สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย
ขนมฝอยเงิน
ขนมฝอยเงิน (Silver thread) หรือ ไข่ในรัง คือ ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้างที่เป็นส่วนประกอบหลักมีน้อยมาก (ไข่ขาวส่วนนอกที่มีลักษณะค่อนข้างเหลว และใสกว่าไข่ขาวชั้นใน) มักทานคู่กันกับขนมฝอยทองเชื่อกันว่ากินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย ในปัจจุบันขนมฝอยเงินทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว โดยแบ่งน้ำเชื่อมออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้สำหรับโรยไข่ขาวลงไปในน้ำเชื่อม ส่วนที่ 2 นำน้ำเชื่อมมาเจือจางแล้วใส่ขิงทุบห่อด้วยผ้าขาวบางใส่ลงไปในน้ำเชื่อมเพื่อดับกินคาว จะได้กลิ่นดอกมะลิในน้ำเชื่อมเป็นการเพิ่มความอร่อย หอม หวานให้กับขนมฝอยเงินตามสูตรโบราณ
>> สูตรเค้กไข่โบราณ
>> สูตรทำขนมฝอยทอง
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง
ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
กระทะทองเหลือง
ถาดรองน้ำเชื่อม
กรวยโลหะ
ดอกมะลิสด
ตะแกรง
ขิงแก่สด
ส่วนผสมขนมฝอยทอง
1.ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
2.ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
3.น้ำตาลทราย 2 ½ ถ้วยตวง
4.น้ำเปล่า 500 กรัม
5.ขิงแก่หั่นแว่น 3-5 ชิ้น
6.น้ำลอยดอกมะลิ 400 กรัม
วิธีทำขนมฝอยทอง
1. ตอกไข่ขาวลงในถ้วยแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำเปล่าแล้วน้ำตาลทราย ขิงหั่นลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมอ่อน) คนจนน้ำตาลละลายจนหมดยกลง (พักไว้)
3. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำลอยดอกมะลิแล้วน้ำตาลทรายลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมเข้มขน) ตั้งไฟต้มจนน้ำเชื่อมเดือด
4. ใส่ไข่ขาวลงไปในกรวยแล้วนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่ขาวสุกลอยขึ้นมาจึงใช้ไม้แหลมตักเส้นฝอยเงินขึ้นมา นำเส้นฝอยเงินที่ได้ใส่ลงในน้ำเชื่อมแบบอ่อนที่เตรียมไว้
5. หลังจากนั้นใช้ไม้แหลมตักขึ้นแล้วม่วนให้มีลักษณะคล้ายรังไหมกลมยาว
6. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ
ฝอยเงินเป็นเมนูขนมไทยมงคลที่นิยมเสิร์ฟคู่กับฝอยทอง เชื่อว่าเมื่อกินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม
ขนมหม้อแกง
ขนมหม้อแกง (Thai Mung Bean Custard) คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ริเริ่มโดยชาวต่างชาติมีชื่อว่า คุณท้าวทองกีบม้า หรือ มารีกีมาร์ เป็นผู้สอนให้คนไทยซึ่งเป็นลูกหลานคนเมืองเพชรเดิมใช้หม้อดินในการทำขนมหม้อแกง ซึ่งมีหลายแบบเรียกชื่อตามส่วนผสมสูตรดั้งเดิม เช่น ขนมหม้อแกงถั่ว ขนมหม้อแกงไข่ ขนมหม้อแกงเผือก ขนมหม้อแกงเม็ดบัว และขนมหม้อแกงฝอยทอง จากการสันนิษฐานว่า "กีมาร์ " มีส่วนประกอบหลักเผือกนึ่ง ถั่วนึ่ง ไข่เป็ด น้ำตาลโตนด กะทิ แป้งข้าวเจ้า
>> สูตรเค้กโยเกิร์ตเกาหลี
>> สูตรเค้กไข่ไต้หวัน
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมหม้อแกงถั่ว
เครื่องปั่น
ถาดฟอยล์ขนาด 25 เซ็นติเมตร
ไมโครเวฟ
ส่วนผสม ขนมหม้อแกงถั่ว
ถั่วเขียวซีกนึ่งบดละเอียด 200 กรัม
ไข่เป็ด (ขนาดใหญ่) 5 ฟอง
ใบเตย 5 ใบ
น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
หัวกะทิ 400 กรัม
หอมแดงเจียว 50 กรัม
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำขนมหม้อแกงถั่ว
1. ตอกไข่เป็ดทั้งหมดลงในกะละมังสแตนเลสก้นลึก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปทั้งหมด แล้วนำใบเตยมาขยำกับไข่และน้ำตาลให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3. แล้วเติมกะทิลงให้ขยำให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเตรียมไว้
4. นำถั่วเขียวซีกที่นึ่งแล้วมาบดให้ละเอียดเทใส่หม้อ หลังจากนั้นนำส่วนผสมที่กรองเรียบร้อยแล้วมาเทใส่ลงไปคนให้เข้ากัน ยกตั้งไฟคนให้พอเข้นๆ แล้วปิดไฟ
5. ตักส่วนผสมที่ถาดฟอยล์ประมาณ 3 ส่วน 4 (ไม่ต้องเต็มถาด) ใช้ไม้จิ้มฟันคนไม่ให้มีฟองอากาศ
6. นำไปอบด้วยไมโครเวฟ โดยวอมเตาอบก่อน 5-10 นาที ใช้อุณหภูมิ 180 องศา (ใช้ไฟบน-ล่าง) ตั้งเวลา 30 นาทีหรือจนกว่าขนมจะสุก
7. ยกออกจากเตาไมโครเวฟ รอให้เย็นแล้วตักหอมเจียวโรยหน้า พร้อมเสิร์ฟ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ขนมจีนอาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีน
ขนมจีน (Thai Rice Noodles) คือ อาหารคาวชนิดหนึ่ง ทำด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ นิยมกินกับน้ำยา(กะทิ/ป่า) น้ำพริก น้ำพริก เขียวหวาน น้ำเงี้ยว ไตปลา เคียงกับส้มตำ ตำซั่ว หรือ ยำขนมจีน เป็นต้น ซึ่งร้านขนมจีนได้รับความนิยมจากคนไทยทุกเพศทุกวัย มีร้านขายขนมจีนทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า
>> แจกสูตรน้ำพริกขนมจีน สูตรโบราณ
>> สูตรขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิข้น ๆนัว ๆ
ประวัติความเป็นมาของชื่อขนมจีน
ขนมจีนมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมจีนเป็นอาหารดังเดิมของชาวมอญหรือรามัญที่เข้ามาตั้งรกรากในไทย โดยชาวบ้านเรียกเจ้าแป้งกลมๆ ที่ทำจากข้าวแล้วจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่มๆ ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือนี้ว่า คนอมจิน ซึ่งในภาษามอญ คำว่าคนอม แปลว่า จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ส่วนจิน แปลว่า สุก ต่อมาคนไทยเราได้เรียกเพี้ยนมาเป็น ขนมจีน ทำให้เกิดสมมุติฐานตามมาอีกว่าดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่นๆ ในสุวรรณภูมิ รวมทั้งคนไทย ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมการกินขนมจีนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานบวช งานเลี้ยง มักจะมีการทำขนมจีนกินกันมาตั้งแต่โบราณกาล และในสมัยก่อนน่าจะเป็นแป้งหมักเท่านั้น ส่วนน้ำแกงที่ราดจะเป็นน้ำยากะทิ และมีเครื่องเคียงผักสดต่างๆ
ชื่อขนมจีนประจำท้องถิ่น
ชื่อเรียกขนมจีนตามภูมิภาคในประเทศไทย
ภาคกลาง : เรียกว่า ขนมจีน
ภาคเหนือ : เรียกว่า ขนมเส้น หรือข้าวเส้น หรือข้าวหนมเส้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เรียกว่า ข้าวปุ้น
ภาคใต้ : เรียกว่า โหน้มจีน นมปันเจ๊าะ หรือนมรูย หรือนมเวง
ชื่อเรียกขนมจีนนานาชาติ
พม่า : โมนฮีนกา
ลาว/อีสาน : ข้าวปุ้น
กัมพูชา : นมปันเจ๊าะ
เวียดนาม : บุ๋น
เส้นขนมจีนในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
1. เส้นขนมจีนแป้งหมัก
เป็นเส้นขนมจีนที่นิยมทำทางภาคอีสาน เส้นมีสีคล้ำออกน้ำตาล เหนียวนุ่ม และเก็บไว้ได้นานกว่า ไม่เสียง่าย เส้นมีขนาดเล็กกว่าเส้นขนมจีนแป้งสด วิธีทำเส้นขนมจีนแป้งหมักจะใช้ข้าวสารข้าวเจ้าล้างให้สะอาดแช่น้ำไว้ 1 คืน หลังจากนั้นใช้ผ้าสะอาดเทข้าวใส่ลงไปปิดให้สนิท ใสในตระกร้าที่มีรูระบายน้ำได้ดีตั้งไว้ในที่ร่มประมาณ 2-5 วัน (ต้องรอน้ำทุกเช้า-เย็น เพื่อให้เมล็ดข้าวเปื่อยยุ่ย) พอครบกำหนดให้นำข้าวที่หมักแล้วมาโม่หรือบดค่อยๆ เติมน้ำลงไปด้วย พักให้แป้งตกตะกอนประมาณ 2 คืน เทน้ำทิ้งเอาเฉพาะแป้งแล้วทำการไล่น้ำออกอีกครั้งโดยเทแป้งใส่ผ้าใช้ครกหินที่มีน้ำหนักทับไว้ 2 วัน (ต้องล้างถุงผ้าทุกวันป้องกันเชื้อรา) เมื่อครบกำหนดให้ปั้นแป้งขนาดประมาณ 15 – 20 เซ็นติเมตร แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด (ให้แป้งด้านนอกสุก แต่ด้านในยังขาวอยู่) นำแป้งที่ต้มเสร็จแล้วมาด้วยให้เป็นเนื้อเดียวกันค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปนวดต่อให้เข้ากันจนหมด ขั้นตอนสุดท้ายน้ำหม้อขนาดใหญ่หน่อย ตั้งน้ำให้เดือดจัด และเตรียมกะละมังที่ใส่น้ำอุณหภูมิปกติประมาณ 3 ส่วน 4 พอน้ำเดือดให้บีบแป้งโรยเป็นวงกลมไปด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นจนหมด 1 ครั้ง (รอจนเส้นสุกสังเกตได้เส้นจะลอยขึ้นมา) ให้ตักขึ้นไปใส่ในกะละมังน้ำ
2. เส้นขนมจีนแป้งสด
เส้นมีมีลักษณะเป็นสีขาว อุ้มน้ำ ตัวเส้นนุ่ม เส้นมีขนาดใหญ่กว่าขนมจีนแป้งหมัก และเหนียวน้อยกว่า เก็บได้ไม่นาน วิธีทำขนมจีแป้งสดจะใช้การผสมแป้งข้าวเจ้า ไม่ต้องแช่ข้ามคืน สามารถนำมานวดในเครื่องนวดแป้งได้เลย หลังจากนวดแป้งแล้วจะเทแป้งใส่กระบอกทองเหลือง มีรูเจาะไว้ที่ปลายด้านหนึ่ง เมื่อกดแป้งเข้าไปในกระบอก เส้นขนมจีนก็จะไหลออกจากปลายกระบอก เป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 – 1.5 มิลลิเมตร เมื่อได้เส้นแล้วก็ทำต้มในน้ำร้อนเดือดเพื่อทำความสะอาด แล้วนำมาราดด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง เส้นขนมจีนที่ได้...
สูตรแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น
แกงกะหรี่
แกงกะหรี่ (Curry) คือ อาหารยอดนิยมในญี่ปุ่นที่ทำเองที่บ้านค่อนข้างบ่อย ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นหรือ "kare raisu" (カレーライス) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Japanese Curry ซึ่งได้รับความนิยมพอ ๆ กับราเมน แกงกะหรี่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียดินแดนแห่งเครื่องเทศจากนั้นก็เริ่มแพร่หลายไปยังอังกฤษและเดินทางจากสหราชอาณาจักรไปยังญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1800 โดยกะลาสีเรือชาวอังกฤษที่เรืออับปางในทะเลได้ถือมาเพียงคนเดียวเดิมเป็นสตูว์แบบตะวันตกผสมกับผงกะหรี่ เนื่องจากอาหารญี่ปุ่นมีรสเผ็ดน้อยกว่าอาหารอินเดียมากคนญี่ปุ่นไม่ชินกับการกินอาหารรสเผ็ดแกงในญี่ปุ่นจึงมีมีรสหวานมากกว่าแกงกะหรี่สไตล์อินเดีย มักประกอบด้วยผลไม้ น้ำผึ้ง หรือแม้แต่น้ำตาล มันฝรั่ง แครอท หัวหอมใหญ่ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเนื้อแกะเป็นต้น
>> แจกสูตรน้ำพริกขนมจีน สูตรโบราณ
>> สูตรขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิข้นๆนัวๆ
ผงแกงกะหรี่
ผงแกงกะหรี่อินเดียเรียกได้ว่าขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องเทศที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนผงแกงกะหรี่ของอินเดียมีส่วนผสมหลายชนิดทั้งหัวหอม ขิง กระเทียม กระวาน อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี เมล็ดยี่หร่า พริกไทยดำ มะเขือเทศ พริกแห้ง ขมิ้น ผักชีสดสับสำหรับโรยหน้าเป็นต้น ซึ่งเป็นเอกลักษณะโดยเฉพาะสีเหลืองที่ทุกคนคุ้นตา ขมิ้นเป็นสมุนไพรกระตุ้นความอยากและช่วยให้เจริญอาหาร เมื่อยกกระทะตั้งไฟแล้วใส่น้ำมันพืชใส่เครื่องแกงกะหรี่ลงไปผัดด้วยไฟอ่อนสักพัก เพื่อให้ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศออกมาให้มากที่สุด หลังจากนั้นนำเนื้อสัตว์ลงไปผัดในน้ำซอสที่เข้มข้นเคี่ยวทิ้งไว้ให้น้ำซอสซึมผ่านเข้าไปในเนื้อสัตว์ ปรุงรสแกงกะหรี่ให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมได้ลิ้มรสความเป็นเครื่องเทศเน้นๆ สไตล์อาหารอินเดียแบบดั้งเดิมเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิร้อนๆ
นอกจากนั้นยังมีแกงกะหรี่สำเร็จรูปมีให้เลือกมากมาย เนื่องจากมีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งและสถานประกอบการที่เน้นเฉพาะแกงกะหรี่เท่านั้น ทำให้การเตรียมเครื่องแกงที่บ้านง่ายขึ้นมากจึงกลายเป็นหนึ่งในอาหารประจำบ้านในญี่ปุ่นสามารถปรุงรับประทานได้บ่อย ๆ แทบทุกวัน
ความหมายชื่อแกงกะหรี่แต่ละแบบ
Rice Kare คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบข้าวที่ราดด้วยแกงกะหรี่แล้ว
Kare Rice คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบแยกภาชนะข้าวกับแกงกะหรี่ออกจากกัน
คุณค่าทางโภชนาการแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น
แกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น100 กรัม ให้พลังงาน 275 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต
25 กรัม
โปรตีน
20 กรัม
ไขมัน
11 กรัม
โคเลสเตอรอล
95 มิลลิกรัม
โซเดียม
635 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม
603 มิลลิกรัม
ใยอาหาร
3 กรัม
น้ำตาล
9 กรัม
วิตามินเอ
5539 IU
วิตามินซี
8 มิลลิกรัม
แคลเซียม
40 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก
2 มิลลิกรัม
ส่วนผสมแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น
อกไก่ 450 กรัม
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 2 ช้อนชา
หัวหอมใหญ่ 2 หัว
มันฝรั่ง 1-2 หัว
ขิงขูด 50 กรัม
กระเทียมบด 5 กลีบ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุปไก่ 4 ถ้วย
แอปเปิลสด 1 ลูก (ปอกเปลือก)
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
ผงแกงกะหรี่ 1 ห่อ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย (สำหรับโรยหน้าแกงกะหรี่)
วิธีทำแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นใน 4 ขั้นตอนง่ายๆ
1.ตั้งหม้อให้ใช้ไฟกลางเทน้ำมันพืชลงไปในหม้อรอให้ร้อน และผัดส่วนผสมเป็นชิ้นลงไปทั้ง เนื้อไก่ แครอท หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง
2.เติมน้ำซุปไก่ลงไปในหม้อเคี่ยวจนส่วยผสมนิ่มเทผงกะหรี่ลงไป (หลังจากน้ำซุปเริ่มเดือดประมาณ 15 นาที)
ปรับลดไฟกลางเป็นไฟต่ำ
3.ปรุงรสด้วยแอปเปิ้ลขูด ขิงขูด กระเทียมบด น้ำผึ้ง เกลือป่น ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศเคี่ยวประมาณ 20 นาที
(ไม่ต้องคนบ่อย) ใช้ไฟอ่อนจนซอสข้นขึ้น แล้วปิดไฟยกลงตักราดข้าวสวยโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ
ขนมจีนน้ำยาปลานิล (khanohm jeen namya pla nil) คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาคเหมาะสำหรับคนมีเวลาหรืออยู่บ้าน เนื่องจากขนมจีนน้ำยานั้นมีขั้นตอนการทำและต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างมากค่อยข้างยุ่งยากสำหรับคนไม่มีเวลา
>> แจกสูตรน้ำพริกขนมจีน สูตรโบราณ
>> กระชายขาว สุดยอดสมุนไพรต้านไวรัส
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่ไม่เพียงแต่ให้รสชาติที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาในส่วนผสมสมุนไพรอีกด้วย เมื่อนำเครื่องแกงที่เป็นสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกันแล้ว เติมกะทิลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติความเข้มข้นในน้ำยาขนมจีนรอให้น้ำยาขนมจีนเดือด ใส่เนื้อปลานิลที่คัดเนื้อแน่นๆ ลงไปต้มด้วยไฟปานกลางจากนั้นใส่ใบมะกรูดลงไปจะสัมผัสถึงกลิ่นน้ำมันหอมระเหยสามารถดับกลิ่นคาวของปลานิลได้เป็นอย่างดี หากทานร่วมกับผักสดหรือผักลวกยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิได้อย่างลงตัว
ชนิดขนมจีนน้ำยา
น้ำยาขนมจีนมีด้วยกันอยู่ 2 แบบ ขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ในเครื่องแกงประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด เช่น กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ รวมถึงผักเครื่องเคียง ถั่วฝักยาว แตงกวา ถั่งงอก กระหล่ำปลี ใบแมงลัก ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว หัวปลี ถั่วพู ยอดกระถิน ฝักกระถินอ่อน มะระลวก ผักบุ้งลวก อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
จากผลสำรวจพฤติกรรมการรับประทานผักและผลไม้ของคนไทยปี 2562 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าคนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป รับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 400 กรัมต่อวัน ถึงร้อยละ 65.5 ส่งผลทำให้มีกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นจำนวนมาก และเกิดการเน่าเปื่อยกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคทางเดินอาหารผิดปกติ มะเร็งลำไส้ อ้วนง่าย
คุณค่าทางโภชนาการขนมจีนน้ำยาปลานิล
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีกว่าในขนมจีนน้ำยาปลานิลมีสมุนไพรอยู่หลายชนิด อาทิ
กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ ในขนมจีนน้ำยาปลานิล ให้พลังงาน 526 แคลอรี่
สารอาหาร
ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน
18.4 กรัม
โซเดียม
2910 มิลลิกรัม
คลอเรสเตอรอล
67 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม
653 มิลลิกรัม
ใยอาหาร
5.1 กรัม
น้ำตาล
3.8 กรัม
โปรตีน
31.1 กรัม
วิตามินดี
14%
วิตามินเอ
35.54%
วิตามินซี
23.985%
วิตามินบี6
14.92%
วิตามินเค
51.95%
วิตามินเอ
1.39%
เหล็ก
22.44%
แคลเซียม
9.92%
วิตามินบี12
38.36%
ซิงค์
12.475%
ไทอามิน
10.925%
ไนอาซิน
12.51%
ฟอสฟอรัส
36%
แมกนีเซียม
18.54%
ไรโบพลาวิน
10.935%
ส่วนผสมการทำขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ
เนื้อปลานิลต้มสุกโขลกละเอียด 500 กรัม
พริกแห้ง 10 - 20 เม็ด (มากน้อยตามความชอบ)
พริกจินดาแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่นหยาบ 10 กรัม
กระเทียม 10 กรัม
ตะไคร้ซอย 3 กรัม
ข่า หั่นแว่น 3 กรัม
กระชายซอย 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
น้ำปลาอย่างดี 2 - 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 - 2 ช้อนชา (หากทำขนมจีนน้ำยาป่าไม่ต้องใส่)
กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ผงปรุงรส 3 ช้อนโต๊ะ
ตีนไก่ 500 กรัม
เลือดก้อนหั่นชิ้น 2 ก้อน
ต้นหอมหั่นยาว (ตามความชอบ)
หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง (หากทำขนมจีนน้ำยาป่า ให้เปลี่ยนเป็นน้ำปลาร้าต้มสุกแทน)
หมายเหตุ การทำน้ำยาขนมจีนมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ
วิธีที่1 การนำเครื่องแกงสดมาต้มให้สุกแล้วนำไปโขลก หรือปั่นให้ละเอียง (ใส่เนื้อปลาต้มสุกโขลกทีหลัง)
วิธีที่2 การนำเครื่องแกงสดโขลกร่วมกันกับเนื้อปลาต้มสุก
วิธีทำน้ำยาขนมจีนปลานิล (แบบต้มเครื่องแกง)
1. ตั้งน้ำให้เดือดต้มลูกชินและตีนไก่ให้สุกก่อน โดยใส่ตระไคร้ใบมะกรูดเพื่อดับกลิ่นคาว พักไว้
2. ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือป่นใส่เครื่องแกงท้้งกระชาย พริกแห้ง ใบมะกรูด ข่า หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ต้มทุกอย่างให้สุก นำปลานิลลงไปต้มให้สุกประมาณ 15-20...
ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำพริก
ขนมจีนน้ำพริก (Khanohm jeen namprik) คือ อาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง สันนิษฐานกันว่า ขนมจีนเป็นอาหารของคนมอญ คนมอญเรียกขนมจีนว่า "คนอมจิน" หมายถึงทำให้สุกแล้วจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน นิยมรับประทานกับผักสด ผักลอก คำว่าขนมจีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศจีนแต่อย่างใด ซึ่งขนมจีนน้ำพริกนั้นประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำพริกที่มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด เป็นสูตรโบราณที่นิยมทำรับประทานกันทุกภูมิภาคของไทย
>> มะกรูด สมุนไพรพื้นบ้านที่ไม่ควรมองข้าม
>> ไข่ ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและการลดน้ำหนักได้
เคล็ดลับ : เพิ่มความอร่อยของขนมจีนน้ำพริกที่ขาดไม่ได้คือขั้นตอนการเจียวหอมแดงให้ใช้ไฟอ่อน และคั่วถั่วลิสงให้สุกทั่วทุกเมล็ดแล้วนำไปตำหรือปั่นให้ละเอียด แม้ว่ารสชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของอาหารทุกจานก็จริงอยู่ แต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ เครื่องเทศ การปรุงรสสามารถทำให้ขนมจีนน้ำพริกมีกลิ่นเย้ายวนชวนรับประทานมากยิ่งขึ้น
ส่วนผสมทำน้ำพริกขนมจีน
กุ้งสด 700 กรัม
ถั่วเขียวซีกคั่ว 400 กรัม
ถั่วลิสงคั่ว 150 กรัม
น้ำมะขามเปียก 100 กรัม
น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโลกรัม
น้ำมะนาว 50 กรัม
มะกรูดหันครึ่ง 3 ลูก
น้ำปลา 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก ½ ถ้วย
เกลือ ½ ช้อนชา
พริกแห้ง 20 เม็ด
กระเทียม 300 กรัม
หอมแดง 150 กรัม
รากผักชี 5 ราก
กะทิ 2 กิโลกรัม
ผักชีหั่น ½ ถ้วย
พริกทอดสำหรับโรยตกแต่ง
วิธีทำน้ำพริกขนมจีนสูตรโบราณ
1. แกะเปลือกกุ้งออกให้หมด แล้วนำไปลวกให้สุกโขลกให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
2. คั่วถั่วเขียวซีก ถั่วลิสง และพริกแห้ง นำไปตำหรือปั่นไม่ต้องละเอียดมาก
3. หั่นหอมแดง กระเทียม รากผักชี แบ่งหอมแดง กระเทียม พริกแห้งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่1 แล้วนำหอมแดง และกระเทียม ไปคั่วในกระทะให้พอสุก (นำมาโขลกให้ละเอียด)
