Alkaline Phosphatase (ALP) คืออะไร? ความสำคัญของค่าตรวจตับ

0
51588
การตรวจสาร Alkaline Phosphatase ในตับ
ALKALINE PHOSPHATASE คือ เอ็นไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีน จากอวัยวะต่างๆในร่างกายที่เกิดความผิดปกติจากโรคที่กำลังเกิดขึ้น
การตรวจสาร Alkaline Phosphatase ในตับ
ALKALINE PHOSPHATASE คือ เอ็นไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีน จากอวัยวะต่างๆในร่างกายที่เกิดความผิดปกติจากโรคที่กำลังเกิดขึ้น

Alkaline Phosphatase (ALP) คืออะไร? ความหมาย ค่าปกติ และการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อประเมินสุขภาพตับ–กระดูก

Alkaline Phosphatase (ALP) คือเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยพบมากในอวัยวะสำคัญอย่าง ตับ, กระดูก, ท่อน้ำดี, รก, และ ลำไส้ เอนไซม์ ALP ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยหมู่ฟอสเฟตจากโมเลกุลต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูก การดูดซึมสารอาหาร และการทำงานของระบบตับและทางเดินน้ำดี

ค่า ALP มักถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางการแพทย์ที่สำคัญใน Liver Function Test (LFT) หรือชุดการตรวจเพื่อประเมินสมรรถภาพการทำงานของตับ โดยค่า ALP ที่ “สูงหรือต่ำผิดปกติ” สามารถชี้ไปที่ภาวะผิดปกติในร่างกาย เช่น ตับอักเสบ, โรคกระดูก, ภาวะทางพันธุกรรม, หรือ ภาวะขาดสารอาหาร

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของ ALP ไปจนถึงการตีความผลเลือด, การวิเคราะห์เชิงลึก, ความเชื่อมโยงกับโรคสำคัญ และแนวทางการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถประเมินภาวะสุขภาพตับ–กระดูกของตนเองได้อย่างรู้เท่าทันและแม่นยำ

ALP คืออะไร? เอนไซม์พื้นฐานที่มีบทบาทหลายอวัยวะ

Alkaline Phosphatase (ALP) เป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในระบบชีวเคมีของร่างกาย โดยจัดอยู่ในกลุ่ม “เอนไซม์ฟอสฟาเตส” ที่ทำหน้าที่เร่งการแยกหมู่ฟอสเฟตออกจากสารชีวโมเลกุล เช่น ไกลโคโปรตีน, ไกลโคลิพิด หรือกรดนิวคลีอิก การทำงานของ ALP เกิดขึ้นในภาวะที่มีค่า pH เป็นด่าง (alkaline) จึงได้ชื่อว่า “Alkaline Phosphatase”

ความสำคัญของ ALP ไม่ได้จำกัดแค่ในระบบตับหรือกระดูกเท่านั้น แต่ยังแทรกอยู่ในทุกระบบที่ต้องการกระบวนการ “ขนส่ง–แปรสภาพ–ย่อยสลาย” ของสารอาหารและโครงสร้างระดับเซลล์ โดยบทบาทเหล่านี้เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดของ ALP ที่หลากหลายภายในร่างกาย

แหล่งที่มาของ ALP ในร่างกาย (ตับ, ท่อน้ำดี, กระดูก, รก, ลำไส้)

ALP มีอยู่ในหลายอวัยวะและเนื้อเยื่อ โดยที่มีความเข้มข้นสูงใน:

  • ตับ: โดยเฉพาะในผนังท่อน้ำดี (bile duct epithelium) ซึ่งเป็นบริเวณที่ ALP ทำหน้าที่ในการขจัดของเสียผ่านทางน้ำดี
  • กระดูก: Osteoblasts หรือเซลล์สร้างกระดูกผลิต ALP เพื่อช่วยในการแร่ธาตุกระดูก (bone mineralization)
  • รก: โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ที่ ALP จะสูงขึ้นตามการเจริญเติบโตของรก
  • ลำไส้เล็ก: พบ ALP ในผิวเยื่อบุลำไส้ ซึ่งมีบทบาทในการช่วยดูดซึมไขมัน
  • ไต (พบได้น้อยในผู้ใหญ่แต่มีในเด็ก)

แม้ ALP จะเป็นเอนไซม์เดียวกัน แต่มี “isoenzymes” ต่างกันตามแหล่งผลิต ทำให้ค่า ALP ที่สูงขึ้นในเลือดต้องตีความร่วมกับบริบททางคลินิกเสมอ

หน้าที่ของ ALP ต่อกระบวนการชีวภาพ (แปรสภาพฟอสเฟต, สร้างกระดูก, ช่วยดูดซึมสารอาหาร)

หน้าที่ของ ALP สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้:

  1. แปรสภาพฟอสเฟต (Dephosphorylation)
    ALP ช่วยเร่งการตัดหมู่ฟอสเฟตออกจากสารต่าง ๆ ซึ่งสำคัญในการเปิดใช้งาน/ย่อยสลายโมเลกุลชีวภาพ เช่น ATP → ADP → AMP
  2. สร้างกระดูก (Bone Mineralization)
    ในกระบวนการสร้างกระดูก ALP ที่ผลิตจาก osteoblast จะช่วยให้เกิดการตกผลึกของแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อกระดูก ทำให้โครงสร้างแข็งแรง
  3. ช่วยดูดซึมสารอาหาร
    ALP มีบทบาทในการดูดซึมไขมันและวิตามินบางชนิด โดยเฉพาะในลำไส้เล็ก ซึ่งต้องการสภาวะเป็นด่างเพื่อให้เอนไซม์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

กรณีที่ ALP ทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้กระบวนการเหล่านี้ล้มเหลว เช่น การดูดซึมไขมันบกพร่อง หรือการสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์ในเด็ก

