ชีวิตสมดุลด้วยพลังงาน 5 ชนิดในร่างกาย

0
ชีวิตสมดุลด้วยพลังงาน 5 ชนิดในร่างกาย
พลังงาน 5 ชนิดในร่างกายที่ควรรู้
พลังงานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการดำเนินชีวิต

พลังงาน 5 ชนิดในร่างกาย

พลังงานในร่างกาย ร่างกาย มนุษย์ ต้องการ พลังงาน อะไร มนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยที่แหล่งกำเนิดพลังงานหลักมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่มีบทบาทมาตั้งแต่ในอดีต สำหรับพืชจะใช้แสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างพลังงาน แต่สำหรับมนุษย์ เราจะไม่ได้รับพลังงานโดยตรงจากแสงอาทิตย์เหมือนกับพืช แต่จะได้รับพลังงานจากพืชและสัตว์ที่เรารับประทาน ซึ่งในกระบวนการย่อยอาหาร พลังงานนี้จะถูกแปลงเป็นสารอาหารสำคัญต่าง ๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่ร่างกายใช้ในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ รวมถึงเป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทุกวัน

เมื่อ ร่างกายมนุษย์ต้องการพลังงานอะไรบ้าง สารอาหารก็จะเกิดกระบวนการเปลี่ยนให้เป็นพลังงานในร่างกายเกิดขึ้น หากร่างกายไม่สามารถที่จะใช้พลังงานเหล่านี้ได้หมด ส่วนหนึ่งก็จะถูกเก็บไว้ในร่างกายในรูปไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อและตับ ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นไขมันอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเมื่อไหร่ที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน ซึ่งเรียกกันว่า ( Potentialenergy ) ที่มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบตามประเภทของการใช้งาน คือ

1. จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานกล ( Mechanical Energy ) เมื่อกล้ามเนื้อมีการหดตัว

2. จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานออสโมติค ( Somotic Energy ) สำหรับการขนส่งของเหลวและสารอาหารต่างๆ

3. จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ( Electrical Energy ) ในการส่งกระแสความรู้สึกของระบบประสาท

4. จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานเคมี ( Chemical Energy ) สำหรับการสังเคราะห์สารใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นและการสร้างเซลล์ของร่างกาย

5. จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานความร้อน ( Thermal Energy ) สำหรับการรักษาอุณหภูมิภายในร่างกาย

หากมีการสร้างพลังงานรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งขึ้นมา ก็จะทำให้มีการลดลงของพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน ( Law of Energy Conservation ) ซึ่งพลังงานจะยังคงมีอยู่โดยที่จะไม่เพิ่มหรือสูญหายไปไหน เพียงแต่จะเปลี่ยนรูปไปเท่านั้น ร่างกายของเรานั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน หากรถจักรเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมาก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเชื้อเพลิงหรือพลังเป็นอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนในคนนั้นการที่เซลล์ต่าง ๆ จะนำพลังงานไปใช้ประโยชน์เพื่อให้ร่างกายสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกตินั้น จะต้องผ่านกระบวนการอันสลับซับซ้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งสารประกอบพลังงานสูง หรือที่เรียกกันว่า ATP ( Adenosine Triphosphate ) ATP ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการที่โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และสารประกอบอินทรีย์ต่าง ๆ มีการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเกิดขึ้น

การใช้พลังงานของร่างกาย

ร่างกายมีความต้องการพลังงานอยู่เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะนำพลังงานไปใช้ประโยชน์ดังต่อไปนี้

1. พลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน ( Basal Metabolism ) จะถูกนำไปใช้เพื่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะที่กำลังพักผ่อน

2. พลังงานที่ร่างกายต้อยการเพื่อการประกอบกิจกรรมต่างๆ โดยจะต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน หรือการทำงาน รวมถึงการออกกำลังกาย การทำงานบ้านหรือการเดินก็ต้องใช้พลังงานเช่นกัน

3. พลังงานที่ใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงอาหารภายในร่างกาย ( Specific Dynamic Action of Food ) กล่าวคือร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานในการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ นั่นเอง

4. พลังงานในการขับของเสียออกจากร่างกาย โดยจะต้องใช้พลังงานเพื่อให้การขับถ่ายของเสียออกมาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

พลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน ( Basal Metabolism )

พลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน ( Basal Metabolism )ร่างกายมนุษย์ต้องการพลังงานอะไร พลังงานที่ร่างกายมีความต้องการขั้นพื้นฐาน ก็คือพลังงานที่เกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะของการพักผ่อน โดยส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับ เช่น พลังงานที่ใช้ในการหายใจ การหมุนเวียนของเลือด การเต้นของหัวใจรวมถึงการทำงานของต่อมและเซลล์ต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตด้วย โดยเฉลี่ยแล้วจะพบว่า ร่างกายมีความต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานมากถึงร้อยละ 50 ของพลังงานต่อวันเลยทีเดียว

สำหรับการหาค่าพลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน จะใช้วิธีการวัดออกมาเป็นค่าของอัตราพลังงานขั้นพื้นฐาน ( Basal Metabolic Rate, BMR ) ซึ่งในปัจจุบันการหาค่าพลังงานขั้นพื้นฐานนิยมใช้วิธีการวัดออกซิเจนขณะกำลังพัก หลังจากทานอาหารไปแล้ว 3 –5 ชั่วโมง ซึ่งค่าที่ได้เรียกว่าค่า ( Resting Energy Expenditure, REE ) โดยวิธีนี้จะไม่ได้วัดแบบเข้มงวดมากนักเหมือนการวัด BMR ซึ่งเป็นการวัดการใช้พลังงานขณะพักหลังจากบริโภคอาหาร 10 –12 ชั่วโมง 

1.การวัดโดยใช้เครื่องมือ

วิธีนี้จะใช้เครื่องมือ สไปโรมิเตอร์ ( Spirometer ) ในการวัดหาค่า ซึ่งเป็นวิธีวัดปริมาณพลังงานความร้อนที่ใช้โดยอ้อม สำหรับการวัดนั้นจะให้ผู้ถูกวัดนอนนิ่งอยู่ในภาวะผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ และนิยมวัดในตอนเช้าหลังตื่นนอนทันทีเพราะเป็นช่วงที่ได้ผ่านการทานอาหารมาแล้ว 12-16 ชั่วโมง โดยที่ยังไม่ได้ทานอาหารเพิ่มเลย และช่วงเวลาดังกล่าวก็มีอุณหภูมิที่เหมาะกับการวัดที่สุด คือประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส โดยการวัดจะวัดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้าในเวลา 6 นาที 2 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ยนำมาคูณด้วย 10 จะได้ปริมาณของออกซิเจนที่หายใจเข้าใน 1 ชั่วโมง

จากการทดลอง พบว่าคนส่วนใหญ่จะใช้อัตราพลังงานขั้นพื้นฐานเท่ากับ 4.825 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นจึงสามารถนำค่าที่ได้ไปใช้ในการคำนวณพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานของอวัยวะภายในหรือค่า BMR ใน 1 ชั่วโมงหรือใน 1 วันได้

ตัวอย่าง ผู้หญิงสาวได้รับออกซิเจนเข้าไป 1,200 ซีซี ในเวลาทดสอบ 6 นาที ฉะนั้นใน 24 ชั่วโมงพลังงานต้องการขั้นพื้นฐาน ( BMR ) ที่ร่างกายใช้ไปเท่าไร
6 นาที = 1/10 ชั่วโมง
1/10 ชั่วโมง ออกซิเจนใช้ไป   = 1,200 ซีซี
24 ชั่วโมง ออกซิเจนใช้ไป      = 1,200 x 24 x 10 ซีซี
1,000 ซีซี                        = 1 ลิตร
1,200 x 24 x 10 ซีซี         = 1,200 x 24 x 10 ลิตร
1,000                            = 288 ลิตร
1 ลิตรของออกซิเจนใช้ความร้อน = 4.825 กิโลแคลอรี่
288 ลิตรของออกซิเจนใช้ความร้อน = 4.825 x 288 กิโลแคลอรี่
ตอบ พลังงานพื้นฐานที่ร่างกายใช้ไป = 1,390 กิโลแคลอรี่

2.การประมาณค่า BMR ทำได้หลายวิธี คือ

2.1 The Harris-Benedict Equation เป็นสมการที่ใช้ในการประมาณค่า BMR โดยแยกคำนวณเป็น BMR ของเพศชาย และเพศหญิงตามสมการดังต่อไปนี้

ค่า BMR (กิโลแคลอรี่ต่อวัน) ของผู้ชาย = 66.5 + ( 13.8 x นน. ตัวเป็น ก.ก.) +
(5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – ( 6.8 x อายุเป็นปี)
ค่า BMR (กิโลแคลอรี่ต่อวัน) ของผู้หญิง = 65.1 + ( 9.6 x นน. ตัวเป็น ก.ก.) + (1.9 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – ( 4.7 x อายุเป็นปี)
ตัวอย่าง หญิงคนหนึ่งอายุ 46 ปี หนัก 52 กิโลกรัม สูง 163 เซนติเมตร ค่าอัตราพลังงานขั้นพื้นฐานเป็นเท่าไร
BMR = 65.1 + (9.6 x 52 ) + ( 1.9 x 163 ) – ( 4.7 x 46 ) = 657.8 กิโลแคลอรี่ต่อวัน

2.2 การประมาณค่า BMR โดยใช้สมการของ FAO/WHO/UNU ( คศ.1985 ) เป็นการประมาณประมาณค่า REE โดยแบ่งเป็น 6 ช่วงอายุตามเพศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดความต้องการพลังงานในกลุ่มคน

2.3 การประมาณค่า BMR โดยสัมพันธ์กับพื้นที่ผิวของร่างกาย เนื่องจากค่า BMR มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ผิวหรือขนาดของร่างกาย จึงสามารถที่จะทำการคำนวณหาค่า BMR ได้จากพื้นที่ผิวของร่างกาย โดยคำนวณจากสูตร

ตารางสมการของ FAO/WHO/UNU ที่ใช้สำหรับประมาณค่า REE
เพศและช่วงอายุ (ปี) สมการที่ใช้ประมาณค่า REE ( กิโลแคลอรี่/วัน )
ชาย
0 – 3 (60.9 x น.น. เป็น กก.) – 54
3 – 10 (22.7 x น.น. เป็น กก.) + 495
10 – 18 (17.5 x น.น. เป็น กก.) + 651
18 – 30 (15.3 x น.น. เป็น กก.) + 679
30 – 60 (11.6 x น.น. เป็น กก.) + 879
>60 (13.5 x น.น. เป็น กก.) + 487
หญิง
0 – 3 (61.0 x น.น. เป็น กก.) – 51
3 – 10 (22.5 x น.น. เป็น กก.) + 499
10 – 18 (12.2 x น.น. เป็น กก.) + 746
18 – 30 (14.7 x น.น. เป็น กก.) + 496
30 – 60 (8.7 x น.น. เป็น กก.) + 829
>60 (10.5 x น.น. เป็น กก.) + 596

ที่มา : Food and Nutrition Board, National Research Council, 1989
BMR = พื้นที่ผิว ( ตารางเมตร ) x 24 ( ซม. ) x BMS
การอ่านพื้นที่ผิว จะอ่านค่าโนโมแกรมของ Dubois ซึ่งต้องทราบน้ำหนักและส่วนสูงของผู้ที่จะทำการหาพื้นที่ผิวของร่างกายก่อน โดย จะมีอยู่ 3 คอลัมน์ โดยที่คอลัมน์ที่ I เป็นส่วนสูงคอลัมน์ที่ II เป็นน้ำหนักตัดคอลัมน์ที่ III ที่จุดใด ตรงนั้นก็เป็นค่าพื้นที่ผิวของร่างกาย
BMR ( Basal Metabolic Standard ) คือ ค่ามาตรฐาน BMR ของคนปกติแยกตามเพศและวัย 

ตัวอย่าง ชายคนหนึ่ง อายุ 18 ปี สูง 170 ซม. หนัก 65 กิโลกรัม จงคำนวณหาค่า BMR
พื้นที่ผิวของชายคนนี้จากโนโมแกรม = 1.74 ตารางเมตร
BMS ปกติของชายอายุ 18 ปี = 40.5 กิโลแคลอรี่/ตรม./ซม.
ค่า BMS ของชายคนนี้ = 40.5×1.74×24
= 1,691.28 กิโลแคลอรี่/วัน

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้พบว่า หากใช้กับเด็กและวัยสูงอายุ จะทำให้ได้ค่าที่มีความต่ำจากความเป็นจริงได้ ที่มา : Pike and Brown, 1967

2.4 การประมาณค่าโดยใช้ค่า BMR โดยประมาณ

ค่า BMR ของคนเราจะมีความแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับอายุ เพศและภาวการณ์นอนหลับด้วย ซึ่งพบว่าค่า BMR ของผู้ที่อายุระหว่าง 20 – 50 ปี เพศชายประมาณ 1 กิโลแคลอรี่/ก.ก./ชม. เพศหญิงประมาณ 0.9 กิโลแคลอรี่/ก.ก./ชม. แต่ถ้าอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ค่า BMR จะลดต่ำลงจากเดิม โดยที่เพศชายประมาณ 0.9 กิโลแคลอรี่/ก.ก./ชม. และในขณะนอนหลับค่า BMR ก็ลดลงมากถึงร้อยละ 10 ของแต่ละชั่วโมงที่หลับด้วย

ตัวอย่าง ผู้ชายอายุ 25 ปี สูง 170 ซม. หนัก 70 กิโลกรัม นอนหลับ 9 ชม. จงคำนวณหา

ตารางค่า BMR สำหรับคนวัยต่างๆ แยกตามเพศ
ที่มา : Scheider, 1983

ค่า BMR
BMR ของผู้ชายคนนี้ = 1 x 70 x 24
= 1,680 กิโลแคลอรี่/วัน
นอนหลับวันละ 9 ชั่วโมง BMR ลดลง = 10 x 70 x 9
100
= 63 กิโลแคลอรี่
ค่า BMR ของชายคนนี้ = 1,680 – 63
= 1,617 กิโลแคลอรี่

ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน

ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐาน1. พื้นที่ผิวของร่างกาย โดยพบว่าผู้ที่มีพื้นที่ผิวมากจะมีความต้องการพลังงานมากกว่าผู้ที่มีพื้นที่ผิวน้อย โดยการหาพื้นที่ผิวของร่างกายก็จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักและขนาดรูปร่างของบุคคลด้วยนั่นเอง เช่น คนผอมสูงจะมีพื้นที่ผิวมากกว่าคนอ้วนเตี้ยที่มีน้ำหนักเท่ากัน ดังนั้นคนที่ผอมสูงจึงมีการสูญเสียความร้อนของร่างกายสูงกว่าคนที่อ้วนเตี้ย และมีความต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานมากกว่าอีกด้วย

2. องค์ประกอบของร่างกาย ซึ่งพบว่าคนที่มีกล้ามเนื้อมากจะมีความต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานมากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อย เช่น ในนักกีฬาที่มีกล้ามเนื้อมาก จะต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานมากกว่าคนอ้วนที่มีกล้ามเนื้อน้อยนั่นเอง นั่นก็เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วการออกซิเดชั่นของร่างกายจะเกิดภายในเซลล์กล้ามเนื้อมากกว่าเซลล์ไขมัน

