ต้นฝ้ายขาว เมล็ดเป็นยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

0
ฝ้ายขาว
ต้นฝ้ายขาว เมล็ดเป็นยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ดอกมีสีชมพู กลางดอกมีสีม่วงอ่อน ผลทรงกลมเปลือกแข็งมีสีดำหรือสีน้ำตาล และมีขนสีขาว
ฝ้ายขาว
เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ดอกมีสีชมพู กลางดอกมีสีม่วงอ่อน ผลทรงกลมเปลือกแข็งมีสีดำหรือสีน้ำตาล และมีขนสีขาว

ฝ้ายขาว

ฝ้ายขาว มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจะพบได้มากทางภาคเหนือ[1],[2],[3] เป็นพรรณไม้ที่เป็นได้ทั้งส่วนผสมของยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรค และเป็นได้ทั้งวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในบทความนี้ทางเราจะขอมานำเสนอพรรณไม้ที่มีชื่อว่า “ต้นฝ้ายขาว” ชื่อสามัญ Cotton plant[2],[4], Cotton, Sea Iceland Cotton[5] ชื่อวิทยาศาสตร์  Gossypium herbaceum L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ชบา (MALVACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ ฝ้ายเทศ (ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย), เหมียวฮวา เฉ่าเหมียนฮวา (ภาษาจีนกลาง)[2],[3], ฝ้ายดอก (จังหวัดเชียงใหม่), ฝ้ายชัน (จังหวัดลำปาง), ฝ้าย ฝ้ายไทย ฝ้ายหีบ (ประเทศไทย) เป็นต้น[5]

ลักษณะของฝ้ายขาว

ต้น
– เป็นพันธุ์ไม้ประเภทไม้พุ่มยืนต้นที่มีขนาดเล็ก และมีอายุขัยอยู่ได้นานหลายปี
– ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ลำต้นมีสีเขียวและมีขนขึ้นปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นทั่วทั้งลำต้น ลำต้นแตกกิ่งก้านค่อนข้างน้อย
– ความสูงของต้น ประมาณ 1-3 เมตร
– ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
ใบ
– ใบมีรูปร่างเป็นรูปไข่กว้าง ตรงปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบและมีลักษณะเว้าแยกเป็นแฉก 3-5 แฉก และบริเวณโคนใบมีลักษณะเป็นรอยเว้าเล็กน้อย
– ใบจะออกเรียงสลับกัน โดยใบจะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว[1],[2],[3]
– ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร และก้านใบมีความยาวประมาณ 2.5-8 เซนติเมตร
ดอก
– กลีบดอกมีสีชมพู ตรงบริเวณใจกลางดอกมีสีม่วงอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบ มีขนาดความกว้างประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ดอกมีใบประดับห่อหุ้มดอกเอาไว้ ตรงปลายใบมีลักษณะเป็นเส้นเรียวแหลมอยู่ประมาณ 12 เส้น ดอกมีกลีบเลี้ยงเป็นรูปร่างสามเหลี่ยม ตรงขอบเป็นรอยฟันเลื่อย มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร และดอกมีเกสรเพศผู้อยู่เป็นจำนวนมาก
– ดอกจะออกที่บริเวณปลายกิ่งและที่ซอกใบ ดอกมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว
– ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงช่วงเดือนกันยายน[1],[2],[3]
ผล
– ผลมีลักษณะเป็นผลแห้ง ผลมีรูปร่างเป็นทรงกลม โดยผลจะแตกออกตามพู แยกออกเป็น 3-4 ซีก
– ต้น จะออกผลเมื่อดอกร่วงโรยลงไปแล้ว[1],[2],[3]
เมล็ด
– เมล็ดมีเป็นจำนวนมากอยู่ภายในผล เมล็ดมีรูปร่างค่อนข้างกลม มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดมีเปลือกแข็งมีสีดำหรือสีน้ำตาล และมีขนสีขาวขึ้นห่อหุ้มทั่วทั้งเมล็ด

สรรพคุณของฝ้ายขาว

1. รากและเปลือกราก นำมาใช้ทำเป็นยาแก้อาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ช่วยแก้อาการตกขาว และช่วยขับประจำเดือนของสตรี (สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เนื่องจากจะทำให้แท้งบุตรได้) (ราก, เปลือกราก)[1],[2]
2. รากมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะและแก้อาการไอ (ราก)[3]
3. รากมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคหอบ (ราก)[3]
4. รากมีสรรพคุณเป็นยาห้ามเลือด (ราก)[3]
5. รากมีฤทธิ์เป็นยาแก้อาการตับอักเสบเรื้อรัง (ราก)[3]
6. รากมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคหลอดลมอักเสบ (ราก)[3]
7. รากมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)[3]
8. รากมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคกระษัยลม (ราก)[3]
9. รากมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการตัวบวม (ราก)[3]
10. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการตกเลือด และอาการตกขาวของสตรี (เมล็ด)[3]
11. เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการอั้นปัสสาวะไม่อยู่ (เมล็ด)[3]
12. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยารักษาริดสีดวง (เมล็ด)[3]
13. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการถ่ายเป็นเลือด (เมล็ด)[3]
14. เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (เมล็ด)[3]
15. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไต (เมล็ด)[3]
16. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดนำมาใช้เป็นยาภายนอก มีสรรพคุณเป็นยารักษาฝีหนองภายนอก และโรคกลากเกลื้อน (น้ำมันจากเมล็ด)[3]
17. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาลดระดับไขมันเลือด (น้ำมันจากเมล็ด)[4]
18. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคผิวหนัง มีส่วนช่วยทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นยิ่ง และรักษาอาการแผลมีหนองเรื้อรัง (น้ำมันจากเมล็ด)[4]
19. ฝ้ายที่ได้มาจากต้น ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม และเส้นใยที่เหลืออยู่กับเมล็ดจะนำมาทำพรม หรือนำมาทำเป็นเส้นใยเทียม เช่น เรยอน ฯลฯ เป็นต้น
20. ในทางการแพทย์จะนำฝ้ายมาใช้ทำสำลีหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำมาใช้เตรียมเป็นยาแผนปัจจุบันอีกด้วย[5]
21. ใยฝ้ายสีขาวนำมาทอผ้า โดยผ้าที่ได้จะเรียกว่าผ้าฝ้าย[2]
22. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ด สามารถนำมาใช้เป็นน้ำมันสำหรับใช้หุงต้มได้[5]

ขนาดและวิธีการใช้

1. รากแห้งให้ใช้ในปริมาณครั้งละ 15-35 กรัม และ เมล็ดให้ใช้ในปริมาณครั้งละ 6-15 กรัม โดยวิธีการนำมาปรุงเป็นยานั้นจะเหมือนกันคือ นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับรับประทานเป็นยาภายใน และนำมาใช้ภายนอกโดยการนำน้ำที่ต้มมาอาบหรือใช้สำหรับล้างบาดแผล[3]
2. น้ำมันจากเมล็ด จะมีวิธีนำมาใช้อยู่ 2 วิธีคือ 1. บรรจุแคปซูล 1-2 แคปซูล ใช้ทานเป็นยา โดยให้ทานเป็นเวลาทั้งเช้าและเย็น และ 2. นำมาปรุงอาหาร ใช้ทานเป็นยากึ่งอาหารบำรุงร่างกาย ทานเป็นเวลาทั้งเช้าและเย็น[4]

ข้อควรรู้

ในวงศ์เดียวกัน เช่น Gossypium barbadense L. และ Gossypium hirstum L. สามารถนำมาใช้แทนกันได้ เพราะมีสรรพคุณที่ใกล้เคียงกัน[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. จากการวิจัยต้นพบว่า มีฤทธิ์ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยคุมกำเนิด ทำให้ฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ลดลง และยับยั้งการสร้างอสุจิ เป็นต้น[4]
2. จากการวิจัยพบว่าต้นมีสารสำคัญ อันได้แก่ palmitic acid, gossypol, kaempferol, satirane, phytin, alamine, tocopherol, triacontane, apocynin, gossyptrin, aspartic acid, glutamic acid, glycine, gossypetin, serine และ thrconin[4]
3. จากการวิจัยความเป็นพิษของต้นในหนูขาว ผลพบว่าไม่เกิดอาการที่เป็นพิษ[4]
4. จากการวิจัยพบว่าสารที่สกัดมาจากกิ่งและรากของต้น มีฤทธิ์ที่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัด และเชื้อ Coccus, Staphelo coccus ได้[3]
5. จากการวิจัยนำสาร Gossypol ในต้นมาฉีดให้หนูทดลองที่มีอาการไอ ผลพบว่าสารดังกล่าวสามารถรักษาอาการไอ อีกทั้งยังช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย[3]
6. จากการวิจัยพบว่าในเปลือกราก ในเมล็ด และน้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดของต้น มีสารสำคัญอย่างสาร Acetovanilone, Asparagin, Kaempferol, Quercimeritri, Gossypetin, Berbacitrin และ Cossypitrin อยู่[3]
7. จากการวิจัยสารที่สกัดได้มาจากใบ กิ่ง และราก โดยการนำมาทดลองกับหนูทดลอง พบว่าสารสกัดทั้งหลายดังกล่าวได้เข้าไปกระตุ้นการบีบตัวของมดลูกในหนูทดลองอย่างแรง[3]

ข้อควรระวังในการใช้

  • สตรีที่มีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสมุนไพรหรืออาหารที่มีส่วนประกอบ เพราะจะทำให้แท้งบุตรได้[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ฝ้าย (Fai)”. หน้า 185.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ฝ้ายขาว”. หน้า 517-518.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ฝ้ายขาว”. หน้า 364.
4. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ฝ้าย” หน้า 128-129.
5. พืชให้เส้นใย, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ฝ้าย”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชไร่ Guide for Field Crops in Tropics and the Subtropics Samuel. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/fiber1.htm. [14 พ.ย. 2014].
6. https://medthai.com

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiagardening.com/

ละหุ่ง ใบสดมีสรรพคุณเป็นยาขับน้ำนมของสตรี

0
ละหุ่ง
ละหุ่ง ใบสดมีสรรพคุณเป็นยาขับน้ำนมของสตรี เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ใบรูปฝ่ามือขอบใบมีรอยหยักปลายแฉกแหลม ดอกเป็นกระจุกสีนวลขาว ผลมีขนขึ้นปกคลุม
ละหุ่ง
เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ใบรูปฝ่ามือขอบใบมีรอยหยักปลายแฉกแหลม ดอกเป็นกระจุกสีนวลขาว ผลมีขนขึ้นปกคลุม

ละหุ่ง

ต้นละหุ่ง พรรณไม้ส่งออกขายอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย พรรณไม้ที่ชาวสวนชาวไร่นิยมปลูกสำหรับป้องกันศัตรูพืช และพรรณไม้ที่เด่นในเรื่องสรรพคุณอันหลากหลาย แต่เมล็ดกลับมีพิษร้ายเป็นอันตรายต่อชีวิต มีถิ่นกำเนิดในแถบแอฟริกาตะวันออก ในต่างประเทศสามารถพบได้ที่ประเทศอินเดีย และบราซิล ประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภูมิภาค (ประเทศไทยได้ถูกจัดให้เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกอีกด้วย) ชื่อสามัญ Castor, Castor bean, Castor oil plant ชื่อวิทยาศาสตร์ Ricinus communis L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE) ชื่ออื่น ๆ ปี่มั้ว (ประเทศจีน), มะโห่ง มะโห่งหิน (ในภาคเหนือของประเทศไทย), มะละหุ่ง ละหุ่งแดง ละหุ่งขาว (ในภาคกลางของประเทศไทย) เป็นต้น[1],[3],[4]

ข้อควรรู้

ในประเทศไทยมีสายพันธุ์ที่ปลูกกันอยู่ 2 สายพันธุ์ ดังนี้
1. สายพันธุ์พื้นเมือง มีอายุยืนยาว เช่น พันธุ์ลายหินอ่อน พันธุ์ลายขาวดำ และพันธุ์ลายแดงเข้ม เป็นต้น สายพันธุ์เหล่านี้ มักจะปลูกแล้วจะปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี หรือมากกว่านั้นเพื่อให้ต้นติดผล
2. สายพันธุ์ลูกผสม มีอายุสั้น มีชื่อสายพันธุ์ว่า พันธุ์อุบล90 จุดเด่นอยู่ตรงที่มีระยะเวลาการปลูกที่สั้นใช้เวลาประมาณ 75-100 วัน ก็สามารถให้ผลผลิตได้ อีกทั้งเมล็ดยังมีน้ำมันสูงกว่าสายพันธุ์ปกติอีกด้วย (สายพันธุ์นี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากมีราคาแพงและเมล็ดมีจำนวนจำกัด)[6]

