
เปลี่ยนไต
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย หรือ ไตทำงานได้น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จะต้องได้รับการ เปลี่ยนไตจำนวน 1 ข้าง เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้มีไตใหม่มาคอยทำหน้าที่ทดแทนไตเดิม ซึ่งไตเดิมไม่สามารถทำหน้าที่ได้แล้วทั้งสองข้าง เพราะฉะนั้น ผู้ป่วยเปลี่ยนไต จะมีไตเดิมจำนวน 1 ข้าง และไตใหม่จำนวน 1 ข้าง หากไตใหม่สามารถทำ งานได้ดี เป็นปกติ และไม่มีปฏิกิริยาเหมือนจะต่อต้าน ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้องทำการฟอกเลือด หรือ ล้างไตอีกต่อไปการรับบริจาคไต สามารถรับบริจาคได้จากกลุ่มคนเหล่านี้
[adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
ผู้ที่เปลี่ยนไตจะได้รับบริจาคจาก 2 กลุ่ม
1. ผู้บริจาคไตที่เพิ่งเสียชีวิต ผู้บริจาคอวัยะที่เพิ่งจะเสียชีวิต
บางแห่งอาจจะต้องรอให้ผู้บริจาคอวัยวะหัวใจหยุดเต้นเสียก่อน แต่บางที่อาจจะพึ่งการตรวจคลื่นสมองเป็นหลัก หากสมองตายแล้ว ผู้บริจาคอวัยวะจะสามารถบริจาคอวัยวะได้ทันทีในขณะนั้น ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องรอให้หัวใจหยุดเต้นก็สามารถทำได้ ซึ่งแพทย์จะจัดเตรียมความพร้อมในการผ่าตัดไต ทันทีที่ผู้บริจาคได้เสียชีวิตลง
2. รับบริจาคจากญาติที่มีชีวิตอยู่
รับบริจาคจากญาติที่มีชีวิตอยู่หรือ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ว่าจะเป็น พ่อ – แม่ หรือ ญาติพี่น้อง ลุง ป้า น้าอา หรือแม้กระทั่งหลาน หากเป็นกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกัน ย่อมสามารถบริจาคไตให้แก่กันได้
ผู้บริจาคที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับผู้ป่วย หากผลแสดงออกมาว่าเข้ากันได้ ก็สามารถบริจาคไตให้กันได้
เราสามารถบริจาคไตที่ไหนได้บ้าง สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคไต สามารถแสดงความจำนงได้ที่ศูนย์บริจาคไต ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานของสภากาชาดไทย หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลประจำจังหวัด หรือ โรงพยาบาลที่มีคณะแพทยศาสตร์ หลังจากที่ผู้บริจาคได้ทำเรื่องเพื่อขอบริจาคไตแล้ว ควรแจ้งให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดทราบด้วย ซึ่งญาติและผู้ใกล้ชิด จะคอยทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ และเซ็นชื่อยินยอม เพื่อให้แพทย์ได้ผ่าตัดเอาไตของผู้บริจาคไปให้กับผู้รับบริจาค
หากต้องการบริจาคไตให้ญาติ ต้องตรวจอะไรบ้าง?
ผู้บริจาคไต จะต้องได้รับการตรวจร่างกาย เพื่อที่จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด ว่าผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ และมีสภาพจิตใจที่เป็นปกติ ซึ่งผู้บริจาคจะต้องผ่านการตรวจคัดกรอง ดังนี้ [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
1. วัดความดันเลือดและชีพจร ซึ่งผู้บริจาคจะต้องไม่เป็นความดันโลหิตสูง
2. ต้องตรวจเลือดดูการทำงานของไต ซึ่งไตต้องปกติและต้องไม่เป็นเบาหวาน
3. ต้องทำการตรวจปัสสาวะ ซึ่งต้องปกติเท่านั้น
4. ตรวจอัลตราซาวน์ ต้องพบว่าไม่มีโรคร้ายแรง
5. ต้องตรวจคลื่นหัวใจอย่างละเอียด
6. ต้องถูกประเมินทางจิตเวช
หลังจากที่ได้มีการบริจาคไตให้กับญาติ ผู้บริจาคควรดูแลตนเองอย่างไร ?