ส่วนที่ 2 นำหอมแดง กระเทียม และพริกแห้งส่วนที่เหลือไปเจียวในน้ำมัน (จะให้หอมแดงหรือกระเทียมเจียวก็ได้เหมือนกัน) ให้สีสันสวยงามแล้วตักออกพักไว้
4. นำกะทิใส่หม้อตั้งไฟให้เดือดพอแตกมันเล็กน้อยประมาณ 3 นาที แล้วยกลงพักไว้
5. ใส่ถั่วคั่วบดทั้ง 2 อย่างลงในหม้อกะทิคนให้เข้ากัน นำมาตั้งไฟอ่อนเติมน้ำลงไปพร้อมกับกุ้งค่อยคนเลื่อยๆระวังไหม
6. ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาลปิ๊บ เกลือป่น พริกป่น คนให้เข้ากันพอเดือดแล้วยกลง
6. เครื่องโรยหน้าขนมจีนน้ำพริก มะกรูดหันครึ่ง พริกคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว และผักชี
ขนมจีนน้ำพริกมักนิยมขายคู่กับขนมจีนน้ำยา ทานพร้อมกับผักเคียง เช่น ผักดิบ ผักสด ผักดอง หรือไข่ต้ม ตามชอบซึ่งได้รับความนิยมทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีร้านขายมากมายทั้งร้านเล็กและใหญ่ ข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)
ขนมเทียน
ขนมเทียน หรือ ขนมนมสาว ( Ka Nhom Tian ) คือ ขนมไหว้เจ้าชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง เพราะมีความหมายว่า ความสว่างรุ่งเรืองดังแสงเทียน ขนมทำด้วยแป้งข้าวเหนียวใส่ไส้เค็มที่ทำด้วยถั่วเขียวนึ่งกวนกับพริกไทย เกลือ และไส้หวานที่ทำด้วยมะพร้าวขูดกวนกับน้ำตาลทราย นำมาห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิดแล้วนึ่งสุก นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน ปัจจุบันมีการปรับสูตรให้หลากหลาย เช่น ไส้มันม่วง ไส้เห็ดหอม ไส้เค็ม ไส้หวาน ขนมเทียนเม็ดสาคู ขนมเทียนแก้ว
>> แจกสูตรบ๊ะจ่าง แบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำเองได้
>> วิธีทำขนมต้ม แป้งเหนียวหนึบ
สูตรขนมเทียน
สูตรขนมเทียนไส้เค็ม
วิธีทำไส้เค็ม
1. ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้
สูตรขนมเทียนไส้หวาน
วิธีทำไส้หวาน
1. ใส่น้ำเปล่าและน้ำตาลปี๊บใส่ภาชนะใช้ไฟปานกลาง เคี่ยวจนแตกฟอง
2. ใส่มะพร้าวทึนทึกลงไปกวน ประมาณ 10-15 นาที จนเหนียว และแห้งจนปั้นเป็นก้อนได้ แล้วพักไว้
สูตรขนมเทียนแก้ว
วิธีทำตัวขนมเทียน
1. นำน้ำตาลปี๊บไปละลาย ใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนละลาย ปิดไฟแล้วพักทิ้งไว้จนเย็น
2. นวดผสมแป้งข้าวเหนียวดำกับน้ำตาลปี๊บที่ละลายไว้จนเข้ากันดี เตรียมไว้
3. ตัดใบตองเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า ตัดมุมให้มนเล็กน้อย เช็ดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย ขนมจะได้ไม่ติดใบตอง
4. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้น พับเก็บสอดเหลี่ยมมุมของใบตองให้เรียบร้อย เป็นรูปสามเหลี่ยม เรียงลงในชุดนึ่ง
5. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือดพล่าน นึ่งนานประมาณ 30 นาที จนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง พักให้เย็น พร้อมเสิร์ฟ
เคล็ดลับการห่อ
ควรนำใบตองไปตากแดดเพื่อไม่ให้ใบตองแตกตอนห่อ และใช้น้ำมันพืชทาใบตองเล็กน้อยก่อนห่อ เพื่อตัวขนมจะได้ไม่ติดใบตอง
ส่วนมากจะหาทานได้เฉพาะเทศกาล หากเพื่อนๆอยากทานก็สามารถทำเองได้ตามสูตรนี้เลยค่ะ หรือลองปรับเปลี่ยนประยุกต์มาใส่กระทง หรือ ใช้แป้งถั่วเขียวทำเป็นตัวขนมกันดูคะ สั่งซื้อ ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป คลิ๊ก @ Desserts Mate หรือสอบถาม 085-509-6624
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก ( Yogurt Chiffon Cake ) คือ เค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลัก
>> สูตรทำชิฟฟอนเค้ก และเคล็ดลับการอบเค้ก
>> วิธีทำโยเกิร์ตทานเองง่าย ๆ
ขั้นตอนการทำโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก
ส่วนผสมที่ 1
แป้งเค้ก 40 กรัม
แป้งข้าวโพด 25 กรัม
เกลือ 1/8 กรัม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 200 กรัม
ไข่แดงเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 60 กรัม
วานิลลา 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำมันคาโนลา 50 กรัม
ส่วนผสมที่ 2
ไข่ขาวเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
ครีมทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 40 กรัม
วิธีทำ โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก
(ขั้นแรก)
1. เทแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด และเกลือลงในตะแกรงร่อนแป้งคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเทไข่แดง น้ำตาลทราย น้ำมะนาว น้ำมันคาโนล่า ขั้นตอนต่อไปเทโยเกิร์ตแล้วตีให้เข้ากัน
(ขั้นที่ 2)
1. นำไข่ขาว ครีมทาร์ทาร์ น้ำตาลทรายเทลงไปในชามส่วนผสมอีกใบ (แบ่งเทน้ำตาล 2-3 ครั้ง ) ตีด้วยเครื่องจนเมอแรงค์ตั้งยอดอ่อน
2. ตักส่วนผสมที่ 2 ค่อยๆใส่ในส่วนผสมที่ 1 ผสมให้เข้ากันดีจนเนียน
3. เทลงในแม่พิมพ์ชิฟฟ่อน 20 เซนติเมตร นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 ℃ เป็นเวลา 40 นาที
4. คว่ำทันทีหลังจากนำออกจากเตาอบ ทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเค้กเย็นนำออกจากแม่พิมพ์
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรเค้กโยเกิร์ตเกาหลีนุ่มๆ ( Cake Yogurt )
เค้กโยเกิร์ต
เค้กโยเกิร์ต ( Cake Yogurt ) คือ ขนมหวานอีกประเภทที่มีรสชาติใกล้เคียงชีสเค้กเบา ๆ ใช้ส่วนผสมแค่โยเกิร์ตและแป้งเป็นหลัก ซึ่งยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อย และเป็นที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายคน
>> เนื้อเค้กที่ได้รับความนิยมตกแต่งและนำไปเป็นเค้กวันเกิดคือเค้กแบบไหน ?
>> วิธีทำโยเกิร์ตทานเองง่าย ๆ
เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำเค้กโยเกิร์ต
พิมพ์เค้กถอดได้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม. สูง 7 ซม.
กระดาษไขรองอบ
ส่วนผสมแป้ง
แป้งเค้ก 30 กรัม
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 240 กรัม
เกลือ 2 ช้อนชา
ไข่แดง 3 ฟอง (เบอร์ใหญ่)
ส่วนผสมเมอแรงค์
ไข่ขาว 3 ฟอง
น้ำตาลทราย 50 กรัม
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำแป้งเค้กโยเกิร์ต
1. นำไข่แดงเทใส่ถ้วยสำหรับผสมเทโยเกิร์ต แป้งเค้ก แป้งข้าวโพด เกลือลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้
2. นำไข่ขาวที่เตรียมไว้แล้วเทน้ำมะนาว น้ำตาลทรายลงไป (แบ่งเทน้ำตาล 2-3 ครั้ง ) ตีด้วยเครื่องจนเมอแรงค์ตั้งยอดอ่อน
3. แบ่งตักเมอแรงค์ออกเป็น 3 ครั้ง ตักใส่ในถ้วยแป้งที่พักไว้แล้วค่อยใช้ไม้พายผสมอย่างเบามือเพื่อไม่ให้ฟองหายไป
4. เทแป้งเค้กลงในพิมพ์เค้กที่ใส่กระดาษไขเรียบร้อยแล้ว ตีเพื่อไล่ฟองอากาศออก
5. นำถาดสำหรับวางพิมพ์เค้กแล้วเทน้ำร้อนลงไป แล้วนำไปอบในเตาที่อุณหภูมิ 150 ℃ ประมาณ 30 นาที แล้วพักในเตาอบ 10 นาที แล้วอบต่อไปอีก 30 นาที รวมเวลาเป็น 60 นาที
เคล็ดลับการอบเค้กโยเกิร์ตให้นุ่มฟูน่าทาน
หลังจากเย็นสนิทแล้วให้แยกแม่พิมพ์เค้กและกระดาษออก
ควรแช่เย็นและรับประทานในวันถัดไป
เมนูเค้กโยเกิร์ตนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะเป็นสูตรที่ง่าย และมีส่วนผสมหลักที่น้อย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อย่าลืมลองทำแล้วมาแชร์ให้ดูกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ หอมอร่อย ทำเองได้
แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่
แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (Karanda jam) คือ ของหวานที่ทำจากการนำมะม่วงหาวมะนาวโห่ไปกวนกับความร้อน ผสานน้ำตาลและเกลือจนเป็นเนื้อหนืดข้น ซึ่งเป็นวิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิมของคนโบราณ สามารถนำมาใช้ทาขนมปังเพิ่มรสชาติให้อร่อย หรือใช้ชงเป็นน้ำดื่มทั้งแบบร้อนและเย็นก็ได้เช่นกัน
>> รู้หรือไม่มะม่วงหาวมะนาวโห่มีสรรพคุณรักษาโรค
>> สูตรทำครัวซองต์กรอบนอกนุ่มใน
วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก่อนทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่
นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ (คัดเฉพาะผลสีแดงนำมาผ่าครึ่งแกะเมล็ดออก แล้วนำไปแช่น้ำเปล่า เติมเกลือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ล้างยางออกให้หมดประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความขมของยาง แล้วแช่น้ำปูนใสประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นตักขึ้นใส่ภาชนะที่มีรูให้มะม่วงหาวมะนาวโห่สะเด็ดน้ำ)
น้ำปูนใส
เครื่องปั่นน้ำผลไม้
ขวดแก้วสำหรับบรรจุแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (ควรทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์ โดยนำไปต้มในน้ำร้อนเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อน)
ส่วนผสมทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่
1. มะม่วงหาวมะนาวโห่ (ผลสีแดง) 500 กรัม
2. เกลือ 1-2 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 500 กรัม
4. น้ำปูนใส 500 มิลลิลิตร
5. น้ำเปล่า 1500 มิลลิลิตร
6. เจลลาติน 2 เเผ่น หรือ ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ
เคล็ดลับ กำจัดยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้สะอาดก่อนนำไปทำแยม
1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ผ่าครึ่งซีกแล้วนำเมล็ดออกแล้ว โดยแช่เกลือ 1 ครั้ง ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เพื่อใช้แช่และล้างยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ล้างเกลือ 2-3 ครั้ง
2. หลังจากนั้นควรแช่น้ำปูนใสให้ท่วมมะม่วงหาวมะนาวโห่
วิธีทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่
1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่เตรียมไว้ไปปั่นให้ละเอียด
2. นำกระทะขึ้นตั้งไฟ (ใช้ไฟกลางเพื่อลดเวลาในการกวนลง) แล้วเทมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ปั่นเสร็จแล้วลงไปในกระทะกวนประมาณ 15 นาที แล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือ เจลลาติน หรือผงวุ้นลงไปคนต่อให้แห้งเหนียวตามความเหมาะสม ปิดไฟรอให้เย็น
3. ตักแยมใส่ในบรรจุภัณฑ์เพื่อจะได้เก็บรักษาไว้ได้นานยิ่งขึ้น
แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆ สีของแยมที่ทำออกมาชมพูเข้มสดน่ากินมาก ๆ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ยิ่งแช่เย็นแยมเซ็ตตัวดีขึ้น เก็บไว้ทานเป็นของว่างคู่ขนมปังฟินๆ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง (Yogurt Dark Chocolate Pudding) คือ ขนมหวานยอดฮิตที่มีรสหวานหอมชวนรับประทาน เนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น เป็นสูตรขนมง่าย ๆ ส่วนผสมน้อย ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด
>> วิธีเลือกดาร์กช็อกโกแลตที่ดีต่อสุขภาพ
>> สูตรทำ โยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ
โภชนาการโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
แคลอรี่ 246 kcal คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม โปรตีน 13 กรัม ไขมัน 11 กรัม ไขมันอิ่มตัว 6 กรัม คอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัม โซเดียม 62 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 380 มิลลิกรัม ไฟเบอร์ 2 กรัม น้ำตาล 15 กรัม วิตามินเอ 45 IU แคลเซียม 181 มิลลิกรัม เหล็ก 3 มิลลิกรัม
ขั้นตอนการทำเมนูโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
1. ชาม ขนาดกลาง สำหรับผสมส่วนผสมทั้งหมด
2. หม้อหรือกระทะ ขนาดกลาง
3. พลาสติกห่ออาหาร
4. แก้วน้ำทรงกลม
ส่วนผสมโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
1. โยเกิร์ต 285 กรัม
2. ดาร์กช็อกโกแลตสับ 2 ช้อนโต๊ะ
3. สารสกัดวานิลลา ½ ช้อนชา
4. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
