ต้นแห้ม
เป็นไม้เถา รากและเถาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นแต่มีรสขม ใบเป็นแบบสลับ ดอกเป็นสีขาว ผลกลมสีน้ำตาล สีเหลือง หรือสีส้ม และมีขนสั้นปกคลุม

แห้ม

เป็นไม้เถา รากและเถาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นแต่มีรสขม ไม่พบการปลูกในประเทศไทย ต้องนำเข้ามาจากประเทศลาว ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Coscinium fenestratum (Goetgh.) Colebr. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Coscinium usitatum Pierre อยู่ในวงศ์บอระเพ็ด (MENISPERMACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ แห้ม,แฮ่ม,แฮ้ม

ลักษณะของแห้ม[1],[3]

– เป็นพืชวงศ์เดียวกับบอระเพ็ด
– ส่วนที่ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร จะเรียกว่า “Coscinium”
– มีรูปร่างเป็นแท่งทรงกระบอก
– มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร
– ผิวภายนอกเป็นสีน้ำตาลเหลือง
– เนื้อในจะเป็นสีเหลือง
– เนื้อไม้เป็นรูพรุน มีสีเหลือง
– ไม่มีกลิ่น
– มีรสชาติขม
– พืชชนิดนี้ถูกจัดอยู่ใน The British Pharmaceutical Codex 1991 ในหัวข้อ Coscinium

สายพันธุ์ที่พบข้อมูล[4]

  1. พันธุ์ Coscinium fenestratum (Goetgh.) Colebr. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Coscinium usitatum Pierre
    – เป็นไม้เถา
    – รากและเถาเป็นสีเหลือง
    – ใบเป็นใบแบบสลับกัน
    – ออกดอกเป็นช่อระหว่างใบ
    – ดอกเป็นสีขาว
    – สามารถพบได้ตามป่าเกือบทุกภาคของประเทศลาว
  2. พันธุ์ Fibraurca recisa Pierre
    – เป็นไม้เถา
    – เถาแก่จะเป็นสีเหลือง
    – ใบเป็นใบแบบสลับ
    – ดอกเป็นสีเหลืองอมเขียว
    – ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. ข้อมูลจากสถาบันวิจัยสมุนไพร[3]
    – มีการระบุผลการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง
    – เมื่อป้อนสารสกัดในขนาด 40 กรัมต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดความเป็นพิษเฉียบพลัน
    – ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้หายใจไม่สะดวก
    – การเคลื่อนไหวลดลง
    – ทำให้สัตว์ทดลองตาย
  2. ควรใช้อย่างระมัดระวัง[3]
    – ความปลอดภัยและขนาดที่เหมาะสมในการใช้ยังไม่มีความแน่นอน
    – ขาดข้อมูลการศึกษาความเป็นพิษและรายงานทางคลินิกอยู่มาก
    – มีเพียงผลการศึกษาในสัตว์ทดลองและในหลอดทดลองเท่านั้น
    – การศึกษาความเป็นพิษ
    – ไม่มีพบความเป็นพิษในคน
    – การทดลองกับหนูถีบจักร โดยป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล 50%
    – ใช้ในปริมาณ 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
    – ไม่พบความผิดปกติ
    – หากใช้ในปริมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้หนูทดลองตาย
  3. การศึกษาความเป็นพิษแบบกึ่งเฉียบพลันของสารสกัด ต่อหัวใจ ปอด ตับอ่อน และอัณฑะในหนูขาวทดลอง[2]
    – ป้อนสารสกัดดังกล่าวในปริมาณ 100, 200, 300 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
    – ใช้เป็นระยะเวลา 1 เดือน
    – พบว่า สมุนไพรชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการเป็นพิษ
    – ไม่มีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวตลอดระยะเวลาการได้รับยา
    – ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับเอนไซม์ที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของตับและไต และรวมไปถึงระดับเกลือแร่ในเลือด
    – มีการเพิ่มอัตราการเคลื่อนตัวและการมีชีวิตรอดของสเปิร์มมากกว่ากลุ่มควบคุม
    – ไม่พบพยาธิสภาพของโครงสร้างในระดับจุลกายวิภาคของหัวใจ ปอด ตับอ่อน และไต
    – มีการเพิ่มจำนวนของ vacoules ในเซลล์ตับเป็นจำนวนมาก
    – มีการเพิ่มจำนวนชั้นของ germ cells ใน seminiferous tubules
    – เมื่อป้อนสารสกัดด้วยน้ำในปริมาณ 5 กรัมต่อกิโลกรัม ไม่ทำให้หนูตาย
    – ไม่มีรายงานว่ามีอันตรกิริยากับพืชหรือยาชนิดใด
  4. มีสาร berberine[2]
    – เป็นสารสำคัญและมีข้อควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงต่อหัวใจ
    – อาจจะทำให้เกิดอาการหายใจขัด
    – อาจจะมีพิษต่อระบบเลือด หัวใจ และตับได้
  5. สายพันธุ์ Fibraurea recisa Pierre ในรากและเถามีส่วนประกอบทางเคมีดังนี้[4]
    – คูลัมบามีน
    – จูโทรไรซิน
    – เบอบีริน
    – พัลมาทิน
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  6. สารสกัดเอทานอลจากแห้ม[5]
    – มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในหนูเบาหวานและหนูปกติ
    – มีกลไกการออกฤทธิ์ผ่านทางการกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อน
    – ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์มอลเตสและซูเครส
  7. จากการศึกษาฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวที่เป็นเบาหวานและในหนูขาวปกติ พบว่า[2]
    – สมุนไพรชนิดนี้ในปริมาณ 0.5 และ 1 กรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว
    – ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวที่เป็นเบาหวานได้
    – แต่ไม่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวปกติที่ไม่เป็นเบาหวาน
    – ไม่มีผลต่อภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเฉียบพลันทั้งในหนูที่เป็นเบาหวานและหนูปกติ
    – ยังไม่มีการศึกษาในคนที่ยืนยันผลการลดระดับน้ำตาลในเลือด

