บ๊วยผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

0
1567
บ๊วยผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู ผลสดกลมเป็นสีเขียวรสขมอมเปรี้ยวกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม
บ๊วย
ผลไม้เมืองหนาว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู ผลสดกลมเป็นสีเขียวรสขมอมเปรี้ยวกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม

บ๊วย

บ๊วย Chinese plum, Japanese apricot, Ume เป็นผลไม้เมืองหนาว มีต้นกำเนิดในประเทศจีน และเวลาต่อมาในภายหลังก็ได้แพร่กระจายไปหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ไทย ลาว พม่า เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยนั้น จะมีการเพาะปลูกกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยได้รับการแพร่เข้ามาในทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Prunus mume Siebold & Zucc. จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับพลัม ลูกท้อ เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง

พันธุ์ต้นที่นิยมมาเพาะปลูก

1. พันธุ์เชียงราย หรือ พันธุ์แม่สาย ถูกจัดให้เป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย โดยมีการปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป แต่ก็มีข้อเสียนั่นก็คือ ตัวผลมีขนาดที่เล็กไม่ตรงกับความต้องการของโรงงานแปรรูป[1],[2]
2. พันธุ์ปิงติง สายพันธุ์นี้จัดเป็นสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวัน เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
3. พันธุ์เจียนโถ พันธุ์นี้ก็เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวันเช่นเดียวกัน และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
4. พันธุ์บารมี 1 หรือ พันธุ์ขุนวาง 1 ในส่วนสายพันธุ์นี้นั้นจะเป็นสายพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ มีจุดเด่นก็คือ ผลที่มีขนาดใหญ่และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
5. พันธุ์บารมี 2 หรือ พันธุ์ขุนวาง 2 ในสายพันธุ์นี้จะเป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่เช่นกัน นอกจากจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่แล้ว ยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย และเหมาะสำหรับนำมาปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]

ลักษณะของบ๊วย

  • ต้น จัดเป็นไม้ผลยืนต้นที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย มีโรคและแมลงรบกวนน้อย และให้ผลผลิตที่สูงตามอายุและขนาดของลำต้น โดยต้องการอุณหภูมิในการปลูกอย่างต่ำประมาณ 7.2 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเสียบกิ่งหรือวิธีการปักชำ[1],[2]
  • ใบ เป็นใบขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเทา ขอบใบเป็นหยักคล้ายกับฟันเลื่อย[4]
  • ดอก มีกลิ่นที่หอม ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพู[4]
  • ผล มีลักษณะกลมเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่เต็มที่แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทั่วไปนั้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร เนื้อมีรสชาติขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อจะนิ่ม ภายในผลมีเมล็ดแข็ง ที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันเมื่อผลแก่แล้ว จะเริ่มมีการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ส่วนในประเทศไทยจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน[1],[4]

โอวบ๊วย หรือ บ๊วยดำ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า “อูเหมย” ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Smoked plum โดยการนำส่วนของผลที่ใกล้สุกมาทำเป็นยา หรือในชื่อของเครื่องยา Fructus Mume[8] (สถาบันการแพทย์แผนไทยและจีน)

สรรพคุณบ๊วยดำ

1. รสที่เปรี้ยว ฝาด และสุขุม มีฤทธิ์ในการช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ปอด ช่วยระงับอาการไอ แก้ไอแห้ง อาการไอเรื้อรัง[8]
2. มีฤทธิ์ในการช่วยเสริมธาตุน้ำ ช่วยแก้ร้อนแบบพร่อง แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้กระหายน้ำ[8]
3. ใช้ช่วยลดอาการไข้[9]
4. ใช้ช่วยสมานลำไส้ ช่วยระงับอาการท้องร่วง แก้อาการท้องร่วงเรื้อรังและมีเลือดปน บิดเรื้อรัง[8]
5. มีฤทธิ์ในการช่วยป้องกันโรคติดต่อในลำไส้ได้[9]
6. มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิ และแก้พยาธิ[8]
7. ใช้ช่วยห้ามเลือดได้ดี[8]
8. มีกรดมาลิก กรดซิตริก กรดซักซินิก ไฟโตสเตอรอล และในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ มีฤทธิ์ที่สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้หลากหลายชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด เชื้อวัณโรค เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อไทฟอยด์หรือไข้รากสาดใหญ่[9]

ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มน้ำดื่ม[8]

ข้อควรระวัง : ควรระมัดระวังในการใช้กับผู้ป่วยที่มีไข้และอาการร้อนแกว่ง[8]