ลักษณะของละหุ่ง

  • ต้น
    1. เป็นพันธุ์ไม้ประเภทไม้พุ่มยืนต้นที่มีขนาดเล็ก
    2. ต้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้นขาว มีสีลำต้นกับก้านใบที่เป็นสีเขียว และมียอดอ่อนกับช่อดอกเป็นสีนวลขาว[1] ต้นแดง มีสีลำต้นกับก้านใบที่เป็นสีแดง และมียอดอ่อนกับช่อดอกเป็นสีนวลขาว[1]
    3. ความสูงของต้น ประมาณ 6 เมตร
  • ใบ
    1. ใบมีรูปร่างเป็นรูปฝ่ามือ โดยจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 6-11 แฉก บริเวณที่ปลายแฉกแหลม ตรงขอบใบมีรอยหยัก ส่วนโคนใบมีรูปร่างเป็นแบบก้นปิด
    2. ใบมีเส้นแขนงใบขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ใบมีหูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม
    3. ใบจะออกเรียงสลับกันที่บริเวณก้านใบ โดยใบจะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว[1]
    4. ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร และก้านใบมีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร
  • ดอก
    1. ดอกมีลักษณะเป็นช่อกระจะ และมีก้านช่อดอกยาว โดยช่อดอกจะออกที่บริเวณปลายกิ่ง
    2. ดอกย่อยจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ดอกเพศผู้ จะอยู่ส่วนบนของช่อ ดอกมีกลีบเลี้ยงอยู่ 5 กลีบ บางกลีบจะมีแฉกประมาณ 3-5 แฉก และดอกไม่มีกลีบดอก มีก้านดอกสั้น ลักษณะของตัวดอกจะเรียวและแคบ ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นจำนวนมาก ดอกเพศเมีย จะอยู่ส่วนล่างของช่อ ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ บางกลีบจะมีแฉกประมาณ 3-5 แฉก และดอกไม่มีกลีบดอกเช่นเดียวกันกับดอกเพศผู้ แต่ก้านดอกจะยาวกว่าดอกเพศผู้ และตัวดอกก็จะเรียวเล็กกว่าและแคบกว่า ดอกมีรังไข่ 3 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีออวุลอยู่ 1 เม็ด ผิวของรังไข่จะมีเกล็ดปกคลุมอยู่ ดอกมีเกสรเพศเมียอยู่ 3 อัน
    3. ออกดอกเมื่อต้นมีอายุได้ประมาณ 40-60 วัน[1],[5]
  • ผล
    1. ผลมีรูปร่างเป็นแบบแคปซูล มีความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีขนขึ้นปกคลุมทั่วทั้งผล ผลมีลักษณะเป็นผลแห้ง และผลมีพูอยู่ 3 พู พูมีรูปร่างเป็นรูปไข่ มีความยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีสีเขียว
    2. ออกผลเมื่อต้นมีอายุได้ประมาณ 140-160 วัน[1],[5]
  • เมล็ด
    1. เมล็ดมีรูปร่างเป็นรูปทรงรี เปลือกเมล็ดมีสีน้ำตาลแดง (สีอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ ) และมีลายจุดสีน้ำตาลปนเทา หรือรอยประสีขาวอยู่ทั่วเมล็ด
    2. ภายในเมล็ดจะมีเนื้อสีขาว โดยจะเป็นโปรตีนที่มีสารพิษและมีน้ำมันสีเหลืองใส ที่มีลักษณะข้นและเหนียว ซึ่งน้ำมันจะมีกลิ่นเล็กน้อย เมื่อลิ้มรสจะมีรสชาติเฝื่อนลิ้นและเผ็ดเล็กน้อย[2]

สรรพคุณของละหุ่ง

1. ใบสดมีสรรพคุณเป็นยาขับลม (ใบสด)[1]
2. ใบสดนำมาเผาใช้สำหรับพอกศีรษะ มีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการปวดศีรษะ (ใบสด)[1]
3. ใบสดมีสรรพคุณเป็นยารักษาเลือดลมพิการ (ใบสด)[1],[3]
4. ใบสดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการปวดท้อง (ใบสด)[1]
5. ใบสดมีสรรพคุณเป็นยาขับน้ำนมของสตรี (ใบสด)[1],[3]
6. ใบสดมีฤทธิ์ในการฆ่าแมลงได้ (ใบสด)[1]
7. ใบสดนำมาเผาใช้พอกบริเวณที่มีแผล มีสรรพคุณเป็นยารักษาแผลเรื้อรังได้ (ใบสด)[1]
8. ใบสดนำมาตำใช้สำหรับพอกบริเวณที่เป็นฝี มีสรรพคุณเป็นยารักษาฝีได้ (ใบสด)[1]
9. ใบสดมีสรรพคุณเป็นยาขับระดูของสตรี (ใบสด)[1]
10. ใบสดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (ใบสด)[1]
11. ใบสดนำมาเผาใช้เป็นยาพอก มีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการปวดตามข้อหรืออาการปวดบวมตามร่างกายได้[1]
12. รากมีสรรพคุณเป็นยาสมาน (ราก)[1],[3]
13. รากนำมาตำเป็นยาสำหรับพอกเหงือก มีฤทธิ์รักษาอาการปวดฟัน (ราก)[1]
14. รากมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการพิษไข้ (ราก)[1],[3]
15. เมล็ดนำมาตำใช้สำหรับเป็นยาพอกบริเวณที่มีแผล โดยจะมีสรรพคุณในการรักษาแผล (เมล็ด)[1]
16. นำเมล็ดมาทุบเพื่อให้เอาเปลือกออกได้ง่าย จากนั้นนำเมล็ดที่เอาเปลือกออกหมดแล้วมาต้มกับนมในปริมาณครึ่งหนึ่งของหม้อที่ใช้ต้ม พอเดือดก็ให้นำไปต้มกับน้ำอีกทีหนึ่งเพื่อเป็นการทำลายสารพิษในเมล็ด เมื่อต้มจนแน่ใจแล้วว่าสารพิษนั้นได้ถูกทำลายไปจนหมดแล้วก็ให้นำเมล็ดมารับประทาน โดยจะมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการปวดข้อและปวดหลัง (เมล็ด)[1]
17. จากการวิจัยโปรตีนจากเมล็ด พบว่าสารพิษ Ricin ในโปรตีน จะเข้าไปจับกับ Antibody ของไวรัสเอดส์ โดยการวิจัยครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนายาที่จะป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้[3]

ประโยชน์ของละหุ่ง

1. การปลูก รอบไร่นาหรือรอบสวน จะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชและไส้เดือนฝอยได้[7]
2. น้ำมัน จะมีกรดที่ชื่อว่า ริซิโนเลอิก (Ricinoleic Acid) อยู่ ซึ่งจะออกฤทธิ์เป็นยาระบาย ในทางการแพทย์จะใช้ในขนาด 15-60 มิลลิลิตร ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ต้องมีการฉายรังสีบริเวณทวารหนักหรือปลายลำไส้ใหญ่หรือมีการผ่าตัดบริเวณช่องท้อง ลำไส้ หรือทวาร[2]
3. ลำต้นนำมาทำเป็นเยื่อกระดาษได้[5]
4. กากที่ได้มาจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้เป็นอย่างดี[5]
5. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ด (Castor oil) จะมีกรดไขมันที่มีชื่อว่า Ricinoleic อยู่ ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่ต่างจากน้ำมันพืช โดยน้ำมันชนิดนี้จะนิยมในอุตสาหกรรมการผลิตเรซิ่น น้ำมันเบรกรถยนต์ น้ำมันชักเงา ฉนวนกันไฟฟ้า น้ำมันผสมสี น้ำยารักษาหนัง หนังเทียม หมึกพิมพ์ น้ำมันหล่อลื่น จาระบี ใช้ทำสีทาบ้าน ขี้ผึ้งเทียม และเส้นใยเทียม[2],[3],[4],[5],[6]
6. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดสามารถนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ได้[2],[3],[4],[5],[6]
7. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ทำเป็นยารักษาโรค ยาระบาย หรือเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ ได้อีกด้วย[2],[3],[4],[5],[6]
8. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ด จะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างอ่อนสำหรับเด็กและผู้ใหญ่[1]
9. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดนำมาผสมกับน้ำมันงา ใช้สำหรับทำเป็นยาทาภายนอก โดยจะมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการกระดูกหักหรือแตกได้[1]
10. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดนำมาทำเป็นยาขี้ผึ้งที่มีความเข้มข้นร้อยละ 5-10 โดยจะมีสรรพคุณในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบ[1]

ความเป็นพิษของต้นละหุ่ง

1. Ricin จากเมล็ดมีความเป็นพิษสูง โดยในปัจจุบันยังไม่มียารักษา ทำได้แค่รักษาไปตามอาการเท่านั้น[8]
2. เมล็ดมีความเป็นพิษสูง หากรับประทานเข้าไปปากและคอจะถูกไหม้จากความเป็นพิษนี้ จากนั้นก็เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ถ่ายเป็นเลือดและท้องเสียอย่างรุนแรง แน่นหน้าอก มีอาการหายใจไม่ค่อยออก เยื่อบุจมูกอักเสบ ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างมาก ปอดบวม ระบบตับและไตถูกทำลาย และจะเสียชีวิตในทันทีเนื่องจากพิษจะเข้าไปทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หากไม่ได้รับการรักษาภายในระยะเวลา 36-72 ชั่วโมง[1],[8]
3. เนื้อภายในเมล็ดจะเป็นโปรตีนที่มีความเป็นพิษสูง ส่วนน้ำมันในเมล็ดจะไม่มีพิษหากสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (เนื่องจากวิธีนี้ จะทำให้โปรตีนที่มีพิษไม่ติดออกมาด้วยกับน้ำมันนั่นเอง)
4. เมล็ดมีความเป็นพิษต่อคน สัตว์ และแมลง โดยสารที่สำคัญได้แก่ Ricin และ Ricinus Communis Agglutinin (RCA) โดยสาร Ricin จะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงไม่เกาะกลุ่มกันหรือเกาะกันน้อยลง และมีความเป็นพิษต่อเซลล์สูง ส่วน RCA จะมีความเป็นพิษน้อยกว่ามาก เนื่องจาก RCA จะไม่ถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุทางเดินอาหาร[8]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [12 พ.ย. 2013].
2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [12 พ.ย. 2013].
3. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [12 พ.ย. 2013].
4. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th. [12 พ.ย. 2013].
5. รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่อง ละหุ่ง”. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันที่จันทร์ที่ 5 เมษายน 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [12 พ.ย. 2013].
6. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “ละหุ่ง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th. [12 พ.ย. 2013].
7. สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่. “การใช้สมุนไพรป้องกันและกำจัดศัตรูพืช”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ndoae.doae.go.th. [12 พ.ย. 2013].
8. ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา. “สารพิษจากเมล็ดละหุ่ง“. อ้างอิงใน: กลุ่มงานพิษวิทยาและสิ่งแวดล้อม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: webdb.dmsc.moph.go.th. [12 พ.ย. 2013].
9. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.amazon.in/
2. https://antropocene.it/

ต้นแสลงใจ เมล็ดช่วยบำรุงประสาท

0
ต้นแสลงใจ เมล็ดช่วยบำรุงประสาท เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ต้นสีน้ำตาลปนสีเทา ดอกช่อดอกคล้ายร่มขนาดเล็กสีเทาอมสีขาว สีเขียวอ่อน สีขาว ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีส้มหรือสีส้มแดง
แสลงใจ
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ต้นสีน้ำตาลปนสีเทา ดอกช่อดอกคล้ายร่มขนาดเล็กสีเทาอมสีขาว สีเขียวอ่อน สีขาว ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีส้มหรือสีส้มแดง

แสลงใจ

แสลงใจ เป็นไม้กลางแจ้ง โตได้ดีในดินที่ร่วนซุยที่มีความชื้น ประเทศไทยสามารถพบเจอได้ทุกภาค ยกเว้นทางภาคใต้ ที่ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-500 เมตร ในต่างประเทศสามารถพบเจอได้ที่ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ประเทศอินเดีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศลาว ประเทศศรีลังกาชื่อสามัญ Snake Wood, Nux-vomica Tree [1],[2] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Strychnos nux-vomica L.[1],[2],[3] อยู่วงศ์กันเกรา (LOGANIACEAE หรือ STRYCHNACEAE)[1],[3],[7] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ว่านไฟต้น, ตูมกาแดง (ภาคกลาง), กระจี้ (ภาคกลาง), แสลงโทน (จังหวัดโคราช), แสลงเบื่อ (จังหวัดนครราชสีมา), กะกลิ้ง (ภาคกลาง), แสลงทม (จังหวัดนครราชสีมา), แสงโทน (จังหวัดโคราช), แสงเบื่อ (จังหวัดอุบลราชธานี), โกฐกะกลิ้ง (ภาคกลาง) [1],[3],[10]

ลักษณะของแสลงใจ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ ต้นสามารถสูงได้ถึงประมาณ 30 เมตร[1] เปลือกลำต้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลปนสีเทา มีรูตาที่ตามเปลือกต้น ขยายพันธุ์โดยวิธีการตอน การใช้เมล็ด [1],[3],[4],[6],[7]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้าม ใบเป็นรูปไข่ รูปรี ที่โคนใบจะมนเบี้ยว ส่วนที่ปลายใบจะแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร ที่ท้องใบจะเรียบ ส่วนที่หลังใบก็จะเรียบเช่นกัน มีเส้นใบตามแนวขวาง 5 เส้น ตามแนวยาว 3 เส้น ก้านใบยาวได้ประมาณ 4-6 มิลลิเมตร [1],[4]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ออกดอกที่ตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกคล้ายร่ม มีดอกย่อยขนาดเล็ก ดอกมีลักษณะเป็นสีเทาอมสีขาว สีเขียวอ่อน สีขาว เป็นรูปทรงกระบอกแตกเป็นกลีบ 5 กลีบ กลีบดอกมีความยาวประมาณ 2.5-4 มิลลิเมตร ที่ปลายกลีบดอกจะแหลม ส่วนที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมกันเป็นหลอดเล็ก มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน[1],[4]
  • ผล เป็นผลสด ผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร พื้นผิวของผลจะเรียบ ผลอ่อนมีลักษณะเป็นสีเขียว ผลสุกเป็นสีส้มหรือสีส้มแดง มีเมล็ดอยู่ในผลประมาณ 3-5 เมล็ด[1],[4],[5]
  • เมล็ด เป็นรูปกลมและแบน เมล็ดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร พื้นผิวเมล็ดมีลักษณะเป็นสีเทาอมสีเหลือง มีขนเป็นสีขาว สีน้ำตาลอ่อน [4]