ALP กับระบบย่อยอาหารและตับโดยตรง

ในระบบย่อยอาหาร ALP ทำหน้าที่เสริมการดูดซึมไขมันผ่านการทำงานร่วมกับน้ำดี (bile salts) โดย ALP ที่อยู่บริเวณลำไส้เล็กจะช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร และควบคุมความเป็นด่างให้เหมาะกับการทำงานของเอนไซม์อื่น ๆ

ส่วนในระบบตับ ALP ที่ผลิตในผนังท่อน้ำดี มีบทบาทชัดเจนในการกำจัดของเสียออกทางน้ำดี การอุดตันของท่อน้ำดีหรือการอักเสบที่บริเวณตับส่วนนี้มักทำให้ค่า ALP ในเลือดสูงขึ้นผิดปกติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคตับบางชนิด เช่น cholestasis หรือ biliary cirrhosis

ค่า ALP ที่สูงโดยไม่มีอาการ มักต้องวิเคราะห์ร่วมกับค่าทางตับอื่น เช่น GGT, AST, ALT เพื่อแยกแยะความผิดปกติของตับกับกระดูก

ค่า ALP ปกติอยู่ที่เท่าไหร่?

ค่า ALP ที่วัดได้จากเลือดจะถูกระบุในหน่วย “U/L” หรือ “หน่วยต่อเลือดหนึ่งลิตร” โดยช่วงค่าปกติสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของ ตับ และ กระดูก ได้ในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ค่าที่ถือว่า “ปกติ” อาจแตกต่างกันตามอายุ เพศ หรือสภาวะทางร่างกายเฉพาะ เช่น การตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยเจริญเติบโต

ค่ามาตรฐาน ALP ในห้องปฏิบัติการทั่วไป (U/L)

ค่าปกติของ ALP ในห้องปฏิบัติการทั่วไปอยู่ในช่วง:

กลุ่ม

ค่าอ้างอิง (U/L)

ผู้ใหญ่ทั่วไป

44 – 147 U/L

เด็ก (โดยเฉพาะช่วงวัยเจริญเติบโต)

100 – 400 U/L

หญิงตั้งครรภ์ (ปลายไตรมาสที่ 3)

อาจสูงถึง 200–400 U/L

ผู้สูงอายุ

มีแนวโน้มอยู่ในระดับปกติหรือลดต่ำลงเล็กน้อย

ค่าเหล่านี้อาจแตกต่างตามมาตรฐานของแต่ละห้องแล็บ หรือเทคนิคที่ใช้ในการตรวจ (เช่น colorimetric vs enzymatic method) ดังนั้นควรดูค่าที่อ้างอิงจากรายงานผลเลือดร่วมด้วยเสมอ

ปัจจัยที่ทำให้ค่า ALP ต่างกันระหว่างคน (อายุ เพศ ตั้งครรภ์ เด็ก)

  1. อายุ
    • เด็กและวัยรุ่นมีค่า ALP สูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตของกระดูก (bone remodeling)
    • ผู้สูงอายุอาจมีค่า ALP สูงจากกระดูกบาง หรือมีแนวโน้มต่ำลงจากสมรรถภาพร่างกายที่ลดลง
  2. เพศ
    • ในวัยเจริญพันธุ์ เพศชายมักมีค่า ALP สูงกว่าหญิงเล็กน้อย อันเนื่องมาจากมวลกระดูกที่มากกว่า
  3. การตั้งครรภ์
    • หญิงตั้งครรภ์จะมีค่า ALP สูงขึ้นตามการเจริญของรก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2–3
    • ค่า ALP จากรก (placental ALP) ไม่ควรแปลความเทียบกับโรคตับหรือกระดูกโดยตรง
  4. พฤติกรรมส่วนบุคคล
    • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การขาดสารอาหาร หรือภาวะน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน อาจส่งผลต่อค่า ALP ได้เช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของค่า ALP กับช่วงวัย

ค่า ALP เป็นหนึ่งในค่าทางคลินิกที่ “ผันแปรตามวัย” อย่างมีนัยสำคัญ:

  • ทารกและเด็กเล็ก
    มีค่า ALP สูงมาก (อาจเกิน 300–400 U/L) เพราะอยู่ในช่วงของการสร้างกระดูกอย่างรวดเร็ว
  • วัยรุ่น
    ค่า ALP ยังคงสูง โดยเฉพาะในเพศชายช่วงก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่กระตุ้นกระดูก
  • ผู้ใหญ่
    ค่า ALP ลดลงสู่ช่วงปกติ (44–147 U/L) ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินตับและกระดูกได้แม่นยำที่สุด
  • ผู้สูงอายุ
    บางรายมีค่า ALP ต่ำกว่าปกติ อาจสะท้อนถึงภาวะขาดสารอาหาร, ภาวะกระดูกพรุน หรือโรคตับเรื้อรังที่ทำให้การผลิต ALP ลดลง

การแปลผลค่า ALP จึงต้องพิจารณา “บริบทของช่วงวัย” ร่วมกับ “ภาวะสุขภาพปัจจุบัน” เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด

ค่า ALP สูงบ่งบอกอะไร?

