หญ้าแพรก สรรพคุณแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

0
หญ้าแพรก
หญ้าแพรก สรรพคุณแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เป็นวัชพืชแตกกิ่งเลื้อยปกคลุมดิน ใบออกตามข้อ ดอกเป็นช่อกระจะ รูปร่างเป็นเส้นสีเขียวเทาไปถึงสีม่วง เมล็ดขนาดเล็กรูปไข่ สีน้ำตาลไปจนสีแดง
หญ้าแพรก
เป็นวัชพืชแตกกิ่งเลื้อยปกคลุมดิน ใบออกตามข้อ ดอกเป็นช่อกระจะ รูปร่างเป็นเส้นสีเขียวเทาไปถึงสีม่วง เมล็ดขนาดเล็กรูปไข่ สีน้ำตาลไปจนสีแดง

หญ้าแพรก

หญ้าแพรก ถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียและยุโรป เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและอากาศอบอุ่น ความชื้นในปริมาณที่ค่อนข้างมาก พบขึ้นเองได้ตามพื้นที่แห้งแล้ง ที่ว่างริมถนน หรือในบริเวณสนามหญ้า ทนน้ำท่วมขังและสามารถขึ้นได้ในดินเค็ม จะขึ้นในที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 40-400 เมตร ชื่อสามัญ Bermuda grass, Bahana grass, Creeping-cynodon, Dub grass, Dog’s tooth grass, Florida grass, Scutch grass, Lawn grass, Wire grass[1],[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ Cynodon dactylon (L.) Pers. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)[1],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ หญ้าแผด (ภาคเหนือ), หญ้าเป็ด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), หนอเก่เค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ทิซั่วเช่า (จีน), สทฺทล (สัด-ทะ-ละ) , สทฺทโล (สัด-ทะ-โล) , หริต (หะ-ริ-ตะ)[1],[2]

ความหมายของหญ้าแพรก

หญ้าแพรที่ใช้ในพานไหว้ครูมีความหมายว่า ศิษย์จะเป็นผู้มีความอดทนในการศึกษาเล่าเรียน เป็นผู้มีความอ่อนน้อมและไม่โกรธตอบ และในทางความเชื่อ ถ้าใช้หญ้าแพรกไหว้ครูแล้วจะทำให้ลูกศิษย์เป็นผู้มีปัญญาแตกฉานเหมือนกับความเจริญงอกงาม จะประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับหญ้าแพรกที่แตกทอดไปตามพื้นดิน

ลักษณะของหญ้าแพรก

  • ต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้จำพวกหญ้า มีขนาดเล็ก
    – มีอายุอยู่ได้หลายปี
    – ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาปกคลุมดิน
    – เติบโตแบบแผ่ราบไปตามพื้นดิน
    – เลื้อยปกคลุมดินไปได้ประมาณ 1 เมตร
    – ลำต้นชูตั้งขึ้นสูงประมาณ 10-30 เซนติเมตร
    – ลำต้นเป็นข้อและมีรากงอกออกมา
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด กิ่ง ราก และแตกลำต้นไปตามพื้นดิน
  • ใบ[1],[4]
    – ใบจะออกเป็นกระจุกตามข้อของลำต้น
    – จะออกใบตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปเส้นยาวหรือรูปใบหอกเรียว
    – ปลายใบแหลมยาว
    – โคนใบมีขนสั้นที่เป็นสีขาวก่อนถึงส่วนที่หุ้มรอบข้อ
    – ใบมีความกว้าง 1-3 มิลลิเมตร และมีความยาว 1-6 เซนติเมตร
  • ดอก[1],[2],[4]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะ
    – ในหนึ่งช่อจะมีดอกย่อยอยู่ 3-6 ช่อย่อย
    – ก้านช่อดอกร่วมมีความยาว 1.5-5 เซนติเมตร
    – ช่อดอกย่อยมีรูปร่างเป็นเส้นสีเขียวเทาไปถึงสีม่วง มีความยาว 2-5 เซนติเมตร
    – มีดอกย่อยเรียงกันเป็นแถว 2 แถว
    – ดอกย่อยมีความยาว 1.5-3 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่แน่นบนด้านหนึ่งของก้านดอกย่อย
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 3 อัน มีอับเรณูสีม่วงยาว 1.1-5 มิลลิเมตร
    – รังไข่มีก้านเกสรเพศเมีย 2 เส้น ส่วนปลายเป็นฝอยมีรูปร่างคล้ายขนนก
    – สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
  • ผล[1]
    – ผลหรือเมล็ดนั้นจะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก
    – ผลมีความยาวได้ 11.5 มิลลิเมตร เป็นรูปไข่ มีสีน้ำตาลไปจนสีแดง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. รายงานความเป็นพิษที่ได้ศึกษาในประเทศอินเดีย ตรวจพบ hydrocyanic acid[2]
    – ทำให้สัตว์ที่กินพืชนี้เข้าไปเกิดอาการเป็นพิษ
    – มีอาการกล้ามเนื้อหน้าชักกระตุก เกิดอาการกัดฟัน
    – มีความดันโลหิตสูง หลังจากนั้นก็ส่งผลให้สัตว์ตาย
  2. สารสกัดจากลำต้นด้วยอีเทอร์ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ ดังนี้[1]
    – Bacillus subtilis
    – Escherichia coli
    – Pseudomonas aeruginosa
    – Salmonella typhi
    – Shigella dysenteriae
    – Staphylococcus aureus
    – Streptococcus faecalis
  3. สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส ที่มีการทดลองกับ Vaccinia virus[1]
  4. สารอัลคาลอย์บางชนิด[2]
    – มีฤทธิ์ทำให้การไหลเวียนของโลหิตของหนูและหนูถีบจักช้าลง
    – มีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ที่แยกออกจากตัวของหนูตะเภา
    – มีส่วนที่เป็น Glycoside มีที่ฤทธิ์ลดความดันโลหิตของแมว
  5. จากการทดลองฉีดสารอัลคาลอยด์ ในขนาด 2.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม[1]
    – ฉีดเข้าในหลอดเลือดดำของกระต่ายทดลอง
    – พบว่าเลือดจากบาดแผลของกระต่ายจะเกิดการแข็งตัวขึ้น
    – เลือดจะหยุดไหลได้เร็วขึ้น

คุณค่าทางโภชนาการทางอาหารสัตว์ (อายุประมาณ 45 วัน)[2]

– โปรตีน 9.7%
– เยื่อในส่วน ADF 31.5%
– NDF 67.7%
– แคลเซียม 0.5%
– ฟอสฟอรัส 0.12%
– โพแทสเซียม 1.54%
– ลิกนิน 6.4%

สรรพคุณหญ้าแพรก

  • ช่วยแก้อัมพาต แก้อัมพาตครึ่งตัว[1],[2],[4]
  • ช่วยแก้แขนขาชา ปวดเมื่อยกระดูก[1],[2],[4]
  • ช่วยแก้พิษอักเสบ ปวดบวม[2]
  • ช่วยสมานบาดแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น[4]
  • ช่วยห้ามเลือด[1],[4]
  • ช่วยแก้อาการบวมน้ำ[1],[2]
  • ช่วยแก้ตกโลหิตระดูมากเกินไปของสตรี[2]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[1],[2],[3]
  • ช่วยขับลม[1],[2]
  • ช่วยแก้อาเจียนเป็นเลือด[1],[2],[4]
  • ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ[2]
  • ช่วยแก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ไข้หัว รวมถึงเหือดหัด และอีสุกอีใส[2]
  • ช่วยแก้ไข้[1],[4]
  • ช่วยแก้อาการลมชัก[4]
  • ช่วยแก้โรคเบาหวาน[1],[2]
  • ช่วยแก้อาการปวดข้อ[1]
  • ช่วยรักษาพิษไข้มีผื่นต่าง ๆ เช่น เป็นหัด เหือด[1]
  • ช่วยแก้ท้องเดินเรื้อรังได้[3]
  • ช่วยแก้อาการท้องเสีย[1]
  • ช่วยแก้โรคหนองเรื้อรัง[1]
  • ช่วยแก้ริดสีดวงทวารมีเลือดออก[1]
  • ช่วยแก้ซิฟิลิสในระยะออกดอก[1]
  • ช่วยแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ[1]

ประโยชน์ของหญ้าแพรก

  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้ในพิธีไหว้ครูได้ โดยจะใช้ร่วมกับดอกเข็มและดอกมะเขือ[2],[3]
  • สามารถนำมาปลูกเป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างดินได้[2]
  • รากนั้นจะไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำกัดเซาะหน้าดินพังทลายได้เหมือนกับหญ้าแฝก[2]
  • เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ตามธรรมชาติ จำพวกสัตว์แทะเล็มเช่น พวกโค กระบือ แกะ แพะ เป็นต้น[2],[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หญ้าแพรก”. หน้า 809-810.
2. ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. (รักษ์เกียรติ จิรันธร). “หนึ่งในพืชสำคัญของพิธีไหว้ครู หญ้าแพรก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pcog2.pharmacy.psu.ac.th. [25 ก.ค. 2014].
3. ไม้พุทธประวัติ, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หญ้าแพรก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/budhabot/budbot.htm. [25 ก.ค. 2014].
4. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี. “หญ้าแพรก”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ดอกและไม้ประดับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skn.ac.th. [25 ก.ค. 2014].
5. https://medthai.com/

หญ้าดอกขาว ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ

0
หญ้าดอกขาว ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีขนาดเล็ก เป็นสีเขียวเข้ม มีเส้นใบที่หลังใบ ดอกเป็นช่อกระจุกแน่น สีม่วงอ่อนอมแดง สีชมพู สีม่วง ดอกแก่เป็นสีขาว เปลือกผลสีน้ำตาลแข็งแห้ง
หญ้าดอกขาว
เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ใบสีเขียวเข้มมีเส้นที่หลังใบ ดอกเป็นช่อกระจุก สีม่วงอ่อนอมแดง สีชมพู สีม่วง ดอกแก่สีขาว เปลือกผลสีน้ำตาลแข็งแห้ง

หญ้าดอกขาว

ดอกขาว เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นปานกลาง สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามทุ่งนาชายป่า สนามหญ้า ที่รกร้าง ชื่อสามัญ Purple-flowered fleabane, Ash-coloured ironweed, Little ironweed, Ash-coloured fleabane, Purple fleabane [6] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cyanthillium cinereum (L.) H.Rob. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cacalia cinerea (L.) Kuntze, Conyza cinerea L., Vernonia cinerea (L.) Less.) อยู่วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)[1],[7] มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ม่านพระอินทร์, ซางหางฉ่าว (จีนกลาง), เซียวซานหู่ (จีนกลาง), เซียวซัวโห้ว (จีนแต้จิ๋ว), หญ้าหมอน้อย (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), หนาดหนา (จังหวัดชัยภูมิ), ฝรั่งโคก (จังหวัดเลย), หญ้าสามวัน (จังหวัดเชียงใหม่), ยาไม่ต้องย่าง, เซียวซัวเฮา (จีนกลาง), หมอน้อย (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), เสือสามขา (จังหวัดตราด), ถั่วแฮะดิน (จังหวัดเลย), ก้านธูป ต้นก้านธูป (จังหวัดจันทบุรี), หญ้าละออง (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), เซียหั่งเช่า (จีนแต้จิ๋ว), ผ้ำสามวัน, เย่เซียงหนิว (จีนกลาง) [1],[2],[3],[7]

ลักษณะของหญ้าดอกขาว

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีขนาดเล็ก สามารถมีอายุได้ถึงประมาณ 1-5 ปี ต้นสูงประมาณ 20-80 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรงจะแตกกิ่งก้านนิดหน่อย กิ่งกับก้านเรียว เป็นร่อง มีขนสีเทาขึ้น และมีลายเส้นนูนขึ้นที่ตามข้อ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด[1],[4],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปใบหอก รูปขอบขนาน รูปไข่ รูปไข่กลับ รูปแถบ ปลา โคนใบมนหรือแหลม ใบกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีขนาดยาวประมาณ 3.5-6.5 เซนติเมตร มีเส้นใบที่หลังใบชัดเจน เป็นสีเขียวเข้ม ทั้งสองด้านจะมีขนขึ้น ใบที่โคนต้นนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าใบที่ปลายยอด[1],[2],[5]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแน่น ออกดอกที่บริเวณปลายยอด ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 20 ดอก ดอกออกรวมเป็นช่อแยกแขนง มีขนาดกว้างประมาณ 5-15 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 5-35 เซนติเมตร ใบประดับเป็นรูปคล้ายระฆัง 4 ชั้น ดอกย่อยเป็นหลอด มีความยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร ดอกเป็นสีม่วงอ่อนอมแดง สีชมพู สีม่วง ดอกบานเต็มที่จะสีดอกจะจางลง ดอกแก่เป็นสีขาว เมื่อดอกร่วงจะเห็นผลเป็นรูปทรงกระบอก[1],[6]
  • ผล เป็นรูปทรงกระบอกแคบ เป็นสีน้ำตาลเข้ม เปลือกผลจะแข็งแห้ง มีความยาวประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ที่ด้านบนจะมีขนสีขาว ผลเป็นพู่แตกบาน ทำให้เมล็ดลอยตามลมได้ [1],[6]

ประโยชน์หญ้าดอกขาว

  • มีการพัฒนาเป็นยาในรูปแบบต่างๆ แบบผลิตภัณฑ์ผสมกาแฟ หมากฝรั่ง ลูกอมเม็ดแข็ง ชาชง แบบแผ่นฟิล์มละลายเร็ว แบบแคปซูล แบบลูกกวาดนุ่ม หาซื้อง่าย ปัจจุบันชาหญ้าดอกขาวถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2555 ในส่วนยาพัฒนาจากสมุนไพรสำหรับลดความอยากบุหรี่รูปแบบชง ใช้ทานครั้งละ 2 กรัม ด้วยการชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิเมตร ใช้ทานหลังอาหารวันละ 3-4 ครั้ง ในรูปแบบชาชง คือนำหญ้าดอกขาวแห้งมาบดให้เป็นผงละเอียด บรรจุในถุงชาขนาดเล็ก วิธีทานคือนำถุงชาจุ่มลงน้ำร้อน ทิ้งไว้สักพัก อมในปากเป็นเวลาประมาณ 1-2 นาที ส่วนรูปแบบยาอมแบบอัดเม็ด มาจากการนำมาเคี่ยวทำเป็นผงแห้งก่อนอัดเม็ด รูปแบบนี้จะทำให้พกพาง่าย พกพาสะดวก ก่อนสูบบุหรี่ทุกครั้งให้นำมาอมไว้จนละลายหมดค่อยสูบบุหรี่ จะช่วยทำให้เลิกบุหรี่ได้ [3],[4]
  • ในปัจจุบันมีการใช้เป็นยาแก้อาการติดบุหรี่ เนื่องจากทานแล้วทำให้เหม็นบุหรี่และไม่อยากสูบบุหรี่ ทางโรงพยาบาลหลายแห่งใช้อย่างแพร่หลาย ต่อมาในปี พ.ศ.2547 มีการจดสิทธิบัตรในอเมริกา นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น ที่ใช้สารสกัดจากที่ได้ใส่ในก้นกรองของบุหรี่เพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่[3]
  • ช่วยทำให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น เลือดมีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มยิ่งขึ้น ทำให้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่คั่งค้างในปอดลดลง ผลข้างเคียงของการเลิกบุหรี่ด้วยวิธีนี้มีน้อยมาก (อย่างเช่น สมาธิแปรปรวน มีอาการกระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย)[3]