3. อายุ ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะมีความต้องการพลังงานขึ้นพื้นฐาน ( BM ) ที่สูงมากในช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะต้องใช้พลังงานในการสร้างกล้ามเนื้อสูงนั่นเอง ดังนั้นในระยะที่เป็นเด็กทารกจึงมีความต้องการพลังงานสูง และเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในวัยสูงอายุ จะต้องการพลังงานที่ลดน้อยลงจากปกติ

4. เพศ โดยพบว่าถึงแม้จะมีน้ำหนักและส่วนสูงเท่ากันแต่พลังงานที่ต้องการขั้นพื้นฐานภายในร่างกายของเพศหญิงและเพศชายไม่เท่ากัน โดยผู้หญิงจะต้องการพลังงานขั้นพื้นฐาน ต่ำกว่าผู้ชายร้อยละ 6 – 10 ( นอกจากอายุ 12 – 14 ที่พลังงานขั้นพื้นฐานจะใกล้เคียงกัน ) นั่นก็เพราะเพศหญิงมักจะมีไขมันมากกว่ากล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ชายมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันนั่นเอง

5. การนอน ร่างกายของคนเราจะมีความต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานในขณะนอนหลับต่ำกว่าขณะตื่นร้อยละ 10 นั่นก็เพราะในขณะหลับกล้ามเนื้อจะคลายความตึงเครียดลงและมีการทำงานน้อยลง ทำให้เกิดการออกซิไดส์ในกล้ามเนื้อลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตามพลังงานขั้นพื้นฐานที่จะเกิดขึ้นในขณะนอนหลับก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการนอนของแต่ละคนด้วย หากมีการเคลื่อนไหวร่างกายในการนอนบ่อย ความต้องการก็อาจลดลงกว่าร้อยละ 10 ได้ 

6. อุณหภูมิ โดยปกติแล้วอุณหภูมิจะมีผลต่ออัตราในการใช้พลังงาน 2 ทางคือ

6.1 อุณหภูมิมีผลต่อการทำงานของร่างกายโดยตรง ซึ่งพบว่าเมื่ออุณหภูมิของร่างกายลดลงก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงไปด้วย รวมถึงปฏิกิริยาเคมีก็เช่นกัน และในทางตรงกันข้าม หากร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ก็จะไปเร่งปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายให้เร็วขึ้นอีกด้วย เป็นผลให้เกิดการสูญเสียพลังงานเยอะ ดังนั้นในคนไข้ที่มีไข้สูง จึงมักจะต้องการพลังงานสูงด้วยนั่นเอง

6.2 อุณหภูมิของอากาศ โดยพบว่าคนที่อยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นจะมีความต้องการออกซิเจนในการเร่งการเผาผลาญมากกว่าในคนที่อยู่ในสภาพอากาศร้อน อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้พบว่า ค่าพลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการจะเปลี่ยนไปร้อยละ 5 ทุกๆ 10°ซ ที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ 10°ซ ค่าพลังงานขั้นพื้นฐานจะต่ำลงร้อยละ 5 ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ 10 องศาเซลเซียสค่าพลังงานขั้นพื้นฐานจะสูงขึ้นร้อยละ 5 นั่นเอง

7. ต่อมหมวกไต ( Adrenal ) เพราะอะดรีนาลินมีผลต่อค่าพลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ โดยหากมีอะดรีนาลินสูง ก็จะทำให้ค่าพลังงานขั้นพื้นฐานสูงขึ้นไปด้วย โดยต่อมหมวกไตจะทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลินโดยตรง และจะผลิตออกมามากขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวล เจ็บปวดหรือกำลังโกรธ

8. โรคภัยไข้เจ็บ โดยส่วนใหญ่แล้วในขณะที่กำลังมีอาการเจ็บป่วย ร่างกายจะมีความต้องการพลังงานขั้นพื้นฐานมากกว่าปกติ เพราะต้องใช้พลังงานในการซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอ และฟื้นฟูสุขภาพร่างกายจากอาการป่วยนั่นเอง

9. สภาวะทางโภชนาการและสรีรวิทยาของร่างกาย โดยคนที่มีภาวะโภชนาการที่ดี พลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการก็จะอยู่ในระดับปกติ ส่วนคนที่มีภาวะโภชนาการต่ำ พลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการก็จะอยู่ในระดับต่ำลงไปด้วย ส่วนในหญิงที่ตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตรและเด็กที่กำลังเจริญเติบโต จะมีพลังงานขั้นพื้นฐานสูงขึ้นมาก

แหล่งอาหารที่ให้พลังงาน

แหล่งอาหารที่ให้พลังงานส่วนใหญ่จะพบได้ทั่วไปโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล แป้ง

ความสมดุลของพลังงานภายในร่างกาย

ความสมดุลของพลังงานภายในร่างกายผู้ที่มีความสมดุลของพลังงานภายในร่างกายจะสามารถรับรู้ได้จากน้ำหนักตัวคงที่ และมีสุขภาพร่างกายที่เป็นปกติ พลังงานจากอาหารที่ร่างกายได้รับนั้น จะค่อนข้างใกล้เคียงกันกันกับพลังงานที่ร่างกายได้ใช้ในแต่ละวันซึ่งในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานไปกับเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในช่วงที่ร่างกายเข้าสูช่วงเวลาของการพักผ่อน ( BMR )ใช้ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ( PA ) ใช้ในกระบวนการย่อยอาหารและนำสารอาหารไปใช้ประโชน์ ( SDA )และใช้ในการขับถ่ายของเสีย

ถ้าร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ ร่างกายก็จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหิว และจะมีการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกายลดน้อยลงด้วย ซึ่งก็จะทำให้ร่างกายจำเป็นต้องนำพลังงานที่ได้สะสมไว้ออกมาใช้ ทั้งไกลโคเจน ไขมัน และโปรตีนในกล้ามเนื้อก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะส่งผลต่อการลดลงของน้ำตัว หรือที่เรียกกันว่า ความสมดุลพลังงานทางลบ ( Negative Energy Balance ) แต่ถ้าหากร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไปไม่สามารถที่จะใช้หมด ร่างกายก็จะเกิดการปรับตัวโดยนำพลังงานส่วนเกินนั้นมาเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจนและไขมันซึ่งร่างกายจะสามารถเก็บพลังงานเอาไว้ในรูปของไขมันได้ในปริมาณที่ มากอย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตามซึ่งจะเรียกกันว่าความสมดุลพลังงานทางบวก ( Positive Energy Balance ) แต่ว่าสมดุลพลังทางบวกก็จะส่งผลให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยาก ไม่เหมือนกับสมดุลพลังงานงานทางลบที่เป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเพิ่มน้ำหนักตัวให้มากขึ้น และการที่ต้องอยู่ในภาวะสมดุลพลังงานทางบวกนาน ๆ ก็จะกลายเป็นผลเสียต่อสุขภาพได้จากอาหารพลังงานสูง เพราะอาหารที่ให้พลังงานสูงส่วนมากก็จะเป็นอาหารจำพวกไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่สูง ซึ่งไม่ว่าอาหารจะมีปริมาณไขมันและคอเลสเตอรอลมากน้อยแค่ไหน ก็จะถูกตับเอาไปสังเคราะห์เป็นคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมากมาย จากนั้นก็จะปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดส่งผลให้กระแสโลหิตมีระดับไขมันเพิ่มสูงขึ้น 

ซึ่งหากว่าได้มีการนำไปใช้และมีการเผาผลาญเกิดขึ้นภายในตับก็จะทำกระแสเลือดมีไขมันหลงเหลืออยู่จนเกิดภาวะ ( Hyperlipoproteinemia ( HLP ) ส่งผลให้ไขมันที่ติดค้างไปฝังอยู่ตามผนังหลอดโลหิต จนกระทั่งส่งผลให้เส้นโลหิตแข็งตัวและเกิดการตีบตันขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ส่วนปลายของอวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปบำรุงหล่อเลี้ยง เกิดเป็นโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต มีอาการไม่รู้สึกตัว ไตเสื่อมลงและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว ซึ่งการที่ร่างกายได้รับอาหารพลังงานสูงอยู่เสมอก็จะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

การได้รับอาหารเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากส่งผลให้อินซูลินต้องถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วยเพื่อที่จะนำอาหารและน้ำตาลไปยังเซลล์ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาสำหรับคนอ้วนที่มักจะเกิดภาวะดื้ออินซูลิน จนทำให้ตับอ่อนต้องทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากมีการใช้งานตับอ่อนหนักมากเกินไปตับอ่อนก็จะเสื่อมลง และก็จะทำให้อินซูลินถูกผลิตออกมาได้น้อยลง จนไม่พอที่นำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ได้ ก็จะทำให้มีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือด จึงทำให้เป็นโรคเบาหวานในที่สุด และจะส่งผลต่อการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงมากขึ้นไปอีกจนเกิดเป็นโรคหัวใจ อัมพาตและไตเสื่อมซ้ำสอง

คนที่มีรูปร่างอ้วนร่างกายก็จะสร้างไขมันออกมามากกว่าคนที่ไม่อ้วน จนส่งผลให้เกิดปัญหาไขมันในเลือดสูงผิดปกติอยู่บ่อย ๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วยหากไขมันถูกขับออกมาทางน้ำดีมากเกินไป นอกจากนี้แล้วในคนอ้วนหัวใจยังจะต้องทำงานหนักมากกว่าคนทั่วไปเพราะต้องทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายที่ใหญ่เกินธรรมดาจึงทำให้มีปัญหาความดันโลหิตสูงและหัวใจโตตามมาอีกและการส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายมีแรงดันเลือดที่สูงมากผนังหลอดเลือดได้รับความกระทบกระเทือนจนทำให้เสื่อมเร็วขึ้นและอาจถึงขั้นปริแตกได้ ซึ่งก็จะทำให้เป็นอัมพาตและเกิดภาวะไตเสื่อมตามมานั่นเอง ยิ่งถ้าติดอาหารเค็มจนเป็นนิสัย ก็จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงได้ง่ายขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น

แถมความอ้วนยังส่งผลให้เกิดความผิดปกติของระบบฮอร์โมนเพศ ซึ่งแหล่งสะสมฮอร์โมนและสร้างความผิดปกติกับฮอร์โมนเพศก็คือไขมันใต้ชั้นผิวหนังนั่นเอง จึงสังเกตได้ว่าคนอ้วนหลายคนมักจะมีอาการประจำเดือนผิดปกติ จนบางครั้งเราอาจจะเห็นผู้หญิงอ้วนมีหนวดเคราไม่ต่างอะไรกับผู้ชายเลยทีเดียว และที่สำคัญคนอ้วนมักจะเกิดปัญหาหลาย ๆ อย่างดังที่กล่าวมาแล้วร่วมกันได้ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มอาการของการเผาผลาญผิดปกติ ( Metabolic Syndrome หรือ Syndrome “X” )   

เมื่อคนในวัยผู้ใหญ่ได้รับพลังงานจากอาหารเท่า ๆ กันกับพลังงานที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้จะส่งให้ผลให้มีน้ำหนักตัวคงที่พลังงานในร่างกายก็จะมีความสมดุลและเพื่อให้น้ำหนักตัวมีความคงที่ ในเวลาเช้าก่อนที่จะรับประทานอาหารหรือหลังจากถ่ายอุจจาระและปัสสาวะเสร็จแล้วก็ควรที่จะชั่งน้ำหนักตัวเป็นประจำทุกวัน ซึ่งตามปกติแล้วน้ำหนักตัวจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ±1 กก. แต่ค่าที่เปลี่ยนแปลงนี้ต้องไม่เป็นไปทางบวกหรือลบทางใดทางหนึ่งแต่เพียงทางเดียว

Acceptable Macronutrient Distribution Ranges ( AMDR ) เป็นช่วงของพลังงานที่เป็นผลจากการบริโภคสารอาหารประเภท Macronutrient ซึ่งก็มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไม่ติดต่อแบบเรื้อรังด้วย โดยค่าที่กำหนดแสดงในรูปร้อยละ ของพลังงานที่ได้รับโดยที่ AMDR สำหรับผู้ใหญ่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สารอาหาร AMDR
คาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 45 – 65 ของพลังงานที่ได้รับ
โปรตีน ร้อยละ 10 – 35 ของพลังงานที่ได้รับ
ไขมัน ร้อยละ 20 – 35 ของพลังงานที่ได้รับ

ตัวอย่าง จงคำนวณปริมาณสารอาหารที่ร่างกาย นานทศพล อายุ 22 ปี ควรได้รับเพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการพลังงานใน 1 วัน

วิธีทำ นายทศพลจะต้องการพลังงานตาม RDA ของคนไทย = 2,800 กิโลแคลอรี่

1. ร่างกายควรได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 50 ของความต้องการพลังงานทั้งหมด
พลังงานที่ควรได้รับจากคาร์โบไฮเดรต = 1,400 กิโลแคลอรี่
พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ได้มาจากคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม “1,400 ” “1,400 กรัม / 4

ตอบ ต้องได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 350 กรัม

2. ร่างกายควรได้รับพลังงานจากโปรตีนประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการพลังงานทั้งหมด

พลังงานที่ควรได้รับจากโปรตีน = 20 x 2,800 กิโลแคลอรี่ 

100 = 560 กิโลแคลอรี่

พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ได้มาจากโปรตีน 1 กรัม
“ 560 ” “ 1 x 560 กรัม / 4

ตอบ ต้องได้พลังงานจากโปรตีน 140 กรัม

3. ร่างกายควรได้รับพลังงานจากไขมันประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการพลังงานทั้งหมด

พลังงานที่ควรได้รับจากไขมัน = 30 x 2,800 กิโลแคลอรี่
100
= 840 กิโลแคลอรี่
พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ได้มาจากไขมัน 1 กรัม
“ 840 ” “ 840 กรัม / 9

ตอบ ต้องได้พลังงานจากไขมัน 93.33 กรัม

การควบคุมการบริโภคอาหาร

เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากมากทีเดียว เพราะมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จึงทำให้การควบคุมการบริโภคอาหารเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร โดยพฤติกรรมการบริโภคนั้นก็มีปัจจัยต่างๆ เข้ามามีผล เช่น ปัจจัยทางด้านจิตใจ ปัจจัยทางด้านสังคมที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก ตลอดจนปัจจัยด้านร่างกาย

กลไกของความสมดุลของพลังงานในร่างกาย

ความสมดุลของพลังงาน = พลังงานที่ได้รับ – พลังงานที่ใช้ + การปรับตัวทางสรีระ
อิทธิพล
ปัจจัยทางด้าน พฤติกรรม สิ่งแวดล้อม
ร่างกาย
พฤติกรรมการบริโภค ปัจจัยด้านจิตใจ
การออกกำลังกาย ปัจจัยด้านสังคม

ที่มา : ดัดแปลงจากไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล, 2545.

