ต้นกระแจะ
เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้น เนื้อไม้เป็นสีขาว เปลือกลำต้นสีน้ำตาลผิวขรุขระ ดอกเป็นช่อกระจะสีขาวหรือสีขาวอมสีเหลือง ผลอ่อนสีเขียวผลแก่สีม่วงคล้ำ

กระแจะ

กระแจะ สามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณทั่วไป รวมไปถึงป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-400 เมตร สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดหรือการปักชำด้วยกิ่งอ่อนหรือราก มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศพม่า ปากีสถาน ศรีลังกา อินเดีย บังกลาเทศ มณฑลยูนนานของจีน และในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยจะมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Hesperethusa crenulata (Roxb.) M. Roem. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Limonia crenulata Roxb., Naringi crenulata (Roxb.) Nicolson จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กระแจะจัน ขะแจะ (ภาคเหนือ), ตุมตัง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[1], บ้างก็ว่าภาคกลาง[2]), พญายา (ราชบุรี, ภาคกลาง), ตะนาว (มอญ), พินิยา (เขมร), กระแจะสัน, ตูมตัง, จุมจัง, จุมจาง, ชะแจะ, พุดไทร, ฮางแกง, ทานาคา[1],[2],[3],[4],[5]

ลักษณะของกระแจะ

  • ต้น[1],[3],[4],[5]
    – เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้น หรือไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
    – ต้น มีความสูงประมาณ 8-15 เมตร
    – ลำต้น มีความเปลาตรง แตกกิ่งต่ำ
    – กิ่งก้าน จะตั้งฉากกับลำต้น
    – กิ่งอ่อนและยอดอ่อน จะเกลี้ยง
    – เนื้อไม้ เป็นสีขาว
    – เปลือกลำต้น เป็นสีน้ำตาล มีผิวขรุขระ
    – ลำต้นและกิ่ง จะมีหนามที่แข็งและยาวอยู่
    – หนามจะออกแบบเดี่ยว ๆ หรืออาจจะออกเป็นคู่ ๆ และมีความยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตร
    – เนื้อไม้ที่ตัดมาใหม่ ๆ จะเป็นสีขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน หากทิ้งไว้นาน ๆ
  • ใบ[1]
    – เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว
    – ออกใบเรียงสลับกัน
    – มีใบย่อยประมาณ 4-13 ใบ
    – ใบย่อย เป็นรูปวงรีแกมรูปไข่กลับ
    – โคนและปลายใบ จะสอบแคบ
    – ขอบใบ เป็นซี่ฟันเลื่อยแบบตื้น ๆ
    – ใบ มีความกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร
    – ก้านใบ แผ่เป็นปีกทั้งสองข้างและเป็นช่วง ๆ ระหว่างคู่ของใบย่อย
    – เนื้อใบ อาจจะบางเหมือนกับกระดาษหรืออาจจะหนาคล้ายกับแผ่นหนัง
    – เนื้อใบ มีผิวเนียนและเกลี้ยง
    – เส้นแขนงของใบ จะมีข้างละ 3-5 เส้น
    – ก้านช่อใบ มีความยาว 3 เซนติเมตร
  • ดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะ
    – ออกรวมกันเป็นกระจุกตามซอกใบหรือตามกิ่งเล็ก ๆ
    – ดอก มีขนค่อนข้างนุ่มและเป็นสีขาวหรือสีขาวอมสีเหลืองขึ้น
    – กลีบดอกมี 4 กลีบ
    – ดอกเมื่อบานแล้วจะแผ่ออกหรือลู่ไปทางส่วนของก้านเล็กน้อย
    – กลีบดอกเกลี้ยง มีต่อมน้ำมันอยู่ประปราย
    – กลีบดอก เป็นรูปไข่แกมรูปรี มีความกว้างประมาณ 3 มิลลิเมตรและมีความยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวน 8 ก้าน มีความยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตร
    – ก้านชูอับเรณูเพศผู้มีลักษณะเป็นรูปลิ่มแคบ
    – อับเรณูเพศผู้ เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร
    – รังไข่เพศผู้ จะอยู่เหนือวงกลีบ เกือบกลม มีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
    – รังไข่เพศผู้ จะมีต่อมน้ำมันอยู่ โดยจะมีอยู่ 4 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีออวุลอยู่ 1 เมล็ด
    – ก้านเกสรตัวเมีย มีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร มีต่อมน้ำมันอยู่ใต้ยอดเกสรตัวเมีย
    – ยอดเกสรตัวเมียส่วนปลายจะแยกเป็นแฉก 5 แฉก
    – จานฐานดอกเกลี้ยง
    – มีก้านช่อดอกยาวได้ถึง 2 เซนติเมตร
    – ก้านดอกยาวประมาณ 8-10 มิลลิเมตร
    – กลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 4 กลีบ เป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยม
    – กลีบเลี้ยง มีความกว้างและมีความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ปลายแหลม
    – ผิวด้านใน จะเกลี้ยง
    – ผิวด้านนอก มีขนละเอียดและมีต่อมน้ำมัน
    – จะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
  • ผล[1]
    – ผล เป็นผลสด
    – ผล เป็นรูปทรงกลม
    – ผล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
    – ผลอ่อน จะเป็นสีเขียว
    – ผลแก่ จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
    – มีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-4 เมล็ด
    – เมล็ด เป็นสีน้ำตาลอมสีส้มอ่อน
    – ผล ความกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร
    – ก้านผล มีความยาวได้ถึง 2 เซนติเมตร
    – ผลจะแก่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม

ทานาคา

  1. ทานาคาในปัจจุบันนั้นได้มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนยุคใหม่มากขึ้น เช่น[5]
    – ผลิตภัณฑ์ผงทานาคาบดละเอียด
    – ทานาคาชนิดครีม
    – ควรทดสอบการแพ้กับท้องแขนก่อนนำมาใช้
    – หากไม่มีอาการแพ้หรืออาการผิดปกติก็สามารถนำมาใช้กับใบหน้าได้
  2. กลิ่นหอมของทานาคานั้นมาจากกลุ่มคูมาลิน 4 ชนิด (coumarins)[5]
    – เป็นสารที่ไม่มีความเป็นพิษต่อหน่วยพันธุกรรม
    – ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์แต่อย่างใด
  3. สารอาร์บูติน (Arbutin) จากลำต้น[5]
    – เป็นสารที่ทำหน้าที่ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ที่เมลานินเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า กระ และรอยหมองคล้ำด่างดำของผิว
  4. กระแจะ[5]
    – มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (เอนไซม์ที่กระตุ้นในการเกิดเม็ดสีเมลานิน)
  5. ผง และสารสกัดน้ำยังมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน[5]
    – ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์
    – ช่วยต้านการอักเสบ
  6. สาร Suberosin[5]
    – มีฤทธิ์ในการช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
    – ช่วยป้องกันและรักษาสิวได้
  7. จากการวิจัยพบว่า มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Marmesin[5]
    – เป็นสารที่ช่วยกรองแสงอัลตราไวโอเลตที่ก่อให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง โดยไปกระตุ้นการสังเคราะห์เอนไซม์แมทริกซ์-เมทัลโลโปรตีเนส-1 (matrix-metalloproteinase-1, MMP-1) ซึ่งจะไปตัดกับเส้นใยโปรตีนคอลลาเจนที่มีหน้าที่ช่วยคงความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อผิวหนัง
    – ลดการสังเคราะห์โปร-คอลลาเจน
    – พบว่าสารสกัดจากลำต้นสามารถช่วยยับยั้ง MMP-1 และช่วยเพิ่มการสร้างโปร-คอลลาเจน

สรรพคุณของกระแจะ

  • ช่วยแก้อาการปวดข้อ ปวดกระดูก[6]
  • ช่วยในการคุมกำเนิด[6]
  • ช่วยแก้ลมบ้าหมู[1]
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ปวดตามข้อ[1]
  • ช่วยแก้อาการเส้นตึงได้[1]
  • ช่วยแก้โรคประดง[1]
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน[1]
  • ช่วยสมานแผล[1]
  • ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย[1],[2],[6]
  • ช่วยแก้อาการท้องเสีย[2]
  • ช่วยแก้ไข้ ถอนพิษไข้[1],[2],[6]
  • ช่วยแก้พิษ[1],[2]
  • ช่วยแก้กษัย[6]
  • ช่วยแก้อาการผอมแห้ง[6]
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร[1]
  • ช่วยบำรุงกำลังและเป็นยาบำรุงร่างกาย[1],[2],[6]
  • ช่วยระบายได้[1],[2],[6]
  • ช่วยรักษาโรคในลำไส้[1],[2]
  • ช่วยแก้อาการปวดท้องบริเวณลำไส้ใหญ่และบริเวณลิ้นปี่[1],[2]
  • ช่วยขับเหงื่อ[1],[2],[6]
  • ช่วยแก้ไข้ ถอนพิษไข้[1],[2],[6]
  • ช่วยแก้อาการผอมแห้ง[6]
  • ช่วยบำรุงดวงจิตให้แช่มชื่น[1],[6]
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร[6]
  • ช่วยแก้ไข้ ถอนพิษไข้[1],[2],[6]
  • ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย[6]
  • ช่วยขับผายลม[1],[6]

ประโยชน์ของกระแจะ

  • กิ่งอ่อน สามารถนำมาใช้ผสมทำเป็นธูปหรือแป้งที่มีกลิ่นหอมแบบอ่อน ๆ ได้[4]
  • ราก สามารถนำมาฝนกับน้ำสะอาดใช้สำหรับทาหน้าแทนการใช้แป้งได้ ซึ่งจะทำให้ผิวเป็นสีเหลือง และช่วยแก้สิว แก้ฝ้าได้[1],[2]
  • เนื้อไม้ หากทิ้งไว้นาน ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนสีเหลืองอ่อน ๆ ชาวพม่าจะนิยมนำมาใช้ทำเป็นเครื่องประทินผิวที่เรียกว่า “กระแจะตะนาว” หรือ “ทานาคา” (Thanaka)
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ในงานแกะสลักได้ เนื่องจากเนื้อไม้มีความมันเลื่อมและเนื้อหยาบแต่สม่ำเสมอ มีความแข็ง น้ำหนักปานกลาง และมีความเหนียว[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “กระแจะ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [28 ม.ค. 2014].
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “กระแจะ”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 83.
3. หนังสืออนุกรมวิธานพืช อักษร ก. ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
4. มูลนิธิสุขภาพไทย. “กระแจะ ไม้พื้นเมืองกลิ่นหอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [28 ม.ค. 2014].
5. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หน้าสวยด้วย ทานาคาของเมียนม่าร์หรือกระแจะของไทย”. (รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์ ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [28 ม.ค. 2014].
6. มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยกระแจะ”. (วชิราภรณ์ ทัพผา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [28 ม.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://indiabiodiversity.org/observation/show/362329
2. https://sanjeetbiotech.blogspot.com/2016/01/naringi-crenulata-roxb-nicolson-charm.html
3. https://medthai.com/