ค่า ALP ที่สูงกว่าค่าปกติอาจเป็นสัญญาณทางชีวเคมีของความผิดปกติในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ระบบตับและท่อน้ำดี หรือ ระบบโครงสร้างกระดูก อย่างไรก็ตาม การแปลผลค่า ALP ที่สูงต้องพิจารณาร่วมกับค่าทางห้องปฏิบัติการอื่น เช่น GGT, ALT, AST รวมถึงอาการทางคลินิกของผู้ป่วย

ค่า ALP สูงไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคร้ายแรงเสมอไป แต่ถือเป็น “ตัวบ่งชี้” ที่ควรนำไปสู่การวินิจฉัยเพิ่มเติมอย่างละเอียด

ALP สูงจากปัญหาตับ (เช่น ท่อน้ำดีอุดตัน, ตับอักเสบ)

ในผู้ใหญ่ หากค่า ALP สูงเกิน 2 เท่าของค่าปกติ ร่วมกับค่า GGT ที่สูงขึ้นด้วย มักสื่อถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบท่อน้ำดี เช่น:

  • ท่อน้ำดีอุดตัน (Cholestasis)
    เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี, เนื้องอก, หรือพังผืดอุดกั้น ส่งผลให้ ALP พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ตับอักเสบ (Hepatitis)
    โดยเฉพาะชนิดเรื้อรัง เช่น B, C, หรือจากพิษแอลกอฮอล์ ค่า ALP จะเพิ่มปานกลาง และมักมีค่า ALT, AST สูงร่วมด้วย
  • โรคตับแข็ง (Cirrhosis)
    ในระยะที่ท่อน้ำดีเริ่มถูกทำลาย ค่า ALP อาจสูงขึ้นอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง

GGT คือค่าที่ช่วยยืนยันว่า ALP ที่สูงมาจาก “ตับ” ไม่ใช่ “กระดูก”

ALP สูงจากปัญหากระดูก (เช่น กระดูกหัก, โรค Paget)

หาก ALP สูง แต่ GGT อยู่ในเกณฑ์ปกติ มักสื่อถึง “แหล่งกำเนิดจากกระดูก” มากกว่า โดยภาวะที่ทำให้ค่า ALP สูง ได้แก่:

  • กระดูกหัก หรือการซ่อมแซมหลังบาดเจ็บ
    ช่วง 2–6 สัปดาห์หลังจากกระดูกหัก ค่า ALP จะสูงขึ้นเพราะ osteoblast ทำงานซ่อมแซม
  • โรค Paget (Paget’s Disease of Bone)
    เป็นโรคที่ทำให้กระดูกหนา ผิดรูป และเปราะบาง การสร้างกระดูกที่ผิดปกตินี้ทำให้ ALP พุ่งสูงแม้ไม่มีอาการ
  • ภาวะ Hyperparathyroidism
    ฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงทำให้เกิดการสลายแคลเซียมจากกระดูก ส่งผลให้ ALP สูงขึ้น

การตรวจ “Bone-specific ALP” อาจช่วยยืนยันแหล่งกำเนิดจากกระดูกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สาเหตุอื่น ๆ เช่น มะเร็ง, การตั้งครรภ์, การใช้ยา

ค่า ALP สูงไม่ได้หมายถึงแค่ตับหรือกระดูกเสมอไป ยังอาจเกิดจากเงื่อนไขอื่น เช่น:

  • มะเร็งบางชนิด
    เช่น มะเร็งตับ มะเร็งกระดูก มะเร็งปอด หรือมะเร็งที่แพร่กระจายเข้าสู่ตับ มักทำให้ ALP สูงเรื้อรัง
  • หญิงตั้งครรภ์
    โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2–3 ค่า ALP ที่สูงเกิดจากรก ไม่ใช่จากโรค ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรักษา
  • การใช้ยา
    ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก (phenytoin), ยาขับน้ำดี, สเตียรอยด์, หรือยาต้านเชื้อรา อาจทำให้ ALP สูง

การแปลผลต้องใช้บริบทร่วม เช่น ประวัติใช้ยา, ภาวะตั้งครรภ์ หรืออาการอื่นประกอบ มิฉะนั้นอาจตีความผิด

 ค่า ALP สูงอาจสื่อถึงความผิดปกติของ ตับ, ท่อน้ำดี, กระดูก, หรือเป็นผลจาก การใช้ยา และ ภาวะตั้งครรภ์ ต้องพิจารณาร่วมกับค่าทางชีวเคมีอื่นและอาการทางคลินิกเสมอ

ค่า ALP ต่ำมีผลเสียไหม?

แม้ ALP สูงจะมักได้รับความสนใจทางการแพทย์มากกว่า แต่ในทางกลับกัน “ค่า ALP ต่ำกว่าปกติ” ก็สามารถสะท้อนความผิดปกติของร่างกายที่ “ลึกซึ้งและซ่อนเร้น” ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในด้านการดูดซึมสารอาหาร, ความสมบูรณ์ของกระดูก, และการเจริญเติบโต

ค่าที่ถือว่า “ต่ำ” มักน้อยกว่า 40 U/L ในผู้ใหญ่ และหากต่ำกว่า 20 U/L อาจบ่งชี้ภาวะที่ควรได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม

สาเหตุของ ALP ต่ำ (เช่น ขาดวิตามิน B6/B12, ภาวะขาดสังกะสี)

ค่า ALP ต่ำอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยเฉพาะปัญหาทางโภชนาการหรือระบบเผาผลาญ ดังนี้:

  1. ภาวะขาดสังกะสี (Zinc Deficiency)
    สังกะสีเป็นโคแฟกเตอร์สำคัญของ ALP หากขาดสารนี้ ร่างกายจะผลิตเอนไซม์ได้ต่ำลงอย่างชัดเจน
  2. ขาดวิตามิน B6 และ B12
    วิตามินกลุ่ม B มีบทบาทในการเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ ขาดวิตามินเหล่านี้จะส่งผลต่อการสร้างเอนไซม์หลายชนิดรวมถึง ALP
  3. ภาวะขาดโปรตีนเรื้อรัง
    ผู้ที่รับประทานอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเรื้อรัง อาจมีค่า ALP ต่ำร่วมกับค่าทางโภชนาการอื่นผิดปกติ

