำการฟอกเลือด ผู้ป่วยอาจจะรับประทานอาหารโปรด ตามใจผู้ป่วยได้บ้างแต่ต้องไม่มาก เพราะจำเป็นจะต้องควบคุมอาหารต่อไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะทำการล้างไตแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้การทำงานของไตกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ทั้งหมด
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายจากการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม สามารถทำได้ในช่วงเวลา 8 – 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สามารถกำจัดของเสียได้เพียง 6 – 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายจากการล้างไตทางด้านหน้าท้อง ผู้ป่วยสามารถทำได้เองที่บ้าน สามารถทำได้ทุกวัน วิธีนี้จะสามารถกำจัดของเสียได้ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ของไตปกติ
สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง มีโอกาสขาดสารอาหาร
1. โรคไต ส่งผลทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหาร
2. การจำกัดอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย ส่งผลทำให้เหลือแต่เมนูอาหารรสจืด และ มีเมนูอาหารน้อยลง ทำให้ผู้ป่วยเบื่อที่จะรับประทานอาหาร และอยู่ในสภาวะเครียด
3. มีการสูญเสียสารอาหารต่าง ๆ ไปกับการบำบัดไต โดยเฉพาะโปรตีน
4. ในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อ จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียโปรตีนมากยิ่งขึ้น
โปรตีนที่ผู้ป่วยไตวายต้องการ
โปรตีน นับได้ว่าส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และ เนื้อเยื่อภายในร่างกาย และโปรตีนยังคงมีความจำเป็นในการเสริมสร้างฮอร์โมน ภูมิต้านทาน และกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายของคนเราทั้งหมด เมื่อมีการย่อยสลายโปรตีนที่เราได้รับประทานเข้าไปในแต่ละครั้ง จะทำให้เกิดของเสียในรูปแบบยูเรีย ทำให้เป็นสาเหตุที่จะต้องจำกัดโปรตีน โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่ผู้ป่วยได้ทำการล้างไต หรือ ทำการฟอกเลือดแล้ว ผู้ป่วยจะสามารถเพิ่มโปรตีนขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้ป่วยไตวายระยะที่ 1 – 3 ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะไม่ขาดสารอาหาร แต่ต้องการโปรตีนประมาณ 0.6-0.8 กรัม หรือ วันละ 6 – 8 ช้อนโต๊ะ ซึ่งระดับยูเรียจะต้องเพิ่มขึ้นไม่เกินวันละ 20 มก./ดล.เท่านั้น
ผู้ป่วยไตวายระดับที่ 4 – 5 ในกลุ่มผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง มักจะต้องการโปรตีนประมาณ 0.6-0.8 กรัมต่อวัน ส่วนผู้ป่วยที่ทำการฟอกไต ควรได้รับโปรตีน 1.1 – 1.4 กรัมต่อวัน
โปรตีนแบบไหนที่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยไตวาย
โปรตีนที่มีความสมบูรณ์และมีกรดอะมิโนอย่างครบถ้วน ส่วนใหญ่แล้วจะได้มาจากเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ที่สามารถย่อยได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นไข่ขาว กบ กุ้ง และ ไก่ รวมไปถึงกรดไขมันชนิดดี ได้แก่ โอเมก้า 3
