ศัลยกรรมความงาม

- ศัลยกรรมความงาม

การฉีด PRP คืออะไร? นวัตกรรมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

0
การฉีด PRP หรือ Platelet Rich Plasma เป็นการฉีดเกล็ดเลือดที่มีสารกระตุ้นการเจริญเติบโต ทำให้รากผมและเส้นผมแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ผมร่วง ผมบาง
- ศัลยกรรมความงาม

หลังเสริมจมูกควรปฏิบัติตัวอย่างไร เทคนิคดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรมจมูก

0
การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญโดยเฉพาะช่วงแรกในการทำศัลยกรรม คนไข้ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอนหลับหรือการทานอาหาร และควรระมัดระวังในการทำกิจกรรมต่างๆ หลังการเสริมจมูก เพื่อป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนหลังทำจมูก และทำให้ทรงจมูกสวยเข้ารูปตามที่ต้องการ อาการ และ ผลข้างเคียงหลังเสริมจมูก อาการและผลข้างเคียงหลังเสริมจมูก แบ่งเป็นระยะได้ดังนี้ หลังเสริมจมูก 24 ชั่วโมง บริเวณใบหน้าและจมูกจะยังมีอาการบวมตึงจากฤทธิ์ของยาชา แผลที่ผ่าตัดใส่ซิลิโคนที่จมูก อาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ในช่วงแรกควรที่จะประคบเย็นอย่างน้อย 3-5 วันสม่ำเสมอเพื่อลดอาการบวม และทานยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หลังเสริมจมูก 7 วัน อาการปวด บวมช้ำที่บริเวณใบหน้าและจมูกจะลดลงแต่จะยังบวมช้ำอยู่ ให้หมั่นประคบเย็นบริเวณที่บวมรอบที่ทำจมูก และทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย หลังเสริมจมูก 14 วัน ในระยะนี้อาการปวด บวมหลังเสริมจมูกจะลดน้อยลงมาก รอยต่างๆ ที่เกิดจากการศัลยกรรมจะเริ่มค่อยๆ จางลง และแพทย์จะนัดเข้าไปทำการตัดไหม เทคนิคการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก หลังจากผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกคนไข้ควรที่จะปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยแนวทางในการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกมีดังนี้ การนอนหลับ ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังการเสริมจมูก ควรที่จะนอนในลักษณะยกศีรษะสูงหรือนั่งหลับ การนอนแบบยกศีรษะสูงจะช่วยทำให้เลือดหรือน้ำเหลืองไหลกลับสู่หัวใจได้ดีขึ้น ควรใช้แผ่นเจลที่แพทย์ให้ ประคบเย็นอย่างสม่ำเสมอภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังทำจมูก บริเวณรอบจมูกและใบหน้า เพื่อเป็นการลดบวม ไม่ให้เลือดคั่ง หรือเกิดพังผืด,พั้งผืดขึ้นหลังเสริมจมูก เมื่อมีอาการปวดบริเวณจมูกให้ทานยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบควรทานอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรล้างหน้าในช่วง 3 วันแรกหลังทำจมูก หลีกเลี่ยงการโดนน้ำ เนื่องจากจะทำให้แผลบริเวณด้านในจมูกที่เกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรมเกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อได้ ควรทำความสะอาดบริเวณใบหน้าโดยการนำสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดใบหน้าแทน หากมีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมบริเวณแผลที่ผ่าตัดให้นำคอตตอนบัดชุบน้ำเกลือทำความสะอาดภายในโพรงจมูก อาหารที่ควรรับประทานในช่วงแรกหลังเสริมจมูก ควรเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น ซุป ข้าวต้ม หรือโจ๊ก ฯลฯ และหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด รสเค็ม และอาหารทะเลหรืออาหารแสลง ซึ่งจะทำให้แผลหายช้าหรือเกิดผลข้างเคียงได้ รวมไปถึงงดเครื่องดื่มดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ควรสูบบุหรี่ แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและทำให้แผลหายเร็วมากยิ่งขึ้น หลังเสริมจมูก การพักฟื้นในบางเคสอาจต้องใช้ระยะเวลานาน แนะนำให้คนไข้ลางานประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อพักฟื้นตัว และมาตามนัดที่แพทย์จะนัดตรวจเพื่อประเมินอาการ ในช่วง 1 เดือนแรกหลังเสริมจมูก ไม่แนะนำให้ใส่แว่นตา เนื่องจากตัวแป้นของแว่นตาจะไปกดทับบริเวณจมูกทำให้เกิดรอยช้ำได้ หากจำเป็นที่จะต้องใช้สายตา ควรใส่คอนแทกต์เลนส์แทนการใส่แว่นตา งดออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมากประมาณ 4-6 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่จะส่งผลไปบริเวณแผลผ่าตัดศัลยกรรมจมูก 1. หลังเสริมจมูกทันที ที่บริเวณใบหน้าและจมูกจะมีอาการตึง ปวด บวมช้ำ หลังจากการเสริมจมูก ในช่วงสัปดาห์แรกควรนอนหงาย ยกศีรษะสูง พร้อมกับหมอนรองคอ เพื่อเป็นการล็อกไม่ให้เปลี่ยนท่านอนโดยไม่รู้สึกตัว ที่อาจจะทำให้เกิดการกระแทกบริเวณจมูก ส่งผลให้จมูกเบี้ยวเอียงได้ รับประทานแก้อักเสบ ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง ใช้แผ่นเจลประคบเย็นบริเวณใบหน้า รอบๆ จมูกครั้งละ 10-15 นาที พยายามประคบเย็นบ่อยๆ เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังการผ่าตัดเสริมจมูก ห้ามแคะ แกะ เกาบริเวณโพรงจมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ หากจำเป็นต้องจาม ควรจามเบาๆ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการนำคอตตอนบัดจุ่มน้ำเกลือเช็ดล้างทำความสะอาด ไม่ควรล้างหน้าใน 2-3 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำโดนหน้าเนื่องจากจะทำให้แผลไม่สมาน หายช้า และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหลังเสริมจมูก 2. อาการหลังเสริมจมูก 7 วัน อาการบวมจะยุบลงเล็กน้อย อาจจะยังบวม มีรอยช้ำอยู่บ้างบริเวณใบหน้าและจมูก ให้ใช้แผ่นเจลประคบเย็น สลับกับการประคบร้อน เพื่อลดอาการปวด บวมช้ำที่เกิดขึ้น ในช่วงแรกนี้จมูกอาจจะยังไม่เข้าที่ อาจดูสันจมูกสูงหรือเบี้ยว เนื่องจากที่จมูกยังดูไม่เข้าทรงเกิดจากอาการบวมหลังเสริมจมูก อาจต้องใช้ระยะเวลาสักพักจนกว่าจะเห็นทรงจมูกที่ชัดเจน และสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ 3. อาการหลังเสริมจมูก 14 วัน จมูกจะมีอาการบวม รอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นหลังเสริมจมูกจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จมูกจะยุบลงจนเริ่มมองเห็นทรงจมูกชัดเจน แต่อาการบวมก็อาจยังมีอยู่ หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดหรือหนองไหล ควรแจ้งไปทางแพทย์โดยทันที ในระยะนี้แพทย์จะนัดตรวจและตัดไหม...
- ศัลยกรรมความงาม

ตะไบฮัมพ์คืออะไร ทำไมหลายคนจึงนิยมทำ เพื่อเสริมความงาม

0
เพราะความงามเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ โดยเฉพาะค่านิยมของคนไทยที่จมูกจะต้องโด่งเป็นสัน เรียบเนียน ทำให้ใครหลาย ๆ คนเริ่มไม่มั่นใจในตนเอง ด้วยปัญหาจมูกที่โหนกจมูกเด่นขึ้นสะดุด หรือที่เรียกว่า จมูกฮัมพ์ ซึ่งในปัจจุบัน วงการเสริมความงาม โดยเฉพาะการเสริมจมูกได้มีเทคนิคตะไบฮัมพ์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อให้ทุกคนได้มีจมูกที่โด่งเป็นสัน เรียบเนียน ส่งผลให้ใบหน้าดูละมุนมากยิ่งขึ้น ตะไบฮัมพ์จมูก คือ อะไร ? ตะไบฮัมพ์คือ การทำศัลยกรรมหรือผ่าตัด เพื่อแก้ไขโหนกจมูก โดยโหนกจมูก คือ โหนกหรือกระดูก และกระดูกอ่อนส่วนเกินบนดั้งจมูกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งมักจะทำให้จมูกดูใหญ่ ไม่เท่ากัน หรือไม่ได้สัดส่วน โดยการตะไบจมูกคือกระบวนการเสริมความงามแบบหนึ่ง สำหรับการเสริมจมูก เพื่อปรับรูปร่างของจมูก ศัลยแพทย์จะทำการตัดหรือปรับรูปร่างของกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินออกจากดั้งจมูกอย่างระมัดระวัง เพื่อปรับโครงสร้างจมูกด้านล่างให้ได้รูปทรงที่สวยงามยิ่งขึ้น ดังนั้น การตะไบฮัมพ์ หรือ ตะไบจมูกจึงถือว่าเป็นศัลยกรรมความงามประเภทหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อน เพื่อปรับภาพรวมของใบหน้ามีความสมดุลและสวยงาม ดังนั้น จึงควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด ฮัมพ์จมูกอยู่ตรงไหน จมูกฮัมพ์ หรือที่เรียกว่า โหนกจมูก จะตั้งอยู่บนดั้งจมูก มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนหรือกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินที่ยื่นออกมาจากดั้งจมูก ทำให้เห็นว่า จมูกไม่เรียบหรือนูนออกมา โดยฮัมพ์จมูกนี้ จะมีขนาด รูปร่าง และตำแหน่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเสริมจมูกหรือตะไบฮัมพ์ ลักษณะจมูกแบบไหนเหมาะกับการตะไบฮัมพ์จมูก การตะไบฮัมพ์เหมาะสำหรับผู้ที่มีโหนกจมูกสูงและต้องการแก้ไข การทำหัตถการนี้มักทำกับบุคคลที่มีจมูกโด่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นโหนกนูนที่ดั้งจมูก ทำให้จมูกดูไม่เรียบเนียน แต่ทั้งนี้ ในการตะไบจมูกจะต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ เพื่อประเมินปัจจัยต่าง ๆ คือ โครงสร้างจมูกโดยรวม และความหนาของผิวหนัง เพื่อพิจารณาว่าการตะไบฮัมพ์นั้น เหมาะสมหรือไม่ ทำไมถึงต้องตะไบฮัมพ์ ? การทำศัลยกรรมตะไบฮัมพ์นั้น มีสาเหตุหลายประการ ขึ้นอยู่กับความกังวลของแต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้ว นิยมเข้ารับการรักษา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ เพื่อความสวยงามและความมั่นใจในตัวเอง เพราะจมูกฮัมพ์หรือโหนกจมูกที่สูง ส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้า ทำให้จมูกดูใหญ่ ไม่สมดุล หรือไม่สมส่วนได้ การตะไบจมูกจะทำให้โครงจมูกดูนุ่มนวลขึ้นและใบหน้าดูสวยงามขึ้น เพื่อความสมดุลให้กับจมูก ทำให้จมูกได้สัดส่วน ส่งผลให้ใบหน้ามีความละมุนและกลมกลืนมากยิ่งขึ้น แก้ไขความผิดปกติของจมูก เช่น เยื่อบุโพรงจมูกคด กระดูกอ่อนไม่สมส่วน เป็นต้น การตะไบฮัมพ์ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้พร้อม ๆ กัน การตะไบฮัมพ์จมูกมีขั้นตอนอะไรบ้าง การตะไบฮัมพ์มีรายละเอียดขั้นตอนในระหว่างการผ่าตัดเสริมจมูก ดังนี้ เข้าพบศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อทำการปรึกษาหารือ โดยชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมระบุความต้องการ โดยศัลยแพทย์จะทำการประเมินลักษณะโครงสร้างของจมูกและจมูกฮัมพ์ เพื่อแนะนำแนวทางรักษาที่ดีที่สุด เมื่อสรุปแนวทางรักษาเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการนัดวันเพื่อผ่าตัดตะไบฮัมพ์ ทั้งนี้ ควรแจ้งประวัติการรักษา รวมถึงยาที่รับประทานเป็นประจำ ในวันผ่าตัด แพทย์จะให้ยาสลบ หรือยาชาเฉพาะที่พร้อมยาระงับประสาท ก่อนเริ่มตะไบฮัมพ์ ศัลยแพทย์จะทำการตัดหรือปรับรูปร่างของกระดูกและกระดูกอ่อนส่วนเกินที่ประกอบกันเป็นโหนกอย่างระมัดระวัง โดยอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การตะไบ หรือการจัดกระดูก (osteotomies) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่วางแผนไว้ หลังจากตะไบฮัมพ์ ศัลยแพทย์จะจัดตำแหน่งเนื้อเยื่อของจมูกและผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยในการผ่าตัดนี้ อาจจะมีการเสริมความงามอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การปรับแต่งปลายจมูก การปรับโครงสร้างจมูกให้สมดุล เป็นต้น ศัลยแพทย์จะเย็บแผล เพื่อปิดบาดแผลจากการผ่าตัด ซึ่งถ้าหากเลือกใช้ไหมละลายก็ไม่จำเป็นต้องดึงออก หลังจากที่ผ่าตัดตะไบฮัมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำข้อปฏิบัติที่ควรทำตามอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งนัดหมายติดตามผลในการรักษา ทั้งนี้ ขั้นตอนการตะไบฮัมพ์อาจมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ศัลยแพทย์เลือกใช้และลักษณะโครงสร้างจมูกของแต่ละคน ขั้นตอนดูแลเองหลังตะไบฮัมพ์จมูก หลังการผ่าตัดตะไบฮัมพ์เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สำคัญลำดับถัดมา คือ การปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการและลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง ดังนี้ หากมีอาการบวม แนะนำให้ประคบเย็นและอุ่นอย่างน้อย 3 วัน เพื่อบรรเทาอาการปวด บวมและช้ำ ซึ่งการประคบจะช่วยให้ยุบบวมเร็วขึ้น แนะนำให้นอนหมอนสูงเพื่อลดอาการบวม หมั่นรักษาความสะอาดในบริเวณผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์ ควรใช้คลีนซิ่งหรือน้ำเกลือทำความสะอาดใบหน้า หลีกเลี่ยงการใช้สารระคายเคืองที่อาจส่งผลต่อบาดแผลหรือเพิ่มอาการบวม หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูจมูกมากเกินไป งดกิจกรรมที่จะเกิดกระแทกต่อจมูก เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก การเล่นกีฬาที่ต้องสัมผัส หรืออะไรก็ตามที่อาจกระทบกระเทือนใบหน้าอย่างรุนแรง...
- ศัลยกรรมความงาม

เสริมจมูกใช้กระดูกหลังหูคืออะไร ราคาเท่าไหร่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?

0
เสริมจมูกใช้กระดูกหลังหูคืออะไร ราคาเท่าไหร่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง? เป็นไหม? อยากได้ปลายจมูกพุ่งสวย แต่ดูไม่โป๊ะ อยากให้เสริมจมูกออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติ แต่จะใส่ซิลิโคนจมูกทั้งทีก็กลัวผลลัพธ์จะไม่เป็นตามที่หวัง แต่ทราบหรือไม่ว่ายังมีการเสริมจมูกอีก 1 วิธีที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติตามที่ต้องการได้ แถมไปยังพุ่งตรงตามบรีฟอีกด้วย วันนี้จะขอพาไปรู้จักกับการเสริมจมูกโดยใช้กระดูกหลังหู แล้วกระดูกอ่อนหลังหูที่กล่าวถึงนี้คืออะไร เหมาะกับใคร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง  ทุกข้อสงสัย WE Clinic พร้อมเฉลยให้คุณในบทความนี้! กระดูกหลังหู คือ กระดูกหลังหู หรือกระดูกอ่อนหลังหู เป็นกระดูกที่ลักษณะโค้งงอเล็กน้อย มีขนาดประมาณ 2 ซม. อยู่บริเวณแอ่งกึ่งกลางของใบหู (Concha) เป็นกระดูกอ่อนที่มีความแข็งแรง ทนทาน แต่ไม่มีความสำคัญกับโครงสร้างของใบหู หรือประสิทธิภาพในการได้ยินของหูมากนัก จึงสามารถผ่าตัดออกมานำมาตัดแต่งให้เป็นรูปวงกลม เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู ทำให้ปลายจมูกดูสวยงามขึ้น และทรงจมูกดูเป็นธรรมชาติ เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูเหมาะกับใคร ใครบ้างที่เหมาะกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู มาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ ผู้ที่มีลักษณะจมูกสั้น จมูกดูเตี้ย ผู้ที่มีเนื้อจมูกน้อย ปลายจมูกบาง ผู้ที่เสริมจมูกแล้วอาจเกิดความเสี่ยงปลายทะลุได้ในอนาคต ผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์หลังทำให้มีความโด่ง อยากได้จมูกทรงสโลปปลายพุ่งแต่ยังดูธรรมชาติ ข้อดี - ข้อจำกัด ของการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู ก่อนที่จะสวยดูดีมีความมั่นใจ ด้วยจมูกปลายพุ่งที่เป็นธรรมชาติจากการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู เรามาดูศึกษาข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจทำกันบ้างค่ะว่ามีอะไรบ้าง ข้อดี ลดความเสี่ยงที่ปลายจมูกจะเกิดการทะลุในอนาคต ทำให้ได้ผลลัพธ์หลังเสริมจมูกที่โด่งพุ่งอย่างเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย ลดโอกาสที่ร่างกายจะปฏิเสธเพราะเป็นวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกจากร่างกายของเราเอง ช่วยลดการเสียดสีระหว่างผิวบริเวณจมูกและซิลิโคน ข้อจำกัด การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูอาจเกิดการทรุดตัวลงได้ในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไปนานประมาณ 30-40 ปี หลังเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูจะมีแผลผ่าตัดบริเวณหลังหูด้วย จึงทำให้ต้องดูแลและทำความสะอาดด้วยเช่นกัน และยังต้องใช้เวลาในการพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทำจมูกและรองปลายกระดูกอ่อนหลังหูอันตรายไหม การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูนั้นแม้ว่าจะเป็นวัสดุจากร่างกายของตัวเราเอง แต่หลายคนก็กังวลกันว่าการเสริมด้วยวิธีนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ จริงๆ แล้วการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูนั้นมีความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่ทราบกันว่ากระดูกอ่อนหลังหูเป็นเนื้อเยื่อจากร่างกายของเราเองโอกาสที่ร่างกายจะปฏิเสธหรือเข้ากันไม่ได้ก็เกิดขึ้นได้น้อย แถมกระดูกหลังหูยังช่วยป้องกันปลายจมูกทะลุได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญขนาดของกระดูกอ่อนหลังหูที่นำมาเสริมจมูกนั้นยังเป็นชิ้นเล็กๆ ที่นอกจากจะช่วยให้จมูกสวยแล้ว บริเวณหูที่มีการนำกระดูกหลังหูออกมาก็ไม่เกิดการเสียรูปอีกด้วย และหากเลือกเสริมกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์เป็นเวลานานก็ยิ่งมั่นใจในผลลัพธ์หลังทำรวมไปถึงความปลอดภัยได้อีกด้วย เตรียมตัวก่อนเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู ก่อนการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู นอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลมาอย่างครบถ้วนแล้ว จะต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ดี ด้วยการทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมีการเตรียมตัวดังนี้ ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเสริมจมูก และกระดูกหลังหูให้เข้าใจอย่างครบถ้วน ปรึกษา พูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูกับแพทย์ให้เข้าใจตรงกันก่อนเริ่มทำ หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานอยู่ ไปจนถึงประวัติการแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบ งดรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงอาหารเสริมบางชนิด เช่น ยากลุ่ม NSAID ยาแอสไพริน อาหารเสริมวิตามินอี ใบแปะก๊วย อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูอย่างน้อย 2 สัปดาห์ งดแต่งหน้าก่อนเข้าผ่าตัดเสริมจมูก ก่อนเข้าผ่าตัดเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ควรงดรับประทานอาหารเครื่องดื่มทุกชนิด วิธีดูแลตัวหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู ใครที่เสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหู อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ เห็นแบบนี้แล้ว WE Clinic เลยขอแจกลิสต์วิธีดูแลตัวเองหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูแบบง่ายๆ ที่ทำตามแล้วฟื้นตัวเร็ว สวยไวแน่นอน จะมีอะไรบ้างมาดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ รับประทานยาแก้อักเสบที่แพทย์จ่ายให้ครบ หลังเสริมจมูกควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ นอนตะแคง โดยแนะนำให้นอนยกศีรษะสูง ใช้หมอนรองคอ หนุนหมอนให้สูง ในช่วงแรกควรประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมหลังเสริมจมูกกระดูกหลังหู หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้แผลหายช้า ไม่ว่าจะเป็นอาหารแสลง อาหารทะเล ของหมักดอง อาหารรสจัด เพื่อให้แผลหลังเสริมจมูกด้วยกระดูกหลังหูสามารถสมานเข้าที่ได้เป็นอย่างดี ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ประมาณ 1 เดือน แนะนำให้ดื่มน้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบกเพื่อบรรเทาอาการบวม ฟกช้ำให้ดียิ่งขึ้น หากมีอาการรู้สึกปวดบริเวณแผลที่ทำจมูก ปวดบริเวณใบหน้า แนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดค่ะ งดแคะ แกะ เกาบริเวณจมูก รวมไปถึงการจาม การสั่งน้ำมูกแรงๆ งดทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง ใช้พลังเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังหนักๆ ยกของหนัก อ่านบทความดีๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก ต้องบทความนี้ : หลังเสริมจมูก 14 วัน กินอะไรได้บ้าง? วิธีทำความสะอาดแผลที่หลังหู...
- ศัลยกรรมความงาม

Hifu รีวิว (2023) ยกกระชับปรับรูปหน้า กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน เหมาะกับใครบ้าง ?