โทษของหญ้าดอกขาว

เมื่อทานยาชนิดนี้จะทำให้ไม่อยากอาหาร ปากแห้ง คอแห้ง (ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคไตเพราะมีโพแทสเซียมสูง) อาจมีประโยชน์ในการใช้เพื่อควบคุมน้ำหนัก[3]

สรรพคุณหญ้าดอกขาว

1. สามารถช่วยลดอาการอยากบุหรี่ โดยนำทั้งต้นมาประมาณ 2-3 ต้น ใส่น้ำให้พอท่วมยา ต้มให้เดือดเป็นเวลา 10 นาที ทานบ่อย ๆ หรือใช้รูปแบบชาชงขนาด 3 กรัม วันละ 3 ครั้ง (ทั้งต้น)[3]
2. ทั้งต้นสามารถใช้เป็นยาแก้เด็กกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แก้ปัสสาวะรดที่นอน โดยนำลำต้นแห้งประมาณ 15-30 กรัม มาชงกับน้ำร้อนทานเป็นชา (ทั้งต้น)[2],[5],[6],[7]
3. สามารถใช้แก้อาการแขนขาไม่มีแรง แก้เหน็บชาได้ โดยทั้งต้น และกิ่งก้านใบทองพันชั่ง มาต้มกับน้ำดื่มแทนน้ำชา (ทั้งต้น)[3]
4. สามารถช่วยรักษาโรคเท้าช้างได้ (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
5. สามารถช่วยรักษาแผลเบาหวานได้ โดยนำทั้งต้นรวมรากด้วยประมาณ 1-2 กำมือ มาต้มกับน้ำประมาณ 6-8 แก้ว ให้เดือด แล้วปล่อยให้เดือดกรุ่นประมาณ 5-10 นาที จนได้น้ำยาที่มีสีเหลืองแบบชา หรือตากแห้งแล้วนำมาต้มหรือใช้ชงทาน (ทั้งต้น)[3]
6. สามารถช่วยแก้บวม รักษาแผลบวมอักเสบ ดูดฝีหนองได้ (ทั้งต้น)[4],[5],[6]
7. ในตำรายาพื้นบ้านล้านนานำทั้งต้นรวมรากมาตากแห้งแล้วบดให้เป็นผง ใช้ห้ามเลือด ใช้เป็นยารักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ผิวหนังพุพอง และ (ทั้งต้น)[2],[6]
8. สามารถช่วยแก้ปัสสาวะขัด ช่วยขับปัสสาวะได้ โดยนำรากสด 30-60 กรัม ถ้าใช้รากแห้งให้ใช้ 15-30 กรัม มาต้มเอาน้ำทาน (ราก[6],[7], ใบ[5], ทั้งต้น[3])
9. สามารถนำเมล็ดป่นมาชงกับน้ำร้อนทานเป็นยาแก้ปัสสาวะขัด (เมล็ด)[4],[6],[7]
10. สามารถใช้เป็นยาแก้บิดได้ (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
11. สามารถนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ (ทั้งต้น)[2],[5],[6]
12. สามารถนำเมล็ดป่นมาชงกับน้ำร้อนทานเป็นยาแก้ท้องอืดได้ (เมล็ด)[6],[7]
13. สามารถช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ แก้ประสาทอ่อนได้ (ทั้งต้น)[1]
14. สามารถช่วยแก้เต้านมอักเสบได้ (ทั้งต้น)[1]
15. ใบ มีรสเย็น มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบ และแก้หืด (ใบ)[5]
16. ใช้เป็นยาล้างปอดได้ดี มีการนำมาใช้แก้หอบ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ช่วยลดเสมหะ ช่วยน้ำมูกเวลาเป็นหวัด (ทั้งต้น)[3]
17. ถ้าเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ให้นำทั้งต้นมาตากแห้งไว้ต้มทานเป็นประจำ (ทั้งต้น)[3],[6]
18. ในตำรับยาลดความดันโลหิตสูงอีกวิธี ให้นำลำต้นแห้ง 15 กรัม, ต้นส้มดินแห้ง 15 กรัม, ต้นสะพานก๊นแห้ง 15 กรัม มาต้มรวมกัน เอาน้ำมาทาน[7]
19. สามารถช่วยบำรุงกำลังได้ (ทั้งต้น)[5]
20. ทั้งต้นมีรสขมชุ่ม จะเป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับปอด ตับ มีสรรพคุณที่ทำให้เลือดเย็น เป็นยาแก้พิษ (ทั้งต้น)[1]
21. เมล็ดมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้พิษ โดยนำเมล็ดแห้ง 2-4 กรัม มาป่นให้ละเอียด ชงกับน้ำร้อนทาน (เมล็ด)[6],[7]
22. การแพทย์โบราณ การแพทย์พื้นบ้าน มีการใช้บรรเทาโรคและอาการต่าง ๆ เยอะมาก อย่างเช่น ไข้มาลาเรีย มะเร็ง ในกัมพูชาใช้เป็นยาลดไข้ในผู้ป่วยโรคมาลาเรีย ในอินเดียใช้น้ำที่คั้นได้บรรเทาอาการปัสสาวะขัดในเด็ก บรรเทาอาการไอ เมล็ดสามารถใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม พยาธิเส้นด้าย เป็นต้น[6]
23. เมล็ด มีรสเฝื่อน สามารถนำมาตำใช้พอกช่วยกำจัดเหาได้ (เมล็ด)[5]
24. สามารถใช้รักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเข่า ปวดหลัง ปวดข้อ โดยนำมาต้มทาน (ทั้งต้น)[3]
25. ในตำรับยาแก้ฟกช้ำ ใช้ทั้งต้นหญ้าดอกขาว, ทั้งต้นบัวบก, ทั้งต้นฝาง, ยาหัว, เถาไม้กระเบื้องต้น มาต้มกับน้ำทานจนหาย (ทั้งต้น)[3]
26. ทั้งต้นสามารถใช้ภายนอกเป็นยาแก้พิษงู ฝีหนอง ผ้ำ งูสวัด แผลกลาย (ทั้งต้น)[1],[3]
27. ในตำรับยาแก้ผ้ำหรืออาการติดเชื้อมีหนองในเนื้อเยื่อลึกคล้ายกับฝีแต่ไม่ใช่ฝี ให้นำมาต้มใช้ไอรมแผล เมื่อยาเย็นลงให้นำน้ำต้มยามาล้างแผล 1 วัน รม 3 ครั้ง 3 วัน โดยให้ใช้ยาหม้อเดิมทั้ง 3 วัน (ทั้งต้น)[3]
28. สามารถใช้แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน (ทั้งต้น)[1]
29. สามารถนำใบมาตำใช้พอกแก้กลากเกลื้อน เรื้อนกวางได้ (ใบ)[2],[5],[6]
30. สามารถนำเมล็ดมาตำใช้พอกหรือป่นชงกับน้ำร้อนทานเป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคผิวหนังด่างขาว โรคผิวหนังเรื้อรัง (เมล็ด)[5],[6],[7]
31. สามารถนำใบสดมาตำใช้พอกปิดแผล เป็นยาสมานแผล (ใบ)[2],[5],[6]
32. สามารถใช้เป็นยาแก้ตับอักเสบเฉียบพลัน และแก้ดีซ่านได้ (ทั้งต้น)[1],[2],[5],[6]
33. สามารถช่วยแก้ริดสีดวงทวารได้ (ทั้งต้น)[5],[6]
34. สามารถใช้เป็นยาขับพยาธิได้ โดยนำรากสด 30-60 กรัม มาต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำมาทาน (ราก[6],[7], ทั้งต้น[1])
35. สามารถนำเมล็ดแห้งประมาณ 2-4 กรัม มาป่นจนละเอียดชงกับน้ำร้อนทานเป็นยาขับพยาธิเส้นด้าย (เมล็ด)[4],[5],[6],[7]
36. สามารถนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาแก้โรคกระเพาะ แก้ท้องขึ้น แก้ปวดท้อง แก้ท้องร่วง แก้ท้องเสีย (ทั้งต้น)[2],[3],[4],[5],[6]
37. สามารถนำทั้งต้นมาตำจนละเอียดใช้เป็นยาพอกแก้นมคัดได้ (ทั้งต้น)[4],[5],[6]
38. สามารถนำใบมาตำน้ำนมของคน แล้วกรองเอาน้ำใช้เป็นยาหยอดตา แก้ตาแฉะ ตาแดง ตาเปียก (ใบ)[2],[5],[6]
39. สามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
40. สามารถนำเมล็ดมาป่นชงกับน้ำร้อนใช้ทานเป็นยาบำรุงธาตุ (เมล็ด)[6],[7]
41. ในตำรายาพื้นบ้านใช้ทั้งต้น 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 4 ถ้วย ใช้ดื่มต่างน้ำชาเป็นยาแก้ตกเลือด ยาบำรุงเลือด (ทั้งต้น)[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • การศึกษาด้านความปลอดภัย ผลปรากฏว่ามีความปลอดภัยสูง[3] จากการศึกษาด้านพิษวิทยาผลปรากฏว่าสารสกัดในเมทานอลไม่ทำเกิดให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนูเมื่อให้ทางปาก มีค่า LD50 สูงกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[6]
  • ราก ต้น ใบ มีสารสำคัญนั่นก็คือ Sodium nitrate ซึ่งจะทำให้ลิ้นชา ช่วยลดอาการอยากบุหรี่[5] จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของหญ้าดอกขาวกับยาหลอกในการลดการสูบบุหรี่ ผลปรากฏว่า หญ้าดอกขาวช่วยลดการสูบบุหรี่ได้มากกว่ากลุ่มควบคุม และหญ้าดอกขาวรูปแบบการนำไปเคี่ยว ก็คือนำหญ้าดอกขาวแห้ง 20 กรัม มาผสมน้ำ 3 แก้ว แล้วต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว นำมาอมในปากประมาณ 1-2 นาทีแล้วจึงค่อยกลืน แล้วค่อยสูบบุหรี่ จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนไปจนทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่ และลดจำนวนของมวนบุหรี่ที่ใช้สูบต่อวันได้ภายในเวลา 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าสูบเบาหรือสูบหนักมาก่อนก็ตาม จากการวิจัยปรากฏว่าถ้าใช้ติดต่อกัน 2 เดือน จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ 60% ถ้าออกกำลังกายด้วยจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ 62% สามารถช่วยทำให้คนเลิกบุหรี่ 60-70% ถ้าออกกำลังกายด้วย[3],[4]
  • รากกับเมล็ดจะมีฤทธิ์ที่สามารถฆ่าเชื้อพยาธิได้[1],[7]
  • ใบจะมีฤทธิ์ที่ฆ่าเชื้อโรคได้นิดหน่อย ไม่มีฤทธิ์กับเชื้อมาลาเรีย[1],[7]
  • พบสารจำพวก Amino acids, Flavonoid glycoside, Phenols [1]
  • จากการศึกษาผู้ติดบุหรี่ผลปรากฏว่าหลังรักษาด้วยหญ้า 4 เดือน ผู้ติดบุหรี่มีอัตราเลิกสูบบุหรี่ 69.35% เหตุผลสำคัญของการเลิกสูบบุหรี่ นั้นก็คือ ลิ้นชา ทานอาหารไม่อร่อย ไม่อยากบุหรี่ รู้สึกเหม็นกลิ่นบุหรี่ สูบแล้วรู้สึกอยากอาเจียน และผู้ที่ไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ให้เหตุผลว่า การดื่มชาหญ้าดอกขาวเหมือนกับดื่มน้ำธรรมดา ไม่มีอาการอะไร[5]
  • ปัจจุบันมีการศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ ผลปรากฏว่าจะมีฤทธิ์ที่เป็นยาลดไข้ ลดการอักเสบ แก้ปวด ต้านแบคทีเรีย ต้านไม่ให้รังสีแกมมาทำลายเซลล์ ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบ ต้านเบาหวาน ต้านการกระจายตัวของมะเร็ง ขับปัสสาวะ ป้องกันไตไม่ให้ถูกทำลาย ต้านการเกิดแผล ต้านการอักเสบ [3],[6] และมีฤทธิ์ยับยั้งการทานอาหารของแมลงบางชนิด และการวิจัยใหม่มุ่งเน้นศึกษาฤทธิ์ต้านการเติมออกซิเจนและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ[6]
  • สารสกัดที่สกัดได้จากต้นด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ที่ลดการบีบตัวของลำไส้หนู เป็นพิษกับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง[2]
  • น้ำต้มที่ได้จากส่วนที่อยู่เหนือดินจะมีฤทธิ์ที่ต้านการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการปวด ลดความดันโลหิตในสัตว์ทดลอง[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้าหมอน้อย”. หน้า 604.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เสือสามขา”. หน้า 223.
3. ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. “หญ้าดอกขาว หมอข้างกาย ทางสบายเลิกบุหรี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_herbal/. [13 ก.ค. 2014].
4. เดลินิวส์ 5 สิงหาคม พ.ศ.2555. “หญ้าดอกขาว สมุนไพรช่วยเลิกบุหรี่”.
5. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “หญ้าดอกขาวกับการลดการอยากบุหรี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.cmu.ac.th/dic/newsletter/newpdf/newsletter10_6/smokingherb.pdf. [14 ก.ค. 2014].
6. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2553. (อรลักษณา แพรัตกุล). “องค์ประกอบทางเคมี และฤทธิ์ทางชีวภาพของหมอน้อย และแนวทางการพัฒนาตำรับเพื่อใช้ช่วยเลิกบุหรี่”.
7. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หมอน้อย”. หน้า 819-820.