5. นมจืด 3 ถ้วยตวง
วิธีทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
1. นำหม้อตั้งไฟกลางเทนม ดาร์กช็อกโกแลต วานิลลา น้ำผึ้งคนจนละลายเข้ากันดี
2. เทส่วนผสมลงในชามแล้วใส่โยเกิร์ตลงไป ค่อยๆคนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ตักดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งใส่ในแก้วน้ำทรง คลุมด้วยพลาสติกห่ออาหาร
แล้วนำเข้าไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาพักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง รอให้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งเซ็ทตัวก่อน
4. นำดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งออกจากตู้เย็น ตกแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งที่ต้องการแล้วเสิร์ฟทันที
วิธีเก็บรักษา
ควรเก็บไว้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งในตู้เย็น จะทำให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้งสูตรนี้นอกจากได้ความหอมอร่อยแล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีด้วย ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยากอย่าลืมลองทำทานกันดูนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ( Raspberry Smoothie Yogurt )
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
ราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ( Raspberry Smoothie Yogurt ) คือ เครื่องดื่มอีกประเภทของคนรักสุขภาพหลายคน และเป็นเมนูที่ทำไม่ยาก เพียงแค่ใส่ผลราสเบอร์รี่ลงในเครื่องปั่นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย บางสูตรอาจมีรสชาติไม่ถูกปาก ซึ่งการรับประทานผลไม้ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
>> สูตรไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน
>> สูตรทำ โยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ
ขั้นตอนการทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
เครื่องปั่นน้ำผลไม้
น้ำแข็ง
ราสเบอร์รี่แช่แข็ง
แก้วน้ำทรงสูง
ส่วนผสมราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
1. ราสเบอร์รี่ 150 กรัม
2. น้ำเชื่อม 150 กรัม
3. น้ำแข็ง 1 ถ้วย
4. โยเกิร์ตธรรมชาติ 140 กรัม
วิธีการทำราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
1. นำราสเบอร์รี่ น้ำเชื่อม น้ำแข็ง ใส่ลงในโถแล้วปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่แก้วทรงสูงพักทิ้งไว้
2. นำโยเกิร์ตตักใส่ในแก้วราสเบอร์รี่ปั่นเมื่อสักครู่ จากนั้นใช้หลอดคนเล็กน้อนให้เกิดลวดลายพอสวยงามเพียงเท่านี้ถือว่าเป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ตได้เลย ในเมนูราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต
บทความนี้จะเป็นสูตรราสเบอร์รี่สมูทตี้โยเกิร์ต ซึ่งสามารถพลิกแพลงสูตรต่างๆ ได้โดยใช้ผลไม้นานาชนิดและสารให้ความหวานประเภทต่างๆ หากต้องการทำสมูทตี้มากกว่า 1 แก้ว ควรแยกทำหลายๆ ครั้ง เพิ่มส่วนผสมเป็น 2 เท่า เพราะโถปั่นอาจจะไม่สามารถรองรับปริมาณส่วนผสมทั้งหมดได้ และถ้าเติมเนยถั่วหรือเนยอัลมอนด์เพื่อให้สมูทตี้มีรสชาติเข้มข้นขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน (blueberry lemon yogurt popsicles)
ไอศครีม
ไอศครีม (Ice cream) หรือ ไอติม คือ ของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ ส้ม องุ่น เลมอน ทุเรียน มะพร้าว ถั่วดำ ถั่วแดง ช็อกโกแลต หรืออื่นๆ เป็นต้น จากนั้นนำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมที่เย็นจัด เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ แล้วแช่แข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน
>> แจกสูตรทำ วาฟเฟิล แป้งกรอบนอกนุ่มใน
>> สูตรทำ โยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ
ขั้นตอนการทำไอศครีม
อุปกรณ์
เครื่องปั่น
แม่พิมพ์ไอติม (แท่ง)
ส่วนผสมสำหรับทำไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน
บลูเบอรี่แช่แข็ง 100 กรัม (หรืออาจเปลี่ยนเป็นผลไม้ตามชอบ)
มะนาวเลมอน 1/2 กรัม
โยเกิร์ต 100 กรัม
น้ำตาลทราย 55 กรัม
น้ำเปล่า
เกลือป่น
วิธีทำไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน
1. ทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อม ปิดไฟ พักไว้
2. นำบลูเบอรี่ไปปั่นจนละเอียด
3. เทส่วนผสมบลูเบอรี่ โยเกิร์ต มะนาวปั่นลงในน้ำเชื่อม เติมเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วคนผสมให้เข้ากัน
4. นำน้ำเชื่อมบลูเบอรี่ผสมโยเกิร์ตผสมมะนาวไปแช่ตู้เย็นในช่องปกติ อย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน (ยิ่งดี)
5. เมื่อครบเวลา 4 ชั่วโมง เทส่วนผสมน้ำเชื่อมบลูเบอรี่ผสมโยเกิร์ตผสมมะนาวลงไปในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียด ประมาณ 30 นาที
6. เทส่วนผสมที่ปั่นเสร็จแล้วใส่ในแม่พิมพ์ไอติมจนหมด
7. นำไปแช่ช่องฟรีซอีก 3-5 ชั่วโมง ถอดไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอนออกจากแม่พิมพ์ไอศครีมจัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
อย่างไรก็ตามในช่วงโควิดแบบนี้ Amprohealth ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพและสำหรับคนที่ทำงานอยู่บ้าน (work from home) ก็สามารถทำเมนูคลายร้อนในฤดูร้อนอย่างไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่เลมอน ทำทานเองที่บ้านกับครอบครัวขั้นตอนไม่ยุ่งยากส่วนผสม เช่น โยเกิร์ต น้ำตาล ก็หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปและยังเป็นเมนูโปรดของเด็กๆ อย่าลืมลองทำทานกันดูนะค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ขนมไทยหวาน ๆ หอม ๆ
วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน
วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ( Coconut-Milk-Jelly ) คือ ขนมหวานของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ใครๆ ก็สามารถกินได้ ด้วยความอร่อยของกะทิและมะพร้าวน้ำหอม ทำให้ได้รสชาติที่หอม หวาน มัน ตัดเค็มเล็กน้อย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขนมไทยเพราะมีการคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่และหาได้ง่ายตามท้องตลาดมีส่วนผสมไม่ยุ่งยาก “ วุ้น ” เป็นขนมที่มีแทบทุกงานไม่ว่าจะเป็นในงานมงคลหรือในงานเลี้ยงต่างๆ เช่น สงกรานต์ งานแต่ง งานบวช ขึ้นบ้านใหม่ บวชนาค ทําบุญบ้าน งานเลี้ยง งานบุญ เลี้ยงเพลพระ งานปีใหม่ ทำบุญเลี้ยงพระ เป็นต้น
>> รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ
>> ประโยชน์ที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว
สูตรขั้นตอนการทำวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน
สิ่งที่ต้องเตรียม สำหรับทำ
ผงวุ้น (ยี่ห้อไหนก็ได้)
น้ำสะอาด
มะพร้าว (เนื้อมะพร้าวอ่อน)
น้ำมะพร้าว (่มะพร้าวอ่อนสด)
พิมพ์ทำวุ้น เช่น พิมพ์ซิลิโคน พิมพ์วุ้น พิมพ์ขนม ถ้วยวุ้นพลาสติกใส หรือถ้วยวุ้นอลูมิเนียม
ส่วนผสม
ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ
เนื้อมะพร้าวน้ำหอมอ่อน 2 ลูก
น้ำมะพร้าวน้ำหอม 1 ลิตร
หัวกะทิ 500 ml
น้ำสะอาด 350 ml
น้ำตาลทราย 300 g
เกลือ 1 ช้อนชา หรือตามชอบ
วิธีทำ
1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะที่มีก้นลึกพอสมควร แล้วเทผงวุ้นคนให้ผงวุ้นละลาย
2. เทน้ำมะพร้าวน้ำหอมลงไปคนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไปค่อยๆคนไม่ให้วุ้นติดก้นรอจนเดือดแล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือลงไป คนต่อให้ละลายจนหมดรอให้เดือดอีกรอบ
3. จากนั้นก็ใส่กะทิและเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไป คนพอเข้ากันดี (ปิดไฟ) ตักใส่พิมพ์ซิลิโคน พิมพ์วุ้น พิมพ์ขนม ถ้วยวุ้นพลาสติกใส หรือถ้วยวุ้นอลูมิเนียม
4. รอให้วุ้นเซตตัวก่อนประมาณ 2-3 นาที แล้วค่อยทำชั้นต่อไปจนวุ้นหมด แล้วพักให้วุ้นเซตตัวในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง
5. พอวุ้นเซตตัวแล้วนำเอาออกจากพิมพ์ จัดใส่จานตกแต่งด้วยดอกไม้จะทำให้วุ้นของคุณดูน่าทานยิ่งขึ้น พร้อมเสิร์ฟได้เลย
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรกล้วยตากทอดกรอบ
กล้วยตากทอด
กล้วยตากทอด (Fried Bananas) คือ ขนมที่ทานเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่ถูกปรับปรุงสูตรมาจากกล้วยแขก หรือ กล้วยทอด โดยใช้กล้วยตากแทนกล้วยน้ำว้าสด มาชุบแป้งทอดกรอบ ทำให้กล้วยกรอบนาน ได้ความหวานจากกล้วยและความหอมมันจากกะทิ
>> แจกสูตรขนมไข่หงส์ ขนมไข่เหี้ย ขนมโบราณไส้หอมอร่อย
>> ฟรีสูตรข้าวเม่าทอด แป้งกรอบ
ประวัติกล้วยทอดหรือกล้วยแขก
กล้วยทอด หรือ กล้วยแขก เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นของว่างกินเล่นคู่กับคนไทยมาช้านาน นิยมทานคู่กับชา แต่ไม่ทราบถิ่นกำเนิดแน่ชัด คาดว่ากล้วยแขกน่าจะเป็นอาหารที่มาจากวัฒนธรรมการปรุงอาหารของชาวอินเดีย ซึ่งจะใช้การทอด เหมือนกับถั่วทอด และบ้างก็ว่าเป็นขนมที่ชาวโปตุเกตุน้าเข้ามาประเทศไทย เลยยังเป็นข้อถกเถียงกันเรื่อยมา ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้
ขั้นตอนการทำกล้วยเล็บมือนางตากทอด
ส่วนผสม
1. กล้วยเล็บมือนางตาก 600 กรัม
2. แป้งข้างจ้าว 1½ ถ้วยตวง (150กรัม)
3. แป้งข้าวโพด ½ ถ้วยตวง (50กรัม)
4. แป้งสาลี ¼ (20กรัม)
5. กะทิ 100 ml
6. น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง (100กรัม)
7. น้ำเปล่า 100 ml
8. น้ำปูนใส 50 ml
9. เกลือ ½ ช้อนชา
10. งาขาว-ดำ (ตามชอบ)
11. ใบเตย 5 ใบ
12. น้ำมัน 1 ลิตร
13. ผงฟู 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ แป้งข้างจ้าว แป้งข้าวโพด แป้งสาลี ผงฟู เกลือ น้ำตาลทราย กะทิ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี
2. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วให้ทย่อยเติมน้ำปูนใส และน้ำเปล่าลงไปคนให้เข้ากัน ระวังแป้งข้นหรือเหลวเกินไป เติมงาขาวหรืองาดำลงไป (ถ้าแป้งข้นเกินไปจะทำให้กล้วยตอนชุบหนาไป แต่ถ้าแป้งเหลวไปจะทำให้ไม่ค่อยติดกล้วย)
3. ตั้งน้ำมันสำหรับทอดโดยใช้ไฟแรงปานกลาง
4. ใส่ใบเตยหั่นลงไปทอดก่อนเพื่อความหอมของกล้วยทอด จากนั้นให้นำกล้วยเล็บมือนางตากลงไปชุบแป้งทอดในกระทะจนกล้วยลอยขึ้นมาแล้วมีสีเหลืองนวล
5. ตักขึ้นพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ
เคล็ดลับความอร่อย
ไม่ควรใส่งาในแป้งชุบ หากยังไม่ทอดไว้นานเกินไป (จะทำให้งาขาวหรืองาดำอืดขึ้นได้) จะทำให้ไม่อร่อย
ใช้ไฟทอดแรงปานกลาง หากใช้ไฟอ่อนเกินไปจะทำให้กล้วยจะอมน้ำมัน แต่ถ้าใช้ไฟแรงเกินไปจะทำให้กล้วยตากจะไหม้ก่อนสุก
สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนอยากทานแต่กลัวว่าน้ำมันเก่า ไม่ไว้ใจร้านค้า แนะนำทำทานกันเองตามสูตรได้เลยจร้า อิ่มกันทั้งครอบครัวแถมเป็นกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย และบางทีอาจจะอร่อยจนขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ช่วงวันหยุด กำไรงาม ๆ กันไปอีกกกกก
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรข้าวเม่าทอด แป้งกรอบ
ข้าวเม่าทอด
ข้าวเม่าทอด หรือ กล้วยข้าวเม่า ( Banana Khao Mao ) คือ ขนมไทยที่ใช้ข้าวเม่าที่คลุกมะพร้าว และน้ำตาลปึกหุ้มกล้วยไข่ แล้วชุบแป้งทอดเป็นแพ วางด้านบนด้วยฝอยโรยกรอบ เป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลนิยมกินกันในวงน้ำชา หรือร้านน้ำชาต่างๆ จึงเป็นอาหารชนิดนึงที่เรือเร่ขาย โดยการพายเรือไปขายตามที่ต่างๆ ปัจจุบันข้าวเม่าทอดยังมีขายทั่วไป และมักทำขายคู่กับกล้วยแขก มันทอด เผือกทอด ส่วนผสมหลักๆ ประกอบด้วย กล้วยไข่สุกไม่งอมจนเกินไป ข้าวเม่าคั่ว น้ำตาลปีบ แป้งข้าวเจ้า มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ คือ หวาน มัน กรอบ