ปัจจัยด้านจิตใจ ( Psychological Factor ) การบริโภคอาหารของคนเรามักจะมีปัจจัยทางด้านจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นก็เพราะมนุษย์ชอบบริโภคอาหารตามความต้องการของจิตใจนั่นเอง หรือบางครั้งก็ไม่ยอมบริโภคอาหาร ซึ่งเนื่องมาจากสภาพจิตใจเช่นกัน เช่น จะกินมากเมื่อกำลังเครียดหรือเศร้า ไม่กินในเวลาที่กำลังโกรธ เป็นต้น

ปัจจัยด้านสังคม ( Social Factor ) โดยปัจจัยนี้จะหมายถึงการนำวัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนาและความกดดันทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นความเชื่อที่ว่า เมื่อเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อนจะต้องดื่มเหล้า เบียร์เสมอ หรือคนที่ชอบไปเที่ยว ช้อปปิ้งหรือออกงานสังคมบ่อยๆ ก็มักจะต้องใช้พลังงานเยอะ ส่วนในคนที่ชอบอยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยไปไหน หรือทำงานหน้าคอมตลอดเวลา ก็จะใช้พลังงานในร่างกายน้อยนั่นเอง

ปัจจัยด้านร่างกาย ( Physiological Mechanism )

พลังงานในร่างกายมนุษย์ ได้มาจากทุกกิจกรรมที่ทำสำหรับปัจจัยทางด้านร่างกาย ก็จะมีสมองที่เป็นศูนย์กลางความอยากและศูนย์กลางความอิ่มในการรับสัญญาณและกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากหรืออิ่มตามสัญญาณที่ส่งเข้ามา โดยปัจจัยทางร่างกายก็แบ่งออกได้เป็น ดังต่อไปนี้

1.การขยายตัวของกระเพาะ ( Gastric Distension ) โดยพบว่าในขณะที่กระเพาะอาหารขยายตัวจากการทานอาหารเข้าไป จะเกิดความรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่อยากทานอาหารต่อ แต่เมื่ออาหารได้ถูกย่อยไปหมดหรือกำลังอยู่ในช่วงที่ท้องว่าง กระเพาะอาหารแฟบ ก็จะทำให้รู้สึกหิวและอยากทานอาหารมากกว่าปกติได้

2.การควบคุมความร้อนให้คงที่ ( Thermostatic Regulation ) ระดับความร้อนของร่างกายมีผลต่อความต้องการพลังงานและอาหารเช่นกัน โดยเมื่อร่างกายมีความร้อนสูงซึ่งเนื่องมาจาก SDA ที่เกิดขึ้นจากการย่อย ก็จะทำให้รู้สึกอิ่ม แต่เมื่ออุณหภูมิมีการปรับให้เข้ากับร่างกายจนเป็นปกติแล้ว ก็จะรู้สึกหิวได้นั่นเอง 

3.การควบคุมกลูโคสให้คงที่ ( Glucostatic Regulation ) เพราะกลูโคสมีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณของอาหารที่จะบริโภค ซึ่งระดับของกลูโคสในร่างกายจะทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มหรือหิวได้ ดังนั้นจึงควรควบคุมระดับของกลูโคสให้คงที่อยู่เสมอนั่นเอง

4.การควบคุมไขมันให้คงที่ ( Lipostatic Regulation ) โดยปกติแล้วร่างกายจะพยายามควบคุมไขมันให้อยู่ในระดับที่คงที่อยู่เสมอ ดังนั้นหากทำกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้ไขมันถูกนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานเยอะมาก ก็จะเกิดความรู้สึกหิวมากกว่าปกติ เพราะร่างกายต้องการไขมันเข้าไปสะสมไว้ในปริมาณเท่าเดิมนั่นเอง อย่างไรก็ตามในกรณีที่ออกกำลังกายอย่างหนักแล้วมาทานอาหารทันทีก็จะทานได้น้อยมาก แต่หากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ แบบเรื่อยๆ ปานกลางและมีความต่อเนื่อง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกหิวมากขึ้นไปอีก

5.ฮอร์โมน และสารที่เกี่ยวข้องกับความหิวและความอิ่ม

5.1 ฮอร์โมนในระบบทางเดินอาหาร เช่น แกสทริน ( Gastrin ) เป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการหดตัว ทำให้ท้องว่างและรู้สึกหิว ในขณะที่ โคลีซิสโทไคนิน ( Cholecystokinin ) เป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัวซึ่งให้ผลตรงกันข้าม

5.2 ระดับไกลโคเจนในตับที่ต่ำ สามารถทำให้รู้สึกหิวได้

5.3 ฮอร์โมนในเลือด ได้แก่ ฮอร์โมนอินซูลินทำให้ระดับกลูโคสในเลือดต่ำ ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกหิว ส่วนฮอร์โมนกลูคากอน ( Glucagon ) จะให้ผลตรงกันข้าม

5.4 สารประเภทโมโนเอมีน ( Monoamine ) บางชนิด เช่น โดปามีน ( Dopamine ) กระตุ้นให้รู้สึกหิวในขณะที่เซโรโทนิน ( Serotonin ) ให้ผลตรงข้าม

โดยส่วนใหญ่แล้วศูนย์กลางความอยากในสมองของคนเราจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมี 2 ข้าง แต่ศูนย์กลางความอิ่มอาจเกิดปัญหาได้ง่าย ซึ่งอาจเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือการเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนต่อสมองอย่างรุนแรง จนทำให้ศูนย์กลางความอิ่มผิดปกติ จึงเกิดปัญหากับการควบคุมการบริโภคอาหารได้นั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

Javitt NB (December 1994). “Bile acid synthesis from cholesterol: regulatory and auxiliary pathways”. FASEB J. 8 (15): 1308–11.

Chen HW, Heiniger HJ (August 1978). “Biological activity of some oxygenated sterols”. Science. 201 (4355): 498–501.

Wu, Linfeng; Candille, Sophie I.; Choi, Yoonha; Xie, Dan; Jiang, Lihua; Li-Pook-Than, Jennifer; Tang, Hua; Snyder, Michael (2013). “Variation and genetic control of protein abundance in humans”. Nature. 

รวมประโยชน์จากถั่วชิกพี ( Chick Pea )

0
ถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพี
ถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพี มีโปรตีนสูง ป้องกันอาหารท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โรคริดสีดวงทวาร
ถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพี เป็นถัวที่มีโปรตีนสูง แก้อาการท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โรคริดสีดวงทวาร
ถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพี เป็นถัวที่มีโปรตีนสูง แก้อาการท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โรคริดสีดวงทวาร

ถั่วชิกพี หรือ ถั่วลูกไก่  คือ

ถั่วชิกพี หรือ ถั่วลูกไก่ ( Chick Pea ) คือ พืชวงศ์ถั่ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ( Cicer Arietinum ) ถั่วชิกพีชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เนื่องจากในแถบตะวันออกกลางและอินเดียนิยมนำถั่วชนิดนี้มาประกอบอาหารรับประทาน มีการปลูกถั่วชิคพีไว้สำหรับรับประทานกันมานาน 7,500 ปีมาแล้ว คนไทยรู้จักถั่วชนิดนี้ในชื่อ “ถั่วลูกไก่” ถั่วมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่หรือรูปร่างคล้ายลูกไก่ตัวเล็กๆ จึงเรียกชื่อถั่วลูกไก่ มีจะงอยแหลมบริเวณด้านบนของเมล็ด แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ

1.สายพันธุ์ถั่วชิกพีกาบูลี ถั่วสายพันธุ์นี้จะมีเมล็ดใหญ่กว่าถั่วสายพันธุ์เดซี เมล็ดมีสีขาวนวลหรือสีครีม เปลือกหุ้มเมล็ดเรียบมีสีครีม ถั่วสายพันธุ์นี้นิยมปลูกกันมากในยุโรป

2.สายพันธุ์ถั่วลูกไก่เดซี สายพันธ์นี้ออกดอกเป็นสีม่วง เมล็ดมีขนาดเล็กกว่าสายพันธุ์กาบูลี เปลือกมีลักษณะขรุขระมีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม สายพันธุ์นี้นิยมปลูกในประเทศอินเดีย

ถั่วชิกพีมีประโยชน์อย่างไร?

ถั่วชิกพี อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด 9 ชนิด จึงให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ได้แก่

  • ถั่วชิกพีมีใยอาหารสูง ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก และช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
  • ใยอาหาร ช่วยป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดไขมันในร่างกาย
  • โพแทสเซียม ไฟเบอร์ วิตามิน C และ วิตามิน B6 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • โปรตีน ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ
  • แคลเซียม ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
  • วิตามินซี ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง และบำรุงผิว
  • โฟเลตทำงานได้ดีในระหว่างตั้งครรภ์
  • ซีลีเนียม ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างปกติ ช่วยล้างพิษ ป้องกันการเจริญเติบโตของเนื้องอก
  • วิตามินเอและสังกะสี สามารถป้องกันผมร่วง ผมบาง รังแคได้ และช่วยให้ผมงอกใหม่

ถั่วลูกไก่ป้องกันอาหารท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โรคริดสีดวงทวารและการรับประทานตอนอุ่นก่อนนอนทำให้หลับสบาย

ปริมาณเส้นใยในถั่วแต่ละชนิด
ถั่ว (ปริมาณ ½ ถ้วยตวง) ปริมาณแคลอรี ปริมาณเส้นใยอาหารรวม (กรัม)
ถั่วดำ 113 7.5
ถั่วลูกไก่หรือถั่วชิคพี 134 6.2
ถั่วแดงหลวง 113 6.5
ถั่วแดง 115 7.8
ถั่วลิมา ( ถั่วอเมริกากลาง ) 96 6.8
ถั่วแขกขนาดเล็กสีขาว 129 5.8
ถั่วปากอ้า 115 8.1
ถั่วแดงพินโต 117 7.3
ถั่วขาว 124 5.6

ที่มา : โรงงานผู้ผลิต Food Labels and Bowes & Church เรื่องคุณค่าอาหารในสัดส่วนที่ใช้โดยทั่วไป
พิมพ์ครั้งที่ 17 โดย Lippincott,1998.

จากตารางจะพบว่าถั่วที่ปริมาณเท่ากัน ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพี จะให้พลังงานสูงที่สุดในกลุ่มก็จริงแต่ว่าพลังงานที่ได้รับก็ยังจัดเป็นถั่วที่ให้พลังงานต่ำอยู่ดี ต่างจากถั่วบราซิล ถั่วแมคคาเดเมียและลูกวอลนัทที่อยู่ในกลุ่มที่ให้พลังงานสูง พลังงานที่รับจึงพอดีกับความต้องการไม่สูงเกิน และยังมีปริมาณเส้นใยที่สูงเหมือนถั่วชนิดอื่นๆ

แสดงว่าเมื่อรับประทานถั่วชิคพีจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นลดความอยากอาหารจึงช่วยลดน้ำหนักของเรา
มีกรดโฟลิค โพแตสเซียม และสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยต่อต้านการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในถั่วนี้จัดเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เพราะว่าสารนี้จะไปยับยั้งไม่ให้อนุมูลอิสระไปทำปฏิกิริยากับไขมันเลวเพื่อไปทำลายผนังของหลอดเลือด ซึ่งอาจจะทำให้หัวใจหรือเนื้อเยื่อ ( Lesion ) ในหลอดเลือดเกิดแผล การรับประทาน ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพียังช่วยลดปริมาณ Low-Density Lipoprotein ( LDL ) และช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดี ( HDL ) นายแพทย์ เจมส์ แอนเดอร์สัน ได้ทำการศึกษาและทดลองเรื่องประโยชน์ของถั่วชิกพี พบว่าเมื่อรับประทานถั่วชิกพีเป็นประจำวันละ วันละ 1 ถ้วยถึง 1 ถ้วยครึ่งจะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว จึงนับว่าถั่วชิกพีนั้นเปรียบเสมือนยาลดระดับ คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) ชั้นดี

ปัจจุบันนี้ด้วยวิวัฒนาการทางด้านการถนอมอาหาร ได้มีการนำถั่วมาผลิตเป็นถั่วบรรจุกระป๋องเพื่อความสะดวกในการหาซื้อและเก็บรักษา เรามีตัวอย่างคุณค่าทางโภชนาการของถั่วบรรจุกระป๋องมาให้ดูกันว่า ถั่วที่มีการบรรจุกระป๋องแล้วยังทรงคุณค่ามากเพียงใด

รายการถั่วบรรจุกระป๋องบางชนิดที่มีจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด
ปริมาณในการบริโภค ปริมาณแคลอรี่ ปริมาณไขมัน (กรัม) ปริมาณโปรตีน (กรัม) ปริมาณเส้นใยอาหาร (กรัม)
ประเภทซุป
แคมพ์เบลล์ สปริท ถั่วและแฮม 1 ถ้วยตวง 190 3 14 3
โพรเกรสโซ ฮาร์ทตี ถั่วดำ 1 ถ้วยตวง 170 3 10 5
โพรเกรสโซ ฮาร์ทตี ถั่วแขกแดง/เหลือง 1 ถ้วยตวง 140 1.5 10 8
ชนิดในน้ำเกลือ
เดนนิสสัน มีถั่ว 99 ไร้ไขมันกับเนื้อ 1 ถ้วยตวง 220 2 22 6
แนลลี ถั่วกับเนื้อ 1 ถ้วยตวง 260 7 19 10
สเต็ก ถั่วกับเนื้อ
ฮอล์เมล ถั่ว 99% มังสวิรัติ ไร้ไขมัน 1 ถ้วยตวง 330 15 18 14
เครื่องเคียง
แคมพ์เบลล์ หมู และถั่ว 1/2 ถ้วยตวง 130 2 5 6
บุช ถั่วอบ 1/2 ถ้วยตวง 150 1 7 7
โรซาริต้า ถั่ว รีฟรายด์ 1/2 ถ้วยตวง 100 2 6 6
โรซาริต้า ถั่ว รีฟรายด์ มังสวิรัติ 1/2 ถ้วยตวง 100 2 6 6
โรซาริต้า ถั่ว รีฟรายด์ ไม่มีไขมัน 1/2 ถ้วยตวง 90 0 6 2
กรีน ไจแอนท์ สลัดถั่ว 3 อย่าง 1/2 ถ้วยตวง 70 0 2 3
อัมมัส ( ถั่วเขียวบด ) 2 ช้อนโต๊ะ 60 3.5 2 1

ที่มา : จากฉลากโรงงานผู้ผลิตอาหารกระป๋อง

เราทราบถึงคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของถั่วกันแล้ว เรามีเมนูแนะนำเกี่ยวกับถั่วกระป๋องเพื่อเป็นแนวทางในการรับประทานถั่วมาฝาก ชื่อเมนูว่าสลัดถั่วส่วนผสมของสลัดถั่วเพื่อสุขภาพ

ส่วนผสมสลัด ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพี อบเพื่อสุขภาพ
1 ถั่วแดงกระป๋อง 1 กระป๋อง ( เลือกขนาดกระป๋องเล็ก )
2 ถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพีกระป๋อง 1 กระป๋อง ( เลือกเอาขนาดกลางหรือเล็กตามชอบ )
3 พริกไทยป่น สำหรับโรยหน้าตอนเสิร์ฟ
4 มะเขือเทศ 2 ลูก
5 ข้าวโพดกระป๋อง 1
6 หัวหอมแดง 2 หัว
7 ผักชีสด สำหรับโรยหน้าตอนเสิร์ฟ

ผลข้างเคียงของถั่วชิกพี?

