โรคในห้องแอร์ และการปฏิบัติตัว
โรคในห้องแอร์
ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้หลาย ๆ บ้านต้องติดตั้งแอร์เพื่อให้บ้านเย็น แต่รู้หรือไม่ว่ายิ่งอยู่ในห้องแอร์นานแล้วแอร์ไม่สะอาด หรือไม่เคยล้างเป็นเวลานาน ๆ ก็สามารถก่อโรคร้ายให้กับตัวคุณได้
โรคที่เกิดจากการอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ
1. โรคทางเดินหายใจ: เช่น โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ (Air-conditioner Lung), ภาวะระคายเคืองที่เกิดจากอากาศแห้ง, โรคไซนัส, และการติดเชื้อทางเดินหายใจ
2. ปัญหาผิวหนัง: ผิวแห้งและแตก การระคายเคือง หรือผิวหนังอักเสบ เนื่องจากการสูญเสียความชื้นในอากาศ
3. อาการภูมิแพ้: การระคายเคืองที่เกิดจากฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในตัวกรองเครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ
4. อาการเหน็บชาและกล้ามเนื้อตึง: จากการที่ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
5. ปัญหาการนอนหลับ: อุณหภูมิที่เย็นเกินไปอาจทำให้การนอนหลับถูกรบกวน และมีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ
6. ภาวะโรคเลือดออกในจมูก: อากาศที่แห้งมากอาจทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและเกิดการเลือดออกได้ง่ายขึ้น
7. โรคจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา: เมื่อเปิดแอร์จะต้องปิดหน้าต่างและประตู ทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและมีเชื้อโรคสะสมอยู่เป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดโรค เช่น วัณโรค อีสุกอีใส หืดหอบ ปอดบวม หรือหัดเยอรมัน ซึ่งต่างก็เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากอากาศที่ผ่านช่องแอร์
การป้องกันโรคในห้องแอร์เหล่านี้สามารถทำได้โดยการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศให้สะอาด, การตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม, การใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นในห้อง, และการป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกลมเย็นโดยตรง
ข้อควรปฏิบัติในการนอนในห้องแอร์
1. การตั้งอุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่เย็นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องปรับตัวหนักเกินไป และเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่ดี
2. การบำรุงรักษา: ทำความสะอาดและบำรุงรักษาแอร์บ้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแอลเลอร์เจน
3. การกรองอากาศ: ใช้ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศภายในห้อง.
4. การใช้เครื่องทำความชื้น: อาจพิจารณาใช้เครื่องทำความชื้นในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อรักษาความชื้นในอากาศที่เหมาะสมและป้องกันการแห้งของเยื่อเมือก
5. การระบายอากาศ: ให้อากาศภายในห้องถูกระบายสลับกับอากาศภายนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้และเชื้อโรคภายในห้อง
6. การหยุดพักเครื่องปรับอากาศ: หากใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งคืน ควรมีการตั้งเวลาให้เครื่องหยุดพักบ้าง เพื่อไม่ให้อากาศหนาวเย็นตลอดเวลา
7. การป้องกันร่างกาย: หมั่นใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเย็นจนเกินไปขณะนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
8. การตรวจสอบสุขภาพ: หากมีอาการผิดปกติเช่นไอ หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการทางผิวหนัง ควรหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาแพทย์
9. ควรปิดแอร์ในช่วงกลางคืน หรือตั้งเวลาปิดหลังเที่ยงคืน: จะช่วยให้นอนหลับได้โดยไม่เย็นเกินไป และช่วยให้หลับสบายไม่มีเสียงรบกวนการหลับ
อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การนอนในห้องแอร์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งห้องแอร์ควรทำความสะอาดโดยการล้างแอร์บ้านอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และควรเลือกใช้น้ำยาแอร์บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำยาแอร์ R22 R32 R410a หากเลือกซื้อน้ำยาแอร์คุณภาพดี ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และน้ำยาแอร์ราคาถูกเราขอแนะนำสามารถสั่งซื้อได้ที่ www.fillkool.com หรือแอดไลน์ : @520gemhc
การนอนในห้องแอร์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจริงหรือ
การนอนในห้องแอร์
การนอนในห้องปรับอากาศอาจมีผลเสียต่อสุขภาพทางเดินหายใจ การย้ายจากสภาพแวดล้อมกลางแจ้งที่ร้อนไปสู่สภาพแวดล้อมในร่มที่เย็นอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบ นำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ไอ หายใจมีเสียงหวีด และหายใจลำบาก นอกจากนี้ การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศยังเชื่อมโยงกับภาวะการหายใจผิดปกติในการนอนหลับในผู้ใหญ่อีกด้วย แม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะไม่เป็นอันตราย แต่สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบได้รับการดูแลอย่างดีและทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินหายใจที่ทำให้รุนแรงขึ้น
ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นอีกประการหนึ่งของการนอนหลับในห้องปรับอากาศคือผลกระทบต่อสุขภาพผิวและระดับความชื้น เมื่อเครื่องปรับอากาศกำจัดความชื้นออกจากห้อง อาจทำให้ผิวแห้งและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยและรอยยับ สำหรับบุคคลที่มีปัญหาทางผิวหนังอยู่แล้ว เช่น โรคโรซาเซีย โรคสะเก็ดเงิน หรือกลาก เครื่องปรับอากาศอาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพผิวนั้นไม่เป็นสากลและอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
นอกจากผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพแล้ว การนอนในห้องปรับอากาศยังส่งผลต่อการใช้พลังงานและปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เครื่องปรับอากาศใช้พลังงาน ส่งผลให้ระดับมลพิษทางอากาศสูงขึ้นและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ และพิจารณาวิธีการทำความเย็นแบบอื่น เช่น พัดลมหรือการระบายอากาศตามธรรมชาติ เมื่อเป็นไปได้ แม้ว่าการนอนในห้องปรับอากาศโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยง การดูแลบำรุงรักษาและการทำงานของระบบอย่างเหมาะสม ตลอดจนการพิจารณาวิธีการทำความเย็นแบบอื่น สามารถช่วยลดผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้
การนอนในห้องปรับอากาศอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการใช้เวลาจำนวนมากในห้องปรับอากาศอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพบางอย่าง ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ ผิวแห้ง ปัญหาระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าการสัมผัสกับเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการติดเชื้อในทางเดินหายใจ เนื่องจากความชื้นต่ำในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศอาจทำให้เยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจแห้ง และลดความสามารถในการดักจับและกำจัดเชื้อโรค นอกจากนี้ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังอาจทำให้ตา จมูก และลำคอแห้งและระคายเคืองได้
เพื่อลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับอากาศต่อสุขภาพ แนะนำให้รักษาระดับอุณหภูมิและความชื้นในห้องให้อยู่ในระดับปานกลาง และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการระบายอากาศและการไหลเวียนของอากาศบริสุทธิ์อย่างเหมาะสม ขอแนะนำให้หยุดพักจากสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ และออกไปสัมผัสกับอากาศและแสงแดดตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผลกระทบของเครื่องปรับอากาศที่มีต่อสุขภาพอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม วิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล
รู้หรือไม่! นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค
นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค
นอนห้องแอร์บ่อยเสี่ยงโรค เช่น การเจ็บป่วยจากอากาศที่แห้งเกินไปหรือการเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหวัดหรือภูมิแพ้ การใช้แอร์ควรปรับให้อุณหภูมิเหมาะสมและรักษาความชื้นในอากาศให้เพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย
โรคที่เกิดจากการนอนห้องแอร์ทั้งวันทั้งคืน
โรคที่เกิดจากเครื่องปรับอากาศ: การป่วยจากเครื่องปรับอากาศเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่จากลมเย็นที่มันสร้างขึ้นโดยตรง ปัญหามักเกิดจากผลข้างเคียงของเครื่องปรับอากาศ เช่น การแพร่กระจายของไวรัสที่ได้รับการช่วยเหลือจากระดับความชื้นที่ต่ำ
โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ: อาการที่เกี่ยวข้องกับ โรคปอด ไอแห้ง เสียงหวีดในลมหายใจ อาการหายใจไม่อิ่ม ความรู้สึกอึดอัดในหน้าอก ไข้ อาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย และปวดหัว อาการเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นหลังจากได้รับแอลเลอร์เจนประมาณสี่ถึงหกชั่วโมงและอาจคงอยู่ตั้งแต่ 12 ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน
โรคไซนัสและปัญหาทางเดินหายใจ: การได้รับการสัมผัสกับเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน โดยเฉพาะมากกว่าสี่ชั่วโมงต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคไซนัสเนื่องจากการแห้งของเมือก การใช้เวลาในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศมากเกินไปอาจนำไปสู่อาการหายใจไม่สะดวก
การดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญ: ระบบเครื่องปรับอากาศต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ตรวจสอบและทำความสะอาดเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ การละเลยการบำรุงรักษาที่เหมาะสมสามารถนำไปสู่ปัญหาการหายใจและการติดเชื้อ และการตั้งอุณหภูมิในห้องให้เย็นเกินไปมีผลเสียอื่นๆ ด้วย
เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งสำคัญคือต้องรักษาระบบเครื่องปรับอากาศให้สะอาด หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่เย็นเกินไป และพิจารณาใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อรักษาระดับความชื้นในห้องให้มีสุขภาพดี
ข้อดีของการอยู่ในห้องแอร์
ความสะดวกสบาย: เครื่องปรับอากาศลดอุณหภูมิในห้องให้เย็นสบาย ช่วยให้คนอยู่อาศัยได้สบายในสภาพอากาศร้อนจัดหรือชื้นมาก
คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น: ระบบกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง สารพิษ และแอลเลอร์เจนในอากาศได้
ลดความชื้น: เครื่องปรับอากาศช่วยลดความชื้นภายในห้อง ทำให้ลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่น
ช่วยในการนอนหลับ: อุณหภูมิที่เหมาะสมสามารถช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น โดยอุณหภูมิที่เย็นช่วยให้ร่างกายปล่อยสารเมลาโทนิน ซึ่งช่วยในการนอนหลับ
น้ำยาแอร์มีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามเครื่องปรับอากาศของคุณ สามารถสั่งซื้อน้ำยาแอร์คุณภาพดี ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย MSDS และด้านคุณภาพสินค้า Specification ที่ www.fillkool.com หรือ Line@ : Fillkool
ข้อเสียของการอยู่ในห้องแอร์
โรคทางเดินหายใจ: การใช้เครื่องปรับอากาศอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ และโรคไซนัสเนื่องจากการแห้งของเมือก
ปัญหาผิวหนัง: อากาศที่แห้งจากเครื่องปรับอากาศอาจทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดอาการคัน
การแพร่กระจายของเชื้อโรค: หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม เครื่องปรับอากาศอาจเป็นแหล่งสะสมและการแพร่กระจายของเชื้อโรค
การใช้พลังงานสูง: เครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูง อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างถูกวิธีและการดูแลรักษาที่ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโทษและเพิ่มประโยชน์ที่ได้รับได้
โคโรคคืออะไร? สรรพคุณของโคโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
โคโรค
โคโรคเป็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแพทย์แผนตะวันออก มีสรรพคุณทางยาฤทธิ์เย็นและรสขม บางครั้งถุงนิ่วอาจหลุดออกจากการไอของวัวที่เป็นโรค ซึ่งถือเป็นสิ่งมีค่าและราคาแพงมาก จึงมีการผลิตจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญคือ Ox gallstone หรือ Bos calculus ชื่อทางเภสัชกรรมคือ Calculus Bovis และชื่อสัตววิทยาคือ Bos taurus domesticus Gmelin ส่วนชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ได้แก่ นิ่ววัว, หนิวหวง (จีนกลาง) เป็นต้น
ลักษณะสำคัญ
โคโรค คือ นิ่วที่เกิดขึ้นในถุงน้ำดีของวัวที่เกิดจากการอักเสบผ่านระยะเวลาที่แห้งแล้งจนกลายเป็นหินแข็ง รูปร่างเป็นรูปไข่มีลักษณะเบาและเปราะ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.3 ถึง 3 ซม. ผิวด้านนอกมีสีน้ำตาลทองหรือเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในวัวที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป การดูว่าวัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ จะสังเกตได้จากการที่วัวมีรูปร่างผอม ดื่มน้ำมาก ทานอาหารน้อย ไม่มีแรงจะเดิน
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
มีวิตามินดี ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ แต่หากทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตัวเหลืองเนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย,
สารที่พบ เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุทองเหลือง แคลเซียม Alanine, Aspartic acid, Arginine, Vitamin D, Leucine, Glycine, Cholesterol, Cholic acid, Fatty acid, Methionine, Taurine, Lecithin เป็นต้น
จากการทดลองพบว่าสามารถช่วยให้หัวใจของหนูทดลองที่ได้กินกาแฟ หรือการบูรเข้าไปจนหัวใจเต้นเร็ว กลับมาเต้นเป็นปกติ และทำให้จิตใจของหนูสงบลงอีกด้วย
พบว่ากรดโคลิก สามารถช่วยในการบำรุงหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหลอดเลือดหดตัว
สรรพคุณ และประโยชน์โคโรค
1. สามารถนำมาทำเป็นส่วนผสมในการทำยาแก้น้ำลายเหนียว ขับเสมหะ และลมชักในเด็กได้
2. ช่วยในการรักษาอาการบวมตามอวัยวะต่างๆ ได้,
3. ใช้ในการทำเป็นยารักษาดีซ่าน และอาการตับอักเสบได้
4. ใช้กินเป็นยาแก้เสมหะแห้ง น้ำลายเหนียวติดลำคอ และช่วยขับเสมหะ,
5. ใช้ทำเป็นยาในการขับพิษร้อนถอนพิษไข้ อาการชักในเด็ก ไข้สูง ตัวร้อน ไข้หมดสติ และอาการเพ้อพูดจาเพ้อเจ้อ,
6. ทำเป็นยาในการบำรุงกำลังได้
7. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ และการเป็นแผลที่ลิ้นได้ โดยการนำมาเป่าคอหรือป้ายลิ้น
8. สามารถใช้ในการรักษาฝีภายในและภายนอกได้
9. สามารถนำมาหยอดตา แก้อาการเจ็บตา ตาฟาง ตาแฉะ
10. เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ สามารถทำเป็นยาสงบจิต และแก้อาการตกใจง่าย มีรสขมชุ่ม
11. ทางจีนใต้มีการนำมาขาย เป็นสินค้าทางยา อีกทั้งยังได้ราคาที่แพงมาก
การใช้
จะใช้ครั้งละ 0.2-0.4 กรัม สามารถนำมาบดเป็นผงชงดื่ม ทำเป็นยาลูกกลอนทาน หรืออาจนำมาทาภายนอกก็ได้
ข้อควรระวัง
สำหรับผู้ที่มีอาการกระเพาะอาหารม้ามเย็นพร่อง และสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้,
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “โค โรค (ox-gall-stone)”. หน้า 170.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โค โรค”. หน้า 211.
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 97 คอลัมน์ : อาหารสมุนไพร. (วิทิต วัณนาวิบูล). “วัว สัตว์ที่มนุษย์ยกย่อง”. . เข้าถึงได้จาก...