>> สูตรทำขนมกง หรือขนมกงเกวียน โบราณ
>> สูตรทำกระยาสารท ขนมธัญพืช
สิ่งที่ต้องเตรียม
กล้วยไข่สุกงอม 1 หวี
ข้าวเม่าแห้งที่ทำจากข้าวเจ้า
น้ำมันพืชพอประมาณ
น้ำเปล่า หรือน้ำปูนใส
ขั้นตอนการทำข้าวเม่าทอด
ส่วนผสม ข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 1)
มะพร้าวขูด 4 ขีด
ข้าวเม่าแห้งที่ทำจากข้าวเจ้า 4 ขีด
น้ำตาลปี๊บ 4 ขีด
น้ำตาลทราย 2 ขีด
ส่วนผสม แป้งชุบข้าวเม่า (ส่วนที่ 2)
มะพร้าวขูด 3 ขีด
แป้งข้าวเจ้า 2 ½ ขีด
แป้งสาลี 2 ½ ขีด
เกลือป่น ½ ขีด
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส่วนผสม ข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 1)
1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ ได้แก่ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย น้ำเปล่าเล็กน้อย
2. เทใส่ภาชนะสำหรับผสมคนทุกอย่างให้ละลายเข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอเหนียวหลังจากนั้นใส่มะพร้าวลงไปเคี่ยวต่อจนเกือบแห้ง แล้วใส่ข้าวเม่าเคี่ยวต่อจนแห้งยกลงจากเตาพักไว้ก่อน
วิธีทำส่วนผสม แป้งชุบข้าวเม่าทอด (ส่วนที่ 2)
1. เทน้ำสะอาดใส่ภาชนะเพื่อนำมาคั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิ 1 ½ ถ้วยตวง แล้วส่วนหางกะทิประมาณ 1 ½ ถ้วยตวง
นำหัวกะทิเทลงในแป้งทั้ง 2 ชนิดที่ผสมกันไว้ ใส่เกลือป่น
2. แล้วนวดให้เข้ากัน ตอกไข่ใส่ลงไปนวดต่อ รินหางกะทิลงไปผสม แล้วนวดต่อไปจนเนื้อแป้งไม่ติดมือ
วิธีทำห่อข้าวเม่าทอด
1.ใช้กล้วยไข่ที่สุกงอมนำมาปอกเปลือกให้หมด แล้วนำกล้วยไข่มาห่อด้วย (ส่วนผสมที่ 1 ห่อให้บาง) (ถ้าหนาเกินไปจะทำให้ทอดแล้วไม่กรอบ)
2.ตั้งกะทะน้ำมันให้ร้อนได้ที่แล้ว ให้นำกล้วยที่ห่อเสร็จแล้วมาชุบใน (ส่วนผสมที่ 2) แล้วนำไปทอดลงในกะทะทยอยใส่ทีละลูก หรือจะใส่เป็นคู่ก็ได้
3. เอามือจุ่มแป้งจาก (ส่วนผสมที่ 2) โรยแป้งชุบลงทอดในกระทะและคอยเขี่ยให้มารวมกันเป็นแพสังเกตแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยงาม ให้ตักช้อนแพแป้งขึ้นวางบนกล้วยที่กำลังทอด เมื่อแป้งที่ห่อกล้วยสุกเหลืองจึงตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
4.จัดจานพร้อมเสิร์ฟ
เมนูข้าวเม่าทอด ขนมไทยที่ยังมีขายในร้านกล้วยทอด ใครอยากทำเองก็ไม่ยาก วันนี้เรามีวิธีทำข้าวเม่าทอด และโรยฝอยข้าวเม่า กรอบ ๆ มาฝากกันแล้ว อย่าลืมลองทำกันดูนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรขนมกงโบราณ หรือขนมกงเกวียน
ขนมกง
ขนมกง ( Kanom Kong ) หรือขนมกงเกวียน คือ ขนมโบราณชนิดหนึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีส่วนผสมหลัก อาทิเช่น ถั่วเขียวซีก น้ำตาลปีบ น้ำตาลทราย กะทิ ขนมกงทำจากถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วให้หอมบดละเอียด กวนในน้ำตาลปึกที่ต้มกับกะทิจนเหนียวและปั้น ลักษณะเป็นวงกลมรูปล้อมมีเส้นไขว้พาดกันตรงกลางคล้ายล้อเกวียน ขนมกงถูกใช้ในพิธีมงคลโดยเฉพาะงานแต่งงานเป็นขนมขันหมาก ซึ่งมีความหมายดั่งเกวียนที่หมุนไปข้างหน้าถือเป็นการอวยพรให้บ่าวสาวครองรักกันชั่วนิรันดร์ นักแน่น มั่นคงซึ่งกันและกัน คำว่า “มงคล” หมายถึง สิ่งที่นำมาซึ่งความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง ส่วน “ขนมมงคล” หมายถึง ขนมไทยที่นำไปใช้ประกอบเครื่องคาวหวาน ถวายพระ เลี้ยงแขก ในงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น
>> แจกสูตรทำกระยาสารท ธัญพืช ทานเอง
>> งาดำ งาขาว ธัญพืชเม็ดเล็กประโยชน์ดีต่อสุขภาพ
ขั้นตอนการทำขนมกง
ส่วนผสมของขนม
วิธีทำส่วนของตัวขนมกง
1. นำถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วในกะทะ โดยใช้ไฟกลางคั่วจนถั่วกรอบแล้วนำมาบดให้ละเอียด
2. นำภาชนะสำหรับผสมกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ ยกขึ้นตั้งไฟคนให้น้ำตาลละลายและรอจนกว่ากะทิเดือดหลังจากนั้นใส่ถั่วเขียว งาขาวคั่วกวนต่อให้เข้ากันจนเหนียวปั่นได้ พักไว้ให้เย็น
3. ปั้นส่วนผสมเป็นเส้นกลมยาว ประมาณ 3-4 นิ้ว จับปลายขนมชนกันให้เป็นรูปวงกลม แล้วปั้นเป็นเส้นยาว คลึงให้กลม ตัดให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางพอดีกับวงกลม วางพาดไขว้กันเป็นรูปกากบาท
วิธีทำแป้งสำหรับชุบขนมกง
1. ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น น้ำมันพืช ค่อยๆ เติมน้ำเปล่า นวดให้แป้งจับตัวเป็นก้อน
2. เติมไข่แดงผสมให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าที่เหลือ ละลายให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3. นำขนมกงที่ปั้นไว้ ชุบลงในน้ำแป้งแล้วนำไปทอดในน้ำมันพืชที่ร้อน โดยใช้ไฟปานกลางทอดจนสุกเป็นสีเหลืองทองตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน หรือซับด้วยกระดาษสำหรับซับน้ำมัน
ขนมกงของโบราณไส้ต้องโปร่ง แป้งที่เคลือบต้องมีเม็ดพอง ๆ ขึ้นตามวงขนม ซึ่งเรียกกันว่าหัวแก้วหัวแหวน ยิ่งขึ้นเยอะยิ่งดี สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้สำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรขนมไข่โบราณ
ขนมไข่
ขนมไข่ ( Egg dessert ) คือ ขนมทำด้วยแป้งสาลี ไข่ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่พิมพ์รูปต่าง ๆ ผิงเตาถ่านหรืออบไมโครเวฟให้สุก สูตรขนมไทยโบราณยังไม่พบหลักฐานแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย " ขนมไข่ " เป็นขนมที่ใช้แม่พิมพ์เดียวกันกับ "ขนมอาเกาะ" ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองขึ้นชื่อของ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ของบ้านเรา ลักษณะเป็นวงรียาวหรือวงกลมคล้ายดอกไม้ มีส่วนผสมหลักที่คล้ายๆ กัน หรือในบางพื้นที่ก็เรียก เค้กไข่โบราณ ปัจจุบับขนมไข่มีการประยุกต์ให้มีไส้ต่าง ๆ เช่น ใบเตย กล้วยหอม เผือก ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ ส้ม บลูเบอรี่ คัสตาร์ด วานิลลา เป็นต้น
>> สูตรแพนเค้กทำเองได้ไม่ยาก
>> แจกสูตรทำเค้กไข่ไต้หวัน เนื้อเนียนนุ่ม หอมอร่อย
วิธีทำขนมไข่โบราณ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม สำหรับทำขนมไข่
พิมพ์ขนมไข่
ไมโครเวฟ
ส่วนผสม แป้งขนมไข่
1. แป้งเค้ก 90 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. ไข่ไก่ (เบอร์ 1) 3 ฟอง
4. น้ำตาลทราย 100 กรัม
5. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
6. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
7. น้ำเปล่า
8. น้ำมัน หรือเนย สำหรับทาบนพิมพ์ขนมไข่
ขั้นตอนการทำขนมไข่ (สูตรขนมไทยโบราณ)
1. นำส่วนผสมต่อไปนี้ร่อนเตรียมไว้ แป้งเค้ก ผงฟู เกลือ
2. ตีไข่ขาวจนเป็นฟองหยาบ ตามด้วยครีมออฟทาร์ทาร์ตีต่อให้เข้ากัน
3. แล้วค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายลงไปตี แล้วตีต่อจนตั้งยอด
4. ใส่ไข่แดงลงไปแล้วตีให้เข้ากัน เติมกลิ่นวานิลลา น้ำเปล่าลงไปตีพอให้เข้ากันดี
(สังเกตเนื้อแป้งจะเริ่มฟูขึ้นมาพอประมาณ) นำแป้งที่ร่อนแล้วทยอยใส่ลงไปในส่วนผสมที่ตีไว้ (แบ่งร่อนสัก 2 รอบ)
ใช้ตะกร้อมือตะล่อมส่วนผสมและแป้งขนมไข่ให้เข้ากัน
5. เทแป้งใส่ถุงบีบ หรือภาชนะที่ตักได้สะดวก
6. ใช่แปรงซิลิโคนจุ่มน้ำมันหรือเนยทาลงพิมพ์ขนมไข่
7. ใช้ไฟกลางถ้าเป็นตาแก๊ส หรือไมโครเวฟ
8. หยอดแป้งขนมไข่ลงไปในพิมพ์ แล้วนำไปอบใช้ (ไฟบน-ล่าง) ที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส อบประมาณ 10 นาที จะสังเกตเห็นเมื่อขนมไข่เริ่มสุกแป้งจะฟูขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แสดงว่าสุกแล้วให้นำออกจากแซะขนมไข่ออกจากพิมพ์พร้อมเสิร์ฟได้เลย
สำหรับคนที่ต้องการโรยหน้า หรือสอดไส้ขนมไข่ให้ดูน่าทานยิ่งขึ้น เช่น ลูกเกด ฝอยทอง ผลไม้รวม ธัญพืช หรือขนมไข่สอดไส้แยมต่างๆ เช่น แยมสตอเบอรี่ แยมส้ม แยมมะม่วง แยมมัลเบอรี่ แยมสับปะรด ไส้ครีม ไส้คัสตาร์ด สังขยาใบเตย สังขยาชาไทย หรือแยมช็อคโกแลต เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ครัวซองต์ กรอบนอก นุ่มใน ( Croissant )
ครัวซองต์
ครัวซองต์ ( CROISSANT ) คือ ขนมอบชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของเนย ม้วนและพับไปมาเป็นชั้น ๆ แล้วนำเข้าตู้อบ เมื่อเสร็จแล้วจะได้ขนมปังรูปจันทร์เสี้ยว ซึ่งคำว่าครัวซองมักถูกเขียนผิดบ่อยๆ แท้จริงแล้วคำที่เขียนถูกต้อง คือ ครัวซองต์ ปัจจุบันครัวซองมีรสชาติอร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อาร์เจตินา อิตาลี โปแลนด์ อเมริกา ประเทศไทย และประเทศอื่นๆอีกมากมาย เนื่องด้วยความโดดเด่นของรูปแบบที่แปลกตา ความหลากหลายของไส้ เช่นชาเขียว ช็อกโกแลต ไข่เค็มลาวา มัลเบอรี่ แยมสับปะรด ไส้ครีม ไส้คัสตาร์ด สังขยาใบเตย แฮมชีส และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
>> แจกสูตรทำกะหรี่ปั๊บไส้แน่นๆ
>> สูตรทำมัฟฟินช็อกโกแลตชิพ สไตล์อังกฤษ
ประวัติความเป็นมาของครัวซองต์
ในตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งสงครามในปี 1638 กองทัพเติร์กยกทัพมาตีกรุงเวียนนาของออสเตรีย ได้ล้อมเมืองอยู่นานก็ยังไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าเมืองได้กองทัพเติร์กจึงวางแผนขุดอุโมงค์เพื่อจะบุกเข้าเมือง แต่ในค่ำคืนหนึ่งระหว่างที่ศัตรูกำลังเร่งขุดอุโมงค์ ซึ่งกลุ่มคนทำขนมปังชาวเวียนนาได้อบขนมปังในห้องใต้ดินตอนกลางคืนได้ยินเสียงทหารเติร์กเลยรีบไปแจ้งทางการทหาร จนในที่สุดทางการก็สามารถขับไล่กองทัพเติร์กให้ถอยกลับไปได้ ทั้งเมืองจึงเฉลิมฉลองชัยชนะ จึงมีการทำขนมปังรูปพระจันทร์เสี้ยว "คิปเฟิร์ล" ขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการสดุดีให้กับเหล่าคนทำขนมปังที่คอยทำหน้าที่สอดส่องเป็นการรำลึกถึงชัยชนะ ต่อมาปี 1770 พระนางมารี อังตัวเน็ตต์ เจ้าหญิงจากออสเตรียได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศสเกิดคิดถึงบ้านเลยสั่งให้พ่อครัวชาวฝรั่งเศสในวังทำขนมคิปเฟิร์ลมาถวาย ซึ่งพ่อครัวได้ดัดแปลงสูตรใหม่กลายเป็นขนมปังครัวซองต์
ขั้นตอนการทำครัวซองต์
ส่วนผสมแป้งครัวซองต์
1. แป้งขนมปัง 280 กรัม
2. น้ำตาลทราย 30 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม
4. ยีสต์ 5 กรัม
5. นมสด 50 มิลลิลิตร
6. เนยจืด 20 มิลลิลิตร
7. น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร
ส่วนผสม สำหรับทาหน้าครัวซองต์
ไข่ 1 ฟอง ( เฉพาะไข่แดง )
นมสดเล็กน้อย
วิธีทำครัวซองต์
1. นำส่วนผสมทั้งแป้งขนมปัง น้ำตาล เกลือ ร่อนใส่ภาชนะสำหรับผสมตัวแป้งครัวซองต์
2. เทยีสต์ผงลงไปในแป้ง ตามด้วยนมสด เนยจืดที่ละลายแล้วผสมให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
ไม่มีเศษแป้งติดภาชนะ ( พักแป้งโดยใช้พลาสติกใสปิดไว้ 30 นาที )
3. จากนั้นโรยแป้งนวลบนแผ่นซิลิโคนสำหรับนวดแป้ง นวดต่อจนแป้งเป็นเนื้อเนียน
4. นำแป้งที่นวดจนเป็นแผ่นแบนๆ แล้วเก็บใส่ถุงปิดมิดชิด นำเข้าแช่เย็นไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
5. หั่นเนยจืดเป็นชิ้นขนาดพอดี แล้วนำไปนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำไปแช่เย็นให้เซ็ตตัวก่อนนำมาใช้
6. นำแป้งที่พักไว้ออกมาโดยโรยแป้งนวลบนแผ่นซิลิโคนสำหรับนวดแป้ง ให้รีดแป้งขนาดสองเท่าของแผ่นเนย
จากนั้นนำเนยที่แช่เย็นไว้มาวางลงบนแป้งที่รีดไว้ ปิดเนยด้วยแป้งให้สนิท
7. จากนั้นใช้ไม้นวดแป้งกดเบาๆ เพื่อเป็นการล๊อคแป้ง แล้ว (รีดแป้ง ครั้งที่ 1) ให้มีขนาด 18x38 เซนติเมตร ( ก่อนพับให้ตัดขอบส่วนเกินเล็กน้อย ) พับแป้งให้ได้ 3 ทบ แล้วนำไปแช่เย็นอีก 30 นาที
8. ( รีดแป้งครั้งที่ 2 ) โรยแป้งนวลบนแผ่นซิลิโคนสำหรับนวดแป้ง ให้มีขนาด 18x38 เซนติเมตร พับแป้งให้ได้ 3 ทบแล้วนำไปแช่เย็นอีก 30 นาที
9. ( รีดแป้งครั้งที่ 3 ) ขั้นตอนการทำเหมือนการรีดครั้งที่1 และ2 ทำแบบเดิม แล้วนำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย...