สรรพคุณ และประโยชน์แสลงใจ

1. เมล็ด มีสรรพคุณที่ช่วยแก้เหน็บชาและรูมาติซั่ม แก้อัมพาต แก้อาการปวดบวม แก้อัมพฤกษ ช่วยขับลมชื้น[4]
2. สามารถนำใบมาตำใช้พอกแก้อาการฟกช้ำได้ (ใบ)[1]
3. สามารถนำเมล็ดมาใช้ภายนอกเป็นยาแก้ฟกช้ำดำเขียวได้ (เมล็ด)[4]
4. สามารถช่วยแก้ฝีภายนอกและภายในได้ (เมล็ด)[4]
5. สามารถนำรากมาฝนกับน้ำ ใช้ทานและทาแก้อาการอักเสบเนื่องจากงูกัด (ราก)[1]
6. เมล็ด มีสรรพคุณที่สามารถช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้ (เมล็ด)[3]
7. สามารถช่วยแก้โรคโปลิโอในเด็กได้ (เมล็ด)[4]
8. เมล็ด มีสรรพคุณที่สามารถช่วยตัดพิษกระษัย ตัดพิษไข้ได้ (เมล็ด)[5]
9. ถ้าใช้เมล็ดในปริมาณที่น้อยมีสรรพคุณที่เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือด ช่วยกระตุ้นระบบการหายใจ (เมล็ด)[7]
10. เมล็ด สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจให้เต้นแรงขึ้น และบำรุงหัวใจได้ (เมล็ด)[1],[2],[5]
11. เมล็ดแก่แห้งสามารถใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำย่อยได้ โดยใช้เมล็ดมาดองเหล้าทาน แต่จะต้องใช้ปริมาณต่ำ (เมล็ด)[1],[2],[3]
12. แก่นสามารถใช้เป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยได้ (แก่น)[1]
13. สามารถช่วยแก้มะเร็งที่ผิวหนังได้ (เมล็ด)[4]
14. ใบ มีรสเมาเบื่อขม สามารถนำมาตำกับเหล้า ใช้พอกปิดแผลเรื้อรังเน่าเปื่อยได้ (ใบ)[5]
15. สามารถช่วยแก้โรคไตพิการได้ (ใบ)[5]
16. ราก มีรสเมาเบื่อขม สามารถทานเป็นยาแก้ท้องขึ้นได้ (ราก)[5]
17. ราก มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก)[1]
18. เมล็ด เป็นยาบำรุงประสาทแบบแรง (เมล็ด)[8]
19. เมล็ด มีรสเมาเบื่อขม จะเป็นยาเย็น มีพิษเยอะ ก่อนใช้ต้องผ่านกรรมวิธีกำจัดพิษก่อน จะมีสรรพคุณที่เป็นยากระจายเลือดลม ช่วยทะลวงเส้นลมปราณ ทำให้เลือดเย็น แก้เลือดร้อน (เมล็ด)[4]
20. สามารถช่วยบำรุงประสาทได้ (เมล็ด)[5]
21. เนื้อไม้สามารถใช้ทำเป็นด้ามเครื่องมือทางการเกษตร ของเล่นเด็ก เครื่องแกะสลักได้ [6]
22. เมล็ด สามารถใช้เป็นยาเบื่อสุนัข ยาเบื่อหนูได้ [2] หรือป่นเป็นยาเบื่อปลา[3]

ข้อควรระวังในการใช้

  • เมล็ดมีพิษเยอะ ก่อนใช้เป็นยาต้องผ่านกรรมวิธีกำจัดพิษก่อน
  • ห้ามให้สตรีตั้งครรภ์และสตรีที่ให้นมบุตรทาน
  • เมล็ด จะมีสาร Brucine ถ้าใช้ในปริมาณที่เยอะจะเป็นพิษ จะมีฤทธิ์กระตุ้นเส้นประสาทไขสันหลัง ชักกระตุก จะทำให้เบื่อเมา ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก กล้ามเนื้อเกร็งแข็ง และอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ [1],[2],[4]
  • การทานในปริมาณน้อย แต่ทานติดต่อเป็นเวลานานจะเป็นอันตรายกับตับ[9]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ความเป็นพิษของเมล็ด ปรากฏว่าถ้าทานเยอะกว่า 5 มิลลิกรัม ของ Strychnos หรือประมาณ 30-50 มิลลิกรัมของผงยา จะทำให้กระวนกระวาย หายใจลำบาก อาจชัก และอาจจะทำให้เสียชีวิตได้[9]
  • เมล็ดจะมีสารอัลคาลอยด์ประมาณ 1.5-5% มีอยู่หลายชนิด อย่างเช่น N-methylses-pseudobrucine, Vomicine, Stryhcnine, Brucine, Pseudostrychnine และพบ Chlorogenic acid, น้ำมัน, โปรตีน 11% [4] ส่วนมากเป็นสารจำพวก Strychnine ประมาณ 1/3-1/2 ในสารอัลคาลอยด์ทั้งหมด สารนี้อยู่กึ่งกลางเมล็ด เป็นพิษและมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทไขสันหลัง จะนิยมใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ ห้ามใช้เกินขนาดเนื่องจากอาจเป็นอันตราย และมีสาร Brucine ที่อยู่ด้านนอกติดเปลือกเมล็ด จะมีรสขม ละลายในแอลกอฮอล์และในน้ำได้ดี แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า Strychnine ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เป็นยารักษาโรค[2],[3]
  • สาร Strychnine ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็ว ทั้งระบบทางเดินอาหาร เยื่อบุจมูก บริเวณที่ฉีด ถ้าเข้าสู่ร่างกายแล้วจะกระจาย และถูก metabolite ที่ตับเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 10-20% ถูกขับออกแบบไม่เปลี่ยนแปลงทางไต สาร Strychnine มีค่าครึ่งชีวิตอยู่ที่ประมาณ 10-15 ชั่วโมง อาการของผู้ป่วยที่ได้รับ Strychnine มักเกิดขึ้นใน 10-20 นาทีหลังทาน ผู้ป่วยอาจจะมีการกระตุกเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทั่วไปถึงมีอาการชัก อาการชักจะเกิดตอนผู้ป่วยยังมีสติหรือรู้สึกตัว ผู้ป่วยอาจจะเจ็บปวดขณะที่กระตุก ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่มีความอันตรายของการเกร็งตัวชนิดคือ ซึ่งจะทำให้การหายใจล้มเหลว อาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว จนมีไตวายตามมา ทางเภสัชกรรมไทยจัดให้เมล็ดเป็นพืชอันตราย ถึงแม้บางประเทศเคยใช้สาร Strychnine รักษาโรคบางอย่าง แต่ในภายหลังได้ยกเลิกใช้แล้ว เพราะมีความอันตรายและมีความเป็นพิษสูง[10]
  • ทางคลินิกรายงานว่า จากการทดลองใช้รักษาอาการประสาทกล้ามเนื้อสามเหลี่ยมที่ใบหน้าแข็งชา โดยใช้เมล็ดมาหั่นเป็นแผ่น วางที่ใบหน้าที่ชาหรือกระตุก ต้องเปลี่ยนยาทุก 7-10 วัน จนกว่าจะหาย จากการรักษาผลปรากฏว่ารักษาคนไข้ให้หายดีได้ถึงประมาณ 80%[4]
  • สารในกลุ่มอัลคาลอยด์ 3 ชนิด (icajine, strychnine, pseudostrychnine) ใน 6 ชนิดจากเมล็ด เมื่อทดสอบกับเซลล์มะเร็งของมนุษย์ ปรากฏว่ามีฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์ โดยสาร strychnine ให้ผล human gastric carcinoma cell line BGC, human carcinoma cell line KB, human leukemia cell line HL-60 และสาร pseudostrychnine ให้ผล human hepatic carcinoma cell line BEL-7402, human carcinoma cell line KB, human gastric carcinoma cell line BGC ส่วนสาร icajine ให้ผล human gastric carcinoma cell line BGC, human carcinoma cell line KB [11]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “แสลงใจ (Sa Laeng Jai)”. หน้า 310.
2.หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “แสลงใจ Nux-vomica Tree/Snake Wood”. หน้า 195.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “แสลงใจ”. หน้า 790-791.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “โกฐกะกลิ้ง”. หน้า 98.
5. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “แสลงใจ”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 185.
6. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1. “แสลงใจ”.
7. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “แสลงใจ”. [ ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/pattani_botany. [11 ก.ค. 2014].
8. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “แสลงใจ (โกฏกะกลิ้ง)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [11 ก.ค. 2014].
9. Trease and Evans Pharmacognosy 14th edition. (William Charles Evans, George Edward Trease). Pages: 391-392, 1996.
10. ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี, คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล. “อันตรายจาก Strychnine”. [ ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: med.mahidol.ac.th/poisoncenter. [11 ก.ค. 2014].
11. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านเนื้องอกของสารในกลุ่ม alkaloids จากเมล็ดแสลงใจ”. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [11 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.inaturalist.org/taxa/498755-Strychnos-nux-vomica
2. https://usa.exportersindia.com/global-trade-partners-llc/strychnos-nux-vomica-seeds-beverly-hills-united-states-1424717.htm
3. https://medthai.com/

ต้นพระจันทร์ครึ่งซีก สรรพคุณใช้รักษาโรคภูมิแพ้

0
พระจันทร์ครึ่งซีก
ต้นพระจันทร์ครึ่งซีก สรรพคุณใช้รักษาโรคภูมิแพ้ เป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กคล้ายกับต้นหญ้า ทอดเลื้อยตามพื้นดินคล้ายเถา ต้นมีน้ำยางสีขาว ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง
พระจันทร์ครึ่งซีก
เป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กคล้ายกับต้นหญ้า ทอดเลื้อยตามพื้นดินคล้ายเถา ต้นมีน้ำยางสีขาว ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง

พระจันทร์ครึ่งซีก

พระจันทร์ครึ่งซีก มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ในปัจจุบันสามารถพบได้ในแถบภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู ประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ศรีลังกา และพม่า ประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคเหนือ เติบโตตามพื้นที่โล่งที่มีความชื้นแฉะ ในระดับความสูง 100-300 เมตร วัดจากระดับน้ำทะเล[1],[3],[4],[7] ชื่อสามัญ Chinese lobelia[7] ชื่ออื่น ๆ ปัวปีไน้ ปั้วปีไน้ (ภาษาจีนแต้จิ๋ว), ป้านเปียนเหลียม ป้านเปียนเหลียน (ภาษาจีนกลาง), ปั้วใบไน้ (ประเทศจีน), ผักขี้ส้ม (จังหวัดสกลนคร), บัวครึ่งซีก (จังหวัดชัยนาท) เป็นต้น[1],[3],[4],[7] ชื่อวิทยาศาสตร์ Lobelia chinensis Lour. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lobelia caespitosa Blume, Lobelia campanuloides Thunb., Lobelia radicans Thunb. จัดอยู่ในวงศ์ (CAMPANULACEAE)[1],[2],[3],[4],[7]

ลักษณะของต้นพระจันทร์ครึ่งซีก

  • ต้น
    1. เป็นพันธุ์ไม้ประเภทล้มลุกที่มีขนาดเล็กคล้ายกับต้นหญ้า ต้นมีอายุขัยอยู่ได้นานหลายปี
    2. ลำต้นมีผิวเรียบและมีความเป็นมัน มีสีแดงอมเขียวหรือสีเขียว ลำต้นจะมีรูปร่างเรียวเล็กและมีข้อตามลำต้น ซึ่งลักษณะของลำต้นจะทอดเลื้อยไปตามพื้นดินคล้ายเถา และส่วนยอดของลำต้นจะตั้งชูขึ้น
    3. ตามข้อลำต้นจะมีกิ่งก้านและใบออกเรียงสลับกัน และต้นจะมีรากเป็นระบบรากฝอย
    4. ภายในลำต้นมีน้ำยางสีขาว
    5. ความสูงของต้นประมาณ 5-20 เซนติเมตร
    6. ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำ
  • ใบ
    1. ใบ มีรูปร่างเป็นรูปขอบขนาน ตรงปลายใบแหลม ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยตื้น ๆ และบริเวณโคนใบตัดเป็นมน ท้องใบและหลังใบมีผิวเรียบเป็นมันเงา
    2. ใบ จะออกเรียงสลับกัน โดยใบจะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว[1],[3],[7]
    3. ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 0.2-0.6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร และมีก้านใบที่สั้นมาก
  • ดอก
    1. ดอกมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว ก้านดอกค่อนข้างยาว กลีบดอกมีอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกมีสีขาวหรือสีม่วง ดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขียวอมม่วง โดยกลีบดอกจะมีจุดเด่นตรงที่กลีบดอกจะเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน (มีลักษณะคล้ายดอกบัวครึ่งซีก)
    2. ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน และมีเกสรเพศเมียอยู่ 1 อัน มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ แบ่งเป็น 2 ห้อง หลอดดอกมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม และตรงบริเวณโคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ซึ่งแต่ละหลอดจะแยกตัวออกจากกัน
    3. ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม[1],[3],[4]
  • ผล
    1. ผลมีขนาดเล็ก วัดขนาดความยาวได้ประมาณ 4-6 มิลลิเมตร เมื่อผลแห้งผลจะแตกออก
    2. ผลจะออกบริเวณที่ใกล้กับดอก
    3. ติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม
  • เมล็ด
    1. เมล็ดมีรูปร่างเป็นรูปแบนและรี โดยเมล็ดจะมีอยู่เป็นจำนวนมากภายในผล[1],[4]