อ้างอิงรูปจาก
1. https://portal.wiktrop.org/
2. https://www.floraofbangladesh.com/

หญ้างวงช้าง ใบมีสรรพคุณลดระดับน้ำตาลในเลือด

0
หญ้างวงช้าง
หญ้างวงช้าง ใบมีสรรพคุณลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ล้มลุก ใบหยาบมีรอยย่น ท้องใบมีขน ดอกเล็กสีฟ้าอ่อนหรือสีขาว โคนกลีบมีขนสีขาว ผลขนาดเล็กเปลือกแข็ง
หญ้างวงช้าง
เป็นไม้ล้มลุก ใบหยาบมีรอยย่น ท้องใบมีขน ดอกเล็กสีฟ้าอ่อนหรือสีขาว โคนกลีบมีขนสีขาว ผลขนาดเล็กเปลือกแข็ง

หญ้างวงช้าง

หญ้างวงช้าง  เป็นไม้กลางแจ้ง มักขึ้นในที่มีความชื้น โตได้ดีในดินทุกชนิด มักพบเจอตามพื้นที่ชื้นแฉะ อย่างเช่น ริมแม่น้ำ ลำคลอง ทางน้ำ ท้องนา หรือตามที่รกร้างตามวัดวาอาราม บ้างที่จะปลูกไว้ขายเป็นยาสดตามสวนยาจีนชื่อสามัญ Turnsole, Indian Heliotrope, Alacransillo, Eye bright, Indian Turnsole [6] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Heliotropium indicum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Heliophytum indicum (L.) DC., Tiaridium indicum (L.) Lehm.) อยู่วงศ์หญ้างวงช้าง (BORAGINACEAE)[1],[2],[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ ต้าเหว่ยเอี๋ยว (จีนกลาง), ไต่บ๋วยเอี้ยว (จีนแต้จิ๋ว), หญ้างวงช้าง (ไทย), หวายงวงช้าง (ศรีราชา), เงียวบ๋วยเช่า (จีนกลาง), ผักแพวขาว (กาญจนบุรี), หญ้างวงช้างน้อย (ภาคเหนือ), กุนอกาโม (มลายู-ปัตตานี), ชื้อเจาะ(ม้ง) [1],[2],[3],[4],[5]

ลักษณะของหญ้างวงช้าง

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีอายุแค่ฤดูเดียว จะเกิดช่วงฤดูฝน พอหน้าแล้งก็จะตาย ต้นสูงประมาณ 15-60 เซนติเมตร จะแตกกิ่งก้านเยอะ ทั้งต้นจะมีขนขึ้น ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด [1],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกใบเรียงสลับกันหรือจะออกเกือบตรงข้าม ใบเป็นรูปป้อม รูปไข่ รูปกลมรี ที่ปลายใบจะแหลมและสั้น ที่กลางใบจะกว้างออก ส่วนที่โคนใบจะมนรีหรือจะเรียวถึงก้านใบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีขนาดยาวประมาณ 3-8 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้ม พื้นผิวใบหยาบ จะมีรอยย่น ขรุขระ ท้องใบจะมีขนขึ้นนิดหน่อย ส่วนหลังใบก็มีขนขึ้นนิดหน่อยเช่นกัน ก้านใบมีความยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร[1],[2],[4]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ออกดอกที่ปลายยอด ที่ปลายช่อจะม้วนลงคล้ายงวงช้าง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 3-20 เซนติเมตร ออกดอกทางด้านบนแค่เพียงด้านเดียวและเรียงเป็นแถว ดอกย่อยมีลักษณะเล็กและเป็นสีฟ้าอ่อน สีขาว กลีบดอกมีอยู่ 5 กลีบ มีขนาดยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร ที่ปลายกลีบจะแยกจากกัน ส่วนที่โคนดอกจะเชื่อมกันเป็นหลอด มีขนที่ด้านนอก มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ ที่โคนกลีบจะเชื่อมกัน มีขนสีขาวขึ้น มีเกสรเพศผู้ 5 อันอยู่ในหลอดดอก ที่ฐานดอกมีเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มีลักษณะเป็นรูปจานแบน [1],[2],[3]
  • ผล เป็นรูปไข่ ผลมีลักษณะเป็นคู่ และมีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ผลเกิดจากรังไข่ 2 อันรวมตัวกัน เปลือกผลจะแข็ง ภายในจะแบ่งเป็น 2 ช่อง และแต่ละช่องจะมีเมล็ดอยู่ตามช่อง [1],[2],[4]

ประโยชน์หญ้างวงช้าง

1. คนอีสานมีภูมิปัญญาใช้เป็นประโยชน์ในด้านเครื่องมือตรวจวัดอากาศ วัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าต้องการวัดคุณภาพอากาศ ให้ดูที่ช่อดอกถ้าเหยียดตรงแสดงว่าฝนแล้งจัด ถ้าช่อดอกม้วนงอแสดงว่าปีมีน้ำเยอะ ถ้าหากแปลงนามีขึ้นเยอะแสดงว่าแปลงนามีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องใส่ปุ๋ยผลผลิตที่ดี จากการทดลองปรากฏว่าแปลงที่มีหญ้างวงช้างเจริญงอกงามดี จะให้ผลผลิตได้มากกว่าแปลงที่ไม่มีหญ้างวงช้างประมาณ 60% (จากการทดลองไม่มีการใส่ปุ๋ยทั้งสองแปลงเพื่อการเปรียบเทียบ)[9]
2. ใบ ใช้รักษาสิวได้ (ข้อมูลไม่ระบุวิธีใช้ แต่เข้าใจว่าเอาใบมาตำใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นสิว)[3]
3. ใช้ประโยชน์ในงานย้อมสีได้ จากการสกัดน้ำสีที่ได้จากใบ ถ้าเอาไปย้อมเส้นไหมจะเห็นว่าเส้นไหมที่มีคุณภาพดี ทนต่อแสงในระดับดี และทนต่อการซักระดับดี โดยจะให้สีน้ำตาลอ่อน[8]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อให้สัตว์ทดลองทาน liver microsome ออกซิไดซ์ ได้สาร dehydroheliotrine แบบรวดเร็ว pyrrolic dehydroalkaloid เป็น reactive alkylating agent ซึ่งจะทำให้เกิดแผลในตับ (แค่จำนวนเล็กน้อยก็ทำให้เกิดแผล) แผลที่เกิดขึ้นกว่าจะแสดงอาการให้รู้ก็เป็นปี ๆ และในขนาดสูงจะทำให้เกิด liver necrosis อาการที่สังเกตเห็นได้ในสัตว์ นั่นก็คือ ซึมตัวเหลือง ความอยากอาหารลดน้อยลง เนื้อเยื่ออ่อน มีสีซีด[7]
  • จากการทดลองใช้เป็นยารักษาแผลมีหนอง ฝีเม็ดเล็ก โดยนำทั้งต้นแห้ง 50 กรัม มาหั่นเป็นฝอยผสมน้ำ 1 ลิตร เอามาต้มด้วยไฟอ่อนให้เหลือครึ่งลิตร โดยแบ่งทานหลังอาหารครั้งละ 20 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นเด็กให้ลดปริมาณตามสัดส่วน จากการรักษาด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าคนไข้จำนวน 213 ราย ที่ทานยา 1-3 วัน หาย 73 ราย, ทานยา 4-5 วัน หาย 96 ราย, ทานยา 6-10 วัน หาย 52 ราย, ทานยา 10 วันขึ้นไป หายจำนวน 28 ราย จากการทดสอบเบื้องต้นปรากฏว่ายานี้มีผลกับฝีขนาดเล็ก ที่เริ่มเป็นหนองและเริ่มเป็นหนองแล้ว (มีเนื้อเยื่อตายแล้ว) แต่ถ้าใช้ในตอนเริ่มเป็นจะได้ผลการรักษาดีกว่า[4]
  • สารที่ได้จากการสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์การกระตุ้นมดลูกหนูทดลอง ซึ่งทำให้มีการบิดตัวของมดลูกแรงขึ้น และมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Schwartz) ได้ระยะหนึ่ง จะทำให้คนไข้ยืดต่อเวลาชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง[2]
  • ทั้งต้นพบสาร Indicinine Acetyl indicine, Indicine เป็นต้น[2] พบสารสำคัญอีกหลายชนิด อย่างเช่น Pyrrolizidine, Alkaloid, Tumorigenic สารเหล่านี้เป็นพิษกับร่างกาย ควรใช้แบบระมัดระวังให้มาก ๆ [9]
  • มีการทดลองในคนโดยทานสารสกัดน้ำที่ได้จากทั้งต้นแห้งของ และปรากฏว่าช่วยลดอาการอักเสบและเร่งการเจริญของเนื้อเยื่อที่แผลได้[9]
  • จากการทดลองกับหนูขาว ปรากฏว่าสารสกัดที่ได้จากรากด้วยแอลกอฮอล์ 95% และสารกลุ่มอัลคาลอยด์จากเมล็ด จะมีฤทธิ์ที่ต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ, มีฤทธิ์ที่ช่วยลดความดันโลหิตแบบอ่อน, มีฤทธิ์ที่ยับยั้งเซลล์เนื้องอกบางชนิด แต่พบว่าทั้งต้นมีสารพิษที่เป็นพิษกับตับ ต้องศึกษากันอย่างละเอียดต่อไป[9]
  • เมื่อนำรากมาต้มให้เข้มข้น แล้วฉีดเข้าเส้นเลือดแมวที่สลบ ปรากฏว่าความดันโลหิตแมวลดน้อยลง และกระตุ้นการหายใจได้แรงยิ่งขึ้น แต่ลดการเต้นของหัวใจของคางคกที่แยกจากตัว ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะไม่มีผลอันนี้ ส่วนที่สกัดด้วยน้ำไม่มีผลที่เด่นชัดกับกล้ามเนื้อลำไส้เล็กของหนูที่แยกจากตัว แต่กับลำไส้เล็กของกระต่ายทดลองที่แยกออกจากตัว มีผลที่ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวได้ ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์มีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ลำไส้เล็กของกระต่ายเท่านั้น ส่วนที่สกัดทั้งสองจะไม่มีผลกับกล้ามเนื้อเรียบที่ท้องคางคก แต่มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูใหญ่ที่แยกจากตัว ทั้งส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์กับน้ำจะมีสารทำให้มดลูกบีบตัว ส่วนที่สกัดจากใบมีผลกับโรคของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งของหนูเล็ก ช่วยต่อต้านเนื้องอกได้ระยะหนึ่ง ด้วยการยืดอายุหนูออกไป ส่วนที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะไม่เห็นพิษชัด (ใช้ยาฉีดขนาดเข้มข้น 1:1 เข้าช่องท้องหนูเล็กในขนาด 0.8 มิลลิกรัม ปรากฏว่าไม่ทำให้หนูทดลองตาย) ส่วนที่สกัดด้วยน้ำจะมีพิษกับหนูเล็กนิดหน่อย[2],[4]

สรรพคุณหญ้างวงช้าง

1. สามารถใช้รักษาอาการฟกช้ำได้ (ประเทศอินเดีย-ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด)[9]
2. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาลดบวม สามารถช่วยแก้แผลบวมมีหนอง และช่วยลดอาการปวดบวมฝีหนองได้ (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
3. สามารถใช้แก้หนองในช่องคลอดได้ (ทั้งต้น)[1]
4. สามารถช่วยแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบาได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทานเป็นยา (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
5. ทั้งต้นหญ้าจะมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้บิด (ทั้งต้น)[2]
6. สามารถช่วยแก้อาการปวดท้องได้ โดยนำต้นสดประมาณ 30-60 กรัม มาต้มกับน้ำทาน (ต้น)[4]
7. สามารถช่วยแก้หอบหืดได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
8. ทั้งต้น มีรสขม เป็นยาสุขุม จะออกฤทธิ์กับกระเพาะปัสสาวะและปอด สามารถใช้เป็นยาแก้อาการไอได้ โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
9. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาช่วยดับพิษร้อน แก้ไข้ ลดไข้ ถอนพิษไข้ ช่วยดับพิษร้อน โดยนำลำต้นสดมาต้มเอาน้ำทานเป็นยา (ทั้งต้น)[1],[2],[3]
10. ทั้งต้น มีสรรพคุณที่สามารถช่วยแก้โรคลักปิดลักเปิด และโรคเลือดออกตามไรฟันได้ (ทั้งต้น)[1]
11. น้ำที่ได้จากใบสามารถใช้เป็นยาหยอดตาแก้ตาฟางได้ และทั้งต้น มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ตาฟาง (น้ำจากใบ,ทั้งต้น)[1],[3],[4]
12. สามารถช่วยแก้เด็กตกใจเวลากลางคืนบ่อย ๆ ได้ (ทั้งต้น)[4]
13. น้ำที่ได้จากใบจะมีสรรพคุณที่สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (น้ำจากใบ)[1]
14. บางตำราใช้ทั้งต้น มาผสมใบชุมเห็ดไทย ดอกชุมเห็ดไทย ใบผักเสี้ยนผี ดอกผักเสี้ยนผี ใช้เป็นยาพอกแก้ปวดตามข้อได้ อย่างเช่น ข้อเข่า ในขณะที่พอกให้พันด้วยผ้าไว้จนรู้สึกร้อนตรงบริเวณที่พอก แล้วเปิดผ้าออก เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แล้วทาด้วยน้ำมันมะพร้าว (ทั้งต้น)[9]
15. ใบสามารถใช้เป็นยาพอกฝี รักษาโรคผิวหนังได้ (ใบ)[1],[3]
16. ในอินเดียใช้แก้กลากเกลื้อน ไฟลามทุ่ง แก้แมลงสัตว์กัดต่อยด้วย (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด)[9]
17. สามารถช่วยแก้แผลฝีเม็ดขนาดเล็ก มีหนองได้ โดยนำรากสดประมาณ 60 กรัม มาผสมเกลือนิดหน่อย แล้วต้มกับน้ำทาน และนำใบสดมาตำกับข้าวเย็น (ไม่ได้ระบุว่าเป็นข้าวเย็นเหนือหรือข้าวเย็นใต้) นำมาใช้พอกแผล (ราก,ใบ)[4]
18.ใบสามารถใช้เป็นยาพอกรักษาแผลได้ (ใบ)[1],[3]
19. รากกับดอกถ้าใช้ในปริมาณน้อยจะมีสรรพคุณที่เป็นยาขับระดู โดยนำดอกสดมาต้มทาน แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ (ราก,ดอก)[1],[3]
20. ในอินเดียใช้เป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด) เมล็ดสามารถใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บปวดกระเพาะอาหารได้ (เมล็ด)[9]
21. สามารถช่วยแก้อาการปวดท้องที่เกิดจากอาหารเป็นพิษได้ โดยนำลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มผสมต้นว่านน้ำ (แป๊ะอะ), หญ้าปันยอด (ชั้วจ้างหม่อ) (ต้น)[5]
22. สามารถช่วยแก้ฝีมีหนองในช่องหุ้มปอด แก้ปอดอักเสบ แก้ฝีในปอด โดยนำต้นสด 60 กรัม มาต้มผสมน้ำผึ้งทาน หรือนำทั้งต้นสดประมาณ 60-120 กรัม มาตำคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งทาน (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
23. น้ำที่ได้จากใบสามารถใช้ทำยาอมกลั้วคอช่วยแก้อาการเจ็บคอได้ (น้ำที่ได้จากใบ)[1],[2],[3]
24. ทั้งต้นใช้เป็นยาเย็น สามารถช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยดับร้อนในได้ (น้ำที่ได้จากใบ,ทั้งต้น)[1],[4]
25. สามารถช่วยแก้อาการปากเปื่อยได้ โดยนำต้นสดมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาบ้วนปากและกลั้วคอวันละ 4-6 ครั้ง (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
26. สามารถนำรากสดมาตำคั้นเอาน้ำมาใช้หยอดตาแก้ตาฟาง ตาอักเสบ ตามัว ตาเจ็บ (ราก)[1],[3]
27. สามารถนำใบสดมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาใช้เป็นยาหยอดหูได้ (ใบ)[1],[3]
28. ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้โรคชักในเด็กได้ (ทั้งต้น)[1],[3]

การเก็บมาใช้

  • ให้เก็บทั้งต้นที่โตเต็มที่และมีดอก มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำสะอาด ใช้เป็นยาสดหรือเอามาตากแห้งเก็บไว้ใช้[4]

วิธีใช้

ให้ใช้ต้นสดครั้งละ 30-60 กรัม มาคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งทาน ถ้าเป็นต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม ถ้าใช้ภายนอกให้เอามาต้มเใช้น้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำมาอมบ้วนปาก[2],[4]