ต้นว่านดอกทอง เด่นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์
ว่านดอกทอง
ว่านดอกทอง หรือว่านรากราคะ เป็นสมัยโบราณอันน่าพิศวงหากใครได้สูดดมกลิ่นจากดอก มีอันทำให้เกิดอารมณ์ทางราคะอย่างไร้ซึ่งเหตุผล เป็นว่านเสน่ห์มหานิยมที่คนสมัยโบราณมักนำมาทำเป็นยาเสน่ห์ และเป็นว่านมงคลที่หากปลูกไว้หน้าร้านค้าจะทำให้กิจการรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป สามารถพบได้ในประเทศไทยทางภาคเหนือ และทางภาคตะวันตก ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma spp. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE) ชื่ออื่น ๆ กระเจา, ว่านดอกทองแท้, ว่านดอกทองตัวผู้, ว่านมหาเสน่ห์ดอกทอง, ว่านดอกทองตัวเมีย หรือว่านดินสอฤๅษี, ว่านมหาเสน่ห์ ว่านรากราคะ หรือรากราคะ เป็นต้น
ที่มาของชื่อ
ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าหากใครได้ดมกลิ่นของดอกว่านชนิดนี้เข้าไป จะมีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิง ว่านชนิดนี้จึงถูกตั้งชื่อว่า ดอกทอง (ดอกทอง เป็นคำด่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจะเป็นคำด่าที่เอาไว้ใช้กับผู้หญิงที่สำส่อนทางเพศ)
ลักษณะของว่านดอกทอง
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทว่านที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน (เหง้า)
- ลักษณะของลำต้นและใบ จะคล้ายคลึงกับต้นขมิ้น แต่จะแตกต่างกันตรงที่ลักษณะของเหง้า
- เหง้ามีรูปร่างเป็นทรงกลม โดยเหง้าจะแตกแขนงออกมาเป็นไหลขนาดเล็ก รอบ ๆ เหง้า ไหลมีความยาวประมาณ 5-10 นิ้ว
- เหง้า ทั้ง 2 สายพันธุ์ สามารถจำแนกลักษณะได้เป็น ว่านตัวผู้ จะมีเนื้อภายในเหง้าเป็นสีเหลือง และว่านตัวเมีย จะมีเนื้อภายในเหง้าเป็นสีขาว โดยเหง้าของต้นดอกทองตัวเมียจะแตกต่างจากเหง้าของต้นดอกทองตัวผู้ คือ เหง้าจะมีลักษณะคล้ายกับดินสอ ทำให้มีผู้คนบางส่วนนิยมเรียกกันว่า ว่านดินสอฤๅษี
- ความสูงของต้น ประมาณ 1 ฟุต
- การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ
ดอก
- ดอก ออกที่บริเวณเหง้าแล้วโผล่ขึ้นมาเหนือผิวดิน โดยดอกของต้นทั้ง 2 สายพันธุ์ สามารถจำแนกลักษณะได้ดังนี้
- ว่านดอกทองตัวผู้ กลีบดอกจะมีสีเหลืองล้วน
- ว่านดอกทองตัวเมีย กลีบดอกจะมีสีขาวและมีลายแต้มสีเหลือง (ว่านดินสอฤๅษี)
- กลิ่นของดอกทั้ง 2 สายพันธุ์ จะมีกลิ่นคล้ายกับกลิ่นคาวของน้ำอสุจิ (กลิ่นจะไม่คาวจนฉุนเหมือนเนื้อสัตว์ตามท้องตลาด) โดยต้นว่านตัวเมียจะส่งกลิ่นที่รุนแรงมากกว่าต้นว่านตัวผู้
- ว่านทั้ง 2 สายพันธุ์ จะออกดอกในช่วงฤดูร้อนไปจนถึงฤดูฝนของทุกปี
วิธีการปลูกว่านดอกทอง
วิธีการปลูกต้นว่านมีดังนี้
1.1. กระถางที่ใช้ในการปลูก แนะนำว่าควรใช้กระถางขนาดเล็กทรงเตี้ยในการปลูกในระยะแรกเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล และให้เตรียมกระถางขนาดใหญ่เอาไว้สำหรับย้ายต้นนำมาปลูก เมื่อต้นเจริญเติบโตในสักระยะหนึ่ง
1.2. ใช้ดินทรายที่ผสมกับใบไม้ผุ จะช่วยทำให้จะเจริญเติบโตได้ดี และถ้าหากอยากให้ว่านเจริญเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้ทำการใส่ปุ๋ยคอกลงไปในปริมาณเล็กน้อยก็จะช่วยได้
1.3 การรดน้ำนั้น ให้รดน้ำให้มากแต่ไม่ถึงขั้นให้ดินแฉะ และปลูกไว้ในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร (ไม่ควรปลูกไว้ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด)
1.4. เมื่อเริ่มตั้งใบตรงแข็งแรงแล้ว จึงค่อยย้ายมาปลูกในกระถางขนาดใหญ่ เนื่องจากเหง้าของว่านจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
ในหนังสือ และตำราสมัยโบราณ ได้ระบุไว้ว่าเป็นว่านศักดิ์สิทธิ์ โดยการจะนำต้นมาปลูก โดยให้ทำการปลูกในวันจันทร์ข้างขึ้น และรดน้ำที่ปลุกเสกด้วยคาถา นะโมพุทธายะ 3 จบ
ในปัจจุบันว่านดอกทองแท้สามารถหาได้ยาก เนื่องจากใกล้สูญพันธุ์ หรือในด้านความเชื่อ ก็มีผู้คนเชื่อกันว่าผู้ที่รู้ถึงแหล่งที่อยู่ของว่านชนิดนี้มักจะไม่เปิดเผยข้อมูลให้รู้ เพราะเกรงว่าจะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ไม่ดีได้
พุทธคุณของว่านดอกทอง
1. น้ำที่แช่ด้วยหัวว่านและใบ มีสรรพคุณในการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้เป็นอย่างดี
2. ในสมัยโบราณกล่าวว่า ต้น สามารถนำมาใช้ในทางเสน่ห์มหานิยมได้ โดยชายหนุ่มในสมัยโบราณ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปพบหญิงสาว จะนำดอกมาทำเป็นน้ำอบใช้ทาตัว หรือนำมาผสมกับขี้ผึ้งใช้ทาปาก ซึ่งเมื่อหญิงสาวผู้ใดที่ได้กลิ่นว่านชนิดนี้จากชายหนุ่ม หญิงสาวผู้นั้นก็จะเกิดความหลงใหลและคล้อยตามได้โดยง่าย
3. มีความเชื่อว่าหากปลูกไว้ในบ้าน จะช่วยให้เกิดความรักใคร่และเป็นสิริมงคลแก่คนในบ้านได้ (แต่ในสมัยโบราณจะห้ามปลูกไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดการผิดลูกผิดเมียของคนภายในครอบครัวได้)
4. มีความเชื่อว่าหากนำต้นว่านตัวเมียไปปลูกไว้ที่หน้าร้านค้า จะช่วยให้ค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น ลูกค้าไหลมาเทมาไม่ขาดสาย และช่วยให้การค้าขายประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. ๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ว่านมหาเสน่ห์“. ...
ต้นสัก สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
ต้นสัก
ต้นสัก เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน พบอยู่ในแถบประเทศอินเดีย บังคลาเทศ พม่า ลาว และไทย สำหรับประเทศไทยพบกระจายทั่วไปในบริเวณภาคเหนือเรื่อยลงมาทางตะวันตกบริเวณทางเหนือของจังหวัดกาญจนบุรี เขตป่าเบญจพรรณ ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยประมาณ 200-750 เมตร ชื่อสามัญ Teak ชื่อวิทยาศาสตร์ Tectona grandis L.f. อยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE) ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ปายี้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เส่บายี้ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), เคาะเยียโอ (ละว้า-เชียงใหม่), ปีฮี ปีฮือ เป้อยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)เป็นต้น เป็นพรรณไม้พระราชทานของจังหวัดอุตรดิตถ์ สามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ ไม้สักทั่วไป ไม้สักดาฮัต(ไม้ประจำถิ่นของพม่า) และไม้สักฟิลิปปินส์ และมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ลาว และไทย ยังมีการแบ่งคุณลักษณะของไม้สัก โดยใช้ความแข็ง ความเหนียว และการตกแต่งของเนื้อไม้ในการพิจารณา โดยจะแบ่งเป็น 5 ชนิดได้แก่
1. ไม้สักทอง ตกแต่งได้ง่าย เสี้ยนไม้ตรง เนื้อไม้มีสีน้ำตาลทอง
2. ไม้สักหิน ตกแต่งได้ง่าย เนื้อไม้มีสีน้ำตาลหรือจาง
3. ไม้สักหยวก ตกแต่งได้ง่าย เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือจาง
4. ไม้สักไข่ ทาสีและตกแต่งได้ยาก เนื้อไม้มีไขปนอยู่เนื้อมีสีน้ำตาลเข้มปนเหลือง
5. ไม้สักขี้ควาย เนื้อไม้เป็นสีเลอะ ๆ มีสีเขียวปนน้ำตาลดำ
ลักษณะของต้นสัก
ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงราวๆ 20 เมตรขึ้นไปและอาจสูงได้ถึง 30 เมตร ลำต้นตรงไม่คดงอ มีกิ่งก้านที่ขนาดใหญ่น้อยบริเวณส่วนลำต้น เปลือกต้นหนามีสีเทาหรือน้ำตาลอ่อนแกมเทา เรือนยอดทึบเป็นทรงพุ่มกลม เปลือกต้นเรียบหรืออาจมีรอยแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามแนวยาวของลำต้น โคนต้นแก่จะเป็นร่องและมีพูพอนขึ้นเล็กน้อย มีขนสีเหลืองขึ้นเล็กน้อยบริเวณยอดและกิ่งอ่อน กิ่งอ่อนเป็นรูปเหลี่ยม มีเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลทองถึงน้ำตาลแก่ และมีเส้นสีน้ำตาลแก่แทรกอยู่ เนื้อหยาบมีความแข็งปานกลาง เนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง ใช้วิธีการติดตา การปักชำ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือเมล็ดในการขยายพันธุ์ มักจะขึ้นเป็นกลุ่มๆ หรือปนอยู่กับไม้เบญจพรรณอื่น ชอบขึ้นตามดินร่วนปนทรายหรือดินที่มีความลึกมากๆ,
ดอก จะออกตามปลายยอดและซอกใบ เป็นดอกช่อขนาดใหญ่ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกมี 6 กลีบมีสีเขียวนวล ส่วนโคนเชื่อมกันเป็นหลอดมีขนทั้งด้านในและนอก เกสรตัวผู้ยาวพ้นออกมาจากดอกมี 5-6 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อันขนาดเท่ากับเกสรตัวผู้ มีขนอยู่หนาแน่นบริเวณรังไข่ ดอกจะออกช่อแรกที่ปลายยอดสุดของแก่นลำต้นก่อนและภายใน 1 วันดอกจะบาน ดอกจะกลายเป็นผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม,
ใบ แตกออกมาจากกิ่ง ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน เป็นใบเดี่ยว ใบเป็นรูปรีกว้าง ขอบใบเรียบ โคนใบสอบ ปลายใบมีหางอยู่สั้นๆ ใบที่ออกมาแต่ละคู่จะตั้งฉากสลับกันตามความยาวกิ่ง แต่ละใบมีความกว้างราวๆ 12-35 เซนติเมตรและยาว 15-60 เซนติเมตร ก้านใบยาว 1-5 เซนติเมตร มีขนปกคลุมบริเวณท้องใบ ท้องใบมีสีเขียว พื้นใบทั้งสองด้านสากมือ หากนำท้องใบอ่อนมาขยี้จะมีสีแดงคล้ายกับเลือด จะผลัดใบในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม และจะแตกใบใหม่ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน,
ผล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 1-2 เซนติเมตร ผลเป็นรูปทรงกลมแป้น มีชั้นกลีบเลี้ยงหุ้มผลอยู่ เป็นสีเขียว ลักษณะบางและพองลม ผลแก่จัดมีสีน้ำตาล มีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ดใน...
ต้นฝ้ายขาว เมล็ดเป็นยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
ฝ้ายขาว
ฝ้ายขาว มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจะพบได้มากทางภาคเหนือ,, เป็นพรรณไม้ที่เป็นได้ทั้งส่วนผสมของยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรค และเป็นได้ทั้งวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในบทความนี้ทางเราจะขอมานำเสนอพรรณไม้ที่มีชื่อว่า “ต้นฝ้ายขาว” ชื่อสามัญ Cotton plant,, Cotton, Sea Iceland Cotton ชื่อวิทยาศาสตร์ Gossypium herbaceum L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ชบา (MALVACEAE) ชื่ออื่น ๆ ฝ้ายเทศ (ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย), เหมียวฮวา เฉ่าเหมียนฮวา (ภาษาจีนกลาง),, ฝ้ายดอก (จังหวัดเชียงใหม่), ฝ้ายชัน (จังหวัดลำปาง), ฝ้าย ฝ้ายไทย ฝ้ายหีบ (ประเทศไทย) เป็นต้น
ลักษณะของฝ้ายขาว
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทไม้พุ่มยืนต้นที่มีขนาดเล็ก และมีอายุขัยอยู่ได้นานหลายปี
- ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ลำต้นมีสีเขียวและมีขนขึ้นปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นทั่วทั้งลำต้น ลำต้นแตกกิ่งก้านค่อนข้างน้อย
- ความสูงของต้น ประมาณ 1-3 เมตร
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
ใบ
- ใบมีรูปร่างเป็นรูปไข่กว้าง ตรงปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบและมีลักษณะเว้าแยกเป็นแฉก 3-5 แฉก และบริเวณโคนใบมีลักษณะเป็นรอยเว้าเล็กน้อย
- ใบจะออกเรียงสลับกัน โดยใบจะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว,,
- ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร และก้านใบมีความยาวประมาณ 2.5-8 เซนติเมตร
ดอก
- กลีบดอกมีสีชมพู ตรงบริเวณใจกลางดอกมีสีม่วงอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบ มีขนาดความกว้างประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ดอกมีใบประดับห่อหุ้มดอกเอาไว้ ตรงปลายใบมีลักษณะเป็นเส้นเรียวแหลมอยู่ประมาณ 12 เส้น ดอกมีกลีบเลี้ยงเป็นรูปร่างสามเหลี่ยม ตรงขอบเป็นรอยฟันเลื่อย มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร และดอกมีเกสรเพศผู้อยู่เป็นจำนวนมาก
- ดอกจะออกที่บริเวณปลายกิ่งและที่ซอกใบ ดอกมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว
- ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงช่วงเดือนกันยายน,,
ผล
- ผลมีลักษณะเป็นผลแห้ง ผลมีรูปร่างเป็นทรงกลม โดยผลจะแตกออกตามพู แยกออกเป็น 3-4 ซีก
- ต้น จะออกผลเมื่อดอกร่วงโรยลงไปแล้ว,,
เมล็ด
- เมล็ดมีเป็นจำนวนมากอยู่ภายในผล เมล็ดมีรูปร่างค่อนข้างกลม มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดมีเปลือกแข็งมีสีดำหรือสีน้ำตาล และมีขนสีขาวขึ้นห่อหุ้มทั่วทั้งเมล็ด
สรรพคุณของฝ้ายขาว
1. รากและเปลือกราก นำมาใช้ทำเป็นยาแก้อาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ช่วยแก้อาการตกขาว และช่วยขับประจำเดือนของสตรี (สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เนื่องจากจะทำให้แท้งบุตรได้) (ราก, เปลือกราก),
2. รากมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะและแก้อาการไอ (ราก)
3. รากมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคหอบ (ราก)
4. รากมีสรรพคุณเป็นยาห้ามเลือด (ราก)
5. รากมีฤทธิ์เป็นยาแก้อาการตับอักเสบเรื้อรัง (ราก)
6. รากมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคหลอดลมอักเสบ (ราก)
7. รากมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)
8. รากมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคกระษัยลม (ราก)
9. รากมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการตัวบวม (ราก)
10. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการตกเลือด และอาการตกขาวของสตรี (เมล็ด)
11. เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการอั้นปัสสาวะไม่อยู่ (เมล็ด)
12. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยารักษาริดสีดวง (เมล็ด)
13. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการถ่ายเป็นเลือด (เมล็ด)
14. เมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม (เมล็ด)
15. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไต (เมล็ด)
16. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดนำมาใช้เป็นยาภายนอก มีสรรพคุณเป็นยารักษาฝีหนองภายนอก และโรคกลากเกลื้อน (น้ำมันจากเมล็ด)
17. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาลดระดับไขมันเลือด (น้ำมันจากเมล็ด)
18. น้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคผิวหนัง มีส่วนช่วยทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นยิ่ง และรักษาอาการแผลมีหนองเรื้อรัง...