- โปรตีนจากพืช อย่างเช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ เต้าหู้ เป็นต้น
- โปรตีนภายในถั่วเมล็ดแห้ง อาจจะต้องระวังโพแทสเซียม และ ฟอสฟอรัส
- โปรตีนจากไข่ขาว สามารถทดแทนเนื้อสัตว์ที่ขาดไปได้
ซึ่งไข่ขาวจำนวน 1 ฟอง จะเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์สุกแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ
การพิจารณาว่าผู้ป่วยได้รับโปรตีนเพียงพอหรือยัง มีวิธีดังนี้
- ประเมินจากสภาพร่างกายของผู้ป่วย พร้อมทั้งอาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน
- การเจาะเลือดเพื่อหาผลโปรตีนอัลบูมิน
- หากพบว่ามีอัลบูมินต่ำกว่า 4 มก.% ผู้ป่วยจะต้องหันมารับประทานโปรตีนให้มากขึ้น
การจำกัดเกลือโซเดียมและผงฟูในผู้ป่วยไตวาย
สำหรับคนปกติทั่วไป
อาหารที่มีการจำกัดโซเดียมใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการบวม ถ่ายปัสสาวะน้อย หัวใจวาย น้ำท่วมปอด หรือมีความดันโลหิตสูง อาหารที่มีโซเดียมสูงที่ควรระวัง ได้แก่ อาหารที่มีรสเค็มจากการใช้เครื่องปรุงต่างๆ เช่นเกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอสหอยนางรม น้ำบูดู ซุปก้อน ผงปรุงรสต่างๆ ต้องระวังไม่ใส่เครื่องปรุงรสต่างๆ มากในการประกอบอาหาร นอกจากนี้ต้องไม่เติมเครื่องปรุงรสต่างๆนี้เพิ่มในระหว่างการกินอาหาร และหลีกเลี่ยง อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง อาหารว่างที่ออกรส เค็ม อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ หมูหยอง อาหารสำเร็จรูป จำพวกโจ๊ก บะหมี่ วุ้นเส้น และขนมขบเคี้ยวต่างทุกชนิด
ไม่ควรรับประทานเกลือหรือโซเดียมมากกว่า 6 กรัม เนื่องจากการที่ร่างกายของคนเราได้รับโซเดียมมากจนเกินไป จะส่งผลทำให้มีน้ำสะสมภายในร่างกายมากยิ่งขึ้น อาจจะทำให้เกิดความดันเลือดสูง มีอาการน้ำท่วมปอด และเกิดภาวะหัวใจวายได้อย่างง่าย ๆ ซึ่งในกรณีของผู้ป่วยไตวายที่ไม่ควบคุมและจำกัดเกลือโซเดียม ย่อมได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ได้รับอาหารที่มีเกลือประกอบอยู่น้อย
มักจะไม่ค่อยกระหายและอยากดื่มน้ำ ส่งผลทำให้เลือดหนืด แต่ไตจะไม่ทำงานหนัก ทำให้เกิดโรคหัวใจได้น้อยกว่าคนทั่วไป ซึ่งการทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน จะช่วยทำให้ลดความดันโลหิตได้ 2 – 8 มิลลิเมตรปรอท
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะไม่รุนแรง
ควรจำกัดโซเดียมและจะต้องรับประทานไม่เกิน 2 กรัมต่อวันเท่านั้น หากจะให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยไตวายระยะไม่รุนแรง สามารถรับประทานเกลือแกงได้ประมาณ 1ช้อนชาต่อวัน และ น้ำปลา หรือ ซีอิ้วขาว ไม่เกิน 3 – 4 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะรุนแรง
ควรจำกัดเกลือแกง ซึ่งจะต้องบริโภคไม่เกินวันละ 0.5 ช้อนชา และปริมาณโซเดียม ที่มีอยู่ในอาหารประเภทเครื่องปรุง อย่างเช่น เกลือ น้ำปลา ซีอิ้วขาว หรือ ซุปก้อน รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.5 กรัม ซึ่งเมนูอาหารจะต้องมีรสจืดสนิทเลยทีเดียว
การจำกัดฟอสฟอรัสในอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังหรือระยะรุนแรง
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง หรือ ผู้ป่วยไตวายระยะรุนแรง จะต้องจำกัดปริมาณฟอสฟอรัส โดยจะต้องน้อยกว่า 600 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น ส่วนอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายที่มีฟอสฟอรัส หรือ ฟอสเฟตมาก ได้แก่
- น้ำอัดลม ทุเรียน ชา กาแฟ เมล็ดพืช ถั่วเมล็ดแห้ง
- เนื้อสัตว์ ไข่แดง
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม
- อาหารที่ใช้ยีสต์
การจำกัดโพแทสเซียมในอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย
โปแตสเซียมถูกขับออกทางไต เมื่อไตเสื่อมจะทำให้เกิดการคั่งของโปแตสเซียม ผู้ป่วยไตวายมักจะมีการคั่งของโปแตสเซียม ซึ่งถ้าระดับโปแตสเซียมสูงมาก อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ การจัดอาหารให้มีโปแตสเซียมน้อย กระทำได้ยากกว่าการจัดให้มีโซเดียมน้อย เพราะธาตุโปแตสเซียมมีในอาหารทั่วไปทั้งสัตว์และพืช ต่างจากโซเดียมซึ่งมีมากแต่ในสัตว์ เช่น เนื้อ นม ไข่
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะแรก ๆ อาจจะไม่ต้องจำกัดโพแทสเซียมมากนัก เพราะไตยังคงสามารถขับโพแทสเซียมได้ แต่ต้องจำกัดในช่วงที่พบว่ามีโพแทสเซียมสูง หรือ เมื่อพบว่าผู้ป่วยเป็นไตวายระยะสุดท้าย เมื่อมีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มิลลิลิตรต่อวัน หากต้องการรับประทานผลไม้ ควรรับประทานก่อนการฟอกเลือด
เนื่องจากการที่ผู้ป่วยมีโพแทสเซียมสูง จะส่งผลทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ หากผู้ป่วยไตวายที่ต้องฟอกเลือด มักจะแนะนำให้รับประทานผลไม้ในช่วงตอนเช้าของวันที่ฟอกเลือดเท่านั้น
ผู้ป่วยจะสามารถขับโพแทสเซียมภายในผลไม้ที่รับประทาน ออกมาได้ในระหว่างที่ผู้ป่วยทำการฟอกเลือดนั่นเอง ส่วนผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ควรได้รับโพแทสเซียมน้อยกว่า 4.7 กรัมต่อวันเท่านั้น
อาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ ได้แก่
- ผักจำพวกกะหล่ำปลี แตงกวา ฟักเขียว ถั่วงอก บวบ หอมหัวใหญ่ เห็นหูหนู ผักคะน้า มะระ
- ผลไม้จำพวก แตงโม แอปเปิล ชมพู่ มะละกอสุก มะม่วง องุ่น สับปะรด
อาหารที่มีโพสแทสเซียมปานกลาง ได้แก่
- งา ปลาทู กุ้งแม่น้ำ ปลาสวาย
- ผลไม้จำพวก ส้ม ส้มโอ แอปเปิล สตรอเบอรี่ แคนตาลูป เงาะ กระท้อน ขนุน
- ผักจำพวก เห็ดนางฟ้า แตงกวา น้ำเต้า ฟักเขียว มะเขือเทศสีดา
อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่
- ผลไม้จำพวก ทุเรียน มะพร้าว กล้วยทุกชนิด ลำไย ผลไม้อบแห้ง
- ผักจำพวก บร็อกโคลี แครอท มันเทศ ผักบุ้ง ตำลึง ใบแมงลัก หน่อไม้
- ปลาทูน่า ปลาอินทรี เนย
ผู้ป่วยเปลี่ยนไต ควรจำกัดอาหารอย่างไร?