สรรพคุณ และประโยชน์ของพระจันทร์ครึ่งซีก

1. ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำเป็นยาสำหรับใช้ภายนอก โดยให้นำมาทาบริเวณที่มีอาการ มีสรรพคุณในการรักษาอาการไขข้ออักเสบ และแก้อาการเคล็ดขัดยอก (ทั้งต้น)[3],[5],[7]
2. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาถอนพิษไข้ และดับพิษร้อน (ทั้งต้น)[4]
3. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาไข้หวัด และโรคไข้มาลาเรีย (ทั้งต้น)[5],[7]
4. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยาแก้ไอ (ทั้งต้น)[5],[7]
5. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคภูมิแพ้ และบรรเทาอาการคัดจมูก (ทั้งต้น)[5]
6. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการบวมช้ำ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก และอาการเจ็บสีข้าง (ทั้งต้น)[1]
7. ทั้งต้นนำมาตำใช้เป็นยาพอก มีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการเต้านมอักเสบ (ทั้งต้น)[3],[4],[5]
8. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ (ทั้งต้น)[3],[4],[5]
9. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการไอเป็นเลือด และอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[5]
10. ทั้งต้นนำมาใช้เป็นยาอม มีสรรพคุณบรรเทาอาการเจ็บคอ (ทั้งต้น)[1]
11. ทั้งต้นมีสรรพคุณในการรักษาอาการตาแดง (ทั้งต้น)[3],[5]
12. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ทั้งต้น)[7]
13. ทั้งต้นนำมาใช้ทำเป็นยา มีสรรพคุณในการรักษาโรคหืด บำรุงปอด และรักษาวัณโรค (ทั้งต้น)[1],[2],[4],[5]
14. ทั้งต้นนำมาต้มรับประทานมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการท้องเสีย (ทั้งต้น)[3],[5]
15. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคบิด (ทั้งต้น)[3],[4],[5]
16. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการถ่ายกะปริบกะปรอย (ทั้งต้น)[4]
17. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าพยาธิ (ทั้งต้น)[7]
18. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการไส้ติ่งอักเสบ (ทั้งต้น)[4]
19. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (ทั้งต้น)[1],[4],[7]
20. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการบวมน้ำ (ทั้งต้น)[4]
21. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคขัดเบา และโรคดีซ่าน (ทั้งต้น)[3],[5]
22. ทั้งต้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการท้องมานอันเนื่องมาจากพยาธิใบไม้ (ทั้งต้น)[3],[5]
23. ทั้งต้นนำมาทำเป็นยาขับพยาธิใบไม้ภายในตับ (ทั้งต้น)[4]
24. ทั้งต้นนำมาใช้เป็นยาภายนอก มีสรรพคุณเป็นยาห้ามเลือด (ทั้งต้น)[7]
25. ทั้งต้นนำมาทำเป็นยาสำหรับใช้ภายนอก โดยจะมีสรรพคุณเป็นยาแก้ฝีหนอง กลากและเกลื้อน ผิวหนังมีผื่นคัน อาการผิวหนังอักเสบ อาการฟกช้ำตามร่างกาย และมีแผลเปื่อย (ทั้งต้น)[1],[4],[3],[5]
26. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคมะเร็งที่บริเวณทวารหนัก และที่บริเวณกระเพาะอาหาร (ทั้งต้น)[5]
27. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาพิษงู (ทั้งต้น)[1],[4],[7]
28. ทั้งต้นมักนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในยานัตถุ์[1]

ขนาดและวิธีการใช้

1. ยาแห้งให้นำมาใช้ในปริมาณครั้งละ 35-70 กรัม นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยา
2. ยาสดให้นำมาใช้ในปริมาณครั้งละ 35-70 กรัม นำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยา
3. สำหรับการนำยามาใช้ภายนอกให้นำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม[4]
หมายเหตุ: ไม่ควรทิ้งยาที่ต้มแล้วไว้เกิน 4 ชั่วโมง เพราะยาจะเสื่อมสภาพได้[5]

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพร

  • ผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย ถ่ายอุจจาระเหลว และมีอาการท้องอืด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เนื่องจากอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้[3],[5]

อาการ และวิธีการบรรเทาพิษเบื้องต้น

1. หากใช้สมุนไพรเกินขนาด จะเกิดผลข้างเคียงดังนี้ ในระยะแรกจะเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ เริ่มคลื่นไส้ อาเจียน หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการหายใจไม่ค่อยออก หัวใจทำงานได้ช้าลง เริ่มมีภาวะความดันโลหิต และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
2. วิธีการบรรเทาพิษเบื้องต้นนั้น ให้นำยาฝาดสมาน ที่มีส่วนผสมของ tannic acid มาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่ม หรืออีกวิธีคือการทานผงถ่านพิเศษ (activated charcoal) เข้าไป จากนั้นก็ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว[6]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. จากการวิจัยสารสกัดที่ได้พบว่า ตัวสารมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และพบอีกว่าส่งผลข้างเคียงต่อไตเล็กน้อย[6]
2. จากการวิจัยความเป็นพิษพบว่า สารพิษสามารถฆ่าหนูทดลองให้ตายได้ หากสารพิษนั้นมีปริมาณที่เกินครึ่งของน้ำหนักตัวของหนูทดลอง[6]
3. จากการวิจัยต้นพบว่า มีสารที่สำคัญอันได้แก่ สาร Amino acid, Isobelanine, Lobelandine, Flavonoid, Saponin, Lobeline และ Lobelanine เป็นต้น อีกทั้งยังมีสารในจำพวก Alkaloid อยู่หลายชนิดอีกด้วย[4]
4. จากการวิจัยสารสกัดของต้นพบว่า หลังจากการฉีดสารสกัดเข้าไปในหนูทดลองพบว่า สารสกัดดังกล่าวนี้ มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อรา และส่งผลในการทำให้เลือดแข็งตัว[3],[4]
5. จากการวิจัยสารสกัดของต้นพบว่า ตัวสารสามารถต่อต้านพิษงูได้[4]
6. จากการวิจัยสารสกัดของต้นพบว่า ตัวสารจะเข้าไปต่อต้านเชื้อ Staphelo coccus, เชื้อบิด, เชื้อไทฟอยด์ และเชื้อในลำไส้ใหญ่[4]
7. จากการวิจัยสารสกัดของต้นพบว่า มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะและช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังเพราะมีผลข้างเคียงต่อไต[3],[4],[6]
8. จากการวิจัยพบว่า การนำต้นมาต้มกับน้ำสำหรับใช้เป็นยาในผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้ออันเนื่องมาจากพยาธิใบไม้ในระยะสุดท้ายรับประทาน (โดยได้มีการใช้ร่วมกันกับยาจำพวก antimony potassium tartrate ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิใบไม้โดยเฉพาะ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมด้วย) ในระยะเวลาการรักษา 20 วัน พบว่าในผู้ป่วยจำนวน 100 ราย มีผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นและหายจากอาการติดเชื้อนี้เป็นจำนวน 69 ราย[3],[5]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “พระจันทร์ครึ่งซีก (Phra Chan Khrueng Sik)”. หน้า 190.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พระจันทร์ครึ่งซีก”. หน้า 133.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พระจันทร์ครึ่งซีก”. หน้า 533-535.
4. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “พระจันทร์ครึ่งซีก”. หน้า 366.
5. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 37 คอลัมน์ : อื่น ๆ. (ผศ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล). “พระจันทร์ครึ่งซีก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [10 พ.ย. 2014].
6. ไทยเกษตรศาสตร์. “พระจันทร์ครึ่งซีกสมุนไพร”. อ้างอิงใน : จิราพร ลิ้มปานานนท์, นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี, รพีพล ภโววาท, วิทิต วัณนาวิบูล, สำลี ใจดี, สุนทรี วิทยานารถไพศาล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [10 พ.ย. 2014].
7. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “พระจันทร์ครึ่งซีก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [10 พ.ย. 2014].
8. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.wetlandpark.gov.hk/en/biodiversity/beauty-of-wetlands/wildlife/lobelia-chinensis
2. https://www.ydhvn.com/benh-ly-hoc/cay-duoc-lieu-cay-ban-bien-lien-lobelia-chinensis-lour

เห็ดหลินจือ สรรพคุณรักษาโรคลมบ้าหมู

0
เห็ดหลินจือ สรรพคุณรักษาโรคลมบ้าหมู ดอกเป็นรูปไตหรือรูปครึ่งวงกลม กลางดอกมีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแดงมันเงา ขอบหมวกงุ้มลงเล็กน้อยและหนา
เห็ดหลินจือ
ดอกคล้ายรูปไตหรือรูปครึ่งวงกลม กลางดอกมีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแดงมันเงา ขอบหมวกงุ้มลงเล็กน้อยและหนา

เห็ดหลินจือ

เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดที่ดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน หายากมีคุณค่าสูง เป็นเทพเจ้าแห่งชีวิตที่มีพลังมหัศจรรย์ ใช้ทำเป็นยาเพื่อรักษาทางการแพทย์ของจีนมานานกว่า 2,000 ปี ใช้ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา ตามธรรมชาติมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่นิยมและมีสรรพคุณทางยาที่ดีที่สุดคือสายพันธุ์สีแดง หรือเห็ดหลินจือแดง หรือกาโนเดอร์มา ลูซิดัม (Ganoderma lucidum) ชื่อสามัญ คือ Lingzhi mushroom, Reishi mushroom ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst จัดอยู่ในวงศ์ GANODERMATACEAE ชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า เห็ดหมื่นปี, เห็ดอมตะ

ลักษณะของเห็ดหลินจือ

  • ดอก เป็นรูปไตหรือรูปครึ่งวงกลม กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 8-20 เซนติเมตร หนา 1-3 เซนติเมตร ดอกอ่อนมีขอบสีขาว ถัดเข้าไปมีสีเหลืองอ่อน กลางดอกมีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแดง ผิวเป็นมันคล้ายทาด้วยแลคเกอร์ มีริ้วหรือหยักเป็นคลื่น ขอบหมวกงุ้มลงเล็กน้อยและหนา ด้านล่างเป็นรูกลมเล็ก ๆ เชื่อมติดกัน
  • ต้น มีลักษณะเป็นก้านสั้นหรืออาจไม่มีก้าน ถ้ามีก้านมักมีสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลดำ ยาว 2-10 เซนติเมตร อยู่เยื้องไปข้างใดข้างหนึ่งหรือติดขอบหมวก ทำให้ดอกมีรูปร่างคล้ายไต ผิวก้านเป็นเงา เนื้อในเห็ดมีสีน้ำตาลอ่อน
  • สปอร์ เป็นตัวช่วยในการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ถูกสร้างออกมาจากผนังของรูที่อยู่ใต้หมวกเห็ด ลักษณะเป็นรูปวงรีสีน้ำตาล ปลายด้านหนึ่งตัดตรง ผิวเรียบ มีผนังหนาสองชั้น ระหว่างผนังมีลายหนามยอดเรียวไปจรดผนังชั้นนอก
  • สืบพันธุ์ สปอร์จะหลุดออกจากรูใต้หมวกแล้วปลิวไปเกาะบนผิวดอก ทำให้เรามองเห็นดอกเห็ดเป็นมันเงาสีน้ำตาลคล้ายฝุ่นเกาะ เมื่อสปอร์กระจายออกไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมจึงจะเจริญเติบโตเป็นเห็ดดอกใหม่

การเลือกซื้อเห็ดหลินจือ

– ควรศึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก
– ต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งความชื้น แสงสว่าง รวมไปถึงสารอาหารที่ได้รับ
– สิ่งที่ต้องดูอีกอย่างนั้นคือขั้นตอนการแปรรูป
– เนื่องจากเป็นกระบวนการที่จะต้องสารสกัดพอลิแซ็กคาไรด์จากเห็ดออกมาให้ได้มากที่สุด
– ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้เป็นอย่างดี เพราะเห็ดชนิดนี้จะไวต่อความชื้นเป็นพิเศษ และความชื้นจะทำให้ขึ้นราได้

คำแนะนำ

  1. เหมาะกับโรคของผู้สูงอายุ
    – เพราะเห็ดชนิดนี้มีสามารถป้องกันและบำบัดรักษาโรคเป็นส่วนใหญ่
  2. รูปแบบในการรับประทาน
    – ยาต้มแบบโบราณ โดยการนำที่แห้งนำมาต้มและเคี่ยว แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากและไม่ค่อยจะสะดวก
    – เนื้อบดเป็นผงบรรจุแคปซูล อาจจะทำให้มีเชื้อราได้หากไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ รูปแบบนี้จะมีความเข้มน้อยและดูดซึมได้ยาก
    – สกัดหรือแคปซูล เป็นแบบที่จะได้สารสกัดที่เข้มข้นมาก มีสรรพคุณที่ดีกว่า และดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานการผลิตที่สะอาดและปลอดภัย
  3. เวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน
    – ควรรับประทานในตอนเช้าขณะที่ท้องว่าง
    – ควรดื่มน้ำตามให้มาก ๆ
    – หากทานร่วมกับวิตามินซีจะมีผลที่ดีขึ้น เนื่องจากจะช่วยเสริมสรรพคุณ
    – สำหรับผู้ที่ต้องกินยากดภูมิต้านทานหรือผู้ที่เป็นโรค SLE หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะไม่ควรรับประทาน

ผลข้างเคียงของผู้ทาน

  1. อาการของผู้ที่เริ่มรับประทานใหม่ ๆ คือ
    – รู้สึกเวียนศีรษะ
    – อาเจียน
    – ง่วงนอน
    – ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ
    – เกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย
    – ผิวหนังเกิดอาการคัน
  2. เมื่อตัวยาเข้าไปในร่างกายจะเข้าไปชำระล้างสารพิษต่าง ๆ ให้สลายไป
  3. อาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-7 วันก็จะกลับสู่สภาวะปกติ
  4. หากมีอาการตามนี้ก็สามารถรับประทานต่อได้
  5. หากมีอาการมากก็ควรลดปริมาณลงจนกว่าอาการจะเป็นปกติ
  6. สำหรับผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง สามารถรับประทานเห็ดชนิดนี้ควบคู่ไปได้