0
Hifu รีวิวผลลัพธ์หลังทำ  ปัจจุบันการทำ Hifu (ไฮฟู่) ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมีการทำ Hifu รีวิวจากหลาย ๆ คนที่เคยเข้าใช้บริการแล้วลงความเห็นว่าดี รวมถึงมีหลายคลินิกทำโปรโมชันออกมาแข่งขันกัน พร้อมรีวิวผลลัพธ์ ก่อน-หลังออกมาให้เห็น ทำให้ความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการยกกระชับหน้า มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย อยากหน้าเด็ก ผิวเด็กเต่งตึงขึ้น แต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด  ใครที่สนใจและกำลังอยากได้ข้อมูล Hifu รีวิวผลลัพธ์หลังทำ วิธีการดูแลตัวเอง ในบทความนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับการทำ Hifu และตัวอย่างเคสรีวิวมาฝากแบบละเอียดยิบ สามารถติดตามอ่านได้เลย  Hifu และการทำงานของเทคโนโลยี Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound) เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับการทำ Hifu และสามารถเลือกทำ Hifu ได้อย่างเหมาะสม เราควรรู้ก่อนว่า Hifu ที่หลายคนเรียก ๆ กัน คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? รวมถึงเครื่อง Hifu ที่หน้าตาต่างกัน มีประสิทธิภาพเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? Hifu คืออะไร ? จริง ๆ แล้ว Hifu คือ ชื่อเรียกของเทคโนโลยีความงาม High-Intensity Focused Ultrasound ที่สามารถยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ การทำงานของเทคโนโลยี HIFU ลักษณะการทำงานของเทคโนโลยี Hifu -High-intensity focused ultrasound จะเป็นการทำงานด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ ที่พัฒนามาจากการอัลตราซาวด์ดูครรภ์ทางการแพทย์ (ไม่ทำให้เกิดแผล หรือเสียเลือด) โดยสามารถยิงเข้าไปได้ถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS - Superficial Musculo Aponeurotic system) เรียงกันเป็นจุดไข่ปลา (ตามตัวอย่างรูปด้านบน) เสมือนกับการเย็บที่เนื้อ ส่งผลให้ผิวหนังชั้น SMAS หดตัว ผิวจึงยกกระชับ และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เรียกว่านอกจากผิวจะกระชับแล้ว ยังฟูและเต่งตึงขึ้นอีกด้วย  การทำ Hifu ช่วยอะไรได้บ้าง ? เป้าหมายหลักของการทำ Hifu คือแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอย มีปัญหาร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมถึงร่องใต้ตา  นอกจากนี้ยังช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น รูขุมขนดีขึ้น ผิวเนียนนุ่ม และหน้าเรียบเนียนใสขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเครื่อง Hifu ทุกเครื่อง ทุกยี่ห้อในตลาดความงามจะมีประสิทธิภาพเหมือนกัน แถมปัจจุบันเครื่องปลอมก็มีเยอะ ดังนั้นก่อนตัดสินใจ Hifu ที่ไหน ต้องรู้ว่าเครื่อง Hifu ที่ทำคือเครื่องยี่ห้อใด  สำหรับเครื่อง Hifu ยี่ห้อที่ดีและมีความคุ้มค่า คุ้มราคา ที่สุด คือ ยี่ห้อ Ultraformer III ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพ เหนือกว่า Hifu ธรรมดา เพราะเป็นนวัตกรรม MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound)  แล้ว นวัตกรรม MMFU ดีอย่างไร ? นวัตกรรม MMFU สามารถช่วยยกกระชับได้ทั้งผิวหน้า พร้อมกับ สลายไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว  เครื่อง Hifu ยี่ห้อ UltraformerIII จะปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงได้อย่างเฉพาะเจาะจง (Selective delivery...
- ศัลยกรรมความงาม

ปลูกผม ราคาจับต้องได้ หาคลินิกครบวงจรไม่ยากอย่างที่คิด

0
ใครที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง หัวล้าน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อายุเท่าไร ความกังวลนี้สามารถคลายไปด้วยการมองหาวิธีการรักษา และคุณจะพบว่าการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี คงหนีไม่พ้นการปลูกผมนั้นเอง จากนั้นก็จะมีคำถามต่อว่าปลูกผม ราคาแพงไหม ปลูกผม ราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ ปลูกผม ราคาไม่แพงอย่างที่คิด เป็นราคาที่สามารถจับต้องได้อย่างแน่นอน อัปเดตราคาปลูกผมล่าสุด 2023 การปลูกผม ราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับความคุ้มค่าที่ได้รับ การปลูกผมนั้นดูแล้วเหมือนราคาสูง หากลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย 69,000 บาท ระหว่างการปลูกผมกับการใช้ยาปลูกผมแล้ว การรับประทานยาปลูกผมสามารถซื้อได้เพียงแค่ 2 ปี เมื่อหยุดรับประทานแล้วผมก็จะหลุดร่วงไป ไม่คงอยู่ถาวร แต่การปลูกผมนั้น ผมจะค่อย ๆ เจริญเติบโต เกิดการร่วง และงอกขึ้นใหม่ได้ตามธรรมชาติ ในปัจจุบันการปลูกผม ราคาอยู่ในช่วงกว้างมากระหว่าง 69,000 - 250,000 บาท แต่ละสถาบันปลูกผมจะมีราคาแตกต่างกันออกไป รวมถึงแต่ละเคสก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่มากเช่นกัน ดังนั้นราคาปลูกผมจึงแบ่งได้เป็นช่วงต่าง ๆ ดังนี้ ปลูกผม กราฟท์ละเท่าไหร่ ราคาเริ่มต้นปลูกผมกราฟท์ละ 75 บาท แต่ทั้งนี้การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ เทคนิคการปลูกผม และความยากง่ายของเคส ซึ่งมักจะแบ่งคอร์สปลูกผมออกเป็นช่วงปลูกผม 1,000 กราฟท์ ราคาจะอยู่ประมาณ 69,000 - 200,000 บาท โดยทั่วไปมักจะมีการแนะนำคอร์สปลูกผม 1,000 กราฟท์ ส่วนช่วงปลูกผม 2,000 กราฟท์ ราคาประมาณ 70,000 - 300,000 บาท และช่วงปลูกผม 3,000 กราฟท์ ราคาประมาณ 90,000 บาท เป็นต้นไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคลินิกปลูกผม รวมไปถึงเทคนิคของหมอด้วยเช่นกัน ส่วนปลูกผมราคาเหมานั้นหมายความว่า เราจะปลูกผมกี่กราฟท์ก็จ่ายในราคาเดียว อาจจะต้องตัดสินใจให้ดี ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราต้องปลูกผมกี่กราฟท์ แล้วราคาเหมานั้นคุ้มหรือไม่ หรือถ้าให้ดีควรดูราคาตามจำนวนกราฟท์ดีที่สุด และยังมีการปลูกผมบางเทคนิค เช่น การปลูกผมยาวในผู้หญิงที่ราคาอาจจะสูงหน่อย เนื่องจากเป็นการปลูกผม FUE ราคาสูงประมาณ 100,000 - 200,000 บาท ในช่วง 1,000 กราฟท์ โดยจะไม่มีการโกนผม เรียกว่า Long hair MicroTRIM FUE ทำให้ยังคงความสวยงามอยู่เหมาะสำหรับผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง ทำไมปลูกผมแต่ละคลินิก ราคาแตกต่างกัน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมราคาปลูกผมแต่ละคลินิกจึงแตกต่างกัน มาดูกันว่าการปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง 1.เทคนิคการปลูกผม การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูกผมเป็นส่วนมาก โดยเทคนิคที่ใช้ในการปลูกผม ได้แก่ FUE (Follicular Unit Extraction) เป็นการย้ายเซลล์รากผมจากด้านหลังศีรษะบริเวณเหนือกกหู (Donor Area) ออกมาทีละกราฟท์หรือเป็นกอ แล้วนำไปปลูกบริเวณที่ต้องการ หรืออีกวิธีคือ FUT (Follicular Unit Transplantation) เป็นการตัดผิวหนังชั้นบนออกมาพร้อมกับเซลล์รากผมแล้วนำเซลล์รากผมมาแบ่งเป็นกราฟท์และไปปลูกบริเวณที่ต้องการ ส่วนวิธี Long Hair FUE เป็นวิธีที่มีความคล้ายกับ FUE แต่จะใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อให้ได้ผมยาวมาปลูกต่อ 2.จำนวนกราฟท์ การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ด้วยเช่นกัน ยิ่งมีจำนวนกราฟท์เยอะมากเท่าไหร่ ก็จะต้องมีความยากกว่าและใช้เวลานานกว่า หากเป็นวิธีการปลูกผมที่มีการผ่าตัดหนังศีรษะด้วยแล้ว ก็จะต้องมีการเย็บแผล นำเซลล์รากผมไปเป็นกอ โดยใช้ปากกาปลูกผมช่วยนำส่งกอผมได้อย่างมีสภาพสมบูรณ์ 3.คุณภาพของเครื่องมือและอุปกรณ์  การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือและอุปกรณ์ ในบางกรณีอาจต้องมีการใช้ปากกาปลูกผม  (Implanter) เพื่อรักษาเซลล์รากผมให้เกิดความบอบช้ำน้อยที่สุด ส่งผลให้ผมนั้นปลูกติดหรือทำให้ปลูกติดได้ง่ายมากขึ้น 4.บริการดูแลหลังปลูกผม การปลูกผม ราคาขึ้นอยู่กับบริการดูแลหลังปลูกผม ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน คลินิกปลูกผมที่ดีควรจะมีการดูแลหลังการรักษา ไม่ว่าจะเป็น...
- ศัลยกรรมความงาม

ปลูกผมคืออะไร? รวมข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผม

0
  ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นปัญหาที่พบบ่อย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กรรมพันธ์ ความเครียด ขาดวิตามิน ความเจ็บป่วยไม่สบาย การปลูกผม เป็นรักษาผมบางศีรษะล้านที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลดี และเราควรจะเลือกปลูกผมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่ดี เนื่องจากการปลูกผมเป็นหัตถการรักษาที่อาศัยความชำนาญด้านศัลยกรรมปลูกผม และมีข้อควรระวังที่ทุกคนควรทราบก่อนเข้ารับการปลูกผม ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับการปลูกผมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน รวมถึงสามารถนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่อยากปลูกผม รักษาศีรษะล้านให้เส้นผมกลับมาขึ้นเหมือนเดิม ทำความรู้จัก “ปลูกผม”   ปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน มีการรักษามาตรฐานได้ด้วยยารับประทาน ยาทา หรือจะเสริมการรักษาด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น แต่เมื่อรากผมฝ่อไปแล้ว จะไม่สามารถกระตุ้นได้ด้วยยารับประทาน หรือยาทา คุณหมอจะแนะนำการปลูกผมเป็นการรักษาที่ช่วยให้คนไข้มีความมั่นใจกลับคืนมาได้ ปลูกผม คืออะไร ปลูกผม หรือ Hair Transplant คือ นำกอผมที่มีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่มาปลูกบริเวณที่ผมบางศีรษะล้าน โดยเซลล์ที่นำมาปลูกผมจะมาจากส่วนของท้ายทอยเนื่องจากมีความแข็งแรง และไม่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมน DHT หลังจากที่ปลูกผมลงบริเวณที่มีเส้นผมเบาบางแล้วผมก็จะเริ่มยาวออก ซึ่งผมตรงส่วนที่เราปลูกถ่ายก็จะมีการหลุดร่วงและงอกใหม่ตามวงจรปกติ ผลลัพธ์ของศัลยกรรมปลูกผมจะคงอยู่ถาวร ไม่ว่าเราจะตัดหรือโกนมันออกก็ตาม นอกจากการปลูกผมจะช่วยแก้ปัญหาผมบางศีรษะล้านแล้ว ยังสามารถนำมาประยุกต์เพื่อกลบรอยแผลบริเวณคิ้วหรือหนังศีรษะได้อีกด้วย ปลูกผม มีขั้นตอนการทำอย่างไร การปลูกผมมีรูปแบบวิธีการรักษาเส้นผมหลุดร่วงอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ คือ ปลูกผม FUE และปลูกผม FUT ซึ่งวิธีการทั้งสองมีการนำกอผมออกมาจากท้ายทอยแตกต่างกัน แต่การปลูกที่เหมือนกัน รวมถึงปลูกผม FUE ยังมีเทคนิคย่อย ๆ แยกออกไปอีกต่างหาก แต่ตรงนี้จะเป็นการอธิบายขั้นตอนการปลูกผมให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ มาเริ่มดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร ปลูกผม FUE เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่เป็นแผลยาว และสามารถนำเซลล์รากผมไปปลูกบริเวณที่ต้องการด้วยเครื่องเจาะไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยขั้นตอนปลูกผมแบบ FUE สามารถสรุปได้ดังนี้ แพทย์ทำการวาดออกแบบแนวเส้นผมตามโครงหน้าของคนไข้ ก่อนจะคำนวณกราฟต์สำหรับการปลูกผม หลังจากคำนวณเรียบร้อย แพทย์จะทำการคัดเลือกเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอย ก่อนจะทำการฉีดยาชาพร้อมโกนผมบริเวณดังกล่าวออก นำเครื่องเจาะไฟฟ้า 0.8-1.0 มิลลิเมตร เจาะบริเวณผิวหนัง เพื่อดึงเซลล์รากผมก่อนนำไปเก็บรักษาไว้ในน้ำเลี้ยงเซลล์โดยเฉพาะ ฉีดยาชาบริเวณที่เส้นผมบางพร้อมด้วยยาห้ามเลือด จากนั้นแพทย์จะทำการปลูกถ่ายเส้นผมโดยอุปกรณ์ปากกานำส่งรากผม เพื่อถนอมกอผมให้สมบูรณ์ที่สุด ปลูกผม FUT เป็นวิธีการปลูกผมที่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อแยกเซลล์รากผมออกมา โดยแพทย์จะทำการคัดเลือกเซลล์รากผมที่แข็งแรงก่อนนำไปปลูกบริเวณที่ศีรษะล้าน แผลจากการผ่าตัดจะมีลักษณะเป็นแผลยาวทรงสี่เหลื่อมผื่นผ้านาว 15-20 เซนติเมตร กว้าง 1.5/2 เซนติเมตร แผลผ่าตัดใช้เวลาพักฟื้นหลังเย็บแล้ว 7-10 วัน จึงจะตัดไหมออก ขั้นตอนปลูกผมแบบ FUT สามารถสรุปได้ดังนี้ แพทย์ทำการวาดออกแบบแนวเส้นผมตามโครงหน้าของคนไข้ ก่อนจะคำนวณกราฟต์สำหรับการปลูกผม จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดยาชาพร้อมโกนผมออก และเริ่มผ่าตัดบริเวณท้ายทอยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อทำการคัดเลือกเซลล์รากผม  หลังจากที่คัดเลือกเซลล์สำหรับปลูกผมเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะปิดแผลด้วยเทคนิคพิเศษ Trichophytic Closure ซึ่งทำให้ไม่เกิดแผลเป็น และผมสามารถงอกจากแผลเหมือนปกติ เมื่อได้หนังศีรษะจากการผ่าตัดแล้วแพทย์จะนำมาเก็บไว้ในน้ำเลี้ยงเซลล์ เพื่อคัดแยกเซลล์รากผมที่แข็งแรงมีคุณภาพ สุดท้ายแพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณหนังศีรษะที่ต้องการรักษาผมร่วง พร้อมด้วยยาห้ามเลือด จากนั้นแพทย์จะทำการปลูกถ่ายเส้นผมโดยอุปกรณ์ปากกานำส่งรากผม เพื่อถนอมกอผมให้สมบูรณ์ที่สุด ปลูกผม เจ็บไหม สำหรับคนที่กังวลว่าปลูกผมแล้วจะเจ็บตอนระหว่างที่แพทย์เจาะลงมาบนหนังศีรษะ ในขั้นตอนนี้แพทย์จะมีการฉีดยาชาเฉพาะจุดให้กับคนไข้ โดยจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บในระหว่างขั้นตอนการปลูกผม ประโยชน์ของการปลูกผม   ก่อนจะทำการปลูกผมก็ควรทราบถึงข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน รวมถึงประโยชน์ของการรักษาผมร่วงด้วยวิธีปลูกผมด้วย ซึ่งการเห็นถึงประโยชน์ของการปลูกผมก็จะช่วยให้เราสามารถพิจารณา และตัดสินใจได้ว่าตัวของเราเองควรจะรักษาผมร่วงด้วยวิธีการดังกล่าวดีหรือไม่ โดยประโยชน์ของการปลูกผมสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้ รักษาอาการผมร่วงที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ผมบางตามวัย หรือ อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ หากมีรอยแผลบริเวณคิ้ว หรือหนังศีรษะก็สามารถปลูกผมเพื่อกลบรอยแผลได้ ช่วยปรับโครงหน้าตามแผนที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนออกแบบเอง ผมที่ปลูกไปแล้วมีคุณสมบัติเหมือนเส้นผมจริง คือ มีการหลุดร่วงและงอกใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ผมที่ปลูกสามารถงอกใหม่ได้ตลอด โดยที่ไม่จำเป็นต้องรักษาซ้ำ ๆ หลายครั้ง ปลูกผม มีระยะพักฟื้นนานไหม สำหรับการพักฟื้นหลังจากปลูกผมแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีตามรูปแบบหัตถการที่เรารักษากับทางแพทย์ กรณีของการปลูกผมแบบ FUE แผลมีขนาดเล็กสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติเพียงระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ หรือนำมือไปแกะบริเวณแผล ส่วนปลูกผมแบบ FUT แผลเย็บขนาดเล็กๆเป็นเส้นยาว และต้องรอตัดไหม7-10วัน เมื่อแผลหายผมยาวลงมาปิดเแผลได้ แนะนำคลินิกปลูกผม...
- ศัลยกรรมความงาม

ปลูกผม FUE รักษาศีรษะล้านอย่างได้ผล ไร้รอยแผลเป็น

0
ปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นเรื่องหนักใจ สำหรับผู้มีความจำเป็นต้องพบปะกับผู้คนอยู่เป็นประจำ ยิ่งการติดต่อเจรจาทางธุรกิจแล้ว ยิ่งต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีอยู่เสมอ หลายคนที่เกิดปัญหาศีรษะล้าน จึงหันไปพึ่งการทำศัลยกรรมปลูกผม FUE เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยนวัตกรรมการปลูกผม FUE ในปัจจุบัน ได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถแก้ไขปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้อย่างตรงจุด เห็นผลได้ดี ใช้เวลาทำไม่นาน และยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งนวัตกรรมนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการปลูกผม FUE ราคาไม่แพง และให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ หากคุณกำลังเป็นผู้ประสบกับปัญหาดังกล่าว การปลูกผม FUE คือคำตอบ อย่ารอช้ารีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข เทคนิคปลูกผม FUE คืออะไร การปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) คือเทคนิคการปลูกผมด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดผม โดยใช้ Micropunch หรือเครื่องมือทางการแพทย์ขนาดเล็ก ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.6 - 1.0 มิลลิเมตร นำมาเจาะเอากอผมที่มีเซลล์ผมต้นกำเนิดออกทีละกอ จากนั้นนำกอผมไปปลูกถ่ายบริเวณที่เกิดปัญหา โดยใช้อุปกรณ์พิเศษอย่าง Forceps หรือปากกาปลูกผม เจาะฝังกอรากผมลงไปอย่างตรงจุด หลังจากปลูกผมเสร็จ ผมก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง จุดเด่นของการปลูกผม FUE สิ่งที่ทำให้การปลูกผม FUE ได้รับความนิยม นอกจากจะเป็นวิธีที่มีความปลอดภัย และเห็นผลได้ดีแล้ว ยังมีข้อดีอีกมากมาย โดยจุดเด่นของการปลูกผม FUE คือ การปลูกผม FUE ไร้รอยแผลเป็น เนื่องจากรอยเจาะปลูกผมมีขนาดเล็กมาก เจ็บน้อย หายเร็ว เพราะเป็นการเจาะปลูกผม ไม่ได้ผ่าตัดหนังศีรษะ จึงทำให้ไม่เกิดรอยแผลเป็นยาว เจ็บน้อย และไม่ใช้เวลาพักฟื้นนาน ผมที่เกิดขึ้นใหม่มีความแข็งแรง ดูเป็นธรรมชาติ สามารถปลูกผมทับบริเวณที่ศีรษะล้าน ผมแหว่ง หรือรอยแผลเป็นได้ รักษาปัญหา ผมบาง ศีรษะล้านที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้ ใครควรปลูกผม FUE บ้าง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนต้องการทำศัลยกรรมปลูกผม FUE คือการเสริมความงาม สร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน หัวเถิก ซึ่งการปลูกผมจะช่วยปรับกรอบรูปหน้าให้สวยงาม ผมที่ขึ้นใหม่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งวิธีการปลูกผม FUE เหมาะกับผู้ที่ประสบกับปัญหาเหล่านี้ ผู้ที่มีรอยแผลเป็นและต้องการปลูกผมเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นดังกล่าว ผู้มีปัญหาศีรษะล้าน ผมบางที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ผู้ที่มีปัญหาหัวเถิก หน้าผากกว้าง หรือผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้า ให้แนวผมรับกับใบหน้า ดูสวยงามมากขึ้น ตลอดจนเสริมโหงวเฮ้ง ผู้ที่รักษาผมบางจากกรรมพันธุ์ด้วยยาแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ผู้ที่ต้องการใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หายเร็ว และประหยัดเวลาในการรักษา ความแตกต่างของการปลูกผม FUE กับเทคนิคอื่น ๆ เทคนิคการปลูกผมในแต่ละรูปแบบย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนไข้ โดยหัวข้อนี้เราจะพาคุณไปหาคำตอบกันว่าการปลูกผม FUE มีความแตกต่างกับการปลูกผมด้วยเทคนิคอื่นอย่างไร การปลูกผม FUT คือการปลูกผมยอดนิยมอีกรูปแบบหนึ่ง สามารถแก้ไขปัญหาศีรษะล้านได้อย่างเป็นอย่างดี โดยวิธีนี้จะใช้การผ่าตัดหนังศีรษะออกเป็นแถบกว้างประมาณ 1.5 - 2 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนติเมตร นำมาแยกเซลล์ต้นกำเนิดผ่านกล้องจุลทรรศน์ ก่อนนำเซลล์รากผมที่แข็งแรง ไปปลูกบริเวณที่ต้องการ ซึ่งจะแยกจำนวนกราฟผมได้มากกว่าการปลูกผม FUE ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า แต่มีรอยแผลเป็น ลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ เล็ก ๆ การปลูกผมแบบ DHI คือการปลูกผมโดยใช้อุปกรณ์ช่วยนำส่งกอผมลงไปบริเวณที่เราต้องการปลูกผม หรือปลูกคิ้ว ด้วยเครื่องมือปากกา Implanter ที่ต้องอาศัยฝีมือแพทย์ที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ หลังทำจะมีแผลเป็นขนาด 0.5 -...
- ศัลยกรรมความงาม

ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร ? ปรับทรงปากทรงปากยอดนิยม ปากสวย ๆ ทรงไหนดี ?