ถั่วชิกพีแม้จะมีใยอาหารสูงและมีประโยชน์มากมาย หากกินมากเกินไปอาจทำให้ปวดท้อง ท้องร่วง หรือท้องอืดได้ บางคนที่แพ้ถั่วชิกพีอาจมีอาการคลื่นไส้ คัน เป็นลมพิษ ปวดหัว และไอ

ขั้นตอนการทำสลัดถั่วเพื่อสุขภาพ

1.นำถั่วแดง ถั่วลูกไก่และข้าวโพดออกจากกระป๋อง เทน้ำออกให้หมด ถั่วลูกไก่และถั่วดำใช้ปริมาณ 1 กระป๋อง ส่วนข้าวโพดใช้เพียง 1 ถ้วยตวง
2.หัวหอมแดงและผักชีสดมีสับให้ละเอียดจนได้ปริมาณ ½ ถ้วยตวง
3.นำมะเขือเทศ 2 มาสับหรือหั่นหยาบตามชอบ ( สำหรับคนที่ชอบรับประทานมะเขือเทศสามารถเพิ่มปริมาณได้ตามอบใจ )
4.นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วนำไปแช่เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะไก้สลัดถั่วเพื่อสุขภาพพร้อมเสิร์ฟแล้ว
การรับประทานสลัด ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพีเพื่อสุขภาพสามารถรับประทานอย่างเดียวหรือรับประทานเป็นเครื่องเคียงกับอาหารจานหลักอย่าง สเต็ก ขนมปังแผ่นก็ได้ตามชอบ เรามาดูข้อมูลทางโภชนาการของสลัดถั่วเพื่อสุขภาพที่เราทำรับประทานกับว่ามีสารอาหารที่ทรงคุณค่าขนาดเพียงใด

ข้อมูลทางโภชนาการสลัด ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพี เพื่อสุขภาพ
คำนวณจากอาหาร 1 จาน (ปริมาณที่ปรุงทั้งหมดแบ่งเสิร์ฟได้ 8 จาน)
                                                                                         ปริมาณสารอาหารในแต่ละจาน
พลังงาน                                                                                       83 แคลอรี
ไขมัน                                                                                            5 แคลอรี่
% คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม                                         < 1 กรัม                   1%
ไขมันอิ่มตัว                                          0 กรัม                   4%
คอเลสเตอรอล                                      0 มิลลิกรัม              0%
โซเดียม                                            70 มิลลิกรัม              3%
คาร์โบไฮเดรตรวม                               16 กรัม                    5%
เส้นใยอาหาร                                        5 กรัม                  20%
โปรตีน                                                5 กรัม
วิตามิน เอ (Vitamin A) 3%   วิตามิน ซี 14%   แคลเซียม 2%   ธาตุเหล็ก 8%    โฟเลท 20%

นอกจากเมนูสลัด ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพี เพื่อสุขภาพแล้ว ถั่วลูกไก่ยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้อีกหลากหลายขึ้นอยู่กับความชอบของคนทาน ถั่วเป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้าได้รับมากเกินไปต่อวันก็จะทำให้เป็นโทษได้ ดังนั้นเราควรรับประทานถั่วลูกไก่ หรือถั่วชิคพีเพียงวันละประมาณ 1 อุ้มมือก็เพียงพอแล้ว วันนี้คุณทาน ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิคพี กันแล้วหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

Baynes, T.S.; Smith, W.R., eds. (1880). “Gram”. Encyclopædia Britannica. 11 (9th ed.). New York: Charles Scribner’s Sons. pp. 36–37.

Bell (March 31, 2014). “The small but mighty chickpea”. Phys.org. Retrieved 8 October 2015.

Urinalysis คืออะไร? การตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม

0
การตรวจปัสสาวะหาค่าความผิดปกติของร่างกาย (Urinalysis)
การตรวจปัสสาวะเพื่อนำค่าผลตรวจที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆของโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย หรือ โรคที่ยังไม่เกิดเพื่อการป้องกัน
การตรวจปัสสาวะหาค่าความผิดปกติของร่างกาย (Urinalysis)
การตรวจปัสสาวะเพื่อนำค่าผลตรวจที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆของโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย หรือ โรคที่ยังไม่เกิดเพื่อการป้องกัน

Urinalysis คืออะไร?

Urinalysis หรือการตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ในปัสสาวะเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของร่างกาย โดยเฉพาะการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ

ความสำคัญของการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) ในการประเมินสุขภาพ

การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และไม่ทำให้เจ็บตัว แต่ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายเกี่ยวกับสุขภาพของร่างกาย

Urinalysis มีบทบาทอย่างไรในการตรวจคัดกรองโรค?

Urinalysis ช่วยคัดกรองโรคหลายชนิด เช่น โรคไต โรคทางเดินปัสสาวะ เบาหวาน และโรคตับ โดยสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น1

Urinalysis สามารถใช้ตรวจภาวะการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะได้หรือไม่?

ใช่ Urinalysis สามารถประเมินการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะได้ โดยตรวจหาสารผิดปกติ เช่น โปรตีน เม็ดเลือด หรือเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ1

ความสัมพันธ์ระหว่าง Urinalysis กับการตรวจสุขภาพโดยรวมคืออะไร?

Urinalysis เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพทั่วไป ช่วยให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวม และอาจนำไปสู่การตรวจเพิ่มเติมหากพบความผิดปกติ1

การตรวจ Urinalysis ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urinalysis มีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ

วิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อการตรวจ Urinalysis

การเก็บตัวอย่างปัสสาวะที่ถูกต้องคือ:

  • ล้างมือและทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ
  • เก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Midstream) โดยปล่อยปัสสาวะทิ้งช่วงแรกก่อน
  • เก็บในภาชนะสะอาดที่ได้รับจากห้องปฏิบัติการ4

การตรวจปัสสาวะมีประเภทอะไรบ้าง?

การตรวจปัสสาวะมี 3 ประเภทหลัก:

  1. การตรวจด้วยสายตา (Physical Examination): ดูสี ความขุ่น และลักษณะทั่วไปของปัสสาวะ
  2. การตรวจทางเคมี (Chemical Examination): ใช้แถบทดสอบเพื่อตรวจหาสารต่างๆ เช่น โปรตีน กลูโคส
  3. การตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic Examination): ตรวจหาเซลล์ เม็ดเลือด หรือผลึกในปัสสาวะ1

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกต้อง และแจ้งแพทย์หากกำลังใช้ยาใดๆ4

ค่าต่าง ๆ ใน Urinalysis และความหมายของผลตรวจ

Urinalysis ประกอบด้วยการตรวจวัดค่าต่างๆ ที่สำคัญ แต่ละค่ามีความหมายและบ่งบอกถึงสุขภาพในแง่มุมที่แตกต่างกัน

สีของปัสสาวะบ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

สีปัสสาวะปกติมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงเข้ม สีผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพ เช่น สีแดงอาจเกิดจากเลือดในปัสสาวะ1

ค่า pH ของปัสสาวะบ่งชี้ถึงความเป็นกรด-ด่างในร่างกายอย่างไร?

ค่า pH ปกติของปัสสาวะอยู่ระหว่าง 4.5-8 ค่าที่ผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงภาวะกรด-ด่างในร่างกายที่ไม่สมดุล1

ความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity) บอกถึงความเข้มข้นของปัสสาวะอย่างไร?

ความถ่วงจำเพาะบ่งบอกถึงความเข้มข้นของปัสสาวะ ค่าปกติอยู่ระหว่าง 1.005-1.030 ค่าผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของไต1

โปรตีนในปัสสาวะ (Urine Protein) สูงหรือต่ำหมายถึงอะไร?

โปรตีนในปัสสาวะปกติควรมีน้อยมากหรือไม่มีเลย ระดับที่สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาไต เช่น โรคไตเรื้อรัง1

กลูโคสในปัสสาวะ (Urine Glucose) มีความสัมพันธ์กับโรคเบาหวานหรือไม่?

กลูโคสในปัสสาวะปกติควรไม่มี การพบกลูโคสอาจบ่งชี้ถึงโรคเบาหวานหรือปัญหาการทำงานของไต15

คีโตนในปัสสาวะ (Urine Ketones) บ่งบอกถึงภาวะอะไร?

คีโตนในปัสสาวะอาจพบในภาวะขาดอาหาร เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี หรือการอดอาหาร1

เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (Hematuria) มีผลต่อสุขภาพอย่างไร?

การพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะอาจบ่งชี้ถึงการบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือโรคของไตและทางเดินปัสสาวะ1

เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (Leukocytes) บ่งชี้ถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือไม่?

การพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะมักบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ1

บิลิรูบินและยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะ (Bilirubin & Urobilinogen) บ่งบอกถึงปัญหาตับหรือไม่?

การพบบิลิรูบินหรือยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะอาจบ่งชี้ถึงปัญหาตับหรือท่อน้ำดี1

ไนไตรต์ (Nitrites) ในปัสสาวะใช้ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียได้อย่างไร?

การพบไนไตรต์ในปัสสาวะอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ1

การแปลผล Urinalysis และภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

การแปลผล Urinalysis ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง

ค่าผิดปกติใน Urinalysis สามารถบ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง?

ค่าผิดปกติใน Urinalysis อาจบ่งชี้ถึงโรคต่างๆ เช่น โรคไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เบาหวาน และโรคตับ17

Urinalysis สามารถช่วยวินิจฉัยโรคไตได้อย่างไร?

Urinalysis ช่วยตรวจพบสารผิดปกติในปัสสาวะ เช่น โปรตีน เม็ดเลือด หรือเซลล์ไต ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโรคไตในระยะเริ่มต้น17

Urinalysis มีบทบาทในการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานหรือไม่?

ใช่ Urinalysis สามารถตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน15

การตรวจปัสสาวะสามารถใช้ในการติดตามภาวะการตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

ใช่ การตรวจปัสสาวะสามารถใช้ตรวจหาฮอร์โมน hCG เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มต้นได้1

วิธีดูแลสุขภาพให้ผลตรวจ Urinalysis อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาผลตรวจ Urinalysis ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหารและการดื่มน้ำมีผลต่อค่าผลตรวจปัสสาวะอย่างไร?

การรับประทานอาหารสมดุลและดื่มน้ำเพียงพอช่วยรักษาสมดุลของร่างกายและส่งผลดีต่อค่าตรวจปัสสาวะ7

การป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) สามารถทำได้อย่างไร?

การป้องกัน UTI ทำได้โดยดื่มน้ำมากๆ รักษาสุขอนามัย และถ่ายปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด7

พฤติกรรมที่ช่วยรักษาสุขภาพไตและระบบขับถ่ายปัสสาวะ

พฤติกรรมที่ช่วยรักษาสุขภาพไตและระบบขับถ่ายปัสสาวะ ได้แก่:

  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ (6-8 แก้วต่อวัน)
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารรสเค็มและมีโซเดียมสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับผลตรวจ Urinalysis?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือผลตรวจ Urinalysis แสดงความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่าผลตรวจปัสสาวะผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • ปัสสาวะบ่อยหรือแสบขัด
  • ปัสสาวะมีสีผิดปกติหรือมีเลือดปน
  • ปวดหลังหรือท้องน้อย
  • บวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาและข้อเท้า
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • มีไข้ร่วมกับอาการทางเดินปัสสาวะ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจปัสสาวะสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจปัสสาวะผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามซ้ำตามที่แพทย์นัด
  • ปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมตามคำแนะนำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจ Urinalysis เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาค่าต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urinalysis เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ Urinalysis หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4

Reference range list from Uppsala University Hospital (“Laborationslista”). Artnr 40284 Sj74a. Issued on April 22, 2008.

Normal Reference Range Table Archived December 25, 2011, at the Wayback Machine. from The University of Texas Southwestern Medical Center at Dallas. Used in Interactive Case Study Companion to Pathologic basis of disease.

medscape.com – Urine Calcium: Laboratory Measurement and Clinical Utility By Kevin F. Foley, PhD, DABCC; Lorenzo Boccuzzi, DO. Posted: 12/26/2010; Laboratory Medicine.

7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต

0
7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต
การรักษาสมดุลให้ชีวิตคือการรักษาเซลล์และระบบกลไกต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ
7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต
การรักษาสมดุลให้ชีวิตคือการรักษาเซลล์และระบบกลไกต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ

สร้างสมดุลให้ชีวิต

เพื่อให้การใช้ชีวิตของคุณมีความสุขต้องเริ่มจาก การสร้างสมดุลให้ชีวิต จึงจะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถือว่าเป็นรางวัลชนิดหนึ่งที่ใครหลายคนก็คงอยากเป็นแบบนี้ คำว่ามีสุขภาพดีไม่ได้หมายถึงเพียงด้านร่างกายอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงด้านอื่นๆ อีก 4 ด้านด้วยกัน คือ ด้านร่างกาย ( Physical ) ด้านจิตใจ ( Mental ) ด้านอารมณ์ ( Emotional ) และด้านจิตวิญญาณ ( Spiritual ) ซึ่งหากใครมีสุขภาพดีครบทั้ง 4 ด้านนี้ด้วยความลงตัว จึงจะถือว่ามีสุขภาพดีอย่างสมบรูณ์ การทำให้ตนเองมีสุขภาพดีครบทุกด้านก็สามารถทำได้ด้วยตนเองโดย ซึ่งมีข้อแนะนำในการปฏิบัติการสร้างสมดุลให้ชีวิตดังต่อไปนี้

มารู้จักการจัดสรรเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้ชีวิตคุณกันดีกว่า

1. กินอาหารที่มีประโยชน์

การที่จะมีสุขภาพดีนั้น ทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจากการมีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรงเสียก่อน การเลือกกินอาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีแข็งแรงได้ โดยควรเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ มีสารอาหารหลักครบ 5 หมู่ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่มากไปด้วย แป้ง น้ำตาล ไขมัน อาหารฟาสฟู้ดส์ อาหารรสจัดต่างๆ โดยให้เน้นทานผัก และ ผลไม้ ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว แทนการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังควรกินอาหารมื้อหลักให้เป็นเวลา กินให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าที่มีความสำคัญที่สุด

2. ทำงานอย่างมีความสุข

ทุกคนเมื่อผ่านพ้นจากวัยเด็กมา ก็ต้องทำงานเลี้ยงชีพตนเอง โดยอาชีพที่ทำล้วนมีความแตกต่างกันออกไป การทำงานเปรียบเสมือนองค์ประกอบหลักของชีวิตอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำเจอต้องทำเกือบทุกวันในชีวิต ดังนั้นจึงต้องมีแนวทางการทำงานให้ตนเองมีความสุขด้วย ต้องมีความรักในงานที่ตนเองทำ ทำด้วยความตั้งใจและไม่เครียดกับงานมากไป จนชีวิตไม่มีความสุข และต้องมีความภาคภูมิใจในงานที่ตนเองทำไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดๆก็ตาม หากทำงานแล้วไม่มีความสุขหรือมีแต่ความเครียดความทุกข์ ให้ลองมองและวิเคราะห์ถึงปัญหา เพื่อจะได้รีบไปปรับปรุงให้คุณภาพชีวิตในการทำงานดียิ่งขึ้น