การตรวจค่า “Albumin, Zinc, Vitamin B12” ควรทำควบคู่กันเมื่อพบว่า ALP ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน

ความเกี่ยวข้องกับโรค hypophosphatasia และภาวะทางพันธุกรรม

หนึ่งในโรคที่สำคัญที่สุดซึ่งเกี่ยวข้องกับค่า ALP ต่ำอย่างชัดเจนคือ:

Hypophosphatasia (HPP)
เป็นโรคพันธุกรรมหายาก ที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ALPL ซึ่งควบคุมการสร้าง ALP ในกระดูกและฟัน

  • ส่งผลให้เกิด ความผิดปกติของกระดูก (rickets) ในเด็ก และ กระดูกพรุน หรือ กระดูกหักง่าย ในผู้ใหญ่
  • ผู้ป่วยอาจมีฟันหลุดก่อนวัย, เดินผิดปกติ, เจ็บกระดูกบ่อย
  • ในรูปแบบรุนแรง (perinatal form) เด็กแรกเกิดอาจเสียชีวิตจากการหายใจลำบากเนื่องจากกระดูกซี่โครงอ่อนตัว

การตรวจยีน ALPL และ ALP-specific isoenzyme เป็นสิ่งจำเป็นหากสงสัย HPP โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติกระดูกผิดปกติหลายราย

ความสำคัญของ ALP ต่ำในเด็กและผู้สูงอายุ

ในเด็ก:

  • ALP ต่ำอาจสะท้อนพัฒนาการล่าช้าในการสร้างกระดูกหรือฟัน
  • ถ้าเด็กไม่มีการเจริญเติบโตตามเกณฑ์ หรือน้ำหนักไม่เพิ่ม ค่า ALP ที่ต่ำอาจเป็นสัญญาณหนึ่งของการขาดสารอาหาร

ในผู้สูงอายุ:

  • ค่า ALP ต่ำอาจพบร่วมกับภาวะ กล้ามเนื้อฝ่อลีบ, ขาดสารอาหาร, หรือภาวะซึมเศร้า
  • ผู้สูงวัยที่รับประทานอาหารได้น้อย หรือมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานระยะท้าย อาจมีค่า ALP ต่ำเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการเด่นชัด

สารอาหาร, การดูแลภาวะโภชนาการ, และการประเมินคุณภาพชีวิต มีความสัมพันธ์กับระดับ ALP มากกว่าที่หลายคนคาดคิด

ค่า ALP ต่ำอาจสื่อถึง ภาวะขาดสารอาหาร, โรคพันธุกรรม, หรือ พัฒนาการผิดปกติ และควรไม่ละเลยในกลุ่มเด็ก–ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหากพบร่วมกับอาการทางโภชนาการหรือโครงสร้างกระดูก

ALP แยกชนิดได้อย่างไร?

แม้ ALP จะเป็นเพียงค่าเดียวในผลเลือด แต่ในความเป็นจริง ALP มีหลายชนิดตามแหล่งที่สร้าง เช่น:

  • Liver ALP
  • Bone ALP
  • Intestinal ALP
  • Placental ALP
  • Regan Isoenzyme (ในมะเร็งบางชนิด)

การแยกชนิด ALP หรือที่เรียกว่า “ALP Isoenzyme Separation” จึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ค่า ALP ผิดปกติแต่ไม่มีอาการทางคลินิกชัดเจน

เทคนิคการแยก Isoenzyme ของ ALP (Liver vs Bone)

ในห้องปฏิบัติการ มีหลายวิธีที่ใช้จำแนก ALP isoenzymes ได้แก่:

  1. Electrophoresis (การแยกด้วยกระแสไฟฟ้า)
    • เป็นวิธีมาตรฐานในการแยก ALP จากแหล่งต่าง ๆ โดยอาศัย “ความต่างของการเคลื่อนที่ในสนามไฟฟ้า”
    • Liver ALP เคลื่อนที่เร็วกว่า Bone ALP
  2. Heat Stability Test
    • ALP แต่ละชนิดทนความร้อนไม่เท่ากัน เช่น:
      • Bone ALP ถูกทำลายที่ 56°C
      • Liver ALP ทนร้อนได้มากกว่า
    • ใช้ในโรงพยาบาลที่ไม่มี electrophoresis
  3. Lectin Affinity Method (แยกด้วยพันธะกับสารจำเพาะ)
    • ใช้สารเฉพาะเพื่อจับกับ ALP จากแหล่งต่าง ๆ แล้ววิเคราะห์ความเข้มข้น
    • แม่นยำแต่ราคาแพงและใช้เฉพาะในกรณีจำเป็น

ผลลัพธ์จากเทคนิคเหล่านี้ช่วยระบุว่า ALP ที่สูงผิดปกตินั้น “มาจากตับหรือกระดูก” ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการวินิจฉัยโดยตรง

ตัวอย่างกรณีทางคลินิกที่ต้องแยกชนิด ALP

สถานการณ์

เหตุผลในการแยก ALP

ผู้สูงอายุ ALP สูง แต่ไม่มีอาการตับ

ต้องแยกว่ามาจาก “กระดูกพรุน” หรือ “มะเร็งตับแฝง”

หญิงตั้งครรภ์ ALP สูงมาก

ต้องแยกว่าเป็น “Placental ALP” หรือ “Liver ALP” เพื่อคัดกรอง preeclampsia

เด็ก ALP สูงเกิน 500 U/L

แยกว่ามาจากการ “เจริญเติบโตปกติ” หรือโรคกระดูก เช่น rickets

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ และมี ALP สูงเรื้อรัง

แยกว่าค่า ALP มาจาก “ภาวะ cholestasis” หรือ “ภาวะกระดูกพรุนจากโรคตับ”