ข้อควรระวังในการใช้

  • ทั้งต้นมีสารพิษ Pyrrolizidine alkaloid จะออกฤทธิ์กับตับ ถ้าได้รับครั้งแรกจะทำให้อาเจียน หลังจากนั้นเป็นเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง จะมีอาการชักกระตุกควบคู่กับอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง หมดสติ วิธีรักษาเบื้องต้นคือให้รีบทำให้อาเจียน โดยทาน Syrup of ipecac 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับเด็กที่อายุ 1-12 ปี ให้ทาน 1 ช้อนโต๊ะ[6] อีกข้อมูลระบุเอาไว้ว่าสารที่เป็นพิษนั่นก็คือสาร Lasiocarpine จะมีฤทธิ์ที่ทำให้ตับอักเสบ (cirrhoesis) เป็นพิษกับตับ[7] มีข้อมูลอื่นที่ระบุไว้ว่า แม้ได้รับครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ตับแบบเรื้อรังได้
  • ห้ามให้สตรีที่มีครรภ์ทาน[4]
  • ถ้าใช้ในขนาดที่เยอะเกินขนาด อาจจะทำให้แท้งบุตรได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หญ้างวงช้าง (Ya Nguang Chang)”. หน้า 316.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้า งวงช้าง”. หน้า 582.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หญ้างวงช้าง”. หน้า 803-805.
4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 12 คอลัมน์: สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “หญ้างวงช้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [07 ก.ค. 2014].
5. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “หญ้างวงช้าง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6 (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [07 ก.ค. 2014].
6. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หญ้า งวง ช้าง” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [07 ก.ค. 2014].
7. กองวิจัยทางแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2530. (วันทนา งามวัฒน์). “สารพิษในพืชและอาการพิษในสัตว์ทดลอง”. หน้า 3.
8. พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “หญ้างวงช้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [07 ก.ค. 2014].
9. แผ่นดินทอง. “หญ้างวงช้างภูมิปัญญาตรวจวัดอากาศ”. อ้างอิงใน: มติชนสุดสัปดาห์, 4 พ.ย. 2554. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: glamdring.baac.or.th. [07 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org/
2. https://www.nparks.gov.sg/
3. https://medthai.com

หญ้าเกล็ดหอยเทศ สรรพคุณรักษาอาการตับอักเสบ ตับแข็ง

0
หญ้าเกล็ดหอยเทศ
หญ้าเกล็ดหอยเทศ สรรพคุณรักษาอาการตับอักเสบ ตับแข็ง เป็นพืชล้มลุกลำต้นเลื้อยปกคลุมพื้นดิน ใบมีสีเขียวขนาดเล็ก ดอกสีเขียวอมขาวหรือสีแดงอ่อน ผลเล็กแบนและเหลี่ยม ผิวแต้มเป็นจุด ๆ
หญ้าเกล็ดหอยเทศ
เป็นพืชล้มลุกลำต้นเลื้อยปกคลุมพื้นดิน ใบมีสีเขียวขนาดเล็ก ดอกสีเขียวอมขาวหรือสีแดงอ่อน ผลเล็กแบนและเหลี่ยม ผิวแต้มเป็นจุด ๆ

หญ้าเกล็ดหอยเทศ

หญ้าเกล็ดหอยเทศ เป็นวัชพืช ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไป จัดเป็นหนึ่งในวัชพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hydrocotyle sibthorpioides Lam.[1],[3] อยู่ในวงศ์เล็บครุฑ (ARALIACEAE)
ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เกล็ดหอย หญ้าเกล็ดหอยเล็ก (ไทย),หญ้าเกล็ดหอย (ภาคกลาง),โพวตี่กิ้ม เทียงโอ่วซุย (จีนแต้จิ๋ว),เทียนหูซุยพูตี้จิ่น (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะของหญ้าเกล็ดหอยเทศ

  • ต้น จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเลื้อยแผ่ปกคลุมไปตามพื้นดิน ลำต้นมีลักษณะเป็นเส้นเล็กยาว ลำต้นเป็นข้อยาวประมาณ 10-50 เซนติเมตร มีรากฝอยแตกขยายเพื่อยึดเกาะตามหน้าดิน สามารถใช้เมล็ดหรือวิธีแยกลำต้นในการขยายพันธุ์ สามารถเติบโตได้ดีในที่ชุ่มชื้น พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ใบมีสีเขียวขนาดเล็กรูปทรงกลม แผ่นใบบาง ส่วนโคนใบนั้นจะหยักเข้าด้านในคล้ายรูปหัวใจ รอบใบจะมีรอยหยักเล็กๆ ประมาณ 5-9 หยัก ตัวใบมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร ท้องใบเป็นสีขาวและมีขนอ่อนๆปกคลุมเล็กน้อย ก้านใบยาว 1-8 เซนติเมตร เส้นใบออกจากโคนใบ จำนวนเท่ากับหยักของแต่ละใบ[1],[2],[3]
  • ดอก มีขนาดเล็กมากๆ รวมกันเป็นช่อ ซึ่งดอกจะมีสีเขียวอมขาวหรือสีแดงอ่อน โดยจะออกตามบริเวณข้อของลำต้นและตามง่ามใบ กลีบดอกเป็นรูปกลมรี มี 5 กลีบ ในช่อหนึ่งจะมีดอกย่อย 10 ถึง 15 ดอก ก้านดอกสั้นมากหรือไม่มีก้านเลย ส่วนยอดเกสรเพศเมียมี 2 อัน
    เกสรเพศผู้มี 5 อัน [1],[2],[3]
  • ผล ออกเป็นผลคู่ ภายในผลนั้นจะมีเมล็ดเล็กๆ อยู่ด้านใน ผลมีลักษณะแบนและเหลี่ยม ยาวประมาณ 1-1.25 มิลลิเมตร ผลกว้างประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ผิวผลมีแต้มเป็นจุดๆ ผิวผลเป็นมัน[1],[2],[3]

ประโยชน์ของหญ้าเกล็ดหอย

1. ใช้ลำต้นของหญ้าเกล็ดหอยมาคั้นสด ผสมกับเกลือ และนำไปป้ายตาของสัตว์เลี้ยง จะสามารถรักษาอาการเยื่อตาอักเสบในสัตว์เลี้ยงได้[1]
2. นำลำต้นสดมา 250 กรัม มาตำคั้นเอาน้ำให้สัตว์เลี้ยงกิน จะสามารถช่วยรักษาสัตว์เลี้ยงที่มีอาการป่วยได้[1]
3. ใช้ลำต้นหญ้าเกล็ดหอยสด มาต้มกับผักกาดสด มั่งแส่โชย และกึงป๊วก อย่างละ 39 กรัม จากนั้นเอาน้ำต้มมาผสมกับน้ำเต้าหู้ ครึ่งชามจากนั้นใส่น้ำตาลทราย 60 กรัม และให้หมูกิน จะสามารถรักษาหมูที่เป็นไตอักเสบ บวมน้ำได้[1]
4. สามารถใช้หญ้าเกล็ดหอยปลูกเป็นไม้ประดับคลุมดินทั่วไปตามบ้านได้[1]
5. ลำต้นสามารถช่วยแก้อาการเจ็บคอหรือคออักเสบในวัวได้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • น้ำต้มความเข้มข้น 1 ต่อ 1 มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อบิดหรือเชื้อไทฟอยด์ได้ดี และยังสามารถยับยั้งแบคทีเรียในกลุ่ม Strepto coccus และ Staphylo coccus ได้อีกด้วย[2]
  • พบสารจำพวก Phenols และ Amino acid, Coumarin, Hyperin ,น้ำมันระเหยต่าง ๆ และสารจำพวก Flavonoid glycoside ในหญ้าเกล็ดหอย[2]

สรรพคุณของหญ้าเกล็ดหอย

1. การใช้หญ้าเกล็ดหอยนำมาตำแล้วนำไปแช่ในแอลกอฮอล์ 6 ชั่วโมง สามารถใช้เป็นยาแก้อาการงูสวัดได้ โดยการนำมาทาบริเวณที่เป็นแผล (ทั้งต้น)[2]
2. สามารถรักษาฝีอักเสบเรื้อรังมีหนอง หูอักเสบมีหนอง แผลเป็นตุ่มพองรอบเอว แผลมีหนองเรื้อรัง ได้โดยใช้ น้ำลำต้นคั้น มาทารักษา(ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2]
3. ใช้ต้นสด 30-60 กรัม มาคั้นตำผสมกับเหล้าทาน 4-7 วัน วันละ 2 ครั้ง สามารถช่วยแก้อาการดีซ่านได้[2]นำต้นสด มาตุ๋นกับเหล้าที่หมักจากข้าวเหนียวกิน หลังอาหารเช้าและกลางวัน พบว่าทำให้หายจากอาการตัวเหลืองได้(ลำต้น, ทั้งต้น)[3]
4. ลำต้นมีสรรพคุณช่วยแก้ดีพิการได้ (ลำต้น)[2]
5. หญ้าเกล็ดหอยสามารถช่วยแก้อาการท้องมาน บวมน้ำได้(ทั้งต้น)[2]
6. ใช้หญ้าเกล็ดหอย 50 กรัม มาต้ม ใช้น้ำต้มผสมกับเกลือและทาน จะสามารถช่วยแก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบได้(ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2]
7. ทั้งต้นสามารถช่วยในการขับเสมหะได้(ทั้งต้น)[2]
8. ใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ โดยการใช้ลำต้นนำมาต้มเอาน้ำกิน(ลำต้น)[1]
9. ใช้เป็นยาแก้อาการบวมได้ โดยการใช้ลำต้นนำมาต้มเอาน้ำกิน(ลำต้น)[1]
10. ลำต้นมีสรรพคุณในการแก้ปวดบวม แก้บวม แก้ฟกช้ำจากการหกล้ม แก้โรคผิวหนัง โดยการนำมาคั้นเอาน้ำใช้ทารักษาบริเวณที่เป็นผื่นคัน (ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2],[3]
11. ทั้งต้นสามารถใช้เป็นยาห้ามแผลสด หรือแผลที่ปลิงและทากดูดได้ (ทั้งต้น)
12. ช่วยแก้ตับอักเสบ ตับแข็งได้ (ลำต้น)[1]
13. ใช้เป็นยาขับนิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อได้ (ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2]
14. ใช้รักษาโรคบิดถ่ายเป็นมูกเลือดได้(ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2]
15. มีสรรพคุณรักษาตาเป็นต้อ และแก้อาการตาแดงได้ (ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2]
16. แก้อาการไอ ไอกรนได้ (ลำต้น, ทั้งต้น)[1],[2] หรือใช้เป็นยาแก้ไอสำหรับเด็กก็ได้ (ทั้งต้น)[3]
17. สามารถช่วยแก้อาการร้อนใน ใช้เป็นยาดับพิษร้อนถอนพิษไข้ได้ และทั้งต้นมีรสขมฝาด มีกลิ่นหอมเป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อตับ ไต และม้าม(ทั้งต้น)[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หญ้าเกล็ดหอย”. หน้า 799-801.
2.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้าเกล็ดหอยเทศ”. หน้า 576.
3.ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หญ้าเกล็ดหอย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [05 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.fishlaboratory.com/
2. http://www.csbg.nsc.ru/
3. https://medthai.com/

โสมอเมริกา สรรพคุณกระตุ้นต่อมเพศของผู้ชาย

0
โสมอเมริกา สรรพคุณกระตุ้นต่อมเพศของผู้ชาย เป็นไม้ล้มลุก มีราก 2-3 แฉกสีนวล ใบคล้ายกับนิ้วมือคน ดอกเป็นช่อสีขาวอมเขียว ผลสุกสีแดง
โสมอเมริกา
เป็นไม้ล้มลุก มีราก 2-3 แฉก-7ขึ้นไปสีนวล ใบคล้ายกับนิ้วมือคน ดอกเป็นช่อสีขาวอมเขียว ผลสุกสีแดง

โสมอเมริกา

โสมอเมริกา มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา พบขึ้นครั้งแรกในป่าแถบอเมริกาเหนือ มีการเพาะปลูกครั้งแรกในประเทศอเมริกาเมื่อปลายปี ค.ศ.1800 เป็นพืชที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างมาก ต้องควบคุมในเรื่องของอุณหภูมิ แสงแดด และความชื้นอย่างเหมาะสม เพราะรากโสมจะไม่สมบูรณ์ ในสมัยก่อนจะปลูกกันในแถบป่าทางเอเชียตะวันตก ในปัจจุบันมีการปลูกมากในอเมริกา แคนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ชื่อสามัญ คือ American gingseng, Asiatic gingseng, Redberry[1],[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Panax quinquefolius L. จัดอยู่ในวงศ์เล็บครุฑ (ARALIACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย ARALIOIDEAE[1] (Panax มาจากคำว่า Panaxis ที่ได้มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า “Panacia” ที่แปลว่า “รักษาได้ทุกโรค”)[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ โสมห้านิ้ว, โสมห้าใบ, โสม, โสมเกาหลี, โสมจีน, โสมญี่ปุ่น, โสมเอี่ยเซียม (Xi Yang Shen)[1],[2]

ลักษณะของโสมอเมริกา[1]

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – มีอายุได้นานกว่า 2 ปี
    – มีความสูงได้ถึง 2-3 ฟุต
    – แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้น
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด
  • ราก
    – โสมหนึ่งต้นจะมีราก 2-3 แฉกขึ้นไป
    – รากมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกใหญ่ มีสีนวล
    – มีความกว้าง 1-2 นิ้ว และยาว 0.5-1.5 ฟุต
  • ใบ
    – ใบเป็นใบประกอบ
    – ใบมีรูปร่างคล้ายกับนิ้วมือคน
    – ใบย่อยแผ่ออกไป 3-5 ใบ
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – จะออกตรงส่วนยอดของต้นหรือตามซอกใบ
    – ดอกเป็นสีขาวอมเขียว
  • ผล
    – ผลสุกจะเป็นสีแดง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. สารสำคัญที่พบ คือ[1]
    – ginsenin
    – pacacen
    – panaxin
    – panaxic acid
    – panaquilon
  2. สารประกอบ[2]
    – มีฤทธิ์ตัวยามากกว่าโสมเอเชียถึง 2 เท่า
    – เฉพาะตัวยา Rb ที่มีประโยชน์กับสุขภาพ ใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย เหมาะสำหรับการบำรุงร่างกาย

ข้อควรระวัง

  • ผู้ที่รับประทานโสมในปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง มีอาการนอนไม่หลับ มีผื่น และมีอาการท้องร่วง หรือที่เรียกว่า “ginseng abuse syndrome”[3]
  • ผู้ที่หัวใจอ่อน ไม่ควรรับประทานน้ำโสมอเมริกันในระยะยาวนานจนเกินไป อาจจะทำให้ประสาทถูกกระตุ้นมากจนเกินไป
  • สตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทาน[2]
  • หากมีอาการท้องร่วง เกิดผื่นบริเวณผิวหนัง และตาแดง ควรเลิกรับประทานโสมทันที[2]