3. การทำสมาธิ

การจะทำการสิ่งใดก็แล้วแต่ หากขาดสมาธิก็อาจจะส่งผลให้สิ่งที่ทำออกมา อาจไม่ดีเหมือนดังที่ตั้งใจไว้ การทำสมาธิ หรือ การฝึกจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เป็นวิธีที่ช่วยบริหารจิตใจให้ผ่องใส คลายความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวลต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ให้มี “สติ” อยู่กับลมหายใจ จิตใจจะค่อยๆ สงบ ผ่อนคลายทำให้เกิดสติและมีสมาธิ นอกจากนี้ผลของการทำสมาธิยังจะช่วยให้คลื่น สมอง มีความเป็นระเบียบมากขึ้น ช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลต่อสุขภาพทางกายทุกอย่างย่อมต้องสมดุลกันอีกด้วย

คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญไปกับอะไรเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และหลงลืมหรือละเลยด้านอื่นๆ ในชีวิต (ที่สำคัญมากพอๆ กัน)

4. นอนหลับพักผ่อน

การนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เป็นการซ่อมแซมเซลล์ และอวัยวะที่สึกหรอ รวมไปถึงฮอร์โมนต่างๆในร่างกายให้สมดุลทำให้สุขภาพกลับมาแข็งแรง และพร้อมที่จะทำงานหรือกิจกรรมต่างๆในวันต่อๆไปการนอนหลับที่ดีและถูกวิธี ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง และเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม การนอนหลับสนิทตลอดคืน และถูกวิธี เมื่อตื่นนอนขึ้นมา จะเต็มไปด้วยความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมของวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การทำความดี

การทำความดี คือ การทำให้เกิดผลดีต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม รวมถึงตนเองด้วย ซึ่งการทำดีจะต้องเกิดจากเจตนาที่ดีด้วย การทำดีสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ การแบ่งปัน การเสียสละ การทดแทนบุญคุณ การช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ หรือแม้แต่การพูดให้กำลังใจผู้อื่น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น หากได้ลองทำความดีแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ผลที่ได้นอกจากจะได้เห็นคนอื่นมีความสุขแล้ว ตัวเราเองก็จะมีความสุขตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรหมั่นหาโอกาสในการทำความดีให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง

6. คบหาเพื่อนที่ดี

คนเราทุกคนล้วนแต่ต้องมีสังคม มีเพื่อนด้วยกันทั้งนั้นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการบริหารความสมดุลในชีวิตของคุณและคนรอบข้าง หากแต่ในการเลือกคบเพื่อน ควรเลือกเพื่อนที่มีทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต เป็นคนคิดบวก มีความจริงใจต่อกัน เคารพซึ่งกันและกัน เนื่องจากคนที่อยู่รอบๆตัวเรานั้นจะมีอิทธิพลต่อต่อสุขภาพทางอารมณ์ของเราด้วย หากเราคบเพื่อนที่ไม่ดีมีทัศนคติติดลบไปซะทุกเรื่องในชีวิต ก็อาจจะทำให้ตัวเรามีแต่เรื่องที่ไม่ดี สุขภาพจิตก็จะแย่ลงตามไปด้วย ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “Law of Five” ซึ่งหมายถึง เราจะเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คน ที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกับเขา

7. ค้นหาแรงบันดาลใจ

หากพูดถึงแรงบันดาลใจแล้ว ก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราในแต่ละวันมีความหมาย ที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายเส้นชัยที่ได้ตั้งเอาไว้ ทำให้เรามีความกระตือรือร้น มีความกระปรี้กระเปร่า อยากตื่นเช้ามาทุกๆวันเพื่อทำสิ่งนั้น ดังนั้นคนเราจึงควรมีแรงบันดาลใจ เพื่อที่จะให้แรงบันดาลใจนั้นผลักดันให้เรามีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เราเกิดความพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ ไม่ได้แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆแบบไม่มีจุดหมาย แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์

นอกจากเรื่องต่างๆที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ ด้านบนแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขก็คือ การหัวเราะ ในแต่ละวันไม่ว่าเราจะเจอกับเรื่องอะไร จะดีจะร้ายแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมใช้เวลาแบ่งปันรอยยิ้มให้กับครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย และคนข้างๆกายเสมอ การหัวเราะยังช่วยทำให้เราลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ช่วยลดระดับความเครียดต่างๆที่เจอมาแต่ละวัน ดังนั้นจงอย่าลืมเตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้คุณได้ยิ้มหรือได้หัวเราะแบบมีความสุขบ้างหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://www.socialfish.org/2017/08/7-steps-for-finding-worklife-balance.

Electrolyte คืออะไร? การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย

0
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในเลือดเพื่อตรวจว่าแร่ธาตุและสารละลายอยู่ในสภาวะสมดุลหรือไม่
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย
โซเดียมที่มีในร่างการมนุษย์ คือ โซเดียมคลอไรด์ หรือ เกลือธรรมดาทั่วๆไป

Electrolyte คืออะไร?

Electrolyte หรืออิเล็กโทรไลต์ คือแร่ธาตุที่มีประจุไฟฟ้าละลายอยู่ในของเหลวในร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกายและการทำงานของอวัยวะต่างๆ

บทบาทของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย

อิเล็กโทรไลต์มีบทบาทสำคัญหลายประการในการรักษาสมดุลและการทำงานของร่างกาย

อิเล็กโทรไลต์มีหน้าที่อะไรในร่างกาย?

อิเล็กโทรไลต์ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลว รักษาความเป็นกรด-ด่าง และช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ

อิเล็กโทรไลต์เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลของของเหลวและความดันโลหิตอย่างไร?

อิเล็กโทรไลต์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ส่งผลต่อปริมาตรเลือดและความดันโลหิต

ความสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กโทรไลต์กับการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

อิเล็กโทรไลต์จำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ รวมถึงการเต้นของหัวใจ

อิเล็กโทรไลต์หลักที่ตรวจพบในร่างกายมีอะไรบ้าง?

อิเล็กโทรไลต์หลักในร่างกายประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่มีบทบาทเฉพาะในการรักษาสมดุลและการทำงานของร่างกาย

โซเดียม (Sodium – Na⁺) มีบทบาทต่อสมดุลของเหลวและความดันโลหิตอย่างไร?

โซเดียมควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย ส่งผลต่อความดันโลหิตและการทำงานของเซลล์

โพแทสเซียม (Potassium – K⁺) ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้ออย่างไร?

โพแทสเซียมสำคัญต่อการเต้นของหัวใจและการหดตัวของกล้ามเนื้อ

แคลเซียม (Calcium – Ca²⁺) มีความสำคัญต่อกระดูกและระบบประสาทอย่างไร?

แคลเซียมจำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกและฟัน รวมถึงการส่งสัญญาณประสาท

แมกนีเซียม (Magnesium – Mg²⁺) เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญและการทำงานของเส้นประสาทอย่างไร?

แมกนีเซียมมีบทบาทในการสร้างพลังงานและการทำงานของระบบประสาท

คลอไรด์ (Chloride – Cl⁻) มีบทบาทในการรักษาสมดุลกรด-ด่างของร่างกายอย่างไร?

คลอไรด์ช่วยรักษาสมดุลกรด-ด่างและควบคุมความดันออสโมติกในเซลล์

ฟอสเฟต (Phosphate – PO₄³⁻) สำคัญต่อการสร้างพลังงานและสุขภาพของกระดูกอย่างไร?

ฟอสเฟตจำเป็นสำหรับการสร้าง ATP และการสร้างกระดูก

ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate – HCO₃⁻) มีบทบาทในการควบคุมสมดุลกรด-ด่างในเลือดอย่างไร?

ไบคาร์บอเนตช่วยรักษาระดับ pH ในเลือดให้คงที่

การตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายทำได้อย่างไร?

การตรวจอิเล็กโทรไลต์สามารถทำได้ทั้งในเลือดและปัสสาวะ เพื่อประเมินสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย

วิธีการตรวจอิเล็กโทรไลต์ในเลือด (Serum Electrolyte Test)

ตรวจโดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

วิธีการตรวจอิเล็กโทรไลต์ในปัสสาวะ (Urine Electrolyte Test)

เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงหรือตัวอย่างเดี่ยวเพื่อวิเคราะห์

ค่าปกติของอิเล็กโทรไลต์แต่ละชนิดควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติแตกต่างกันไปตามชนิดของอิเล็กโทรไลต์ เช่น โซเดียม 135-145 mEq/L, โพแทสเซียม 3.5-5.0 mEq/L

จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็น แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์?

ค่าอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก

สาเหตุของระดับอิเล็กโทรไลต์สูงกว่าปกติคืออะไร?

อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ โรคไต หรือการได้รับอิเล็กโทรไลต์มากเกินไป

สาเหตุของระดับอิเล็กโทรไลต์ต่ำกว่าปกติคืออะไร?

อาจเกิดจากการสูญเสียของเหลว โรคไต หรือการขาดสารอาหาร

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจอิเล็กโทรไลต์มีอะไรบ้าง?

ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงอาหาร การออกกำลังกาย ยา และโรคบางชนิด

การแปลผลค่าอิเล็กโทรไลต์บ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่าอิเล็กโทรไลต์ต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ระดับอิเล็กโทรไลต์ที่สูงหรือต่ำสามารถบ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง?

อาจบ่งชี้ถึงโรคไต โรคหัวใจ หรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ

ภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์มีผลต่อการทำงานของไตและหัวใจอย่างไร?

อาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือการทำงานของไตบกพร่อง

ค่าผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์

ค่าอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคไตมีผลต่อระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายอย่างไร?

โรคไตอาจทำให้การขับอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุล

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) และภาวะน้ำเกิน (Overhydration) ส่งผลต่ออิเล็กโทรไลต์อย่างไร?

ภาวะขาดน้ำอาจทำให้อิเล็กโทรไลต์เข้มข้นขึ้น ในขณะที่ภาวะน้ำเกินอาจทำให้เจือจางลง

ภาวะกรดในเลือดสูง (Acidosis) และภาวะเลือดเป็นด่าง (Alkalosis) มีผลต่อสมดุลอิเล็กโทรไลต์หรือไม่?

ทั้งสองภาวะส่งผลต่อสมดุลอิเล็กโทรไลต์ โดยเฉพาะระดับไบคาร์บอเนต

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับอิเล็กโทรไลต์อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย

อาหารที่ช่วยรักษาสมดุลอิเล็กโทรไลต์มีอะไรบ้าง?

อาหารที่อุดมด้วยผักและผลไม้ รวมถึงอาหารที่มีแร่ธาตุครบถ้วน

ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อวันเพื่อช่วยควบคุมอิเล็กโทรไลต์

ควรดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์

วิธีลดความเสี่ยงของภาวะอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล

รับประทานอาหารสมดุล ดื่มน้ำเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจอิเล็กโทรไลต์?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือผลตรวจอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่าอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ

อาการเช่น อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นผิดจังหวะ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจอิเล็กโทรไลต์สูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามระดับอิเล็กโทรไลต์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์
  • ควบคุมโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อสมดุลอิเล็กโทรไลต์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจส่งผลต่อระดับอิเล็กโทรไลต์โดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล

การตรวจอิเล็กโทรไลต์เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายและการทำงานของอวัยวะต่างๆ การเข้าใจถึงความสำคัญของการตรวจนี้ การแปลผล และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับอิเล็กโทรไลต์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจอิเล็กโทรไลต์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพโดยรวม และไม่ควรใช้เป็นเกณฑ์เดียวในการวินิจฉัยโรค การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจอิเล็กโทรไลต์หรือสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลอิเล็กโทรไลต์และสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

Magnetic susceptibility of the elements and inorganic compounds, in Lide, D. R., ed. (2005). CRC Handbook of Chemistry and Physics (86th ed.). Boca Raton (FL): CRC Press. ISBN 0-8493-0486-5.

4 สุดยอด ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

0
4 สุดยอดผักผลไม้ต้านมะเร็ง
ชาเขียวมีสารคาเทชินที่ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านอนุมูลอิสระ
4 สุดยอดผักผลไม้ต้านมะเร็ง
ฟักข้าวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีไลโคปีนต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ

ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

มะเร็ง ถือเป็นโรคไม่ติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่มีปริมาณของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ในแต่ละปีที่ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งโรคมะเร็งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุแตกต่างกันไป แต่จำนวนมากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดต่างๆ มีสาเหตุหลักมาจาก การใช้พฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการบริโภคอาหารในแต่ละวันที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง เช่น การทานอาหารที่มีไขมันสูง ชอบกินอาหารฟ้าสฟู๊ดส์ ยึดติดกับรสชาติอาหารที่อร่อยโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าและสารอาหารที่ได้รับเข้าไป การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีปนเปื้อนที่มากับน้ำและอาหาร และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น พฤติกรรมต่างๆที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นตัวในการกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งชั้นดีเลยทีเดียว ดังนั้นโรคมะเร็งจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ทุกคนที่ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งต้องรู้จักดูแลสุขภาพตนเอง ทำความเข้าใจ และพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อย่างถูกต้อง เพราะนอกจากยา และนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ แล้ว ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง และป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้อีกด้วย

ปัจจุบันมีโฆษณาชวนเชื่อมากมายในเรื่องอาหารเสริมหรือสมุนไพรสุขภาพ ที่ช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีผลการวิจัยทางการแพทย์ใดรับรองว่าสามารถทำได้จริงตามคำกล่าวอ้างนั้นๆ แต่วงการแพทย์และโภชนาการสมัยใหม่ ได้มีการค้นพบสารสำคัญชนิดหนึ่งจากในพืช ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ไฟโตนิวเตรียน ( Phytonutrients ) ว่าสามารถที่จะต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยมีสรรพคุณคือ สามารถลดความเสียหายของ DNA ที่เกิดจากการโจมตีของอนุมูลอิสระ ช่วยขับสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย และยังสามารถยับยั้งการสร้างระบบท่อน้ำเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อลงได้ สารไฟโตนิวเตรียน ดังที่กล่าวมานี้ สามารถพบได้ในพืชผักผลไม้ที่ทานกันอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น

ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศ คือ พืชอีกชนิดหนึ่งที่มากไปด้วย ไลโคปีน เหมือนกับฟักข้าว นอกจากนี้มะเขือเทศยังมากไปด้วยสารอาหารอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินเอ โปแตสเซียม และอื่นๆอีกมากมาย ที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
มีหลักฐานในการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เวลาทดสอบมากกว่า 20 ปี และมีกลุ่มตัวอย่างในการทดลองโดยใช้ผู้ชายถึง 79,000 คน ในการทดสอบ พบว่า ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศปรุงสุก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้กว่า 50% และนอกจากนี้ยังมีผลวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า การทานผักผลไม้ที่มากไปด้วยไลโคปีนแบบสม่ำเสมอว่า จะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจวายในผู้ชายได้มากถึง 50 % อีกด้วย นอกจากในมะเขือเทศแล้ว ยังสามารถพบไลโคปีนได้มากในผลไม้อื่นๆ อีก เช่น แตงโม แครอท มะละกอ หรือองุ่นแดง เป็นต้น