พิมเสนเกล็ด ช่วยแก้เหงือกบวม ปากเปื่อย หูคออักเสบ
พิมเสนเกล็ด
พิมเสนเกล็ด เป็นลักษณะของพิมเสนสังเคราะห์ที่ได้จากสารสกัดต้นการบูร (มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cinnamomum camphora (L.) Presl. อยู่วงศ์ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. อยู่วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE), อบเชย (LAURACEAE), น้ำมันสนโดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เหมยเพี่ยน (จีนกลาง), พิมเสนเกล็ด (ไทย), ปิงเพี่ยน (จีนกลาง)
ลักษณะพิมเสนเกล็ด
เป็นเกล็ดเล็กๆ ผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม
สีขาวขุ่น เนื้อแน่น
ระเหิดได้ช้า
ละลายได้ยากในน้ำ
กลิ่นหอมเย็น
ติดไฟง่าย ควันมาก ไม่มีขี้เถ้า
ประเภทพิมเสน
พิมเสนจากธรรมชาติ Borneol camphor (พิมเสนต้น)
พิมเสนสังเคราะห์ Borneolum Syntheticum (Borneol) (พิมเสนเกล็ด)
ซึ่งพิมเสนทั้งสองชนิดระเหยและติดไฟง่าย ละลายได้ในคลอโรฟอร์ม แอลกอฮอล์ ปิโตรเลียมอีเทอร์ ไม่ละลายหรือละลายยากในน้ำ มีจุดหลอมตัวของทางเคมีวิทยาที่ 205-209 องศาเซลเซียส สมัยก่อนใช้ใส่หมากพลูเคี้ยว
สรรพคุณพิมเสนเกล็ด
1. พิมเสนอยู่ใน ตำรับยาทรงนัตถุ์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่อง 17 สิ่ง อย่างละเท่า ๆ กัน (รวมพิมเสน) นำมาผสมกัน บดให้เป็นผงละเอียด สามารถใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย และโรคที่เกิดในศีรษะ ตา จมูกได้ และมีอีกขนาดหนึ่งที่ใช้เข้าเครื่องยา 15 สิ่ง (รวมพิมเสน) นำมาบดเป็นผงละเอียด นำผ้าบางมาห่อ สามารถใช้ทำเป็นยาดมแก้อาการริดสีดวงคอ แก้สลบ วิงเวียน ริดสีดวงตา ปวดศีรษะ ริดสีดวงจมูก
2. สามารถใช้เป็นยาแก้อักเสบ แก้ปวดบวมได้
3. การกลั่นใบหนาด ยอดอ่อนหนาดด้วยไอน้ำจะได้พิมเสนตกผลึกออก สามารถใช้ทำเป็นยาทานแก้อาการปวดท้อง ท้องร่วง ใช้ขับลม หรือจะใช้ภายนอกเป็นผงนำมาใส่บาดแผล ช่วยแก้กลากเกลื้อน แผลอักเสบ ฟกช้ำ
4. สามารถใช้รักษาบาดแผลสด และแผลเนื้อร้ายได้,
5. สามารถช่วยขับลมทำให้เรอ ช่วยขับผายลม และช่วยแก้ปวดท้อง แก้อาการจุกเสียดแน่นท้องได้ ,
6. สามารถช่วยแก้เหงือกบวม ปากเปื่อย หูคออักเสบ ปากเป็นแผล
7. สามารถใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวายได้ และทำให้ง่วงซึมได้
8. สามารถช่วยกระตุ้นการหายใจ และกระตุ้นสมองได้
9. พิมเสนจะมีรสเผ็ดขม กลิ่นหอม เป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับหัวใจ ปอด สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจได้
10. พิมเสนเป็นส่วนผสมใน ตำรับสีผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น และ ตำรับยาสีผึ้งบี้พระเส้น เป็นตำรับยาที่ใช้ในการถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อน
11. พิมเสนเป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมต่าง ๆ อย่างเช่น ยาหอมเทพจิตร ยาหอมนวโกฐ เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณโดยรวมก็คือหน้ามืดตาลาย แก้ลมวิงเวียน
12. สามารถใช้แก้ผดผื่นคันได้ โดยนำพิมเสนกับเมนทอลมาอย่างละ 3 กรัม และผงลื่น 30 กรัม นำมารวมบดให้เป็นผง แล้วใช้ทาแก้ผดผื่นคัน
13. สามารถใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคผิวหนังได้
14. สามารถช่วยรักษาแผลกามโรคได้...
ต้นติ้วขาว สรรพคุณของยางช่วยแก้อาการคัน
ติ้วขาว
ติ้วขาว ในประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคเหนือ ภาคใต้ตอนเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะพบขึ้นเองตามธรรมชาติตามบริเวณแถบป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง และป่าตามเชิงเขา ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum (Jacq.) Benth. & Hook.f. ex Dyer (Cratoxylum formosum subsp. formosum) จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ต้นติ้วขาว ติ้วเหลือง (ในภาคกลาง), ติ้วแดง ติ้วยาง ติ้วเลือด ติ้วเหลือง (ในภาคเหนือ), แต้ว (ในภาคใต้), ผักติ้ว (ชื่อทั่วไป), แต้วหิน (จังหวัดลำปาง), กวยโชง (จังหวัดกาญจนบุรี), ติ้วส้ม (จังหวัดนครราชสีมา), ตาว (จังหวัดสตูล), ผักเตา เตา (จังหวัดเลย) เป็นต้น
หมายเหตุ
ต้นติ้วขาวชนิดนี้เป็นพืชคนละชนิดกับ ต้นติ้วหนาม หรือต้นติ้วขน
ต้น
- จัดเป็นพันธุ์ไม้ประเภทยืนต้นผลัดใบที่มีขนาดกลาง ทนต่อสภาพแล้งได้ดี
- เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลแดง มีลวดลายแตกเป็นสะเก็ด ส่วนภายในเปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง
- ลำต้นมีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม ลำต้นจะแผ่ขยายกิ่งก้านออกมา กิ่งก้านเรียว และมีขนนุ่ม ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ และที่โคนต้นจะมีหนามขึ้นอยู่ทั่ว
- ต้นมีน้ำยางสีเหลืองปนแดง
- ความสูงของต้น ประมาณ 3-12 เมตร และอาจสูงได้ถึง 35 เมตร
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
ใบ
- เนื้อใบมีขนขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน รูปร่างของใบเป็นรูปวงรีแกมรูปไข่กลับ ตรงปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบโค้งและเรียบ ที่โคนใบสอบและเรียบ ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน
- ใบมีเส้นข้างใบประมาณ 7-10 คู่ ใต้ท้องใบมีต่อมขึ้นอยู่ประปราย ใบอ่อนมีสีชมพูอ่อน ผิวใบเรียบเป็นมัน ส่วนใบแก่จะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง
- ช่วงฤดูหนาวจะเห็นใบทั้งหมดเป็นสีชมพูอ่อน
- ใบมีขนาดความกว้างประมาณ 2.5-4.5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-13 เซนติเมตร ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 0.6-1.6 เซนติเมตร
ดอก
- ดอกจะออกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม
- ดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกมีสีขาวอมสีชมพูอ่อนหรือสีแดง มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีสีเขียวอ่อนปนสีแดง ก้านดอกมีรูปร่างเรียวเล็กและมีกาบเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ฐานกลีบด้านใน และดอกมีเกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่เป็นกลุ่ม 3 กลุ่ม ส่วนเกสรตัวเมียมี 3 อัน ก้านมีสีเขียวอ่อน และมีรังไข่อยู่ด้านบนกลีบ
- ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกที่บริเวณกิ่ง
ผล
- รูปร่างของผลเป็นแบบแคปซูล ปลายผลแหลม ผิวผลแข็งและเรียบ ผลมีขนาดความกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 1.3-1.8 เซนติเมตร
- ผลอ่อนจะมีสีขาว แต่เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลดำ และจะแตกออกเป็นแฉก 3 แฉก
เมล็ด
- เมล็ดมีสีน้ำตาล
สรรพคุณของต้นติ้วขาว
1. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาแก้ธาตุพิการ (เปลือกต้น)
2. แก่นและลำต้น นำมาแช่กับน้ำใช้ดื่ม มีสรรพคุณแก้อาการเลือดไหลไม่หยุด หรืออาการปะดงเลือด (แก่นและลำต้น)
3. มีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคตาบอดตอนกลางคืน และรักษาโรคตาไก่
4. ผลจากการทดลอง รับประทานผักติ้วเป็นประจำจะช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับได้ (ใบ)
5....
ต้นรัก สรรพคุณช่วยแก้บิดมูกเลือด
รัก
ชื่อสามัญ Tembega, Giant Milkweed , Giant Indian Milkweed, Crown flower เป็นพืชที่มาจากประเทศอินเดีย ชื่อสามัญจะเรียกตามลักษณะดอกที่คล้ายกับมงกุฎ หรือน้ำยางสีขาวคล้ายกับนม ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Calotropis gigantea (L.) Dryand. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Calotropis gigantea (L.) R. Br. ex Schult.) อยู่วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่วงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE), มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น รักร้อยมาลัย, รักดอกขาว (ภาคกลาง), รัก (ภาคกลาง), ปอเถื่อน (ภาคเหนือ), รักเขา (จังหวัดเพชรบูรณ์), (ภาคเหนือ), รักแดง, รักดอกม่วง (ภาคกลาง), รักซ้อน (จังหวัดเพชรบูรณ์), รักดอก (ภาคกลาง), รักขาว (เพชรบูรณ์), ป่านเถื่อน (ภาคเหนือ) ,,
ลักษณะของรัก
ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กหรือจะเป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลาง ต้นสูงประมาณ 1-3 เมตร จะแตกกิ่งก้านเยอะอยู่ที่โคนต้น จะแตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออกด้านข้างพอ เปลือกต้นมีลักษณะเป็นสีเทา สีน้ำตาลอ่อน จะแตกร่องตามแนวยาว ไม่มีเนื้อไม้ที่กิ่ง จะมีขนสีขาวปกขึ้นที่ตามกิ่งอ่อนยอดอ่อน มียางสีขาวข้นอยู่ทั้งต้น ขยายพันธุ์โดยการปักชำ การเพาะเมล็ด ทนต่อสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในดินที่ไม่สมบูรณ์แห้งแล้ง มักพบขึ้นเองที่ตามธรรมชาติทั่วไป ที่ริมคลอง ริมถนน รกร้าง ตามหมู่บ้าน ริมทางรถไฟ ข้างถนน มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ที่ประเทศอินเดียถึงประเทศพม่า ประเทศไทย ประเทศจีน คาบสมุทรมลายู ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย และนิวกินี ,,,,
ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้าม ใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ที่โคนใบจะมนหรือจะเว้านิดหน่อย ส่วนที่ปลายใบจะเป็นติ่งแหลม ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 8-30 เซนติเมตร แผ่นใบหนาและอวบน้ำ ที่ท้องใบจะมีขนสีขาวขึ้น ส่วนที่หลังใบก็จะมีขนสีขาวขึ้นเช่นกัน เวลาที่กระทบแสงจะสะท้อนเป็นสีเหลืองนวล ไม่มีก้านใบหรือมีก้านใบขนาดสั้น,,
ดอก เป็นดอกช่อแบบซี่ร่ม ออกดอกที่ตามซอกใบใกล้กับยอดหรือที่ออกดอกที่ตามปลายกิ่ง ช่อแต่ละช่อจะมีดอกย่อยอยู่เยอะ ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร และก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะเป็นสีม่วงหรือสีขาว กลีบดอกมีอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกมีผิวที่เกลี้ยง กลีบแต่กลีบจะเป็นรูปรีถึงรูปใบหอก ที่ปลายแหลมหรือจะบิด มีขนาดกว้างประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมกัน มีหลอดกลีบดอกสั้น มีรยางค์เป็นรูปมงกุฎ มีขนาดที่สั้นกว่าเส้าเกสรเพศผู้ ที่ปลายจะมน และจะมีติ่งมนที่ด้านข้าง จะมีฐานเป็นเดือย อับเรณูจะมีเยื่อบางห่อหุ้มเอาไว้ มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ ที่ปลายกลีบเลี้ยงดอกจะแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร...
งัวเลีย ช่วยในการขับน้ำนมของสตรี
งัวเลีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Capparis flavicans Kurz วงศ์ (CAPPARACEAE หรือ CAPPARIDACEAE)
ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ งวงช้าง (อุดรธานี),งัวเลีย (ขอนแก่น),วัวเลีย (อุบลราชธานี), กระจิก (ภาคกลาง), ค้อนก้อง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กะอิด (ราชบุรี), ตะครอง (นครศรีธรรมราช),ไก่ให้ ไก่ไห้ (พิษณุโลก),ก่อทิง ก่อทิ้ง (ชัยภูมิ), กระโปรงแจง กะโปงแจง (สุโขทัย), หนามนมวัว โกโรโกโส หนามเกาะไก่ (นครราชสีมา)เป็นต้น
ลักษณะของงัวเลีย
ต้น เป็นไม้พุ่ม มีความสูงราวๆ 2-10 เมตร เรือดยอดเป็นพุ่มทึบแผ่กว้างและแตกกิ่งต่ำ กิ่งก้านสาขาแตกออกมาเรียวเล็ก มีหนามแหลมบริเวณกิ่งก้านและลำต้น ความยาว 1-3 มิลลิเมตร มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองรูปดาวขึ้นปกคลุมอยู่ เปลือกต้นมีสีน้ำตาลอมเทาแตกเป็นร่องลึกและบางตามลำต้นแนวยาว ชอบอยู่ในดินหินในระดับต่ำหรือดินทราย พบขึ้นตามป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ และป่าละเมาะ ,,
ดอก เป็นสีเหลืองหรือมีสีเขียวปน เป็นดอกเดี่ยว ดอกจะออกตามกิ่งอ่อนและซอกใบ มีกลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ 4 กลีบ กว้างราวๆ 4-6 มิลลิเมตร และยาวราวๆ 8-9 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบกว้างราวๆ 4-5 มิลลิเมตรยาวราวๆ 5-8 มิลลิเมตร มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นบริเวณกลีบเลี้ยงและกลีบดอกด้านนอกอย่างหนาแน่น ก้านดอกยาว 1-3 เซนติเมตร เกสรตัวเมียมีก้านชูโค้งยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร มีรังไข่เป็นรูปไข่หรือรูปรี มีขนหนาแน่นบริเวณก้านชูตัวเมียและรังไข่ มีเกสรตัวผู้อยู่ 6-12 อันบริเวณกลางดอก มีสีออกเหลืองอมเขียว ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม,,
ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ มีใบเป็นรูปไข่ รูปรี หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด โคนใบมนเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ปลายใบมนหรือเว้าเป็นบุ๋ม ผิวใบส่วนบนมีสีเขียวเข้มและส่วนล่างเป็นสีขาวปกคลุม มีเนื้อบางที่หนาและนุ่ม มีเส้นแขนงใบข้างละ 3-5 เส้น ก้านใบยาว 3-4 มิลลิเมตร ใบมีขนาดกว้างราวๆ 1-2 เซนติเมตรและยาวราวๆ 1.5-3 เซนติเมตร,,
ผล เป็นรูปมนรีเล็กน้อยหรือกลม เป็นผลสด ทั่วทั้งผลมีขนสีขาวปกคลุมอยู่ ผลมีสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีแดงหรือส้มแดง เปลือกผลมีขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำและหนา มีสันนูนอยู่ 4 สัน ส่วนปลายเป็นติ่งแหลม ผลกว้างราวๆ 2.5-3.5 เซนติเมตรและยาวราวๆ 2.5-4 เซนติเมตร มีเนื้อสีเหลืองหุ้มเมล็ดอยู่ เมล็ดมีสีน้ำตาลยาว 6-8 มิลลิเมตร กว้าง 3-7 มิลลิเมตร ผลมักจะออกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม,,
ประโยชน์ของงัวเลีย
ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้เนื่องจากมีดอกที่สวยงามแปลกตา
นำมาทำเป็นยาช่วยขับลมและแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
สรรพคุณของงัวเลีย
ใบ หากทานเข้าไปจะสามารถช่วยในการขับน้ำนมของสตรีได้(ใบ)
ใช้แก้อาการวิงเวียนศีรษะได้โดยการนำเนื้อไม้ดิบหรือตากแห้งมาบดเป็นผง จากนั้นทำให้เป็นควันและสูดดม(เนื้อไม้)
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “งัว เลีย”. หน้า...