สรรพคุณของเห็ดหลินจือ

  • ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือน
  • ช่วยแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยาก
  • ช่วยป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • ช่วยรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดออกซิเจน
  • ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด
  • ช่วยรักษาโรคลูปัส อีริทีมาโตซัสทั่วร่าง (SLE)
  • ช่วยสลายใยแผลเป็นหรือพังผืดหดยืด
  • ช่วยทำให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อ
  • ช่วยรักษาโรคเกาต์
  • ช่วยรักษาโรคลมบ้าหมู
  • ช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษ
  • ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น
  • ช่วยรักษาโรคประสาท
  • ช่วยบำรุงตับและรักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ
  • ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ หอบหืด
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
  • ช่วยลดไขมันในเลือด
  • ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาทให้เบาลง
  • ช่วยลดความดันโลหิตและรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำให้สมดุล
  • ช่วยรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
  • ช่วยป้องกันเส้นเลือดในสมองและหัวใจอุดตัน
  • ช่วยป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ช่วยลดไขมันในเลือด
  • ช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม อาการปวดจากพิษบาดแผล
  • ช่วยแก้อาการท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี
  • ช่วยทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดีขึ้น
  • ช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็งโดยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็ง
  • ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น
  • ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้นอนหลับได้สนิท
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น
  • ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยชะลอแก่ ชะลอวัย
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
  • ช่วยทำให้อายุยืนยาว
  • ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส
  • ช่วยบำรุงร่างกาย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) มีฤทธิ์เสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเนื้องอก ลดน้ำตาลในเลือด ลดอาการอักเสบ ซึ่งในแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารพอลิแซ็กคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป
  • สารในกลุ่มไตรเทอร์พีน (Triterpene) ช่วยกำจัดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ ป้องกันโรคภูมิแพ้ ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • สารในกลุ่มนิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) ออกฤทธิ์บรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันลิ่มเลือดแข็งตัวในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส
  • สารประกอบเจอมาเนียม (Gemanium) เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย บำรุงประสาท สมอง หัวใจ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
  • นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเห็ดชนิดนี้มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 250 ชนิด ปลอดภัยไม่มีสารพิษ

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
นพ.นิวัฒน์ ศิตวัฒน์, รศ.พญ.นริสา ฟูตระกูล, นพ.บรรเจิด ตันติวิท

อ้างอิงรูปจาก
1. https://hifasdaterra.it/blog/funghi/reishi-ganoderma-lucidum/
2. https://medthai.com/

เหงือกปลาหมอ สรรพคุณรากใช้รักษาโรคงูสวัด

0
เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ สรรพคุณรากใช้รักษาโรคงูสวัด เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ ดอกมีพันธุ์สีม่วงและพันธุ์ดอกสีขาว ฝักสีน้ำตาลปลายฝักป้าน
เหงือกปลาหมอ
เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ ดอกมีพันธุ์สีม่วงและพันธุ์ดอกสีขาว ฝักสีน้ำตาลปลายฝักป้าน

เหงือกปลาหมอ

เหงือกปลาหมอ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้ง เติบโตได้ดีในที่ร่มและในที่ที่มีความชื้นสูง มักจะขึ้นตามชายน้ำหรือบริเวณริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ เช่น บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในวงศ์ (ACANTHACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ แก้มหมอ (สตูล), แก้มหมอเล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกลาง), นางเกร็ง, จะเกร็ง, เหงือกปลาหมอน้ำเงิน

ชนิดของสายพันธุ์

  • พันธุ์ที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) สามารถพบได้มากทางภาคใต้
  • พันธุ์ที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) สามารถพบได้มากทางภาคกลางและภาคตะวันออก และเป็นพรรณไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ

ลักษณะของเหงือกปลาหมอ

  • ต้น
    – เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง
    – มีความสูงได้ถึง 1-2 เมตร
    – ลำต้นมีความแข็ง
    – มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม
    – ลำต้นรูปร่างกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว
    – ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ
  • ใบ
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ
    – ขอบใบเว้าเป็นระยะ ๆ
    – ผิวใบเรียบเป็นมันลื่น
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว เส้นใบเป็นสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแนวก้างปลา
    – เนื้อใบแข็งและเหนียว
    – ใบมีความกว้าง 4-7 เซนติเมตร และยาว 10-20 เซนติเมตร
    – ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน
    – ก้านใบสั้น
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อตั้งอยู่บริเวณปลายยอด
    – มีความยาว 4-6 นิ้ว
    – ดอกมีพันธุ์ดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) และพันธุ์ดอกสีขาว
    – ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกออกจากกัน
    – บริเวณกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
  • ผล
    – ผลเป็นฝักสีน้ำตาล
    – ฝักมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี
    – มีความยาว 2-3 เซนติเมตร
    – เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักมีความป้าน
    – ข้างในฝักจะมีเมล็ด 4 เมล็ด

สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ

  • สามารถนำสรรพคุณทางยามาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิด
  • สามารถนำมารักษาโรคผิวหนังได้เกือบทุกชนิด
  • สามารถการนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวารได้
  • ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ได้แก่ ส่วนลำต้นทั้งสดและแห้ง ใบทั้งสดและแห้ง ราก เมล็ด และทั้งต้น
  • ช่วยบำรุงรากผม โดยการใช้ใบมาคั้นเป็นน้ำแล้วนำมาทาให้ทั่วศีรษะ
  • ช่วยแก้ไขข้ออักเสบและแก้อาการปวดต่าง ๆ
  • สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประดง รักษากลากเกลื้อน อีสุกอีใส
  • ช่วยรักษาแผลอักเสบ
  • ช่วยรักษานิ่วในไต
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร
  • ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี
  • ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย
  • ช่วยรักษาฝีทุกชนิดทั้งภายในและภายนอก
  • ช่วยแก้อัมพาต
  • ช่วยรักษาโรคงูสวัด
  • ช่วยรักษาตกขาวของสตรี
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยแก้หืดหอบ
  • ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ
  • ช่วยบำรุงประสาท
  • ใช้ปิดพอกฝี
  • ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ฝีดาษ ตัดรากฝี
  • ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย
  • ช่วยขับพยาธิ
  • แก้อาการไอ
  • ช่วยแก้อาการเจ็บหลังเจ็บเอว
  • ช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัว
  • ช่วยถอนพิษ
  • ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง
  • ช่วยรักษาแผลพุพอง
  • ช่วยรักษาวัณโรค
  • ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
  • ช่วยแก้โรคกระษัย อาการซูบผอม
  • ช่วยแก้ผิวแตก
  • ช่วยรักษาโรคเรื้อน คุดทะราด
  • ช่วยขับโลหิต
  • ช่วยรักษาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
  • ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
  • ช่วยแก้อาการเจ็บตา ตาแดง
  • ช่วยแก้ไข้จับสั่น
  • ช่วยแก้พิษไข้หัว
  • ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ
  • ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต้านมะเร็ง
  • ช่วยแก้อาการร้อนทั้งตัว ตัวแห้ง
  • ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยรักษาอาการธาตุไม่ปกติ
  • ช่วยทำให้เลือดลมเป็นปกติ
  • ช่วยทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่อุดตัน
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ

ประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ

  • สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ เช่น สบู่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสีผม
  • สามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยไอน้ำ
  • สามารถนำไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร
  • สามารถนำมาทำเป็นยาชงสมุนไพร หรือทำเป็นในรูปแบบของยาเม็ดได้

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (ชำนาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การส่วนพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุวดี จอมพิทักษ์), หนังสือกายบริหารแกว่งแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์)

อ้างอิงรูปจาก
1. https://eol.org/pages/482869
2. https://medthai.com/

หมามุ่ย สรรพคุณรักษาโรคพาร์กินสัน

0
หมามุ่ย
หมามุ่ย สรรพคุณรักษาโรคพาร์กินสัน เป็นพืชเถาคล้ายกับถั่วลันเตามีขนสีน้ำตาลอมทองหรือแดงปกคลุมที่ฝัก ขนจะทำให้เกิดอาการคัน
หมามุ่ย
เป็นพืชเถาคล้ายกับถั่วลันเตามีขนสีน้ำตาลอมทองหรือแดงปกคลุมที่ฝัก ขนจะทำให้เกิดอาการคัน

หมามุ่ย

ชื่อสามัญ คือ Mucuna ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Mucuna pruriens (L.) DC. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Mucuna pruriens var. pruriens จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) ชื่ออื่น ๆ บะเหยือง หมาเหยือง (ภาคเหนือ) โพล่ยู (กาญจนบุรี) กล้ออือแซ (แม่ฮ่องสอน) ตำแย

ลักษณะต้นหมามุ่ย

  • ต้น
    – เป็นพืชเถา
    – ผลเป็นฝักยาว คล้ายกับถั่วลันเตา
    – มีขนสีน้ำตาลอมทองหรือแดงปกคลุมที่ฝัก
    – ขนหลุดร่วงได้ง่าย ปลิวตามลมและเป็นพิษ
    – ขนเต็มไปด้วยสารเซโรโทนิน (Serotonin)
    – เมื่อสัมผัสขนจะทำให้เกิดอาการคัน แพ้ระคายเคืองอย่างรุนแรง
    – ฝักจะออกในช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูแล้ง
  • เมล็ด
    – มีสารแอลโดปา (L-Dopa)
    – เป็นสารที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบสืบพันธุ์
    – เป็นสารสื่อประสาทซึ่งมีส่วนช่วยรักษาโรคพาร์กินสันได้
    – ต้องใช้ในรูปแบบที่ผ่านการสกัดมาเป็นยาเม็ด
    – ร่างกายไม่สามารถรับสารในรูปของเมล็ดสดหรือแปรรูปได้

วิธีการรักษาพิษ

  • ให้รีบกำจัดขนพิษออกจากบริเวณที่สัมผัส
  • ใช้เทียนไขลนไฟให้อ่อนตัวหรือใช้ข้าวเหนียวนำมาคลึงจนเนื้อข้าวเหนียวกลืนกัน
  • นำมาคลึงบริเวณที่สัมผัสขนหลายครั้ง ๆ จนหมด
  • หากยังมีอาการแดงแสบร้อนหรือคันอยู่ ให้ใช้โลชั่นคาลาไมน์มาทา
  • ใช้สเตียรอยด์พร้อมกับรับประทานยาแก้แพ้ อาการก็จะดีขึ้น

คำแนะนำในการรับประทาน

  1. รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า
    – เมล็ดสายพันธุ์อินเดียและจีน สามารถช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้
    – ผู้ที่กำลังสนใจและต้องการรับประทาน ไม่ควรรับประทานแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
    – ยังไม่มีผลงานวิจัยรองรับแน่ชัดว่าสายพันธุ์ไทยไม่เป็นหมามุ่ยสปีชีส์ใด หรือมีผลข้างเคียงหรืออันตรายต่อร่างกายหรือไม่
  2. เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยทางจิตเวชไม่ควรรับประทาน
  3. การนำเมล็ดมาทำเป็นยาสมุนไพรรับประทานเอง
    – ต้องมีความระมัดระวังไม่ให้สัมผัสโดยตรง
    – แต่ไม่แนะนำให้เก็บมารับประทานเอง จนกว่าจะได้รับการยืนยันสายพันธุ์ที่แน่นอน
    – เนื่องจากมีหลายสายพันธุ์
    – มีสายพันธุ์จีนและอินเดียที่สามารถทำเป็นยาได้
    – แต่สายพันธุ์ไทยนั้น ยังไม่ระบุแน่ชัด
    – ซื้อแบบสำเร็จรูปรับประทานจะมีความปลอดภัยมากกว่า
  4. วิธีการเก็บ
    – ให้เลือกเก็บจากต้นที่มีฝักแก่
    – ให้ฉีดน้ำให้เปียก เพื่อป้องกันไม่ให้ขนอ่อนของฝักฟุ้งกระจาย
    – จากนั้นก็สวมถุงมือป้องกันแล้วค่อย ๆ เก็บฝัก
    – เมื่อได้มาให้นำเมล็ดมาคั่วไฟ
    – แล้วนำไปล้างน้ำ ก่อนนำไปคั่วไฟอีกรอบ
    – ต้องคั่วให้สุกเท่านั้น
    – หากคั่วไม่สุกแล้วนำไปรับประทานอาจจะเกิดสารพิษได้
  5. วิธีการรับประทาน
    – สามารถนำเมล็ดนำมาบดให้เป็นผง ผสมกับชาหรือกาแฟได้
    – หากชงกับน้ำร้อนเปล่า ๆ รสจะออกเปรี้ยวมันนิด ๆ
    – สามารถรับประทานกับข้าวเหนียวได้
  6. ปริมาณการรับประทานที่แนะนำ
    – ผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ ให้รับประทาน 3 เมล็ดต่อวัน
    – ผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ ให้รับประทานวันละ 20-25 เม็ด ไม่เกิน 3 เดือน

สรรพคุณของหมามุ่ย

  • เมล็ด ช่วยแก้พิษแมงป่อง
  • เมล็ด ใช้เป็นยาฝาดสมาน
  • ราก ช่วยถอนพิษ ล้างพิษ
  • ราก ช่วยแก้อาการคัน
  • ราก ช่วยแก้อาการไอ
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ช่วยผ่อนคลายความเครียด
  • ช่วยเพิ่มการเผาผลาญและมวลของกล้ามเนื้อ
  • ช่วยรักษาโรคพาร์กินสัน
  • ช่วยรักษาภาวะการมีบุตรยากทั้งชายและหญิง
  • ช่วยให้ช่องคลอดกระชับมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยเพิ่มปริมาณของฮอร์โมนเพศ
  • ช่วยทำให้หน้าอกเต่งตึงมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยทำให้ผิวพรรณดูมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหาอวัยวะเพศแข็งตัวช้า
  • ช่วยยืดระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธ์
  • ช่วยแก้ปัญหาการหลั่งเร็วได้
  • ช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ
  • ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำอสุจิ
  • ช่วยปรับคุณภาพของน้ำเชื้อให้ดีมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้ดีมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
  • ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพิ่มความกระฉับกระเฉง
  • ช่วยทำให้นอนหลับสบาย จิตใจเบิกบานแจ่มใส