2. ชาเขียว

ชาเขียว คือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ คาเทชิน ” ( Catechin ) เป็นสารเคมีที่ได้จากพืช และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำหน้าที่ในการป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบได้ในอาหารประเภท โกโก้ ไวน์ แอปเปิ้ล เป็นต้น คาเทชิน ยังมีประโยชน์อีก คือ ทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่สำคัญ โดยจะไปช่วยยับยั้งการสร้าง ไนโตรซามีน ในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติมโตของมะเร็ง และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ อย่างเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับได้ดีอีกด้วย
ในการดื่มชาเขียวต้องดื่มในขณะที่ชายังร้อนอยู่ จึงจะได้รับประโยชน์จากสารคาเทชิน เนื่องจากหากปล่อย ชาเขียวทิ้งไว้จนเย็น จะไปทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้สูญเสียคุณค่าไป ซึ่งการเลือกซื้อชาเขียวจากตามร้านคาทั่วไปมาทานหรือซื้อแบบผงมาชงดื่มเอง ควรเลือกแบบไม่มีน้ำตาลผสม เพื่อให้ดีต่อสุขภาพมากที่สุด โดยปกติรสชาติที่แท้จริงของชาเขียวจะมีรสขมผสมรสฝาด ไม่มีรสหวานใดๆทั้งสิ้น 

3. ฟักข้าว

ฟักข้าว คือพืชที่นิยมนำผลมาทาน ซึ่งผลของฟักข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ในฟักข้าวยังมี ไลโคปีน ( Lycopene ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ร่างกายไม่สามารถผลติดขึ้นได้เอง ต้องมาจากการทานผักและไม้ สามารถพบได้ในผักและผลไม้ชนิดที่มีสีแดง สีส้ม และสีเหลือง เช่น ฟักข้าว แครอท เป็นต้น
ไลโคปีนเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ชนิดต่างๆได้มากมาย เช่น โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้ และ มะเร็งเต้านม เป็นต้น เนื่องจากในเยื่อเมล็ดของฟักข้าวนั้นมีปริมาณของไลโคปีน ที่สูงมาก จึงทำให้สามารถช่วยต่อต้านสารมะเร็งในร่างกายได้ดีที่สุดชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

4. ธัญพืชชนิดต่างๆ

ธัญพืช คือ พืชที่ให้เมล็ดสำหรับใช้เป็นอาหาร ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต รวมถึงถั่วชนิดต่างๆด้วย เป็นพืชที่มีสารอาหารประเภทไฟเบอร์ที่สูง ในการเลือกทานธัญพืช ควรเลือกแบบที่ไม่ขัดสี เพราะจะให้คุณค่าทางอาหารที่สูงกว่าแบบขัดสีมาก
ไฟเบอร์หรือใยอาหารต่างๆที่อยู่ในธัญพืช จะทำหน้าที่สำคัญในการขับสารต่างๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายออกมาทางการขับถ่าย อุดจาระหรือปัสสาวะ โดยส่วนมากมักเกาะติดอยู่บริเวณลำไส้ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถขับถ่ายได้ง่ายขึ้น โดยจะไปทำให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม ช่วยลดอาการท้องผูกได้ จึงมีผลทำให้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ทางเดินอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงตามไปด้วย

ถึงแม้ข้อมูลผลไม้ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น จะสามารถช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้จริง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยป้องกันมะเร็งก็คือตัวเราเอง แม้ว่าจะทานผลไม้ข้างต้นทั้ง 4 ชนิดมากเพียงใด แต่หากมีการใช้ชีวิตและบริโภคอาหารที่ไม่ดีและไม่ถูกต้อง ก็ยังคงมีโอกาสเป็นมะเร็งได้อยู่ดี ดังนั้นจึงควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตการบริโภคอาหาร และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงและ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ชนิดต่างๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณข้อมูลสาระจาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

คุณประโยชน์ของ ถั่วแดงหลวง ( Kidney Bean )

0
ถั่วแดง
ถั่วแดงมีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย
ถั่วแดง
เมล็ดสีแดง มีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ( Kidney Bean ) คือถั่วที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมีจำหน่ายอยู่มากตามท้องตลาด มีการนำมาปรุงเป็นอาหารทั้งคาวและหวานให้รับประทานกัน มีทางวิทยาศาสตร์ว่า Phasecolus Vulgaris L. เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae หรือ Leguminosae เป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง ถั่วฝักยาวและถั่วพู มีชื่อสามัญว่า Kidney Bean ที่หมายถึงถั่วรูปไตที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าเมล็ดของถั่วมีลักษณะคล้ายกับไต ในประเทศไทยได้นำเข้ามาปลูกในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต้องการให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น แต่ต้องมีการนำพืชทดแทนมาปลูกเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวเขาด้วย ดังนั้นหม่อมเจ้าภีศเดช รัศนี ที่ดำเนินตามเสด็จไปในครานั้นด้วยได้มีการเสนอให้ปลูก Red Kidney Bean เป็นพืชทดแทนฝิ่นของชาวเขาในปี พ.ศ.2512 ซึ่งในตอนแรกได้มีการสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์มาจากแคลิฟอร์เนียเพื่อทำการทดลองปลูกเพื่อเป็นพืชทดแทน เมื่อทดลองปลูกปรากฏว่าได้ผลผลิตดีมาก และมีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเป็นภาษาไทยว่า “ ถั่วแดงหลวง ” มาจากถั่วที่เป็นสีแดงและมีเมล็ดขนาดใหญ่ คำว่าหลวงในภาษาเหนือแปลว่าใหญ่ แต่ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกสั้นๆ ว่า “ ถั่วแดง ”

ปัจจุบันนี้เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทย โดยมีการส่งออกไปยังต่างประเทศนำเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศปีละหลายล้านบาทเลยที่เดียว โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะมีการสั่งซื้อมากที่สุด เพื่อนไปผลิตเป็นไส้ขนมและอาหารรับประทานกัน การปลูกนอกจากจะปลูกเพียงอย่างเดียวแล้ว ยังสามารรถปลูกแซมหรือปลูกสลับกับพืชหมุนเวียนชนิดอื่น เช่น อ้อย ข้าวโพด เป็นต้น นอกจากจะมีรายได้เพิ่มจากการขายแล้ว ยังเป็นการบำรุงให้อุดมสมบูรณ์ด้วย มีสารไนโตรเจนที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินเป็นจำนวนมาก

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง มีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย

ประโยชน์ของ ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง

นอกจากสารไนโตรเจนที่มีประโยชน์กับดิน ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสำหรับคนอีกด้วย มีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ โปรตีน ที่ได้มีคุณค่าเหมือนกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ เหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติใช้เป็นแล่งโปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือเป็นแหล่งโปรตีนเสริมสำหรับผู้ที่รับประทานเนื้อยู่แล้วก็ได้เช่นเดียวกัน

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วยเพราะมีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงานกับร่างกายแต่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้มีการเผาผลาญไขมันที่ได้รับเข้าไปและดึงไขมันที่สะสมตามส่วนต่างของร่างกายออกมา และมีเส้นใยที่มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยดูดซับน้ำได้มาก มีอัตราการพองตัวสูง เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปเส้นใยจะเข้าไปเส้นใยจะพองตัวขึ้น ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ช้าลงเป็นผลให้การดูดซึมสารอาหารเกิดขึ้นได้ช้าลงอีกด้วย ทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดการทานขนมกินเล่นหรือการทานจุบจิบระหว่างมื้ออาหาร จึงทำให้น้ำหนักตัวจึงลดลงเมื่อรับประทานถั่งแดงเป็นประจำ ต่างจากรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีแต่โปรตีนและมีเส้นใยในปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นเมื่อรับประทานเนื้อสัตว์จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็วทำให้รู้สึกหิวเร็วขึ้น เส้นใยยังช่วงล้างสารพิษไม่ให้ตกค้างอยู่ในร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ป้องกันอาการท้องผูกที่เป็นสาเหตุต้นๆของเกิดโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายและลำไส้

โฟเลตและวิตามินบี ที่มีประโยชน์ต่อสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะช่วยเสริมสร้างกระบวนมนการสร้างเซลล์สมองและประสาท ลดความเสี่ยงของสตรีในคลอดบุตรก่อนกำหนด ช่วยให้ทารกในมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ทั้งอวัยวะและสมอง

ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทของทารก ทำให้เด็กมีน้ำหนักตามเกณฑ์และมีไอคิวเป็นปกติ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ

ธาตุเหล็กยังช่วยปรับสภาพเลือดให้แข็งแรง ลดอาการอ่อนเพลีย สมองสั่งงานช้าที่มีสาเหตุจากความเข้มข้นของเลือดน้อยหรือเลือดจาง

แคลเซียม เมื่อรับประทาน ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ต่อเนื่องแล้ว ร่างกายจะมีกระดูกและฟันที่แข็งแรง เนื่องจากแคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างกระดูกแลฟัน เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณที่เพียงพอจะป้องกันการเสื่อมของข้อกับกระดูกและโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะโรคมะเร็งกระดูกและยังช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือนแคลเซียมยังลดอาการวัยทอง สำหรับสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก มีอาการปวดบริเวณท้องน้อย ชิงกราน แนะนำให้นำถั่วแห้งครึ่งกิโลกรัมห่อด้วยผ้าขาวหรือใส่ในถุงผ้า มัดปากให้สนิทด้วยเชือกที่ทนความร้อน ทำการมัดคล้ายกับลูกประคบก็ได้ นำเข้าไปอบด้วยเตาอบหรือเตาไมโครเวฟ ทำการอบด้วยไฟปานกลางเป็นเวลา 3-4 นาที นำถุงที่อบแล้วมาประคบบริเวณท้องน้อยจะช่วยลดอาการอักเสบ ลดการคั่งของเลือดภายใน ลดอาการปวดบวมได้เป็นอย่างดี

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง นั้นเราสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเฉพาะอาหารหวานจะนิยมเป็นพิเศษ เนื่องจากเมื่อนำมาทำอาหารหวานแล้วรสชาติจะเป็นเอกลักษณ์น่ารับประทานอย่างยิ่ง เช่น ทำเป็นไส้ขนมปัง เค้ก ขนมโดริยากิ วุ้นถั่วแดงกวน เป็นต้น และยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารได้ด้วย เช่น แป้งที่ทำจากถั่วแดง เป็นต้น

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ในประเทศไทยหาซื้อได้ทั่วไป สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าเมนูอาหารหวานวันนี้จะทำอะไรรับประทานดี ก็ให้นึกถึงเมนูที่มีรสชาติอร่อยและยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Raw Kidney Beans”. Home Food Preservation (Penn State Extension).

“Cooking safely with slow cookers and crock pots”. foodsmart.govt.nz.

“Be Careful With Red Kidney Beans in The Slow Cooker”. Mother Earth News.

ประโยชน์ของพริกระฆังหรือพริกหวาน ( Bell Pepers )

0
ประโยชน์ของพริกระฆังหรือพริกหวาน (Bell Pepers)
พริกระฆังหรือพริกหวาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน และแซนธิน มีสารต้านอนุมูลอิสระ
พริกระฆัง หรือพริกหวาน
พริกระฆังหรือพริกหวาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน และแซนธิน มีสารต้านอนุมูลอิสระ

พริกหวาน หรือพริกระฆัง คือ

พริกหวาน หรือพริกระฆัง ( Bell Pepers ) คือ พริกที่มีรูปร่างเหมือนระฆัง มีหลายสีมาก เช่น สีเหลือง สีเขียว สีส้ม สีแดงและสีม่วง คนไทยมักนำมาประดับหรือใส่ในจานอาหารเพื่อเพิ่มสีสันให้กับอาหาร สีสันของอาหารเป็นตัวกระตุ้นช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้น เมนูที่เราพบบ่อยคือ ผัดผักใส่พริกหวาน สลัดผักใส่พริกหวาน ผัดเปรี้ยวหวาน พริกหวานชุปแป้งทอด พริกหวานยัดไส้หมูนึ่ง พริกหวานเป็นพริกที่มีรสหวาน เผ็ดน้อยหรือบางลูกไม่มีรสเผ็ดแม้แต่น้อย จึงได้ชื่อว่าพริกหวาน

ลักษณะของพริกหวาน หรือพริกระฆัง

พริกหวาน หรือพริกระฆัง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum Annum L. มีชื่อสามัญว่า Bell Peper, Sweet Peper, Capsicum เป็นพืชในวงศ์มะเขือเทศ ( Solanaceae ) คนไทยรู้จักกันในชื่อ พริกยักษ์, พริกระฆัง และพริกตุ้มใหญ่ จัดเป็นพืชข้ามปีคือมีอายุหลายปีแต่ว่านิยมปลูกเป็นพืชฤดูเดียวมากกว่าเพราะผลผลิตในปีแรกจะให้ผลิตสูงที่สุด แต่ในปีต่อไปปริมาณผลผลิตจะน้อยลงจึงนิยมปลูกแค่ปีเดียวเท่านั้น ลำต้นมีความสูงประมาณ 0.5-1.5 เมตร รากมีความลึกในแนวดิ่งประมาณ 90-120 เซนติเมตร แผ่วงกว้างรอบโคนต้นประมาณ 90 เซนติเมตร รากเจริญเติบโตและหนาแน่นมาที่ความลึก 50-60 เซนติเมตร ลำต้นช่วงแรกจะตั้งตรงเป็นต้นเดี่ยว เมื่อออกช่อดอกบริเวณยอดจะมีการแตกแขนงไปเรื่อย ๆ จนมีกิ่งเป็นจำนวนมาก ยิ่งกิ่งมีเป็นจำนวนมากจำนวนผลผลิตก็จะสูงตามไปด้วย กิ่งแก่นั้นเปราะหักง่าย มีใบเดี่ยวออกตามกิ่งและลำต้น ออกสลับกันจนถึงยอด ดอกมีสีขาวและสีม่วง ดอกเป็นดอกเดี่ยวคือในหนึ่งก้านจะมีเพียงดอกเดียวเท่านั้นไม่ออกดอกเป็นช่อ ดอกพริกหวานจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน สมารถผสมพันธุ์ในดอกหรือนอกดอกก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีพริกหวานสายพันธุ์ผสมข้ามสายพันธุ์เกิดขึ้นอยู่เสมอ ดอกมี 5 กลีบมีเกสรอยู่ตรงกลางของกลีบ เกสรตัวเมียมี 1 อยู่ตรงกลางส่วนเกสรตัวผู้เป็นเกสรย่อยอยู่รอบ ๆ เกสรตัวเมีย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตในพื้นที่ความชื้นน้อย อากาศอบอุ่นและมีอุณหภูมิยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส เม็ดสีคลลอโรฟิลล์เป็นที่มาของสีเขียวในพริกหวาน เม็ดสีแอนโธไซยานินจะทำให้พริกหวานมีสีม่วง เม็ดสีแคโรทีนอยด์ทำให้พริกหวานเป็นสีเหลือง สีส้มและสีแดง ส่วนการผสมของเม็ดสีคลอโรฟิลล์ ไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนจะทำให้พริกหวานมีสีน้ำตาล ผลพริกหวานที่ทั้งรูปทรงเรียวและทรงคล้ายระฆังขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ พริกหวานที่มีรูปทรงเรียวยาวจะมีรสเผ็ดมากกว่าที่มีรูปทรงคล้ายระฆัง