สรรพคุณและประโยชน์ของข้าว
ข้าว
ข้าว จัดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจำพวกธัญพืชที่กินเมล็ดได้ แบ่งออกเป็น 2 สปีชีส์ใหญ่นั่นก็คือ Oryza glaberrima ปลูกเฉพาะเขตร้อนของแอฟริกา) กับ Oryza sativa ปลูกทั่วโลก ชนิด Oryza sativa แบ่งแยกย่อยไปอีกก็คือ Japonica, Javanica ปลูกเยอะในเขตอบอุ่น และ indica ปลูกเยอะในเขตร้อน ชื่อสามัญของข้าว คือ Rice ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Oryza sativa L. อยู่วงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE) ประเทศไทยที่ปลูกเป็นชนิด indica โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ก็คือ ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และพันธุ์ข้าวได้ถูกปรับปรุงและคัดสรรสายพันธุ์มาตลอด ทำให้มีหลายสายพันธุ์ทั่วโลกที่มีรสชาติกับคุณประโยชน์แตกต่างกันไป พันธุ์ข้าวไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั่นก็คือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูงคือ ข้าวนึ่งก่อนสี ข้าวกล้อง ข้าวเสริมวิตามิน ข้าวซ้อมมือ
ลักษณะของข้าว
ลำต้น มีลักษณะเป็นโพรงตรงกลางและแบ่งออกเป็นปล้องๆ โดยมีข้อกั้นระหว่างปล้อง ความยาวของปล้องนั้นแตกต่างกัน จำนวนปล้องจะเท่ากับจำนวนใบของต้นข้าว ปกติมีประมาณ 20-25 ปล้อง
ใบ ต้นข้าวมีใบไว้สำหรับสังเคราะห์แสง เพื่อเปลี่ยนแร่ธาตุ อาหาร น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแป้ง เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและ สร้างเมล็ดของต้นข้าว ใบประกอบด้วย กาบใบและแผ่นใบ
รวง เกิดขึ้นที่ข้อของปล้องอันสุดท้ายของต้นข้าว ระยะระหว่างข้ออันบนของปล้องอันสุดท้ายกับข้อต่อของใบธง เรียกว่า คอรวง
ดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียสำหรับผสมพันธุ์ ดอกข้าวประกอบด้วยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่นประสานกัน เพื่อห่อ หุ้มส่วนที่อยู่ภายในไว้ เปลือกนอกใหญ่แผ่นนอก เรียกว่า เลมมา (lemma) ส่วนเปลือกนอกใหญ่แผ่นใน เรียกว่า พาเลีย (palea) ทั้งสองเปลือกนี้ ภายนอกของมันอาจมีขนหรือไม่มีขนก็ได้
เมล็ด หรือ เอ็นโดสเปิร์ม (endosperm) และส่วนที่เป็นคัพภะ ซึ่งห่อหุ้มไว้โดยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่น เอ็นโดสเปิร์มเป็นแป้งที่เราบริโภค คัพภะเป็นส่วนที่มีชีวิตและงอกออกมาเป็นต้นข้าวเมื่อเอาไปเพาะ
ราก รากเป็นส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ใช้ยึดลำต้นกับดินเพื่อไม่ให้ต้นล้ม แต่บางครั้งก็มีรากพิเศษเกิดขึ้นที่ข้อซึ่งอยู่เหนือพื้นดินด้วย ต้นข้าวไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยแตกแขนงกระจายอยู่ใต้ผิวดินคล้ายต้นหญ้า
คำแนะนำเสริม
ข้าวที่ยังมีจมูกข้าวกับรำข้าวติดอยู่ หรือ ข้าวกล้อง เพราะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า เป็นข้าวที่สีครั้งเดียว โดนแค่กะเทาะเปลือกนอกออก ไม่มีการขัดสีเอาเส้นใยที่อยู่รอบเมล็ดออก และไม่แนะนำให้ทานข้าวขัดขาวที่ขายกันทั่วไปเท่าไหร่ เนื่องจากจะให้แค่พลังงานเท่านั้นและยังได้น้ำตาลด้วย ถ้าทานอย่างต่อเนื่องไปนาน ๆ อาจทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอัมพฤกษ์ โรคเส้นเลือดตีบตัน โรคความดัน
วิธีการเลือกซื้อข้าว
การซื้อในแต่ละครั้งควรซื้อให้พอเหมาะกับสมาชิกครอบครัวที่ทานได้ 1-2 อาทิตย์ เพื่อความสดใหม่
สีเมล็ดต้องเป็นสีขาวขุ่น หรือสีน้ำตาลปนนิดหน่อยขึ้นอยู่ที่สายพันธุ์ บางครั้งอาจมีสีเขียวอ่อนติดอยู่ แสดงว่าเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่ ๆ เลยมีเยื่อหุ้มติด
เมล็ด จะต้องแห้งสนิท ไม่ชื้น ไม่มีรา บรรจุในถุงที่ปิดสนิท มีแหล่งผลิตชัดเจน
เมล็ด ต้องสมบูรณ์ ปลายเมล็ดไม่แหว่ง ไม่แตกหัก เนื่องจากถ้าเมล็ดแตกหักหรือเมล็ดแหว่งแสดงว่าไม่มีจมูกข้าว จมูกข้าวสำคัญมาก เนื่องจากจมูกข้าวเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่เยอะที่สุด
วิธีหุงข้าว
1. ถ้าเปิดถุงมาใช้ ต้องปิดถุงให้สนิทเพื่อป้องกันแมลงสาบกับหนูมาแพร่เชื้อ
2. การหุงข้าวกล้องในแต่ละครั้งควรหุงให้พอดีต่อการทานแต่ละมื้อ เพื่อป้องกันการสูญเสียวิตามิน
3. ซาวน้ำข้าวกล้องก่อนหุง ควรซาวไม่เกิน 1-2 ครั้ง เนื่องจากถ้าซาวน้ำหลายรอบจะทำให้สูญเสียวิตามินบางชนิดที่ละลายน้ำได้ไป
4....
ต้นปีบ สรรพคุณช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย
ปีบ
ชื่อสามัญ คือ Cork tree, Indian cork ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Millingtonia hortensis L.f. จัดอยู่ในวงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), กาซะลอง กาสะลอง กาดสะลอง กาสะลองคำ (ภาคเหนือ),ก้องกลางดง (ภาคกลาง) กางของ (ภาคอีสาน)
ลักษณะของปีบ
ต้น
- เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง
- ลำต้นตั้งตรง มีความสูงถึง 5-10 เมตร
- เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก
- มีช่องอากาศ
- รากจะเกิดเป็นหน่อ เติบโตเป็นต้นใหม่ได้
- สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะ หรือการปักชำในกระบะกรวยที่ผสมด้วยขี้เถ้าแกลบปีบ
- เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของพม่าและไทย
- พบได้ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ใบ
- ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น
- มีความกว้าง 13-20 เซนติเมตร และยาว 16-26 เซนติเมตร
- ก้านใบยาว 3.5-6 เซนติเมตร
- ใบจะประกอบไปด้วยแกนกลางยาว 13-19 เซนติเมตร
-มีใบย่อย 4-6 คู่ มีความกว้าง 2.5-3 เซนติเมตร และยาว 4-5 เซนติเมตร
- ใบมีรูปร่างคล้ายรูปหอกแกมรูปไข่
- ปลายใบเรียวแหลม
- ฐานใบเป็นรูปลิ่ม
- ขอบใบหยักเป็นซี่หยาบ ๆ
- เนื้อใบเกลี้ยงบางคล้ายกับกระดาษ
ดอก
- ดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง
- มีความยาว 10-25 เซนติเมตร
- ดอกย่อยจะประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียว
- ดอกมีกลิ่นหอม
- มีความกว้าง 0.5 เซนติเมตร และยาว 6-10 เซนติเมตร
- เชื่อมกันเป็นหลอดปากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก
- 3 แฉกเป็นรูปขอบขนาน
- 2 แฉกล่างค่อนข้างแหลม
- มีเกสรตัวผู้จำนวน 4 ก้าน
- สองคู่จะยาวไม่เท่ากัน
- มีเกสรตัวเมียจำนวน 1 ก้าน อยู่เหนือวงกลีบ
- จะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม
ผล
- เป็นผลแห้งแตก
- ผลแบนและยาว
- มีเนื้อและเมล็ดจำนวนมาก
- เป็นแผ่นบางมีปีก
สรรพคุณของปีบ
สามารถนำมาใช้มวนเป็นบุหรี่สูบแทนฝิ่น
ช่วยขยายหลอดลมและรักษาอาการหอบหืดได้
ช่วยแก้ลม
ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย
ช่วยรักษาริดสีดวงจมูก
ช่วยบำรุงโลหิต
ช่วยบำรุงกำลัง
ช่วยรักษาปอดพิการ
ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย
ช่วยรักษาวัณโรค
ช่วยบำรุงปอด
ประโยชน์ของปีบ
สารสกัดจากใบที่สกัดด้วยเอทานอล ช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของคะน้า
ดอก ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดี (cholagogue) และเพิ่มรสชาติได้
ดอก สามารถนำมาตากแห้งแล้วผสมกับยาสูบมวนบุหรี่ ใช้สูบทำให้ชุ่มคอ
ช่วยทำให้ปากหอม และยังมีกลิ่นควันบุหรี่ที่หอมดี
ดอก สามารถนำมาตากแห้ง และนำมาชงใส่น้ำร้อนดื่มเป็นชาได้
ดอก จะมีกลิ่นหอมละมุนอ่อน ๆ มีรสชาติหวานแบบนุ่มนวล ไม่ขม ดีต่อสุขภาพ
เปลือกต้น สามารถนำมาใช้แทนไม้ก๊อกสำหรับจุกขวดได้
เนื้อไม้ มีสีขาวอ่อน สามารถนำมาใช้เลื่อยหรือไสกบเพื่อตกแต่งให้ขึ้นเงาได้ง่าย
สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องตกแต่งภายในบ้านได้
สามารถปลูกไว้ประดับสวนได้
สามารถปลูกเพื่อให้ร่มเงาในลานจอดรถหรือริมถนนข้างทางได้
...
ต้นโปร่งกิ่ว ดื่มแก้อาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก
โปร่งกิ่ว
โปร่งกิ่ว ประเทศไทยจะพบขึ้นได้ในป่าละเมาะ ตามป่าเบญจพรรณทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะพบที่ระดับความสูงประมาณ 150-300 เมตร, ชื่อวิทยาศาสตร์ Dasymaschalon lomentaceum Finet & Gagnep ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Desmos lomentaceus (Finet & Gagnep.) P.T.Li จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์กระดังงา (ANNONACEAE), ชื่ออื่น ๆ ลำดวน (ในภาคกลาง), เดือยไก่ ติดต่อ ตีนไก่ (ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หอมนวล (ในภาคเหนือ) เป็นต้น,
ลักษณะของโปร่งกิ่ว
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทพุ่มหรือไม้ต้นที่มีขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ
- ต้นมีความสูง ประมาณ 1-2 เมตร
- ลำต้นตั้งตรง ลำต้นแตกกิ่งก้านแผ่กว้างออกมาจำนวนมาก บริเวณเรือนยอดจะเป็นพุ่มทรงกลมทึบ
- เปลือกลำต้นมีสีเป็นสีน้ำตาลอมดำ มีช่องระบายอากาศสีขาวเป็นจุดกลม ๆ กระจายตัวอยู่อย่างหนาแน่นทั่วลำต้น
- เนื้อไม้มีความเหนียว และกิ่งอ่อนมีสีเป็นสีเขียว
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
ใบ
- ใบ เป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน
- ใบเป็นรูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมใบหอก รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือรูปรี ตรงปลายใบมีรูปร่างเรียวทู่หรือแหลมแล้วไล่มามน ที่โคนใบเป็นรูปหัวใจ มีความมนหรือเว้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบไม่มีขน
- แผ่นใบด้านบนมีสีเป็นสีเขียวเข้มและผิวมีความเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีนวล เส้นกลางใบด้านบนจะมีลักษณะเป็นร่อง ส่วนด้านล่างจะมีลักษณะเป็นสันนูนเห็นได้อย่างเด่นชัด ใบมีเส้นแขนงใบอยู่ 7-11 คู่ มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
- ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 7-12 เซนติเมตร
- ก้านใบมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 4 มิลลิเมตร,
ดอก
- ออกดอกในลักษณะที่เป็นดอกเดี่ยว โดยจะออกตามบริเวณซอกใบใกล้กันกับปลายกิ่งหรือออกที่ปลายกิ่ง
- ดอกอ่อนมีสีเป็นสีขาวอมเขียว เมื่อดอกบานเต็มที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียวแกมเหลือง แล้วดอกก็จะหลุดร่วงลงไปทั้งกรวย
- ก้านดอกมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 5 มิลลิเมตร กลีบดอกติดกันมีรูปร่างลักษณะเป็นรูปกรวย มีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตร บริเวณโคนดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ตรงปลายมีลักษณะเป็นรูปกรวยมน
- กลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ มีสีเป็นสีเขียว มีขนาดความกว้างและความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร
- ออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม,
ผล
- ออกผลเป็นกลุ่ม ๆ โดยในแต่ละกลุ่มจะมีผลย่อยอยู่ที่ประมาณ 6-12 ผล
- ผลย่อยมีลักษณะเป็นผลสด ลักษณะรูปร่างของผลเป็นรูปทรงกระบอกยาว ออกมาจากตำแหน่งเดียวกัน เปลือกผลคอดถี่ตามรูปเมล็ดประมาณ 2-4 ข้อ แต่จะไม่คอดถึงกลางผล ที่ปลายผลจะแหลม
- ผลอ่อนมีสีเป็นสีเขียวอมขาว เมื่อผลแก่แล้วจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงสดหรือสีแดงปนดำ ก้านช่อผลมีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร
- ติดผลในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน,
เมล็ด
- ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ประมาณ 2-5 เมล็ด โดยเมล็ดพวกนี้จะเรียงตัวชิดติดกัน
- ลักษณะรูปทรงของเมล็ดจะเป็นรูปทรงรี
สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโปร่งกิ่ว
ตำรายาของไทยจะนำลำต้นมาผสมกับลำต้นของต้นกันแสงและลำต้นของต้นพีพ่าย จากนั้นก็นำส่วนประกอบทั้งหมดมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย และเคล็ดขัดยอก (ลำต้น)
นอกจากจะนำมาใช้ทำเป็นสมุนไพรแล้ว ก็ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านของการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้เกิดความสวยงาม และอีกทั้งยังนำมาเป็นอาหารของสัตว์ได้อีกด้วย
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “โ ป ร่ ง กิ่...