หากไม่แยกชนิด ALP อาจพลาดโอกาสวินิจฉัยโรค หรือทำให้การรักษาเบี่ยงเบนจากต้นเหตุ

ค่าร่วมอื่นๆ ที่ควรดูร่วมกัน เช่น GGT, AST, ALT

ค่า ALP ควร “ไม่ถูกอ่านเดี่ยว” แต่ต้องดูร่วมกับค่าอื่นเพื่อให้แปลผลได้แม่นยำ:

  • GGT (Gamma-Glutamyl Transferase)
    • ใช้แยกแหล่ง ALP:
      • ALP↑ + GGT↑ = ตับ
      • ALP↑ + GGT ปกติ = กระดูก
  • AST และ ALT
    • ถ้า AST/ALT เพิ่มด้วย → เป็นตับอักเสบ (hepatocellular pattern)
    • ถ้า AST/ALT ปกติ แต่ ALP↑ → เป็น cholestasis หรือกระดูก
  • Calcium, Phosphorus, Vitamin D
    • ใช้ร่วมเมื่อสงสัยปัญหาจากกระดูก เช่น Paget หรือ Osteomalacia
  • Bilirubin
    • ถ้า ALP สูง + bilirubin สูง → มีแนวโน้มท่อน้ำดีอุดตัน

การดูค่าร่วมช่วยลดโอกาสพลาดการวินิจฉัย โดยเฉพาะในกรณีที่ ALP เพิ่มขึ้นแบบไม่มีอาการ

การแยก ALP ช่วยชี้เป้าหมายของโรคว่าอยู่ที่ ตับ หรือ กระดูก การแปลผลอย่างแม่นยำต้องใช้ “เทคนิคแล็บ” + “ค่าอื่นร่วม” + “บริบทคนไข้” เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นและป้องกันการรักษาผิดทิศ

เมื่อไรควรตรวจค่า ALP?

การตรวจค่า Alkaline Phosphatase (ALP) ไม่ใช่การตรวจเฉพาะทางสำหรับโรคใดโรคหนึ่ง แต่ถูกใช้ใน “บริบททางคลินิกที่หลากหลาย” ทั้งด้านโรคตับ โรคกระดูก และการติดตามหลังการรักษามะเร็งบางชนิด

โดยทั่วไป แพทย์จะสั่งตรวจ ALP เมื่อพบว่า:

  • ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติของ ตับ, ถุงน้ำดี หรือทางเดินน้ำดี
  • มีภาวะ เจ็บกระดูก, กระดูกผิดรูป, กระดูกหักง่าย
  • มีผลเลือดอื่นผิดปกติ เช่น bilirubin สูง หรือ GGT สูง
  • ติดตามผลหลังการรักษาโรคที่มีผลต่อโครงสร้างเซลล์ตับหรือกระดูก

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจ ALP (ตับอักเสบ, โรคกระดูก, มะเร็ง)

  1. กลุ่มโรคตับและถุงน้ำดี
    • ผู้ที่มีอาการ ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, ท้องอืดเรื้อรัง
    • ประวัติ ไวรัสตับอักเสบ (HBV/HCV) หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
    • ผู้มีความเสี่ยงท่อน้ำดีอุดตัน เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
  2. กลุ่มโรคกระดูก
    • เด็กที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น ฟันหลุดเร็ว, ขาโก่ง, เจ็บข้อบ่อย
    • ผู้สูงอายุที่ มีกระดูกหักบ่อย หรือวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
  3. กลุ่มโรคมะเร็ง
    • ผู้ป่วยมะเร็งตับ, มะเร็งลำไส้, หรือมะเร็งที่แพร่กระจายไปตับ/กระดูก
    • ใช้ ALP ติดตามการลุกลามหรือประเมินการตอบสนองต่อเคมีบำบัด

หากคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น ควรหารือกับแพทย์เรื่องการตรวจ ALP ร่วมกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ

การตรวจ ALP ร่วมกับ Liver Function Test อื่นๆ

ALP มักไม่ได้ถูกตรวจแบบ “โดดเดี่ยว” แต่เป็นหนึ่งในชุด Liver Function Test (LFT) ซึ่งประกอบด้วย:

ค่าที่ตรวจร่วม

ความหมาย

ALT (SGPT)

สะท้อนความเสียหายภายในเซลล์ตับ

AST (SGOT)

แสดงภาวะตับอักเสบหรือกล้ามเนื้อเสียหาย
GGT

ช่วยแยก ALP ว่ามาจาก “ตับ” หรือ “กระดูก”

Bilirubin (รวม/ตรง)

ชี้ภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำดี

Albumin

สะท้อนสมรรถภาพการสังเคราะห์โปรตีนของตับ

การอ่านผล ALP ต้องมีบริบท เช่น:

  • ALP ↑ + GGT ↑ → ท่อน้ำดีอุดตัน
  • ALP ↑ + ALT/AST ปกติ → โรคกระดูก
  • ALP ↑ + Bilirubin ↑ → สงสัย obstruction (ต้องอัลตราซาวด์)

ถ้าผล ALP ผิดปกติแต่ไม่มีอาการ ควรทำ LFT เต็มชุดเพื่อให้ได้มุมมองครบถ้วน

ความถี่ในการตรวจ ALP สำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง

กลุ่มผู้ป่วย

ความถี่ที่แนะนำ

ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง (HBV/HCV, fatty liver)

ทุก 6 เดือน – 1 ปี

ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงโรคกระดูก

ปีละ 1 ครั้ง ร่วมกับ DEXA scan
ผู้ที่รักษามะเร็งตับ/กระดูก

ตามรอบเคมีบำบัด หรือทุก 3 เดือน

หญิงตั้งครรภ์

ทุกไตรมาส (ค่า ALP จะเปลี่ยนไปตามระดับรก)