เมื่อผู้บริจาคได้รับการผ่าตัดไตออกไปแล้ว ผู้บริจาคจะเหลือไตเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้บริจาคควรระมัดระวัง และควรดูแลตนเอง โดยจะต้องนอนพักฟื้น 2 – 4 สัปดาห์ จึงจะสามารถเริ่มต้นทำงานเบา ๆ ได้ และช่วงในระยะพักฟื้น ควรหมั่นลุกขึ้นเดินบ่อยครั้ง เพื่อบริหารร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งในช่วงระยะแรก ไม่ควรให้ แผลเปียกน้ำเป็นอันขาด เพื่อป้องกันอาการติดเชื้อ และ ผู้บริจาคจะต้องไม่ยกของหนัก นอกจากนี้ ผู้บริจาคควรดูแลสุขภาพให้เต็มที่ เพื่อที่จะสามารถกลับมามีสุขภาพเป็นปกติ และ แข็งแรงเหมือนเดิม
หากต้องการบริจาคไตให้กับสภากาชาดไทย ต้องทำอย่างไร ?
1. ผู้บริจาคจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ หรือ ควรมากกว่า 18 ปี และไม่ควรอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์
2. ผู้บริจาคจะต้องไม่เป็นความดันโลหิตสูง และ ไม่เป็นโรคเบาหวาน
3. เมื่อตรวจสภาพร่างกายแล้ว ต้องพบว่าไตของผู้บริจาคสามารถทำงานได้เป็นปกติ พร้อมทั้งไม่มีประวัติว่าเป็นโรคเรื้อรัง [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
4. ไม่มีภาวะโรคอ้วน
5. ผ่านการประเมินทางจิตเวช
คุณสมบัติของผู้รับบริจาคไต
1. เป็นผู้ป่วยที่กำลังรักษาตนเองด้วยการล้างไตทางช่องท้อง หรือ ต้องทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
2. อายุของผู้ป่วยจะต้องไม่เกิน 60 ปี หากเป็นผู้ป่วยเด็กจะต้องไม่เกิน 5 ปี
3. ผู้ปวยไม่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง
4. ผู้ป่วยไม่เป็นโรคตับเรื้อรัง
5. ผู้ป่วยไม่เป็นโรคมะเร็ง
6. ผู้ป่วยที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด
7. ผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคทางจิตเวช
8. ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง
9. ผู้ป่วยที่ไม่มีโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือ ยังแก้ไขไม่ได้
ผลสำเร็จของการปลูกถ่ายเปลี่ยนไต ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยอายุมากกว่า 55 ปี
- เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 7 ปี
- โรคของผู้ป่วยที่มีผลเสี่ยงต่อเส้นเลือดโดยตรง
- การเกิดภาวะติดเชื้อ
- ชนิดของไต ว่าได้รับมาจากผู้เสียชีวิต หรือ ผู้บริจาคที่มีชีวิตอยู่ หรือ จากใคร นับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมาก [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
การเตรียมตัวในช่วงเวลาที่ต้องรอเปลี่ยนไต
ที่ผ่านมา ผู้ป่วยจำนวน 100 คน จะมีแค่ 1.4 คนเท่านั้น ที่สามารถรับไตใหม่ได้ ในช่วงเวลาที่รอเปลี่ยนไต ผู้ป่วยอาจจะใช้เวลารอเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่บางรายอาจจะต้องรอเป็นปีกันเลยทีเดียว ซึ่งระหว่างที่ผู้ป่วยรอการเปลี่ยนไต จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติ มีดังต่อไปนี้
1. ควรตรวจสอบว่าแพทย์ผู้รักษา ได้มีการส่งข้อมูลผู้รอรับทั้งหมด เพื่อมาลงทะเบียนไว้กับศูนย์บริจาคอวัยะแล้วในช่วงนั้น