สรรพคุณของโสมอเมริกา

  • ราก ช่วยระงับอาการปวด[1]
  • ราก ช่วยทำให้ทางเดินโลหิตดีขึ้น[1]
  • ราก ช่วยกระตุ้นหัวใจและสมอง มีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท[1]
  • ช่วยลดผลจากการกระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นในผู้สูงวัย[2]
  • ช่วยกระตุ้นการขับของเสียออกจากร่างกาย[2]
  • ช่วยกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนังตามธรรมชาติ[2]
  • ช่วยรักษาสภาพผิวหนังและป้องกันการเกิดโรคผิวหนัง[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน[2]
  • ช่วยบรรเทาสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับปอด[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก[2]
  • ช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ[2]
  • ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด[2]
  • ช่วยบำรุงปอดสำหรับผู้ที่มีไอแห้ง[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด[2]
  • ช่วยป้องกันการขยายตัวจนเกินขอบเขตของต่อมอะดรีนัล[2]
  • ช่วยทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น[3]
  • ช่วยรักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อม[3]
  • ช่วยทำให้สุขภาพจิตและสมรรถภาพร่างกายที่ดีขึ้น[3]
  • ช่วยกระตุ้นต่อมเพศของผู้ชาย[2]
  • ช่วยลดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้[2]
  • ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือน[2]
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง[2]
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด[2]
  • ช่วยป้องกันไขมันส่วนเกิน[2]
  • ช่วยลดความกดดันทางด้านกายภาพ ทางเคมี และทางชีวภาพของร่างกาย[2]
  • ช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง[2]
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคโลหิตจาง[2]
  • ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน[2],[3]
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด[2],[3]
  • ช่วยควบคุมการสันดาปของกลูโคส[2],[3]
  • ช่วยทำให้ต่อมในตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น[2],[3]
  • ช่วยป้องกันการเกิดอาการชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า[2],[3]
  • ช่วยป้องกันการเกิดผลเน่าเปื่อย นอกจากนี้สาร ginsenoside Rb[2],[3]
  • ช่วยลดขนาดการใช้อินซูลินจากภายนอกในการรักษาคนไข้โรคเบาหวานได้[2],[3]
  • ช่วยปรับสภาพการทำงานทั่วไปของหลอดเลือดหัวใจ[2]
  • ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือด[2]
  • ช่วยละลายสารพิษที่ค้างในหลอดเลือดหัวใจ[2]
  • ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง[3]
  • ช่วยชะลอการแพร่กระจายของเชื้อโรคเอดส์[3]
  • ช่วยชะลอวัย[3]
  • ช่วยทำให้เนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง[3]
  • ช่วยปรับสภาพของร่างกายและจิตใจให้มีความทนทานต่อความกดดันมากยิ่งขึ้น[3]
  • ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย[3]
  • ช่วยต่อต้านสารพิษต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมได้[3]
  • ช่วยกระตุ้นเซลล์ให้สร้างภูมิคุ้มกัน[2]
  • ช่วยต้านการติดเชื้อไวรัส[2]
  • ช่วยเพิ่มการผลิตโฮโมนธัยมัส[2]
  • ช่วยเพิ่มการตอบสนองของภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น 50%[3]
  • ช่วยทำลายจุลินทรีย์หรืออนุภาคแปลกปลอมต่าง ๆ ของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น[3]
  • ช่วยทำให้ร่างกายสามารถต้านทานโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา เชื้อไวรัส สารเคมีต่าง ๆ[3]
  • ช่วยต่อต้านโรคภูมิแพ้หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดต่าง ๆ[3]
  • ช่วยลดความเครียด บรรเทาอาการนอนไม่หลับ[2],[3]
  • ช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง[2],[3]
  • ช่วยเพิ่มสมาธิและความสามารถในการเรียนรู้และรับรู้[2],[3]
  • ช่วยเพิ่มการสะสมของโปรตีนและการทำงานของเส้นประสาทในสมอง[2],[3]
  • ช่วยปรับระบบภายในร่างกายให้เกิดความสมดุล[2]
  • ช่วยส่งเสริมกำลังการไหลเวียนของของเหลวภายในร่างกาย[2]
  • ช่วยในการบำบัด[2]
  • ช่วยขจัดความร้อนในร่างกาย[2]
  • ช่วยทำให้ปอดชุ่มชื่นขึ้นและปรับสภาพให้ปอดและร่างกายเย็นลง[2]
  • ช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ[2],[3]
  • ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน[2],[3]
  • ช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเมื่อยล้าของร่างกาย[2],[3]
  • ช่วยทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในขณะทำงานหรือออกกำลังกาย[2],[3]
  • ช่วยทำให้ผนังเซลล์ดูดซึมออกซิเจนได้เพิ่มขึ้น[2],[3]
  • ช่วยทำให้ใช้เวลาในการฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังจากออกกำลังกายหรือผ่านสภาวะกดดัน[2],[3]
  • ช่วยทำให้สตรีที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น[2],[3]

ประโยชน์ของโสมอเมริกา

  • ประเทศทางตะวันออกมีความเชื่อเกี่ยวกับโสมว่าเป็น “ยาครอบจักรวาล” ที่ช่วยเพิ่มพลัง[3]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โสม”. หน้า 791-792.
2. “โสมอเมริกา (PANAX QUINQUEFOLIUM)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.geocities.ws/pnc_piyaporn/. [09 ก.ย. 2014].
3. งานการพยาบาลผู้ป่วยพิเศษทั่วไป, โรงพยาบาลมหาราช นครเชียงใหม่. “สมุนไพรน่ารู้ เรื่อง โสม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th. [09 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.news-medical.net/
2. https://www.thoughtco.com/
3. https://medthai.com/

ต้นเสนียด ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ

0
สีเสียด
สีเสียด เปลือกของต้นใช้เป็นยาแก้บิด เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ใบเรียบสีเขียวมีขน ดอกย่อยขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนหรือสีนวล มีกลิ่นหอม ฝักแบนตรง
สีเสียด
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ใบเรียบสีเขียวมีขน ดอกย่อยขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนหรือสีนวล มีกลิ่นหอม ฝักแบนตรง

เสนียด

เสนียด เป็นไม้กลางแจ้งโตได้ดีในดินร่วนซุยความชื้นปกติพบได้ตามป่าเต็งรัง ชื่อสามัญ Malabar Nut Tree, Vassica, Adhatoda[3] ชื่อวิทยาศาสตร์ Justicia adhatoda L.อยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)[1],[2],[10] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ กระเนียด (ทั่วไป), กุลาขาว บัวลาขาว บัวฮาขาว (ภาคเหนือ), โมรา เสนียดโมรา (ภาคกลาง), กระเหนียด (ภาคใต้), เจี่ยกู่เฉ่า ต้าปั๋วกู่ ยาจุ่ยฮวา (จีนกลาง), ชิตาโหระ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), จะลึ้ม (ปะหล่อง)เป็นต้น[1],[3],[4],[6]

ลักษณะของเสนียด

  • ต้น เป็นไม้พุ่มทึบ แตกกิ่งก้านสาขามากรอบๆต้น มีความสูงราวๆ 1.4-3 เมตร มีขนเล็กน้อยบริเวณยอดกิ่งอ่อน ใช้เมล็ดและการปักชำในการขยายพันธุ์ [1],[3],[4]
  • ดอก ออกบริเวณง่ามใบใกล้กับปลายยอด เป็นดอกช่อ ความยาวของก้านช่อราวๆ 10 เซนติเมตร ดอกมีกลีบสีขาวและมีเส้นสีม่วง ยาวราวๆ 3 เซนติเมตร ลักษณะเป็นปากแยกแบ่งเป็นกลีบบนและกลีบล่าง มี 2 กลีบ ส่วนบนมีรอยแยกสีขาว 2 แฉกและส่วนล่างมีรอยแยกสีขาวปะม่วง 3 แฉก ดอกย่อยมีกลีบดอกสีเขียว มีใบประดับสีเขียวหุ้มซ้อนกันบริเวณดอกเป็นชั้นเดียว กลีบดอกย่อยกว้าง 3 มิลลิเมตร และยาว 1.2-1.4 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ยื่นออกมา 2 อันและมีเกสรตัวเมียที่สั้นกว่า เกสรตัวผู้มีปลายแยกเป็น 2 แฉกเป็นเส้นกลมยาว[1],[3],[4]
  • ใบ เป็นรูปใบหอกหรือรูปรีใหญ่ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน โคนใบเรียวมนรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบมีสีเขียว มีขนอ่อนๆขึ้นปกคลุมทั่วใบ ก้านใบยาว 1-2 เซนติเมตร ใบกว้างราวๆ 4-7 เซนติเมตรและยาวราว ๆ 8-15 เซนติเมตร[1],[3]
  • ผล ออกเป็นฝักมีขน ยาวราวๆ 2 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ 4 เมล็ดใน 1 ฝัก[4] ผลแห้งแตกออกได้ ไม่ติดผล[1]

ประโยชน์ของเสนียด

  • นำต้นมาปลูกบริเวณริมตลิ่ง จะสามารถป้องกันการกัดเซาะได้[6]
  • นำเนื้อไม้มาทำเป็นรั้วได้[6]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • กบที่ได้รับสมุนไพรตำรับ Antiasthma Kada ในขนาด 2.5 และ 25 มก. พบฤทธิ์กดหัวใจ และลดแรงบีบตัวของหัวใจ แต่ให้สารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ อัตรา 1:1 จากใบเข้าทางหลอดเลือดดำของสุนัข ไม่พบการเป็นพิษต่อหัวใจ [10]
  • มีการให้สารสกัดจากใบ ในขนาด 325 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันกับหนูขาวที่ตั้งท้องในระหว่างวันที่ 1-9 ทางสายยาง และให้ใบ ละลายน้ำ 0.25 และ 2.5% แก่หนูขาวพบว่าไม่ทำให้แท้ง แต่เมื่อให้สารสกัดด้วยน้ำจากใบขนาด 175 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทางปากหนูขาวที่ตั้งท้องได้ 10 วัน พบว่าทำให้หนูแท้งได้ 100% ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งพบว่าสาร Vasicine มีฤทธิ์ทำให้หนูตะเภาแท้งได้แต่ไม่มีฤทธิ์ทำให้หนูขาวแท้งโดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตั้งท้อง และก่อนเกิด estradiol priming และมีการศึกษาในผู้ป่วยหลังคลอดปกติ ในวันที่ 2-8 ในโรงพยาบาล โดยให้สาร Vasicine ขนาด 16 มิลลิกรัม พบว่าผู้ป่วยทนต่อสารได้ดี มดลูกมีการบีบตัวดี และไม่มีผลข้างเคียง [10]
  • สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ มีฤทธิ์ในการต้านการฝังตัวของตัวอ่อนของหนูขาวเพศเมียได้ประมาณร้อยละ 60-70[10]
  • นำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืดหอบได้ เนื่องจากสาร Vasicine สามารถทำให้หลอดลมขยายตัว[4]
  • พบสาร Alkaloids ในราก อยู่หลายชนิด เช่น Vasicinol และในดอกและใบพบ Vasicine, Vasicinone ในดอกพบสาร Vasicinine, Betaine, Anisoine, Adhatodine และในใบพบ วิตามินซี,Vasakin เป็นต้น[4]
  • พบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตรา 1:1 จากใบไม่มีพิษต่อเซลล์เพาะเลี้ยง CA-9KB และขนาดของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ร้อยละ 50 มากกว่า 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิกรัม[10]
  • การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อให้สาร Vasicine แก่ลิงและหนูขาวในเวลา 6 เดือนไม่พบพิษ ไม่พบพิษว่าเป็นพิษกับหนูถีบจักรที่ฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตรา 1:1 จากใบ เข้าใต้ผิวหนังหรือทางสายยางในขนาด 10 กรัมต่อกิโลกรัม ไม่พบพิษในหนูขาวเพศผู้ที่กินสมุนไพรตำรับ Antiasthma Kada ในขนาด 100-1,600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ไม่พบว่าเป็นพิษในคนที่กินสารสกัดจากใบในขนาด 20 มิลลิลิตรต่อคน[10]
  • หนูถีบจักรเพศเมียเมื่อได้รับสารสกัดแอลกอฮอล์ สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์และสารสกัดด้วยน้ำจากใบทางปากก่อนการผสมพันธุ์ 7 วัน และ 14 วัน ในระหว่างการผสมพันธุ์ พบว่าไม่มีผลในการทำให้หนูเป็นหมัน[10]
  • สาร Vasicine มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจที่อยู่นอกร่างของหนูและกระต่ายทดลองให้มีการบีบตัวและมีการสูบฉีดหัวใจแรงขึ้นและช่วยลดความดันโลหิตของสุนัขทดลองได้เล็กน้อย[4]
  • ดอกและใบ มีสารอัลคาลอยด์Vasicinone และVasicine ซึ่งช่วยในการขยายหลอดลมและละลายเสมหะได้ โดยยาละลายเสมหะในปัจจุบันคือยา Bromhexine ซึ่งเป็นสารที่สังเคราะห์เลียนแบบโครงสร้างของอัลคาลอยด์จากใบนั่นเอง[2]

สรรพคุณของเสนียด

1. การใช้ต้นสด 60 กรัม, เจ็กลั้ง 30 กรัม, เถ้ากุเสียว 30 กรัม, เจตพังคี 20 กรัมและหญ้าผีเสื้อบิน 20 กรัม นำมารวมคั่วกับเหล้าให้ร้อน สามารถใช้แก้ปวดบวม แก้กระดูกร้าว ฟกช้ำดำเขียว ปวดตามข้อ และอาการเหน็บชาอันเนื่องมาจากลมชื้นได้(ต้น)[4]
2. ใบใช้ทำยาแก้ปวดบวมได้[5] อีกทั้งยังใช้แก้อาการเจ็บปวดข้อได้อีกด้วย[8]
3. ใบทำยาห้ามเลือดได้[1],[2],[3]
4. สามารถแก้ลมผิดเดือนของสตรีได้ โดยการนำใบมาต้มกับน้ำอาบ(ใบ)[7]
5. ต้น ลดอาการระคายเคืองของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารได้ แต่หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ท้องเดินหรืออาเจียนออกมาได้(ต้น,ราก,ใบ,ดอก)[1],[3]
6. มีสรรพคุณในการแก้อาการไอได้(ต้น,ราก,ใบ,ดอก)[1] ใช้น้ำใบสดคั้น 15 มิลลิลิตรผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำขิงสดดื่มจะช่วยในการแก้ไอและขับเสมหะได้(ใบ)[3],[5]
7. สามารถช่วยแก้อาหารหอบหืดได้ โดยนำใบแห้งมาหั่นมวนเป็นบุหรี่สูบ(ใบ)[1],[3],[5] หรือจะใช้ต้น ราก ใบ และดอกเป็นยาแก้หอบหืดก็ได้เช่นกัน(ต้น,ราก,ใบ,ดอก)[1] มีการใช้รากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคหอบหืด โดย ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่(ราก)[6]
8. ทำให้หายใจได้ดีขึ้น เนื่องจากรากมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงปอด(ราก[1],[2], ต้น[7], ทั้งต้น[3])
9. สามารถช่วยแก้วัณโรคได้ โดยใช้รากมาปรุงเป็นยา(ราก[1],[2], ต้น[7], ทั้งต้น[3])
10. ทั้งต้นสามารถใช้อาการแก้ปวดเมื่อย ปวดเอว ปวดเข่า ปวดหลังและเคล็ดขัดยอกได้ (ทั้งต้น)[4]
11. ทำเป็นยาแก้ฝีได้(ต้น,ราก,ใบ,ดอก)[1],[3] และรากยังสามารถทำเป็นยาแก้ฝีภายในได้อีกด้วย(ราก)[8]
12. มีฤทธิ์ในการแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ หรือประจำเดือนมามากเกินไปได้(ทั้งต้น[4], ใบ[8])
13. ใบ ใช้เข้ายากรณีประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ หรือนำมาต้มกับน้ำอาบหลังจากหญิงคลอดบุตรก็ได้(ใบ)[1] สำหรับคนที่ป่วยมาเป็นเวลานาน ไม่ค่อยมีแรงและสตรีหลังคลอดบุตร สามารถใช้ใบหรือรากนำมาต้มกับน้ำอาบจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ชาวปะหล่องมักใช้วิธีนี้กัน(ราก,ใบ)[6]
14. ทำเป็นยาขับเสมหะได้ โดยใช้ต้น ราก ใบ และดอกมาทำ(ต้น,ราก,ใบ,ดอก)[1]
15. ใบ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้[5]
16. ใบ ใช้ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบหลอดลมได้[5]
17. สามารถใช้เป็นยาฟอกเลือด และกระจายเลือดได้(ทั้งต้น)[4] ส่วนใบใช้เข้ายาที่เกี่ยวกับการบำรุงโลหิต[1],[3]