พริกหวาน หรือพริกระฆัง ประโยชน์

ด้วยความที่พริกชนิดนี้มีหลายสีมาก พริกหวาน หรือพริกระฆัง จึงเป็นพริกที่อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน ( Lutenin ) และแซนธิน ( Zeaxanthin ) ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง ยิ่งพริกมีสีเข้มมากเท่าใดก็จะมีสารอาหารมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะพริกหวานสีเขียวที่เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวนั้น นั่นคือ พริกหวานเขียวจะมีวิตามินซีมากเกินความต้องการของร่างกาย 140% แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าพริกหวานเขียวสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ปริมาณวิตามินซีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าหรือ 280% เลยที่เดียว และปริมาณแคโรทีน ซีอะแซนและลูทีอินก็จะเพิ่มขึ้นอีก 9 เท่าตัว ซึ่งสารนี้เป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ทำปฏิกิริยากับไขมันเลว (LDL) ที่อยู่ในร่างกายเกิดเป็นสารที่มีพิษต่อหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดอักเสบ ไขมันอุดตันในเสส้นเลือดและโรคหัวใจ   

นอกจากนี้ พริกหวาน หรือพริกระฆัง ยังมีสารที่ให้ความเผ็ดที่เรียกว่า ( Capsaicin ) ถึงแม้ว่าจะมีในปริมาณที่น้อยกว่าพริกขี้หนูจึงไม่มีรสเผ็ดเหมือนพริกขี้หนู สารนี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญอาหารสำหรับผู้ที่รู้สึกเบื่ออาหาร ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคขาดสารอาหาร ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้ทำงานได้เป็นปกติ ช่วยให้ต่อมน้ำลายทำงานได้ดีและสาร  ( Capsaicin ) จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างสารแห่งความสุข ( Endorphins ) ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ เพราะว่าสาร ( Capsaicin ) ให้เลือดอ่อนตัวทำให้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น ลดการแข็งตัวของเลือดที่และยังช่วยขับสารพิษในร่างกายออกมาทางเหงื่อ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้

พริกหวาน หรือพริกระฆัง เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นผักที่ควรสามารถรับประทานได้แบบสดและแบบปรุงสุกแล้ว การทานทั้ง 2 แบบจะให้คุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างกันเท่าใดนัก สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะรับประทานพริกหวานอย่างไรดี ลองนำพริกหวานไปทำสลัดแบบของเราดูสิ รับรองว่าอร่อยและได้คุณค่าเต็ม ๆ

เมนูสลัด พริกหวาน หรือพริกระฆัง 

เมนูแนะนำสลัด 5 สี
ส่วนผสมสลัด 5 สี
1 พริกหวานสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีส้ม อย่างละ ¼ ผล
2 กะหล่ำปีม่วง 1 ถ้วยตวง
3 หัวหอมแดง ½ หัว
4 แอปเปิ้ลแดงหรือเขียว 1 ผล
5 น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ (ควรเลือกชนิดที่มีกลิ่นหอมจะช่วยเพิ่มความน่าทานให้กับสลัด)
6 น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำสลัด 5 สี 

1.นำ พริกหวาน หรือพริกระฆังเตรียมไว้มาล้างให้สะอาด นำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆตามแนวยาวหรือจะหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก็ได้ตามชอบ
2.หั่นหัวหอมแดง กะหล่ำปีเป็นชิ้น ๆ ขนาดตามชอบใจ
3.นำผักทั้งหมดมาคลุกเล้าให้เข้ากัน และเติมน้ำส้มกับน้ำมันมะกอกเข้าไปด้วย
4.นำแช่เย็นประมาณ 30-60 นาที ก่อนเสิร์ฟให้หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นบางๆ วางไว้ด้านบนด้วย เพียงเท่านี้สลัด 5 สีก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว ปริมาณสลัดทำได้ สามารถเสิร์ฟได้ 4 จานด้วยกัน

สลัด 5 สี สามารถทานเป็นอาหารจานหลักหรือออร์เดิร์ฟเพื่อเรียกน้ำย่อยก็ได้ หรือจะใช้เป็นเครื่องเคียงทานกับเนื้อสัตว์ก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว สลัด 5 สียังมีสารอาหารทางโภชนาการดังนี้

ข้อมูลทางโภชนาการ
สลัด 5 สี   (คำนวณจากปริมาณ 1 จาน)
                                                                                         ปริมาณสารอาหารในแต่ละจาน
พลังงานทั้งหมด                                                                                80   แคลอรี่
พลังงานจากไขมัน                                                                             33   แคลอรี่
%คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม                                   4 กรัม                     9%
ไขมันอิ่มตัว                             < 1 กรัม                     6%
คอเลสเตอรอล                             0 มิลลิกรัม               0%
โซเดียม                                    5 มิลลิกรัม                0%
คาร์โบไฮเดรตรวม                       13 กรัม                     4%
เส้นใยอาหาร                               2 กรัม                   10%
โปรตีน                                      1 กรัม
วิตามิน เอ    0%           วิตามิน ซี    100%            แคลเซียม    7%             ธาตุเหล็ก    2%

พริกหวาน หรือพริกระฆัง เป็นพริกที่มีรสหวานทานง่าย นำมาปรุงอาหารแล้วสีสันก็ยังคงสวยงามน่ารับประทาน และยังคุณค่าทางอาหารอีกมากมาย เวลาที่ปรุงอาหารเราควรหาพริกหวานมาปรุงด้วยเพื่อที่จะได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มมากขึ้น พริกหวานหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด วันนี้คุณทานพริกหวานกันแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Species records of Capsicum”. Germplasm Resources Information Network. United States Department of Agriculture. Retrieved 2010-06-23.

Capsicum L”. Germplasm Resources Information Network. United States Department of Agriculture. 1 September 2009. Retrieved 2010-02-01.

สรรพคุณของถั่วแขก ( String Bean )

0
สรรพคุณของถั่วแขก (String Bean)
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง

ถั่วแขก ( String bean ) คือ

ถั่วแขก ( String bean ) คือ ถั่วที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ ถั่วสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย ถั่วมีอยู่หลายชนิดที่นิยมรับประทานกัน เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง และถั่วแขก เป็นต้น ถั่วแขก เป็นที่มีรสชาติหวานกรอบ ฝักมีลักษณะกลมหรือกลมแบนคล้ายกับถั่วฝักถั่วเขียวแต่ว่ามีขนาดยาวกว่า มีสีเขียวหรือสีเหลืองเขียว นิยมนำมารับประทานแบบสดจิ้มน้ำพริก นำมาประกอบอาหารทั้งผัดกับผักหรือผัดกับเนื้อสัตว์ และยังมีการไปแปรรูปเป็นอาหารสำเร็จรูปทั้งที่คงรูปแบบเดิมและแปรรูปเป็นผงอีกด้วย เช่น ถั่วอบแห้ง ถั่วกระป๋อง ผงถั่วเหลือง เป็นต้น หรือนำไปสกัดสารนำไปผลิตอาหารเสริมชนิดบรรจุเม็ดพร้อมรับประทาน 

ถั่วแขก เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลถั่ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus Valgaris L. มีชื่อทางสามัญว่า ( Snap Bean, Fresh Bean, French Bean, String Bean, Garden Bean ) ส่วนคนไทยจะรู้จักถั่วแขกในชื่อ ถั่วแขกพุ่ม ถั่วฝรั่ง ถั่วฝรั่งเศส ถั่วบุ้ง ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ซึ่งชื่อเรียกถั่วแขกนั้นมาจากลักษณะของฝักถั่วที่มีลักษณะคล้ายหนอนบุ้ง การที่นิยมบริโภคถั่วแขกก็เพราะว่าในถั่วนี้มีสารอาหารอยู่มาก สารอาหารที่มีอยู่คือ โปรตีน วิตามินซี แคลเซียมและธาตุเหล็ก วิตามินซีในถั่วแขกมีสรรพคุณที่เข้าไปช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน

ถั่วแขก มีต้นกำเนิดมาจากทางตอนใต้ของประเทศแม็กซิโก และได้มีการนำมาปลูกในประเทศอเมริกากลาง อังกฤษและส่งต่อมายังประเทศแทบยุโรปเรื่อยมา และเมื่อทางยุโรปได้เดินทางเข้ามาสู่ประเทศเขตร้อนชี้นและประเทศในเขตอบอุ่นก็ได้นำเมส็ดพันธุ์ของถั่วแขกเข้ามาด้วย ทำให้ถั่วแขกเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมา การที่ถั่วแขกเป็นที่รู้จักกันดีก็เพราะว่าเป็นถั่วที่มีประโยชน์ รสชาติอร่อยและเมื่อนำมาปลูกในพี้นที่เขตร้อนชื้นแล้วให้ผลผลิตดี เนื่องจากการปลูกถั่วแขกนั้นปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส ชอบขึ้นในดินร่วนซุ่ยหรือดินปนทรายที่ระบายน้ำและอากาศได้ดี มีแสงแดดส่องตลอดทั้งวันไม่ชอบที่น้ำขังดินชื้นแฉะหรือมีฝนตกชุก เพราะจะทำให้ลำต้นเน่า ดอกไม่ติดผล

สายพันธุ์ของถั่วแขก

ถั่วแขก จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุตั้งแต่ 2 -3 ปี มีอยุ่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์

1.ถั่วแขกพันธุ์พุ่ม ถั่วแขกพันธุ์นี้ลำต้นจะมีลักษณะเป็นพุ่มสูงจากพื้นดินประมาณ 25-30 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อสั้นๆต่อกันตั้งแต่ 4-8 ข้อต่อหนึ่งต้น

2.ถั่วแขกพันธุ์เลื้อย สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะลำต้นคล้ายถั่วฝักยาว คือ เมื่อปลูกต้องทำราวหรือค้างเป็นหลักเพื่อให้ต้นถั่วเลื้อยเกาะ ลำต้นของสายพันธุ์นี้จะมีความยาวประมาณ 1.8 – 3 เมตร

3.ถั่วแขกพันธุ์กึ่งเลื้อย ลำต้นของสายพันธุ์นี้จะมีความสูงมากกว่าสายพันธุ์พุ่ม มีความสูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร แต่ไม่ยาวเหมือนสายพันธุ์เลื้อย ิ

ใบของถั่วแขก จะยื่นออกมาจากข้อต่อของลำต้น โดยส่วนปลายก้านจะมีใบย่อยแยกออกเป็น 3 ใบ ลักษณะของใบบริเวณโคนใบมีขนาดกว้างและลดขนาดใบลงเรื่อยจนถึงปลายใบแหลม เนื้อใบและขอบใบเรียบไม่มีรอยยัก บนใบมีขนขนาดเล็กอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีสีเขียวอ่อน
ดอกของถั่วแขก จะมีการออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกจะยื่นออกมาจากซอกใบที่บริเวณปลายยอดของใบ ในหนึ่งช่อจะออกดอกตั้งแต่โคนช่อจนถึงปลายช่อ ดอกของถั่วจำนวน 5 กลีบต่อหนึ่งดอก สีของดอกมีหลายสีเหลือง สีชมพู และสีขาวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของถั่ว โคนหรือฐานดอกมีกลีบเลี้ยงีเขียวอยู่โดยรอบฐาน การบานของดอกจะเริ่มบานจากดอกด้านล่างที่ใกล้โคนช่อมากที่สุดเรื่อยมาจนมาถึงดอกที่อยู่ด้านบนสุดของช่อดอก ดอกจะมีอายุอยู่ปราะมาณ 2-3 วันดอกถั่วแขกเป็นดอกประเภทสมบูรณ์เพศ คือ มีเกสรตัวผูและเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันด้วยเหตุนี้ทำให้อัตราการติดฝักของดอกสูงหรือมีการติดฝักทุกดอกที่ออกมาก็ว่าได้
ผลของถั่วแขก เราเรียกว่าฝัก ฝักถัวแขกมีลักษณะคล้ายฝักของถั่วเขียวแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าและยาวกว่า นั่นคือมีฝักมีความกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ฝักมีความยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่ฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดภายในฝักจะเรียงเมล็ดตามแนวยาวของฝัก ซี่งหนึ่งฝักจะมีเมล็ดภายในประมาณ 5-8 เมล็ดของถั่วแขก ขนาดของเมล็ดจะมีขนาดไล่เลี่ยกันโดยมีน้ำหนักประมาณ 0.2-0.6 กรัมต่อเมล็ด เมล็ดจะมีรูปร่างคล้ายไตมีสีดำ สีขาว สีเหลืองครีม สีชมพู สีเขียว สีแดงม่วงและสีน้ำตาลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของถั่วแขกที่ทำการปลูก

ประโยชน์และการนำไปใช้ของถั่วแขก

ถั่วแขก นำมาประกอบอาหารได้ทั้งอาหารคาว เช่น ผัดถั่วน้ำมันหอย ซุปถั่ว ผัดกับหมู เป็นต้น และอาหารหวานหรือนำไปผสมในขนมหวาน หรือนำมาแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องสำเร็จรูปพร้อมรับประทานทั้งแบบที่เป็นเม็ดและแบบที่เป็นผง เช่น ซุปถั่วในกระป๋อง ถั่วแขกผสมคอลลาเจน ผงถั่วแขกพร้อมชง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตวุ้นเส้นอีกด้วย ถั่วแขกนี้เป็นอาหารที่คนรับประทานได้สัตว์รับประทานดี เพราะว่าถั่วมีทั้งโปรตีนและไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงได้มีการนำถั่วแขกไปเป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์อีกด้วย ส่วนลำต้นที่เหลือจากการเก็บผลผลิตแล้วเราก็ไถ่กลบเพื่อให้ต้นถั่วกลายเป็นปุ๋ยในดิน ต้นถั่วนี้อุดมไปด้วยไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่เป็นธาตุอาหารจำเป็นสำหรับพืช

ถั่วเป็นอาหารที่อุดมได้ด้วยโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ในประเทศไทยมีการปลูกถั่วหลายชนิด จึงทำให้คนไทยรู้จักนำถั่วมาดัดแปรงปรุงเป็นอาหารทั้งอาหารคาวและอาหารหวานเป็นที่ชื่นชอบของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ได้ลิ้มชิมรสกัน เช่น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ข้าวเหนียวถั่วดำ ถั่วเขียวกวน เป็นต้น ถั่วมีทั้งที่เป็นถั่วราคาถูกหาซื้อได้ง่ายและถั่วราคาแพงที่มีจำหน่ายในบางพื้นที่เท่านั้น ถั่วแขก ก็เป็นหนึ่งในถั่วที่มีสารอาหารเป็นจำนวนมากไม่แพ้ถั่วชนิดอื่นๆ และเป็นถั่วที่นำมาปรุงอาหารรับปะทานได้อย่างอร่อยด้วย วันนี้คุณกินถั่วแขกแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Green Beans”. The World’s Healthiest Foods. Retrieved March 2, 2017.

“Beans – Vegetable Directory – Watch Your Garden Grow – University of Illinois Extension”.

“Growing beans in Minnesota home gardens”. University of Minnesota Agricultural Extension. Retrieved 20 September 2016.