0
ฟิลเลอร์ปาก  ฟิลเลอร์ปาก เป็นตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมครับ ถ้าดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก หลาย ๆ เคสจะบอกครับว่าปากเป็นตำแหน่งที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วช่วยเปลี่ยนลุคให้ดูโดดเด่น น่ามอง เสริมเสน่ห์และเพิ่มความมั่นใจ ดารา เซเลบ อินฟลูเอนเซอร์ หรือใครที่อยากปรับทรงปาก เปลี่ยนลุค ก็สามารถเข้ามาปรึกษาหมอก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากได้ครับ  ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ปาก ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อควรรู้อะไรบ้าง ? ฟิลเลอร์ปากช่วยอะไร ? เหมาะกับใคร ? ฉีดปากทรงไหนได้บ้าง ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานกี่เดือน ? ดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก คลินิกไหนฉีดปากสวย ออกแบบได้ทุกทรงปาก    ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ปาก  แต่ละเคสที่เข้าคลินิกมาปรึกษาหมอเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีเหตุผลแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น รู้สึกว่าทรงปากไม่สวย เช่น ปากบาง ปากไม่ได้สัดส่วน  ชอบทรงปากของดาราคนนี้ อยากปรับทรงปากเหมือนดาราที่ชื่นชอบ อยากตามเทรนด์ ฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอ อวบอิ่ม ปรับลุคให้ดูเซ็กซี่ขึ้น    ปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทาลิปตกร่อง อยากให้ปากชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี อยากปรับโหงวเฮ้งปาก เสริมดวงการงานดี วาสนาดี ความรักดี    ต้องการยกมุมปากคว่ำ มุมปากตก ที่ทำให้หน้าบึ้งตึง หน้าดูดุ ขาดเสน่ห์  ปัญหาและความต้องการฉีดฟิลเลอร์ปากมีหลากหลายครับ จึงต้องเลือกหมอที่เก่ง มีประสบการณ์สูงด้านการฉีดฟิลเลอร์ปรับทรงปากโดยเฉพาะ เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง และใช้ศิลปะการฉีดฟิลเลอร์ “Fine Art of Filler” เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม อีกทั้งต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ถึงจะได้ทรงปากสวยตามต้องการครับ     ปรึกษาหมอฉีดฟิลเลอร์ปาก  ฟิลเลอร์ปาก ช่วยอะไรได้บ้าง ? การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถช่วยปรับทรงปาก แก้ไขได้หลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น  ปรับทรงปากสวยฝอ อวบอิ่ม เซ็กซี่  ปรับทรงปากเกาหลี รูปกระจับชัด  แก้ไขปัญหาปากแห้ง ปากเป็นร่อง ให้ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี แก้ปัญหาริมฝีปากบางเกินไป ปรับปากบาง เล็ก ให้อวบอิ่มขึ้น  แก้ปัญหาลักษณะรูปปากไม่ได้สัดส่วน ริมฝีปากไม่เท่ากัน ให้สวยได้รูป แก้ปัญหาปากคว่ำ มุมปากตกให้ยกขึ้น เปลี่ยนรูปทรงปากและการยิ้ม  ฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใคร ? คนที่ไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมปาก  กลัวเจ็บ ไม่อยากมีแผล หรือรอยแผล    ต้องการเห็นผลหลังทำทันที ไม่มีเวลาพักฟื้น อยากปรับทรงปากให้สวย ใบหน้าดูโดดเด่น ต้องการเปลี่ยนลุคใหม่ เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น  ปรับโหงวเฮ้งปาก เสริมดวง ตามความเชื่อ    ชอบเติมปาก ปรับแต่งทรงปากเรื่อย ๆ    ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงไหนได้บ้าง ?  ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถปรับแต่งได้หลายทรง ขึ้นอยู่กับทรงปากเดิม ความชอบ รวมถึงเทรนด์ทรงปากในช่วงเวลานั้น ๆ หมอจะประเมินและออกแบบทรงปากที่เหมาะสม เป็นปากทรงสวยที่คนไข้มั่นใจ สามารถเซฟทรงปากที่ชื่นชอบมาเป็นเรฟให้หมอช่วยประเมินได้ครับ    ฟิลเลอร์ปากทรงไหนดี ทรงปากยอดนิยม  ทรงปากที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีหลายทรงครับ แต่ละคลินิกอาจตั้งชื่อเรียกให้แตกต่างกันได้ แต่ถ้าพูดถึงเทรนด์ทรงปากที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ ฉีดปากเกาหลี กับ ฉีดปากสายฝอ ซึ่งแต่ละทรงปากจะมีลักษณะและจุดเด่นที่แตกต่างกัน     ปากเกาหลี : ปากกระจับ อวบอิ่ม ชุ่มชื้น  ทรงปากเกาหลี หรือ Cherry Lips ลักษณะของปากทรงนี้จะเหมือนลูกเชอร์รี 2 ลูก มาประกบกันอยู่ตรงกลางริมฝีปาก ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ ปากกระจับ อวบอิ่ม ช่วงกลางของริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างจะดูอิ่มฟูกว่าด้านข้าง ช่วยปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่ม เต็ม ฟู ชุ่มชื้น และยังทำให้หน้าดูเด็กลงด้วยครับ  ปากกระจับ ธรรมชาติ...
- ศัลยกรรมความงาม

Ulthera ยกกระชับปรับรูปหน้า ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ทำกี่ครั้งเห็นผล ?

0
Ulthera หรือ อัลเทอร่า เป็นหัตถการที่ถูกพูดถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มดารา เซเลป ที่นิยมเข้าใช้บริการเพื่อยกระชับใบหน้า คืนความอ่อนเยาว์  สำหรับใครที่สนใจว่าการทำ ulthera  อยากรู้ว่า อัลเทอร่า คืออะไร ดีอย่างไร ? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ? ทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้หมอจะพามารู้จักการทำอัลเทอร่าครับ พร้อมตอบทุกข้อสงสัย ที่คนไข้อยากรู้   Ulthera คืออะไร ? Ulthera ( อัลเทอร่า) หรือ ultherapy คือนวัตกรรมการยกกระชับผิว คืนความอ่อนเยาว์ ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด  เครื่อง Ulthera สามารถช่วยยกกระชับผิวได้ เนื่องจากมีหลักการทำงาน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียง Ultrasound ความถี่สูงแบบแบบเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงส่งไปยังใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน 60-70°C ลงลึกถึงใต้ผิวหนัง ด้วยจุดพลังงานขนาด 1 mm ลักษณะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว (ตามภาพด้านล่าง) หลังการยิงพลังงาน จะสามารถช่วยดึงหน้าและยกกระชับผิว (Tissue lifting) บริเวณผิวหน้าและคอได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ดังนั้นคนไข้จึงไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น หรือดูแลตัวหลังทำให้ยุ่งยาก ถือเป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ทันสมัย ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยได้มาก จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องครับ จุดเด่นของ Ulthera  ด้านรูปลักษณ์หน้าตาของตัวเครื่อง Ulthera จะมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปจนถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า  โดยระหว่างทำ Ulthera ทั้งแพทย์และคนไข้สามารถจะเห็นภาพรายละเอียดในระดับชั้นผิวได้ผ่านหน้าจอเครื่อง แบบ Real-Time Visualization ซึ่งเป็นข้อดี และเป็นจุดเด่นของเครื่อง Ulthera ครับ เพราะแพทย์สามารถจะปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวไปพร้อม ๆ กับทำการยกกระชับผิวหน้าได้อย่างละเอียดและแม่นยำ Ulthera ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? การทำงานของเครื่อง Ulthera จะเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนลงลึกถึงผิวหนังชั้น smas ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้าตามที่หมอธิบายไว้ข้างต้น ซึ่งส่งผลให้ชั้นผิวเกิดการหดตัว ผลที่ได้จึงครอบคลุมช่วยได้หลายด้าน  เช่น ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย โดยสามารถทำได้หลายตำแหน่ง ดังนี้  ใบหน้า: ช่วยลดปัญหาหย่อนคล้อยของผิว ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ผิวเต่งตึง ทำใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น  ลำคอ ใต้คาง เหนียง : ช่วยให้รูปหน้าดูเรียวกระชับขึ้นชัดเจน  เหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันบริเวณลำคอและเหนียง บริเวณรอบดวงตา : ช่วยยกหางคิ้ว ยกหางตา ทำให้ตาโตขึ้นดูเด็ก สดใส หน้าอก : ช่วยยกกระชับผิวบริเวณเนินอกที่หย่อนคล้อย ให้เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นได้ ท้องแขน และ หน้าท้อง : ช่วยลดความย้วยและหย่อนคล้อยของผิว Ulthera เหมาะกับใครบ้าง ? เป้าหมายของหลักของการทำ Ulthera คือการยกกระชับ ซึ่งคุณสมบัติของเครื่อง Ulthera ที่สามารถยิงลงลึกได้ถึงชั้น SMAS จึงเหมาะกับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้า อยากยกหน้า ดึงหน้าให้ตึง และอ่อนเยาว์ครับ  เหมาะกับผู้ที่มีปัญผิวหน้าหย่อนคล้อย หน้าตกจากอายุที่มากขึ้น  เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้สมส่วน ดูมิติ  เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีกรอบหน้าที่ชัดเจน รูปหหน้าเรียวเข้ารูปมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัดดึงหน้า  Ulthera ทำกี่ครั้งเห็นผล ?  ผลลัพธ์หลังทำ...
- ศัลยกรรมความงาม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ดีอย่างไร ? อันตรายไหม ? ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดร่องแก้ม

0
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ร่องแก้มลึกที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดครับ การมีร่องแก้มชัดจะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ดูมีอายุ เมื่อร่องแก้มตื้นขึ้น หรือจางลง ใบหน้าก็จะดูเด็กลงตามไปด้วย ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยอะไรได้บ้าง อันตรายไหม รวมถึงคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัย เช่น ฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้กี่ cc , ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่, ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร และเลือกคลินิกอย่างไรดี ? https://youtu.be/ItWUeeAEXBg ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ? ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณที่มีปัญหาร่องแก้มลึก เนื้อฟิลเลอร์จะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล นิ่ม และมีความคงตัว สามารถเข้าไปหนุนและทดแทนส่วนที่มีการยุบตัวของโครงสร้างผิวและกระดูกได้ ช่วยทำให้ร่องลึกจางลง ร่องแก้มตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยได้ยาก ปัญหาร่องแก้มลึก มีสาเหตุมาจากอะไร ? โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดร่องแก้มลึก เกิดจากอายุที่มากขึ้น โครงสร้างผิวมีการเสื่อมสภาพลง สรุปมาเป็น 4 สาเหตุ ดังนี้ ร่องแก้มลึกจากการยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรง ร่องแก้มลึกจากการยุบตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา ร่องแก้มลึกจากการยิ้มบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงเกินไป ร่องแก้มลึกจากผิวแห้ง หรือตากแดดบ่อย ชั้นผิวบางลง อายุที่มากขึ้นทำให้ชั้นผิว กระดูก รวมถึงชั้นไขมันหย่อนคล้อยลง เกิดเป็นร่องแก้มลึกได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อย่างพฤติกรรมการใช้ชีวิต การแสดงสีหน้า มลภาวะ หรือในคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ ชั้นไขมันบนใบหน้าห้อยย้อยลงมาปิดแก้ม ก็ทำให้เป็นรอยร่องแก้มชัดขึ้นได้ครับ ร่องแก้มลึก แก้ด้วยวิธีใดได้บ้าง ? ร่องแก้มลึก แก้ได้หลายวิธีครับ แต่จะได้ผลมากน้อยต่างกันไป บางวิธีก็เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาเฉย ๆ ไม่ได้ช่วยแก้ไขให้ตรงจุด หมอสรุปข้อดี-ข้อเสีย แต่ละวิธีไว้ให้ครับ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุด สามารถทดแทนส่วนที่เสื่อมไปของโครงสร้างผิวได้ และยังช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึกให้ตื่นขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์เติมร่องแก้มเห็นผลทันที เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ร่องแก้มลึก ร้อยไหมยกกระชับ ช่วยแก้ร่องแก้มได้จากสาเหตุที่ผิวแก้มหย่อนลงมา แล้วทำให้เกิดเป็นรอยร่องแก้ม เมื่อใช้ไหมดึงแก้มลึก ร่องแก้มก็จะจางลง สามารถใช้การร้อยไหมร่วมกับฉีดฟิลเลอร์ได้ครับ จะช่วยให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ลดลง Hifu ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่จะไม่ได้เห็นผลชัดเจนเท่าฟิลเลอร์หรือร้อยไหมครับ ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่ หมอจะแนะนำให้ทำไฮฟู่ร่องแก้มร่วมกับวิธีอื่น ๆ จะช่วยให้เห็นผลชัดเจนขึ้น  ฉีดโบท็อก ช่วยแก้ร่องแก้มลึกจากสาเหตุที่ยิ้มบ่อย ๆ แล้วทำให้กล้ามเนื้อบริเวณร่องแก้มแข็งแรงเกินไป โบท็อกจะช่วยคลายกล้ามเนื้อออก แต่ไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อกอย่างเดียวครับ เพราะจะทำให้ยิ้มแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ แนะนำให้ใช้โบท็อก 50% และฟิลเลอร์ 50% จะเห็นว่าวิธีลดริ้วรอยร่องแก้มแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นต่างกัน เหมาะใช้แก้ปัญหาร่องแก้มจากสาเหตุที่แตกต่างกันครับ และสามารถประยุกต์ใช้แต่ละหัตถการเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดมากขึ้น ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละคน ควรปรึกษาหมอที่มีประสบการณ์ จะได้แนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดให้ได้ครับ ทาครีมลดริ้วรอย ช่วยลดร่องแก้มได้ไหม ? การทาครีมลดริ้วรอย ไม่ใช่วิธีที่สามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้โดยตรงครับ เพราะปัญหาอยู่ในผิวชั้นลึก ซึ่งครีมอาจจะซึมเข้าไปไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทาครีมไม่มีประโยชน์นะครับ การทาครีมเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยรักษาคุณภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยาก สามารถทาครีมร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์เสริมกันได้ครับ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มให้ผลดีไหม ถ้าเทียบกับหัตถการอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ หมอสรุปข้อดีของฟิลเลอร์ร่องแก้มไว้ตามด้านต่าง ๆ ดังนี้ ผลลัพธ์ : การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีแก้ปัญหาร่องแก้มที่ตรงจุด และเห็นผลชัดเจนที่สุดครับ ราคา : ราคาไม่ได้แตกต่างกับหัตถการอื่นมากครับ ถ้าเทียบ 1 CC หากมีปัญหาร่องแก้มลึกมาก...
- ศัลยกรรมความงาม

ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

0
Thermage Thermage หรือ เทอมาร์จ เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยสลายไขมันได้ นิยมทำบริเวณแก้มและเหนียง เพื่อยกหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้าครับ  ในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ การทำ Thermage มาแนะนำอย่างละเอียด เช่น การทำ Thermage คืออะไร ?  ช่วยอะไรบ้าง ? หากต้องการทำ มีข้อดี - ข้อเสียอย่างไร ? การทำหน้าเทอมาจเหมาะกับใคร รวมถึง ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ต่างจากการดูดไขมัน - Hifu - Ulthera อย่างไร ? คุ้มค่าหรือไม่ ? กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ? หลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?  และที่สำคัญ คือ Thermage แท้ดูอย่างไร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยครับ Thermage คืออะไร ? Thermage คือ เครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับผิว สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจน ด้วยการยิงคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ลงไปในชั้นผิวหนัง โดยสามารถส่งพลังความร้อนจากคลื่นได้ตั้งแต่ผิวชั้นบนหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) จนถึงชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous) ซึ่งอยู่ลึกสุดของโครงสร้างผิว จึงสามารถยกกระชับหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยความร้อนจะไปทำให้ผิวเกิดการหดตัว ลดเนื้อไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแน่นกระชับขึ้นได้ในระยะยาว  ที่สำคัญคือ เครื่องThermage ได้ผ่านการรับรองให้เป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีความปลอดภัยสูง โดยเครื่อง Thermage FLX เป็นเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด (2018) ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สามารถปล่อยพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ  มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ ในขณะที่ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก ตัวเครื่องจะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สบายผิว และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิว Burn รวมทั้งมีระบบสั่น Vibration ที่ทำให้รู้สึกสบายมากยิ่งขึ้นขณะทำครับ Thermage ช่วยอะไรบ้าง ? Thermage FLX  มีหัวยิงหลายแบบ จึงสามารถช่วยดูแลผิวได้หลายเรื่อง ดังนี้  ช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง กรอบหน้าชัดขึ้น  ช่วยลดไขมันสะสม บริเวณแก้ม ใต้คาง และลำคอ ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเนียนขึ้น แน่นกระชับ ช่วยลดปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น  Thermage มีข้อดี - ข้อเสีย อย่างไร ? ข้อดี  ช่วยให้หน้ากระชับได้รูป ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอย ช่วยสลายไขมันบริเวณใบหน้า เหนียง สามารถทำได้ทั้งใบหน้า ลำคอ และลำตัว หลังทำไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำใช้ชีวิตได้ตามปกติ ช่วยให้ผิวตึงกระชับขึ้น เห็นผลชัดเจนตั้งแต่เดือนที่ 2 ขึ้นไป สามารถคงผลลัพธ์ยาวนาน 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแล) ข้อเสีย  หลังทำอาจเกิดมีรอยแดง แต่สามารถหายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง  หากแพทย์ผู้ทำไม่ชำนาญ หรือนำเครื่องปลอมไม่มีคุณภาพมาใช้ อาจเกิดผิวไหม้ เพราะใช้พลังงานสูง หรือ ใบหน้าเบี้ยว เพราะการส่งพลังงานไปกระทบกับเส้นประสาทบนใบหน้า Thermage เหมาะกับใคร ? การทำเทอร์มาจ เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณใบหน้าเยอะ  คนที่หน้าอ้วน มีไขมันบริเวณแก้ม...
- ศัลยกรรมความงาม

ฉีดโบท็อก คืออะไร ? ต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ? เหมาะกับใคร ? บทความนี้มีคำตอบ

0
การฉีดโบท็อกคือวิธีลดริ้วรอยที่ได้รับความนิยม และเป็นหัตถการความงามที่หลายคนเลือกทำเป็นอันดับแรก ๆ ครับ เราสามารถเริ่มฉีดโบท็อกได้ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือช่วงที่เริ่มมีริ้วรอย จะช่วยให้ผิวเต่งตึง ลดการพับของผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อนาคตได้ครับ ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า โบท็อกต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ช่วยอะไรบ้าง ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?  และต้องใช้กี่ unit ราคาเท่าไร ยี่ห้อไหนดี  ระยะเวลาว่าหลังฉีดแล้วกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม โบท็อกแท้ดูอย่างไร ?  รวมถึงหากมีแพ้โบท็อก ดื้อโบท็อก ทำอย่างไร  ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ก่อน - หลังฉีดดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อยู่ได้นานที่สุด  โบท็อก ริ้วรอยเป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับริ้วรอยบนใบหน้า มักจะเกิดจากการที่เมื่อเราแสดงสีหน้า กล้ามเนื้อจะมีการหดตัวและคลายออก ทำให้เห็นเป็นสีหน้าต่าง ๆ เช่น เวลายิ้ม เวลาโกรธ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ สูญเสียอีลาสติน คอลลาเจน ผิวแห้งและไม่มีความยืดหยุ่น ก็จะส่งผลให้เวลาแสดงสีหน้า ผิวเกิดรอยยับ รอยย่น หากปล่อยทิ้งไว้ริ้วรอยเหล่านี้ก็จะลึกขึ้นเรื่อย ๆ ครับ https://youtu.be/dkvVE-N3eDc การฉีดโบท็อก ตัวยาจะเข้าไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) โดยจับกับสารสื่อประสาทเพื่อยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณ ลดการหลั่งสารอะเซติลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งจะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกิดการหดตัว ผิวชั้นบนก็จะไม่พับลงตามเวลาเราแสดงสีหน้า ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะจางลงไป ผิวหน้ากลับมาเต่งตึง โบท็อก คือ การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย จริงไหม ? โบท็อกไม่ใช่สารพิษครับ Botox เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งจริง ๆ มีหลายชนิด แต่ตัวที่นำมาใช้ในการเสริมความงามคือ Botulinum Toxin Type A ฉีดแล้วมีความปลอดภัย ผ่านการวิจัยพัฒนา ทำให้ได้ตัวยาที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สามารถใช้ได้ทั้งการฉีดเพื่อความงาม และฉีดเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ   โบท็อกเป็นโปรตีนในน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ ส่วนที่ 1 จะถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ประสาทและออกฤทธิ์ ส่วนที่ 2 จะไม่ถูกดูดซึมและปลิวออกไปตามกระแสเลือด และขับออกจากร่างกาย จริง ๆ แล้ว โบท็อก คืออะไร ช่วยอะไรกันแน่ ? โบท็อกซ์ (Botox) เมื่อฉีดไปแล้วตัวยาจะทำงานกับระบบประสาท มีการออกฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ หมายความว่าสามารถออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อได้ทุกจุดที่ฉีดในร่างกายครับ ไม่จำเป็นต้องใช้กับการลดริ้วรอยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หมอสรุปประโยชน์ของโบท็อกเป็นข้อ ๆ ดังนี้ ฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย ฉีดโบท็อกเพื่อปรับรูปหน้า ลดกราม  ฉีดโบท็อกเพื่อลดกล้ามแขน น่องขา ฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อ (รวมถึงภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรักแร้) ฉีดโบท็อกเพื่อรักษาโรคทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ เช่น ไมเกรน ปวดต้นคอหรือหลัง (Office  Syndrome) ตากระตุก หน้ากระตุก ปากเบี้ยว คอบิด หรือภาวะการกัดฟัน  Filler กับ Botox กับความเข้าใจที่ผิด ๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าฟิลเลอร์กับโบท็อก ใช้ลดริ้วรอยได้เหมือน ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้ว ประเภทของริ้วรอยที่เหมาะกับแต่ละหัตถการ และจุดประสงค์ในการฉีดต่างกันครับ โบท็อก  เหมาะฉีดลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า (Dynamic line) เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว...
- ศัลยกรรมความงาม

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? รู้ข้อดี-ข้อเสียก่อนฉีดปรับรูปหน้า

0
ฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีลดร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกเสริมความงาม  เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์มากขึ้น ฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงไหม ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? เจ็บไหม ? ใช้กี่ CC ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ต่างจากฉีดไขมันอย่างไร ? ฟิลเลอร์แท้-ปลอม ดูอย่างไร ? ยี่ห้อไหนดี ? หมอตอบทุกข้อสงสัยในบทความนี้ครับ  ฟิลเลอร์ คืออะไร ?  ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA Filler ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทดแทนคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเกิดร่องลึก ริ้วรอย รวมทั้งความหย่อนคล้อย โดยฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ https://youtu.be/Py8-DJoJTuQ Filler คืออะไร ? ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกควรรู้ ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ?  ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก จากการที่กระดูกยุบตัว เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก  ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น ขมับตอบ ปากไม่เท่ากัน  ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง  ผู้ที่มีหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ช่วยรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น โดยไม่ทิ้งรอยแผล  ฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร ? การฉีดฟิลเลอร์ช่วยลดริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้สวยงามสมส่วน โดย Filler จะเข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต    หลังฉีดฟิลเลอร์ เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ฟิลเลอร์ ข้อดี  เห็นผลเร็ว หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที  ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น  สามารถใช้หน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  ขั้นตอนสะดวก ใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที  ฟิลเลอร์สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถฉีดสลายออกได้ และเติมใหม่ได้    ฟิลเลอร์ ข้อเสีย หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจได้ผลลัพธ์ไม่สวยงาม เช่น ฉีดฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน    ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร (แต่สามารถฉีดซ้ำหรือเติมใหม่ได้เพื่อคงผลลัพธ์) ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน  การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการความงามที่ช่วยเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับฉีดปรับรูปหน้าด้วยวิธีอื่น เช่น ฉีดไขมันหน้าเด็ก VS ฉีดฟิลเลอร์ เลือกวิธีไหนดี ? หมอเปรียบเทียบขั้นตอนการทำ ระยะเวลาเห็นผล ระยะเวลาคงผลลัพธ์ และความคุ้มค่า เพื่อประกอบการตัดสินใจ      ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA Filler...
- ศัลยกรรมความงาม