สรรพคุณ และประโยชน์แห้ม

  • ช่วยยาแก้ฝี แก้ผื่นคัน [4]
  • ช่วยแก้โรคบิด ลำไส้อักเสบ กระเพาะอักเสบ[4]
  • ช่วยแก้ตาอักเสบ[4]
  • ช่วยแก้ไข้[2],[4]
  • ช่วยแก้ปวดท้อง แก้บิด[2],[3]
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด[1],[3]
  • ช่วยเจริญอาหาร[1]

ในหนังสือคัมภีร์เภสัชรัตนโกสินทร์ของท่านอาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช

  • ดอก ช่วยแก้บิดมูกเลือด
  • ใบ ช่วยขับโลหิตระดูที่เสียเป็นลิ่มเป็นก้อนของสตรีให้ออกมา
  • ใบ ช่วยแก้มุตกิดระดูขาว
  • ใบ ช่วยขับน้ำคาวปลา
  • ราก มีรสร้อนฝาดเฝื่อน
  • ราก ช่วยแก้ริดสีดวงตา
  • ราก ช่วยแก้ตาแดง ตาอักเสบ ตาแฉะ ตามัว
  • ราก ช่วยบำรุงน้ำเหลือง
  • ราก ช่วยขับลมอัมพฤกษ์
  • เถา มีรสร้อนฝาดเฝื่อน
  • เถา ช่วยแก้ไข้ ร้อนใน
  • เถา ช่วยแก้ดีซ่าน
  • เถา ช่วยแก้ท้องเสียจากอาหารไม่ย่อย
  • เถา ช่วยขับผายลม ทำให้เรอ
  • เถา ช่วยแก้ดีพิการ

ข้อมูลของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล[4]

  1. เป็นไม้ยืนต้นที่พบมากในแถบประเทศลาวและเวียดนาม มีอยู่ 2 สายพันธุ์
  2. พันธุ์ Coscinium usitatum Pierre
    – ช่วยแก้ปวดท้องบิด
    – ช่วยแก้ไข้
    – ช่วยแก้ตาแดง
    – ช่วยไล่ยุง
  3. พันธุ์ Fibraurea recisa Pierre
    – ช่วยแก้ไข้
    – ช่วยแก้ตาอักเสบ
    – ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ กระเพาะอักเสบ
    – ช่วยแก้โรคบิด
    – ช่วยแก้ฝี และผื่นคัน
    – สามารถนำมาใช้ไล่ยุงได้[2]

ข้อควรระวัง

1. ควรใช้เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดในปริมาณที่พอเหมาะ
– เนื่องจากการรับประทานในจำนวนที่มากจนเกินไป จะไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย
– จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว
– ทำให้เกิดอาการช็อกได้
2. มีฤทธิ์ขับแร่ธาตุและสารตัวอื่น ๆ ออกจากร่างกาย เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม[5]
– หากรับประทานอย่างต่อเนื่องในระยะแรกก็จะเป็นปกติ
– หากสะสมไปนาน ๆ ร่างกายจะเริ่มอ่อนเพลีย
– หัวใจและไตทำงานผิดปกติ
– อาจถึงขั้นไตวายและเป็นโรคหัวใจได้
3. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์[3]
– ได้ทำการศึกษาพบว่า สมุนไพรชนิดนี้มีแบบผง เป็นยาแผนปัจจุบันจำพวกสเตียรอยด์เจือปน
– หากได้รับสารสเตียรอยด์ในปริมาณมาก อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
4. การรับประทานเป็นจำนวนมากจะส่งผลทำให้ตับอักเสบ
5. ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
– เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีเกลือแร่และโพแทสเซียมสูง

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “แฮ่ม”. หน้า 176.
2. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “สมุนไพรแฮ้ม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [16 ส.ค. 2014].
3. สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. “แพทย์แผนไทยเผยกินแห้มไม่กระทบไต แพทย์แผนไทยชี้มีผลต่อตับหัวใจ”., “เตือนอันตราย แห้มมีพิษเฉียบพลันทำลายประสาท”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.moph.go.th. [16 ส.ค. 2014].
4. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “รายละเอียดของแฮ่ม”. อ้างอิงใน : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : drug.pharmacy.psu.ac.th. [16 ส.ค. 2014].
5. Chulalongkorn University. (Wanlaya Jittaprasatsin). “ฤทธิ์และกลไกการออกฤทธิ์ของสารสกัดแห้ม ต่อระดับน้ำตาลในเลือด ของหนูปกติและหนูเบาหวาน (Effects and mechanism of action of Coscinium fenestratum extract on blood glucose level in normal and diabetic rats)”.
6. ข้อมูลจากคุณ seahorse samunpri.com มีการอ้างอิงสรรพคุณของแห้มในหนังสือคัมภีร์เภสัชรัตนโกสินทร์ของท่านอาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช

อ้างอิงรูปจาก
1. https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:580661-1
2. https://www.healthbenefitstimes.com/yellow-vine/
3. https://medthai.com