2. หลังจากที่ได้มีการลงทะเบียนเพื่อขอรอรับการบริจาคไต ผู้ป่วยจะต้องตรวจเลือดทุก 2 เดือน พร้อมทั้งตรวจสภาพร่างกายทุก 2 – 3 เดือน
3. ผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนไต และผู้ป่วยสูงอายุ หรือ ผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง จะต้องถูกตรวจเพื่อดูเส้นเลือดที่จะนำไตใหม่ไปปลูกถ่าย ว่าเส้นเลือดมีความแข็งแรง และมีความแคลเซียมเกาะอยู่หรือไม่
4. ผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเข้ารับการติดต่อผู้ประสานงานการเปลี่ยนไตได้ตลอด
5. ผู้ป่วยจะต้องเข้าพบแพทย์ตามกำหนด
6. ควรส่งเลือดทุกเดือน เพื่อตรวจหาโอกาสในการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ
7. ผู้ป่วยจะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงระหว่างนี้
8. ผู้ป่วยควรมีทุนทรัพย์ไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไต และ หลังจากที่ได้รับการเปลี่ยนไตแล้ว
กระบวนการผ่าตัดไตจากผู้เสียชีวิต
การผ่าตัดเอาไตออกจากมาจากร่างกายของผู้เสียชีวิต แพทย์จะต้องได้รับอนุญาตจากญาติของผู้เสียชีวิตก่อน ซึ่งแพทย์จะต้องติดต่อเพื่อขออนุญาต ก่อนที่หัวใจของผู้ป่วยจะหยุดเต้นลง เพื่อที่แพทย์จะได้มีระยะเวลาในการจัดเตรียม เพื่อทำการผ่าตัดไตได้ทันท่วงที [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
ส่วนทีมแพทย์เปลี่ยนไต จะพยายามทำให้ผู้บริจาคไตส่วนใหญ่ มีความดันโลหิตเป็นปกติ และผู้บริจาคจะต้องปัสสาวะออกมาได้มาก โดยแพทย์จะกระตุ้นการเกิดปัสสาวะ ด้วยการให้น้ำเหลือและแมนนิตอลทางเส้นเลือดของผู้บริจาคไต
เมื่อการผ่าตัดเกิดขึ้น และมีการนำไตทั้งสองข้างออกจากร่างกายของผู้บริจาคแล้ว ไตจะได้รับการเก็บรักษาอย่างดี โดยไตจะถูกแช่ในน้ำยาถนอมอวัยวะเท่านั้น และยังคงมีน้ำแข็งที่ปราศาจากเชื้อโรคเข้ามาช่วยเสริมและเพิ่มเติมอุณหภูมิ โดยไตที่ถูกผ่าตัดออกมาแล้ว จะสามารถเก็บได้นานถึง 48 ชั่วโมงด้วยกัน
ทางด้านศูนย์รับบริจาคอวัยวะ จะต้องทำการตรวจชนิดเนื้อเยื่อของผู้บริจาคไตก่อน พร้อมทั้งทดสอบความเข้ากันได้ของเม็ดเลือดขาว แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผู้รับบริจาค ว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ ซึ่งในกรณีการผ่าตัดไตจากผู้เสียชีวิตแล้ว จะสามารถแบ่งไตให้กับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้มากถึง 2 คนด้วยกัน นั่นเอง
การผ่าตัดไตจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิต
การผ่าตัดไตจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิตอยู่นั้น จะต้องมีการตรวจสภาพไตโดยการฉีดสี เพื่อที่แพทย์จะสามารถดูความผิดปกติของเส้นเลือดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งผู้บริจาคบางราย จะมีเส้นเลือดแดงของไตข้างละ 2 เส้นด้วยกัน ส่งผลทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนไตเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น และด้วยเหตุนี้แพทย์จึงต้องรู้รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ของผู้บริจาคไตเสียก่อน ซึ่งในกรณีของการผ่าตัดไตเก่าออกจากตัวผู้รับบริจาคนั้น แพทย์ไม่จำเป็นจะต้องทำการผ่าตัด พร้อมกับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนไต ซึ่งแพทย์สามารถผ่าตัดได้ก่อนหรือหลังจากนี้
การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต
1. ควรงดน้ำและอาหารประมาณ 6 ชั่วโมง
2. ควรงดยาและอาหารเสริม ที่ส่งผลทำให้เลือดหยุดยาก
3. ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องได้รับการดมยาสลบ
4. ไตจากผู้บริจาค จะถูกส่งต่อให้กับผู้รับบริจาค โดยแพทย์จะทำการต่อไตเข้ากับเส้นเลือด พร้อมทั้งทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วย บริเวณหน้าท้องน้อยเท่านั้น [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
การดูแลผู้ป่วยในระยะแรก หลังจากที่ได้รับการเปลี่ยนไต
1. หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ด้วยกัน ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง เหมือนกับการได้เข้ารับการผ่าตัดทั่วไปได้
2. เจ้าหน้าที่จะแจกเอกสาร เพื่อให้ผู้ป่วยศึกษาเกี่ยวกับกรณีการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค โดยต้องใช้ยาตามแพทย์สั่ง
3. ในกรณีที่พบว่าไตใหม่ ยังไม่สามารถทำงานได้ทัน ผู้ป่วยอาจจะต้องรอเป็นระยะเวลา 10 – 14 วัน เพื่อให้ไตฟื้นตัว แต่ในช่วงระหว่างนี้ ผู้ป่วยอาจจะต้องทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมร่วมด้วย
4. ผู้ป่วยอาจจะได้รับยา หลังจากการที่มีการผ่าตัดเพื่อปลูกไต ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน
การดูแลผู้ป่วยในระยะต่อมา หลังจากที่เปลี่ยนไตแล้ว
1. จะต้องระวังการติดเชื้อ เพราะจะส่งผลต่อผู้ป่วยโดยตรง
2. ในช่วงนี้ผู้ป่วยอาจจะต้องระวังการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ป่วยลดลงมาก
3. การมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงนี้ผู้ป่วยสามารถมีลูกได้ตามปกติ แต่ผู้ป่วยเพศหญิง อาจจะประสบปัญหาการตั้งครรภ์ในระหว่างนี้
4. การทำงานของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะสามารถเริ่มต้นทำงานเบา ๆ ซึ่งจะต้องไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือ เกิดอุบัติเหตุ หลังจากที่ผู้ป่วยได้ทำการเปลี่ยนไตมาแล้วเป็นระยะเวลา 1 เดือน
5. การออกกำลังกาย ผู้ป่วยควรเริ่มต้นจากการบริหารร่างกายแบบเบา ๆ ค่อย ๆ เพิ่มกายบริหารไปทีละขั้นตอน
6. เส้นเลือดที่ใช้ฟอกไต ถึงแม้จะได้รับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนไตสำเร็จแล้วก็ตาม แต่ผู้ป่วยจะยังคงมีเส้นเลือด เพื่อใช้ในการฟอกไตอยู่ ซึ่งแพทย์จะเก็บไว้เผื่อผู้ป่วยต้องกลับไปฟอกเลือดอีกครั้ง ซึ่งผู้ป่วยยังคงต้องดูแลเส้นเลือดที่ใช้ฟอกไตตามเดิมไปก่อน [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
หลังจากผู้ป่วยได้ผ่าตัดเปลี่ยนไตแล้ว ต้องตรวจอะไรอีกบ้าง ?