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว, รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์, เว็บไซต์ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.supersmart.com/en/blog/brain-nutrition/the-benefits-mucuna-pruriens-for-the-nervous-system-reproductive-health-s301
2. https://medthai.com/

อังกาบหนู สรรพคุณของใบใช้รักษาเลือดออกตามไรฟัน

0
อังกาบหนู สรรพคุณของใบใช้รักษาเลือดออกตามไรฟัน เป็นไม้พุ่มเตี้ย ดอกช่อกระจุกดอกมีสีเหลืองหรือส้ม เป็นใบเดี่ยวรูปไข่ขอบขนานมีขนนุ่ม ผลเป็นแคปซูล
อังกาบหนู
เป็นไม้พุ่มเตี้ย ดอกช่อกระจุกดอกมีสีเหลืองหรือส้ม เป็นใบเดี่ยวรูปไข่ขอบขนานมีขนนุ่ม ผลเป็นแคปซูล

อังกาบหนู

อังกาบหนู เป็นพืชท้องถิ่นในประเทศอินเดีย เป็นพืชสมุนไพรในตำรับยาอายุรเวท พบเป็นวัชพืชขึ้นตามที่แห้งแล้งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้ของไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria prionitis L. จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เขี้ยวเนื้อ เขี้ยวแก้ง มันไก่ อังกาบ เป็นต้น

ลักษณะของอังกาบหนู

  • ต้น จัดเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงราวๆ 1-1.5 เมตร มีกิ่งก้านสาขาแตกออกมาจำนวนมากลำต้นเกลี้ยง รอบข้อมีหนามยาวอยู่ หนามยาวราวๆ 1-2 เซนติเมตร
  • ดอก ออกเป็นช่อค่อนข้างแน่นกระจุกอยู่บริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบประดับดอกเป็นรูปแถบยาวราวๆ 1 เซนติเมตร มีใบประดับย่อยเป็นหนามยาวราวๆ 1-1.5 เซนติเมตรติดทน มีกลีบเลี้ยงขนาดไม่เท่ากันเรียงซ้อนเหลี่ยมกันอยู่ 4 กลีบ กลีบคู่ในเป็นรูปไข่ บริเวณปลายเป็นติ่งหนาม กลีบดอกเป็นรูปปากเป็ดหลอดกลีบจะยาวราวๆ 2-2.5 เซนติเมตร ดอกมีสีเหลืองหรือส้ม มีกลีบดอก 5 กลีบ ด้านบนจะมี 4 กลีบยาวเท่าๆกัน หลอดกลีบจะซ้อนอยู่เหลื่อมกัน รังไข่เป็นรูปไข่ยาวราวๆ 3-4 มิลลิเมตรมีช่องอยู่ 2 ช่องและมีออวุล 2 เม็ดในแต่ละช่อง ก้านเกสรตัวเมียจะมียอดเป็น 2 พูไม่ชัดเจนมีลักษณะเรียวยาว และยาวกว่าเกสรตัวผู้ ที่โคนกลีบดอกมีเกสรตัวผู้ 2 ก้านติดอยู่ ยื่นเลยปากหลอดกลีบไปเล็กน้อย มีความยาวอับเรณูราวๆ 3 มิลลิเมตร เกสรตัวผู้ที่เป็นหมัด 2 ก้านจะมีขนาดเล็ก
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว เป็นรูปรีรูปไข่หรือขอบขนาน ใบออกเรียงตรงข้ามกัน ปลายใบแหลมความยาวราวๆ 4-12 เซนติเมตร โคนใบเรียวสอบ มีขนนุ่มสั้นกระจายอยู่ด้านล่างของแผ่นใบมีขนแข็งขึ้นบริเวณขอบใบ ก้านใบยาวราวๆ 2.5 เซนติเมตร
  • ผล เป็นแคปซูลรูปไข่แกมขอบขนาน ยาวราวๆ 1.5-2 เซนติเมตร มีจะงอยอยู่ที่ปลาย มีเมล็ดแบนอยู่ภายในผล เมล็ดยาวราวๆ 5-7 มิลลิเมตรเป็นรูปไข่ มีขนคล้ายไหมแบนราบ

สรรพคุณและประโยชน์ของอังกาบหนู

1. ใช้เป็นยาแก้ไข้ข้ออักเสบได้(ทั้ง 5 ส่วน)
2. ใช้ในการทาแก้กลากเกลื้อนได้โดยการใช้รากหรือใบมาผสมกับน้ำมะนาว(ใบ, ราก)
3. ใบ ใช้ในการแก้พิษงูได้
4. ใบ ใช้แก้และป้องกันอาการท้องผูกได้
5. ใช้ในการรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้โดยใช้ใบผสมกับน้ำผึ้ง (ใบ)
6. นำรากของดอกอังกาบสีเหลืองตากแห้งมาต้มเป็นยาดื่มจะช่วยในการขับเสมหะได้(ราก)
7. ช่วยในการบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยเจริญธาตุไฟได้ดีด้วยการใช้ดอกอังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร(ราก, ดอก)
8. สารสกัดจากรากใช้ในการคุมกำเนิด เนื่องจากสามารถรบกวนการสร้างสเปิร์ม ลดจำนวนสเปิร์ม และทำให้การเคลื่อนไหวของสเปิร์มลดลงได้ โดยจะส่งผลต่อการสร้างสเปิร์มทำให้โครงสร้างและหน้าที่ของสเปิร์มผิดปกติไป ข้อมูลจากการทดลองในหนูเพศผู้นานติดต่อกัน 60 วัน พบว่าสามารถคุมกำเนิดได้ 100%(ราก)
9. ใช้ใบในการรักษาโรคปวดตามข้อ ช่วยแก้อัมพาต โรครูมาติซั่ม ใช้ทาแก้ปวดบวมหรือแก้อาการปวดหลังก็ได้(ใบ)
10. ราก สามารถใช้ทำเป็นยาแก้ฝีได้
11. ใบ ใช้รักษาโรคคันได้
12. ใช้รากแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้(ราก)
13. ใช้ใบคั้น มาหยอดหูแก้อาการหูอักเสบได้(ใบ)
14. สามารถช่วยแก้อาการปวดฟันได้ โดยนำใบมาเคี้ยวแก้(ใบ)
15. ใช้ทำเป็นยาลดไข้ได้(ราก, ใบ) ใบคั้นสามารถนำมาทานแก้หวัดได้
16. ปลูกไว้ประดับตามสวน ปัจจุบันอังกาบดอกเหลืองนั้นหายากมาก
17. ใบ คั้นสามารถนำมาทาแก้ส้นเท้าแตกได้

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
1. สารานุกรมพืช สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช, ไทยรัฐออนไลน์ (นายเกษตร), หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, www.sirisombon.com (ครูบาไตรภพ), www.biogang.net (ใช้ข้อมูลจาก sisaket.go.th)
2. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.myupchar.com/
2. https://powo.science.kew.org/

ต้นหมาก สรรพคุณช่วยรักษาโรคมาลาเรีย

0
ต้นหมาก สรรพคุณช่วยรักษาโรคมาลาเรีย เป็นไม้จำพวกปาล์ม ใบประกอบแบบขนนกปลายแหลม ดอกเป็นช่อขนาดใหญ่สีขาวแกมสีเหลือง ผลเป็นทะลายสีเขียว ผลแก่สีเหลืองส้ม เนื้อสีเหลืองถึงเหลืองเข้มอมแดง
ต้นหมาก
เป็นไม้จำพวกปาล์ม ดอกเป็นช่อใหญ่สีขาวแกมสีเหลือง ผลเป็นทะลายสีเขียว ผลแก่สีเหลืองส้ม เนื้อสีเหลืองถึงเหลืองเข้มอมแดง

หมาก

หมาก มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียเขตร้อน เติบโตได้ดีที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงกว่า 700 เมตร ชื่อสามัญ คือ Areca nut, Areca nut palm, Areca palm, Betel nut palm, Betel Nuts[1],[5]
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Areca catechu L. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (ARECACEAE) ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อวงศ์ว่า PALMAE หรือ PALMACEAE[1],[2],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ หมากเมีย (ทั่วไป), หมากสง (ภาคใต้), แซ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), สีซะ (กะเหรี่ยง-ภาคเหนือ), มะ (ชอง-ตราด), เซียด (ชาวบน-นครราชสีมา), ปีแน (มลายู-ภาคใต้), ปิงน๊อ (จีนแต้จิ๋ว), ปิงหลาง (จีนกลาง)[1],[3]

ลักษณะของต้นหมาก

  • ต้น[1],[3],[5]
    – เป็นไม้ยืนต้นจำพวกปาล์ม
    – ต้นมีความสูงได้ถึง 10-15 เมตร
    – ลำต้นตั้งตรง
    – เป็นต้นเดี่ยวไม่แตกกิ่งก้าน
    – ลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-12 เซนติเมตร
    – ในระยะแรกจะเจริญเติบโตด้านกว้างและด้านสูง
    – มีตายอดตรงส่วนปลายสุดของลำต้น
    – หากยอดตายต้นก็จะตาย
    – ตายอดจะเป็นที่เกิดของใบหลังจากใบร่วงหล่นจะทิ้งรอยติดของใบไว้
    – มีใบหรือข้อเพิ่มขึ้น 5 ใบ หรือ 5 ข้อ
    – มีเนื้อเป็นเสี้ยนยาวจับตัวกันตรงเปลือกนอก
    – ในส่วนกลางของลำต้นเป็นเสี้ยนไม่อัดแน่น
    – มีเนื้อไม้อ่อนนุ่มคล้ายกับฟองน้ำ
    – ต้นเหนียวและสามารถโยกเอนได้
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบ[1],[3]
    – เป็นใบประกอบแบบขนนก
    – ออกเรียงเวียนกันที่ปลายยอด
    – ก้านใบมีความยาวได้ถึง 130-200 เซนติเมตร
    – ใบย่อยเป็นรูปใบหอก
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบเรียวแคบ
    – ใบอ่อนมีรอยแยก
    – ใบมีความกว้าง 2.5-6 เซนติเมตร และยาว 50-70 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเรียบหนา
    – กาบใบหุ้มลำต้น
  • ดอก[1],[3],[5]
    – ออกตามซอกโคนก้านใบหรือกาบนอก
    – ดอกออกรวมกันเป็นช่อขนาดใหญ่
    – จะประกอบไปด้วยโคนจั่นยึดติดอยู่ที่ข้อของลำต้น
    – ก้านช่อดอกเป็นเส้นยาวแตกออกโดยรอบแกนกลาง
    – มีกลีบหุ้มช่อขนาดใหญ่ มีความยาว 40 เซนติเมตร เป็นมันเงา
    – มีใบประดับหุ้มอยู่
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน
    – กลีบดอกเป็นสีขาวแกมสีเหลือง
    – กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็นชั้น 2 ชั้น มีความยาว 5-6 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน
    – มีเกสรเพศเมียเป็นเส้น 3 เส้นบาง ๆ แผ่ออก
    – ดอกเพศผู้จะมีขนาดเล็กและอยู่ตรงส่วนปลายของก้านช่อดอก
    – ดอกเพศเมียจะค่อนข้างใหญ่และอยู่ที่โคนก้านช่อดอก
    – ดอกเพศผู้จะใช้เวลาบาน 21 วัน หลังจากนั้น 5 วัน ดอกเพศเมียจะเริ่มบาน
  • ผล[1],[3],[4],[5]
    – ผลออกเป็นทะลาย
    – ผลเป็นรูปทรงกลม รูปกลมรี รูปไข่ หรือเป็นรูปกระสวยขนาดเล็ก
    – ในหนึ่งทะลายจะมีผลอยู่ประมาณ 10-150 ผล
    – ผิวผลเรียบ
    – มีกลีบเลี้ยงติดเป็นขั้วผล
    – ผลมีความกว้าง 5 เซนติเมตร และยาว 7 เซนติเมตร
    – ผลดิบหรือผลสดเป็นสีเขียวเข้ม เรียกว่า “หมากดิบ”
    – ผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มทั้งผลหรือสีแดงแกมส้ม เรียกว่า “หมากสุก”
    – ผลประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ เปลือกชั้นนอก เปลือกชั้นกลาง เปลือกชั้นใน และส่วนของเมล็ดหรือเนื้อ
    – เนื้อผิวจะมีลายเส้นสีเหลืองถึงสีน้ำตาล
    – ส่วนเนื้อจะเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ถึงสีเหลืองเข้มอมแดง
    – ผลมีเมล็ดอยู่เมล็ดเดียว
    – จะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคม

หมากกับมะเร็งปาก

1. ในอดีต เป็นสัญลักษณ์ของความนับถือและมิตรภาพ
2. ในสมัยก่อนถือเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก
3. ในภายหลัง ได้ถูกห้ามในสมัยของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
– เพื่อให้คนไทยก้าวสู่ความเป็นอารยชน
– การปลูกยังเป็นการปลูกเพื่อเป็นพืชส่งออก
4. ในปัจจุบันแพทย์ได้พบหลักฐานว่า
– กินเป็นประจำจะทำให้คนกินเป็นโรคมะเร็งปาก
– เพิ่มโอกาสการเป็นโรคหัวใจ โรคหืด และโรคเบาหวาน
5. รัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศมีการรณรงค์ให้คนลดการกินหมาก
– ทำให้สถิติการเป็นโรคมะเร็งปากในบางประเทศลดลง
– ในบางประเทศมีการออกกฎหมายห้ามผลิตสินค้าที่มีหมากเจือปน
– ในบางประเทศมีการออกกฎหมายเพื่อจำกัดการผลิต