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? เหมาะกับใคร หลังฉีดเต็มแค่ไหน 2023

0
ครที่มีปัญหาใต้ตา เช่น ริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีปัญหาขอบตาดำ รวมไปถึงปัญหาเบ้าตาลึก ตาโหล มีถุงใต้ตา และกำลังมองหาวิธีแก้ไข หมอแนะนำฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีการแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว และมีความปลอดภัยสูง เมื่อฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน สำหรับผู้ที่สนใจ  ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หมอรวบรวมมาให้แล้วในบทความนี้ ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดฟิลเลอร์หรือสารไฮยาลูรอนิค แอซิด  (Hyaluronic acid) เข้าไปบริเวณใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ ปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ถุงใต้ตา ฉีดเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ฉีดใต้ตาคล้ำ ช่วยให้ใต้ตาและภาพรวมของใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์อีกครั้งครับ https://www.youtube.com/watch?v=KqybtMi3P0I ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ? ดีไหม ? ปัญหาใต้ตาเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ? ปัญหาใต้ตา เกิดจากสาเหตุใด ? ปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นโดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีอายุ เริ่มมีปัญหาการยุบตัวของกระดูก รวมถึงเนื้อเยื่อและไขมันฝ่อตัวลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย จึงเกิดเป็นร่องใต้ตาชัดเจน ใต้ตาลึก ดูอ่อนล้า ดูโทรม  ไม่สดใส  ร่องใต้ตาสาเหตุหลักเกิดจากส่วน Tear Through ที่อยู่ใกล้ร่องน้ำตา และ Hollow Under Eye ตรงเบ้าตา เกิดการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ปัญหาใต้ตายังสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่อายุน้อย ๆ ได้เช่นกันครับ โดยสาเหตุมาจาก  พันธุกรรม  ภูมิแพ้  การเจริญเติบโตของกระดูกช่วงเบ้าตาและใต้ตาไม่ดี ทำให้เกิดถุงใต้ตา ร่องใต้ตา การใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหย่อนยานและมีริ้วรอยก่อนวัย วิธีแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอย ปัจจุบันมีวิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ริ้วรอยใต้ตา รวมถึงถุงใต้ตาหลายวิธี อาทิ  1.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา  การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการแก้ปัญหาใต้ตาที่ตรงจุดที่สุดครับ สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ขอบตาดำ มีถุงใต้ตา รวมถึงช่วยเติมเต็มร่องลึกรอบดวงตา ในผู้ที่ปัญหาตาลึก ตาโหล ได้ด้วย หลังฉีด Filler ใต้ตา สามารถเห็นผลได้ทันที เป็นหัตถการที่ไม่มีแผลและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมาก ช่วยให้หน้าเด็กลง ผิวชุ่มชื้น ดูสดใสขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้  2.การฉีดเติมไขมัน  การฉีดเติมไขมันใต้ตา เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้ โดยเฉพาะปัญหาขอบตาดำ คล้ำจากสาเหตุร่องตาลึก ตาโหล เบ้าตาลึก วิธีการรักษาจะต้อง ดูดไขมันดูดออกมาจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน อย่างหน้าท้องหรือต้นขาของตัวคนไข้เอง จากนั้นนำไปเข้ากระบวนการปั่นแยกสกัดเอาสเต็มเซลล์ออกมาใช้ ผสมกับเนื้อเยื่อไขมัน แล้วนำไปฉีดเติมเบ้าตาในส่วนที่ลึกลงไป ให้เต็มและตื้นขึ้น  วิธีนี้ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากครับ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1ปี  แต่อาจไม่ได้ผล 100% ตั้งแต่ครั้งแรก รวมถึงไม่สามารถแก้ปัญหาตาโหลได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ครับ   ฉีดวิตามินกลุ่ม HA   การฉีดวิตามินกลุ่ม HA บริเวณใต้ตา หรือการฉีดเมโสใต้ตา เป็นอีกทางเลือกในการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำได้ โดยการฉีดวิตามินกลุ่ม HA ผิวเข้าไปที่บริเวณใต้ตา จะช่วยลดรอยหมองคล้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยเติมเต็มผิวที่บริเวณใต้ตาให้อิ่มฟูขึ้นได้ โดยตัวเมโสที่ได้รับความนิยมคือ เมโสฟิลอก้า (Filorga)  หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่คงผลลัพธ์ได้ไม่ได้นานครับ  4.เลเซอร์ใต้ตา ในผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตา การเลเซอร์ตัดถุงใต้ตา สามารถช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาได้ครับ โดยจะใช้เทคนิคตัดถุงไขมันส่วนเกินจากด้านในเปลือกตา ด้วยไมโครเลเซอร์ วิธีนี้จะไม่มีแผลที่ด้านนอก เหมาะกับคนที่อายุน้อย มีถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันครับ  5.การบำรุงผิวใต้ตาด้วยครีมหรือมาสก์  การดูแลบำรุงผิวใต้ตาเป็นวิธีการแก้ไข ตัวแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนทำ วิธีนี้สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวรอบดวงตาได้ ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอย แต่ในกรณีที่มีปัญหาแล้ว เกิดริ้วรอย หรือมีปัญหาใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา...
- ศัลยกรรมความงาม

เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร ข้อดีข้อเสีย ทำไมราคาสูง ต่างกับ Close ยังไง ?

0
การเสริมจมูก เป็นการศัลยกรรมที่หลายคนมองว่า สามารถเปลี่ยนให้จมูกโด่งเหมือนชาวต่างชาติได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การเสริมจมูกยังมีอีกหลายแนวทาง หลายแขนง ที่เมื่อเปลี่ยนแล้วยังสามารถเปลี่ยนใบหน้าของเราให้ดูดีขึ้นได้ โดยวิธีการ เสริมจมูกแบบโอเพ่น ก็เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นการปรับแต่งโครงสร้างจมูก อีกทั้งยังเป็นวิธีการแก้จมูกที่มีปัญหาได้ เราจึงต้องมาดูกันว่า เสริมจมูกโอเพ่น แท้จริงคืออะไร เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร เสริมจมูกแบบโอเพ่น ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ คือการศัลยกรรมผ่าตัดจมูกแบบเปิด ซึ่งเป็นการเสริมจมูกปรับโครงสร้างพื้นฐานทรงจมูกที่แม่นยำและตรงจุด เป็นวิธีการที่แก้ไขรูปทรงจมูกที่ละเอียดที่สุด โดยวิธีการจะเป็นการเปิดแผลตำแหน่งปลายจมูกออกมาทั้งสองด้าน ด้วยวิธีการเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี ซึ่งภาพรวมของการรับบริการเสริมจมูกopen หลายคนชอบที่ทำให้ทรงจมูกดูเป็นธรรมชาติ เสริมจมูกแบบโอเพ่น VS เสริมจมูกแบบปิด ต่างกันยังไง ? ข้อแตกต่างระหว่างการเสริมจมูกแบบปิดและการเสริมจมูกแบบโอเพ่น นั้น สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้ตามตาราง ดังนี้ การเสริมจมูกแบบปิด การเสริมจมูกแบบโอเพ่น ใช้การผ่าตัดภายในรูจมูก ไม่มีแผลภายนอก ใช้การผ่าตัดบริเวณใต้จมูก ช่วงระหว่างรูจมูกทั้งสองข้าง มีแผลภายนอกแต่อยู่ในตำแหน่งที่สังเกตยาก สามารถทำได้เพียงแค่เสริมความโด่งของดั้ง ไม่สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้ สามารถแก้ไขรูปทรงจมูกได้หลากหลาย เช่น แก้ไขรูปกระดูก หรือแก้จมูกที่เคยศัลยกรรมไปแล้ว เป็นต้น มีโอกาสทะลุจากการเสริมซิลิโคนจมูก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกหนา เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างจึงมีโอกาสเกิดการทะลุน้อยกว่า ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 1-2 ชั่วโมง ใช้เวลาผ่าตัด 3-5 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องใช้ยาสลบและซับซ้อนน้อย ค่าใช้จ่ายสูงกว่า เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ยาสลบและมีขั้นตอนในการทำหัตถการซับซ้อนมากกว่า ข้อดีของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น ข้อดีของการทำจมูกแบบโอเพ่นคือการเข้าไปปรับรูปจมูกไปถึงโครงสร้าง ซึ่งเป็นข้อดีของการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ที่วิธีอื่นอาจจะทำได้ไม่ละเอียดเท่า อีกทั้งยังเป็นวิธีการสำหรับการแก้หรือปรับปัญหาจมูกได้ทุกแบบ ไม่ว่ารูปจมูกเราจะ เป็นแบบไหน ก็ตกแต่งให้ได้ตามใจ ทั้งทรงจมูกสายฝอ, ทรงจมูกบาร์บี้, ทรงจมูกเกาหลี หรือทรงหยดน้ำก็ทำได้ โดยวิธีการทำจมูกโอเพ่น จะให้ความปลอดภัยในระยะยาว เพราะปรับโครงสร้างเสริมด้วยวัสดุที่ตรงจุด ข้อจำกัดของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น การเสริมจมูกแบบโอเพ่น มีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นขั้นตอนการเสริมที่ต้องใช้แพทย์ผู้ชำนาญการสูงมาก ดังนั้นจึงต้องปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีเทคนิคเฉพาะทาง เสริมจมูกแบบโอเพ่นเหมาะกับใคร การเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นวิธีการที่ค่อนข้างเหมาะกับทุกคนที่ต้องการปรับรูปจมูก ไม่ว่าเราจะมีเนื้อจมูกน้อย หรือต้องการแก้ทรงจมูก ขั้นตอนของการทำจมูกโอเพ่นคือขั้นตอนการผ่าตัดที่ปรับเข้าไปถึงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจมูกสั้น, จมูกหมู, จมูกผิดรูป, จมูกเบี้ยว หรือจมูกที่ประสบปัญหาเช่นรูปจมูกที่เกิดจากอุบัติเหตุ การเสริมจมูกopen ก็จะช่วยให้จมูกกลับมาเป็นรูปทรงเดิมได้ ตามที่เราและแพทย์ให้คำปรึกษา ศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่น กี่เดือนเข้าที่ ? หลังจากเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่นแล้ว เบื้องต้นเราจะมีอาการบวม ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการดูแลหลังการผ่าตัดให้เคร่งครัด หากทำตามอย่างถูกต้องอาการบวมจะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นดูอาการต่ออีก 14 วันหลังช่วงบวมจากการเสริมจมูกโอเพ่น ซึ่งภายใน 14 วัน จมูกก็จะยุบลง หลังจากนั้น ก็จะอยู่ในช่วงรอให้จมูกเข้าที่ อย่าลืมไปพบแพทย์ตามที่นัดหมาย เพื่อติดตามผลเพิ่มเติม หลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น ต้องดูแลตัวเองยังไง หลังจากที่เราไปทำจมูกแบบโอเพ่น ในช่วงแรกให้เน้นการประคบเย็น จะช่วยลดอาการบวม งดการแตะ สัมผัส บริเวณจมูกที่เราได้ทำการเสริมจมูกแบบโอเพ่น รวมไปถึงการนอนให้นอนในท่าที่ไม่กระทบกับจมูก สามารถประคบอุ่นได้ เน้นการลดรอยช้ำ เมื่อแผลปิดสนิทแล้ว ห้ามการกระทำกับจมูกที่รุนแรงเกินไป เช่นการสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรือสวมแว่นบนสันจมูก งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, บุหรี่ และอาหารร้อน หลังเสริมจมูกห้ามกิน และ ควรกินอะไรได้บ้าง แม้แต่อาหารการกินภายหลังเสริมจมูกก็มีความสำคัญไม่น้อยเลย เพราะอาหารบางชนิดก็ช่วยให้แผลหลังเสริมจมูกหายสนิทเร็วยิ่งขึ้น ส่วนอาหารบางชนิดก็ส่งผลให้อาการบวมหลังเสริมจมูกรุนแรงมากกว่าเดิม นอกจากนี้อาหารบางชนิดยังอาจทำให้แผลหลังเสริมจมูกเกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงจะมาแนะนำอาหารที่ควรกินและไม่ควรกินหลังเสริมจมูกให้อ่านกันว่ามีอะไรบ้าง ปลาร้า ของหมักดอง - ปลาร้านับเป็นหนึ่งในเมนูหมักดอง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อ และการรับประทานอาหารประเภทนี้มักทำให้บวม มีน้ำมูก คัดจมูก ซึ่งทำให้แผลติดเชื้อหรืออักเสบได้ อาหารทะเล - อาทิ กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก เป็นต้น เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการบวม หรือแพ้ได้ บุหรี่...
- ศัลยกรรมความงาม

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ !

0
ฟิลเลอร์ ( Filler ) ฟิลเลอร์ คืออะไร ? เมื่อกล่าวถึงฟิลเลอร์เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินมาบ้าง เพราะฟิวเลอร์เป็นสารที่นำยมใช้ในการลดเรือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะบนใบหน้า หลายคนมีความเข้าใจว่าฟิวเลอร์ก็คือโบท็อก ( Botox ) แต่ที่จริงแล้วฟิวเลอร์มีความแตกต่างจากโบท็อก ( Botox ) ฟิลเลอร์ ( Filler ) คืออะไร ฟิลเลอร์ ( Filler ) คือ สารเติมเต็มที่ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid หรือที่เรียกว่า HA จัดเป็นสารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysaccharide ) เป็นองค์ประกอบที่มีอยู่ในผิวหนังและกระดูกอ่อนของคนเรา เมื่อนำสารประกอบ HA มาผสมเข้ากับน้ำสารดังกล่าวจะสามารถขยายตัวขึ้นและเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของเหลวหรือเจล ที่มีลักษณะเป็นสารประกอบหนึ่งของคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวนั่นเอง ชนิดของ ฟิลเลอร์ ( Filler ) เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมามีการใช้ Dermal filler ในการเขข้ามาช่วยเติมเต็มให้กับผิวหนัง ต่อมาได้มีการพัฒนาฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการฟิลเลอร์ที่อยู่ได้นาน ซึ่งสามารถแบ่งชนิดของฟิลเลอร์ได้ตามคุณสมบัติดังนี้ 1.ฟิลเลอร์ชนิดแบบไม่ถาวร ( Temporary Dermal Filler ) คือ ฟิลเลอร์ ( Filler ) ที่มีความคงตัวนานในร่างกายประมาณ 8-12 เดือน ฟิลเลอร์ชนิดนี้ทำการสกัดคอลลาเจนจาก Bovine ( วัว ) ดังนั้นผู้ที่ต้องการใช้ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะต้องทำการทดสอบก่อนว่าแพ้สารที่มีอยู่ในวัวหรือไม่ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการแพ้สารจากวัว ฟิลเลอร์ชนิดนี้ ได้แก่ Zyderm, Zyplast ซึ่งจัดว่าเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเป็นคอลลาเจนที่มาจากธรรมชาติ ปัจจุบันฟิลเลอร์ชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากเมื่อเกิดอาการแพ้แล้วอาการจะมีความรุนแรงเป็นอันตรายสูง >> ฟิลเลอร์คืออะไร เสี่ยงหรือไม่ ฉีดบริเวณไหนได้บ้างบทความนี้มีคำตอบ ! >> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ 2.ฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร ( Semi-Permanent Dermal Filler ) คือ ฟิลเลอร์ ชนิดกึ่งถาวรที่ทำการเติมเต็มด้วยการฉีด อยู่ในกลุ่มของ Hyaluronic Acid ( HA ) เช่น Restylane, Hydrafill, Juvederm, Hylaform เป็นต้น ทำการสังเคราะห์จากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส ( Streptococcus ) ซึ่งสารที่สกัดได้นี้จะมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยรักษาน้ำที่มีอยู่ในผิว ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นและเต่งตึงกระชับมากขึ้น เมื่อฉีดแล้วมีกระจายตัวไปวยังบริเวณข้างเคียง สามารถอยู่ในร่างกายได้ประมาณ 2 ปี เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วฟิลเลอร์จะมีความปลอดภัยมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้น้อย  3.ฟิลเลอร์ชนิดถาวร ( Permanent Dermal Filler ) คือ ฟิลเลอร์ ( Filler ) ชนิดถาวรที่เมื่อทำการฉีดเข้าสู่ร่างกายเพียงครั้งเดียวจะสามารถคงอยู่ได้ตลอดชีวิต ฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้สามารถแบ่งได้ดังนี้ 3.1 ฟิลเลอร์ชนิด Artecoll หรือ Artifill จัดเป็นสารในกลุ่ม Polymethyl methacrylate ( PMMA ) มีลักษณะคล้ายกับอะคริลิคหรือแผ่นเรียบที่ทำจากพลาสติกนั่นเอง 3.2 ฟิลเลอร์ชนิด Aquamid เป็น Plyacrylamide หรือที่รู้จักกันในชื่อพอลิเมอร์นั่นเอง 3.3 ฟิลเลอร์ชนิด Radiesse เป็น Calcium Hydro-xylaptide...
- ศัลยกรรมความงาม

ฟิลเลอร์คืออะไร สวยแต่เสี่ยงหรือไม่ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ใต้ตา ปาก จมูก คาง

0
ฟิลเลอร์  บทความก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงเรื่องการร้อยไหมกันไปแล้ว มาคราวนี้เราจะพูดถึงการศัลยกรรมอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์นั่นเอง การฉีดฟิลเลอร์ ( Filler ) ดียังไง ทำไมสาวๆ ถึงมักจะไปฉีดฟิลเลอร์กันนะ แต่ก่อนอื่น เรามาทำ  ความรู้จักกับเจ้าฟิลเลอร์นี้กันก่อนดีกว่าค่ะ >> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ ! >> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ ฟิลเลอร์ คืออะไร ถ้าจะพูดง่ายๆ " การฉีดฟิลเลอร์ " คือ การฉีดสารเติมเต็มความสวยในแบบที่คุณต้องการนั่นเอง ซึ่งสารที่ว่านี้ก็คือสารไฮยารูโรนิก แอซิต ( Hyaluronic acid หรือ HA ) ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง ช่วยเติมริ้วรอยร่องลึกตามจุดต่างๆ บนใบหน้า เป็นสารที่เลียนแบบสารที่มีตามธรรมชาติ ช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึงมีน้ำมีนวล ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นและนูนขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเติมใยคอลลาเจนที่หายไปให้กลับมาดูอิ่มเอิบ แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย สารไฮยารูโรนิก แอซิต นี้มีหน้าที่ช่วยเพิ่มและปรับโครงสร้างใต้ชั้นผิวหนังให้อ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น ช่วยลดเรือนริ้วรอย และเติมเต็มจุดบกพร่องบนใบหน้า ดวงตา และอวัยวะอื่นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยล่ะค่ะ ชนิดของสารฟิลเลอร์ ชนิดของฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ 1. ฟิลเลอร์ระดับชั่วคราว เช่น สารไฮยารูโรนิกแอซิดที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าบริเวณที่ต้องการแก้ไขแล้วจะคงอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน จัดว่ามีความปลอดภัยสูงและสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ 2. ฟิลเลอร์อีกชนิดคือระดับถาวร เช่น เม็ดพลาสติก ซิลิโคน หรือน้ำมันพาราฟิน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์แบบถาวรที่ไม่สามารถสลายออกเองได้ และระบุผลข้างเคียงในระยะยาวไม่ได้ อีกทั้งไม่แนะนำให้ฉีดชนิดนี้ด้วยเช่นกัน การฉีดฟิลเลอร์จะใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาที เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขแล้วจะเห็นผลทันที และจะยิ่งเห็นผลชัดที่สุดในวันที่ 5 ของการอีด โดยสามารถอยู่ได้นานถึง 6 เดือน หรือขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดจุดไหนได้บ้าง การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งครับ แต่จะนิยมฉีด 7 จุดนี้ครับ เพราะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด ทำให้หน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ 1. ฟิลเลอร์ใต้ตา เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกใต้ตาของเราก็จะยุบตัวลงครับ ทำให้บริเวณนั้นมีเนื้อน้อยลงทำให้ผิวหนังย่อนคล้อย ซึ่งสามารถเติมฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อทำให้หน้าดูเด็กลงได้ครับ 2. ฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น ในกรณีที่ฉีดด้วยเทคนิคที่ดีและถูกต้อง จะได้ผลดีไม่แพ้กับการศัลย์กรรมมผ่าตัดเสริมคางอย่างแน่นอนครับ 3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ปัญหาร่องแก้มลึกมักจะทำให้คนไข้หน้าดูแกกว่าวัย ซึ่งสามารถเติมฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที ซึ่งปัจจุบันก็มีหลากหลายเทคนิค คุณหมอส่วนใหญ่จะประเมินว่าคนไข้แต่ละคนเหมาะกับเทคนิคอะไร 4. ฟิลเลอร์ปาก สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนทรงปาก แต่ไม่อยากศัลย์กรรม การฉีดฟิลเลอร์ปากก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่กำลังได้รับความนิยม เพราะเมื่อทำเสร็จสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน 5. ฟิลเลอร์ขมับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับเหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน และปัจจุบันนี้ยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย หรือว่า ในเรื่องของคนช่วยอุปถัมภ์ 6. ฟิลเลอร์หน้าผาก การเติมฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยปรับหน้าให้ได้สัดส่วน สวยงาม ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง แต่ไม่อยากผ่าตัด ซึ่งจะทำให้เห็นผลอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองครับ 7. ฟิลเลอร์จมูก เหมาะสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัดแบบมาก ๆ หรือ เป็นคนไข้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นนั่นเองครับ วิธีการฉีดฟิลเลอร์ เพียงแค่ฉีดเล็กน้อยก็สามารถทำให้จมูกคมขึ้นทันที และออกมาเป็นธรรมชาติมาก ๆ การฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับใคร ผู้ที่อยากปรับโครงหน้าให้สวยได้รูป อยากเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มดูเย้ายวน อยากมีผิวอ่อนเยาว์ สุขภาพดี ไม่หย่อนคล้อย อยากเสริมโหงวเฮ้งให้เฮงๆ รับทรัพย์ อยากปรับปรุงรูปร่างให้ดูสมส่วน  ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์  ช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าเราให้ดีขึ้น ผิวพรรณอ่อนเยาว์ หน้าเด็กลง แลดูสุขภาพผิวดี ช่วยเติมเต็มจุดบกพร่องต่างๆ เช่น ปัญหาร่องใต้ตา หรือแก้มตอบ ใช้เวลาไม่นาน เห็นผลหลังจากทำทันที ข้อจำกัดของฟิลเลอร์ 1. ไม่สามารถฉีดได้กับทุกคน 2. หากท่านใดมีอาการแพ้ยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า 3. สตรีมีครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร หรือผู้ที่มีเลือดออกและหยุดยาก...
- ศัลยกรรมความงาม