- ตรวจการทำงานของไต
- ตรวจเช็คสุขภาพประจำปี
- ตรวจหาเชื้อมะเร็ง
- ฉีดวัคซีนต่าง ๆ
- ตรวจสภาวะการตีบตันตามรอยต่อของหลอดเลือดแดงของไตใหม่ กับ หลอดเลือดแดงภายในร่างกาย
- การควบคุมความดันโลหิต
ผู้ป่วยที่เปลี่ยนไต จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ?
- ปกติแล้ว ไตใหม่ร้อยละ 50 จะสามารถทำงานได้เป็นปกติ นานกว่า 10 ปี ยิ่งถ้าหากเป็นไตที่เข้ากับเนื้อเยื่อของผู้รับและผู้ให้ ไตก็จะมีสภาพอยู่ได้นานมากกว่า 10 ปีแน่นอน
- สำหรับไตใหม่ที่เนื้อเยื่อเข้ากับร่างกายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก อายุไตใหม่มักจะสั้นลง ต่ำกว่า 10 ปี
- กลุ่มผู้ป่วยที่เสี่ยงในการผ่าตัด อัตราการอดของไต 2 ปี จะน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
หลังจากเข้ารับการเปลี่ยนไต สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น อาจจะมีระดับความรุนแรงถึงขั้นทำให้ไตใหม่มีลักษณะเสื่อมลงได้ หรือ ไตใหม่ไม่ทำงาน สาเหตุส่วนใหญ่มักจะมาจากการที่ผู้ป่วยไม่รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ก็ลืมทานยา หรือ มีการทานยามากจนเกินไป หรืออาจจะเกิดจากการที่โรคไตเดิมที่ผู้ป่วยเป็นอยู่มีอาการกำเริบ และส่งผลทำให้ไตใหม่ไม่ทำงาน ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน
วิธีการป้องกันแก้ไข
นอกจากนี้การเลือกใช้ยากดภูมิต้านทาน อาจจะส่งผลทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ ซึ่งแพทย์มักจะให้คำแนะนำ และ บอกวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- ความดันเลือดสูง อันเนื่องมาจากยา หรือผู้ป่วยมีประวัติเป็นความดันเลือดสูงอยู่แล้ว
- เป็นโรคเบาหวาน จากยา หรือ เป็นโรคเบาหวานมาก่อนหน้านี้แล้ว
- ไขมันในเลือดสูงจากการใช้ยา
- มีภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย
- เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากการใช้ยาเพร็ดนิโซโลน [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
ภาวะสลัดไตแบบเฉียบพลัน หรือ เรื้อรัง
ภาวะสลัดไต นั้น ถือได้ว่าเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ไม่สามารถรับไตใหม่ได้ โดยร่างกายมีการสร้างเคมีขึ้นมา เพื่อที่จะย่อยสลายไตใหม่ ส่วนเม็ดเลือดขาวชนิด ที – ลิมโฟไซต์ อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ และ ทำลายเนื้อเยื่อของไตได้เช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้แบบเฉียบพลันถึงขั้นรุนแรง และแบบค่อยเป็นค่อยไปก็มี ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. การสลัดไตอย่างเฉียบพลัน สามารถเกิดขึ้นได้ประมาณ 20 – 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีแรก แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ผู้ป่วยใช้กดภูมิต้านทานด้วย ซึ่งถือได้ว่ามีผู้ป่วยน้อยราย ที่ต้องใช้ยาราคาแพง เพื่อที่จะคอยควบคุมการสลัดไต
2. การสลัดไตอย่างเรื้อรัง ในกรณีนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้อย่างเด็ดขาด แต่ยังมีโอกาสในการลดความเสี่ยงนี้ได้อยู่ โดยจะต้องทำการควบคุมโรคที่อาจจะเกิดร่วมด้วย และ ผู้ป่วยจำต้องทานยากดภูมิต้านทานอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ซึ่งจะช่วยทำให้ไตมีอายุที่ยาวนานได้มากยิ่งขึ้น
อาการของผู้ป่วยที่เกิดภาวการณ์สลัดไต
- มีไข้
- มีอาการเจ็บปวดบริเวณไตที่ถูกเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้