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. สารสำคัญที่พบ คือ[2],[3[
    – Arecoline
    – Arecaidine
    – Arecolidine
    – Guvacoline
    – Guvacine
    – Isoguvacine
    – Leucocyanidin
    – Alkaloid 0.3-0.7%
    – Tanin 15%
    – น้ำมันระเหย 18%
  2. เมล็ดมีสาร Procyanidins[2]
    – ช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ
    – เมล็ดมีสาร Arecatannin B1[2]
    – ช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มีความจำเป็นต่อเชื้อโรคเอดส์
  3. สารสกัดด้วยเอทานอลจากเนื้อของผลหมากสง[6]
    – มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของคะน้าได้
  4. มีสารอัลคาลอยด์[14]
    – มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราและฆ่าเชื้อไวรัส
  5. จากการนำเนื้อผลมาต้มกับน้ำแล้วป้อนให้หนูทดลองกิน[3]
    – พบว่าภายใน 20 นาที สามารถฆ่าพยาธิในหนูทดลองได้
  6. มีสาร Arecoline[3]
    – มีฤทธิ์ทำให้พยาธิมึนชาได้
    – นำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิในหมูได้ดีมาก
  7. สารที่สกัดได้จากเนื้อผลของผล เมื่อนำไปให้สัตว์ทดลองกิน[3]
    – มีผลกระตุ้นให้กระเพาะและลำไส้ที่หดเกร็งเคลื่อนไหวได้
    – ช่วยทำให้น้ำย่อยของกระเพาะและลำไส้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
  8. สาร Arecoline[7]
    – ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ แรงดันโลหิต
    – ช่วยกระตุ้นปริมาณของน้ำตาลกลูโคสในสมอง

สรรพคุณของหมาก

  • ช่วยแก้โรคกษัย[1]
  • ช่วยแก้พิษผิดสำแดงไข้[2]
  • ช่วยรักษาโรคในปาก[8],[11]
  • ช่วยแก้ปากเปื่อย[8],[11]
  • ช่วยถอนพิษถูกสารปรอทตามฟันได้[8],[13]
  • ช่วยสมานลำไส้[1],[2],[13]
  • ช่วยแก้อาการท้องเดิน[1]
  • ช่วยแก้โรคบิด[11]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[11]
  • ช่วยถอนพิษบาดแผล[1]
  • ช่วยแก้เกลื้อน[1]
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยเส้นเอ็นได้[2],[13]
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร[1]
  • ช่วยแก้โรคเบาหวาน[13]
  • ช่วยรักษาโรคมาลาเรีย[14]
  • ช่วยแก้อาการไอ[1]
  • ช่วยขับเสมหะ[1],[3]
  • ช่วยแก้เมา แก้อาเจียน[1]
  • ช่วยป้องกันอาการของโรคต้อหินหรือความดันภายในลูกตา[14]
  • ช่วยแก้กระเพาะอาหารไม่ย่อย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
  • ช่วยแก้บิดทวารหนัก[3]
  • ช่วยถ่ายพยาธิ ยาขับพยาธิได้หลายชนิด[3],[4],[14]
  • ช่วยขับพยาธิในถุงน้ำดี[3]
  • ช่วยลดอาการขาบวมน้ำ[3]
  • ช่วยสมานแผล[1]
  • ช่วยรักษาหูด[14]
  • ช่วยแก้ไข้ แก้หวัด[2]
  • ช่วยป้องกันสารพิษทำลายตับ[2],[13]
  • ช่วยล้อมตับดับพิษ[9],[11]
  • ช่วยขับพิษภายในและภายนอก[9],[11]
  • ช่วยแก้ผดผื่นคันตามตัวได้[9],[11],[13]
  • ช่วยขับเหงื่อ[4]
  • ช่วยรักษาโรคในปาก[4]
  • ช่วยแก้ปากเปื่อย[4]
  • ช่วยทำให้เหงือกและฟันแข็งแรง[4]
  • ช่วยรักษาท้องเดิน ท้องเสีย[4]
  • ช่วยแก้บิดปวดเบ่ง ปวดแน่นท้อง[4]
  • ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ[2],[4]
  • ช่วยสมานแผลทำให้เลือดหยุดไหล และทำให้แผลหายเร็ว[4],[11]
  • ช่วยยับยั้งการไหลของหนองเวลาเป็นแผล[4]
  • ช่วยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลเป็น[4],]12]
  • ช่วยฆ่าพยาธิบาดแผล ขจัดรอยแผลเป็น[4],[12]
  • ช่วยแก้คัน[4]

ประโยชน์ของหมาก

1. เนื้อในเมล็ด สามารถนำมาใช้ย้อมผ้าได้[7]
2. เปลือกผล สามารถนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงได้[7]
3. เมล็ด สามารถนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิในสัตว์ได้[2],[4],[11]
4. สามารถนำมาใช้กำจัดหนอน ในเวลาที่โค กระบือเป็นแผลมีหนอน จะทำให้หนอนตายได้[11]
5. ช่อดอก จะนำมาใช้ในงานแต่งงานและงานศพ[7]
6. สามารถปลูกไม้ประดับทั่วไปได้ เพื่อลำต้นและทรงพุ่มมีความสวยงาม[7]
7. กาบ สามารถนำมาใช้ทำพัดได้[10]
8. กาบใบ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำภาชนะ เครื่องจักสาน หรือวัสดุห่อหุ้มสิ่งของได้
9. ในสมัยก่อน จะนำกาบใบมาทำเป็นรถลาก (เด็กเล่น) [7],[10],[11]
10. กาบใบ สามารถนำมาดัดหรือเจียนทำเป็นเนียนสำหรับขูดน้ำพริกที่สากและครก[7],[10],[11]
11. กาบใบ สามารถนำมาทำเป็นที่จับกระทะเคี่ยวตาลได้[7],[10],[11]
12. ลำต้นสามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างได้ เช่น ใช้ทำสะพาน เฟอร์นิเจอร์ ทำเสาตอม่อ ทำไม้คานแบกของ ทำคร่าวสำหรับยึดฝาฟากสับ [7],[10],[11]
13. โคนแก่ สามารถนำมาใช้ทำชั้นพะองเพื่อทอดทำสะพานข้ามกระโดง ท้องร่อง[7],[10],[11]
14. ลำต้น เมื่อมาทะลวงไส้ออก จะสามารถใช้เป็นท่อระบายน้ำได้[7],[10],[11]
15. ต้น สามารถนำมากั้นคันดินและทำเป็นตอม่อได้ เพื่อป้องกันคันดินที่กั้นน้ำเข้าสวนพังได้อีกด้วย[7],[10],[11]
16. ชาวสวนใช้ทางแห้งนำมาทำเป็นเสวียนขนาดใหญ่ ใช้สำหรับรองรับกระทะใบบัวขนาดใหญ่ ในขณะที่กวนน้ำตาลองุ่นให้เป็นน้ำตาลปี๊บ[10]
17. ยอดอ่อนของลำต้น สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้[7],[11]
18. จั่นหรือดอกอ่อน สามารถใช้รับประทานเป็นอาหารได้[7],[11]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หมาก (Mak)”. หน้า 328.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หมาก Areca Plam, Betelnut Palm”. หน้า 41.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หมาก”. หน้า 612.
4. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “หมาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [19 ก.ค. 2014].
5. สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา. “หมาก (Betel Nuts)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.chachoengsao.doae.go.th. [19 ก.ค. 2014].
6. การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 48 วันที่ 3-5 ก.พ. 2553. (ศานิต สวัสดิกาญจน์, สุวิทย์ เฑียรทอง, เนาวรัตน์ ประดับเพ็ชร์, สิริวรรณ สมิทธิอาภรณ์, วริสรา ปลื้มฤดี). “ผลของสารสกัดจากพืชบางชนิดต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของคะน้า”. หน้า 412-421.
7. บ้านจอมยุทธ์. “หมาก ( areca palm ) Areca catechu L.”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.baanjomyut.com. [19 ก.ค. 2014].
8. ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “หมาก แก้น้ำกัดมือเท้า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [19 ก.ค. 2014].
9. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “หมาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [19 ก.ค. 2014].
10. จุฬาวิทยานุกรม. “ต้นหมาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.chulapedia.chula.ac.th. [19 ก.ค. 2014].
11. ฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช กรมวิชาการเกษตร. “หมาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.apoc12.com. [19 ก.ค. 2014].
12. โครงการรวบรวมและอนุรักษ์พันธุกรรมผักพื้นบ้านและไม้ผลพื้นเมืองภาคใต้พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่ประชาชนทั่วไป, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “หมาก”. อ้างอิงใน: หนังสือพฤกษาพัน (เอื้อมพรวีสมหมาย และคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.natres.psu.ac.th. [19 ก.ค. 2014].
13. ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “หมาก แก้เบาหวานแผลหายเร็ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [19 ก.ค. 2014].
14. รักบ้านเกิด. “การใช้หมากรักษาหูด”. อ้างอิงใน: กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rakbankerd.com. [19 ก.ค. 2014].
15. ผู้จัดการออนไลน์. (นายเกษตร). “หมากกับมะเร็งปาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [19 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.indiamart.com/
2. https://hzgoodar.live/
3. https://medthai.com/

หนาดใหญ่ ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น

0
หนาดใหญ่
หนาดใหญ่ ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ล้มลุก ดอกเป็นช่อมีริ้วประดับหลายชั้น สีเหลืองขนาดเล็ก ดอกแก่เป็นสีขาว ผิวใบมีขนละเอียด และมีกลิ่นหอม ผลแห้งไม่แตกเป็นสีน้ำตาล โค้งงอเล็กน้อย
หนาดใหญ่
เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ล้มลุก ดอกเป็นช่อสีเหลืองขนาดเล็ก ดอกแก่เป็นสีขาว ผิวใบมีขนละเอียด และมีกลิ่นหอม ผลแห้งไม่แตกเป็นสีน้ำตาล โค้งงอเล็กน้อย

หนาดใหญ่

หนาดใหญ่ เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชื่อสามัญ Ngai Camphor Tree[1], Camphor Tree[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ Blumea balsamifera (L.) DC.จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)[1],[4] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ใบหลม ผักชีช้าง พิมเสน หนาดใหญ่ (ภาคกลาง), คำพอง หนาดหลวง (ภาคเหนือ),ใบหรม (ใต้), เพาะจี่แบ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ด่อละอู้ (ปะหล่อง),หนาด (จันทบุรี), จะบอ (มลายู-ปัตตานี), ส้างหยิ้ง (ม้ง), อิ่มบั้วะ (เมี่ยน), ตั้งโฮงเซ้า ไต่ฮวงไหง่ ไหง่หนับเฮียง (จีน), เก๊าล้อม (ลั้วะ),ต้าเฟิงไอ๋ ไอ๋น่าเซียง (จีนกลาง), แน พ็อบกวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)เป็นต้น[1],[3],[6]

ลักษณะของหนาดใหญ่

  • ต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ล้มลุกมีอายุได้หลายปี มีกลิ่นหอม สูง 1-4 เมตร ลำต้นกลมตั้งตรงเปลือกต้นเรียบเป็นสีเขียวอมขาว หากแก่แล้วจะกลายเป็นสีน้ำตาลแกมเทา มีกิ่งก้านมาก กิ่งก้านมีขนนุ่มยาวสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนขึ้นปกคลุม สามารถขยายพันธุ์ด้วยการใช้ผลหรือเมล็ด มักพบขึ้นตามที่รกร้าง หรือหุบเขาทั่วไป[1],[2],[3]
  • ดอก เป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบเป็นช่อกลม ช่อดอกมีขนาดโตไม่เท่ากัน กว้าง 6-30 เซนติเมตร ยาว 10-50 เซนติเมตร มีริ้วประดับหลายชั้น ริ้วประดับอาจยาวกว่าดอก ลักษณะของดอกย่อยมีสีเหลืองขนาดเล็กเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อบานปลายกลีบจะแยกออกจากกันเป็น 5 กลีบ เมื่อแก่แล้วกลีบดอกจะเปลี่ยนเป็นสีขาว กลีบดอกมีลักษณะติดกันเป็นหลอดยาวได้สูงสุด 6 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงลักษณะเป็นเส้นฝอยปลายแหลมหุ้มอยู่บริเวณโคนดอก ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ใจกลางดอกมีเกสรเพศผู้ยื่นออกมา 5 อัน[1],[2],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรีแกมขอบขนาน ผิวใบมีขนละเอียดหนาแน่น และมีกลิ่นหอม ใบมีขนาดกว้าง1.2-4.5 เซนติเมตรและยาว 10-17 เซนติเมตร โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ก้านใบสั้นหรืออาจไม่มีก็ได้[1],[2],[3]
  • ผล เป็นรูปขอบขนาน ยาวราวๆ 1 มิลลิเมตร ผลแห้งไม่แตกเป็นสีน้ำตาล โค้งงอเล็กน้อย เป็นเส้น 5-10 เส้น มีขนสีขาวปกคลุมอยู่ส่วนบน[1],[2],[3],[4]

ประโยชน์ของหนาดใหญ่

  • สามารถใช้ใบมาทำเป็นที่ประพรมน้ำมนต์ร่วมกับกิ่งพุทราเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย[6]
  • มีความเชื่อจากฟิลิปปินส์ว่า ใบหนาดหากพกติดตัวจะทำให้ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆและมีความเชื่อจากมาเลเซียอีกว่า สามารถช่วยป้องกันตัวเวลาออกล่าช้างป่าส่วนในบ้านเรามีความเชื่อว่า สามารถป้องกันผีได้
  • ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพิมเสนใช้ในปัจจุบัน[3]