คำเตือน

  • ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากจะทำให้แท้งบุตรได้[4]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เสนียด (Sa Niat)”. หน้า 306.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เสนียด”. หน้า 37.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เสนียด”. หน้า 787-789.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เ ส นี ย ด”. หน้า 558.
5. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “เสนียด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [13 มิ.ย. 2014].
6. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เสนียด”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [13 มิ.ย. 2014].
7. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Justicia adhatoda L.”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรพื้นบ้าน เล่ม 4 หน้า 665. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [13 มิ.ย. 2014].
8. ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร, กรมวิชาการเกษตร. “เ ส นี ย ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th/hrc/chumphon/. [13 มิ.ย. 2014].
9. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เสนียด, MALABAR NUT”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [13 มิ.ย. 2014].
10. ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เ ส นี ย ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/poisonpr/. [13 มิ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.consultaplantas.com/index.php/en/plants-from-d-to-l/2306-justicia-adhatoda-or-malabar-nut-care-and-growing
2. https://twitter.com/StuartWilliams_/status/1023362183470575616
3. https://medthai.com/

สำโรง เปลือกของต้นใช้รักษาโรคไส้เลื่อน

0
สำโรง
สำโรง เปลือกของต้นใช้รักษาโรคไส้เลื่อน เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง สีแดงเข้ม ไร้กลีบดอก ผลอ่อนมีสีเขียว และผลแก่สีแดงหรือสีส้ม ผิวผลเรียบแข็ง ผลแห้งสีน้ำตาลและแข็งเหมือนไม้
สำโรง
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อแยกแขนง สีแดงเข้มไร้กลีบดอก ผลอ่อนมีสีเขียว และผลแก่สีแดงหรือสีส้ม ผิวผลเรียบแข็ง ผลแห้งสีน้ำตาลและแข็งเหมือนไม้

สำโรง

สำโรง พบได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าโปร่งทั่วไป และป่าเบญจพรรณ ชื่อสามัญ Pinari, Bastard poon[1] ชื่อวิทยาศาสตร์ Sterculia foetida L.จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ โหมโรง (ภาคใต้), มะโรง มะโหรง (ปัตตานี), จำมะโฮง (เชียงใหม่)เป็นต้น[1]

ลักษณะของสำโรง

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงราวๆ 15-20 เมตรและมีความสูงมากได้ถึง 30 เมตร ลำต้นตรงไม่คดงอ มีกิ่งก้านที่ขนาดใหญ่น้อยบริเวณส่วนลำต้นและลำต้นสูงชะลูด ทรงพุ่มโปร่ง เรือนยอดเป็นรูปไข่ไปจนถึงรูปทรงกระบอก กิ่งก้านแผ่ออกไปรอบๆตั้งฉากกับลำต้นเป็นระยะๆ ทรงพุ่มเป็นชั้นๆคล้ายฉัตร มีระยะห่างในแต่ละชั้นใกล้เคียงกัน กิ่งก้านจะแตกในความสูงตั้งแต่ 8-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาอาจมีน้ำตาลปน มีลักษณะเรียบและค่อนข้างหนา เห็นร่องรอยแผลของก้านใบที่หลุดลอกรอบต้นได้ชัดเจน ลักษณะเป็นเส้นหยาบๆสีน้ำตาล โคนต้นแก่จะแตกเป็นพูพอนเล็กน้อย เนื้อไม้อ่อนค่อนข้างเหนียวและเป็นไม้หยาบ ใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์[1],[2],[4]
  • ใบ กางแผ่ออกจากจุดเดียว เป็นใบประกอบแบบฝ่ามือออกเรียงเวียนสลับ ใบย่อยเป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรี ขอบใบเรียบ ปลายใบมีติ่งแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม มีใบย่อย 7-8 ใบ ใบยาวราวๆ 10-30 เซนติเมตรและกว้าง 3.5-6 เซนติเมตร แผ่นใบหนาและเกลี้ยง ท้องใบและหลังใบเรียบ แต่ท้องใบจะมีสีที่อ่อนกว่า มีเส้นแขนงอยู่ในแต่ละใบข้างละ 17-21 เส้น ก้านใบยาวราวๆ 13-20 เซนติเมตร[1],[2],[4]
  • ดอก ออกบริเวณปลายกิ่ง เป็นดอกช่อแบบแยกแขนง มีดอกย่อยสีแดงเข้ม ไร้กลีบดอก มีกลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ ส่วนโคนติดกันเป็นรูปถ้วย มีขนละเอียดขึ้นปกคลุม ปลายกลีบม้วนออกแยกเป็น 5 กลีบ โดยดอกที่บานเต็มที่จะมีขนาดราวๆ 2-2.5 เซนติเมตร ดอกจะงอลงด้านล่าง มีเกสรตัวผู้ 12-14 อัน ก้านเกสรสั้นมากติดอยู่กับรังไข่ ดอกมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ช่อดอกจะออกไล่เลี่ยกับการผลิใบอ่อน ดอกจะออกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม [1],[2],[4]
  • ผล เป็นรูปทรงรีหรือรูปไต มีขั้วผลติดเป็นกระจุก 4-5 ผล มีติ่งแหลมบริเวณปลายผลออกเป็นพวกห้อยย้อยลงมา ผลอ่อนมีสีเขียว และผลแก่เป็นสีแดงหรือสีส้ม ผิวผลเรียบแข็ง มีขนาดยาว 8-10 เซนติเมตรและกว้าง 6-9 เซนติเมตร ผลแห้งจะแตกออกเป็น 2 ซีกตามร่องประสาน เปลือกของผลที่แห้งจะมีสีน้ำตาลและลักษณะแข็งเหมือนไม้ มีเมล็ดกลมรีสีดำอยู่ภายใน เมล็ดมีเนื้อในเป็นสีขาว ขนาดกว้างราวๆ 1.3 เซนติเมตร และยาวราวๆ 2.5 เซนติเมตร ใน 1 ผลจะมีเมล็ด 12-13 เมล็ด ผลจะออกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[4]

ประโยชน์ของสำโรง

  • ผลมีรสเผ็ดหวานใช้ในการรับประทานได้ และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดก็ใช้จุดไฟและใช้ปรุงอาหารต่างๆได้ [4]
  • ใช้เนื้อไม้ในการทำเป็นเครื่องเรือน ไม้อัด หีบใส่ของได้ เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อน และเปลือกก็ใช้ในการทำเชือกได้[4]
  • นำมาปลูกเป็นไม้ประดับได้เนื่องจากต้นสำโรงมีรูปทรง ผล ใบ ที่สวยงาม โดยมักจะใช้ปลูกตามริมถนน โรงเรียน วัด จะให้ร่มเงาและความแปลกตาได้ แต่ไม่นิยมปลูกไว้บริเวณเขตที่พักอาศัยเนื่องจากดอกมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

สรรพคุณของสำโรง

1. เมล็ด ใช้ในการรักษาบาดแผลได้ (เมล็ด)[3],[3]
2. ใช้ผลและเปลือกผลมาปรุงเป็นยากินแก้โรคไตพิการได้ เนื่องจากมีรสฝาด (ผล,เปลือกผล)[1],[2]
3. เปลือกผลใช้ในการรักษาอาการปัสสาวะพิการได้[1],[2]
4. สามารถช่วยแก้อาการบวมน้ำได้โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำกิน(เปลือกต้น)[1],[2]
5. เปลือกผล แก้อาการลำไส้พิการได้ (เปลือกผล)[1],[2]
6. ผล ช่วยในการสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งยังเป็นยาแก้ท้องร่วงได้(ผล)[1],[2],[3] และน้ำที่ได้จากผลยังเป็นยาสมานท้อง (น้ำจากเปลือกผล)[1]
7. ใช้ในการแก้กระหายน้ำได้ (เปลือกหุ้มเมล็ด)[3]
8. เปลือกต้นมีสรรพคุณในการแก้ลมและโลหิตพิการได้(เปลือกต้น)[2]
9. ใช้แก้โรคปวดข้อได้ โดยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำกิน(เปลือกต้น)[1],[2]
10. ใช้น้ำที่ได้จากเปลือกผล มารักษาโรคไตได้(น้ำจากเปลือกผล)[1]
11. ใช้เปลือกต้นในการรักษาโรคไส้เลื่อนได้ โดยนำเปลือกต้นมาฝนกับฝากระเบื้องดินเผา และผสมกับน้ำปูนใส โดยฝนจนเป็นน้ำข้น จากนั้นนำมาทาลูกอัณฑะบริเวณที่บวมได้ไม่นาน ติดต่อกัน 30 วันวันละหลายครั้งๆจะช่วยทำให้ถุงอัณฑะหดตัว(ตำรายาสมุนไพร หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า) (เปลือกต้น)[5]
12. เปลือกต้น ช่วยในการปัสสาวะได้ (เปลือกต้น)[1],[2],[3]
13. เปลือกต้น,เมล็ดเป็นยาระบายอ่อน ๆ [1],[2],[3]
14. ใช้เปลือกต้น ในการแก้บิดปิดธาตุได้[1]
15. ใช้เปลือกช่วยในการละลายเสมหะได้[4]
16. เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยในการขับเหงื่อ[1],[2]
17. ใช้เป็นยากล่อมเสมหะและอาจมได้ โดยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำกิน(เปลือกต้น)[1],[2]
18. ใบสามารถใช้เป็นยาระบายได้(ใบ)[1],[3]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สำโรง (Sam Rong)”. หน้า 303.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “สำโรง”. หน้า 183.
3. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “สำโรง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [12 มิ.ย. 2014].
4. พรรณไม้บริเวณสวนสมุนไพรสาธิต, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สำโรง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/. [12 มิ.ย. 2014].
5. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.cabidigitallibrary.org/
2. https://www.monaconatureencyclopedia.com/

สีเสียด เปลือกของต้นใช้เป็นยาแก้บิด

0
สีเสียด เปลือกของต้นใช้เป็นยาแก้บิด เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ใบเรียบสีเขียวมีขน ดอกย่อยขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนหรือสีนวล มีกลิ่นหอม ฝักแบนตรง
สีเสียด
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ใบเรียบสีเขียวมีขน ดอกย่อยขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนหรือสีนวล มีกลิ่นหอม ฝักแบน

สีเสียด

สีเสียด พบกระจายพันธุ์อยู่ในแถบเอเชียเช่น จีน อินเดีย และบริเวณ มหาสมุทรอินเดีย ผู้คนมักใช้มาทำเป็นยาโดยนำแก่นต้นมาสับแล้วต้มและเคี่ยว จากนั้นระเหยน้ำที่ต้ม จะได้ของแข็งเป็นก้อนสีน้ำตาลดำออกมา สามารถใช้ในการต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อเกิดอาการท้องร่วงได้ (Escherichia coli) ส่วนเมล็ดนั้นใช้เป็นแหล่งของโปรตีน ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia catechu จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (LEGUMINOSAE) ชื่อสามัญ Catechu tree, Cutch tree[1], Cutch, Black Catechu[6] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ สีเสียด สีเสียดไทย สีเสียดเหนือ สีเสียดเหลือง สีเสียดหลวง สีเสียดลาว และยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดกำแพงเพชรอีกด้วย

ลักษณะสีเสียด

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร กิ่งมีหนามเป็นคู่ ลำต้นมีเปลือกเป็นสีเทาดำ ผิวเปลือกมีความขรุขระสามารถลอกเปลือกผิวออกมาได้ เปลือกในเป็นสีแดง เป็นไม้กลางแจ้ง สามารถทนต่อแสงแดดและความแห้งแล้งได้ดีเติบโตได้ในดินทุกสภาพ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ต้องการน้ำในระดับปานกลางและไม่ชอบน้ำขัง พบขึ้นทั่วไปใน ป่าโปร่งภาคเหนือ ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ตามพื้นที่ราบและที่แห้งแล้งทั่วไป[1],[2],[3],[7]
  • ใบ ลักษณะรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบเบี้ยว แผ่นใบเรียบสีเขียวมีขนขึ้นประปราย ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดเล็กเป็นฝอยแบบเดียวกับใบกระถิน ใบออกตรงข้ามกัน 20 – 50 คู่ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นออกเรียงสลับ ยาวประมาณ 9-17 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบเรียบ ไม่มีก้าน[1],[2],[3]
  • ดอก เป็นช่อแบบก้านธูปหรือรูปทรงกระบอกยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็กมีสีเหลืองอ่อนหรือสีนวล มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกย่อยมีจำนวนมากอัดกันแน่น รวมกันเป็นช่อยาวคล้ายหางกระรอก ไม่มีกลีบดอก กลีบรองดอกมีสีเขียวนวล มีกลีบที่ยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตรอยู่ 5 กลีบติดกันที่ฐาน ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเป็นเส้นเล็ก ๆ สีขาวก้านเกสรไม่ติดกัน[1],[2],[3] ดอกมักจะออกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม[6]
  • ผล เป็นฝักแบนตรง กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ปลายและโคนของฝักเรียวแหลม ผิวมันเรียบ เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลดำและแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีขนาดเล็กสีน้ำตาลเป็นมัน ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปแบน เมล็ดภายในฝักมีประมาณ 3-7 เมล็ด (เมล็ดจำนวน 1,000 เมล็ด จะมีน้ำหนักประมาณ 65 กรัม)[1],[2],[3],[9] จะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม[6]
  • ก้อนสีเสียด คือยางที่ได้จากการนำแก่นต้น สับให้เป็นชิ้นๆ แล้วต้มและเคี่ยวจะได้ยางที่มีลักษณะเหนียวสีน้ำตาลดำ จากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อน ทิ้งไว้จนแห้งแข็งเก็บไว้ใช้นำมาบดหรือต้มรับประทานเป็นยาได้ จะมีรสขมและฝาดจัด ไม่มีกลิ่น[1],[2],[8],[9]