ขนมใส่ไส้ หรือขนมสอดไส้
ขนมใส่ไส้ หรือขนมสอดไส้
ขนมใส่ไส้ หรือขนมสอดไส้ (Steamed flour with coconut filling) คือ ขนมที่ใช้แป้งข้าวเหนียวขาวและแป้งข้าวเหนียวดำ ข้างในเป็นไส้มะพร้าวเคี่ยวน้ำตาล หยอดด้วยแป้งข้าวเจ้า กะทิ และเกลือ ที่กวนสุก แล้วห่อด้วยใบตองให้เป็นทรงสูงแล้วคาดด้วยทางมะพร้าว ตัวขนมมีกลิ่นหอม ไส้หวาน เค็มมันด้วยกระทิที่ข้น เป็นขนมไทยที่ใช้ในงานมงคล โดยเฉพาะพิธีงานหมั้น ที่มีการแห่ขันหมากเพื่อไปสู่ขอเจ้าสาว ในขันหมากจะมีขันหมากเอกกับขันหมากโท ซึ่งขนมที่ใช้ในขันมากโทมี 9 อย่าง โดยมีขนมใส่ไส่เป็นหนึ่งในนั่น
>> แจกสูตรทำขนมต้ม แป้งเหนียวหนึบ
>> แจกสูตรสาคูไส้หมู ไส้แน่น เหนียวนุ่ม
ที่มาของชื่อขนมใส่ไส้
คนโบราณมักจะเรียก ขนมใส่ไส้ หรือขนมสอดไส้ว่า ขนม 3 ไฟ ที่มาของขนม 3 ไฟ คือการทำให้สุก 3 ครั้ง
ไฟที่ 1 เป็นการกวนไส้ การกวนไส้ก็จะประกอบไปด้วย มะพร้าวทึนทึกกับน้ำตาล มะพร้าวทึนทึกคือมะพร้าวที่ไม่แก่เกินไปไม่อ่อนเกินไป แล้วจึงนำไปอบกับควันเทียน
ไฟที่ 2 คือการนำกะทิมากวนเป็นการสุกครั้งที่สอง
ไฟที่ 3 คือการนำทั้งสองมาห่อใส่ในใบตอง แล้วก้นำไปนึ่ง เป็นการสุกสามไฟ
ขั้นตอนการทำขนมใส่ไส้
ส่วนผสมตัวขนม
แป้งข้าวเหนียว 90 กรัม
น้ำสำหรับนวดแป้ง 75-80 กรัม (น้ำลอยดอกมะลิ หรือน้ำใบเตย หรือน้ำอัญชัน)
วิธีทำตัวขนม
1. ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำที่เตรียมไว้ทีละน้อย ๆ นวดจนแป้งนุ่ม
2. แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม หนักประมาณ 4 กรัม
ส่วนผสมหน้าขนม
แป้งข้าวเจ้า 60 กรัม
กะทิข้น 670 กรัม
เกลือ 6 กรัม
น้ำตาลทราย 30 กรัม
วิธีทำหน้าขนม
1. นำกะทิ ผสมกับแป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาลทราย คนให้ละลาย
2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟกลาง กวนจนข้นเหนียวแล้วยกลง
ส่วนผสมไส้ขนม
มะพร้าวขูดทึนทึก 200 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 130 กรัม
เกลือ 2 กรัม
วิธีทำไส้ขนม
1. ขูดมะพร้าวทึนทึกเป็นเส้น
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ และเกลือลงในกระทะ ใช้ไฟกลางเคี่ยวจนเหนี่ยวเป็นยาง
3. ใส่มะพร้าวลงไปกวนจนเริ่มแห้งเหนียวจนปั้นได้ ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
4. จากนั้นนำไส้ไปอบควันเทียนให้หอม
วิธีการห่อขนม
1.เจียนใบตองเป็นวงรี มีชั้นนอกและชั้นใน (หรือจะทำเป็นกระทงก็ได้) ทำเตี่ยวสำหรับคาดเตรียมไว้ (ใบมะพร้าว)
2. วางใบตองซ้อนกัน 2 ชั้น
3. ตักหน้าขนมใส่ใบตอง 1 ช้อนชา รองพื้นแล้ววางไส้ที่ปั้นเตรียมไว้ และตักหน้าขนมอีกประมาณ 1 ช้อนชา
4. ห่อให้ได้ทรงสูง ใช้เตี่ยวคาด กลัดด้วยไม้กลัด
ขั้นตอนการนึ่งขนม
1. ใส่น้ำ 1/2 ของลังถึงตั้งให้เดือด
2. เรียงขนมใส่ลังถึงนึ่งให้สุกประมาณ 15-20 นาทียกลง
ขนมใส่ไส้เป็นขนมโบราณที่มีรสชาติอร่อย หวาน หอมควันเทียนแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนไส้เป็นไส้ต่างๆได้ เช่น เผือก มันม่วง ฟักทอง ใบเตย เป็นต้น และทำขายเป็นอาชีพเพิ่มรายได้ได้อีกด้วย สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรกระยาสารทโบราณ กระยาสารทธัญพืช
กระยาสารท
กระยาสารท ( Krayasart ) คือ ขนมโบราณที่นิยมใช้ในงานบุญสมัยก่อนที่เกี่ยวโยงกับพุทธศาสนามาช้านานตั้งแต่บรรพบุรุษ จากข้าวมธุปายาสที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นขนมกระยาสารทที่ใช้สำหรับงานบุญเดือนสิบ กระยาสารทนิยมทำกันในแรม 15 ค่ำ เดือน 10 หรือ วันสารทไทย ถือว่าเป็นประเพณีของภาคกลาง คำว่า "สารท" เป็นคำอินเดีย หมายถึง “ ฤดู ” เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ญาติหรือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นขนมในงานบุญอย่างแท้จริง วัตถุดิบหลักๆ คือพวกธัญพืช ได้แก่ ข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา กะทิ เกลือป่น น้ำตาล หรือน้ำอ้อย เคล็ดลับการรับประทานกระยาสารทให้อร่อย คนไทยโบราณบอกให้รับประทานคู่กับกล้วยไข่ ทำให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น
>> น้ำตาลมะพร้าวออแกนิคดีอย่างไรต่อสุขภาพ
>> งาดำ งาขาว ธัญพืชเม็ดเล็กประโยชน์ดีต่อสุขภาพ
ประวัติขนมกระยาสารท
ในสมัยครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ มีเปรตตนหนึ่งปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรู เปรตตนนั้นได้เผยความจริงว่า ตนเคยเป็นพระสงฆ์แต่มีความโลภจึงต้องชดใช้กรรมเป็นเปรต แล้วเปรตตนนั้นก็ขอให้พระองค์พระราชทานกระยาสารท ซึ่งปรุงแต่งด้วยของ 7 อย่าง ได้แก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง ถั่ว งา ข้าวตอก ข้าวเม่า น้ำนมวัว เพื่อประทังความหิวโหย ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นตรงซึ่งกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทำขนมกระยาสารทแล้วกรวดน้ำอุทิศให้แก่เปรตตามที่ขอ
ขั้นตอนการทำขนมกระยาสารท
ส่วนผสม ขนมกระยาสารท
วิธีทำ ขนมกระยาสารท
1. ตั้งกระทะสำหรับกวน เปิดไฟอ่อนๆ พอร้อน นำกะทิทั้งสองชนิดผสมลงไปตามด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ คนจนส่วนผสมละลาย เคียวให้เหนียว
2. นำข้าวตอก ถั่วลิสง งาขาว และข้าวเม่าเทลงไป ใช้ไฟกลางเคียวต่อจนส่วนผสมเข้ากันดีรอจนเริ่มงวด
3. จึงใส่แบะแซ กวนจนส่วนผสมเหนียวมากขึ้นอีกครั้ง ยกลงเทใส่ถาด รอตัดเสิร์ฟ
นอกจากนี้ขนมกระยาสารทยังมีประโยชน์ในด้านฟื้นฟูพลังงานให้นักกีฬาหลังแข่งเสร็จ ประกอบของกระยาสารทจะมีกะทิ ธัญพืช และน้ำตาลที่ร่างกายน้ำมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องกาย และสามารถให้พลังงานแก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เช่น โปรตีน ไขมัน วิตามินบี วิตามินอี ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ทองแดงฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โครเมียม สังกะสี Medium-Chain Triglycerides
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรขนมครกสิงคโปร์
ขนมครกสิงคโปร์
ขนมครกสิงคโปร์ คือ ขนมไทยอีกชนิดที่ใช้แป้งสาลี ไข่ไก่ น้ำตาลทราย ต้มกับใบเตยและกะทิ แล้วนำไปหยอดพิมพ์ ซึ่งที่มีชื่อเรียกหลากหลายเช่น ขนมครกใบเตย ขนมเขียว จอร้อ ชาราบี ซึ่งขนมครกสิงค์โปร์นั้นมีรูปลักษณะที่จำง่ายและสะดุดตาคือรูปดอกไม้มีสีเขียวสดใส มีใบเตยและกะทิเป็นส่วนผสมหลัก รสชาติหอมหวาน มีเนื้อสัมผัสนุ่มหนึบใครยังไม่ได้ชิมถือว่าพลาด ปัจจุบันมีการปรับสูตรลดความหวานลงเพื่อให้เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ หรือควบคุมน้ำหนักที่ต้องการทานขนมหวาน เช่น ขนมครกใบเตย ขนมครกฟักทอง ขนมครกผักโขม ขนมครกชาไทย ขนมครกมันม่วง ขนมครกบร็อกโคลี่ ขนมครกแครอท ขนมครกอัญชัน
>> สูตรทำขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด
>> สูตรขนมต้ม ขนมโบราณนุ่มเหนียว
เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำขนมครกสิงคโปร์
1. พิมพ์เหล็กลายดอกมะยม
2. เตาแก๊ส
3. ไม้สำหรับแซะขนม
4. กระบวยหรือขวดบีบ (สำหรับใส่แป้งที่ผสมแล้ว)
5. ตะแกรงเหล็ก หรือภาชนะ (สำหรับวางพักขนมครกสิงคโปร์)
6. ตะกร้อมือ
7. ที่ร่อนแป้งแบบละเอียด
วัตถุดิบสำหรับทำขนมครกสิงคโปร์
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วยตวง
2. น้ำใบเตยเข้มข้น 1 ถ้วยตวง
3. นมรสจืด 1 ถ้วยตวง
4. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
6. ไข่ไก่ 2 ฟอง
7. ผงฟู 2 ช้อนชา
8. เกลือ 1/4 ช้อนชา
9. น้ำมันพืช ( สำหรับทาพิมพ์ )
ขั้นตอนการทำขนมครกสิงคโปร์
1. เริ่มจากการนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ทั้ง แป้งสาลี แป้งมัน และผงฟู มาเทใส่ที่ร่อนแป้งแบบละเอียดร่อนแป้งให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงในส่วนผสมกับแป้ง แล้วเคล้าให้ส่วนผสมแป้งและน้ำตาลเข้ากัน
3. ใส่ไข่ไก่ลงไปใช้มือนวดเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วค่อยๆ ใส่น้ำกะทิ และนมสดรสจืดตามลงไปทีละน้อย
4. จากนั้นใส่น้ำใบเตยใช้ทัพพีคนจนน้ำตาลละลาย ตั้งพักไว้ 20 นาที
5. นำเตาขนมครกวางบนเตาแก๊ส ใช้ไฟอ่อนที่สุด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำมันทาเตาบางๆ จากนั้นตักแป้งหยอดลงในเตาไม่ต้องเต็ม รอสักพักขนมครกใบเตยจะเริ่มฟูขึ้นมา ปิดฝาเพื่อให้ขนมขนมครกใบเตยสุกเร็วขึ้น
6. เมื่อขนมสุกแล้วใช้ไม้ปลายแหลม หรือไม้จิ้มฟันแซะขึ้นมาจากพิมพ์ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
เมนูขนมครกสิงคโปร์ หรือขนมครกใบเตย สามารถทำได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะทำกินเองกับครอบครัว หรือทำขายสร้างรายได้ก็ดี แถมวัตถุดิบก็หาซื้อง่ายราคาไม่แพง อย่าลืมลองทำกันดูนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ขนมครก สูตรโบราณ
ขนมครก
ขนมครก ( Ka Nom Krok ) คือ ขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งน้ำตาลและกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เป็นแผ่นวงกลม เมื่อสุกแล้วแคะออกมาวางประกบกันตอนรับประทาน เป็นขนมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ
>> แจกสูตรขนมไข่หงส์ ขนมไข่เหี้ย ขนมโบราณไส้หอมอร่อย
>> สูตรข้าวต้มมัด หอมหวานมันอร่อย
