ต้นตะแบก
ไม้ยืนต้นกึ่งผลัดใบ ดอกออกเป็นช่อแบบกลุ่มย่อย ดอกขนาดเล็กสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูอ่อน ผลขนาดเล็กรูปไข่ ผลแก่สีน้ำตาล

ต้นตะแบก

ต้นตะแบก เป็นไม้ประดับและไม้มงคล ดอกบานมีความสวยงาม ช่อดอกสีม่วงอมชมพูขนาดใหญ่ นิยมปลูกเพื่อประดับบ้าน สวน และริมทาง เชื่อที่ว่าเป็นไม้ที่ช่วยค้ำจุนครอบครัวให้ร่มเย็น ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Lagerstroemia calyculata Kurz อยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ตะแบกหนัง, ตะแบกแดง, บองอยาม, เปลือยดง, แลนไห้, ตะแบกใหญ่, อ้าย, ตะคู้ฮก[1],[2]

ลักษณะต้นตะแบก

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นกึ่งผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ต้นสามารถสูงได้ประมาณ 15-35 เมตร เรือนยอดจะเป็นรูปเจดีย์ต่ำ ๆ จะแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น ที่เปลือกลำต้นจะเกลี้ยงมีสีเทาอมเหลือง หรือสีน้ำตาลอมเทา จะมีรอยขรุขระเป็นหลุมตื้นเกิดจากสะเก็ดแผ่นบางของเปลือกที่หลุดไป จะดูคล้ายเปลือกต้นฝรั่ง แต่มีจุดด่างขาว ๆ ตามลำต้น ที่ทางตอนบนของลำต้นค่อนข้างเรียบ เปลือกชั้นในมีสีชมพูอมม่วง ซ้อนเป็นชั้น ๆ สลับกับชั้นลายเส้นสีขาว ที่โคนต้นจะเป็นพูพอนชัด ส่วนที่เป็นพูพอนมักกลวงขึ้นไปประมาณ 3-5 เมตรจากผิวดิน ที่ตามกิ่งอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลสาก ๆ ขึ้นอย่างหนาแน่น เนื้อไม้แข็งประมาณ 628 กก. ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.68 แข็งแรงประมาณ 1,219 กก./ตร.ซม. มีความเหนียวประมาณ 2.89-กก.-ม. มีความดื้อประมาณ 112,700 กก.ตร.ซม. ทนทานตามธรรมชาติ ตั้งแต่ 3-17 ปี เฉลี่ยประมาณ 9.4 ปี อาบน้ำยาไม้ได้ยากมาก (ชั้นที่ 5) ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด สามารถพบได้ที่ในป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณชื้น ป่าราบ และแล้งทั่วไปทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 100-400 เมตร จะพบเจอได้มากที่ป่ายุบศรีราชา (ขึ้นตามป่าดงดิบจะไม่ผลัดใบ)[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกัน บางทีจะออกเรียงเกือบตรงข้าม ใบเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก จะเห็นตาง่ามชัด ใบมีขนาดเล็กกว่าใบอินทนิลน้ำ ที่ปลายใบจะทู่ ที่โคนใบจะทู่หรือกลม ใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7-14 เซนติเมตร แผ่นใบมีสีเขียว ที่หลังใบเกลี้ยงหรือเกือบจะเกลี้ยง ที่ท้องใบจะมีขนสีน้ำตาลสาก ๆ ขึ้นอย่างหนาแน่น ตะแบกเป็นไม้กึ่งผลัดใบ จะผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้ แต่ถ้าผลัดใบก็จะผลัดใบช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม จะแตกใบใหม่ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2]
  • ดอก จะออกเป็นช่อแบบเป็นกลุ่มย่อย จะออกเป็นช่อใหญ่ที่ตามปลายกิ่ง ตามส่วนต่าง ๆ มีขนสากขึ้นทั่วไป ดอกมีขนาดเล็ก ดอกบานเต็มที่จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ดอกมีกลีบ 6 กลีบ แยกจากกันเป็นอิสระ โคนกลีบจะติดกับผนังด้านในของถ้วยกลีบเลี้ยง ที่โคนกลีบดอกจะแคบ ที่ปลายกลีบเป็นแผ่นกลม ๆ เป็นสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูอ่อน มีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ โคนกลีบเลี้ยงจะเชื่อมติดเป็นรูปถ้วย ที่ปลายจะแยกเป็นแฉก 6 แฉก (จะเรียกว่า “ถ้วยกลีบเลี้ยง”) มีขนสีสนิมปกคลุม ดอกจะมีเกสรเพศผู้เป็นจำนวนมาก ขนาดจะไล่เลี่ยกัน ดอกออกช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ถ้าดอกบานต้นทั้งต้นจะมีอยู่ 2 สี[1],[2]
  • ผล เมื่อดอกร่วงก็จะติดผล ผลตะแบกเป็นผลแห้งที่เมื่อผลแก่จะแห้งแตกออกเป็นแฉก 6 แฉก ถ้วยกลีบเลี้ยงหุ้มโคนของผลเช่นเดียวกับอินทนิลน้ำและอินทนิลบก ผลตะแบกมีขนาดเล็ก ผลเป็นรูปไข่ มีความยาวประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร ผลแก่มีสีน้ำตาล แข็ง มีเมล็ดในผลเป็นจำนวนมาก มีปีก เมล็ดมีสีน้ำตาลเข้ม ผลตะแบกเริ่มแก่ช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม เมล็ดหล่นเมื่อเปลือกผลแตกและอ้า[1],[2]
  • ขอนดอก คือเนื้อไม้ที่ได้จากต้นตะแบกหรือต้นพิกุลที่มีราลง เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลเข้มประขาว จะมองเห็นเป็นจุดสีขาวกระจายทั่วไป ที่ภายในจะผุเป็นโพรงเล็ก ๆ และมีกลิ่นหอม รสจืด ขอนดอกอาจเป็นเนื้อไม้ที่ได้จากต้นตะแบกหรือต้นพิกุลที่มีอายุมาก ยอดหักจะเป็นโพรง มักมีเชื้อราเข้าไปเจริญในเนื้อไม้และไม้ยืนต้นตาย เนื้อไม้ก็เลยเหมือนไม้ผุ[3]