ประโยชน์ของสีเสียด

1. สามารถนำไม้จากต้นมาใช้ทำเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมากๆได้ เช่น เสา คาน สะพาน หรือใช้ทำด้ามมีด ด้ามพร้าได้[7] อีกทั้งยังสามารถนำไม้มาทำเป็นถ่านสำหรับหุงอาหาร และเยื่อไม้สามารถเอามาทำแผ่นไม้อัดได้ด้วยแต่ต้องสกัดเอายางออกก่อน[9]
2. ทั้งต้น ใช้เลี้ยงครั่งได้ และใบใช้เป็นอาหารสัตว์ประเภท วัว ควายได้[9]
3. สามารถปลูกไว้เป็นไม้ประดับหรือเพื่อผลิตก้อนในการค้าได้ อินเดียและพม่าจะปลูกเป็นสวนป่าเพื่อการค้าเป็นหลัก[9]
4. สามารถทำอุตสาหกรรมย้อมผ้าและฟอกหนังสัตว์ โดยการนำเปลือกต้นและก้อนยางมาใช้[2],[6]
โดยแก่นจะให้สีน้ำตาล ที่สามารถนำมาใช้ย้อมผ้า แห อวน และหนังได้ สามารถย้อมสีเส้นไหมจากการใช้เปลือกต้นมาทำ โดยนำมาสับเป็นชิ้นๆ ต้มสกัดสีกับน้ำในอัตราส่วน 1:2 (เปลือก 15 กก. ย้อมเส้นไหมได้ 1 กก.) ต้มนาน 1 ชั่วโมง และนำมาย้อมร้อน สุดท้ายนำเส้นไหมมาแช่ในสารละลายสารช่วยติดสี จุนสี และสารส้ม ก็จะได้เส้นไหมที่มีสีน้ำตาล (สีที่ได้จะไม่อ่อนลงหากนำไปซัก และไม่ทนต่อแสงมาก)[5]
5. สามารถใช้แก่นไม้มาเคี้ยวกินกับหมาก โดยชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่มักจะทำกัน[9]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สามารถใช้สารสกัดมาเป็นยาบำรุงและรักษาโรคข้อได้ โดยส่วนผสมของสารสกัดมี baicalin จาก Scutellaria baicalensis และ (+)-catechin และ epicatechin อยู่ โดยจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเลือดของคนที่มีสุขภาพดีที่ได้รับสารสกัดนี้เมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาโรคเดียวกัน[10]
  • สารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำมีฤทธิ์ยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli สารสกัดด้วยเมทานอลออกฤทธิ์ยับยั้ง Salmonella typhi สายพันธุ์ที่ดื้อยาได้ปานกลาง มีข้อมูลพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 0.2 กรัมต่อมิลลิลิตร มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ B. subtilis และ S. typhimurium ได้ปานกลาง ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากลำต้นที่ความเข้มข้น £ 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ B. subtilis, E. coli และ Salmonella typhimurium[10]
  • มีสารกลุ่มแทนนินที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ฤทธิ์ต้านเชื้อบิด มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านออกซิเดชัน ยับยั้งการบีบตัวของลำไส้ และต้านการก่อกลายพันธุ์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อเกิดอาการท้องร่วง (Escherichia coli)[8]
  • ทั้งต้นมีสาร Epicatechin, ใบมีสาร -(+)-Chatechin, Isoacacatechol, Tannins isoacacatechol acetate, เปลือกต้นพบสารจำพวก Catechol, Gallic acid, Tannin, แก่นมีสาร Catechin, Dicatechin, 3′ ,4′ ,7′ , -Tri-O-methyl catechin, 3′ ,4′ ,5 , 5′ , 7-sPenta-O-methyl gallocatechin[3],[4]
  • การทดลองความเป็นพิษในสัตว์ทดลองเทียบกับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรัง ไม่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติ และไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับยีน แต่การฉีดสารสกัดจากลำต้นด้วยแอลกอฮอล์กับน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่ามีความเป็นพิษ[10]
  • สารสกัดยางด้วยคลอโรฟอร์มเข้มข้น 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถยับยั้งเชื้อ S. aureus ได้ ในขณะที่สารสกัดด้วยน้ำเข้มข้น 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถยับยั้งเชื้อ B. subtilisได้ สารสกัดจากยางด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Pseudomonas aeruginosa ที่ความเข้มข้น 10 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร[10]
  • สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สายพันธุ์ ATCC 25923 และสายพันธุ์ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ methicillin (MRSA) ได้ดี โดยการใช้สารสกัดจากเนื้อไม้ด้วยน้ำและด้วยแอลกอฮอล์[10]
  • องค์ประกอบทางเคมีของสารในกลุ่ม tannins เช่น epigallocatechin-3-O-gallate, catecchin,acacatechin 2-10%, catechu red, epicatechin, catechutannic acid 20-35%, epicatechin-3-O-gallate, protocatechu tannins, phlobatannin, pyrogallic tannins และสารในกลุ่ม flavonoids เช่น fisetin flavanol dimers , quercetagetin, quercetin [8]

สรรพคุณของสีเสียด

1. สามารถช่วยป้องกันปูนกัดปากได้ โดยใช้ใส่ปูนที่จะรับประทานกับหมากและพลู[6]
2. มีสรรพคุณในการช่วยรักษาแผลที่น้ำกัดเท้าได้ โดยใช้ก้อนยางมาฝนกับน้ำให้ข้นหรือใช้ผงผสมกับน้ำมันพืชทาบริเวณแผล (ก้อนยาง)[6] และเมล็ดก็สามารถนำมาฝนทารักษาแผลน้ำกัดเท้าได้เช่นกัน (เมล็ด)[4]
3. สามารถรักษาโรคผิวหนังได้โดย ใช้เป็นยาทาภายนอก (แก่น, ก้อนยาง)[1],[2]
4. ผงนำมาละลายกับน้ำใช้ใส่แผลสดสามารถเป็นยาห้ามเลือดได้ (ผง)[6],[9]
5. ใช้เป็นยาแก้บิดได้โดยการนำเปลือกต้นผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ (เปลือกต้น)[1],[3],[4]
6. มีสรรพคุณในการช่วยแก้อาการท้องเสียเรื้อรัง ลำไส้อักเสบได้(ก้อนยาง)[8]
7. ช่วยรักษาแผลในลำคอ และใช้รักษาเหงือก ลิ้น และฟันได้ (ก้อนยาง)[7],[9]
8. สามารถใช้เป็นยาแก้อาการไอ แก้ไข้จับสั่นได้(ก้อนยาง)[7]
9. ใช้ปรุงเป็นยาแก้ธาตุพิการได้ โดยการนำเปลือกต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น (เปลือกต้น)[3] สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุและแก้อติสารได้ (ก้อนยาง)[9]
10. มีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อได้ เช่นท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้และการอุจจาระไม่เป็นมูกหรือมีเลือดปน (ก้อนยาง)[8]
11. สามารถใช้เป็นยาระงับเชื้อได้โดยการนำเปลือกต้นนำมาต้มใช้น้ำที่ต้มเป็นยาระงับเชื้อ หรือจะใช้ก้อนมาบดหรือต้มเป็นยาทาก็ได้(เปลือกต้น, ก้อนยาง)[9]
12. ใช้เป็นยาทาแก้โรคหิดได้ โดยการนำเมล็ดที่อยู่ในฝักมาฝนทา(เมล็ด)[3],[4]
13. ใช้เปลือกต้นเป็นยาชะล้างบาดแผล ล้างแผลหัวนมแตก แก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง แผลหัวแตก เป็นยาสมานแผลได้(เปลือกต้น)[1],[3],[4] ส่วนแก่นใช้เป็นยารักษาบาดแผล (แก่น)[1],[2] อีกทั้งก้อนยางสามารถนำมาใช้เป็นยาทา สมานบาดแผล หรือรักษาบาดแผล ล้างแผลที่ถูกไฟไหม้ ทำให้แผลหายเร็วได้เช่นกัน (ก้อนยาง)[1],[3],[8]
14. สามารถใช้ในการรักษาโรคริดสีดวงได้ (ก้อนยาง)[8]
15. ใช้กินเป็นยาแก้ท้องร่วงได้ ส่วนแก่นมีสารแทนนินทำให้มีฤทธิ์ฝาดสมาน (แก่น, เปลือกต้น, ก้อนยาง)[1],[2],[3] มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วงอย่างแรงได้ โดยการใช้ส่วนเปลือกต้นมาทำ(เปลือกต้น)[1]
16. การใช้ก้อนมาบดให้เป็นผงประมาณ 1/3-1/2 ช้อนชาแล้วต้มเอาน้ำดื่มให้หมดใน 1 ครั้ง ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร จะทำให้เป็นยาแก้อาการท้องเดินได้ ส่วนเปลือกต้นก็สามารถแก้ท้องเดินได้เช่นเดียวกัน (ก้อนยาง, เปลือกต้น)[3],[4],[8] ถ้าท้องเดินมากให้ใช้ผงผสมกับผงอบเชย อย่างละเท่ากันมา 1 กรัมแล้วนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมงรับประทานครั้งละ 4 ช้อนแกง วันละ 3 ครั้ง (ผง)[6]
17. สามารถช่วยห้ามเลือดที่ออกจากจมูก แก้ปากที่เป็นแผล หรืออาการเจ็บที่มีเลือดออกได้(ก้อนยาง)[8],[9]
18. สามารถปิดธาตุ คุมธาตุ แก้อาการลงแดงได้ โดยใช้ก้อนยางและเปลือกต้นมาทำ(เปลือกต้น, ก้อนยาง)[1]
19. สามารถแก้บิดมูกเลือดได้ (ก้อนยาง)[1]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สี เสียด เหนือ (Sisiad Nuea)”. หน้า 305.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สี เสียด เหนือ Catechu Tree / Cutch Tree”. หน้า 32.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สีเสียดเหนือ”. หน้า 784-785.
4. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สี เสียด เหนือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [08 ต.ค. 2014].
5. พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “สี เสียด เหนือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : qsds.go.th/webtreecolor/. [08 ต.ค. 2014].
6. ไทยเกษตรศาสตร์. “สีเสียดเหนือมีประโยชน์อย่างไร”. อ้างอิงใน : ศาสตราจารย์พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [08 ต.ค. 2014].
7. พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “สี เสียด แก่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th. [08 ต.ค. 2014].
8. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “สี เสียด ไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [08 ต.ค. 2014].
9. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “สี เสียด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [08 ต.ค. 2014].
10. สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “สี เสียด”. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/. [08 ต.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://indiabiodiversity.org/
2. https://www.flickr.com/
3. https://medthai.com/

ต้นสาบแร้งสาบกา ช่วยในการขับเสมหะ

0
สาบแร้งสาบกา
ต้นสาบแร้งสาบกา ช่วยในการขับเสมหะ เป็นวัชพืชล้มลุก ใบเดี่ยวรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ดอกมีสีม่วงน้ำเงินหรือขาว ผลทรงกระบอกปลายแหลมเป็นเส้น
สาบแร้งสาบกา
เป็นวัชพืชล้มลุก ใบเดี่ยวรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ดอกมีสีม่วงน้ำเงินหรือขาว ผลทรงกระบอกปลายแหลมเป็นเส้น

สาบแร้งสาบกา

สาบแร้งสาบกา เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของอเมริกาเขตร้อนกลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ในปัจจุบันพบขึ้นทั่วไปตามริมถนน ชายป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ทุ่งหญ้า ชื่อสามัญ Goat Weed[1] ชื่อวิทยาศาสตร์ Ageratum conyzoides (L.) L. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)[1] พบมีขึ้นตามธรรมชาติในที่รกร้างข้างทางทั่วไป มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศไทยคือ หญ้าสาบแฮ้ง (เชียงใหม่), หญ้าสาบแร้ง (ราชบุรี), ตับเสือเล็ก (สิงห์บุรี) เทียมแม่ฮาง (เลย), เซ้งอั่งโซว (จีนแต้จิ๋ว), เซิ่งหงจี้ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของสาบแร้งสาบกา

  • ต้น เป็นวัชพืชเป็นไม้ล้มลุกปีเดียว สูง 1-2 ฟุต กิ่งก้านเป็นสีเขียวอมม่วงเล็กน้อย ทั้งต้นมีขนสีขาวปกคลุม มีกลิ่นเฉพาะตัว สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด[1],[2]
  • ใบ ออกเป็นใบเดี่ยวรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย เรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ แต่ส่วนยอดจะเรียงสลับกัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-5.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-13 เซนติเมตร ก้านใบยาวประมาณ 7-26 มิลลิเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวและมีขนอ่อนๆขึ้นปกคลุมอยู่ ก้านใบมีขนปกคลุมตลอดทั้งก้าน[1],[2]
  • ดอก ดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของต้น ช่อหนึ่งจะมีดอกขนาดเล็กประมาณ 6 มิลลิเมตร มีสีม่วงน้ำเงินหรือขาวและอัดตัวกันแน่นเป็นจำนวนมาก กลีบดอกมีขนาดเล็กเป็นหลอดเส้น ๆ ปลายแหลม เรียงซ้อนกัน 2-3 ชั้น มีขนบริเวณหลังกลีบดอกเล็กน้อย ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน อยู่ที่ใจกลางของดอก ส่วนปลายมีรอยแยกเป็น 5 กลีบ[1],[2]
  • ผล เป็นรูปเส้นตรงสีดำมีขนาดเล็ก ลักษณะของผลเป็นรูปคล้ายทรงกระบอกปลายแหลมเป็นเส้น มีร่อง 5 ร่อง[1],[2]

สรรพคุณของสาบแร้งสาบกา

1. ใบ สามารถเป็นยาแก้อาการปวดบวมได้ โดยใช้ทาภายนอก (ใบ)[1]
2. นำใบสดนำมาผสมกับน้ำตาลทรายแดง จากนั้นนำมาตำรวมกัน ใช้พอกบริเวณที่เป็นแผลเรื้อรังหรือมีหนองจะสามารถช่วยรักษาได้(ใบ)[1]
3. สามารถทำเป็นยาแก้อาการอักเสบจากพิษงู ตะขาบ แมงป่อง หรือแมลงได้ โดยการใช้รากและใบตำพอกและคั้นเอาน้ำมาใช้(รากและใบ)[3]
4. ใช้ยอดและใบนำมาตำแล้วพอกบริเวณแผลฟกช้ำ แผลสด แผลถลอก มีเลือดออก สามารถช่วยรักษาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดได้อีกด้วย(ใบ)[1],[3]
5. ใช้เป็นยาขับระดูของสตรีได้ (ทั้งต้น)[1],[3]
6. ใช้เป็นยาขับนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ (ทั้งต้น)[2]
7. ใช้เป็นยาแก้บิดได้ (ทั้งต้น)[1],[3]
8. ใช้ยาแห้งนำมาคั่วให้เหลือง แล้วบดให้เป็นผง ใช้ครั้งละ 1.5-2 กรัม นำมาชงกับน้ำดื่มสามารถช่วยรักษาอาการปวดกระเพาะ ปวดท้อง กระเพาะลำไส้อักเสบ จุกเสียดแน่นท้องได้(ทั้งต้น)[2]
9. ทั้งต้นสามารถใช้เป็นยาแก้ลมได้ (ทั้งต้น)[1],[3]
10. ใช้ใบสด 120 กรัม และกากเมล็ดชา 15 กรัม นำมาผสมกันแล้วตำพอกปากที่เป็นแผล[1]
11. สามารถทำเป็นยาหยอดตาแก้อาการตาเจ็บได้ โดยการใช้น้ำที่คั้นจากใบมาทำ(ใบ)[1],[3]
12. การดื่มน้ำที่คั้นจากใบสามารถช่วยทำให้อาเจียนได้ (ใบ)[1],[3]
13. ใช้ใบสดประมาณ 60 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน จะสามารถใช้รักษาไข้หวัดได้ส่วนรากและทั้งต้นก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้เช่นกัน (ใบ, ราก, ทั้งต้น)[1] และอีกวิธีคือให้ใช้ต้นสดประมาณ 70 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม จะสามารถใช้เป็นยาแก้หวัดตัวร้อนได้(ต้น)[2]
14. ใช้ใบสดนำมาตำพอกบริเวณข้อหรือกระดูกที่ปวด จะสามารถช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้(ใบ)[1]
15. การใช้ใบสดประมาณ 120 กรัม และกากเมล็ดชา 15 กรัม นำมาผสมกันแล้วตำพอกบริเวณตาปลาที่อักเสบ จะสามารถช่วยรักษาอาการอักเสบได้(ใบ)[1]
16. หากเกิดผดผื่นคันสามารถใช้ใบ มาตำพอกบริเวณที่คัน จะสามารถช่วยรักษาอาการคันได้(ใบ, ทั้งต้น)[1],[2]
17. ใบสดและยอดใช้รักษาแผลเรื้อรังที่เนื้อเยื่อเมือกบวมอักเสบได้ ด้วยการนำมาล้างน้ำ ผสมกับเกลือและข้าวหมัก ตำให้เข้ากัน ใช้พอกบริเวณที่เป็น (ใบ)[1]
18. ใช้เป็นยาแก้สตรีตกเลือดได้ (ทั้งต้น)[2]
19. ช่วยแก้อาการช่องท้องทวารหนักหย่อนยานได้(ทั้งต้น)[1]
20. สามารถใช้ส่วนรากมาทำเป็นยา ยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนนิ่วได้ (ราก)[1]
21. ชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว และมูเซอ ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้อง อาหารเป็นพิษ อาหารไม่ย่อย รวมถึงโรคกระเพาะอาหาร โดยการใช้รากและใบนำมาเคี้ยวกิน หรือต้มกับน้ำดื่ม(รากและใบ)[3]
22. ช่วยแก้อาการท้องขึ้นอืดเฟ้อได้ โดยใช้ใบมาทาภายนอก(ใบ)[1]
23. รักษาอาการคออักเสบได้ โดยการใช้ใบสดประมาณ 30-60 กรัม นำมาล้างให้สะอาด แล้วคั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำตาลกรวด ใช้รับประทานวันละ 3 ครั้ง (ใบ)[1] สามารถใช้เป็นยาแก้คอเจ็บ คออักเสบปวดบวม ต่อมทอนซิลอักเสบ ทางเดินหายใจติดเชื้อได้ (ทั้งต้น)[2]
24. ใช้ยอดสด นำมาคั้นเอาแต่น้ำแล้วนำมาใช้หยอดหูสามารถใช้รักษาหูชั้นกลางอักเสบได้(ใบ)[1] สามารถแก้หูน้ำหนวกได้ (ทั้งต้น)[2]
25. ชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว และมูเซอจะทำยาแก้อาการปวดศีรษะ ยาแก้ไข้ ด้วยการใช้รากและใบนำมาต้มกับน้ำดื่ม(รากและใบ)[3]
26. ช่วยในการขับเสมหะได้ (ทั้งต้น)[3]
27. ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ เพราะทั้งต้นมีรสเผ็ดขม เป็นยาสุขุม (ทั้งต้น)[2]