ขนมครก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้รับความนิยมมายาวนานถือได้ว่าอยู่คู่กับคนไทย ซึ่งมีหลักฐานว่าสูตรโบราณเป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ถูกยกให้ทั้งในเรื่องความอย่าง รสชาติหวานมันเค็มเล็กน้อย กลมกล่อม มีกลิ่นหอมของกะทิ ซึ่งแบบดั้งเดิมใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำแล้วนำไปโม่รวมกับหางกะทิ ผสมเกลือเล็กน้อยใช้เป็นตัวขนม ส่วนหน้าเป็นหัวกะทิ ทำง่าย ต้นทุนต่ำ แถมยังราคาไม่แพง คนกินก็ถูกปากคนขายก็กำไรงาม หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป ขนมครบเริ่มมีการคิดค้นสูตรใหม่ๆ ออกมามากมายปรับให้เข้ากับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมครกชาววัง ขนมครกใบเตย ขนมครกยกถาด ขนมครกไส้ทะลัก ขนมครกม้วน ขนมครกแฟนซี มีการดัดแปลงให้ดูน่ากินมากยิ่งขึ้นเพิ่มสีสันของตัวแป้ง และโรยหน้าตามใจชอบ เช่น ข้าวโพด ต้นหอม เผือก ฟักทอง มันม่วง มะพร้าวอ่อน ลูกเกด ฝอยทอง มันแครอท ถั่วแดง ถั่วดำ
ขั้นตอนการทำขนมครก
อุปกรณ์สำหรับทำ
1. เครื่องโม่แป้ง (ในกรณีทำแป้งสด)
2. เบ้า หรือพิมพ์กระทะ
3. กาสำหรับหยอดแป้ง
4. ลูกประคบ (ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว)
5. ช้อนสำหรับแคะ
เคล็ดลับทำให้แป้งร่อน กรอบ
1.วอมเตา (สำหรับเตาแก๊ส) หรือตั้งเตาไฟให้ร้อนพอดีๆ ไฟกลางๆ (หากความร้อนน้อยเกินไปจะทำให้แป้งด้าน) แต่ (ถ้าร้อนมากเกินไปเวลาหยอดแป้งจะทำให้น้ำมันกระเด็นออกมา)
2.ทาน้ำมันให้ทั่วเบ้าขนมครก
3.หยอดแป้งลงไปครึ่งเบ้า แล้วทำการยกพิมพ์กระทะขนมครกขึ้น วนเร็วๆ ให้แป้งเต็มครบทุกเบ้า แล้วค่อยหยอดหน้ากะทิลงไป
เตรียมส่วนผสมแป้ง
วิธีทำแป้ง
1.นำส่วนผสมต่อไปนี้ แป้งข้าวเจ้า น้ำสะอาด น้ำปูนใส เทลงในภาชนะคนจนกว่าจะเข้ากัน
2.เติมกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น แล้วคนให้เข้ากัน
เตรียมส่วนผสม กะทิสำหรับหยอดหน้า
วิธีทำ กะทิสำหรับหยอดหน้า
1.นำส่วนผสมต่อไปนี้ หัวกะทิ หางกะทิ เกลือป่น น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน
2.นำไปตั้งไฟ คนให้น้ำตาลและเกลือละลาย จากนั้นยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
3.ใส่ภาชนะเตรียมหยอดหน้า
วิธีทำขนมครก
1. ตั้งกระทะขนมครก ใช้ไฟอ่อนปานกลาง รอจนเตาร้อนเต็มที่
2. นำลูกประคบ (ซึ่งด้านในทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว) นำลูกประคบแตะน้ำมันพืชแล้วเช็ดที่เบ้าขนมครกให้ครบทุกเบ้า
3. ตักตัวแป้งขนมครบใส่ในกาแล้วค่อยๆหยอดแป้งลงในเบ้าปริมาณ 3/4
4. เสร็จแล้วให้ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที
4. ตักหางกะทิใส่ในกาแล้วค่อยๆหยอดตามด้วยหัวกะทิ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อ 1 เบ้า
5. โรยหน้าตามใจชอบ ปิดฝาทิ้งไว้ รอจนขอบแป้งเหลือง ใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ภาชนะที่เตรียมไว้
เพื่อน ๆ คนไหนอยากลองทำขนมครกหน้าต่างๆก็สามารถทำได้ตามใจ และที่สำคัญไส้หนัก ๆ ทำเองแคะเองกินแล้วเต็มปากเต็มคำสุด ๆ ต้องการสั่งซื้อไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรวิธีทำขนมต้ม แป้งเหนียวหนึบ
ขนมต้ม
ขนมต้ม ( Ka Nom Tom ) คือ ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ใส่ไส้มะพร้าวขูดมาเคี่ยวกับน้ำตาลจนเหนียว ลงไปต้มให้สุก โรยด้วยมะพร้าวขูด ขนมต้มแบบดั้งเดิมจะเป็นขนมต้มขาว ปัจจุบันมีการประยุกต์เติมสีเป็น ขนมตั้มสี่สี เพิ่มสีสันความสวยงามชวนรับประทาน
>> แจกสูตรสาคูไส้หมู ไส้แน่น เหนียวนุ่ม
>> สูตรข้าวต้มมัด หอมหวานมันอร่อย
ประวัติขนมต้ม
ขนมต้มเป็นขนมที่มีหลักฐานกล่าวอ้างว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เข้ามาพร้อมกับศาสนาพราหมณ์และลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า โดยเชื่อกันว่าพระพิฆเนศโปรดขนมนี้มาก ครั้งหนึ่งเสวยเข้าไปจนเต็มพุง เมื่อขี่หนูกลับวิมาน ระหว่างทางหนูมาเจองู ตกใจจึงหยุดทันที พระพิฆเนศตกจากหลังหนู พุงแตก พระพิฆเนศเสียดายขนมจึงกอบเข้าใส่พุงใหม่แล้วเอาซากงูที่ตีตายแล้วมาพันพุงไว้ แล้วจึงกลับไปวิมาน ต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในพิธีบวงสรวงเทวดา ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น ยกเสาเอก ตั้งศาลพระภูมิ ในประเพณีสู่ขอแต่โบราณซึ่งบางท้องที่ใช้ขนมต้มด้วย
วิธีทำขนมต้ม
ส่วนผสม ไส้ขนมต้ม (มะพร้าวผัด)
ส่วนผสม แป้งขนมต้ม
ส่วนผสม มะพร้าวสำหรับคลุก
ขั้นตอนการทำขนม
1.ทำไส้ขนมโดยนำน้ำตาลปี๊บมาตั้งไฟให้ละลายแล้วใส่มะพร้าวขูดลงไป 500 กรัม เคี่ยวจนเหนียว ปั้นได้ จึงปั้นเป็นลูกกลมๆ
2.ทำตัวขนมโดยการนำแป้งข้าวเหนียวมาผสมน้ำใบเตยทีละนิดแล้วนวดจนแป้งไม่ติดมือ
3.นำแป้งมาแบเป็นวงกลม แล้วนำไส้มาวางตรงกลางแล้วห่อปิดให้มิด
4.แล้วนำไปต้มน้ำเดือด จนแป้งลอยขึ้นมาเป็นอันสุก ตักมาใส่น้ำเย็น แล้วเอาขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
5.นำมะพร้าวขูดส่วนที่เหลือมาคลุกเกลือนิดหน่อยแล้วนำแป้งที่สุกแล้วมาคลุกให้ทั่วทั้งลูก
สำหรับวิธีทำขนมต้มนั้น ไม่ยุ่งอยากอย่างที่คิด ซึ่งวัตถุดิบก็มีแค่มะพร้าว แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลปี๊บ แถมยังสามารถทำให้มีสีสันตามชอบได้อีก หยุดอยู่บ้านอย่าลืมลองทำกันดูนะคะ และใช้เวลาไม่นาน
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรขนมไข่หงส์ ขนมไข่เหี้ย ขนมโบราณไส้หอมอร่อย
ขนมไข่หงส์ ขนมไข่เหี้ย
ขนมไข่หงส์ ขนมไข่เหี้ย (ka-nom-kai-hong) คือ ของหวานชนิดหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ ทำจากแป้งข้าวเหนียวแป้งข้าวเจ้า มีไส้ถั่วเขียวผัดเค็มด้านใน และมีน้ำตาลเคลือบด้านนอก
>> แจกสูตรกะหรี่ปั๊บ ขนมของฝากยอดฮิต
>> แจกสูตรขนมไหว้พระจันทร์ ( Mooncake )
ประวัติขนมไข่หงส์
สมัยก่อนมีตำนานเล่าว่า เจ้าจอมแว่นหรือที่เรียกกันว่า คุณเสือ เป็นต้นคิดทำขนมไข่เหี้ยขึ้นเป็นครั้งแรก คือครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1) มีพระประสงค์จะเสวยไข่เหี้ย ซึ่งในสมัยนั้นกินกับมังคุด แต่ว่าไข่เหี้ยในระยะนั้นหายาก เจ้าจอมแว่นจึงได้ประดิษฐ์ขนมไข่เหี้ยขึ้นถวายแทน
ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ
ส่วนผสมแป้งขนมไข่หงส์
ขั้นตอนการทำขนมไข่หงส์
วิธีทำตัวแป้ง
1. ผสมน้ำตาลทราย น้ำกะทิ นำไปตั้งไฟพอน้ำตาลทรายละลาย ยกลง
2. ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้ารวมกัน แล้วใส่กะทิที่เตรียมไว้ลงไป จากนั้นนวดจนแป้งนุ่มแล้วพักไว้
วิธีทำไส้
1. โขลกรากผักชี พริกไทย กระเทียม ให้ละเอียด (3 เกลอ)
2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ นำ 3 เกลอที่เตรียมไว้ลงผัดให้หอม ใส่ถั่วเขียวซีกบด น้ำตาลและเกลือ ถ้าส่วนผสมแห้งเติมน้ำเล็กน้อย ผัดจนน้ำตาลละลาย แล้วยกลง
3. จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1/2 นิ้ว สั่งซื้อผงไส้ถั่วเขียวกวน ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป คลิ๊ก @ Desserts Mate หรือสอบถาม 085-509-6624
วิธีปั้นแป้งขนมไข่หงส์
1. แบ่งแป้งแต่ละก้อนให้มีขนาดใหญ่กว่าไส้ แผ่แป้งให้เป็นแผ่นกลมหนาประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร
2. นำไส้ที่ปั้นเตรียมไว้ใส่ตรงกลางแป้ง ห่อหุ้มไส้ให้มิด และทำจนหมดเครื่องที่เตรียม
วิธีทอด
ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟพอร้อน ใส่ขนมที่ปั้นไว้ อย่าให้แน่นกระทะ คอยคนขนมเบาๆ ทอดจนขนมเหลือง แล้วตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
วิธีเคลือบ
ผสมน้ำตาล น้ำ ใส่ลงในกระทะนำไปตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนเหนียวและเดือดเป็นฟองเล็ก ๆ เต็มกระทะ ยกลงจากเตา ใส่ขนมที่ทอดแล้วลงไปคลุกให้เคลือบทั่วก้อน จนน้ำตาลตกผลึกเคลือบเป็นสีขาวและแห้งสนิท แล้วใจจานเสริฟ
ขั้นตอนการทำดูแล้วอาจจะมีขั้นตอนหลายขั้นสักหน่อย ลองค่อยๆปรับสูตรให้ได้รสที่ต้องการ หรืออยากทำขายก็สามารถปรับเพิ่มส่วนผสมตามสัดส่วนได้ตามต้องการเลยนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรบ๊ะจ่าง แบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำได้
บ๊ะจ่าง
บ๊ะจ่าง ( Zongzi ) หรือ ขนมจ้าง คือ อาหารคาวของจีนชนิดหนึ่ง ทำด้วยข้าวเหนียวนำมาผัดน้ำมัน มีไส้หมูเค็มหรือหมูพะโล้ กุนเชียง ไข่เค็มเฉพาะไข่แดง กุ้งแห้ง เห็ดหอม เป็นต้น ห่อด้วยใบไผ่แล้วนึ่งให้สุก เป็นอาหารที่คนจีนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อย่าง เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง
>> แจกสูตรข้าวต้มมัด ขนมไทยโบราณ
>> พริกไทย เครื่องเทศมหัศจรรย์ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
ประวัติเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง
สำหรับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (端午节 ตวนอู่เจี๋ยหรือ เทศกาลตวงโหงว) เป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจีน (จันทรคติ) ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน 2559 เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่ ชวีหยวน ขุนนางผู้รักชาติแห่งแคว้นฉู่ นอกจากนี้ ในประเทศจีน บริเวณแม่น้ำฉางเจียน (แยงซีเกียง), ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมีการละเล่นแข่งเรือมังกร ที่เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่