สรรพคุณของต้นตะแบก

  • บัญชียาจากสมุนไพร มีปรากฏการใช้ขอนดอกในกลุ่มยารักษาอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) มีส่วนประกอบของขอนดอก ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นในตำรับ ได้แก่ ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” มีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมกองละเอียด (อาการสวิงสวาย หน้ามืด บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น สวิงสวาย ใจสั่น ตาลาย) และตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” มีสรรพคุณในการ อาเจียน แก้ลมวิงเวียน แก้ลมจุกแน่นในอก คลื่นเหียน ในผู้สูงอายุ แก้ลมปลายไข้ (อาการหลังการฟื้นไข้แล้วมีอาการวิงเวียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นเหียน ท้องอืด) (ขอนดอก)[3]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ลมกองละเอียด ได้แก่ ตาลาย ใจสั่น สวิงสวาย อาการหน้ามืด บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น สวิงสวาย(ขอนดอก)[3]
  • ตำราพระโอสถพระนารายณ์มีปรากฏการใช้ขอนดอกร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 15 ชนิด อย่างละเท่า ๆ กัน มาบดให้ละเอียด ทำเป็นแท่ง ใช้น้ำดอกไม้เป็นกระสายยา ถ้าจะใช้ก็นำไปละลายน้ำซาวข้าวหรือน้ำดอกไม้ก็ได้ ใส่พิมเสนไปเล็กน้อย ใช้ชโลมตัวเป็นยาแก้ไข้ (ขอนดอก)[3]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ร้อนเพื่อตรีโทษ แก้เสมหะ แก้เหงื่อ (ขอนดอก)[3]
  • ขอนดอกมีสรรพคุณที่เป็นยา บำรุงปอด บำรุงหัวใจ บำรุงทารกในครรภ์ บำรุงตับ(ขอนดอก)[3]
  • สามารถใช้เปลือกปรุงเป็นยาแก้บิด และมูกเลือดได้ (เปลือก)[1]
  • เปลือกจะมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ลงแดง (เปลือก)[1]

ประโยชน์ของต้นตะแบก

  • เนื้อไม้สามารถใช้ทำเชื้อเพลิงได้ดี คือ ถ้านำมาถ่ายเป็นถ่านและฟืนจะให้ค่าความร้อน 7,524 และ 4,556 แคลอรีต่อกรัม (คำนวณจากตัวอย่างแห้ง)[2]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับในรูปสวนป่าน้อย ในปัจจุบันนิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ[2]
  • ไม้ตะแบกเป็นไม้ที่มีคุณค่าชนิดหนึ่งของไทย เนื้อไม้เป็นสีเทาถึงสีน้ำตาลอมเทา เสี้ยนไม้จะตรงหรือเกือบตรง เนื้อไม้มีความละเอียดปานกลาง จะเป็นมัน แข็ง เหนียว แข็งแรง เลื่อยไสกบ สามารถตกแต่งได้ง่าย ขัดชักเงาได้ดี ทำให้ใช้ประโยชน์กันมาก ไม่ว่าจะใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่ต้องการรับน้ำหนักมาก อย่างเช่น ใช้ในงานก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ตอ เครื่องมือกสิกรรม เรือ กาน เครื่องบน ไม้ปาร์เกต์ เรือ แพ เกวียน รอด แจว ฯลฯ ไม้ตะแบกชนิดลายจะนิยมใช้ทำด้ามหอก ด้ามปากกา ด้ามมีด ด้ามร่ม พานท้ายปืน คิวบิลเลียด ไม้ถือ กรอบรูปภาพ ไม้ถือ เครื่องเรือน สันแปรง ไม้บุผนังที่สวยงาม มีลักษณะที่เหมือนไม้เสลา สามารถใช้ทดแทนได้ดี[2]

สั่งซื้อเนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตะแบก”. หน้า 310-311.
2.สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ตะแบกแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [20 ธ.ค. 2014].
3.ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ขอนดอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [20 ธ.ค. 2014].