วิธีใช้ : ยาสดนำมาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือ ใช้ตำพอกรักษาแผลภายนอก
ส่วนยาแห้งนำมาบดเป็นผงใช้โรยตามแผล[2] ยาสดให้ใช้ครั้งละ 35-70 กรัม ส่วนยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 15-35 กรัม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. พบ สารจำพวกน้ำมันระเหย มีกรดอินทรีย์, กรดอะมิโน, โพแทสเซียมคลอไรด์, อัลคาลอยด์, ฟลาโวนอยด์, Ageratochromene, coumarin, β-Sitosterol, friedelin, stigmasterol ได้ทั้งต้น[1],[2]
2. สารสกัดแอลกอฮอล์และน้ำต้มจากทั้งต้นหรือรากมีฤทธิ์ระงับอาการปวด โดยมีความรุนแรงเท่ากับมอร์ฟีน ทราบผลได้จากการทดลองในสัตว์ทดลอง แต่ก็ควรมีการศึกษาวิจัยต่อไป[3]
3. ทั้งต้นมีสารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Staphylococcus aureus[1],[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สาบแร้งสาบกา”. หน้า 777-779.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “สาบแร้งสาบกา”. หน้า 522.
3. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สาบแร้งสาบกา”. หน้า 33.
4. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org/
2. https://www.jatiluhuronline.com/

ต้นสะพ้านก๊น ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

0
สะพ้านก๊น
ต้นสะพ้านก๊น ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตรง ช่อดอกคล้ายกับรูปซี่ร่ม สีขาวเหลือง ผลอ่อนเป็นสีเขียว สุกแล้วจะเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีแดง ผลแก่จะเป็นสีแดงจนถึงสีดำ
สะพ้านก๊น
เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตรง ช่อดอกคล้ายกับรูปซี่ร่ม สีขาวเหลือง ผลอ่อนเป็นสีเขียว สุกแล้วจะเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีแดง ผลแก่จะเป็นสีแดงจนถึงสีดำ

สะพ้านก๊น

สะพ้านก๊น จัดเป็นพรรณไม้พุ่ม พบขึ้นตามชายป่าทั่วไปเขตการกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อสามัญ Javanese Elder[2] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sambucus javanica Blume จัดอยู่ในวงศ์ ADOXACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ โป่ทีโด๊ะ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่),พวงไข่มุก (ภาคเหนือ),แป่โลเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), เปร่เส้า (ม้ง),ไม้ขี้ป้าน หมากอูนเทิ้น(ไทใหญ่),เชียลิ่ ลู่อิง เจียกู่เฉ่า (จีนกลาง) [1],[2],[3]

ลักษณะของสะพ้านก๊น

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง มีการแตกกิ่งก้านสาขามากมาย มีผิวเรียบไร้ขน มีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ตามกิ่งก้านมีสีเขียวเข้มและเป็นเหลี่ยม กิ่งแก่ไม่มีขนส่วนกิ่งอ่อนมีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย ตามกิ่งมีข้อสีแดงอ่อน รากมีลักษณะกลมและคดงอ มีรากแก้วใหญ่และรากฝอย เนื้อในมีสีขาวเหลือง มีร่องประมาณ 7-8 ร่อง เปลือกเป็นสีเลี่ยมอ่อน สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความร่วนซุยความชื้นปานกลาง [1],[2],[3],[4]
  • ดอก มีลักษณะช่อดอกคล้ายกับรูปซี่ร่ม ออกดอกเป็นช่อๆบริเวณส่วนยอดของกิ่ง ช่อมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 เซนติเมตรและจะมีขนสั้นๆ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบทุกๆกลีบจะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีดอกย่อยขนาดเล็ก สีของดอกย่อยจะมีสีขาวออกเหลืองอ่อนๆ ดอกหนึ่งจะมีอยู่ 5 กลีบเป็นรูปกลมรีปลายแหลม มีเกสรเพศเมีย 1 อันยื่นออกมาข้างกลีบดอกและมีเกสรเพศผู้ติดอยู่สั้นๆ 5 อัน[1],[2]
  • ใบ เป็นใบประกอบขนนกปลายคี่ ลักษณะของใบเป็นรูปแบบขนนกแต่จะใหญ่มากกว่า ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรียาวปลายแหลม ในก้านหนึ่งจะมีใบย่อยประมาณ 5-9 ใบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 8-18 เซนติเมตรและกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ส่วนท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน หลังใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบมันไม่มีขน ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ไม่มีหูใบ เมื่อนำใบมาขยี้จะมีกลิ่นเหม็น[1],[2]
  • ผล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีลักษณะกลมรูปไข่ ผลที่สุกแล้วจะเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีแดง ผลอ่อนเป็นสีเขียวส่วนผลแก่จะเป็นสีแดงจนถึงสีดำ เมล็ดเดี่ยวรูปไข่[1],[2],[3]

ประโยชน์ของสะพ้านก๊น

  • ผลถูกนำมาทำเป็นของเล่นโดยชาวม้ง โดยการนำมาใส่ในกระบอกไม้ไผ่แล้วอัดทำให้เกิดเสียงดัง[3]
  • ดอก ถูกชาวลั้วะนำไปวัดหรือบูชาพระ[3]

สรรพคุณของสะพ้านก๊น

1. สามารถใช้ต้นและรากเป็นยาแก้ปวดข้อ บรรเทาอาการปวดในกระดูกที่หักและช่วยต่อกระดูกได้(ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2] หรือจะใช้ใบสดและยอดมาพอกบริเวณที่กระดูกหักได้เช่นกัน(ใบ)[4] บางพื้นที่อาจใช้ใบร่วมกับต้นหญ้าเอ็นยืดใช้ประคบบริเวณที่กระดูกเคลื่อน (ใบ)[3] ใช้ทั้งต้นนำมาต้มรวมกับไมยราบแล้วใช้ผ้าชุบน้ำประคบบริเวณที่กระดูกหัก (ทั้งต้น)[3] ใช้ใบนำมาอังไฟ ประคบรักษากระดูกหัก กระดูกเคลื่อน (ใบ)[3]
2. ผงของราก ตำกับหัวหอมใหญ่ แล้วนำมาคั่วกับเหล้าสามารถช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ฟกช้ำดำเขียวจากการกระแทก เคล็ดขัดยอกได้ โดยการใช้พอกบริเวณที่เป็น (ราก)[2] หรือจะใช้ยอดและใบสดนำมาตำพอกบริเวณที่มีอาการก็ได้หรือนำใบสดมาปูนอนแก้อาการปวดเมื่อยก็ทำได้ (ใบ)[4]ในบางพื้นที่จะใช้ใบนำมาย่างกับไฟแล้วนำไปประคบบริเวณที่มีอาการปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด (ใบ)[3]
3. ใช้ผลสด มาตำให้ช้ำแล้วถูทาบริเวณที่เป็นสามารถใช้เป็นยาแก้โรคหูดได้(ผล)[1]
4. สามารถใช้ใบนำมาบดกับน้ำเป็นยาทาแก้อาการอักเสบได้(ใบ)[5]
5. ใช้เป็นยาแก้โรคดีซ่านได้ (ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2]
6. สามารถใช้รากสด มาช่วยแก้ตัวบวมน้ำ รวมถึงอาการนั่งนอนไม่สบาย ด้วยการนำมาลอกเปลือกออกแล้วนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ 1 ถ้วยผสมกับเหล้า 1 ถ้วยอุ่น ใช้ทานเป็นยาตอนท้องว่าง(ราก)[1],[2] และสามารถใช้รากนำมาต้มให้สตรีที่เพิ่งคลอดลูกใหม่กิน รักษาอาการหน้าบวม ตัวบวม เป็นยาแก้หรือบำรุงกำลัง (ราก)[4] ส่วนชาวกะเหรี่ยงแดงนั้นจะใช้ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำอาบเพื่อแก้อาการตัวบวม (ทั้งต้น)[3]
7. สามารถใช้รากสดประมาณ 90-120 กรัมนำมาตุ๋นกับกระเพาะหมู ใช้รับประทานเป็นยาติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน แก้โลหิตไหลออกจากทวารทั้งห้าได้ (ราก)[1]
8. ผล ช่วยทำให้ถ่ายท้อง ใช้กินเป็นยาระบายได้ (ผล)[5]
9. ต้นและราก ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรังได้ (ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2]
10. สามารถใช้ราก ร่วมกับพืชชนิดอื่นเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียได้ (ราก)[4]
11. ทั้งต้นนั้นเป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อตับและไต ใช้เป็นยาฟอกเลือด กระจายเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี (ต้นและราก,ทั้งต้น)[1],[2]
12. สามารถใช้ก้านและใบมาแก้อาการชักได้ โดยการนำมาขยี้ให้คนไข้ดม (ก้านและใบ)[5]
13. ชาวปะหล่องและชาวไทใหญ่จะใช้ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำให้สตรีที่คลอดลูกใหม่ๆอาบ เพื่อช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว สบายเนื้อสบายตัว แก้อาการปวดเอวและปวดหลัง (ทั้งต้น)[3] คนเมืองจะใช้รากนำมาต้มรวมกับรากกล้วยเป็นยาแก้อาการปวดหลังปวดเอวหรือแก้ลมผิดเดือน หลังการคลอดบุตรของสตรี (ราก)[3] ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่ จะใช้ใบนำมาอังกับไฟ ใช้นวดบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย และให้ผู้หญิงคลอดบุตรแล้วอยู่ไฟด้วยการมานั่งทับใบอุ่น (ราก, ใบ)[3]
14. ทั้งต้น สามารถใช้ภายนอกเป็นยาแก้ปวดบวม ฝีหนองได้(ทั้งต้น)[2]
15. ใช้ทั้งต้นนำมาต้มแล้วเอาน้ำชะล้างสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังผดผื่นคัน ผดผื่นคันมีน้ำเหลือง ติดเชื้อไวรัสบริเวณผิวหนังได้(ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2],[5]
16. ใช้ใบหรือรากสดนำมาหั่นเป็นฝอย ๆ ตำให้ละเอียด ใช้ผสมกับไข่ขาวเล็กน้อยคลุกให้เข้ากันสามารถใช้รักษาแผลบวมแดงอักเสบได้ ด้วยการนำมาทาบริเวณที่เป็นหรือจะใช้พอกเลยก็ได้ (ราก, ใบ)[1]
17. สามารถใช้ต้นแห้งประมาณ 12-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา ช่วยแก้ไตอักเสบ บรรเทาอาการบวมน้ำ หรือขาบวมน้ำได้(ต้น, ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2]
18. สามารถใช้ราก 90 กรัม นำมาตุ๋นกับลำไส้เล็กของหมูรับประทานเป็นยาติดต่อกันประมาณ 3-5 วัน ใช้แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติได้(ราก)[1]
19. ต้น ช่วยในการขับปัสสาวะได้ (ทั้งต้น)[2]ชาวเมี่ยนนั้นจะใช้ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้นิ่ว (ใบ)[3]
20. ใช้เป็นยาแก้บิดได้ (ต้นและราก, ทั้งต้น)[1],[2]
21. สามารถใช้ยอดและใบ ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไอได้ (ใบ)[4]
22. ทั้งต้นนั้นมีสรรพคุณช่วยขับลมชื้นได้ (ทั้งต้น)[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ใช้ทั้งต้นมาตำคั่วกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกขาของกระต่ายที่มีอาการกระดูกหักแล้วใช้ไม้ดามกระดูกไว้เปลี่ยนยาทุก ๆ 3 วัน จากนั้นนำรากมาต้มน้ำให้กระต่ายกินไปด้วย ทำแบบนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า กระดูกมีการเชื่อมติดกันและบริเวณกระดูกที่ร้าวมีแคลเซียมเคลือบอยู่[2]
  • สามารถใช้เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และฆ่าแมลงได้[4]
  • ทั้งต้นมีสารประกอบจำพวก Tannins, ฟีนอล, Flavonoid, Camperol, Stigmasterol, Campestetol, Chloronic acid, Ursolic acid และน้ำตาล ส่วนรากมีแทนนินมาก อัลคาลอยด์ และมีน้ำตาลคืนรูป ส่วนใบมี B-sitosterol,stigmasterol,campesterol, α-amyrin palmitate,ursolic acid และโพแทสเซียมไนเตรต และในเมล็ดพบสารไซยาโนจีนีติค ไกลโคไซด์ (Cyanogenic glycoside)[1],[2]
  • สามารถนำน้ำที่ต้มได้จากรากและใบ มากวนกับแป้งให้ข้น ใช้ทาบริเวณหูของกระต่ายทดลอง
    ที่มีอาการบวม จากนั้นพบว่ากระต่ายทดลองมีอาการบวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเส้นเลือดบริเวณหูของกระต่ายก็กลับมามีขนาดปกติอีกด้วย[2]

วิธีการใช้

  • ยาสดให้ใช้ครั้งละ 30-60 กรัมนำมาต้มกับน้ำใช้ตำคั้นเอาน้ำมาล้างแผลภายนอก หรือใช้รับประทานก็ได้ สามารถทำเป็นยาพอกแผลบริเวณที่เป็น ส่วนยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 7-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำรับประทานหรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่นได้ในตำรับ[2]

ข้อควรระวัง

  • สตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นอันขาด[1],[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สะพ้านก๊น”. หน้า 765-767.
2.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “สะพ้านก๊น”. หน้า 544.
3.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “สะพ้านก๊น, อูน ,พวงไข่มุก, อูนป่า”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [13 ต.ค. 2014].
4.ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “สะพ้านก๊น”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [13 ต.ค. 2014].
5.วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “สะพานก๊น”. อ้างอิงใน : หนังสือป่าแม่คำมีความหลากหลายทางชีวภาพจากอดีตถึงปัจจุบัน (กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้)., Ethnomedical survey of plants used by the Orang Asli in Kampung Bawong, Perak, West Malaysia. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : th.wikipedia.org/wiki/สะพานก๊น. [13 ต.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flickr.com/
2. https://www.flickr.com/
3. https://medthai.com/