ต้นปอพราน สรรพคุณเป็นยารักษาโรคบิด แก้ท้องเสีย
ปอพราน
ปอพราน มีเขตการกระจายพันธุ์ในแถบภูมิภาคอินโดจีนและอินโดนีเซีย ประเทศไทยสามารถพบขึ้นได้ทั่วภูมิทุกภาค โดยจะพบตามพื้นที่โล่งในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น ป่าละเมาะ แถบชายป่าดิบแล้ง หรือตามพื้นที่รกร้างทั่วไป โดยจะพบที่บริเวณความสูงไม่เกิน 200 เมตร วัดจากระดับน้ำทะเล ,, ชื่อวิทยาศาสตร์ Colona auriculata (Desf.) Craib ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Diplophractum auriculatum Desf. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ชบา (MALVACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย GREWIOIDEAE ชื่ออื่น ๆ ปอปาน (จังหวัดนครราชสีมา), ปอที (จังหวัดอุบลราชธานี), ปอพาน (จังหวัดเชียงใหม่), ขี้หมาแห้ง (จังหวัดสุโขทัย), ปอพราน (จังหวัดจันทบุรี), ปอขี้ตุ่น (จังหวัดอุตรดิตถ์) เป็นต้น,
ลักษณะของปอพราน
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทพุ่ม
- ต้นมีความสูง ประมาณ 1-2 เมตร
- เปลือกต้นมีผิวเรียบไร้ขนมีสีเป็นสีน้ำตาลปนเทา และทุกส่วนของต้นมีขนยาวขึ้นปกคลุมอยู่โดยรอบ
ใบ
- ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน
- ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปขอบขนาน หรือรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ตรงปลายใบแหลมถึงเรียวแหลมเป็นติ่ง ส่วนโคนใบเบี้ยวและเป็นรูปติ่งหู และตรงขอบใบมีรอยหยักเป็นฟันเลื่อยซ้อนกันสองชั้น
- ใบนั้นจะออกใกล้กันจนขอบใบซ้อนกัน แผ่นใบมีผิวบางคล้ายกับกระดาษถึงกึ่งหนาคล้ายกับแผ่นหนัง ที่ผิวใบด้านบนมีขนสากขึ้นปกคลุมอยู่ ส่วนผิวใบด้านล่างมีขนสั้น ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่น
- เส้นใบที่โคนมี 3 เส้น เส้นแขนงใบมีข้างละ 3-7 เส้น เส้นใบย่อยมีลักษณะคล้ายขั้นบันได และเส้นใบย่อยมีลักษณะเป็นแบบร่างแหสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากทางด้านบน
- ก้านใบมีขนขึ้นปกคลุม ใบมีหูใบเป็นรูปรีถึงรูปสามเหลี่ยม แคบยาว โคนหูใบจะแผ่เป็นแผ่นรูปทรงกลม แต่ละด้านของแผ่นใบนั้นมีขนาดไม่เท่ากัน
- ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 7-20 เซนติเมตร
- ก้านใบมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร
ดอก
- ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุก โดยจะออกดอกที่บริเวณตามซอกใบ ซึ่งช่อดอกนี้จะห้อยลงใต้กิ่ง
- ช่อดอกมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ละกระจุกจะมีดอกอยู่ภายในประมาณ 1-3 ดอก
- ดอกมีลักษณะรูปร่างที่ตูมเป็นรูปไข่กลับ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ด้วยกัน 5 กลีบ ลักษณะของกลีบเลี้ยงดอกเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายแหลม ผิวด้านนอกมีสีเป็นสีเหลืองและมีขนปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนผิวด้านในจะมีขนขึ้นปกคลุมที่บางกว่าและมีสีเป็นสีเหลือง แต้มด้วยจุดเล็กสีแดงเป็นประปราย กลีบเลี้ยงจะแยกออกจากกลีบดอกกันอย่างอิสระ
- กลีบดอกนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 5 กลีบ กลีบดอกมีสีเป็นสีเหลืองสด และมีจุดประสีส้มแกมน้ำตาลอยู่ประปราย ลักษณะรูปร่างของกลีบดอกเป็นรูปช้อน ปลายดอกมน กลีบดอกมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 8-9 มิลลิเมตร กลีบดอกมีขนยาวขึ้นปกคลุม ผิวเป็นมัน
- ดอกมีใบประดับย่อยอยู่ 3 ใบ มีลักษณะรูปร่างเป็นรูปส้อม ใบมีสีเหลืองอ่อน และมีสีแดงตามแนวเส้นท่อลำเลียง
- ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นจำนวนมาก ก้านชูอับเรณูมีผิวเกลี้ยงมีสีเป็นสีขาวอมเหลือง อับเรณูเป็นสีเหลืองอ่อน ดอกมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2 มิลลิเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร มีขนขึ้นปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น และมีช่องอยู่ ซึ่งในแต่ละช่องจะมีออวุลอยู่ที่ประมาณ 2-4 เมล็ด
- ออกดอกในช่วงเดือนประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน
ผล
- ผลมีลักษณะรูปทรงกลม...
ต้นเบญจมาศน้ำเค็ม สรรพคุณรักษาการอักเสบในช่องคลอด
เบญจมาศน้ำเค็ม
ต้นเบญจมาศน้ำเค็ม มักจะพบขึ้นได้ ในพื้นที่ชื้นแฉะ ตามริมน้ำ ลำธาร บริเวณใกล้น้ำตก หรือตามป่าชายเลน ชื่อวิทยาศาสตร์ Wollastonia biflora (L.) DC. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Wedelia biflora (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) ชื่ออื่น ๆ ผักคราดทะเล (กรุงเทพฯ)
ลักษณะของต้นเบญจมาศน้ำเค็ม
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทพุ่มกึ่งเลื้อยที่ทอดยอดคลุมหน้าพื้นดิน
- ต้นมีความสูง: ประมาณ 1.5-5 เมตร
- ลักษณะของลำต้น: ลำต้นมีลักษณะเป็นสัน โดยตามลำต้นจะมีขนขึ้นปกคลุมกระจายอยู่
- โดยลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออกเป็นวงกว้าง (แตกกิ่งไม่เป็นระเบียบนัก)
- ต้นจะมีรากฝอยแตกออกที่บริเวณตามข้อรอบ ๆ ลำต้นที่อยู่เหนือพื้นดิน
- ลำต้นมีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อนและเรียวมีขนาดไม่ใหญ่
- การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด โดยต้นเบญจมาศเป็นพืชที่ชอบอยู่ในพื้นที่ชุ่มชื้น และต้นชอบดินทรายและดินร่วนปนทราย
ใบ
- ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว
- ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบแหลม ตรงโคนใบสอบหรือเป็นรูปลิ่ม ส่วนขอบใบมีรอยจักเป็นฟันเลื่อยในลักษณะที่เป็นแบบห่าง ๆ กัน
- ใบที่อยู่ด้านบนนั้นจะมีขนาดเล็กกว่าใบที่อยู่ด้านล่างเสมอ
- แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว โดยที่บริเวณโคนใบจะสามารถเห็นเส้นใบได้ชัดเจน 3 ใบ แล้วจะค่อย ๆ จางลงจรดจนถึงปลายใบ
- เนื้อใบมีผิวสัมผัสที่ค่อนข้างนุ่มอุ้มน้ำ แต่ตามผิวใบจะมีขนแข็ง ๆ ขึ้นปกคลุมทั้งด้านหน้าและด้านหลังใบ
- ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-3.5 นิ้ว และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3-5.5 นิ้ว
- ก้านใบมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 1-2 เซนติเมตร
ดอก
- ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกช่อดอกที่บริเวณส่วนปลายของลำต้น แต่ส่วนใหญ่ที่มักพบเจอ ต้นมักจะออกเป็นดอกเดี่ยวมากกว่าออกเป็นช่อ
- ดอกมีสีเป็นสีเหลือง กลีบดอกเป็นรูปท่อ กลีบดอกมี 5 กลีบ โดยที่ปลายกลีบดอกจะเป็นรอยจัก และดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ (มีทั้งเกสรเพศผู้และเพศเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน)
- เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.5-1 นิ้ว
- ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
ผล
- มีลักษณะเป็นผลแห้ง ที่ปลายผลตัด ส่วนโคนผลเป็นรูปสอบแคบ มีสันอยู่ 3 สัน ผลมีสีเป็นสีน้ำตาลเข้ม และมีขนแข็ง ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ที่ด้านบนของผล
สรรพคุณของต้นเบญจมาศน้ำเค็ม
1. ต้นนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับรับประทานเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่นได้ (ทั้งต้น),
2. ทั้งต้นนำมาใช้ทำเป็นยาแก้ภาวะปัสสาวะเป็นเลือด (ทั้งต้น)
3. ทั้งต้นนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับรักษาโรคผิวหนัง ช่วยแก้อาการคัน และลดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง (ทั้งต้น)
4. ทั้งต้นนำมาใช้รักษาแผลเปื่อย (ทั้งต้น)
5. ทั้งต้นนำมาใช้รักษาอาการช่องคลอดอักเสบ (ทั้งต้น)
6. ต้นนำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ (ทั้งต้น)
7. ใบนำมาคั้นเอาแต่น้ำมาผสมกับน้ำนมวัว ใช้สำหรับรับประทานเป็นยาบำรุงของสตรีหลังคลอดบุตรได้ และใช้เป็นยาแก้ท้องผูก และยาถ่ายท้อง (ใบ),
8. ใบนำมาตำใช้สำหรับพอกรักษาโรคผิวหนังเป็นด่าง และภาวะเส้นเลือดขอดได้ (ใบ)
9. ใบนำมาตำพอกใช้สำหรับรักษาแผลเรื้อรัง แผลฟกช้ำ แผลที่ถูกของมีคมบาด และบรรเทาอาการแมลงสัตว์กัดต่อย (ใบ)
10. ดอกนำมาใช้ทำเป็นยาถ่ายอย่างแรงได้ (ดอก)
11. รากนำมาตำใช้สำหรับพอกรักษาโรคหิด (ราก)
12. รากนำมาต้มกับน้ำใช้ทำเป็นยาขับปัสสาวะ และแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ (ราก),
13. รากนำมาตำใช้สำหรับพอกรักษาบริเวณที่มีบาดแผลได้ (ราก)
14. รากนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับทำเป็นยาขับระดูของสตรี (ราก)
15. รากนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยารักษากามโรคชนิดหนองใน และโรคโกโนเรีย (ราก)
ข้อควรระวังของการใช้
ใบที่แก่ตัวลงและลำต้น หากนำสองส่วนนี้มาผสมกันจะทำให้เกิดความเป็นพิษได้ เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะทำให้สัตว์มีอาการอาเจียนอย่างหนักหลังจากนั้นสักพักสัตว์ก็จะตายลงไป
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย...
ต้นบานบุรี สรรพคุณใช้เป็นยาระบาย
บานบุรี
ต้นบานบุรี (Golden trumpet) เป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งเลื้อย หรือไม้เถาอาศัยต้นไม้อื่น ๆ เพื่อพยุงตัวขึ้น เป็นพืชเมืองร้อนชอบอากาศร้อนชื้นอย่างมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ ชื่อสามัญ Yellow bell, Allamanda, Common allamanda, Golden trumpet vine ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Allamanda cathartica L. อยู่วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ บานพารา บานบุรีสีเหลือง บานบุรีสีกุหลาบ อยู่ในสกุลเดียวกันก็คือ สกุล Allamanda บานบุรีสีแสด (บ้างก็เรียกกันว่า บานบุรีหอม) อยู่ในสกุล Odontadenia, บานบุรีสีม่วง อยู่ในสกุล Saritaea ทั้งหมดนี้อยู่ในวงศ์เดียวกันนั่นก็คือ วงศ์ตีนเป็ด ยกเว้นบานบุรีม่วงที่อยู่วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ลักษณะของบานบุรี
ต้น เป็นลำต้นหรือเถาสีน้ำตาล กลมเรียบ มียางสีขาวทั้งต้น ลำต้นสูงประมาณ 2-4.5 เมตร ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การปักชำ การตอน ชอบน้ำปานกลาง โตได้ดีที่ในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว สามารถทนกับความแล้งกับดินเค็มได้ มักจะขึ้นที่กลางแจ้ง ชอบแสงแดดเต็มวัน สามารถอยู่ได้ทั้งที่มีแสงแดดจัด ที่ร่มรำไร มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ในประเทศบราซิล อเมริกาเขตร้อน และมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีสีดอกแตกต่างกันไป,,,
ใบ เป็นใบเดี่ยว จะติดเป็นคู่อยู่ตรงข้าม หรืออาจติดอยู่รอบข้อ ข้อละประมาณ 3-6 ใบ ใบเป็นรูปรี รูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมรูปหอก รูปไข่กลับ ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 6-16 เซนติเมตร ที่แผ่นใบด้านบนจะมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้มเรียบและเป็นมัน มีเส้นใบที่สามารถเห็นได้ชัด ที่ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า ก้านใบมีความยาวประมาณ 2-9 เซนติเมตร,,
ดอก มีดอกขนาดใหญ่ ออกดอกเป็นช่อกระจุก ที่ตรงบริเวณยอด จะออกดอกที่ตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมีลักษณะเป็นสีเขียว ที่ปลายจะแยกเป็น 5 แฉก ดอกย่อยเป็นสีเหลือง มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน เป็นรูปหอก ที่ปลายกลีบจะมนใหญ่ กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร มีความยาวประมาณ 16 มิลลิเมตร ที่โคนเชื่อมกันเป็นท่อสั้นหรือจะเป็นหลอดแคบ ดอกตูม กลีบดอกบิดไปทางเดียวกัน มีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 5 อัน ติดอยู่ที่ตรงด้านในบริเวณใกล้โคนท่อดอก เกสรเพศเมียจะมีช่องเดียว มีรังไข่อ่อนอยู่เยอะ ก้านเกสรมีขน มีขนาดสั้น อับเรณูเป็นรูปคล้ายหัวลูกศร ดอกบานเต็มกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร ออกดอกได้ทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนจะออกดอกดกเป็นพิเศษ
ผล ผลเป็นรูปทรงกลม จะเป็นหนาม ผลแก่สามารถแตกได้ มีเมล็ดอยู่ในผลเป็นจำนวนมาก,
สรรพคุณบานบุรี
ใบ มีรสเมาร้อน สามารถใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของลำไส้หดเกร็งได้ ,,
ใบ มีสรรพคุณที่ทำให้อาเจียน (ใบ),
เปลือกกับยาง...