คัพ 75 A จะอัพไซส์ได้แค่ไหน

0
เสริมหน้าอก สำหรับหลายๆคน การศัลยกรรม มีไว้เพื่อแก้จุดบกพร่องของร่างกาย เพื่อความสวยงาม และเพื่อเสริมหน้าอกเพิ่มความมั่นใจในตัวบุคคลที่ทำเท่านั้น แต่สำหรับผู้หญิง ที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอกนั้น พวกเธอคิดไปมากกว่าจุดนั้นมาก เพราะว่า หน้าอก เป็นเหมือนเครื่องแสดงความเป็นผู้หญิง และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเธอดูแตกต่างจากผู้ชาย ซึ่งแน่นอนว่า นอกจากเรื่องของงบประมาณแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ในการทำหน้าอกแต่ละครั้ง เพราะนั่นหมายความถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตกันเลยทีเดียว >> เสริมหน้าอกแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง >> ก่อนเสริมหน้าอกต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง    เสริมอกสวยอวบอิ่มแบบเซ็กส์ซิมโบล ถ้าคุณชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นต่างๆ จะเห็นว่า บรรดานางแบบเซ็กส์ซี่ หรือเซ็กส์ซิมโบลทั้งหลายนั้น นอกจากหน้าตา และกิริยาที่เย้ายวน อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พวกเธอเหล่านั้น เป็นที่จับตามองทั้งจากผู้ชาย และผู้หญิงคนอื่นๆ ก็คือ ขนาดของหน้าอกหน้าใจ ที่น่าอิจฉา และส่วนใหญ่แล้ว สาวๆ เหล่านี้ มักจะเลือกสร้างความโดดเด่น และแตกต่างให้กับตัวเองโดยการเสริมหน้าอก ด้วยเจลซิลิโคน ที่จะทำให้หน้าอกดูมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยังให้สัมผัส และความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอยู่ และสำหรับหลายคนที่ห่วงเรื่องของแผลเป็น บอกได้เลยว่า ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่คิด เนื่องจาก การผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกนั้น สามารถทำได้โดยการผ่าตัด และสอดซิลิโคน ผ่านรอยแผลบริเวณรักแร้ ซึ่งข้อดีของการผ่าตัดศัลยกรรมเต้านมด้วยวิธีการนี้ก็คือ รอยแผลที่เกิดขึ้น จะไม่เป็นที่สังเกตเห็น เพราะจะอยู่ใต้รอยย่นที่รักแร้นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว การใช้ซิลิโคนเจล ในการเสริมหน้าอก ยังเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกาในฐานะของอวัยวะเทียม และได้รับการรับรองโดย อย. ของทางสหรัฐอเมริกา ( FDA. ) และความโดดเด่นของซิลิโคนเจล นั้น ก็คือ เมื่อเกิดการชำรุดเสียหาย ที่ตัวถุงหุ้ม ซิลิโคนเจลที่อยู่ด้านในจะยังสามารถรักษารูปทรงเอาไว้ได้ ทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง หรืออันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้แล้ว ยังให้รูปทรง และผิวสัมผัสที่เป็นธรรมชาติมากกว่าหน้าอกเทียม ที่ทำมาจากวัสดุอื่นๆ ศัลยกรรมหน้าอก เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้จริงหรือ? หลายคนอาจจะเคยเห็นคนที่เสริมหน้าอก แต่ไม่เน้นขนาดที่ใหญ่มาก อาจจะเนื่องด้วย เนื้อหน้าอกเดิมมีค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่สามารถที่จะใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเสริมเพียงแค่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ก็สามารถสร้างความแตกต่างทางสรีระ ไม่ต่างจากคนที่เสริมหน้าอกขนาดใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเลือกที่จะใช้ซิลิโคน ทรงหยดน้ำ เพราะนอกจากจะให้รูปร่างที่คล้ายเต้านมธรรมชาติมากกว่าแล้ว คุณสมบัติพิเศษของซิลิโคนทรงหยดน้ำก็คือ เมื่อคุณขยับ หรือออกกำลังกาย ตัวซิลิโคนจะสามารถขยับได้เหมือนกับเต้านมธรรมชาติ ที่สำคัญคือ หลังจากการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอก คุณไม่จำเป็นต้องไปนวด เพื่อให้หน้าอกนุ่ม และดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับการศัลยกรรมหน้าอกทรงกลมแต่อย่างใด การทำหน้าอกทรงหยดน้ำ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับผู้หญิงจากทั่วโลก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกแรก หากต้องการทำศัลยกรรมหน้าอกเลยทีเดียว  ผ่าตัดแก้หัวนมบอด เสริมความมั่นใจให้ผู้หญิง หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าความกังวลของผู้หญิง ไม่ได้มีแค่เรื่องของขนาดหน้าอกเท่านั้น เพราะในบางครั้งหัวนม ก็สร้างปัญหาให้กับพวกเธอไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ต้องให้คนรักได้สัมผัส และยามที่ต้องให้ลูกดื่มน้ำนมจากอก ผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าตัวเองเป็นคนหัวนมบอด และสาเหตุที่หัวนมของพวกเธอไม่เหมือนกับคนอื่นนั้น อาจจะเป็นเพราะการเจริญเติบโตที่ไม่ปกติของร่างกาย และฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งปัญหาหัวนมบอดหลังจากตั้งครรภ์ ก็มีให้เห็นอย่างมากมาย ซึ่งการแก้ปัญหาหัวนมบอด สามารถทำได้ โดยการผ่าตัด ซึ่งใช้เวลาไม่นานเหมือนกับการทำศัลยกรรมเต้านมอื่นๆ เพราะเพียงแค่ทำการผ่าตัดที่บริเวณหัวนม เพื่อดัน หรือดึงหัวนมที่บุ๋มลงไป ให้กลับขึ้นมา จากนั้นก็ทำการเย็บกลับ ก็เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน แต่ข้อเสียก็คือ อาจจะมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดให้เห็นบ้างเล็กน้อย ในส่วนอาจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ ในการดูแลรักษาแผลกันต่อไป สิ่งที่ต้องระวังในการศัลยกรรมแก้ไขหัวนมบอด มีดังนี้ 1. การผ่าตัดแก้ไขหัวนมบอดอาจจะทำให้หัวนม และเต้านมสูญเสียความรู้สึกได้ 2. ห้ามออกกำลังกายหนักในช่วง 1 เดือนแรก หลังการผ่าตัด 3. งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังการผ่าตัด เรื่องที่ต้องรู้ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมเสริมหน้าอก ซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรม ซิลิโคนแบบถุงน้ำเกลือ ข้อดีของ เต้านมซิลิโคน แบบนี้ คือ สามารถที่จะควบคุมปริมาณได้ ว่าต้องการมากน้อยแค่ไหน เนื่องจาก สามารถที่จะเพิ่มน้ำเกลือเข้าไป หรือเอาน้ำเกลือที่อยู่ภายในออกมาได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถุงน้ำเกลืออยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานๆ...
- ศัลยกรรมความงาม

โหงวเฮ้งแบบไหนที่ถือว่าดี

0
โหงวเฮ้ง ในยุคปัจจุบันผู้หญิงหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะต้องมีรูปร่างที่ดีสมส่วน ผิวพรรณกระจ่างใสแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้หญิงให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือใบหน้า ใบหน้าที่ดีนอกจากจะต้องสวย เรียวได้รูปตามค่านิยมในสังคมแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้ยังมีความเชื่อในศาสตร์เรื่อง โหงวเฮ้ง เพราะว่ากันว่าสวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย การมีโหงวเฮ้งที่ดีมาแต่กำเนิดถือเป็นกำไรชีวิต แต่ด้วยการแพทย์ที่ทันสมัยในปัจจุบัน แม้ว่าเกิดมาโหงวเฮ้งบนใบหน้าไม่ตรงตำรา ก็สามารถแก้ไขให้เป็นไปอย่างใจต้องการได้ด้วยการทำศัลยกรรมตกแต่ง ความหมายของโหงวเฮ้ง โหงวเฮ้งเป็นคำที่คุ้นหูคนไทยมานาน แต่อาจมีหลายท่านที่ไม่รู้จักความหมายของคำๆ นี้ คำว่า “ โหงว ” หมายถึง 5 ส่วนคำว่า “ เฮ้ง ” หมายถึง ลักษณะ, คุณลักษณะ ดังนั้น คำว่า “ โหงวเฮ้ง ” จึงหมายถึง ลักษณะบนใบหน้าที่ดีและโดดเด่น 5 ประการ อันได้แก่ 1. หน้าผาก บ่งบอกถึง ความสมบูรณ์พูนสุข ความฉลาดและสติปัญหา 2. คิ้ว-ตา บ่งบอกถึง ความสัมพันธ์และความคิด 3. จมูก บ่งบอกถึง ฐานะและสินทรัพย์ 4. ปาก (ริมฝีปาก) บ่งบอกถึง ลักษณะนิสัย 5. หู บ่งบอกถึง อายุ สุขภาพและอำนาจ โหงวเฮ้งแบบไหนที่ถือว่าดี ตามความเชื่อของคนจีน ลักษณะบางอย่างของใบหน้าถือว่าตรงตามหลัก โหงวเฮ้ง ที่ดี แม้ว่าในบางยุคสมัย คุณลักษณะนั้นๆ อาจจะไม่ใช่ค่านิยมที่สังคมชื่นชมว่าสวย ว่างดงามก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น หน้าผากโหนกนูน หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่า “ หัวเหม่ง ” ในอดีตถือว่าไม่สวย ผู้หญิงที่หน้าผากโหนกนูนจึงเสียความมั่นใจและมักไว้ผมหน้าม้าเพื่ออำพรางหน้าผาก เป็นต้น แล้วลักษณะแบบไหนบ้างที่ตรงตามตำราโหงวเฮ้งที่เขาว่าดี วันนี้เราจะมาอธิบายไขข้อข้องใจกัน ดังนี้ >> การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง >> การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม 1. โหงวเฮ้งหน้าผาก หน้าผากถือเป็นเนินท้องฟ้า ซึ่งบ่งบอกถึงชีวิตในวัยเยาว์ ว่ามีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูดีแค่ไหน บิดามารดาเลี้ยงดูมาอย่างดีหรือไม่ หากมีหน้าผากกว้างหมายถึงได้รับการเลี้ยงดูดี มีความอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อสมองค่อนข้างเยอะ ฉลาดเรียนรู้ได้รวดเร็ว ถ้าหน้าผากสูงแสดงว่าเป็นผู้ที่ชอบขวนขวายหาความรู้ พูดง่ายๆ ว่าลักษณะหน้าผากที่ดีตามตำรา โหงวเฮ้ง คือต้องมีเนื้อหน้าผากเต็ม โหนกนูน กว้าง ไม่มีร่องรอยแผลเป็นและหลุมสิวหรือแผลยุบบุบบุ๋ม ว่ากันว่าลักษณะเช่นนี้จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้า การงานดีกว่าผู้อื่น หากมีหน้าผากแคบและแบนถือว่าดวงเรื่องการงานไม่ดี และที่สำคัญไม่ควรนำผมมาปิดหน้าผาก เพราะถือว่าเป็นการปิดกั้นพลังบวกและสิ่งดี ๆ ในชีวิต ทั้งยังอาจก่อให้เกิดสิว ผด ซึ่งทำให้เสียบุคลิกภาพและเชื่อว่าเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จ ส่วนที่เชื่อมต่อกับหน้าผากก็คือขมับ ซึ่งเป็นส่วนที่บ่งบอกได้ว่าคู่ครองของเราจะดูแลเราได้ดีขนาดไหน โดยสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ 1.ประเภทหน้าผากบุบและแคบ บ่งบอกว่าต้องพึ่งตนเองเป็นสำคัญ ดวงชะตาต้องหาเลี้ยงดูแลตัวเองเป็นส่วนใหญ่จึงจะมีกินมีใช้ 2.ประเภทขมับกว้างแต่บุบเล็กน้อย บ่งบอกว่าคู่ครองจะดูแลดีปานกลาง ไม่ทุกข์ยาก แต่ก็ไม่หรูหรา ยังถือว่าดีพอใช้ 3.ประเภทหน้าผากกว้าง อิ่ม หน้ากลมเต็ม ถือว่ามีโหงวเฮ้งดีมาก เพราะบ่งบอกว่าจะได้คู่ครองที่ร่ำรวย จะเลี้ยงดูให้มีชีวิตที่สุขสบาย สามีรักช่างเอาอกเอาใจ ราศีคุณนายจับเฉิดฉายที่สุด วิธีแก้ไขโหงวเฮ้งหน้าผาก สำหรับผู้ที่มีหน้าผากแคบอาจทำการกำจัดขนถาวรบริเวณไรผมซึ่งจะทำให้หน้าผากดูกว้างขึ้น และหากอยากให้หน้าผากดูโหนกนูนขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการศัลยกรรมเสริมอวัยวะเทียมหรือฉีดไขมันเข้าไปบริเวณหน้าผาก ซึ่งจะทำให้หน้าผากดูอวบอิ่ม นูนขึ้นและไม่เป็นอันตรายเนื่องจากไขมันเป็นไขมันของตัวเราเอง โดยแพทย์จะนำไขมันบริเวณต้นขาหรือก้นมาฉีดเสริมให้ ข้อเสียของวิธีฉีดไขมันคือ เมื่อนานวันเข้าไขมันอาจจะสลายและยุบตัวลงไปตามธรรมชาติ จึงต้องกลับมาฉีดซ้ำใหม่เพื่อให้ได้รูปทรงเดิม 2. โหงวเฮ้งคิ้ว-ตา ตามตำราเชื่อว่า คิ้วคือธาตุไม้ ส่วนตาเป็นธาตุไฟ ดังนั้น 2 ส่วนนี้ต้องมีความสมดุลกัน นั่นคือมีขนาดใกล้เคียงกัน หากคุณมีดวงตาเล็ก ส่วนคิ้วก็ไม่ควรหนาใหญ่จนเกินไป เช่นเดียวกันหากคุณมีดวงตากลมโต ส่วนคิ้วก็ควรจะมีความใหญ่หนาให้รับกันพอดี ไม่ให้ธาตุไฟของดวงตาเผาธาตุไม้ของคิ้วได้ ดวงตาถือเป็น โหงวเฮ้ง สำคัญบนใบหน้า เพราะดวงตาบ่งบอกนิสัยใจคอ รวมทั้งดวงด้านความสัมพันธ์และด้านการงาน ดวงตาที่ดีต้องมีความสดใส ตาดำต้องดำเป็นนิล ตาขาวต้องขาวสะอาดไม่มีเส้นเลือดฝอยแดงก่ำจนน่ากลัว ดวงตาทั้งสองข้างต้องมีขนาดเท่ากัน...
- ศัลยกรรมความงาม

ผู้ชายก็ทำศัลยกรรมได้

0
ศัลยกรรม ในผู้ชาย พอพูดถึงประเด็นการทำ ศัลยกรรม คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเพศหญิงเท่านั้น แต่ความจริง ผู้ชาย อกสามศอกก็นิยมทำศัลยกรรมไม่แพ้กัน เพียงแค่อาจจะตัดเรื่องการเสริมหน้าอกออกไปเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่เราอยากจะมีภาพลักษณ์ที่ดี เพราะเราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คนที่ดูดีกว่ามักได้รับโอกาสที่มากกว่า เร็วกว่าและยิ่งใหญ่กว่า ในขณะที่คนฝีมือดีแต่ภาพลักษณ์ไม่เข้าท่ามักจะถูกเก็บไว้เป็นตัวเลือกท้ายๆ เสมอ ที่น่าสนใจก็คือทั้งสองอย่างสามารถพัฒนาให้ทัดเทียมกันได้หมด และภาพลักษณ์ก็ใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าทักษะความสามารถหลายเท่า ดังนั้นทางเลือกที่ดีจึงเป็นการเริ่มที่ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ก่อนอย่างอื่น การ ศัลยกรรม ในผู้ชาย อาจไม่หลากหลายเท่ากับผู้หญิง แต่ก็มีนวัตกรรมที่ล้ำสมัย รวมทั้งรูปแบบวิธีการให้เลือกใช้มากมายไม่แพ้กัน เราสามารถแบ่งความต้องการของผู้ชายออกเป็นช่วงวัยได้อย่างชัดเจน คือ วัยทำงาน วัยกลางคน และวัยสูงอายุ แต่ละช่วงจะมีปัญหาที่ต้องแก้ไขคล้ายคลึงกัน ซึ่งต่างกับผู้หญิงอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้หญิงจะมองเจาะในรายละเอียดเป็นส่วนๆ ไปไม่เกี่ยวกับช่วงวัยเท่าไรนัก ถ้ามีตาเล็กเกินไปก็ไปศัลยกรรมตา เมื่อมีกระแสปากอวบอิ่มก็เลือกที่จะปรับแก้ริมฝีปาก เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าการ ศัลยกรรม ในผู้ชาย มีรูปแบบที่ค่อนข้างคงที่กว่าก็ย่อมได้ ทีนี้เราลองมาดูกันดีกว่าว่าผู้ชายแต่ละช่วงวัยเขานิยมทำศัลยกรรมอะไรกันบ้าง การศัลยกรรมของผู้ชายในช่วงวัยทำงาน ระยะนี้จะเป็นช่วงอายุราวๆ 25 ปี ไปจนถึงเกือบ 40 ปี นับตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการทำงานไป ถือเป็นช่วงที่ ผู้ชาย มีความเป็นตัวเองสูงมาก เพราะสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้แล้ว เริ่มมีภาวะผู้นำ กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้น ลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยว เล่นกีฬา ผจญภัย ยังคงมีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการทำ ศัลยกรรม ก็จะเป็นเรื่องของสังคมเป็นหลัก ช่วงนี้สังคมรอบตัวจะกว้างขึ้น ได้เจอผู้คนหลากหลาย ความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างมิตรภาพอันดีในช่วงแรกได้ และภาพลักษณ์ที่ดูดีก็ยังช่วยในเรื่องของการยอมรับอีกด้วย >> วิธีการเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก  >> การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม ส่วนที่นิยมทำศัลยกรรมกันมากที่สุด รูปแบบของการทำศัลยกรรมจะไปในแนวทางของการแก้ไขข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อผลักดันในสิ่งที่มีอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างที่นิยมทำกันมากที่สุดก็คือ ศัลยกรรมปรับโครงหน้า : เน้นให้กรอบหน้ามีความสมดุลและคมชัด แก้ไขมุมไหนที่ไม่สมส่วนหรือดูผิดปกติ เพราะ ผู้ชาย ส่วนใหญ่ไว้ผมสั้น และนั่นทำให้เห็นโครงหน้าชัดเจน จึงต้องดูแลจุดนี้เป็นพิเศษ ศัลยกรรมเสริมกราม : แม้ว่าในผู้หญิงจะนิยมลดกรามกัน แต่ ผู้ชาย กลับหลงใหลที่จะเพิ่มกรามกันมากกว่า เพราะมันสื่อให้เห็นว่ามีความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว และยังดูคมเข้มโดดเด่นมากกว่าด้วย ศัลยกรรมดวงตา : การสื่อสารผ่านดวงตาเป็นกุญแจสำคัญเสมอไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหรืออายุเท่าไร คนที่มีปัญหาดวงตาไม่สมดุล ตาเล็กหรือตี่เกินไป ตาห่างหรือชิดเกินไป เมื่อปรับแก้แล้วก็จะทำให้กลายเป็นคนที่ดูมีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้นได้ ศัลยกรรมจมูก : เพียงแค่จมูกได้รูปสวยงามก็ทำให้องค์รวมของใบหน้าดูดีขึ้นได้ ผู้ชาย ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสันจมูกมาก เพราะนอกจากจะทำให้ดูหน้าตาดีแล้ว ก็ยังแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ มีพลังและไว้วางใจได้อีกด้วย  การศัลยกรรมของผู้ชายในช่วงวัยกลางคน มาถึงช่วงอายุประมาณ 40 ปี ไปจนถึง 50 ปีกว่าๆ สิ่งที่เริ่มมาเยือนในช่วงวัยกลางคนก็คือริ้วรอยเล็กๆ ตามหางตา หน้าผาก มุมปาก และร่องรอยของพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เช่น ไขมันสะสมตามหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น การทำ ศัลยกรรม ในจังหวะนี้จึงเป็นการแก้ไขปัญหาแห่งวัยที่เกิดขึ้น แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์แบบชนิดที่เรียกว่าตึงเป๊ะเหมือนกับผู้หญิง ขอแค่ยังดูดีไม่หม่นหมองเกินไปก็พอ เพราะ ผู้ชาย ที่มีสัญญาณของความเป็นผู้ใหญ่ตามร่างกายบ้างเล็กน้อยก็ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน รูปแบบการทำศัลยกรรมที่ถูกเลือกใช้บริการมากที่สุด ศัลยกรรมดวงตา : จะเป็นการปรับเปลี่ยนในลักษณะที่ต่างกับช่วงวัยทำงาน เน้นไปที่การยกกระชับและลดริ้วรอยลึกทั้งหมด เนื่องจากหลายคนมีปัญหาหนังตาตกจนดูหน้าตาเศร้าหมองตลอดเวลา ทำให้สูญเสียบุคลิกภาพที่ดีไป ศัลยกรรมใบหน้า : เน้นการดึงยกช่วงแก้มขึ้นไป อาจใช้การผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็มก็ได้ อยู่ที่ว่าปัญหาของใครอยู่ในระดับไหน แน่นอนว่าหากมีการยกกระชับช่วงแก้มแล้ว ก็มักจะจัดการกับบริเวณอื่นๆ ไปพร้อมกัน เช่น หน้าผาก หางตา ใต้คาง เป็นต้น การทำแบบนี้สามารถช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัยได้มากถึง 10 ปีเลยทีเดียว ศัลยกรรมรูปร่าง : หลักๆ เน้นไปที่การกำจัดไขมันส่วนเกิน ถ้ามีไขมันสะสมในปริมาณที่ไม่มากนัก การดูดไขมันค่อนข้างตอบโจทย์ได้ดี เพราะใช้เวลาน้อย ไร้แผลผ่าตัดและสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้เลย...
- ศัลยกรรมความงาม