- พลังงาน ผู้ป่วยจะต้องได้รับพลังงานขึ้นให้เทียบเท่ากับกิจกรรมที่ทำอยู่
- โปรตีน หากไตใหม่สามารถทำงานได้ดี ควรบริโภคโปรตีนอย่างน้อย 1.3 – 2.0 กรัม และควรจำกัดโปรตีนตามระดับของไตวาย
- คาร์โบไฮเดรต ต้องมีการจำกัดน้อยลงกว่าปกติ
- ไขมัน ควรจำกัดให้น้อยลง หากมีไขมันสูง จะส่งผลต่อหลอดเลือดและหัวใจ
- เกลือโซเดียม ควรจำกัดอย่างมาก อย่างน้อยจะต้องไม่เกิน 2 กรัมต่อวันเท่านั้น เพื่อรักษาระดับความดันโลหิต และไม่ให้เกิดภาวะบวมมากขึ้น
- แคลเซียมและฟอสฟอรัส ระวังอย่าให้ร่างกายขาดแคลเซียมเป็นอันขาด อัตราส่วนควรเป็นไปในรูปแบบ 1 : 1 เท่านั้น
- วิตามินดี อาจจะต้องเสริมเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักหลายสัปดาห์
การรักษาสมดุลน้ำภายในร่างกายของผู้ป่วยไตวาย
สำหรับผู้ป่วยไตวายเฉียบพลัน และ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังทุกระยะ จำเป็นจะต้องรักษาและควบคุมปริมาณน้ำที่รับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้มีความสมดุลกับปริมาณน้ำที่ออกจากร่างกาย และเพื่อไม่ให้มีน้ำคั่งมากจนเกินไป โดยปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวัน จะเท่ากับปริมาณของปัสสาวะของวันที่ผ่านมา + น้ำที่เสียทางเหงื่อ โดยรวมประมาณ 300 – 500 + อุจจาระ ประมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน
1. ผู้ป่วยไตวายที่ไม่ปัสสาวะเลย หรือ ปัสสาวะน้อยมาก นับได้ว่าเป็นระยะที่อันตรายมากที่สุด จะต้องจำกัดน้ำอย่างมาก โดยผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำได้ไม่เกิน 500 – 750 ซีซีต่อวันเท่านั้น
2. ผู้ป่วยฟอกเลือด ควรดื่มน้ำ 500 – 750 มิลลิลิตรต่อวัน บวกกับปริมาณปัสสาวะทั้งวัน
3. ผู้ป่วยที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้อง ควรดื่มน้ำ 500 – 750 มิลลิลิตร บวกกับปริมาณปัสสาวะทั้งวัน และบวกกับกำไรรวมจากน้ำยาพีดีที่ได้ของวันนั้น ๆ
4. ผู้ป่วยไตวายที่เริ่มฟื้นตัวแล้ว ต้องเพิ่มปริมาณน้ำ เพื่อรักษาสมดุลน้ำภายในร่างกายโดยตรง
5. ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคไตวาย จะต้องดื่มน้ำให้น้อยกว่าผู้ใหญ่
อาการของผู้ป่วยไตวายที่แสดงให้เห็นว่ามีภาวะน้ำเกิน
1. ผู้ป่วยมีอาการบวมเกิดขึ้นบริเวณเปลือกตา นิ้ว และข้อต่าง ๆ
2. ผู้ป่วยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก
3. ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ มีความดันโลหิตสูง
4. ผู้ป่วยหอบและเหนื่อย นอนราบไม่ได้
5. ผู้ป่วยมีอาการไอ พบเจอเส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง
การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำเกิน
- พยายามชั่งน้ำหนักตัวผู้ป่วยทุกวัน โดยน้ำหนักจะต้องเพิ่มไม่เกินวันละ 0.5 กิโลกรัม
- ควรวัดความดันเลือด อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ โดยที่ต้องไม่เกินไปกว่าที่กำหนดหรือต้องทำการควบคุมปริมาณน้ำ
- ให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้าม หรือ ควบคุม
- หากผู้ป่วยมีอาการบวมมากขึ้น ควรใช้น้ำยาพีดีเข้มข้น 2.5 % หรืออาจจะใช้ 4.25% ร่วมกันกับ 1.5% จนกว่าอาการบวมของผู้ป่วยจะยุบตัวลง แล้วจึงค่อยกลับมาใช้น้ำยาพีดี 1.5% อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง และ ผู้ป่วยโรคไตวายระยะต่าง ๆ ต้องทำการจำกัด และควบคุมเป็นพิเศษ เพื่อที่จะสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร พร้อมทั้งปริมาณน้ำที่เหมาะสม มีความสมดุลต่อร่างกาย ทั้งผู้ป่วยและญาติควรศึกษาและทำความเข้าใจ พร้อมทั้งควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย และ เพื่อเป็นการยืดอายุไตเอาไว้อย่างสูงสุดนั่นเอง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
“Diabetes treatment—bridging the divide”. The New England Journal of Medicine. 356.
Diabetes Mellitus (DM): Diabetes Mellitus and Disorders of Carbohydrate Metabolism: Merck Manual Professional”. Merck Publishing. April 2010. Archived from the original on 2010-07-28. Retrieved 2010-07-30.