ต้นนาคราช ช่วยแก้พิษแมงป่อง พิษตะขาบ
นาคราช
ว่านนาคราช เป็นพรรณไม้เถาลำต้นโค้งงอห้อยลงมามีกิ่งมากมายจัดอยู่ในวงศ์กระบองเพชร (CACTACEAE)
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโกที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรในพื้นที่ที่มีหมอกหนาและสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทยตามป่าดงดิบแล้ง การเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชอบแสงแดดจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์ประมาณ 15 ถึง 24°C ช่วงต้นฤดูร้อนเป็นช่วงที่ดีที่สุด ชื่อสามัญ Rat tail Cactus, Rat’s tail Cactus ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Disocactus flagelliformis (L.) Barthlott ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Aporocactus flagelliformis (L.) Lem. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ไส้หนุมาน (กรุงเทพฯ), นาคราช ว่านนาคราช (ภาคกลาง) กระบองเพชรหางหนู
ลักษณะของว่านนาคราช
ต้น
- มีลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดิน หรืออาจจะห้อยย้อยลงมา
- ในระยะแรกลำเถาจะเป็นสีเขียวมัน และจะเปลี่ยนเป็นสีอมเทา
- ตามลำต้นมีสันนูนประมาณ 8-14 สัน
- ในแต่ละสันจะมีรูขนเป็นปุ่ม
- ปุ่มจะมีหนามงอกออกมาเป็นกระจุก กระจุกละ 15-20 เส้น
- มีความยาว 0.5 เซนติเมตร
- หนามเมื่อยังออกใหม่ ๆ จะเป็นสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีทอง และสีน้ำตาล
- ลำต้นนั้นมีความกว้าง 0.5 นิ้วหรือใหญ่กว่านี้เล็กน้อย
- มีความยาว 2 เมตร
- ไม่มีใบ
- สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
- เติบโตได้ดีในดินที่มีส่วนผสมของไม้ผุ ๆ หรือหินปูนเก่า ๆ
ดอก
- ออกดอกตามลำต้น
- ออกห่างกันเป็นระยะ ๆ ไม่เท่ากัน
- ดอกเป็นสีแดงแก่
- เมื่อออกดอกแล้วดอกจะอยู่ได้ประมาณ 7 วัน
- ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีความกว้างประมาณ 1 นิ้ว และยาว 2 นิ้ว
ผล
- ผลมีขนาดเล็ก
- ทำให้เมล็ดมีขนาดเล็กตาม
- ผลจะเป็นทรงกลม สีน้ำตาลอมแดง
- ตามผลจะมีขนยาวนุ่มปกคลุมอยู่
สรรพคุณและประโยชน์ของนาคราช
ต้น สามารถนำมาเผาหรือสุมไฟให้เป็นถ่านได้
ต้น สามารถนำมาใช้ผสมกับยาเย็น ปรุงเป็นยาเย็นถอนพิษแก้พิษงู
ต้น ช่วยแก้พิษแมงป่อง พิษตะขาบ และพิษทั้งปวง
สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “นาคราช”. หน้า 392-393.
อ้างอิงรูปจาก
1.https://succulentalley.com/
2.https://worldoffloweringplants.com/
ตะบูนดำ ใช้พอกรักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แผลบวม
ตะบูนดำ
ตะบูนดำ เป็นหนึ่งในไม้ป่าของป่าชายเลน เจริญเติบโตและขึ้นกระจายได้ดีในบริเวณที่เป็นดินเลนค่อนข้างแข็ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus moluccensis (Lam.) M. Roem. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์กระท้อน (MELIACEAE) ชื่ออื่น ๆ ตะบูน ตะบัน (ในภาคกลาง และภาคใต้) เป็นต้น
ลักษณะของต้นตะบูนดำ
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทยืนต้นที่มีต้นขนาดใหญ่
- ต้นมีความสูงประมาณ 20-35 เมตร
- ลำต้นมีลักษณะเป็นต้นเปลาตรง ลำต้นจะออกใบเป็นรูปทรงยอดลักษณะเป็นพุ่มกลม และโคนต้นจะมีลักษณะเป็นพูพอนที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ผลัดใบ
- เปลือกต้นมีผิวขรุขระ เปลือกมีสีน้ำตาลเข้ม ตามเปลือกจะแตกเป็นร่องตามยาว และเมื่อต้นแก่เปลือกจะลอกออกเป็นแถบแคบ ๆ รวมไปถึงภายในลำต้นที่มักจะเป็นโพรง
- ระบบรากของต้นจะมีหลายลักษณะ โดยหลัก ๆ จะเป็นรูปกรวยคว่ำหรือแบนทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพของดิน
ใบ
- ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยใบจะออกเรียงสลับกันไม่มียอดใบ
- ใบย่อยส่วนมากที่พบจะมีประมาณ 1-3 คู่ที่เรียงตัวกันอยู่ตรงข้ามกัน
- ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปรีถึงรูปขอบแกมรี ที่ปลายใบมน ส่วนโคนใบแหลม
- ลักษณะเนื้อผิวของใบจะเป็นผิวมัน และใบมีสีเป็นสีเขียวเข้ม แต่เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นใบก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอมเหลืองทั้งต้น ก่อนที่ใบทั้งต้นนั้นจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
- ใบย่อยมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-6 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 5-15 เซนติเมตร
- ก้านใบย่อยมีขนาดความยาวที่สั้นมาก
ดอก
- ช่อดอกจะเป็นแบบช่อแยกแขนง โดยจะออกดอกที่บริเวณง่ามใบ มีดอกย่อยเป็นจำนวนมากอยู่ภายในช่อดอก
- ดอกย่อยนั้นจะมีกลีบดอกอยู่ 4 กลีบ กลีบจะเรียงตัวออกห่างกันเล็กน้อย ส่วนกลีบเลี้ยงมีอยู่ 4 กลีบ
- ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่จำนวน 8 อัน
- โดยจะออกดอกพร้อมกับการแตกใบใหม่ในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม
ผล
- ลักษณะรูปทรงของผลค่อนข้างกลม เปลือกผลมีร่องผลเล็กน้อย
- ผลอ่อนจะมีสีเขียว โดยผลจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 7-12 เซนติเมตร
- โดยผลจะเริ่มแก่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม
เมล็ด
- ภายในผลมีเมล็ดอยู่ที่ประมาณ 7-11 เมล็ด
- ลักษณะรูปร่างของเมล็ดเป็นรูปโค้งนูน ในหนึ่งด้านจะมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4-6 เซนติเมตร
ข้อควรรู้
โดยสภาพของลำต้นนั้นอาจจะแตกต่างกันออกไปได้บ้าง ตามแต่ละพื้นที่ที่เจริญเติบโต เช่น มีเปลือกเรียบ สีจากสีน้ำตาลปกติก็จะออกสีแดง เป็นสีน้ำตาล และตามเปลือกต้นก็มีร่องลำต้นเป็นสีขาวมีลักษณะเป็นทางยาวตามลำต้น
สรรพคุณของต้นตะบูนดำ
1. เปลือกไม้นำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับรับประทานมีสรรพคุณในการช่วยแก้อาการอักเสบในลำไส้และอาการผิดปกติในช่องท้องได้ (เปลือกไม้)
2. เปลือกไม้นำมาใช้ทำเป็นยาลดไข้ (เปลือกไม้)
3. ผล มีสรรพคุณทางยาเป็นยาช่วยแก้บิดได้ โดยการปรุงยานั้นก็ให้ใช้ผลนำลงไปต้มกับน้ำใช้ดื่ม (ผล)
4. ผลแห้งนำมาตากแห้งเผาไฟร่วมกับเห็ดพังกาและน้ำมันมะพร้าว นำมาใช้ทา โดยจะมีสรรพคุณเป็นยาสำหรับแก้มะเร็งผิวหนังได้ (ผลแห้ง)
5. ผลและเมล็ดนำมาทำเป็นยาสำหรับแก้อาการไอได้ (ผล, เมล็ด)
6. ผลและเมล็ดนำมาใช้รับประทานสำหรับเป็นยาแก้อาการท้องร่วง (ผล, เมล็ด)
7. ผลและเมล็ดนำมาใช้เป็นยาสำหรับใช้บำรุงร่างกายได้ (ผล, เมล็ด)
8. ผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มช่วยแก้อาการท้องเสีย (ผล, เปลือกไม้)
9. เปลือกและผลมีสรรพคุณเป็นยาช่วยแก้อหิวาตกโรคได้ (ผล, เปลือก)
10. เปลือกและผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มช่วยรักษาแผลภายในได้ (เปลือก, ผล)
11. เปลือกและผลนำมาต้มจากนั้นนำมาตำให้ละเอียด ใช้สำหรับพอกรักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แผลบวม และแผลที่เป็นหนองได้ (เปลือก, ผล)
12. เปลือกและผลนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับชะล้างบาดแผล จะช่วยทำความสะอาดแผลได้ (เปลือก, ผล)
ประโยชน์ของต้นตะบูนดำ
1. สามารถนำไปใช้ทำดินสอได้ด้วย
2. เปลือกไม้นำมาใช้ในการฟอกหนังเพื่อนำมาใช้ทำเป็นพื้นรองเท้า (Heavy leather)
3. น้ำฝาดจากเปลือกต้นนั้น สามารถนำมาใช้ย้อมสีผ้า ย้อมแหหรืออวนประมงได้ โดยจะให้สีที่เป็นสีน้ำตาล
4. เนื้อไม้แข็ง และมีลวดลายและสีไม้ที่สวยงาม มักนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งบ้าน หรือตามอาคารได้
5. ลำต้นมักนำมาใช้ทำเป็นพื้นไม้กระดาน...
ต้นขยุ้มตีนหมา ใช้เป็นยารักษาอาการพิษสุนัขบ้า
ขยุ้มตีนหมา
ต้นขยุ้มตีนหมา คือ Tiger-foot Morning Glory, Morningglory เป็นพรรณไม้เถาล้มลุกที่มีอายุแค่เพียง 1 ปี ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร เป็นพืชที่พบได้ตามธรรมชาติทั่วไปและยังกระจายอยู่เกือบทั่วโลก ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Ipomoea pes-tigridis L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Ipomoea hepaticifolia L., Ipomoea capitellata Choisy, Convolvulus pes-tigridis (L.) Spreng.) อยู่วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE), ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เพาละบูลู (มาเลย์-ยะลา), เถาสายทองลอย (จังหวัดสิงห์บุรี), เพาละมูลู (มาเลย์-ยะลา), ผักบุ้งทะเล (จังหวัดพังงา)
ลักษณะของขยุ้มตีนหมา
ลักษณะของลำต้นลำต้นเป็นเถาเลื้อยพาดไปตามสิ่งที่อยู่รอบๆ จะไม่มีมือเกาะ ลำต้นเล็กเรียว มักจะเลื้อยที่ตามพื้นดินหรือจะเลื้อยพาดพัน สามารถเลื้อยยาวได้ประมาณ 0.5-3 เมตร มีขนแข็งสีขาวขึ้นคลุมลำต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด สามารถพบขึ้นได้ที่ตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป นาข้าว ดินทรายใกล้ทะเล
ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเรียงตัวสลับ ใบกว้างเป็นรูปไข่ ที่ขอบใบจะเป็นแฉกหรือจะเป็นจักเว้าลึกประมาณ 7-9 แฉก มักเป็นจักลึกถึงโคนใบ หรือจะเว้าลึกแยกเป็นพู 3 พู แต่ละพูเว้าจะลึกแยกเป็นอีก 2-3 พู ดูคล้ายกับเป็นใบประกอบที่มีใบย่อยประมาณ 7-9 ใบ ส่วนที่ปลายใบจะแฉกแหลม ใบกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีขนนุ่มขึ้นคลุมผิวใบทั้งสองด้าน ก้านใบเล็กเรียว มีความยาวประมาณ 1.5-10 เซนติเมตร,
ลักษณะของดอก ดอกออกเป็นช่อ ออกดอกที่ตามซอกใบ ช่อดอกมีดอกประมาณ 2-3 ดอก หรือจะเป็นดอกเดี่ยวขึ้นที่ตามซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร จะมีขนขึ้นคลุม มีใบประดับเป็นรูปหอกแกมรูปขอบขนาน ที่ปลายจะแหลม มีความยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงจะติดกันมีอยู่ 5 กลีบ มีความยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร จะมีขนยาวขึ้นเป็นสีขาว ที่ปลายกลีบจะแหลม มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว เชื่อมกันเป็นรูปปากแตรหรือจะติดกันเป็นรูประฆัง กลีบดอกยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ผิวกลีบมีลักษณะเรียบ ที่ปลายกลีบจะเว้าหยักเข้านิดหน่อย ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้เรียบเกลี้ยง ส่วนเกสรเพศเมียก็เรียบเกลี้ยงเช่นกัน มีเกสรเพศผู้ 5 อัน อยู่บนหลอดกลีบดอก มีเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มีลักษณะเป็นรูปไข่ เป็นรังไข่แบบ Superior ovary ,
ลักษณะของผล ผลเป็นรูปไข่แบบแคปซูล มีความยาวประมาณ 8-9 มิลลิเมตร ผิวผลมีลักษณะเกลี้ยง ผลแห้งเป็นสีน้ำตาล มีเมล็ดยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร จะมีขนสีเทาขึ้นกระจาย ,
สรรพคุณขยุ้มตีนหมา
1. สามารถนำทั้งต้น มาตำให้ละเอียดผสมเนย ใช้ปิดหัวฝีไม่ให้แพร่กระจายได้...
ต้นกูดพร้าว สรรพคุณช่วยแก้ไข้ ลดการอักเสบ
ต้นกูดพร้าว
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cyathea latebrosa (Wall. ex Hook.) Copel. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Alsophila latebrosa Wall. ex Hook., Dichorexia latebrosa (Wall. ex Hook.) C. Presl) จัดอยู่ในวงศ์ CYATHEACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กูดต้น (ภาคเหนือ), มหาสดำ (ภาคตะวันออกเฉียงใต้), กูดพร้าว (เชียงใหม่) บางแห่งเรียกว่า “กูดต้นดอยสุเทพ“
ลักษณะของกูดพร้าว
ต้น
- เป็นเฟิร์นต้นที่มีลำต้นตั้งตรง
- สูงได้ถึง 3-5 เมตร
- ตามลำต้นมีเกล็ดขึ้นปกคลุม
- มีรอยก้านใบที่หลุดร่วงไป
- รากเป็นเส้นแข็งสีดำ
- มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศจีนตอนใต้ กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
- ในประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้
- สามารถพบขึ้นได้ตามไหล่เขาในป่าดิบเขา บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 1,000 เมตร
ใบ
- เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น
- ออกรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณใกล้ยอด
- แกนกลางของใบประกอบไม่เรียบ
- มีตุ่มขรุขระทางด้านล่าง
- ด้านบนมีขนและเกล็ดขึ้นประปราย
- ก้านใบเป็นสีน้ำตาลปนเหลืองหรือสีน้ำตาลเข้ม
- มีความยาวได้ 40 เซนติเมตร
- มีหนามสั้น ๆ ที่โคนมีเกล็ดสีน้ำตาลเป็นมัน
- มีความกว้าง 1 มิลลิเมตร และยาว 2 เซนติเมตร
- ด้านบนมีขน
- กลุ่มใบย่อยถัดขึ้นมาจะเป็นรูปขอบขนานแคบ
- ปลายเรียวแหลมและมีติ่งยาว มีความกว้าง 14 เซนติเมตร และยาว 40 เซนติเมตร
- แกนกลุ่มใบย่อยมีเกล็ดแบนสีน้ำตาลทางด้านล่าง
- ใบย่อยจะมีมากกว่า 25 คู่ เรียงห่างกัน 1.6 เซนติเมตร
- ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก มีความกว้าง 1.7 เซนติเมตร และยาว 7 เซนติเมตร
- ปลายเรียวแหลม
- โคนกึ่งตัด
- ขอบหยักเว้าลึกเกือบถึงเส้นกลางใบย่อย มีความกว้าง 3 มิลลิเมตร และยาว 1 เซนติเมตร ปลายมน
- ขอบเรียบหรือจักเป็นฟันเลื่อย
- เส้นกลางใบย่อยมีขนทางด้านบน
- แผ่นใบบาง
- ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม
- ผิวใบด้านล่างเป็นสีเขียวอ่อน
- เส้นใบแยกสาขาออกเป็นคู่ 7-8 คู่
- ไม่มีก้านใบย่อย
สปอร์
- กลุ่มอับสปอร์จะมีรูปร่างเกือบกลม
- อยู่บนเส้นใบทั้งสองข้าง
- จะอยู่ตรงเส้นกลางใบย่อย
- เยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์เป็นเกล็ดเล็ก
- อยู่ที่ฐานของกลุ่มอับสปอร์
สรรพคุณ และประโยชน์ของกูดพร้าว
แพทย์แผนชนบทจะนำเนื้อไม้ สามารถนำมาทำเป็นยาแก้ไข้ได้
สามารถนำมาใช้ฝนเป็นยาทาแก้ฝีได้
ช่วยแก้อักเสบ และแก้อาการบวม
ลำต้น สามารถนำมาใช้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ได้
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กูด พร้าว”. . เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. .
2. หนังสือคำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์. (ชยันต์...
ต้นกำจัดหน่วย ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามข้อ
ต้นกำจัดหน่วย
ชื่อสามัญ คือ Shiny-Leaf Prickly Ash ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Zanthoxylum nitidum (Roxb.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE), ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กำจัดเถา, กำจัดเครือ, สรรพลังวน, งูเห่า (อุดรธานี), กำจัดหน่วย (ภาคใต้เรียก), ยิบตี่กิมงู้ เหลี่ยงหมิ่งจำ (จีนแต้จิ๋ว), ลู่ตี้จินหนิว เหย่เชียนหนิว เหลี่ยงเมี่ยนเจิน (จีนกลาง),
ลักษณะของต้นกำจัดหน่วย
ต้น
- เป็นพรรณไม้เถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อยอายุหลายปี
- มีความสูงได้ถึง 2-3 เมตร
- ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลมขึ้นกระจายแบบห่าง ๆ
- ในประเทศไทยนั้นจะพบขึ้นได้ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้
- ในต่างประเทศนั้นจะพบได้ในจีน อินเดีย ภูมิภาคอินโดจีน ภูมิภาคมาเลเซีย และในญี่ปุ่น
- จะพบได้ในพื้นที่ระดับต่ำจนถึงสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500 เมตร
ใบ
- เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่
- ออกเรียงสลับกัน
- มีความยาว 40 เซนติเมตร
- ก้านใบและแกนใบมีหนามแหลม
- มีใบย่อย 2-4 คู่ เป็นรูปรีหรือรูปไข่
- ปลายใบและโคนใบแหลมหรือมน
- ขอบใบหยักห่าง ๆ และจะมีต่อมกลม ๆ อยู่ใกล้กับขอบใบ
- ใบมีความกว้าง 2.5-6 เซนติเมตร และยาว 5-12 เซนติเมตร
- มีเส้นแขนงใบข้างละ 5-12 เส้น
- มีหนามเล็ก ๆ อยู่ตามเส้นกลางใบด้านล่าง
ดอก
- ออกดอกเป็นช่อที่ง่ามใบและปลายยอด
- มีความยาว 15 เซนติเมตร
- ก้านช่อดอกมีขนละเอียด
- ดอกมีขนาดเล็ก
- ดอกเป็นแบบแยกเพศ
- ดอกเพศผู้จะยาว 4-5 มิลลิเมตร
- ก้านดอกจะสั้น
- มีกลีบดอก 4 กลีบ เป็นสีเหลืองอมเขียว เป็นรูปรีหรือรูปไข่ มีความยาว 2-3 มิลลิเมตร
- กลีบเลี้ยงดอกมีขนาดเล็ก มี 4 กลีบ เป็นรูปสามเหลี่ยม
- โคนกลีบเชื่อมติดกันเล็กน้อย
- มีเกสรเพศผู้ 4 อัน
- ก้านชูอับเรณูมีความยาว 4-6 มิลลิเมตร
- มีชูอับเรณูที่โผล่พ้นกลีบดอก
- อับเรณูจะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก
- ดอกเพศเมียจะมีดอกที่เล็กกว่าดอกเพศผู้
- มีรังไข่ที่ค่อนข้างใหญ่เห็นได้ชัด
- จะมีรังไข่ 4 ช่อง
- ก้านเกสรเพศเมียจะสั้น
- ยอดเกสรเพศเมียเล็ก
- จะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
ผล
- ผลมี 4 พู
- ผลจะติดกันเฉพาะตรงโคน
- พูค่อนข้างกลม
- มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-7 มิลลิเมตร
- ผลเมื่อแก่จะแตกออกตามยาวกลางพู
- ในแต่ละพูจะมีเมล็ด 1 เมล็ด
- เมล็ดค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 มิลลิเมตร
- เมล็ดจะออกในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม
เมล็ด
- ผิวเมล็ดเกลี้ยงและเป็นมัน
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกำจัดหน่วย
สารที่พบ คือสารจำพวก อัลคาลอยด์ ,Nitidne, Oxynitidine, Diosmin และในเมล็ดพบน้ำมันระเหย
สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 2 ซีซี...
ต้นจิกทะเล เมล็ดเป็นยาขับพยาธิ
ต้นจิกทะเล
จิกทะเล เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสงคราม พบเจอขึ้นได้ตั้งแต่มาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น ภูมิภาคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ถึงทางภาคเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะโพลีนีเซีย สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอได้ที่ตามป่าชายหาดของฝั่งทะเล ตามเกาะที่ไม่ถูกรบกวนทางภาคใต้ ชื่อสามัญ Putat, Sea Poison Tree, Fish Poison Tree ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Barringtonia asiatica (L.) Kurz ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Mammea asiatica L., Barringtonia butonica J.R.Forst. & G.Forst., Michelia asiatica (L.) Kuntze, Agasta asiatica (L.) Miers, Barringtonia speciosa J.R.Forst. & G.Forst., Agasta indica Miers) อยู่วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE), ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น โดนเล (ภาคใต้), อามุง (มาเล, จังหวัดนราธิวาส), จิกเล (ภาคใต้)
ลักษณะจิกทะเล
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ สามารถสูงได้ถึงประมาณ 7-20 เมตร จะแตกกิ่งก้านสาขาออกที่บริเวณเรือนยอดลำต้น เรือนยอดจะมีลักษณะเป็นพุ่มกลมทึบแตกกิ่งต่ำ กิ่งมีขนาดใหญ่จะมีรอยแผล รอยแผลเกิดจากใบที่ร่วงไป เปลือกต้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล สีเทา จะแตกเป็นร่องตามแนวยาวและจะมีช่องระบายอากาศ มีเนื้อไม้เป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ด แพร่พันธุ์ด้วยผลลอยตามน้ำ มีอัตราการเติบโตปานกลางถึงเร็ว สามารถขึ้นได้ในดินทั่วไป ชอบความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดเต็มวัน มีเขตการกระจายพันธุ์ที่กว้าง ,,
ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงเวียนสลับไปตามข้อต้น ใบเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน รูปมนรี รูปไข่กลับ ที่ปลายใบจะมนเว้า ส่วนที่โคนใบจะสอบเข้าหาก้านใบ ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 10-18 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-38 เซนติเมตร มีแผ่นใบสีเขียว เนื้อใบมีลักษณะหนาเกลี้ยงและเป็นมันวาวที่ด้านบน มีเส้นแขนงใบอยู่ข้างละ 12-14 เส้น จะนูนทั้งสองด้าน ไม่มีก้านหรือมีก้านใบยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร,,
ดอก ดอกจะออกเป็นช่อ เป็นช่อแบบช่อกระจะที่ตามส่วนยอดของลำต้น มีลักษณะตั้งตรง ในช่อหนึ่งมีดอกอยู่ประมาณ 7-8 ดอก ช่อดอกมีความยาวประมาณ 2-15 เซนติเมตร แกนช่อหนา ดอกจะเป็นสีขาวและดอกมีกลิ่นหอม เกล็ดหุ้มยอดมีลักษณะเป็นรูปไข่ มีความยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร จะมีใบประดับเป็นรูปไข่ มีความยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ใบประดับย่อยเป็นรูปสามเหลี่ยม มีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวยสั้น มีความยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงจะติดกับตาดอก บานแยกเป็น 2 ส่วน...
ชะมดเชียง สรรพใช้รักษาหอบหืด หลอดลมอักเสบและปอดบวม
ชะมดเชียง
ชะมดเชียง เป็น เครื่องหอมชนิดหนึ่งซึ่งได้จากสารคัดหลั่งแห้งจากต่อมถุงชะมดซึ่งอยู่ระหว่างสะดือและอวัยวะเพศของกวางชะมดตัวผู้ที่โตเต็มวัย เป็นสัตว์ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาตั้งแต่ไซบีเรียไปจนถึงเทือกเขาหิมาลัยชะมดเป็นวัตถุดิบของยาหลายชนิดใช้เป็นยาแผนโบราณของชาวตะวันออกในเอเชียตะวันออก มีการใช้แต่งกลิ่นเครื่องหอมและทำยาเพื่อรักษาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อาการโคม่า โรคประสาทอ่อน อาการชัก และโรคหัวใจในจีนตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Moschus moschiferus Linnaeus จัดอยู่ในวงศ์กวางชะมด (MOSCHIDAE) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ชะมด,กวางชะมด,มุดลัง,เซ่อเซียง (จีนกลาง)
ลักษณะของชะมดเชียง,
กวางชะมด
- เป็นสัตว์จำพวกกวางแต่ไม่มีเขา
- มีลำตัวยาวประมาณ 65-95 เซนติเมตร
- สูงประมาณ 60 เซนติเมตร
- มีน้ำหนักประมาณ 8-13 กิโลกรัม
- มีขนสั้นและหยาบแข็ง
- ขนที่หน้าท้องเป็นสีขาว
- ปลายขนเป็นสีดำ
- ใบหูมีลักษณะกลมยาวและตั้งตรง
- ตาโต
- มีเขี้ยวยาว
- ขาเล็กยาว แต่สองขาหลังจะยาวกว่าสองขาหน้า
- มีหางสั้น คดงอ
- จะอาศัยอยู่ตามป่าบนภูเขาสูงในประเทศเนปาลและจีน
- ออกหากินตามลำพังเวลาเช้ามืดหรือพลบค่ำ
ชะมดเชียง
- เป็นไขมันในต่อมกลิ่นของชะมด
- ซึ่งต่อมนี้จะมีเฉพาะในชะมดตัวผู้เท่านั้น
- จะอยู่ระหว่างใต้สะดือกับอวัยวะเพศตัวผู้
- มีลักษณะเป็นรูปกลมรีคล้ายรูปไข่ มีสีน้ำตาล มีขนสั้นห่อหุ้มอยู่
- ตรงกลางจะมีรูเพื่อขับสารประเภทไขมันออกมา เป็นสารสีน้ำตาลเข้ม เหนียว
- มีกลิ่นหอม
- สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้
- มีกลิ่นฉุนจัด ผิวเป็นมัน เนื้ออ่อนนิ่มและเป็นสีน้ำตาลไม่ปนสีดำ
- ปัจจุบันตัวยาชนิดนี้หาได้ยากและมีราคาแพง
สรรพคุณของชะมดเชียง
สามารถนำมาใช้รักษาโรคเส้นประสาทได้
สามารถนำมาใช้แก้อาการเป็นลมหมดสติ แก้อาการตกใจง่ายได้
สามารถนำมาใช้รักษาโรคตา โรคลม โลหิต กำเดาได้
สามารถนำมาใช้รักษาหอบหืด หลอดลมอักเสบ ปอดบวมได้
สามารถนำมาใช้แก้อาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นได้
ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ฝีบวมอักเสบ ปวดบวม แก้ซีสต์
ช่วยแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ลมชัก
สามารถนำมาใช้เป็นยาเร่งในโรคไข้รากสาดน้อยได้
สามารถนำมาใช้เป็นยากระตุ้นการทำงานของประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกตื่นตัวและสดชื่นได้
ช่วยรักษาอาการแน่นหน้าอก จุกเสียดปวดมวนที่หัวใจ
ไขมันของต่อมกลิ่นของชะมดตัวผู้ มีรสเผ็ดขม มีกลิ่นหอม เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ตับและม้าม ใช้เป็นยาปิดทวารทั้ง 7 ทำให้ลมปราณไหลเวียนดี
ช่วยกระจายการอุดตันของเส้นลมปราณและเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี
ประโยชน์ของชะมดเชียง
สามารถใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องหอมต่าง ๆ ได้
ข้อควรระวัง
สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้แท้งบุตรได้
ขนาดและวิธีใช้
ให้ใช้ครั้งละประมาณ 0.15-0.2 กรัม
นำมาบดให้เป็นผงรับประทาน หรือใช้เข้ากับตำรายาอื่น
ยาชนิดนี้ไม่นิยมนำมาต้มรับประทาน
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชะมดเชียง
สารที่พบ ได้แก่ สาร Muscone (สารให้กลิ่นหอม), Muscopyridine, Normuscone และพบแร่ธาตุต่าง ๆ อีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม, โปรตีน, ไขมัน เป็นต้น
จากการทดลองกับหนูขาว พบว่า ถ้ารับประทานสาร Muscone ในปริมาณเล็กน้อย ขนาด 0.01-0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้หนูขาวมีความรู้สึกตื่นตัวและมีความสดชื่น แต่ถ้ารับประทานมากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าจะมีฤทธิ์กล่อมประสาท ทำให้ง่วงและยืดเวลาการนอนหลับให้ยาวนานขึ้น
มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจที่อยู่นอกร่างของสัตว์ทดลอง ทำให้บีบตัวแรงขึ้น และพบว่าความดันโลหิตได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีการหายใจเร็วขึ้นอีกด้วย
...
ต้นข้าวต้ม สรรพคุณช่วยรักษาโรคดีซ่าน
ต้นข้าวต้ม
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Wissadula periplocifolia (L.) Thwaites อยู่วงศ์ชบา (MALVACEAE) ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ข้าวเหนียวหมา (ภาคใต้),จั่นนก(ภาคเหนือ), มะกล่องข้าวตัวผู้ (ภาคเหนือ)
ลักษณะต้นข้าวต้ม
ต้น เป็นไม้พุ่ม ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ต้นสามารถสูงได้ถึงประมาณ 0.5-2 เมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปใบโพ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะป้าน ใบกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร ที่ท้องใบมีขนขึ้นมีลักษณะเป็นรูปดาว หูใบเป็นเส้นยาว
ดอก ออกดอกจะออกที่ปลายกิ่ง ช่อมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 2-3 ดอก กลีบดอกมีลักษณะเป็นสีเหลืองอ่อน
ผล เป็นผลแห้งสามารถแตกได้ ปลายจะเป็นฝา ฝาละ 2 แฉก ที่ผลมี 5 พู ผลแก่พูจะแยกจากกัน
สรรพคุณต้นข้าวต้ม
ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนานำลำต้นแห้งมาผสมสมุนไพรอื่นอีกหลายชนิด แล้วนำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาแก้ดีซ่าน (ลำต้นแห้ง)
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ข้าวต้ม”. หน้า 227.