การศัลยกรรมยกกระชับแก้ม และสารเติมเต็มโหนกแก้ม

0
ศัลยกรรม แก้ม แก้ม คือส่วนเนื้อที่เป็นกระพุ้งอยู่บริเวณในหน้าทั้ง 2 ข้างถัดจากตาลงมา ซึ่งใบหน้าจะแลดูสวยด้วยองค์ประกอบบนในหน้า เช่น ดวงตา คิ้ว ปาก จมูก แก้ม คาง แล้วยังต้องมีรูปทรงและขนาดที่สวยงามและเหมาะสมกับใบหน้าแล้ว ลักษณะโดยรวมของรูปหน้าก็มีส่วนสำคัญที่ส่งให้ใบหน้าแลดูสวยโดดเด่นขึ้นด้วยเช่นกัน โดยการ ศัลยกรรม ลักษณะของรูปหน้าที่ทำให้ดูดีและได้รับความนิยมย่อมเป็นรูปหน้าที่มีลักษณะเรียว ใบหน้ารูปไข่หรือใบหน้าที่มีคางเป็นรูปวีเชฟ (V- Shave) จัดเป็นรูปหน้าที่มีลักษณะที่สวยงาม ปัญหาที่ทำให้รูปหน้ามีลักษณะไม่สวย 1.แก้มป่องจากไขมัน ลักษณะของ แก้ม ป่องเกิดขึ้นจากการที่บริเวณแก้มมีไขมันสะสมอยู่ ซึ่งลักษณะของไขมันสะสมอยู่ในบริเวณแก้มสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1.1 ไขมันที่บริเวณใต้ผิว เป็นไขมันที่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหาร จะเปลี่ยนแปลงตาปริมาณของน้ำหนักตัว ซึ่งไขมันชนิดนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและจะลดลงเมื่อน้ำหนักตัวลดลง 1.2ไขมันที่บริเวณใต้กระพุ้งแก้ม (Buccle Fat) เป็นไขมันที่อยู่ในส่วนใต้กล้ามเนื้อของกระพุ้งแก้ม เป็นไขมันที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ตามลักษณะทางกรรมพันธุ์ เช่น คนที่มีพ่อแม่ใบหน้าอ้วนกลม ลูกก็จะมีไขมันที่บริเวณนี้มากทำให้ใบหน้าอ้วนกลมมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ ซึ่งไขมันในส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงตามน้ำหนักตัวน้อยมาก ดังนั้นบางคนมีใบหน้าที่กลมต่อให้ทำการลดน้ำหนักมากขนาดไหน ใบหน้าก็ยังคงกลมเช่นเดิม การสะสมของไขมันทั้งสองแบบในบริเวณแก้มจะทำให้แก้มป่อง ส่งผลให้ลักษณะโดยรวมของรูปหน้าแลดูกลม แก้มยุ้ย จนรูปหน้าอ้วนกลมเป็นพระจันทร์เต็มดวง 2.แก้มตอบ ร่องแก้มลึก เนื่องจากมีเนื้อและไขมันที่บริเวณ แก้ม มีปริมาณที่น้อย ทำให้บริเวณแก้มมีการยุบลงไปคล้ายกับมีหลุมขนาดเล็กอยู่บนใบหน้าทั้งสองข้าง ทำให้รูปหน้าแลดูไม่สดใส โทรมไม่น่ามอง 3.แก้มเหี่ยวย่น เนื่องจากการเสื่อมของผิวหนังและชั้นไขมันที่บริเวณแก้มลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้แก้มเกิดการเหี่ยวย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ใบหน้าแลดูแก่มีอายุสูง จะพบว่าแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้ใบหน้าแลดูไม่น่ามอง ซึ่งการแก้ไขปัญหาแก้มเพื่อให้มีรูปหน้าตามต้องการมีวิธีการที่แตกต่างกัน >> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ ! >> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ วิธีการแก้ปัญหารูปหน้าตามลักษณะของปัญหา 1.แก้มใหญ่จากไขมัน ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณ แก้ม สามารถทำการ ศัลยกรรม เพื่อลดขนาดได้ ตามความเหมาะสมซึ่งการศัลยกรรมมีดังนี้ 1.1 การฉีดยาสลายไขมัน คือการใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการสลายไขมันให้กลายเป็นของเหลว โดยกลไกการทำงานของตัวยา คือ ตัวยาจะมีคุณสมบัติเข้าไปทำลายชั้นผนังเซลล์ของไขมัน ( Fat cell wall) ให้เกิดแตกตัวออกจากกัน ทำให้ของเหลวที่อยู่ด้านในเซลล์ไหลของมาในรูปของของเหลวหรือไขมันเหลว ( Lipid Fat ) ซึ่งไขมันเหลวนี้ร่างกายจะทำการขับออกทางเหงื่อ ปัสสาวะและทางอุจจาระนั่นเอง วิธีการฉีดยาสลายไขมัน แพทย์จะทำการฉีดสารดังกล่าวไปยังบริเวณที่ต้องการลดปริมาณของไขมันด้วยเข็มฉีดยา เรียกเทคนิคนี้ว่า “เมโสเธอราพี (Mesotherapy)” ซึ่งตัวยาที่นิยมนำมาใช้ในการฉีดเพื่อสลายไขมัน เช่น Carboxytherapy, Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids ,Minerals เป็นต้น 1.2 การเลเซอร์สลายไขมัน ( Laser Lipolysis ) เป็นการสลายไขมันด้วยการฉายแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,444 นาโนเมตร โดยการนำท่อเลเซอร์ขนาดเล็ก ๆ ที่มีขนาดประมาณ 1 นาโนเมตรเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน แล้วจึงทำการปล่อยแสงเลเซอร์เข้าไปสู่บริเวณไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวกลายเป็นของไขมันเหลว เมื่อไขมันกลายเป็นของเหลวแล้ว แพทย์จะทำการดูดไขมันเหลวออกมาหรือไม่ทำการดูดออกมาแต่ให้ร่างกายค่อย ๆ ทำการขับออกมาเองตามธรรมชาติก็ได้ การใช้เลเซอร์สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินที่บริเวณใต้กระพุงแก้มได้อย่างถาวร และไม่ทำให้ผิวหนังเป็นคลื่นในบริเวณทำการสลายไขมันไปอีกด้วย 1.3 การผ่าตัดไขมันใต้กระพุ้งแก้ม ( Buccal Fat Pad Removal ) การผ่าตัดไขมันเพื่อลดขนาดของ แก้ม นับเป็นการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้กระพุงแก้ม ( Buccal Fat ) ในปริมาณสูง ซึ่งการผ่าตัดจะนำถุงไขมันที่อยู่ในบริเวณใต้กระพุงแก้มออกมา ทำให้กระพุงแก้มมีขนาดที่เล็กลง จึงสามารถเปลี่ยนจากใบหน้ารูปกลมโตให้กลายเป็นใบหน้ารูปตัววีได้ โดยการผ่าตัดจะทำการผ่าตัดเปิดแผลที่ขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรในบริเวณฟันกรามที่ภายในช่องปาก เพื่อนำถุงไขมันที่อยู่ใต้กล้ามเนื้อกระพุงแก้มออกมา แล้วจึงทำการเย็บแผล หลังจากที่ทำการผ่าตัดช่วงแรกใบหน้าอาจจะมีการบวมเล็กน้อย ควรทำการประคบเย็นทันทีหลังการผ่าตัด...
- ศัลยกรรมความงาม

การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม

0
ศัลยกรรม ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม เพื่อเสริมความงามเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มของผู้หญิง ผู้ชายและเพศที่สามต่างให้ความสนใจและเข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรมปาก ศัลยกรรมจมูก ศัลยกรรมคิ้ว ศัลยกรรมคาง การทำศัลยกรรมเปลี่ยนรูปทรงทั้งใบหน้าหรือการทำศัลยกรรมตามอวัยวะส่วน ๆ ต่างของร่างกายให้มีรูปทรงตามที่ต้องการ สามารถสร้างความมั่นใจ สร้างบุคลิกภาพที่ดี เป็นการเปิดโอกาสทางด้านสังคม การงานและอาชีพให้กับตนเองได้ ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมเราควรที่จะทำการศึกษาข้อมูล เลือกวิธีการทำศัลยกรรม สถานที่ทำศัลยกรรมและแพทย์ผู้ให้การบริการในการทำศัลยกรรมให้ดี เพื่อที่ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาตามที่ตนเองต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผลของการศัลยกรรมออกมาดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรม การเตรียมตัวก่อนทำ ศัลยกรรม ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมที่จะรับการผ่าตัดหรือการศัลยกรรมที่เกิดขึ้น ลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ทำการศัลยกรรม แต่การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นหลังการทำศัลยกรรมหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เกิดการอักเสบ แผลฉีกขาดหรือเกิดรอยแผลเป็นที่สังเกตเห็นชัดเจน แต่ถ้าทำการดูแลตนเองหลังจากการทำศัลยกรรมไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้วย่อมทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นหลังจากการทำศัลยกรรมได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยย่อมส่งผลเพียงแค่ทำให้แผลที่เกิดขึ้นหายช้าต้องอาศัยเวลาในการผักฟื้นนานขึ้น แต่ถ้าผิดพลาดอย่างมากอาการแทรกซ้อนหลังการทำศัลยกรรมย่อมมีความรุนแรงถึงขนาดต้องทำการศัลยกรรมซ้ำอีกครั้งเพื่อตกแต่งหรือปรับปรุงการศัลยกรรมให้ดีขึ้น หรืออาจร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังการศัลยกรรมจึงมีความสำคัญมาก >> การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง >> รู้หรือไม่ ผู้ชายก็ทำศัลยกรรมได้  การดูแลตัวเองหลังจากศัลยกรรม 1.การประคบเย็น (Cold compression) การประคบเย็น คือ การประคบด้วยความเย็นจัด ซึ่งการประคบเย็นควรเริ่มทำหลังจากที่ทำการ ศัลยกรรม มาทันที เพราะความเย็นจากการประคบเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดที่บริเวณดังกล่าวเกิดการหดตัว และเลือดมีการแข็งตัวทำให้ไหลช้าลด จึงสามารถช่วยลดการไหลของเลือดที่บริเวณที่เกิดแผล และยังช่วยลดอาการบวมเนื่องจากเลือดไหลไปยังบริเวณแผลได้น้อย จึงทำให้อาการอักเสบของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้นน้อยลงนั่นเอง ผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวจึงมีอาการบวมน้อย สามารถฟื้นตัวได้เร็ว การศัลยกรรมที่เกิดขึ้นก็จะได้รูปทรงตามที่ต้องการ วิธีการประคบเย็น เริ่มจากนำอุปกรณ์ให้ความเย็น เช่น ผ้ามาห่อน้ำแข็ง เย็น (Hot cold pack) กระเป๋าน้ำเย็น ผ้าเย็น เป็นต้น นำอุปกรณ์มาประคบที่บริเวณทำศัลยกรรม เช่น คาง แก้ม จมูก เต้านม เป็นต้น การประคบเย็นควรประคบในช่วง 3 วันแรกหรือจนอาการบวมเริ่มลดลง โดยให้ทำการประคบวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที และในระหว่างที่ทำการประคบเย็นถ้าอุณหภูมิของเริ่มอุ่นขึ้นก็ควรทำการเปลี่ยนให้มีความเย็นคงที่ในการประคบเย็น เพื่อความเย็นจะได้คงที่และได้ผลเต็มที่ 2. การประคบร้อน (Warm compression) การประคบร้อน คือ การประคบด้วยอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียสแต่ไม่เกิน 45 องสาเซลเซียส เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือเป็นแผลผุพองได้ การประคบร้อนจะประคบหลังจากทำ ศัลยกรรม ประมาณ 4-5 วันหรือหลังจากทำการประคบเย็นแล้วจนแผลและบริเวณทำการศัลยกรรมมีอาการบวมน้อยลง ความร้อนจากการประคบร้อนจะเข้าไปทำการขยายหลอดเลือดส่งผลให้เลือดสามารถหมุนเวียนได้ดีขึ้น ช่วยคลายกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและเนื้อเยื่อที่บริเวณทำการศัลยกรรม เมื่อเส้นเลือดมีการขยายตัวเลือดจึงสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่บริเวณแผล ทำให้เนื้อเยื่อที่มีการซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น แผลจึงหายกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์ประคบร้อน เช่น ถุงน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน เป็นต้น นำไปประคบที่บริเวณทำศัลยกรรมควรทำวันละ 2-3 รอบ โดยประคบรอบละประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง โดยแบ่งประคบเป็นครั้ง ๆ ละ 5 – 10 นาที อย่าทำการประคบร้อนต่อเนื่อง 20 นาที เพราะความร้อนจะทำให้ผิวหนังเกิดผุพองได้ 3.รับประทานอาหารอ่อน อาหารสำหรับผู้ที่ทำการ ศัลยกรรม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติอ่อนไม่เผ็ด ไม่เค็มหรือหวานจัด และควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ต้องทำการเคลื่อนไหวอวัยวะภายในปากมาก เช่น ต้มจืด โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป เป็นต้น เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการเคี้ยวหรือการกระทบกันของฟันจะทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นแรงสะเทือนจนเกิดการอักเสบ หรืออาหารรสจัดโดยเฉพาะรสเผ็ดจัดจะทำให้แผลเกิดความร้อนจากรสเผ็ดจะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลจากการผ่าตัดมีโอกาสที่จะบวมมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ทำการศัลยกรรมคาง ปาก จมูกที่มีการเปิดแผลภายในปากจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย เพราะแผลในปากมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้มาก เนื่องจากมีความชื้นและต้องสัมผัสกับน้ำลาย อาหารอยู่ตลอดเวลานั่นเอง การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ 4.นอนให้หัวสูง ท่านอนที่เหมาะสมกับผู้ที่เข้ารับการ ศัลยกรรม ที่บริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น ใบหน้า...
- ศัลยกรรมความงาม

การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง อ่านจบได้ข้อมูลเพิ่มเติมแน่นอน

0
คลินิกศัลยกรรม การทำศัลยกรรมที่ดีสามารถสร้างโอกาสให้กับตนเอง ทั้งทางด้านสังคมและจิตใจ แต่หลายครั้งที่พบว่าการทำศัลยกรรมที่เกิดขึ้นในสถานที่บริการหรือ คลินิกศัลยกรรม บางแห่ง แทนที่จะสร้างความสวยงามให้กับผู้เข้ารับการศัลยกรรมกลับสร้างความเสียหาย ส่งผลให้ต้องสูญเสียความงามตามธรรมชาติ สูญเสียเวลา สูญเสียเงินทองเป็นจำนวนมาก และบางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตก็มี ปัจจัยที่มีส่วนในการทำศัลยกรรมให้ประสบผลสำเร็จ 1.ความพร้อมของร่างกายในการเข้ารับการผ่าตัด เช่น อายุ สุขภาพ เป็นต้น 2.ความชำนาญและประสบการของแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรม 3.สถานที่ในการทำศัลยกรรม ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงการเลือก คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะปัจจุบันนี้มีสถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการทำศัลยกรรมเกิดขึ้นมากมาย แต่ละคลินิกก็มีการโฆษณาและจัดโปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้า แล้วหลักในการเลือกว่าจะเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิกมีดังนี้ >> เช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้นก่อนศัลยกรรม >> การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ หลักในการเลือกเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิก 1.มีใบอนุญาตประกอบการ คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมต้องมีใบอนุญาตประกอบการ จากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการยืนยันว่าคลินิกมีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าคลินิกดังกล่าวมีความพร้อมในการให้บริการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ซึ่งการตรวจสอบว่าคลินิกดังกล่าวเป็นคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการนำชื่อคลินิกและเลขใบอนุญาต 11 หลักที่เขียนอยู่ในใบอนุญาตประกอบการ มาตรวจสอบที่เว็บไซต์ http://privatehospital.hss.moph.go.th หรือติดต่อไปที่หมายเลข 02-1937000 กับ 02-1937999 ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดให้บริการว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ นอกจากการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบแล้ว ควรสังเกตลักษณะโดยทั่วไปของคลินิกด้วย ซึ่งลักษณะของคลินิกศัลยกรรมที่ดี ต้องมีที่ตั้งชัดเจน พื้นที่ภายในห้องตรวจ ห้องผ่าตัด หรือพื้นที่โดยรวมต้องสะอาด อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องที่ใช้ในการตรวจ การผ่าตัดสะอาด มีการฆ่าเชื้อและการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน รวมถึงต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการกู้ชีพ ตรวจวัดสภาพความพร้อมของคนไข้ก่อนเข้ารับการศัลยกรรม ในขณะที่ทำที่ทำการศัลยกรรมและหลังการทำศัลยกรรม เช่น อุปกรณ์วัดความดันโลหิต อุปกรณ์ตรวจสอบคลื่นหัวใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนและช่วยเหลือคนไข้ในยามฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที 2.ศัลยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ศัลยแพทย์ที่ทำหน้าการผ่าตัดศัลยกรรมต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากสภาวิชาชีพของแพทย์หรือ “แพทยสภา” ซึ่งแพทย์ที่ทำการรักษาหรือทำการศัลยกรรมทุกคนต้องผ่านกระบวนการ การประเมินความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ขั้นพื้นฐาน การประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแพทย์คลินิก การประเมินทางด้านทักษะและทางด้านหัตถการทางคลินิก ก่อนที่ทางสภาวิชาชีพของแพทย์จะทำการออกใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้กับแพทย์ท่านนั้น ดังนั้นใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจึงเป็นใบที่สามารถยืนยันว่าแพทย์มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งในใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะระบุชื่อ นามสกุล รูปแพทย์และหมายเลขของใบประกอบโรคศิลป์ของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งส่วนมากแล้วทุก คลินิกศัลยกรรม จะทำการติดใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ไว้ที่หน้าห้องหรือหน้าคลินิก แต่ถ้าไม่มีติดไว้เราสามารถขอดูใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ได้ และนำหมายเลขใบประกอบวิชาชีพดังกล่าวไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารจริงหรือปลอมได้ที่เว็บไซต์ http://www.tmc.or.th/check_md เพื่อความมั่นใจได้ 3.ตรวจสอบยี่ห้อหรือวัสดุที่ใช้ในการทำศัลยกรรม การศัลยกรรมที่จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมเข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม การเสริมหน้าผาก การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) การฉีดโบท็อก (Botox) ก่อนที่จะทำศัลยกรรม ควรทำการตรวจสอบยี่ห้อของวัสดุที่นำใช้ว่าได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากกระทรวงอาหารและยา (อย.) หรือไม่ โดยการนำชื่อยี่ห้อของวัสดุดังกล่าวไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/Dserch.asp เนื่องจากการได้รับรองจากกระทรวงอาหารและยาเป็นการยืนยันเบื้องต้นได้ว่าวัสดุดังกล่าวไม่เป็นอันตรายหรือมีพิษต่อร่างกาย จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน การติดเชื้อหรือการแพ้ นอกจากนั้นการทราบยี่ห้อของวัสดุที่นำมาใช้ ยังทำให้เราทราบว่าวัสดุดังกล่าวมีองค์ประกอบหรือผลิตจากวัสดุใด ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้สารที่มีอยู่ในวัสดุดังกล่าวได้ 4.ราคาที่เหมาะ สินค้าทุกชนิดจะมีราคามาตรฐานอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขนาดไหน ราคาของสินค้าดังกล่าวถ้ามีคุณภาพจริงก็จะไม่ถูกลงเกินครึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นการเลือกใช้บริการคลินิกเพื่อเข้ารับการศัลยกรรมไม่ควรเลือกที่มีราคาถูกเกินไป เพราะบางครั้งราคาก็สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของวัสดุ บริการและแพทย์ที่นำมาให้บริการศัลยกรรมจากคลินิกนำมาใช้ได้ จึงควรเลือกใช้บริการ คลินิกศัลยกรรม ที่มีราคาสมเหตุสมผลไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ หรือโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมที่ทางคลินิกจัดไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่ให้เน้นเรื่องคุณภาพของวัสดุ ขั้นตอนการทำงานของแพทย์และแพทย์ผู้ให้บริการในการทำการศัลยกรรมมากกว่าว่าคุ้มค่ากับบริการและผลของการศัลยกรรมที่ได้รับหรือไม่ แต่ก็ไม่เลือกที่ราคาสูเกินความจริงด้วยคิดว่าของแพง คือ ของดี เพราะบางคลินิกทำการตั้งราคาที่สูงมาก และทำการโฆษณาว่าวัสดุที่ใช้เป็นของดี จนผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมหลงเชื่อและไม่ยอมตรวจสอบให้ดีก่อน 5.พบแพทย์ก่อนเข้ารับการทำศัลยกรรม การเข้ารับบริการศัลยกรรมใน คลินิกศัลยกรรม บางแห่งผู้เข้ารับการศัลยกรรมทำการคุยผ่านนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่ให้บริการหน้าเท่านั้น เพื่อทำความเข้าใจและระบุความต้องการของคนไข้ว่าต้องการทำศัลยกรรมอวัยวะส่วนใด และต้องการให้มีรูปร่างลักษณะอย่างไร โดยที่คนไข้ไม่ได้เข้าพบแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรมผู้ทำการศัลยกรรมด้วยตนเองงหรือทำการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจทำให้แพทย์เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทำให้ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาไม่ตรงตามที่ต้องการ ดังนั้นก่อนที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะทำการศัลยกรรมทุกครั้งต้องเข้าไปพูดคุยกับแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมก่อนทุกครั้ง เพื่อทำการปรึกษา แจ้งจุดประสงค์ ตำแหน่งและลักษณะรูปทรงทีต้องการจากการทำศัลยกรรมและเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสงสัยอย่างละเอียด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมจากการสื่อสารผ่านบุคคลอื่น และอีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือเมื่อต้องเข้ารับการทำศัลยกรรมควรเป็นทำการผ่าตัดด้วยแพทย์คนเดิมที่ได้พูดคุยและตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก ไม่ควรคุยกับแพทย์ท่านหนึ่งแล้ว ทำการผ่าตัดศัลยกรรมกับแพทย์อีกท่าน โดยที่ทาง คลินิกศัลยกรรม ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเพื่อให้เราทำการพูดคุยกับแพทย์คนดังกล่าวก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการศัลยกรรมนั่นเอง 6.แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ แพทย์ผู้ให้บริการควรเลือกเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมตรงตามอวัยวะที่เราต้องการทำศัลยกรรม เพราะว่าแพทย์แต่ละท่านจะมีความเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมแต่ละตำแหน่งไม่เหมือนกัน บางท่านเชี่ยวชาญในการเสริมจมูก บางท่านเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมคิ้ว ซึ่งความเชี่ยวชาญจะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาทำให้เมื่อศัลยกรรมออกมาสมดุล เหมาะสมกับใบหน้าของเรา ทำให้ใบหน้าโดดเด่นน่ามองมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกแพทย์ในยุคปัจจุบันสามารถดูได้จากผลงานที่ผ่าน และควรฟังจากปากผู้ที่เคยเข้ารับบริการจากแพทย์และคลินิก แต่อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาของพรีเซนเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแบรนด์ของ คลินิกศัลยกรรม ดังกล่าวเท่านั้น นอกจากนั้นการคุยกับแพทย์สามารถช่วยเพิ่มความเข้าใจระหว่างแพทย์กับคนไข้ถึงจุดประสงค์ในการศัลยกรรมแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงทัศนคติและความรู้เบื้องต้นของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้กับเราด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำการพบแพทย์เราควรหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่ต้องการทำไว้ก่อน เพื่อที่จะไม่โดนหลอกจากมิจฉาชีพบางคนที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์แต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงคนที่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์มาก่อนเท่านั้น นี่คือหลักการเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าการทำศัลยกรรมที่ต้องการจะเป็นการศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยหรือการศัลยกรรมที่ต้องมีการผ่าตัดเล็ก ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องทำการเลือกคลินิกที่ดีและปลอดภัยในการทำศัลยกรรม...
- ศัลยกรรมความงาม

การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ ไม่ควรพลาดที่จะอ่าน

0
การทำศัลยกรรม ปัจจุบันนี้ การทำศัลยกรรม นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากการทำศัลยกรรมสามารถเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูโดดเด่น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง  ตามค่านิยมของสังคมปัจจุบันที่คนสวย คนหล่อจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าคนที่ไม่สวยไม่หล่อ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ต้องการได้รับการยอมรับจากสังคม ต้องการให้คนส่วนมากให้ความสำคัญ การชมเชยหรือการชื่นชม จึงให้ความสนใจกับการศัลยกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งการศัลยกรรมใช่ว่าจะสามารถที่จะทำได้ทุกช่วงอายุ เพราะว่าการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสมหรือทำในช่วงอายุที่อวัยวะยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย คือ ผลเสียจากการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม 1.อวัยวะเติบโตช้าลง การทำศัลยกรรม ด้วยการผ่าตัดเสริมอวัยวะที่ต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม เป็นต้น การวางวัสดุหรือการฉีดวัสดุเข้าไปเพื่อเสริมอวัยวะให้ดูใหญ่หรือสูงขึ้น วัสดุดังกล่าวจะไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณดังกล่าวทำให้เนื้อเยื่อและกระดูกมีการเจริญเติบโตทกว่าที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุ เมื่ออวัยวะเจริญเติบโตได้ช้าลงย่อมส่งผลให้ขนาดและรูปร่างของอวัยวะไม่สมดุลกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายอีกด้วย เช่น การเสริมจมูกเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี เมื่ออายุ 18 ปีซึ่งใบหน้าจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่ ใบหน้าจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่จมูกกลับมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดของใบหน้าทำให้จมูกแลดูมีขนาดที่เล็กแลดูไม่สมดุลและสวยงามนั่นเอง >> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ ! >> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ 2.รูปทรงไม่สวย เนื่องจากอวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างต่อและเติบโตสูงสุดที่อายุประมาณ 18-20 ปี ซึ่งถ้าทำการศัลยกรรมก่อนที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ย่อมทำให้รูปทรงที่เกิดขึ้นจาก การทำศัลยกรรม มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะวัสดุที่ทำการเสริมเข้าไปไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตตามกระดูกหรือเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้รูปทรงที่ทำศัลยกรรมผิดจากที่ต้องการไป หรือการผ่าตัดกระดูกเพื่อดึงหรือปรับรูปทรงของใบหน้า เมื่อกระดูกเจริญเติบโตขึ้น รูปทรงของใบหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไม่เป็นรูปตามที่ได้กำหนดไว้ในครั้งแรกหลังการทำศัลยกรรม 3.เจ็บตัวซ้ำซ้อน เมื่อศัลยกรรมที่ทำเกิดการผิดรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตมากขึ้น ส่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ การทำศัลยกรรม ซ้ำเพื่อปรับปรุงรูปทรงของการศัลยกรรมให้เหมาะสมกับโครงสร้างของอวัยวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งบางครั้งการศัลยกรรมซ้ำ อาจจะไม่สามารถปรับปรุงให้อวัยวะกลับมาสวยงามหรือมีขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างได้ เหมือนในการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าอวัยวะดังกล่าวมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เนื่องจากการกดทับของวัสดุที่ใช้ทำการศัลยกรรมในครั้งแรกหรือกว่าจะสามารถทำให้อวัยวะกลับมาสวยงามตามที่ต้องการ ผู้ป่วยต้องทำการผ่าตัดหลายครั้งนำมาซึ่งความเจ็บปวดซ้ำซ้อน 4.เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น การทำศัลยกรรม เพื่อแก้ไขมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าการแก้ไขจะต้องทำการนำวัสดุที่เสริมครั้งแรกออก แล้วจึงจะสามารถทำการใส่วัสดุใหม่เพื่อเสริมเข้าไปแทนที่ได้ ซึ่งบางครั้งเมื่อนำวัสดุเก่าออกแล้วจะไม่สามารถทำการเสริมหรือตกแต่งอวัยวะได้ในทันที ต้องทำการพักฟื้นเพื่อให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและกระดูกที่บริเวณดังกล่าวให้กลับสู่สภาวะปกติก่อน ทำให้ผู้เข้ารับการศัลยกรรมต้องทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ผ่าตัดนำออกและผ่าตัดนำเข้า ซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าหรือสามเท่าหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการผ่าตัด และระยะในการพักฟื้นก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น 2-3 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ จะพบว่าการศัลยกรรมในช่วงวัยที่ไม่เหมาะสม คือ การศัลยกรรมในช่วงอายุที่อวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องการทำศัลยกรรมควรเลือกทำตามช่วงวัยให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของอวัยวะดังกล่าว ซึ่งช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม โดยแบ่งตามอวัยวะของร่างกายดังนี้ การทำศัลยกรรม เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากช่วยเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ให้ดูโดดเด่น และสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง ช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม  1.กระดูกหน้าผาก ( Frontal bone ) ช่วงอายุสำหรับ การทำศัลยกรรม หน้าผากสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1.1การเสริมหน้าผาก ด้วยวัสดุเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่มีหน้าผากไม่เรียบเนียน หน้าผากแคบหรือหน้าผากมีลักษณะแบน การเสริมหน้าผากจะทำการเสริมวัสดุเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งวัสดุที่นิยมนำมาใช้ เช่น ซีเมนต์เชื่อมกระดูก ( Bone cement ) ซิลิโคนแผ่น Gore- Tex ( e-PTFE ) เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากหน้าผากควรมีอายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะช่วงอายุดังกล่าวกระดูกหน้าผากจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่แล้ว เมื่อทำการเสริมหน้าผากที่ช่วงอายุนี้จะทำให้ลักษณะของหน้าผากที่ได้จะมีรูปทรงที่คงที่ 1.2 กรอหน้าผาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะของสันโหนกคิ้วสูงมากหรือบริเวณหน้าผากบางส่วนมีความสูงมากจนทำให้หน้าผากมีผิวที่ไม่เรียบเนียน การกรอหน้าผากคือการกรอเอากระดูกส่วนที่เป็นผิวหน้าออกไปทำให้กระดูกส่วนที่นูนหรือสูงออกมาราบเนียน ซึ่งการกรอกระดูกควรทำให้ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป 1.3 ดึงหน้าผากและการยกคิ้ว คือ การดึงเนื้อบริเวณหน้าผากให้ตึง จุดประสงค์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงอายุที่ทำการดึงหน้าผากควรมากกว่า 35 ปี เพราะช่วงอายุดังกล่าวผิวหนังที่บริเวณหน้าผากมีการเสื่อมสมภาพทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นชนิดถาวรขึ้น ซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยการทาครีมได้ จึงจัดเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำการศัลยกรรมดึงหน้าผากและยกคิ้ว 2.การศัลยกรรมดวงตา (Eyelid Surgery) ดวงตาและบริเวณรอบดวงตาจะมีขนาดที่เจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 17-18 ปี ซึ่งการศัลยกรรมดวงตา ไม่ว่าจะเป็นการทำตาสองชั้นด้วยการกรีด การเย็บชั้นหนักตา การเปิดหัวตาหรือหางตา การนำเนื้อหรือไขมันที่บริเวณหนังตาออกเพื่อให้สังเกตชั้นตาได้ชัดเจนขึ้น ควรทำหลังจากช่วงอายุ 18 ปี เนื่องจากทำแล้วดวงตาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดเพิ่มขึ้น...
- ศัลยกรรมความงาม

ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

0
หน้าผาก ไรผม เวลาที่เรานึกถึง การศัลยกรรม ตกแต่งเพื่อเสริมความงามบนใบหน้า อันดับแรกๆ ที่นึกถึงก็จะมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไล่ไปตั้งแต่เสริมจมูก ดวงตา ริมฝีปาก รูปหน้า รวมไปถึงการจัดการกับส่วนเกินต่างๆ เช่น เหนียงใต้คาง ถุงใต้ตา เป็นต้น แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะติดอันดับความนิยมในการศัลยกรรมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ส่วนบริเวณ หน้าผาก ไรผม หากเป็นการแต่งหน้าแบบมืออาชีพจะมีการ Shading เพื่อสร้างกรอบหน้าตรงส่วนของหน้าผากและระบายสีเพิ่มความเข้มให้กับแนวไรผม เพราะการมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ที่หลายคนต้องการด้วย การทำศัลยกรรมบริเวณ หน้าผาก กับแนว ไรผม จึงคล้ายๆ กับการยืดผมถาวรหรือดัดขนตาถาวรนั่นเอง เมื่อผ่านงานศัลยกรรมไปแล้วก็ไม่ต้องใช้เมคอัพเข้ามาช่วย ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายหลักของการทำก็คือสร้างกรอบหน้าที่ดีที่สุดสำหรับคนๆ นั้นขึ้นมา ยิ่งถ้าได้รูปหน้าในอุดมคติซึ่งก็คือหน้ารูปไข่ก็ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างที่สุดนั่นเอง ผู้ที่เหมาะกับการศัลยกรรมหน้าผากและไรผม อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจริงๆ หรือเป็นความต้องการที่มากขึ้นก็ตามแต่ เดี๋ยวเราจะเจาะไปทีละประเด็น ดังนี้ >> ศัลยกรรมปลูกผม มันคืออะไร ปลูกแล้ว มันได้ผลจริง ๆ หรือ  >> 3 วิธีปลูกผมถาวร แบบธรรมชาติ คนที่มีหน้าผากแบน : โดยปกติแล้วส่วนของ หน้าผาก เมื่อมองด้านข้างจะต้องเห็นเป็นเส้นโค้งนูนต่ำ ตั้งแต่แนว ไรผม มาจรดแนวคิ้ว ใครที่มีหน้าผากแบนก็จะทำให้ใบหน้าขาดมิติที่ดีไป มองแล้วไม่มีชีวิตชีวา ซ้ำร้ายถ้าเป็นหนักมากก็จะดูแข็งจนน่ากลัวไปเสียอีก การปรับแต่งด้วยการเสริมส่วนโค้งให้กับหน้าผากจึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้ คนที่มีหน้าผากนูนมากไป : ไม่ใช่แค่คนที่ส่วนของ หน้าผาก แบนราบเท่านั้นที่มีปัญหา คนที่มีหน้าผากนูนโค้ง แต่มากเกินกว่าปกติก็ถือเป็นปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน หลายคนกลายเป็นปมเนื่องจากถูกล้อเลียนบ่อยครั้งก็มี เพราะยังไงเสียหน้าผากนูนก็มองเห็นถึงความผิดปกติได้ง่ายกว่าหน้าผากแบน กรณีนี้ก็ต้องใช้การกรอหน้าผากส่วนเกินออกไป คนที่มีหน้าผากแคบมากไป : คนที่มีหน้าผากแคบส่วนใหญ่ก็มาจากลักษณะทางพันธุกรรมนั่นเอง เราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการเสริมหน้าผากเข้าไปเพิ่มด้วยหลากหลายวิธี แล้วแต่ว่าต้นทุนในส่วน หน้าผาก ของใครมีเท่าไร จะทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากที่สุด คนที่มีแนวไรผมอยู่สูงกว่าปกติ : อันนี้เป็นลักษณะที่มีมาตั้งแต่เกิด เมื่อ ไรผม อยู่สูงก็ทำให้ดูคล้ายคนศีรษะล้าน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้อยู่ดี โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีแนวไรผมอยู่สูงก็จะยิ่งสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการศัลยกรรมไรผมด้วยการปลูกผมเพิ่มอีกที่ด้านหน้า พร้อมกับการออกแบบแนวกรอบหน้าไปพร้อมกัน คนที่มีปัญหาศีรษะล้าน : นี่เป็นอีกกรณีที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ เพราะเดิมทีมีผมดกดำดีอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีปัญหาเส้นผม ทำให้ผมเริ่มบางขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดด้านหน้าก็ไม่มีผมขึ้นมาให้เห็นอีกเลย แบบนี้การศัลยกรรม ไรผม ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่จะต้องไม่ใช่เป็นรูปแบบที่มีอาการหนักมาก เช่น ผมบางไปมากกว่าครึ่งศีรษะแล้ว แบบนั้นก็จะปลูกผมที่จริงจังมากกว่านี้ และต้องผ่านการวิเคราะห์กันก่อนด้วยว่าจะแก้สถานการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน วิธีการศัลยกรรมหน้าผาก เมื่อเจาะจงมาที่กรณีของการศัลยกรรม หน้าผาก แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบใดก็ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเลือกการศัลยกรรมในรูปแบบไหน จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจวิเคราะห์และแนะนำแนวทางที่เป็นไปได้เสียก่อน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากก็มีหลากหลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดไขมัน : วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายนักก่อนการทำศัลยกรรม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวก็รวดเร็วด้วย เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีส่วนเว้าของ หน้าผาก มากเท่าไรนัก กระบวนการจะเริ่มที่การดูดไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แล้วนำมาฉีดเข้าที่บริเวณหน้าผาก ข้อดีคือไม่มีอาการแพ้อย่างแน่นอน เพราะเป็นไขมันจากตัวผู้เข้ารับการรักษาเอง แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ มีโอกาสที่จะเกิดเป็นลอนคลื่นได้หากไขมันมีการจัดเรียงและสลายตัวไม่เท่ากัน ทำให้ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีกเพื่อปรับให้หน้าผากเรียบสวย หลังจากฉีดแล้วก็อาจมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย 2. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : ไม่ใช่แค่การลดเลือนริ้วรอยเท่านั้นที่เราใช้ประโยชน์จากฟิลเลอร์ การศัลยกรรม หน้าผาก เราก็ใช้ด้วยเหมือนกัน โดยจะเป็นสารฟิลเลอร์ประเภทที่มีความคล้ายกับคอลลาเจน เรียกว่า HA มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี มีข้อดีตรงที่ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อาการบวมช้ำหลังการทำน้อยมาก หลายคนไม่ต้องพักฟื้นเลยหลังการทำ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าสาร HA นั้นมีอายุประมาณ 1...
- ศัลยกรรมความงาม

การศัลยกรรมที่เหมาะสมสำหรับอาชีพต่างๆ

0
การศัลยกรรม การศัลยกรรม คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อเป็นการปรับให้เกิดความสมดุลแลดูสวยงามยิ่งขึ้น ในสมัยก่อนการทำ ศัลยกรรม ดูเป็นเรื่องไกลตัวและค่อนข้างเฉพาะเจาะจงกับคนบางกลุ่ม ทั้งยังเป็นเรื่องที่สังคมไม่ค่อยยอมรับกันเสียด้วยซ้ำไป บ้างก็มองว่าเป็นการกระทำที่อันตราย มีผลร้ายตามมาค่อนข้างมาก บ้างก็มองว่าคนที่เลือกทำศัลยกรรมนั่นเป็นคนที่มีอุปนิสัยแปลกประหลาด ซึ่งอันที่จริงไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย และเมื่อภาพรวมของมุมมองเกี่ยวกับศัลยกรรมเป็นแบบนี้ ทำให้มีข้อห้ามสำหรับการทำศัลยกรรมในบางอาชีพด้วย แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก การทำศัลยกรรมก็กลายเป็นเรื่องปกติ เฉกเช่นเดียวกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป อาจด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ ก็คือ สังคมเริ่มยอมรับและเข้าใจถึงกระบวนการของศัลยกรรมมากยิ่งขึ้น และนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าไปจากเดิมมากแบบก้าวกระโดด ทำให้การทำศัลยกรรมไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในประเด็นของการทำศัลยกรรมก็คือ มันกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์รูปแบบชีวิตได้ในมุมกว้างมากขึ้น จากเดิมที่ศัลยกรรมสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ใครบางคนสวยหล่อและดูดีมากขึ้นเท่านั้น ก็พัฒนามาเป็นมีผลต่อการดำเนินชีวิตในหลายๆ ด้าน เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว หน้าที่การงาน สุขภาพ ความมั่นใจ เป็นต้น โดยเฉพาะในด้านของการประกอบอาชีพ มีไม่น้อยเลยที่การทำศัลยกรรมช่วยให้เกิดโอกาสในเส้นทางอาชีพนั้นๆ กับคนที่สนใจได้ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะนึกถึงแต่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังมองไม่เห็นว่าอาชีพอื่นๆ ที่อาจไม่ต้องใช้ความงามเลย การทำศัลยกรรมจะมีความจำเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราจะลงรายละเอียดกันไปทีละอาชีพ ซึ่งน่าจะคลายความข้องใจทั้งหมดลงได้ และเชื่อเลยว่าบางอาชีพเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการทำศัลยกรรมนั้นมีความสำคัญเหมือนกัน อาชีพที่นิยมทำศัลยกรรม ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การศัลยกรรม กันให้ดีเสียก่อนว่าต้องมีขอบเขตที่จะกล่าวถึงอยู่ในระดับไหน การทำศัลยกรรม คือการเปลี่ยนแปลงอวัยวะของร่างกาย ด้วยแนวทางและเทคนิคทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การดูดของเหลวออกมา การฉีดสารบางอย่างเข้าไป รวมไปถึงการปลูกถ่ายต่างๆ ด้วย ดังนั้น การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างของอวัยวะที่ผิดปกติจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด ก็เรียกว่าการทำศัลยกรรมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าการทำศัลยกรรมนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าทุกการตัดสินใจทำอยู่บนความพอดีและมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ก็ไม่ต้องกังวลอะไรให้มากเกินไป >> การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ >> เช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้นก่อนศัลยกรรม อาชีพดารานักแสดง : สำหรับอาชีพนี้ คำอธิบายค่อนข้างชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่าทำไม การศัลยกรรม จึงจำเป็น ด้วยเหตุที่ต้องใช้รูปร่างหน้าตาเป็นเครื่องมือหลักในการทำมาหากิน และผู้คนทั่วไปก็ชื่นชอบที่จะมองอะไรสวยๆ งามๆ มากกว่า ดังนั้นดารานักแสดงที่มีความสวยอันเป็นเอกลักษณ์ หรือมีความสวยที่สมบูรณ์พร้อม ก็มักจะได้รับงานคุณภาพก่อนคนอื่นๆ ยิ่งถ้ามีพร้อมทั้งความสวยและฝีมือด้วยแล้ว รับรองว่าอยู่ในวงการนี้ไปอีกยาวนานแน่นอน สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การสูญเสียความเป็นตัวตน อย่างหนึ่งที่ใครบางคนจะได้เข้าสู่วงการบันเทิงก็มาจากเสน่ห์บางอย่างในตัวตนของเขานั่นเอง จริงอยู่ว่าความสวยงามอาจต้องปรับแต่งกันนิดหน่อย แต่อย่างที่เราได้เห็นกันก็คือ ดารานักแสดงหลายคนก็ศัลยกรรมเสียจนแฟนคลับแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเขาคือใคร แบบนี้ก็ถือว่าน่าเสียดาย ส่วนรูปแบบของการศัลยกรรมก็มีได้หลากหลายตามความต้องการของแต่ละคนเลย ไม่ว่าจะทำตาสองชั้น ปรับรูปหน้า เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก เป็นต้น อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน : จุดเด่นของอาชีพนี้คือรอยยิ้มที่สวยสดใสและบุคลิกที่ดูดี สง่าผ่าเผย การแต่งตัวก็เป็นอีกส่วนที่เน้นให้เห็นจุดบกพร่องต่างๆ ตามร่างกายได้ง่าย และหากมีตำหนิที่มากเกินไปแล้ว ก็คงไม่อาจให้ทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในระดับที่ก้าวหน้ามากขึ้นไปได้ นั่นหมายความว่าศัลยกรรมมีส่วนช่วยต่อการเติบโตในหน้าที่การงานของเส้นทางนี้ด้วยเหมือนกัน รูปแบบของการทำศัลยกรรมที่นิยมทำกันในหมู่นางฟ้าเหล่านี้ก็คือ การปรับแต่งรูปตาให้ดูน่ามอง อาจปรับให้ตาโตขึ้น ทำตาสองชั้น เป็นต้น ถัดมาเป็นการปรับแต่งรูปหน้า ใครที่มีกรามใหญ่เกินไป ก็ต้องตัดแต่งเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนโยนและเป็นมิตรมากขึ้น สุดท้ายคือการปรับแต่งส่วนของหน้าผาก เพราะสายการบินส่วนใหญ่มักจะให้เกล้าผมไปไว้ด้านหลัง เปิดส่วนหน้าผากทั้งหมด การมีหน้าผากได้รูปสวยจึงจำเป็นด้วย อาชีพผู้ประกาศข่าว : ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาชีพที่ต้องการความสวยหล่อโดยตรง แต่ยังต้องการความน่าเชื่อถือในระดับที่สูงพอสมควร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกาศข่าวจะต้องแต่งตัวดูดีอยู่เสมอ และการทำศัลยกรรมจะมาช่วยเพิ่มให้ผู้ประกาศข่าวมีลักษณะที่เฉลียวฉลาด มีเสน่ห์น่าชมน่าฟัง และมีความสุภาพเรียบร้อยขึ้นได้ อย่างแรกเลยเป็นส่วนของจมูก คนจีนใช้หลักการดูรูปร่างของจมูกเพื่อวิเคราะห์อุปนิสัยของบุคคลด้วย นวัตกรรมในเชิงศัลยกรรมก็จะมาช่วยทำให้ผู้ประกาศข่าวมีทรงจมูกที่ดีได้ ไม่บาน ไม่ใหญ่ และไม่งองุ้มจนเกินไป นอกจากจะดูน่าเชื่อถือขึ้นก็ยังเสริมให้ใบหน้าดูคมขึ้นด้วย อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นส่วนของดวงตา การสื่อสารที่ดีผู้ฟังจะต้องได้เห็นแววตาของผู้ส่งสารอย่างชัดเจน ใครที่มีตาตี่เล็กเกินไปก็ใช้ การศัลยกรรม เข้ามาช่วย อาชีพครูอาจารย์ : ใครว่าเรือจ้างลำนี้จะต้องดูเชย ดูโบราณคร่ำครึเสมอไป เพราะครูอาจารย์ รวมไปถึงบรรดาติวเตอร์ที่ต้องให้องค์ความรู้ดีๆ กับเด็กนักเรียน ก็ต้องมีเสน่ห์ดึงดูด น่ามอง จึงจะช่วยเสริมให้บรรยากาศการเรียนนั้นรื่นรมย์มากยิ่งขึ้น อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เมื่อผู้สอนมีหน้าตาที่เป็นมิตร ดูใจดีก็จะกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าที่จะเข้าหามากกว่า กลายเป็นได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทางด้านผู้สอนก็ดูดีขึ้น มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น ทางด้านผู้เรียนก็เปิดใจที่จะรับองค์ความรู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับ การศัลยกรรม ที่นิยมทำกันในกลุ่มอาชีพนี้ก็จะมี การลดเรือนริ้วรอยต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าช่วงวัยไม่ได้ทิ้งห่างจากผู้เรียนจนเกิดความห่างเหินมากเกินไป ต่อมาเป็นการแก้ไขรูปหน้าเพื่อให้ดูอ่อนโยนมากขึ้น ปิดท้ายด้วยการปรับรูปดวงตาเพื่อเสริมเสน่ห์ จะยกหางตา ทำตาโต ทำตาสองชั้นก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน การทำศัลยกรรม คือการเปลี่ยนแปลงอวัยวะของร่างกายที่ผิดปกติจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องแต่กำเนิด...
- ศัลยกรรมความงาม