กลุ่มตรวจสุขภาพประจำปี

รวมใน LFT หรือแพ็กเกจสุขภาพเฉพาะทางตับ

หากพบว่า ALP ผิดปกติ ควร ติดตามค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแนวโน้ม ไม่ควรดูค่าเพียงครั้งเดียวแล้วสรุป

ควรตรวจ ALP ในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ, โรคกระดูก หรือโรคมะเร็ง เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และติดตามผลหลังรักษา ค่า ALP มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ร่วมกับค่าทางชีวเคมีอื่น และควรถูกบรรจุในแผนสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

วิธีดูแลสุขภาพเมื่อค่า ALP ผิดปกติ

ไม่ว่าจะเป็นค่า ALP สูงหรือต่ำ สิ่งสำคัญคือการ ดูแลร่างกายแบบเฉพาะทาง ตามแหล่งที่ ALP ผิดปกติ โดยเน้นการเสริมสุขภาพของ “ตับ” และ “กระดูก” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหลักของเอนไซม์นี้ พร้อมด้วยการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม

การดูแลเชิงป้องกันยังเป็นแนวทางสำคัญสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือผู้ที่ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ

แนวทางการดูแลตับ (อาหาร, เลี่ยงแอลกอฮอล์, การออกกำลังกาย)

1. อาหารบำรุงตับ

  • รับประทานผักผลไม้ที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ สูง เช่น บล็อกโคลี, แครอท, เบอร์รี่
  • เพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงจาก ไข่ขาว, เต้าหู้, ปลา เพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อตับ
  • ลดอาหารแปรรูป, ไขมันทรานส์ และของทอด ที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง

2. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารพิษตับ

  • หลีกเลี่ยง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หากค่า ALP สูงโดยมีความเสี่ยงตับ
  • หลีกเลี่ยงยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์

3. การออกกำลังกายที่เหมาะสม

  • เน้นการ เดินเร็ว, โยคะ, หรือว่ายน้ำ วันละ 30–45 นาที
  • ลดการสะสมไขมันที่ตับและช่วยกระตุ้นการขับสารพิษออกทางเหงื่อ

การดูแลตับที่ดีจะส่งผลต่อระดับ ALP โดยตรง โดยเฉพาะในผู้ป่วย fatty liver, hepatitis หรือ biliary disorder

แนวทางการดูแลกระดูก (เสริมวิตามิน D, ออกกำลังกายต้านแรง)

1. เพิ่มแคลเซียมและวิตามิน D

  • เลือกแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย, เต้าหู้, ผักใบเขียว
  • รับแสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้าอย่างน้อยวันละ 10–15 นาที เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามิน D
  • หากจำเป็นอาจเสริมวิตามิน D ตามคำแนะนำของแพทย์

2. ออกกำลังกายต้านแรง (Resistance Exercise)

  • แนะนำ: ยกน้ำหนักเบา, ฝึกพิลาทิส, เดินขึ้นบันได, squat
  • การสร้างแรงกระแทกในระดับปลอดภัยช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและ ALP ในกระดูก

3. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำลายกระดูก

  • งดการสูบบุหรี่, ดื่มกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว และอาหารเค็มจัด

การดูแลกระดูกที่ดีจะช่วยควบคุม ALP จาก osteoblast activity ให้อยู่ในสมดุล ลดภาวะกระดูกบางหรือ ALP ผิดปกติในเด็กและผู้สูงวัย

การปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงค่า ALP สูงหรือต่ำ

พฤติกรรม

ส่งผลต่อ ALP อย่างไร

นอนดึก–นอนไม่พอ

รบกวนการซ่อมแซมตับ ทำให้ ALP ตับสูง

รับประทานแอลกอฮอล์

ทำลายเซลล์ตับ → ALP สูงเรื้อรัง
ขาดสารอาหารจำพวกสังกะสี

ลดการสร้าง ALP ในลำไส้และกระดูก

นั่งนาน ไม่ออกกำลังกาย

ทำให้กระดูกเสื่อม มวลกระดูกลด ALP ผันผวน

รับประทานอาหารเสริมไม่เหมาะสม

เช่น วิตามิน A เกินขนาด ส่งผลต่อตับและ ALP

จุดเริ่มต้นของการดูแล ALP ไม่ได้อยู่ที่ “ยา” แต่เริ่มจาก “วิถีชีวิต” ที่สมดุลในทุกมิติ

การดูแลสุขภาพเมื่อค่า ALP ผิดปกติควรพุ่งเป้าไปยัง “ต้นทางของปัญหา” คือ ตับ และ กระดูก ด้วยวิธีธรรมชาติ การเสริมโภชนาการที่เหมาะสม + ออกกำลังกาย + เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง จะช่วยควบคุมระดับ ALP ให้สมดุลในระยะยาว

การวางแผนสุขภาพด้วยค่า ALP

การวางแผนสุขภาพที่ดีในยุคปัจจุบันไม่ควรอิงเพียงแค่ “อาการเจ็บป่วย” เท่านั้น แต่ควรใช้ ข้อมูลชีวเคมีจากเลือด มาเป็นตัวชี้นำล่วงหน้า หนึ่งในค่าที่สะท้อนสุขภาพได้ทั้งในเชิงโครงสร้าง (กระดูก) และระบบภายใน (ตับ) คือ ค่า ALP

เมื่อค่า ALP ถูกนำมาใช้ควบคู่กับการตรวจสุขภาพประจำปี, การติดตามโรคเรื้อรัง, หรือการวางเป้าหมายสุขภาพเฉพาะกลุ่ม จะช่วยให้สามารถ “ป้องกันได้ก่อนรักษา” อย่างแท้จริง