- น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัสสาวะน้อยลง เนื่องจากไตทำงานไม่เป็นปกติ
- ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
ยาที่สามารถใช้รักษาภาวะสลัดไต
1. ยาสเตียรอยด์ จะมาในรูปแบบของยาฉีด หรือ ยารับประทาน
2. โอเคที – 3 ซึ่งจะถูกเตรียมมาจากน้ำเหลืองของหนูโดยตรง
3. เอทีจี ถูกเตรียมมาจากน้ำเหลือของม้าโดยตรง
4. ธัยโมโกลบูลิน ลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ซ้ำ
5. โฟรกราฟ สามารถรักษาได้ผลประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์
หากต้องการรักษาโรคไตวายที่ต่างจังหวัด และต้องทำการเปลี่ยนไตที่อื่น ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
1. ผู้ป่วยต้องมีใบส่งตัวจากอายุรแพทย์โรคไตประจำตัวโดยตรง
2. เข้าพบแพทย์โรคไตที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ เพื่อดูว่าจะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไตได้หรือไม่
3. เข้ารับการตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ ฉีดสีตรวจเส้นเลือด เป็นต้น
4. เจาะเลือดเพื่อตรวจเนื้อเยื่อ หากต้องการรอไตจากผู้บริจาค ต้องขึ้นทะเบียนรอทันที แต่ถ้าหากเป็นไตจากญาติหรือบุคคลในครอบครัว สามารถนัดวัดเพื่อทำการเปลี่ยนไตได้เลย [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]
กรณีการปลูกถ่ายไตล้มเหลว
เมื่อเกิดกรณีการปลูกถ่ายไตล้มเหลวเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจจะต้องกลับไปเข้ารับการรักษา ด้วยวิธีการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมอีกครั้ง หรือ ผู้ป่วยจะต้องทำการล้างไตผ่านช่องท้อง ด้วยน้ำยาอย่างถาวรอีกครั้ง ในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจจะหมดสิทธิ์ในการเบิกยาที่ใช้ในการรักษากดภูมิคุ้มกัน ในส่วนนี้จะรวมไปถึงกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตลงด้วย
หากต้องการยื่นคำขอ เพื่อกลับมาบำบัดทดแทนไต
ต้องมีหลักฐานดังนี้
1. แบบคำขอรับประโยชน์จากการบำบัดทดแทนไต
2. สำเนาเวชระเบียนที่เกี่ยวข้องโดยตรง
3. ใบรับรองแพทย์
4. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
5. สำเนาสมุดคู่มือ เพื่อแสดงสิทธิการบำบัดทดแทนไต ซึ่งจะใช้เล่มสุดท้าย เป็นหลัก
จากข้อมูลที่เราได้กล่าวมาในเบื้องต้น นับได้ว่าเป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อทำการเปลี่ยนไต หรือ การเปลี่ยนไตใหม่ให้กับผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องทำการปลูกถ่ายไตเพื่อเปลี่ยนไตใหม่นั้น จะต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ป่วยได้โดยตรง รวมไปถึงญาติของผู้ป่วยเอง ที่จำเป็นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย เพื่อที่จะคอยช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและดูแลผู้ป่วยได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
New Robot Technology Eases Kidney Transplants, CBS News, June 22, 2009 – accessed July 8, 2009.
“Kidney and Pancreas Transplant Center – ABO Incompatibility”. Cedars-Sinai Medical Center. Retrieved 2009-10-12.
Krista L. (2014). “Gestational Hypertension and Preeclampsia in Living Kidney Donors”. New England Journal of Medicine. 2010
“Kidney Transplant”. National Health Service. 29 March 2010. Retrieved 19 November 2011.