สรรพคุณของบ๊วย

1. ช่วยเพิ่มกำลัง และบรรเทาอาการอ่อนเพลีย เพราะเนื่องจากการที่คนเรารู้สึกมีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็เนื่องจากมีกรดในเลือดที่สูง ร่างกายจึงไม่สามารถปรับสมดุลความเป็นด่างได้ทัน มีความเป็นด่างที่ค่า pH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของมนุษย์ ดังนั้นจึงช่วยถ่วงดุลความด่างได้[1],[3],[5]
2. ช่วยลดความกระหายน้ำ ช่วยลดการสูญเสียเหงื่อในร่างกายได้[1],[4]
3. ช่วยป้องกันการเป็นลมแดด สำหรับผู้ที่ทำงานหรือออกกำลังกายในที่กลางแจ้ง โดยเฉพาะแบบเค็มจะมีโซเดียมอยู่มาก จึงช่วยในการเติมเต็มเกลือแร่ให้กับร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อย ๆ จิบก็จะช่วยได้อย่างมาก[5]
4. ใช้ช่วยลดมลพิษและอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย และช่วยลดกรดในกระเพาะ[1],[4]
5. ใช้ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบ โรคฟัน และแก้ปัญหาเรื่องการเกิดกลิ่นปาก[4]
6. มีฤทธิ์ในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน[1]
7. มีส่วนช่วยปรับสมดุลในกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรงมากขึ้น[4]
8. ช่วยในการเสริมสร้างระบบการย่อยอาหาร แก้อาหารไม่ย่อย หรือถ้าหากมีอาการท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง [4]
9. ใช้ช่วยรักษาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้[6]
10. มีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้[1]
11. ใช้ช่วยขับพยาธิบางชนิดในลำไส้ได้[1],[6]
12. ช่วยในระบบขับถ่ายน้ำในร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด จะทำให้การขับถ่ายน้ำไม่ค่อยดี และอาจทำให้เกิดโรคในระบบการขับถ่ายน้ำตามมา เช่น โรคถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคบวมน้ำ และโรคไต เป็นต้น [5]
13. น้ำใช้ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ [6]
14. มีส่วนช่วยแก้อาการแพ้ท้องของสตรีมีครรภ์ [4]
15. ผลแช่น้ำเกลือ ถ้านำมาคั้นเอาแต่น้ำสามารถนำมาใช้ดื่มรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรีได้[7]

ประโยชน์ของบ๊วย

1. เป็นผลไม้ที่ใช้รับประทานสดไม่ได้ แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น แบบเค็ม ดอง หรือบ๊วยเจี่ย แช่อิ่ม อบแห้ง ทำแยม น้ำ ยาอม ฯลฯ หรือจะนำไปใช้ทำเป็นอาหาร เช่น ปลานึ่ง น้ำจิ้ม และซอส เป็นต้น[2],[4]
2. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบินได้ หากเดินทางไกลอยู่บ่อย ๆ การพกติดตัวไว้จะช่วยได้มาก[4]
3. มีฤทธิ์ในการช่วยแก้อาการเมาค้างอันเนื่องมาจากการดื่มเหล้าดื่มสุรา[4]
4. ช่วยแก้อาการง่วงนอน ช่วยทำให้ผ่อนคลายจากอาการง่วงนอนได้เป็นอย่างดี[5]

ข้อควรระวังในการรับประทานบ๊วย

1. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรที่จะหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีความเค็ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “แบบเค็ม” เพราะความเค็มเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคชนิดนี้และอาจส่งผลทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้[5]
2. แบบหวานมีการตรวจพบว่ามีสารซัคคาริน (ขัณฑสกร) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานในอาหารแห้ง โดยตรวจพบที่ด่านแม่สายมากถึง 80% ซึ่งการได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมาก ๆ จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ มีอาการระคายเคืองในช่องปาก และเป็นโรคกระเพาะอาหารได้[5]
3. สำหรับในคนทั่วไปแล้วนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ การรับประทานแบบเค็มในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลทำให้ร่างกายมีปริมาณของโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการกระหายน้ำ เป็นร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไตและหัวใจทำงานหนักขึ้น จึงแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเค็มปานกลาง และลดปริมาณของอาหารที่มีโซเดียมสูง[5]

วิธีทำน้ำบ๊วย

1. อย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ได้แก่ บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด, น้ำตาลทราย ½-1 ถ้วยตวง, เกลือป่น 1-2 ช้อนชา, น้ำสะอาด 6 ถ้วย[7]
2. เมื่อเตรียมส่วนผสมเสร็จแล้ว ให้นำมายีเอาแต่เนื้อ จากนั้นใส่น้ำลงในหม้อและใส่น้ำตาล ตั้งไฟพอให้เดือด ใส่น้ำตาลลงไปเมื่อละลายแล้วต้มสักครู่จนน้ำมีสีเหลืองอ่อน ๆ[7]
3. ต่อมาให้ใส่เกลือแล้วคนให้ทั่ว จากนั้นชิมรสให้มีรสเปรี้ยว หวาน และเค็มเล็กน้อย เสร็จแล้วปิดฝาทิ้งไว้รอจนเย็น แล้วนำมาเทใส่ขวดและแช่ตู้เย็น เป็นอันเสร็จเรียบร้อย[7]
4. หากจะนำมาดื่ม ให้ตักน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วเทน้ำใส่แก้ว สามารถนำมาดื่มได้ทันที[7]

สั่งซื้ออาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “บ๊ ว ย”. (บุษบา แซ่ลี). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [7 พ.ย. 2013].
2. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th/hrc/cmroyal. [7 พ.ย. 2013].
3. KU eMagazine นิตยสารออนไลน์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “สารพัดวิธีผ่อนคลาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazin. [7 พ.ย. 2013].
4. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/บ๊ ว ย (ROSACEAE). [7 พ.ย. 2013].
5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [7 พ.ย. 2013].
6. GotoKnow. “ประโยชน์จากน้ำผลไม้ที่คุณอาจไม่เคยรู้”. (ORAWAN). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [7 พ.ย. 2013].
7. มูลนิธิสุขภาพไทย. “น้ำ บ๊ ว ย”. อ้างอิงใน: สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข : น้ำสมุนไพร 108. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [7 พ.ย. 2013].
8. สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. “โ อ ว บ๊ ว ย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tcm.dtam.moph.go.th. [7 พ.ย. 2013].
9. ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. “บ๊ ว ย ดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: cul.hcu.ac.th. [7 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://commons.wikimedia.org/wiki/