ALP กับการวางแผนสุขภาพระยะยาว

ค่า ALP ทำหน้าที่เสมือน “early signal” หรือ “alarm” ที่ชี้ให้เห็นความผิดปกติลึก ๆ ที่อาจยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะ:

  • ตับที่มีการสะสมไขมัน (fatty liver) ในระยะเริ่มต้น
  • การสูญเสียมวลกระดูกอย่างเงียบ ๆ ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • การเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการที่มีผลต่อการสร้างเอนไซม์

ด้วยเหตุนี้ ค่า ALP จึงสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดในการ:

  • ปรับพฤติกรรมสุขภาพแบบรายบุคคล เช่น โภชนาการเฉพาะโรค
  • วางเป้าหมายสุขภาพรายปี เช่น ลด ALP ลงสู่ค่ากลางใน 6 เดือน
  • ประเมินแนวโน้มโรคก่อนเกิดจริง เช่น ถ้า ALP สูงร่วมกับ ALT ในกลุ่มเสี่ยงตับ → ควรตรวจภาพตับก่อนมีอาการ

ค่า ALP ไม่ได้ชี้ว่า “คุณป่วยแล้ว” แต่ช่วยเตือนว่า “คุณควรเริ่มดูแลก่อนจะป่วย”

การใช้ข้อมูล ALP ร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำปี

ในแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ดี ควรมี ALP รวมอยู่ใน Liver Panel และ Bone Profile เสมอ เพื่อให้สามารถ:

  • เปรียบเทียบค่า ALP แบบปีต่อปี
    → ดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงแม้ค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • วิเคราะห์ร่วมกับพฤติกรรมชีวิตที่ผ่านมา
    เช่น น้ำหนักขึ้น, นอนน้อย, ไม่ออกกำลังกาย → กระทบ ALP ได้
  • ใช้ ALP ประเมินผลลัพธ์ของพฤติกรรมสุขภาพ
    เช่น หลังลดแอลกอฮอล์หรือเสริมวิตามิน D ค่า ALP กลับสู่สมดุล

ผู้ที่เริ่มต้นดูแลสุขภาพ ควร “วางเป้า ALP” ให้เข้าสู่ระดับค่ากลาง (เช่น 70–90 U/L) มากกว่าการเน้นแค่ไม่เกินช่วงอ้างอิง

ALP กับการติดตามผลหลังการรักษาโรคตับ/กระดูก

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาแล้ว ไม่ควรละเลยการติดตามค่า ALP เนื่องจาก:

  • หลังการผ่าตัดถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี
    ค่า ALP ควรลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์ หากยังสูงอาจมีภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ป่วยมะเร็งตับหรือกระดูก
    ALP ใช้ติดตามการตอบสนองต่อเคมีบำบัด หาก ALP ลดแสดงถึงการตอบสนองดี
  • ผู้ที่รักษากระดูกหัก, โรคกระดูกพรุน, หรือ Paget
    ALP ควรอยู่ในระดับที่คงที่หรือมีแนวโน้มลดเมื่อการสร้างกระดูกสมดุลขึ้น

ค่าทางชีวเคมี เช่น ALP, GGT, Vitamin D, และ DEXA scan ควรถูกวางไว้ในแผน follow-up เพื่อให้การรักษาครอบคลุมทั้ง “อาการ” และ “ชีวภาพ”

ALP คือดัชนีที่ใช้วางกลยุทธ์สุขภาพได้ทั้งในเชิงป้องกันและเชิงติดตาม ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันโรคตับ-กระดูก, ติดตามผลรักษา, หรือวางแผนสุขภาพในภาพรวม ค่านี้ไม่ควรถูกละเลยในทุกระดับของการดูแลสุขภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ALP (FAQs)

ค่า ALP สูงแปลว่าเป็นมะเร็งหรือไม่?

คำตอบ: ไม่เสมอไป
แม้ว่าค่า ALP สูงอาจพบได้ในผู้ป่วยมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ, มะเร็งกระดูก, หรือ มะเร็งที่แพร่กระจายสู่ตับหรือกระดูก แต่ ไม่สามารถใช้ค่า ALP เพียงตัวเดียวเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งได้

ในกรณีที่ ALP สูงผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาค่าร่วมอื่น เช่น GGT, ALT, AST, และทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น:

  • การตรวจอัลตราซาวด์ตับหรือ CT scan
  • ตรวจ Tumor Marker เฉพาะ (AFP, CA 19-9)
  • การเจาะชิ้นเนื้อถ้าสงสัยร้ายแรง

สรุปคือ ALP สูงอาจเป็นสัญญาณ แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเรื่องมะเร็ง

ทำไมเด็กถึงมีค่า ALP สูงกว่าผู้ใหญ่?

คำตอบ: เพราะ ALP ในเด็กมาจากการเจริญเติบโตของ “กระดูก”
เด็กและวัยรุ่นจะมีอัตราการสร้างกระดูก (Bone Turnover) สูงมาก ทำให้ ALP ที่สร้างจาก osteoblast สูงกว่าปกติได้หลายเท่าตัว โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ

ตัวอย่างค่า ALP ปกติ:

  • เด็กอายุ 1–9 ปี: 110–400 U/L
  • วัยรุ่นช่วงเจริญเติบโต: อาจสูงถึง 500–1000 U/L
  • ผู้ใหญ่: 40–130 U/L โดยเฉลี่ย

การตีความค่า ALP ต้องพิจารณา “อายุและช่วงพัฒนาการ” เสมอ ไม่สามารถเทียบข้ามวัยได้

สามารถลดค่า ALP ได้เองโดยไม่ใช้ยาไหม?