2. https://medthai.com/
อ้างอิงรูปจาก
1.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1213890-2
2.https://tropical.theferns.info/image.php?id=Wissadula+excelsior
ดาวกระจาย สรรพคุณช่วยแก้ตับไตอักเสบ
ดาวกระจาย
ดาวกระจาย จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกกลางแจ้ง มีกำเนิดและมีการแพร่กระจายในประเทศเขตร้อนอย่างเม็กซิโก รวมถึงในแถบกึ่งเขตร้อนของอเมริกาและเวสต์อินดีส ชื่อสามัญ Mexican Aster, Cosmos, Cosmea มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cosmos bipinnatus Cav. อยู่วงศ์ Compositae (วงศ์เดียวกับดาวเรือง) ชื่อเรียกในท้องถิ่น คำเมืองไหว,คำแพ,ดาวเรืองพม่า,หญ้าแหลมนกไส้
ลักษณะของต้นดาวกระจาย
ต้น เป็นไม้ล้มลุก มีอายุได้ราว 1 ปี ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ต้นสูงได้ถึงประมาณ 25-85 เซนติเมตร ที่กลางลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยม จะมีขนขึ้นนิดหน่อย ที่โคนต้นจะเป็นสีม่วงและไม่มีขน กิ่งก้านเป็น 4 เหลี่ยม ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอได้ที่ตามที่รกร้างในชนบท,,
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบจะออกเรียงสลับกัน ที่ปลายใบจะคี่ ดอกช่อใบจะเป็นใบเดี่ยว ที่ปลายใบแหลมกว่าใบอื่น ช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบย่อยเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ที่ขอบใบจักเป็นซี่ฟันประมาณ 2-3 ซี่ ใบมีลักษณะเป็นสีเขียว มีเนื้อใบนิ่ม ที่หลังใบจะมีขนประปราย ส่วนที่ท้องใบก็จะมีขนประปรายเช่นกัน ,
ดอก ดอกจะออกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก ออกดอกที่ตามซอกใบ ที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเป็นสีเหลืองสด สีแดงอมม่วง สีชมพูและขาว จะมีริ้วประดับเป็นรูปหอกเรียงเป็นวง จะมีทั้งวงนอกและวงใน ดอกเมื่อบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-10 มิลลิเมตร ดอกวงนอกจะเป็นหมัน กลีบดอกเป็นรูปรางน้ำ ดอกวงในจะเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกเป็นรูปท่อ ที่ปลายจะมีแฉก 5 แฉก ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1.8-8.5 เซนติเมตร,,
ผล ผลเป็นรูปทรงแคบ จะมีสันประมาณ 3-4 สัน ผลค่อนข้างที่จะแข็ง จะมีรยางค์เป็นหนาม มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร
เมล็ด มีลักษณะรียาว หัว และท้ายเรียวแหลม เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง สีน้ำตาลอมดำ
สรรพคุณดาวกระจาย
1. สามารถใช้แก้อาการฟกช้ำได้ โดยนำต้นสดประมาณ 30-70 กรัม มาตำให้แหลก มาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าขาวนิดหน่อย ใช้ทานวันละ 1 ครั้ง (ต้น)
2. สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาแก้พิษงูกัด แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการนำต้นสดมาต้มกับน้ำทาน ส่วนกากที่เหลือสามารถเอามาพอกที่บริเวณที่เป็น (ทั้งต้น, ใบ และต้น),,
3. ทั้งต้นสามารถช่วยแก้ฝีในลำไส้ได้ (ทั้งต้น)
4. สามารถนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยา แก้อาการท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้อาการปวดกระเพาะ แก้อาการปวดท้อง (ทั้งต้น), บ้างก็ว่าสามารถนำใบกับต้นมาต้มกับน้ำแล้วรินเอาแค่น้ำมาดื่มใช้เป็นยาแก้อาการท้องร่วงได้ (ใบและต้น)
5. สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยารักษาบาดแผลได้ (ทั้งต้น, ใบ, ต้น),
6. สามารถช่วยแก้ตับไตอักเสบ อักเสบเฉียบพลันได้ (ทั้งต้น)
7. นำต้นสดประมาณ 30-70 กรัม มาต้มผสมกับน้ำตาลนิดหน่อย สามารถดื่มแก้บิดได้ (ต้น)
8. สามารถช่วยแก้ลำคอปวดบวม แก้ระบบทางเดินหายใจติดเชื้อได้ (ทั้งต้น)
9. ทั้งต้นสามารถช่วยกระจายลม ฟอกโลหิตได้ (ทั้งต้น)
ข้อควรระวัง
สตรีมีครรภ์ห้ามทาน
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
สารสกัดที่ได้จากต้นสดรวมกับหนอนหม่อนแห้ง แล้วเอาไปให้หนูที่มีอาการปวดข้อหรือข้ออักเสบ โดยใช้ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนู...
ต้นหัวลิง สรรพคุณของใบสดใช้แก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า
ต้นหัวลิง
ต้นหัวลิง หรือ เถาหัวลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarcolobus globosus Wall. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)
ชื่ออื่น ๆ มะปิน ตูดอีโหวด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บาตูบือแลกาเม็ง (ชาวมาลายู-นราธิวาส), หัวกา (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), เถรอดเพล ตองจิง หัวลิง อ้ายแหวน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ), หงอนไก่ใหญ่ (จังหวัดตราด) เป็นต้น
ลักษณะของต้นหัวลิง
ต้น
- เป็นพันธุ์ไม้ประเภทเถา แต่ในบางข้อมูลก็ระบุว่าเป็นไม้พุ่ม
- มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 3 เมตร และมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร
- ลำต้นอยู่เหนือพื้นผิวดิน เปลือกของลำต้นมีสีเป็นสีน้ำตาล พื้นผิวของลำต้นเป็นผิวขรุขระ เรือนยอดมีรูปร่างเป็นรูปไข่ ลำต้นสามารถตั้งตรงเองได้และลำต้นไม่มียาง
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น,
ใบ
- ใบเป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน
- ลักษณะรูปร่างของใบจะเป็นรูปไข่ รูปรี หรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม ตรงโคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ
- แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว ใต้ท้องใบมีเส้นใบอยู่ประมาณ 5-7 คู่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน,
- ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4.5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 8 เซนติเมตร
ดอก
- ออกดอกเป็นช่อกระจะ โดยจะออกดอกที่บริเวณตามง่ามของกิ่งก้าน
- ก้านช่อดอกมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 6-13 มิลลิเมตร
- ลักษณะของดอกจะมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกัน
- ดอกมีสีเป็นสีม่วง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1 เซนติเมตร และดอกไม่มีกลิ่น,
- ดอกมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย โดยจะเชื่อมติดกันอยู่ และดอกมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
ผล
- เป็นผลเดี่ยว ลักษณะรูปร่างของผลจะเป็นฝักรูปทรงกลมมน
- เปลือกฝักมีสีเป็นสีน้ำตาล มีขนาดความกว้างและความยาวอยู่ที่ประมาณ 4 นิ้ว
- ผลอ่อนจะมีสีเป็นสีเขียว แต่ผลเมื่อแก่จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล และผลจะแตกที่บริเวณกลางพู
เมล็ด
- ภายในฝักจะมีเมล็ดอยู่ โดยลักษณะของเมล็ดจะมีรูปทรงเป็นรูปไข่แบน บริเวณขอบเมล็ดจะหนาเป็นสีน้ำตาลแก่ และขนาดความยาวของเมล็ดจะยาวอยู่ที่ประมาณ 18 มิลลิเมตร ,
สรรพคุณ และประโยชน์ของต้นหัวลิง
ใบสด ๆ นำมาตำผสมกันกับผลของต้นมะเยาตำให้ละเอียด จากนั้นจึงนำมาใช้เป็นยาสำหรับใช้แก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า (ใบสด)
เมล็ด มีความเป็นพิษต่อสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ชาวพื้นเมืองในทวีปเอเชียจึงนิยมนำมาใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ป่า
ข้อควรระวัง
เมล็ดมีความเป็นพิษต่อสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว เป็นต้น โดยจะมีฤทธิ์เข้าไปยับยั้งกล้ามเนื้อระบบประสาท ซึ่งจะมีอาการเป็นพิษที่แสดงให้เห็น คือ ปัสสาวะเป็นเลือด และไตเสื่อม
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หัวลิง”. หน้า 825-826.
2. โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก. “เถาหัวลิง”. . เข้าถึงได้จาก : www.lrp.ac.th. .
3. วิกิพีเดีย...
ต้นหางไหลขาว สรรพคุณใช้เป็นยาขับระดูในสตรี
ต้นหางไหลขาว
ต้นหางไหลขาว เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ มีเปลือกสีเทาอมเขียวและเปลือกเรียบ มีถิ่นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย ส่วนใหญ่พบในป่าและบนเนินเขา พบขึ้นตามริมน้ำลำธาร ในเขตวนอุทยานถ้ำเพชร ป่าดงดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณทั่วไป ชื่อวิทยาศาสตร์ Derris malaccensis Prain ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Derris cuneifolia var. malaccensis Benth. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)
ชื่ออื่น ๆ ยานาเละ (ชาวมลายู-นราธิวาส)
ลักษณะของต้นหางไหลขาว
ต้น
- เป็นพรรณไม้ประเภทเถาที่มีขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
ใบ
- เป็นใบประกอบ มีใบย่อยอยู่ประมาณ 5-7 ใบ
- ใบเป็นรูปหอก ปลายใบกว้างแหลม ตรงโคนใบสอบแคบ
- ใบอ่อนมีสีเป็นสีเหลืองอ่อนออกเขียว เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งแผ่นใบ
ดอก
- ออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อ
- ดอกมีขนาดเล็กมีสีเป็นสีชมพู
ผล
- มีลักษณะรูปร่างเป็นรูปฝักแบน มีขนาดที่ไม่ยาวมากนัก
สรรพคุณของต้นหางไหลขาว
1. รากนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับขับระดู และแก้ระดูเป็นลิ่ม (ราก)
2. รากนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับถ่ายเส้นเอ็น และทำให้เส้นอ่อน (ราก)
3. รากมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายลม ถ่ายเสมหะและโลหิตได้ (ราก)
ประโยชน์ของต้นหางไหลขาว
1. รากนำมาใช้ผสมกับสบู่และน้ำ จากนั้นก็นำมาใช้ฆ่าสัตว์จำพวกหิดและเหาได้
2. นำรากมาทุบให้แหลกผสมกับน้ำ พอให้ขุ่นขาว จากนั้นก็นำมารดพืชผักในสวนผัก จะช่วยฆ่าแมลงและตัวหนอนได้ และยังสามารถนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลาได้อีกด้วย
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หางไหลขาว”. . เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. .
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/
2.https://commons.wikimedia.org/
ต้นหูปากกา สรรพคุณเป็นยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต
หูปากกา
หูปากกา หรือหนามแน่ขาว เป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีความยาวได้ประมาณ 1-3 เมตร พบตามพื้นป่าผลัดใบ ชื่อสามัญ Sweet clock vine ชื่อวิทยาศาสตร์ Thunbergia fragrans Roxb. var. fragrans จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE), ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ จิงจ้อ จิงจ้อเขาตาแป้น (สระบุรี),
ลักษณะของต้นหูปากกา
ต้น
- เป็นไม้เถาเลื้อย
- เลื้อยไปพาดพันกับต้นไม้อื่น
- มีความยาวได้ถึง 1-3 เมตร
- เถามีความกลม เป็นสีเขียวอมน้ำตาล
- สามารถพบได้ตามพื้นป่าผลัดใบ
ใบ,
- เป็นใบเดี่ยว
- ออกเรียงตรงข้ามกัน
- ใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก
- ขอบใบหยักตื้น ๆ
- ใบมีขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 4-8 เซนติเมตร
- แผ่นใบบาง
- มีขนขึ้นตามเส้นใบ
- ผิวใบด้านบนเรียบ
- ด้านล่างเรียบหรือมีขน
ดอก,
- ออกดอกเดี่ยว
- ออกดอกตามซอกใบ
- ดอกเป็นสีขาว
- กลางดอกเป็นสีเหลือง
- ดอกมีกลิ่นหอม
- มีกลีบดอก 5 กลีบ
- ปลายกลีบดอกเว้า
- โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปปากแตร
- ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร
- จะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม
ผล
- ผลมีความกลม
- ปลายผลเป็นจะงอย ทั้งแหลมและแข็ง
- ผลแห้งแตกออกได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
สารสกัดจากส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นด้วยแอลกอฮอล์ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด ลดอาการชัก หรือลดการบีบตัวของลำไส้
สรรพคุณของหูปากกา
ทั้งต้น สามารถนำมาใช้ผสมกับต้นจันตาปะขาว และต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต,
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “หูปากกา”. หน้า 193.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หูปากกา”. หน้า 210.
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/
2.https://m.xuite.net/blog/
เทียนหยด สรรพคุณแก้ไข้มาลาเรียและปลูกเป็นไม้ประดับ
เทียนหยด
ต้นเทียนหยด หรือ ต้นฟองสมุทร มีถิ่นกำเนิดในประเทศอเมริกาเขตร้อนตั้งแต่ฟลอริดาไปจนถึงบราซิล ตลอดจนหมู่เกาะอินดีสทางตะวันตก ชื่อสามัญ Duranta, Golden Dewdrop, Crepping Sky Flower, Pigeon Berry, ชื่อวิทยาศาสตร์ Duranta erecta L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Duranta repens L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE) ชื่ออื่น ๆ เครือออน (จังหวัดแพร่), สาวบ่อลด (จังหวัดเชียงใหม่), พวงม่วง ฟองสมุทร เทียนไข เทียนหยด (กรุงเทพฯ), เอี่ยฉึ่ง (ประเทศจีน) เป็นต้น
ลักษณะของต้นเทียนหยด
ต้น
- เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่ม
- ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 1-3 เมตร
- ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาได้มากโดยแผ่ออกรอบ ๆ บริเวณของลำต้นตั้งแต่โคนต้นถึงยอดต้น
- กิ่งก้านมีลักษณะรูปทรงที่ไม่แน่นอน กิ่งมีลักษณะลู่ลง และตามกิ่งอาจจะมีหนามบ้างเล็กน้อย
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย
- ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน,
ใบ
- ใบในลักษณะที่เป็นใบเดี่ยว โดยจะออกใบเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ และต้นจะออกใบดกเต็มต้น
- ใบเป็นรูปรี ปลายใบสั้นมีลักษณะแหลมหรือมน ตรงโคนใบสอบหรือเรียวยาวไปจนถึงก้านใบ ส่วนขอบใบมีรอยจักเป็นฟันเลื่อยเล็กน้อย
- แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว ,
- ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ 3-3.5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ 5-6 เซนติเมตร
- ก้านใบสั้น
ดอก
- ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณตามซอกใบและส่วนยอดของลำต้น
- ออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากที่สุดในช่วงฤดูฝน(ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม) ,,
- ดอก มี 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ดอกสีม่วงและพันธุ์ดอกสีขาว โดยช่อดอกจะมีลักษณะห้อยลงมา มีความยาวอยู่ที่ 5-10 เซนติเมตร ซึ่งภายในช่อจะประกอบไปด้วยดอกที่มีขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
- ดอกย่อยเมื่อบานเต็มที่แล้ว จะมีขนาดกว้างอยู่ที่ 1-1.5 เซนติเมตร ซึ่งดอกจะทยอยบานครั้งละ 5-6 ดอก
- โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนบริเวณปลายจะแยกออกเป็นกลีบ 5 กลีบ มีขนาดไม่เท่ากัน มีสีม่วงน้ำเงินหรือสีขาว
- ตรงกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว โดยกลีบเลี้ยงจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ตรงปลายแยกออกเป็น 5 ริ้ว
ผล
- ออกผลในลักษณะที่เป็นพวงหรือเป็นช่อห้อยลงมา
- ผลมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก โดยลักษณะรูปทรงของผลเป็นรูปทรงกลมรี มีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร
- ผลอ่อนมีสีเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ผิวเป็นมันสดใส และผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่,
- ผลมีพิษ
สรรพคุณของต้นเทียนหยด
1. นำใบสดในปริมาณพอสมควร มาตำผสมกับน้ำตาลทราย แล้วนำไปพอกบริเวณที่มีอาการ โดยนำมาใช้เป็นยาสำหรับแก้ฝีฝักบัว แก้หนอง แก้บวม และแก้อักเสบ (ใบสด)
2. ใบสดมีกลิ่นฉุน โดยจะนำมาใช้ตำพอกเป็นยาสำหรับใช้ห้ามเลือดได้ (ใบสด)
3. นำใบสดในปริมาณพอสมควร มาตำผสมกับน้ำตาลทรายแดงปริมาณ 15 กรัม จากนั้นก็นำมาปั้นเป็นก้อน แล้วลนด้วยไฟอุ่น ๆ ใช้เป็นยาสำหรับพอกบริเวณที่เป็นแผล โดยจะนำมาใช้รักษาอาการปลายเท้าเป็นห้อเลือด บวมอักเสบ และเป็นหนองได้ (ใบสด)
4. นำเมล็ดปริมาณประมาณ 15 กรัม มาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าทานเป็นยาที่รักษาอาการปวดหน้าอก หกล้มหรือถูกกระแทกได้ (เมล็ด)
5. นำเมล็ดแห้งปริมาณประมาณ 15-20...