เกลือไอโอดีน ประโยชน์มหาศาล ( Iodine ) 

0
หน้าที่และประโยชน์ของไอโอดิน (Iodine)
ไอโอดีน คือ แร่ธาตุที่ร่างกายของเราไม่ต้องการมากนัก พบในสัตว์ทะเล เช่นหอย ปลาหมึก และเกลือสมุทร
หน้าที่และประโยชน์ของไอโอดิน (Iodine)
ไอโอดีน คือ แร่ธาตุที่ร่างกายของเราไม่ต้องการมากนัก พบในสัตว์ทะเล เช่นหอย ปลาหมึก และเกลือสมุทร

เกลือไอโอดีน

ไอโอดีน ( Iodine ) คือ แร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย แต่ร่างกายของเราไม่ได้มีความต้องการมากนัก และเมื่อร่างกายได้รับไอโอดีนก็จะเปลี่ยนให้เป็นไอโอไดด์  โดยร่างกายของเราจะมีไอโอดีนอยู่ประมาณ 25 มิลลิกรัม หรือคิดเป็นร้อยละ 0.0004 ของน้ำหนักตัว ซึ่งครึ่งหนึ่งจะถูกเก็บไว้ที่ต่อมธัยรอยด์ อีกส่วนหนึ่งจะอยู่ตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ขุมขน ต่อม น้ำลาย ระบบทางเดินอาหาร และกระดูก ส่วนในกระแสเลือดจะมีไอโอดีอยู่ค่อนข้างที่จะน้อยมาก

หน้าที่ของไอโอดีนคืออะไร?

1. ช่วยในการทำงานและการเจริญเติบโตของต่อมธัยรอยด์ และเป็นส่วนหนึ่งของฮอร์โมนไทรอกชิน ( Thyroxine ) ซึ่งต่อม ธัยรอยด์ผลิตขึ้น โดยมีหน้าที่ก็คือควบคุมอัตราเมแทบอลิซึมภายในร่างกาย ต่อมธัยรอยด์เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายที่มีความสำคัญต่อสภาพจิตใจ ผม ผิวหนัง เล็บ และฟัน การเปลี่ยนแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอ การสังเคราะห์โปรตีน โดยไรโบโซมรวมทั้งการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้เล็ก ซึ่งหากฮอร์โมนไทรอกชินถูกผลิตออกมาตามปกติ การทำงานของสิ่งต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ช่วยให้สมองเกิดความตื่นตัวและมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

3. ช่วยให้การผลิตพลังงานของร่างกายเป็นไปตามปกติ จึงทำให้ร่างกายมีพลังงานอย่างเพียงพอ

4. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคอ้วนหรือไขมันอุดตัน

5. ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. ช่วยให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสเคลื่อนย้ายจากกระดูกให้มากขึ้น

7. ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะและควบคุมการกระจายของน้ำตามอวัยวะต่างๆ

8. ช่วยกระตุ้นในการหลั่งน้ำนมทำให้มีน้ำนมหลั่งออกมามากขึ้น

การดูดซึมและการเก็บไอโอดีนของร่างกาย

เกลือไอโอดีน ระบบทางเดินอาหารของร่างกายจะสามารถดูดซึมไอโอดีนที่มีอยู่ในอาหารหรือน้ำได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นเกลืออนินทรีย์ของไอโอดีน (Iodine) หรือ ไอโอไดด์ และไอไอไดด์ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ต่อมธัยรอยด์ผ่านทางกระแสเลือด ซึ่งหากมีมากเกินไปก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะภายใน 1 – 2 วัน หลังจากเข้าสู่ต่อมธัยรอยด์ ไอไอไดด์ก็จะเปลี่ยนไปเป็นไอโอดีนแล้วไปร่วมมือกับไทโรซีน สร้างเป็นไดไอโอโดไทโรซีน ( Diiodotyrosine ) และไตรไอโอโดไทโรนีน ( Triiodothyronine ) และไทรอกซิน ( Thyroxine ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีไอโอดีนอยู่ จากนั้นไทรอกซินจะร่วมกับโกลบูลินกลายเป็นไทโรโกลบูลิน ( Thyroglobulin ) ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในต่อมธัยรอยด์ ต่อมพิทูอิทารีเป็นอีกต่อมหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ต่อม ธัยรอยด์สร้างไทรอกซินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาศัยฮอร์โมนที่ชื่อไทโรโทรฟิน ( Thyrotrophin ) ซึ่งหากร่างกายได้รับไทรอกซินเพียงพอแล้ว ไทรอกซินก็จะไปทำให้ต่อมพิทูอิทารีหยุดสร้างไทโรโทรฟินลง ทั้งฮอร์โมนไทรอกซินและฮอร์โมนไทโรโทรฟิน จึงมีผลในการเพิ่มหรือลดซึ่งกันและกันนั่นเอง

แหล่งอาหารที่พบไอโอดีน

สำหรับแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไอโอดีน เกลือไอโอดีน ก็คือสาหร่ายทะเลที่เรียกกันว่า เคลพ์ ( Kelp ) ส่วนสัตว์ทะเลจะมีไอโอดีนอยู่ประมาณ 200 – 1,000 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ไอโอดีนในเนื้อสัตว์จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกันกับไอโอดีนในพืชซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดินที่ใช้ปลูกพืชนั้นๆ ว่าเป็นดินชนิดไหน ในเกลือสมุทรจะมีไอโอดีนมากกว่าเกลือสินเธาว์ และแหล่งอาหารอีกแหล่งหนึ่งที่ให้ไอโอดีนก็คือเกลือที่เติมไอโอดีน ( Iodized Salt ) โดยใช้สารโซเดียมไอโอไดด์ หรือโปแตสเซียม ไอโอไดด์ ในความเข้มข้นร้อยละ 0.005 – 0.01

ปริมาณไอโอดีนอ้างอิงที่ควรได้ต่อวันสำหรับคนไทยในแต่ละวัย
เพศ อายุ ปริมาณ หน่วย
เด็ก 1-5 ปี 90 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 6-8 ปี 120 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 9-12 ปี 120 ไมโครกรัม/วัน
13-18 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 19-≥ 71 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
ผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับเพิ่มอีก 50 ไมโครกรัม/วัน
ผู้หญิงให้นมบุตร ควรได้รับเพิ่มอีก 50 ไมโครกรัม/วัน

ผลของการขาดไอโอดีนในเด็ก

เด็กที่ขาดเกลือไอโอดีนจะส่งผลให้เด็กมีอาการครีตินนิซึม ( Cretinism ) คือเด็กที่เกิดมาจะมีร่างกายเตี้ยแคระและสมองไม่มีการพัฒนา

หากในระยะตั้งครรภ์แม่บริโภคไอโอดีนน้อย หรือไม่พอเพียงแก่ความต้องการ โดนจะมีอาการปรากฏให้เห็นในหลาย ๆ แบบไม่ว่าจะเป็น หูหนวก เป็นใบ้ ตาเหล่ มีกล้ามเนื้อหย่อนยานและอ่อนแอ ผิวหนังแห้ง รูปร่างสั้นเตี้ย ซึ่งก็เป็นเพราะกระดูกไม่ได้เจริญตามปกติ ซ้ำยังมีผลให้จิตใจขาดการพัฒนา โดยจะมีอาการเดินกระตุก หรือเกร็ง ระบบสืบพันธ์ผิดปกติ ซึ่งหากทารกได้รับการแก้ไขในระยะแรก ก็จะช่วยให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตดีขึ้น รวมทั้งจิตใจก็อาจพัฒนาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจะทำให้ประสาทสมองส่วนกลางที่ถูกทำลายไปกลับมาดีอย่างเดิมได้อีก

ผลของการขาดเกลือไอโอดีนผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ที่ขาดไอโอดีนจะทำให้เกิดโรคคอพอก ( Simple Goiter ) เนื่องจากต่อมธัยรอยด์จะโตขึ้นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนที่ช่วงคอ นั่นก็เป็นเพราะถูกได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนไทโรโทรพิน ( Thyrotrophin หรือ  Stimulating Hormone, TSH ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองให้ทำงานมากขึ้น เพื่อที่จะดูดไอโอดีนที่อยู่ในเลือดให้ได้เยอะที่สุด เพื่อนำไปสร้างฮอร์โมนไทรอกซินแต่เนื่องจากไอโอดินไม่พอจึงไม่สามารถที่จะสร้างได้ จึงมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ที่บริเวณใต้คอโตขึ้น หรือมีอาการคอพอกนั่นเอง คนที่ต่อมธัยรอยด์มีขนาดใหญ่มาก จะทำให้ไปกดหลอดลม ส่งผลให้ไอ สำลัก หายใจลำบาก และถ้าไปกดหลอดอาหารก็จะกลืนอาหารลำบากด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคคอพอก

การขาดเกลือไอโอดีน ซึ่งมีสาเหตุดังต่อไปนี้

1. บริโภคอาหารที่มีเกลือไอโอดีนน้อยมากไม่พอเพียงแก่ความต้องการ เช่น ผู้ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถหาอาหารทะเลบริโภคได้

2. ร่างกายต้องการเกลือไอโอดีนเพิ่มสูงขึ้น เช่น คนวัยหนุ่มสาว ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ต้องให้นมแก่ทารก หรือมีอาการอักเสบภายในร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ต่อมธัยรอยด์ต้องทำงานเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนมากขึ้นด้วย

3. เกลือไอโอดีนหย่อนสมรรถภาพลง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุบางอย่าง เช่น การบริโภคอาหารแคลเซียมสูงแต่มีไอโอดินต่ำ ร่างกายขาดวิตามินเอและได้รับไอโอดีนน้อย หรือมีสารบางอย่างในอาหารออกฤทธิ์กดต่อมธัยรอยด์ทำให้ต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้นมากขึ้น จนเป็นเหตุให้เกิดโรคคอพอก

4. การได้รับสารที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมธัยรอยด์ เช่น ยาพวกไทโอชัยยาไนด์ ( Thiocyanide ) อะมิโนไธอะโซล ( Aminothiasole ) ซึ่งมีผลให้ต่อมธัยรอยด์ไม่สามารถใช้ไอโอดีนได้ตามปกติ จึงทำให้ต่อมมีขนาดใหญ่ขึ้น

5. ในพืชที่เรารับประทานจะมีสารบางอย่างที่ทำให้เกิดคอพอก ( Goitrogenic Compounds ) ซึ่งโดยปกติแล้วสารที่อยู่ในพืชนี้จะไม่เป็นพิษแต่อย่างใด แต่ในพืชจะมีน้ำย่อยชนิดหนึ่ง คือ ( Thioglycosides ) ซึ่งจะไปมีผลต่อสารนี้ให้เปลี่ยนเป็นสารที่มีฤทธิ์ขัดขวางการสร้างธัยรอยด์ฮอร์โมน จึงทำให้เซลล์ที่ต่อมธัยรอยด์เกิดการแบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันการออกฤทธิ์ของสารนี้ได้ก็คือการนำพืชที่จะบริโภคไปต้มเสียก่อนนั่นเอง โดยพืชที่มีสารที่ทำให้เกิดคอพอกก็จะมี หัวผักกาด พีช แพร์ สตรอว์เบอร์รี่ แครอท และพืชที่อาจจะมีสารนี้อยู่ได้แก่ องุ่น คื่นฉ่าย พริกสด ส้มเขียวหวาน ถั่วลิสง ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว แตงไทย กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หอยนางรม นมสด ตับ ส่วนอาหารทีไม่พบสารเหล่านี้เลยได้แก่ เนื้อโค เนยแข็ง ไอศกรีม กุ้ง เห็ด สัปปะรด ดอกกะหล่ำ แตงกวา ข้าว ข้าวโพด ถั่วดำ ถั่วแดง หอม ลูกมะกอก อัลมอนด์ แอปเปิ้ล กล้วย มันฝรั่ง มะเขือเทศ     

ในประเทศไทยพื้นที่ที่พบว่ามีผู้ที่เป็นคอพอกมากที่สุดก็คือทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง อุบลราชธานี อุดรธานี โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ภูเขา ที่ราบสูง ซึ่งมีความไม่สะดวกในการเดินทาง การขนส่ง และมีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจน จึงส่งผลให้เกิดการขาดสารอาหารจำพวกโปรตีน และไอโอดีน

โรคคอพอกรักษาได้อย่างไร

1. รักษาโดยการใช้เกลือไอโอดีน โดยหยดไอโอดีนเข้มข้นละลายลงไปในน้ำดื่มในอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1 หยดต่อน้ำ 5 ลิตร จะได้ปริมาณที่เพียงพอที่ร่างกายร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ซึ่งก็คือ 150 ไมโครกรัม ซึ่งทางกรมอนามัยก็ได้นำสารไอโอดีนเข้มข้นไปแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาล สถานีอนามัยและโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อผสมลงในน้ำดื่มให้แก่นักเรียนและในครัวเรือนของประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการใช้วิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เกลือเสริมไอโอดีน น้ำปลาเสริมไอโอดีนและยาเม็ดเสริมไอโดดีน

2. รักษาโดยวิธีการผ่าตัดในรายที่คอพอกมีขนาดโตมาก เกิดความยากลำบากในการออกเสียงหรือหรือการกลืนอาหาร จำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดต่อมบางส่วนออก โดยที่ภายหลังการผ่าตัดจะให้บริโภคเกลือไอโอดีนในหลายรูปแบบ เช่น ในรูปโปตัสเซียมไอโอไดด์ หรือในรูปของเกลือไอโอดีนที่ผสมลงในอาหารที่รับประทาน

ภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ( Hypothyroidism )

เป็นภาวะที่ร่างกายไม่มีธัยรอยด์ฮอร์โมนอย่างพอเพียงกับความต้องการ ส่งผลให้มีเมแทบอลิซึมช้าผิดปกติ ซึ่งหากเกิดในผู้ใหญ่จะเรียกว่า มิกเซดีม่า ( Myxedema ) โดยมีอาการที่มักแสดงให้เห็น ก็คือ มีความคิดค่อนข้างที่จะเฉื่อยชา มีอาการง่วงเหงาหาวนอน มีภาวะ Chronic Fatigue Syndrome, CFS คือ อ่อนเพลียเรื้อรัง เหนื่อยง่าย ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึงจะกินน้อย มีแห้งผิวหยาบ ผมร่วง ขี้หนาว อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะมีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาที่ค่อนข้างเชื่องช้าทางอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นหากปล่อยไว้ไม่รักษาจะเป็นสาเหตุของภาวะแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นหัวใจตามมา จะมีปัญหาต่อพัฒนาการทางสมองและร่างกายในทารกแรกเกิด

การเป็นพิษจากไอโอดีน

ไม่เคยมีการพบว่าการบริโภคไอโอดีนที่มากับน้ำและอาหารทำให้เกิดการเป็นพิษได้ แต่สำหรับไอโอดีนในรูปของยาอาจต้อง พึงระวังในเรื่องของปริมาณที่ได้รับ เพราะหากได้รับมาก ๆ ในเวลาเดียวกันอาจเป็นอันตรายได้ 

ภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ

ภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ เป็นภาวะที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้ต่อมธัยรอยด์มีการสังเคราะห์และหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมนออกมามากจนเกินไป จนทำให้มีอาการ ( Hyperthyroidism ) คือจะมีอาการนอนหลับยาก ขาดสมาธิ มือสั่นใจสั่น อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก น้ำหนักลดโดยอย่างปราศจากสาเหตุ อาจมีตาโปน ซึ่งมักพบในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่รีบทำการรักษา อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุน มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงจนผิดปกติ โดยถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Gay-Lussac, J. (1813). “Sur la combination de l’iode avec d’oxigène”. Annales de chimie. 88: 319.

Davy, Humphry (1 January 1814). “Some Experiments and Observations on a New Substance Which Becomes a Violet Coloured Gas by Heat”. Phil. Trans. R. Soc. Lond. 104: 74.