คำตอบ: ได้ ในกรณีที่ ALP สูงจากพฤติกรรมหรือภาวะไม่รุนแรง
โดยเฉพาะในกรณีที่ค่า ALP สูงจาก:

  • การสะสมไขมันในตับ (fatty liver)
  • ความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress)
  • การขาดวิตามิน D หรือสังกะสีเล็กน้อย

แนวทางปรับพฤติกรรม:

  • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์
  • เพิ่มการออกกำลังกายแบบต้านแรง
  • รับประทานอาหารที่ช่วยตับ เช่น บล็อกโคลี, อะโวคาโด
  • เสริมวิตามินและแร่ธาตุตามคำแนะนำแพทย์

แต่หากค่า ALP สูงจาก โรคทางการแพทย์ เช่น ตับอักเสบ หรือมะเร็ง → การใช้ยาและการรักษาตามสาเหตุเป็นสิ่งจำเป็น

คำแนะนำคือ ตรวจซ้ำหลังปรับพฤติกรรม 1–3 เดือน หากค่าไม่ลด ควรพบแพทย์

ค่า ALP ผิดปกติ จำเป็นต้องตรวจอะไรต่อ?

คำตอบ: ใช่ โดยต้องดู “ทิศทางของ ALP” และพิจารณาค่าร่วมอื่น
ลำดับการตรวจเพิ่มเติมทั่วไปมีดังนี้:

  1. ค่า ALP สูง
    → ตรวจ GGT (แยกว่ามาจากตับหรือกระดูก)
    → ตรวจ ALT, AST, Bilirubin (ดูการทำงานของตับ)
    → อัลตราซาวด์ตับ, CT scan หากมีอาการ
  2. ค่า ALP ต่ำ
    → ตรวจ ระดับสังกะสี, วิตามิน D, B6, B12
    → พิจารณาภาวะทางพันธุกรรมเช่น hypophosphatasia หากต่ำเรื้อรัง
  3. ค่า ALP ผันผวนบ่อย
    → ตรวจค่าฮอร์โมนและดูการตอบสนองต่อพฤติกรรม เช่น อาหาร, การออกกำลังกาย

ค่า ALP เป็นเพียงจุดเริ่มต้น → ต้องมีการตรวจซ้ำหรือขยายผลเสมอหากผิดปกติ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ALP สะท้อนความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มประชาชน การตอบแบบตรงไปตรงมาโดยมีข้อมูลสนับสนุนทางคลินิกจะช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

สรุป: เข้าใจ ALP อย่างรอบด้านเพื่อสุขภาพระยะยาว

Alkaline Phosphatase (ALP) ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขในผลตรวจเลือด แต่คือ “เครื่องชี้วัดแบบครอบจักรวาล” ที่เชื่อมโยงสุขภาพ ตับ, กระดูก, และ ระบบเผาผลาญ เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง การทำความเข้าใจ ALP อย่างรอบด้านจึงเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศที่บอกว่า “ร่างกายของเรากำลังส่งสัญญาณอะไรอยู่”

Key Takeaways ที่ควรจดจำ

  • ALP สะท้อนสุขภาพของทั้งตับและกระดูก
    โดยค่า ALP ที่ผิดปกติอาจบ่งบอกถึงโรค เช่น ตับอักเสบ, ท่อน้ำดีอุดตัน, กระดูกพรุน, หรือมะเร็ง
  • ค่า ALP ต้องตีความตามช่วงวัย, เพศ, พฤติกรรมสุขภาพ และบริบทของโรคประจำตัว
    เช่น เด็กมี ALP สูงโดยธรรมชาติ, ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนต้องติดตาม ALP ร่วมกับมวลกระดูก
  • ควรตรวจ ALP อย่างต่อเนื่อง
    อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และตรวจร่วมกับค่าอื่น ๆ เช่น AST, ALT, GGT เพื่อประเมินสาเหตุอย่างแม่นยำ

เชื่อมโยงกลับสู่แนวทางดูแลสุขภาพของ Amprohealth

ที่ Amprohealth เราเชื่อว่า “ข้อมูลสุขภาพ” ควรถูกแปลเป็น “แนวทางดูแลสุขภาพเชิงปฏิบัติ” ดังนั้นเมื่อคุณมีผลตรวจ ALP แล้ว:

  1. หากค่า ALP สูง → ควรเริ่มดูแลตับโดยลดไขมันทรานส์, งดแอลกอฮอล์, เพิ่มการออกกำลังกาย
  2. หาก ALP ต่ำ → ควรเสริมสังกะสี, วิตามิน D และประเมินภาวะโภชนาการ
  3. กรณีมีโรคเรื้อรัง → ใช้ค่า ALP เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อการรักษา (ตับ, กระดูก, หรือเคมีบำบัด)

อย่าปล่อยให้ “ค่า ALP” เป็นแค่ข้อมูลที่ถูกมองข้ามในผลเลือด
เริ่มใช้มันเป็น “พิมพ์เขียวสุขภาพระยะยาว” วันนี้ กับคำแนะนำจากแพทย์และทีม Amprohealth ที่พร้อมสนับสนุนคุณทุกขั้นตอน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Kim EE, Wyckoff HW (March 1991). “Reaction mechanism of alkaline phosphatase based on crystal structures. Two-metal ion catalysis”. J. Mol. Biol. 218 (2): 449–64.

Rao, N. N.; Torriani, A. (1990-07-01). “Molecular aspects of phosphate transport in Escherichia coli”. Molecular Microbiology.

Horiuchi T, Horiuchi S, Mizuno D (May 1959). “A possible negative feedback phenomenon controlling formation of alkaline phosphomonoesterase in Escherichia coli”. Nature. 183 (4674): 1529–30. 

Willsky; Malamy; Bennett (1973). “Inorganic Phosphate Transport in Escherichia coli: Involvement of Two Genes Which Play a Role in Alkaline Phosphatase Regulation”. Journal of Bacteriology. 113: 529–539.