เช็คลิสต์ก่อน ศัลยกรรม ( Surgery )

0
ศัลยกรรม ( Surgery ) จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) มักมาจากความต้องการพัฒนาตัวเองในด้านภาพลักษณ์ มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ การเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ไปจนถึงการแก้ปัญหาด้านความสวยความงามที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็เป็นแขนงหนึ่งของการรักษาในทางการแพทย์ และนวัตกรรมสมัยใหม่ก็ก้าวหน้าไปไกลมาก จึงมีตัวช่วยหลากหลายที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลได้ พร้อมทั้งมีความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วย เช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าจริงๆ แล้ว ศัลยกรรม ( Surgery ) มีความหมายตรงตามที่เราเข้าใจกันหรือไม่ หลายคนมองว่าการศัลยกรรม (surgery) ก็คือการผ่าตัดเพื่อปรับแต่งอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้วศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะเหล่านั้น โดยที่ทุกรูปแบบอันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ล้วนนับเป็นการศัลยกรรมด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัด การฉีด การดูดออก การปลูกถ่าย หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งข้อดีของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว คือช่วยปรับให้องค์ประกอบทั้งหมดภายในร่างกายเข้าที่เข้าทางและเปล่งประกายได้มากกว่าที่เคย หลายคนได้โอกาสดีๆ หลังจากศัลยกรรมไปแล้ว หลายคนมีความมั่นใจ กล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จึงถือได้ว่าการศัลยกรรมเป็นการลงทุนในตัวเองอย่างหนึ่งที่คุ้มค่า แต่ศัลยกรรมก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน ทั้งเรื่องความเสี่ยงจากการทำโดยตรง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไปจนถึงภาวะเสพติดการศัลยกรรมที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกินความพอดีไปมาก ดังนั้นเราจึงต้องรู้แน่ชัดในความต้องการของตัวเองให้มาก พร้อมกับพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนการทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม และต่อไปนี้จะเป็นเช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น ที่เอาไว้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก่อนการทำศัลยกรรมทุกประเภท >> การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ >> รู้หรือไม่ ผู้ชายก็ทำศัลยกรรมได้ 1. ความปลอดภัย : นี่เป็นอันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่า ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เลือกนั้นจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม ต้องแน่ใจว่ามีความปลอดภัยในระดับสูง ไล่ไปตั้งแต่สถานพยาบาลที่เราจะฝากความคาดหวังเอาไว้ ควรตรวจสอบให้มั่นใจเสียก่อนว่าเป็นมืออาชีพ มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์มากเพียงพอ เรื่องเหล่านี้สังเกตได้ง่ายมากเพราะเป็นสิ่งที่สถานบริการต้องการนำเสนอออกมาอยู่แล้ว นอกจากการดูผ่านสื่อโซเชียล เช็ครีวิวหรือตามข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เราก็สามารถเดินเข้าไปยังสถานพยาบาลที่สนใจเพื่อขอคำแนะนำเบื้องต้น เราจะได้สัมผัสทั้งการดูแลของพนักงาน การวิเคราะห์ของแพทย์ และบรรยากาศโดยรวมที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากตัดสินใจมารับบริการที่นี่แล้วจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน 2. ระดับของความจำเป็น : ประเด็นนี้เป็นตัวช่วยที่ดีมากที่จะลดการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เกินพอดี จนถึงขั้นเสพติดศัลยกรรมมากกว่าการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ แน่นอนว่าอะไรที่มากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมทุกครั้งควรถามตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จำเป็นหรือไม่ อาจเริ่มจากคำถามที่ว่าการศัลยกรรมครั้งนี้จะเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของเราในส่วนไหน ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้หรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ทำตามกระแสที่คนอื่นเขาว่าดี หากมีใครสักคนมาทักเราว่าควรทำจมูกให้โด่งขึ้นกว่านี้ โดยที่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาและไม่ได้ต้องการเสริมจมูกมาตั้งแต่แรก แต่เผลอคล้อยตามจนคิดจะทำศัลยกรรมจมูกขึ้นมาจริงๆ อันนี้ก็จะจัดอยู่ในประเภทที่ควรยับยั้งเอาไว้ก่อน แล้วใคร่ครวญดูให้ดีอีกสักที 3. คุณภาพกับราคา : ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการอื่นๆ อาจจะไม่ได้เคร่งเครียดมากนักในประเด็นนี้ เพราะเมื่อไรที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่ดีก็แค่เลิกใช้ไป หรือขอเงินคืนก็ยังได้ในบางแห่ง แต่การทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ทำแล้วทำเลย การแก้ไขก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน และต้องยอมรับว่าเมื่อมีการแก้ไขเกิดขึ้น ก็ไม่การันตีว่าจะกลับมาดีเหมือนเดิมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ดีทำให้ทีมแพทย์เก่งๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และทั้งหมดนี้ย่อมมีมูลค่าที่สูงกว่าบริการทางการแพทย์ในระดับที่ต่ำลงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานพยาบาลที่คิดค่าใช้จ่ายแพงๆ จะให้บริการได้ดีกว่าสถานที่ที่ถูกกว่าเสมอไป เราจึงต้องให้เวลากับการรวบรวมข้อมูลเรื่องของคุณภาพกับราคาพอสมควร เพื่อให้รู้แน่ว่าการลงทุนกับร่างกายในครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า ที่สำคัญหากบริการเหล่านั้นดูราคาถูกเกินไป ให้คิดในแง่ลบไว้ก่อนว่าอาจจะมีบางอย่างที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ แล้วค่อยหาข้อมูลมาหักล้างทีหลัง 4. ความสวยที่บางครั้งต้องเจ็บตัวบ้าง : การศัลยกรรมบางประเภทจะมีความเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้ระหว่างการทำไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร แต่หลังจากนั้นรับประกันว่าเจ็บแน่นอน จำเป็นต้องทำใจเตรียมพร้อมไว้สำหรับความเจ็บปวดตรงนี้ด้วย ตัวอย่างของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่ว่านี้ได้แก่ การเสริมขนาดหน้าอกที่มีการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกจากกัน การผ่าตัดลดหน้าท้องที่มีการตัดชิ้นเนื้อออกไปและในบางรายก็จำเป็นต้องทำสะดือใหม่อีกด้วย 5. ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังศัลยกรรม (surgery)...
- ศัลยกรรมความงาม

ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร

0
ศัลยกรรมใบหน้า เคยสังเกตไหมว่า ทำไมคนที่ ศัลยกรรมใบหน้า มากๆ ตั้งใจให้มีดวงตาที่กลมโตสวยงาม จมูกเป็นสันรูปทรงยอดนิยม ปากได้รูปเป็นกระจับสวยคม ทุกองค์ประกอบถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ทำไมพอดูรวมๆ แล้วจึงเหมือนขาดๆ เกินๆ หรือพาลดูไม่สวยเอาเสียดื้อๆ ประเด็นคือเรื่องความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้านั่นเอง มนุษย์เราจะมีสัดส่วนและองศาความงามบนใบหน้าที่ดีอยู่ อย่างที่หลายคนเคยได้ยิน โดยเฉพาะในวงการเมคอัพที่ต้องเข้าใจเรื่องของสัดส่วนที่ว่านี้เป็นอย่างดี ถึงจะแต่งหน้าออกมาสวยและมีเสน่ห์ ใครก็ตามที่อยากได้ความสวยในแบบที่ยกระดับขึ้นจากเดิม จึงต้องพึ่งการศัลยกรรมเป็นสิ่งสำคัญกับความสมบูรณ์ของใบหน้า ทั้งเรื่องกรอบหน้า องศาความงาม สัดส่วนแห่งความสมดุล ทั้งหมดทั้งมวลต้องสอดคล้องสัมพันธ์กัน จะให้น้ำหนักสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปไม่ได้ การวัดสัดส่วนของการ ศัลยกรรมใบหน้า การ ศัลยกรรมใบหน้า เป็นการประเมินว่าเค้าโครงของใบหน้ามีความสมดุลที่สวยงามดีหรือไม่ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่ถูกเลือกนำมาใช้ทั้งในวงการเมคอัพและศัลยกรรม แต่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์คร่าวๆ เท่านั้น หากจะวัดเพื่อเจาะจงไปที่ปรับแต่งโดยการศัลยกรรม จำเป็นต้องได้รับการตรวจที่ละเอียดอีกขั้นหนึ่งก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ ลองมาดูกันว่ามีวิธีวัดสัดส่วนที่สวยงามของใบหน้าอย่างไรบ้าง 1. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวตั้ง : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวตั้งออกเป็น 5 ส่วน คือ จากข้างแก้มถึงหางคิ้ว ด้านซ้ายและด้านขวานับเป็น 2 ส่วน วัดจากหางคิ้วถึงหัวคิ้ว ด้านซ้ายและขวานับเพิ่มอีก 2 ส่วน และตรงกลางก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ รวมได้ 5 ส่วนพอดี หากทั้ง 5 ส่วนนี้มีขนาดเท่าๆ กันก็ถือว่าเป็นเค้าโครงหน้าที่สวยงาม 2. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวนอน : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวนอนออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ได้ยินบ่อยที่สุด คือวัดจากไรผมถึงแนวคิ้ว วัดจากแนวคิ้วถึงปลายจมูก และวัดจากปลายจมูกไปจนสุดปลายคาง โครงหน้าที่ดีจะต้องมี 3 ส่วนนี้ในขนาดที่เท่าๆ กัน 3. วัดแบบ Ricketts’ E line : วิธีการนี้เราอาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า E line เป็นแนวเส้นที่ลากจากปลายจมูกไปจนถึงปลายคาง โดยลากเส้นจากปีกจมูกทั้ง 2 ข้างลงไป จะเป็นกรอบครอบพื้นที่ปากเอาไว้ เพื่อดูระยะของปากว่ายื่นหรือหดจาก E line มากเกินไปหรือไม่ เพราะสัดส่วนที่สมบูรณ์ก็คือมุมปากแตะที่เส้น E line พอดี >> ฟิลเลอร์คืออะไร เสี่ยงหรือไม่ ฉีดบริเวณไหนได้บ้างบทความนี้มีคำตอบ ! >> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ 4. วัดด้วยเส้นแนว Eye brow : เป็นการลากเส้นเพื่อดูตำแหน่งของคิ้วที่เหมาะสม โดยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หัวตาเป็นเส้นแรก และลากเส้นจากปีกจมูกไปที่จุดสูงสุดของแนวคิ้ว จะได้ตำแหน่งของขอบตาดำด้านนอกที่สวย ปิดท้ายด้วยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หางคิ้ว จะต้องผ่านขอบตาด้านนอกสุดพอดี การวัดสัดส่วนของใบหน้าที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีการวัดแบบ S curve, Ogee curve of cheek, Reverse triangular, Ideal cheek และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลักสำคัญที่ใช้ก็เป็นธรรมชาติของรูปทรงทางคณิตศาสตร์นั่นเอง ทีนี้เมื่อวัดแล้วพบว่าเค้าโครงรูปหน้าไม่สมบูรณ์พร้อม ก็จะเข้าสู่กระบวนการปรับแต่งด้วยการใช้เทคนิค ศัลยกรรมใบหน้า เข้ามาช่วย แต่จะไม่ใช่การปรับแต่งที่องค์ประกอบเล็กๆ อย่างคิ้ว ตา จมูก ปาก แต่เป็นการปรับโครงหน้า กรอบหน้า และขากรรไกร การศัลยกรรมกระดูกหน้า การตัดแต่งกระดูกบริเวณใบหน้าเป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้ในการปรับโครงหน้าอย่างถาวร แน่นอนว่าเมื่อใบหน้ามีเส้นประสาทและระบบการทำงานที่ละเอียดอ่อน ทุกครั้งก่อนการ ศัลยกรรมใบหน้า จึงต้องวางแผนเตรียมการเป็นอย่างดี และต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะย้อนกลับไม่ได้ จึงต้องตัดสินใจให้รอบคอบถึงความปลอดภัยและความเหมาะสมก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ การศัลยกรรมผ่าตัดกรามให้เป็น V Line ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ที่มีช่วงกรามเป็นทรงเหลี่ยม หรือที่เรียกว่า U Line เป็นการตัดส่วนของกระดูกกรามออกบางส่วน เพื่อให้โครงหน้าลดเหลี่ยมมุมลงและมีขนาดที่เรียวยาวคล้ายตัว V...
- ศัลยกรรมความงาม

สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม

0
การทำศัลยกรรม แม้ว่า การทำศัลยกรรม จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกแล้วในปัจจุบัน แถมยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทำให้การศัลยกรรมไร้ขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย จากเดิมที่มีการทำศัยกรรมจากอวัยวะในร่างกายให้ทำการปรับแต่งได้อยู่ไม่กี่แห่ง เช่น เสริมจมูก ตา ริมฝีปาก เป็นต้น ก็เริ่มมีตำแหน่งใหม่ๆ ที่หลายคนไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำว่าจุดเหล่านั้นจะสามารถทำการศัลยกรรมปรับแต่งได้จริง ไล่ไปตั้งแต่สะโพก ผิวพรรณ บั้นท้าย เป็นต้น นอกจากนี้การทำศัลยกรรมก็เข้าถึงได้ง่ายขึ้นหลายเท่า อ่านสักนิดก่อนทำศัลยกรรม เพราะ การทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะบริเวณใดในร่างกายก็ตามย่อมมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งสิ้นคุณรับสิ่งที่จะตามมาภายหลังได้หรือไม่? ปัจจุบันการทำศัลยกรรมมีทั้งโรงพยาบาลและคลินิกมากมายให้เลือกใช้บริการ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีความสนใจอยากจะทำศัลยกรรม ก็จะยิ่งมีคำถามผุดขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำถามคล้ายๆ กันเสมอ เราจะลองมาดูกันว่าคำถามไหนบ้างที่เป็นข้อสงสัยยอดนิยมของคนที่กำลังคิดพิจารณาว่าจะตัดสินใจทำศัลยกรรมดีหรือไม่ 1. ผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมหน้าอกมาแล้ว จะสามารถให้นมบุตรตามปกติได้หรือไม่ หน้าอกเป็นส่วนที่มีสถิติในการศัลยกรรมอยู่ในอันดับต้นๆ และมีการปรับแต่งหลากหลายรูปแบบด้วย มีทั้งเพิ่มขนาด ลดขนาด และปรับความกระชับเต่งตึง นอกจากเรื่องของขนาดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว ก็เป็นเรื่องการให้นมบุตรนี่แหละที่หลายคนคาใจกัน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าถ้าเสริมขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จะต้องเสริมซิลิโคนหรือวัสดุเสริมอื่นๆ เข้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีผลต่อการให้นมหรือไม่ อย่างไร อันที่จริงการสอดวัสดุเสริมเข้าไปจะเป็นบริเวณใต้กล้ามเนื้ออก ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำนมเลย หมายความว่าการเสริมหน้าอกไม่ว่าจะยกระดับขึ้นกี่ไซส์ ก็ไม่ทำให้มีปัญหาต่อการให้นมบุตรแต่อย่างใด ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมได้ตามปกติ และสามารถส่งผ่านท่อน้ำนมออกมาได้ตามปกติเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการผ่าตัดที่ถูกต้องและได้มาตรฐานด้วย แต่ถ้าเป็นการศัลยกรรมในรูปแบบของการลดขนาดหน้าอกให้เล็กลง อันนี้ต้องคิดหนักเพราะหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ต่อมน้ำนมเสียหายได้ยาก ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ดูแลมาช่วยแล้ว ว่าจะทำอย่างไรให้ต่อมน้ำนมเสียหายน้อยที่สุด และสามารถให้นมบุตรได้เช่นเดียวกับคุณแม่ลูกอ่อนทั่วไป >> การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ >> การศัลยกรรมที่เหมาะสมสำหรับอาชีพต่าง ๆ 2. ผลข้างเคียงจากการศัลยกรรม ทำยังไงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ไม่ใช่เฉพาะ การทำศัลยกรรม เท่านั้นที่มีผลข้างเคียง การรักษาพยาบาลแทบทุกอย่างมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเสริมหน้าอก เสริมคาง หรือแม้แต่เสริมจมูก เพียงแต่ว่าในด้านการศัลยกรรมอาจจะมีผลข้างเคียงที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าเท่านั้นเอง วิธีการลดผลข้างเคียงต้องอาศัยหลายองค์ประกอบร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ ว่ามีรูปแบบไหนบ้าง การเตรียมตัวการพักฟื้น รายละเอียดปลีกย่อยมีอะไรบ้าง ยิ่งมีข้อมูลมากก็จะยิ่งลดความเสี่ยงได้มากตามไป เพราะเราจะรู้จุดบกพร่องหรือจุดที่ต้องระวังทั้งหมด ถัดมาเป็นการเลือกสถานพยาบาลและทีมแพทย์ผู้ดูแล ต้องยอมรับว่าเรื่องประสบการณ์สำคัญกว่าวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่การงานมากนัก แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางมามากกว่า หมายความว่า ผ่านเคสการรักษาที่แตกต่างกันมามากกว่า นอกจากจะตรวจวัดและวิเคราะห์วางแผนการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าแล้ว ก็ยังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าด้วย เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าแพทย์จะเก่งแค่ไหน หากขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพก็ทำให้การรักษาด้อยคุณภาพลงอย่างแน่นอน สถานพยาบาลที่มีพร้อมทั้งทีมแพทย์และนวัตกรรมต่างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการศัลยกรรม ทุกประเภท การเสริมหน้าอกยกระดับไซส์ ไม่ได้เกิดปัญหาต่อการให้นมบุตร ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมและส่งผ่านท่อน้ำนมได้ตามปกติ 3. ทำยังไงให้หน้าอกที่เสริมมามีความเป็นธรรมชาติ ทั้งการมองเห็นและการสัมผัส เมื่อก่อนเรามักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยครั้ง ว่าการศัลยกรรมหน้าอก ต่อให้ทำออกมาสวยแค่ไหน มองดูเป็นธรรมชาติเพียงใด แต่ถ้าได้จับต้องรับรองว่ารู้แน่นอนว่าเป็นของปลอม ก็เลยทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจว่าจะได้สัมผัสที่ต่างไปจากเดิมมากเกินกว่าจะรับได้ อย่ามองเป็นเรื่องตลกเชียว เพราะนี่เป็นสาเหตุของความสัมพันธ์ในรูปแบบคู่รักด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป เราสามารถเสริมหน้าอกให้เหมือนกับมีมาตั้งแต่เกิดได้เลย ทั้งรูปร่างและการสัมผัส เพียงแต่ต้องให้ความใส่ใจในขั้นตอนก่อน การทำศัลยกรรม ให้มากๆ หน่อยเท่านั้น ปัจจัยที่จะทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติขึ้นอยู่กับขนาดของการเสริม ตำแหน่งที่สอดวัสดุเสริมเข้าไป และเทคนิคในการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากเสริมด้วยวัสดุชั้นดีที่ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก โดยให้แผลผ่าตัดอยู่ใต้หน้าอก ก็จะได้ทรวดทรงใหม่ที่สวยงามอย่างที่ใจต้องการแน่นอน แต่เหล่านี้ก็เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ทางที่ดีต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ไม่ต้องเขินอาย เพราะลักษณะหน้าอกของแต่ละคนจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป และแพทย์ต้องวิเคราะห์เป็นแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 4. การเท้าคางทำให้คางยื่นใช่หรือไม่ แล้วจะมีผลอย่างไรหากผ่านการศัลยกรรมมา อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ หากเราทำสิ่งใดก็ตามกับร่างกายในช่วงของการเจริญเติบโต ร่างกายจะสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการกระทำเหล่านั้นได้ง่าย แม้ว่าจะเป็นส่วนแข็งอย่างกระดูกก็ตามทีตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆ ก็คือประเพณีพันเท้าของชาวจีนโบราณ ที่ต้องการให้ผู้หญิงมีขนาดเท้าที่เล็กกว่าปกติ โดยมีความเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกถึงความเป็นกุลสตรีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพันเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่เด็ก และพันทุกๆ วันเป็นประจำ กระดูกเท้าก็จะปรับรูปไปนั่นเอง กลับมาที่ประเด็นของการเท้าคาง หากเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำในช่วงวัยเด็กที่โครงกระดูกยังมีพัฒนาการอยู่ ก็แน่นอนว่าอาจทำให้คางยื่นหรือหน้าเบี้ยวได้ แต่การเท้าคางก็ไม่ใช่สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่ทำให้โครงหน้าผิดรูปไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนหลักด้านล่างของโครงหน้าจะเป็นขากรรไกรบนและล่างซึ่งมีระยะเวลาการเติบโตต่างกันเล็กน้อย ขากรรไกรบนจะหยุดการเติบโตเมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ในขณะที่ขากรรไกรล่างจะหยุดที่ราวๆ 14-18 ปี การเจริญที่ผิดปกติของขากรรไกรอันใดอันหนึ่งหรือทั้งสองอันทำให้เกิดโครงหน้าผิดรูปได้ รวมถึงพฤติกรรมเล็กน้อยๆ เช่น การเคี้ยวอาหารด้วยกรามเพียงข้างเดียว การนอนตะแคงเพียงข้างเดียว การทานอาหารไม่ครบถ้วนและไม่เหมาะสม ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คางไม่สมส่วนและมีโครงหน้าไม่สวยงามได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป เพราะมีการศัลยกรรมโครงหน้าด้วยเช่นกัน สิ่งที่ต้องระวังมีเพียงแค่พฤติกรรมหลัง การทำศัลยกรรม ช่วงแรกๆ ที่กระดูกยังไม่ประสานกันดีเท่านั้นเอง 5. การทำศัลยกรรมตาสองชั้น...