พิมเสนหนาด คือส่วนที่นำใบและยอดอ่อนมาสกัดด้วยไอน้ำจะได้เป็นน้ำมันหอม เมื่อเย็นตัว พิมเสนก็จะตกผลึก จากนั้นกรองแยกเอาผลึกพิมเสนมาประมาณ 0.15-0.3 กรัม นำไปทำเป็นยาเม็ดกินหรือนำมาป่นให้เป็นผงละเอียดใช้ก็ได้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัด ใช้ในการป้องกันและรักษาไขมันในเลือดสูงและโรคหลอดเลือดตีบใช้กันเมื่อปี ค.ศ.2006 ที่ประเทศจีน[2]
  • นำสารสกัดจากใบมาฉีดให้กับคนจะพบว่าสามารถแก้ความดันโลหิตสูง กระวนกระวายใจ อาการนอนไม่หลับ และช่วยในการขับปัสสาวะ และเมื่อนำมาฉีดเข้ากับสัตว์ทดลอง พบว่าช่วยลดความดันโลหิต ทำให้กล้ามเนื้อลายหดตัว ขยายหลอดลม และช่วยยับยั้ง Sympathetic nerveได้[1],[3]
  • สารที่พบคือ น้ำมันหอมระเหย และในน้ำมันหอมระเหยพบสาร Borneol, Cineole, Di-methyl ether of phloroacetophenone, Limonene และยังพบสารจำพวก Hyperin, Amino acid, Flavonoid glycoside,Erysimin ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าพบสาร blumealactone, borneol, flavanone, quercetin, xanthoxylin[2]
  • สารผสม ถูกใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจวาย โรคหลอดเลือดตีบในปริมาณ 5:1000 มิลลิกรัม พบเมื่อปี ค.ศ.2007 ที่ประเทศจีน[2]
  • น้ำต้มที่ได้จากรากและใบ ในความเข้มข้นร้อยละ 1 มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของน้ำต้มจากกาเฟอีนและใบชา พบว่าหนาดจะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะอ่อนกว่าเล็กน้อย[3]
  • สามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเซลล์ ยับยั้งเอนไซม์ ยับยั้งการหลั่งของฮีสตามีน ฆ่าปลา ขับปัสสาวะ[2]

สรรพคุณของหนาดใหญ่

1. ใบ มีสรรพคุณในการแก้ปวดกระดูกและเอ็นได้(ใบ)[7]
2. สามารถเป็นในการแก้ปวดข้ออันเนื่องมาจากลมชื้น แก้ปวดเมื่อยตามร่างกายโดยการใช้รากและใบทำเป็นยา (รากและใบ)[1],[3] แก้อาการปวดเมื่อยหลังการคลอดบุตรได้ โดยการใช้รากต้มกับน้ำกินเป็นยา(ราก)[1],[4]
3. สามารถแก้อาการปวดข้อ แก้บวม แก้แผลฟกช้ำโดยการนำรากมาต้มเอาน้ำกินเป็นยา(ราก)[1],[2],[4]
นำใบมาบดเป็นผงผสมเหล้า ใช้เป็นยาทาแก้ปวดบวม ปวดข้อ ปวดเอว ปวดหลังได้(ใบ)[1],[2],[7] ใช้ยอดอ่อนหรือใบหนาดใหญ่ รากว่านน้ำเล็กสด ใบละหุ่งสด อย่างละเท่าๆกัน นำมาต้ม ใช้น้ำต้มชะล้างบริเวณที่บวมเจ็บ หรือตามข้อที่ปวด(ใบ)[7]
4. ใบ สามารถใช้เป็นยาพอกแก้หิดได้ (ใบ)[7]
5. ใบสามารถรักษาแผลสด แผลฟกช้ำจากการกระแทก ฝีบวมอักเสบ แผลฝีหนอง แก้กลากเกลื้อนได้
โดยการนำใบมาบดให้เป็นผงผสมกับเหล้าใช้พอกหรือทา หากนำใบมาตำพอกจะสามารถช่วยห้ามเลือดได้(ใบ)[1],[2],[4],[7] ทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้โดยการนำใบหรือผงใบแห้งมาคั้นเอาน้ำและใช้ทาบริเวณแผล (ใบ)[7]
6. สามารถทำเป็นยาพอกแก้ม้ามโตได้โดยการ ใช้ใบตำร่วมกับใบเพกา ใบยอและใบกระท่อม (ใบ)[7]
7. ใบ ในจีนมีการสร้างยาทำให้แท้ง[4]
8. สามารถช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นโดยการใช้ใบหนาดอ่อนนำมาต้มกับน้ำร่วมกับ ใบเดื่อฮาก ใบก้านเหลือง ใบช่าน ใบฝ่าแป้ง เครือไฮ่มวย ว่านน้ำเล็ก ต้นสามร้อยยอด ลำต้นป้วงเดียตม ต้นถ้าทางเมีย ให้สตรีหลังคลอดบุตรที่อยู่ไฟอาบ ชาวเมี่ยนนิยิมใช้วิธีนี้(ใบ)[6]
9. สามารถช่วยในการขับประจำเดือน (ใบ)[4] และยังสามารถใช้เป็นยาแก้มุตกิด ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติได้(ใบ[4],รากและใบ[3]) สามารถทำยาแก้ประจำเดือนออกมากผิดปกติได้ โดยการใช้น้ำคั้นหรือน้ำต้มจากใบหรือจากราก นำมาทานเป็นยา วิธีนี้นิยมในชวา (ใบ, ราก)[7]
10. สามารถทำเป็นยาแก้ท้องเสีย ท้องร่วง ปวดท้องได้ โดยการใช้รากต้มเอาน้ำทานเป็นยา(ราก)[1],[2],[4]
ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ท้องร่วงได้โดยการใช้ส่วนใบมาต้มเอาน้ำกิน(ใบ)[1],[2],[4],[7] ใช้พิมเสนสามารถทานเป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องร่วงได้(พิมเสน)[1],[4]
11. สามารถแก้ลมขึ้นจุกเสียดแน่นเฟ้อได้ (ใบ[1],[4], รากและใบ[3])
12. สามารถรักษาโรคหืดได้ โดยการใช้ใบมาทำเป็นยา[2] ใบมีสาร cryptomeridionซึ่งสามารถลดการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ เช่น กล้ามเนื้อหลอดลมได้ สามารถนำใบบดมาผสมกับการบูร ต้นข่อย แก่นก้ามปูและพิมเสน แล้วมวนด้วยใบตองแห้งสูบรักษาโรคหืด(ใบ)[4]
13. ใบมีสรรพคุณที่สามารถช่วยในการขับเหงื่อได้(ใบ)[1],[2],[4] ใช้ใบร่วมกับต้นตะไคร้ ต้มให้เดือดแล้วนำมาอบตัวจะช่วยในการขับเหงื่อได้ โดยนิยมใช้ในอินโดจีน (ใบ)[7]
14. ใช้กินเป็นยารักษาโรคไข้มาลาเรียได้ โดยการใช้ยอดอ่อนมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆจากนั้นนำไปตุ๋นใส่ไข่ วิธีนี้ได้มาจากชาวม้ง(ยอดอ่อน)[6]
15. หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ใบและลำต้นหนาดใหญ่ร่วมกับใบเป้าใหญ่และใบมะขาม มาต้มอาบสามารถช่วยแก้อาการหน้ามืด วิงเวียน ตาลายได้(ต้นและใบ)[4]
16. ใช้ใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย ตากแดดและมวนกับยาฉุนใช้สูบจะสามารถเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกได้ (ใบ)[1],[4],[7]
17. สามารถใช้พอกศีรษะเพื่อแก้อาการปวดศีรษะได้ โดยการใช้ใบมาตำกับใบขัดมอญ นิยมวิธีนี้ในกัมพูชา(ใบ)[7]
18. สามารถช่วยในการระงับประสาทได้(ใบ, ทั้งต้น)[4]
19. ใช้เป็นยาฟอกเลือดช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยขับลมชื้นในร่างกายได้ เนื่องจากใบและรากมีรสเผ็ดขมเล็กน้อย เป็นยาร้อนเล็กน้อย มีฤทธิ์ต่อตับ กระเพาะ ม้ามและลำไส้ (ใบและราก)[3]
20. ใช้เป็นยาบำรุงให้แก่สตรีหลังคลอดบุตรได้ (ใบ)[4] ช่วยให้สตรีหลังคลอดบุตรฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยใช้เป็นส่วนผสมของยาได้แก่ ไพล ใบหนาด เปล้าหลวง ราชาวดีป่า และอูนป่า ต้มในสตรีหลังคลอดอาบ[6]
21. ใบช่วยทำให้เจริญอาหาร และเป็นยาบำรุงธาตุ(ใบ)[4]
22. ใช้เป็นส่วนผสมของยาอบสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณแก้น้ำเหลืองเสีย โรคผิวหนังพุพองได้ โดยเป็นสูตรช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต (ใบ)[5]
23. ใบมีสรรพคุณที่ช่วยแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ (ใบ)[4]
24. ใช้รากหนาด 30 กรัม, เหลี่ยงเมี่ยนเจิน 6 กรัม, เถาหีบลมเทศ 30 กรัมนำมารวมกันต้มกับน้ำกินสามารถแก้ปวดข้อ ไขข้ออักเสบเนื่องจากลมชื้นได้(ราก)[3] ใบก็สามารถทำเป็นยาแก้โรคไขข้ออักเสบได้เช่นกัน (ใบ)[4]
25. ช่วยบำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื้น และช่วยแก้หิดได้โดยการใช้ใบผสมในน้ำอาบสมุนไพรหลังคลอด (ใบ)[4]
26. นำใบมาตำให้ละเอียด ใส่ด่างทับทิมและน้ำพอประมาณ จะใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อนได้โดยการนำมาปิดบริเวณที่เป็นแผล (ใบ)[4]
27. สามารถช่วยรักษาแผลอักเสบ แผลฟกช้ำ แก้กลากเกลื้อนและทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้ โดยการใช้ผงพิมเสนมาโรยใส่แผล(พิมเสน)[1],[4],[7]
28. ใช้ใบหนาด 20 กรัม, โด่ไม่รู้ล้ม 20 กรัม, จิงเจี้ย 20 กรัม,ขู่เซินจื่อ 20 กรัม,เมล็ดพุดตาน 15 กรัม,ใบสายน้ำผึ้ง 30 กรัม,ไป๋เสี้ยนผี 30 กรัมนำมารวมกันต้มเอาน้ำชะล้างแผลสามารถแก้เริมบริเวณผิวหนังได้(ใบ)[3]
29. ใช้เอี๊ยะบ๊อเช่า 18 กรัมและใช้รากหนาด 30 กรัมนำมารวมกันต้มกับน้ำกินสามารถช่วยในการแก้ปวดประจำเดือนได้(ราก)[3]
30. ใช้ใบหนาดร่วมกับใบหมากป่า และใบเปล้าหลวงใช้เป็นยาสมุนไพรอาบเพื่อรักษาอาการผิดเดือนสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ ชาวลั้วะจะใช้รากมาต้มผสมกับรากเปล้าหลวงในน้ำ สามารถใช้เป็นยาห่มรักษาอาการผิดเดือนได้ (ราก, ใบ)[6]
31. ทำเป็นยาขับพยาธิได้ โดยใช้น้ำต้มจากใบและยอดอ่อนมาดื่มเป็นยา(ใบ)[1],[4]และทั้งต้นก็มีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิเช่นกัน (ทั้งต้น)[4]
32. สามารถช่วยในการขับลมในลำไส้ (ราก, ใบ, พิมเสน)[1],[2],[4]
33. ชาวลั้วะใช้ใบมานวดบริเวณอกเพื่อแก้อาการเจ็บหน้าอก หากยังไม่หายจะใช้ต้นมาต้มกับน้ำดื่ม(ต้น, ใบ, ทั้งต้น)[4],[6]
34. มีสรรพคุณช่วยในการขับเสมหะ (ต้น, ใบ)[1],[2],[4]
35. สามารถทำเป็นยาแก้หวัดได้โดยการใช้รากมาต้มกับน้ำทาน(ราก, ใบและราก)[3],[4]
36. ทำเป็นยาแก้ไข้ได้ โดยใช้ใบและยอดอ่อนต้มกับน้ำทาน(ใบ)[1],[2],[4] ทั้งต้น มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้ลมแดดได้(ทั้งต้น)[4] สามารถนำต้นมาต้มอาบแก้ไข้ได้โดยนิยมในชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน(ต้น)[6] สามารถทำเป็นยาทานแก้ไข้ได้ โดยใช้ใบนำมาต้มรวมกับเทียนดำ หัวหอมเล็ก หรือจะบดกับเกลือก็ได้ (ใบ)[7]
37. ทำให้เลือดหยุดไหลได้ โดยการนำใบมาขยี้แล้วใช้ยัดบริเวณจมูก(ใบ)[6]
38. พิมเสนสามารถช่วยแก้ตาเป็นต้อได้ (พิมเสน)[7]
39. ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้อหิวาตกโรคได้ (ทั้งต้น)[4]
40. มีสรรพคุณใช้เป็นยาลดความดันโลหิต (ใบ, ทั้งต้น)[4]
41. ทำให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นโดยการใช้รากสดมาต้มเอาน้ำดื่ม(ราก)[1],[2],[4]
42. ใช้เข้ายาห่มตำรับไทลื้อ บำรุงร่างกายและผิวพรรณได้โดยการนำใบมาสับแล้วตากให้แห้ง (ใบ)[6]
43. สามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลังได้ โดยการใช้ใบและยอดอ่อนต้มเอาน้ำดื่ม(ใบ)[1],[2],[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หนาดใหญ่”. หน้า 813-815.
2. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “หนาดใหญ่” หน้า 192.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หนาดใหญ่”. หน้า 610.
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “หนาดใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [30 ก.ย. 2014].
5. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “หนาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [30 ก.ย. 2014].
6. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “หนาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [30 ก.ย. 2014].
7. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 17 คอลัมน์ : อื่น ๆ. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “หนาดใหญ่และผักหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [30 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://tcmwiki.com/
2. https://blog.xuite.net/
3. https://medthai.com/