พิธีการไหว้บ๊ะจ่าง
ปัจจุบัน คนจีนจะไหว้ในตอนเช้า โดยไหว้ด้วยธูป 3 ดอก หรือ 5 ดอก การไหว้ด้วยธูป 5 ดอก เพื่อระลึกถึงครูบาอาจารย์ พ่อแม่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตามหลัก 5 ธาตุ ( โหงวเฮ้งของจีน ) ประกอบด้วย ธาตุดิน ทอง น้ำ ไม้ และไฟ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับวิถีชีวิตโดยตรง และถ้าเป็นการไหว้ในไทย ช่วงเช้าก็จะไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ แต่ที่พิเศษหน่อยก็ตรงที่มีบ๊ะจ่างเพิ่มเข้ามา
วิธีทำบ๊ะจ่าง
อุปกรณ์
1. ใบไผ่ (แช่น้ำทิ้งไว้จนนิ่ม และต้มฆ่าเชื้อแล้ว)
2. เชือกสำหรับมัด
ส่วนผสมไส้เผือกกวน (โอวหนี่)
ส่วนผสมไส้เค็ม
ข้าวเหนียว (แช่น้ำ 1 ชั่วโมง หรือข้ามคืน)
เห็ดหอม (แช่น้ำจนนิ่ม หั่นชิ้น)
กุ้งแห้ง
ถั่วลิสงดิบ
แปะก๊วย
ซีอิ๊วขาว
ซีอิ๊วดำ
น้ำตาลทราย
พริกไทยป่น
ไข่แดงเค็ม
กุนเชียง
เนื้อหมู (หั่นเป็นชิ้นบาง)
วิธีทำไส้เค็ม
1. ผัดเห็ดหอมกับน้ำมันจนหอม ใส่กุ้งแห้ง ถั่วลิสงดิบ และข้าวเหนียวที่แช่เตรียมไว้ลงไปผัด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำเล็กน้อย น้ำตาลทราย และพริกไทยป่น ผัดจนเข้ากันดี ชิมรสให้เข้มข้น
2. หมักหมูกับซี้อิ๊วขาว เตรียมไว้
วิธีห่อ
1. ซ้อนใบไผ่ 2 ใบ พับเข้าหากันเป็นทรงกรวย
2. ตักข้าวเหนียวที่ผัดเตรียมไว้ลงไป
3. แต่งหน้าด้านบนด้วยเม็ดแปะก๊วย ไข่แดงเค็ม กุนเชียง และหมู
4. จากนั้นทับด้วยข้าวเหนียวผัดอีกครั้ง ห่อให้เป็นทรงสามเหลี่ยม มัดด้วยเชือกฟาง
5. เสร็จแล้วนำไปนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนข้าวข้างในนิ่ม พร้อมเสิร์ฟ
เมื่อเห็นสูตรแล้วไม่ยากอย่างที่คิดกันใช่มั้ย ตอนนี้มาลองทำตามสูตรด้วยฝีมือตัวเองกัน ซึ่งมีทั้งทำในหม้อหุงข้าว ห่อใบตอง และไมโครเวฟ มีอุปกรณ์แบบไหนสะดวกแบบนั่นค่ะ ลองทำกันดู แนะนำแหล่งขายผงไส้ขนมสำเร็จรูป ที่ทำง่ายและสะดวก คลิ๊ก : @ Desserts Mate
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สูตรกะหรี่ปั๊บ ขนมของฝากยอดฮิต
กะหรี่ปั๊บ
กะหรี่ปั๊บ ( Curry Puff ) คือ ของว่างชนิดหนึ่งที่นวดแป้งสาลีเป็นแผ่นกลม ห่อกับไส้ที่ผสมด้วยผงกะหรี่ พับครึ่งแล้วจีบพับริมแป้งให้เป็นเกลียวแล้วทอดในน้ำมัน เป็นอาหารตะวันตกผสมอินเดียซึ่งเป็นที่นิยมของชาวมุสลิมในประเทศไทย ประวัติของกะหรี่ปั๊บเชื่อว่าเป็นการดัดแปลงมาจากขนมโปรตุเกสคือ ปัสแตล โดยท้าวทองกีบม้าได้นำมาเผยแพร่ในราชสำนัก ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง เดิมใช้ชื่อว่า curry puff ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น กะหรี่พัฟฟ์ และเพี้ยนเป็นกะหรี่ปั๊บในที่สุด กะหรี่ปั๊ปไส้ไก่เป็นสูตรดั้งเดิมที่นิยมอย่างมาก และมีไส้อื่น ๆ อีก เช่น เผือกกวน มันม่วง องุ่น แยมสตรอว์เบอร์รี สับปรด แยมมัลเบอร์รี่ ไส้ถั่วดำ ไส้ถั่วเหลือง กะหรี่ปั๊บไส้ถั่วแดง ไส้เห็ดหอม ไส้มะพร้าว บลูเบอร์รี่ ลูกเกด พริกเผาหมูหยอง ไส้ทูน่า ไส้หมูแดง ไส้ปลา ไส้กุ้ง
>> แจกสูตรซาลาเปาติ่มซำไส้หมูแดง ไส้เผือกกวน และมันม่วง
>> มันเทศหรือมันม่วง ทําเมนูอะไรได้บ้าง
สูตรการทำกะหรี่ปั๊บ
ส่วนผสม แป้งชั้นนอก
น้ำมันพืช 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำปูนใส 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำเย็น 6 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสม แป้งชั้นใน
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 140 กรัม
น้ำมันพืช 6 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสม ไส้กะหรี่ปั๊บ
หอมใหญ่ (หั่นเต๋าเล็ก) 100 กรัม
หอมแดงสับ 20 กรัม
เนื้ออกไก่ 200 กรัม
มันเทศสีม่วง, เหลือง, ส้ม หรือมันฝรั่ง (หั่นเต๋าเล็ก) 300 กรัม (นำไปต้มให้สุกแล้วสะเด็ดน้ำพักไว้)
ซอสปรุงรส 2-3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
ผงกะหรี่ 1½ ช้อนชา หรือตามชอบ
เนยสด หรือน้ำมันพืช (สำหรับผัด)
วิธีทำกะหรี่ปั๊บ
1. ทำแป้งชั้นใน
1.1 ร่อนแป้ง 1 ครั้ง แล้วทำหลุมตรงกลางแป้ง ใส่น้ำมันพืชลงไปในหลุม ใช้ไม้พายคนตะล่อมจนแป้งจับตัวเป็นก้อน จากนั้นใช้มือนวดจนแป้งเนียน
2. ทำแป้งชั้นนอก
2.1 ร่อนแป้ง 1 ครั้ง แล้วทำแป้งเป็นหลุมตรงกลาง
2.2 ผสมน้ำปูนใส น้ำตาลทราย เกลือป่น และน้ำเย็นเข้าด้วยกัน คนผสมให้ละลาย เทลงไปในหลุมแป้ง ตามด้วยน้ำมันพืช นวดพอเข้ากัน (หรือใครอยากเติมสีให้เป็นกะหรี่ปั๊บสายรุ้งก็ลองดูจร้า)
3. แบ่งแป้งทั้งสองเป็น 10 ก้อนขนาดเท่ากัน (แป้งใน 30 กรัม แป้งนอก 50 กรัม จะได้กะหรี่ปั๊บทั้งหมด 30 ตัว) แผ่แป้งชั้นนอกเป็นแผ่น ๆ แล้วนำไปหุ้มแป้งชั้นในให้มิด คลึงเป็นก้อนกลม ๆ แล้วพักแป้งทิ้งไว้ประมาณ...
สูตรสาคูไส้หมู ไส้แน่น เหนียวนุ่ม
สาคูไส้หมู
สาคูไส้หมู ( Saku Sai Moo ) คือ อาหารว่างอย่างหนึ่งทำด้วยสาคูเม็ดเล็กปั้นเป็นก้อนกลม ห่อไส้ทำด้วยหมูสับผัดสามเกลอกับเครื่องปรุง แล้วนำไปนึ่งให้สุก เป็นเมนูอาหารว่างทานเล่นที่หลายคนชื่นชอบในความนุ่มเหนียว รสชาติกลมกล่อม หอมอร่อย
>> แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน
>> สูตรซาลาเปาติ่มซำไส้หมูแดง ไส้เผือกกวน และมันม่วง
การทำสาคูไส้หมู
ส่วนผสม ตัวแป้งสาคู ( ทาน3-4 คน )
เม็ดสาคูเล็ก 250 กรัม
น้ำมันกระเทียมเจียว
น้ำมันพืช (สำหรับทา)
ส่วนผสม ไส้หมู
หมูสับ 270 กรัม (อาจเปลี่ยนเป็นไส้ปลา หรือไส้อื่นๆตามชอบได้)
รากผักชี 2 ราก
กระเทียม 3 กลีบ
พริกไทย 1 ช้อนชา
หอมแดงสับ 5 หัว
น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่วบด 55 กรัม
หัวไชโป๊เค็ม (ล้างน้ำ 2 ครั้ง) 100 กรัม
วิธีทำไส้หมู
นำรากผักชี กระเทียม และพริกไทยมาตำให้ละเอียด (สามเกลอ)
จากนั้นนำสามเกลอไปผัด (ใช้น้ำมันไม่ต้องเยอะ) และตามด้วยหอมแดงสับ ผัดจนหอม แล้วตามด้วยหมูสับผัดต่อจนสุก
ปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน
จากนั้นใส่ถั่วลิสงคั่วบด หัวไชโป๊เค็มที่ล้างน้ำเตรียมไว้ ลงผัด แล้วชิมรสให้พอดี
เมื่อเสร็จแล้วให้น้ำไส้มาพักให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ เตรียมไว้
วิธีทำสาคู
นำสาคูเม็ดเล็กมาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที (แช่น้ำอัญชัน หรือน้ำกระเจี๊ยบเพื่อเพิ่มสีสัน)
พอครบเวลาให้ให้เทน้ำออก แล้วขยำเม็ดสาคูเบาๆพอให้เม็ดติดกัน จะได้เป็นป้งสาคู (ถ้าขยำแรงไปจะทำให้สาคูเหนียวเกินไป)
จากนั้นนำแป้งสาคูพอประมาณคำมาแผ่เป็นแผ่นบาง ๆ แล้วนำไส้ที่ปั้นเตรียมไว้วางตรงกลาง เสร็จแล้วห่อไส้ให้มิดและปั้นให้กลม
เมื่อห่อไส้ครบหมดแล้ว ให้นำซึ้งนึ่งตั้งน้ำให้เดือด หรือใครจะใครผ้าขึงก็เตรียมขึงผ้าตั้งน้ำรอได้เลย
ขั้นตอนนี้ใครใช้ซึ้งนึ่งให้วางสาคูไส้หมูในซึ้งแล้วทาด้วยน้ำมันพืช สาคูไส้หมูจะได้ไม่ติดกัน แล้วปิดฝา ( แบบขึงผ้าวางแล้วปิดฝาได้เลย )
นึ่งประมาณ 10 นาที หรือจนสาคูเริ่มใส (อาจมีเป็นเม็ดบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะความร้อนยังระอุอยู่จะทำให้เม็ดๆนั้นใสขึ้นมาอีก)
เมื่อนำสาคูไส้หมูออกมาหมดซึ้งแล้วให้ทาน้ำมันกระเทียมเจียวอีกรอบเพื่อสาคูไส้หมูจะได้ไม่ติดกัน
จัดจานเสิร์ฟสาคูไส้หมูให้สวยงาม โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว แนมด้วยพริกขี้หนู ผักสลัด และผักชี
วันหยุดนี้เรามาลองทำเมนูอาหารว่าสาคูไส้หมูนุ่มๆกินกันเถอะค่ะ ด้วยสูตรสาคูไส้หมูจาก Amprohealth ไม่ว่าจะมีผ้าขึงหรือไม่มีผ้าขึงก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปค่ะ หรืออยากจะลองเปลี่ยนไส้ให้แปลกตามใจตัวเองก็ยังได้
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ข้าวต้มมัด ขนมภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย
ข้าวต้มมัด
ข้าวต้มมัด ( Khao Tom Mud ) หรือ ข้าวต้มผัด คือ ขนมชนิดหนึ่งที่ทำด้วยข้าวเหนียวผัดกับกะทิ แล้วนำไปห่อด้วยใบตอง ใส่ไส้กล้วย มัดด้วยตอก นำไปนึ่งให้สุก ซึ่งจะใช้เฉพาะกล้วยน้ำว้า เพราะเป็นกล้วยที่สุกยาก พอนึ่งกับข้าวเหนียวแล้วจะทำให้สุกพร้อมกันพอดี นอกจากนี้ ยังสามารถใส่ไส้อื่นได้อีกด้วย เช่น ไส้เผือก หรือไส้ถั่วดำ ในสมัยก่อนนิยมทำรับประทานกันในงานบุญต่างๆ และปัจจุบันนี้ได้มีการปรับสูตรให้หลายหลายขึ้น เช่น เผือกกวน ถั่วกวนไข่เค็ม ธัญพืช กุ้งมะพร้าว ใบเตย ไก่เห็ดหอม คั่วกลิ้งไก่ งาดำ มันม่วง ถั่วเหลือง ทุเรียน เป็นต้น
>> แจกสูตรบ๊ะจ่าง แบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำเองได้
>> แจกสูตรซาลาเปาติ่มซำไส้หมูแดง ไส้เผือกกวน และมันม่วง
ประวัติความเป็นมา ทำไมต้องมัดเป็นคู่
สมัยก่อนคนโบราณยกให้เป็นขนมของสัญลักษณ์ของคนที่มีคู่ เพราะจะมีลักษณะการนำขนม 2 ชิ้น มามัดคู่กัน และเชื่อกันว่า ถ้าหนุ่มสาวได้ทำบุญวันเข้าพรรษาด้วย ความรักจะดี ชีวิตคู่ครองจะคงอยู่นานตลอดกาล เหมือนกับข้าวต้มมัดที่ผูกติดกัน คนโบราณสมัยก่อนเลยนิยมทำไปถวายพระในวันเข้าพรรษา
ข้าวต้มมัดแต่ละภาค
ข้าวต้มมัดไต้ หรือ ขนมมัดไต้ เป็นชื่อเรียกข้าวต้มมัดของคนภาคใต้ มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็คือ การนำข้าวเหนียวไปห่อแล้วมัดให้มีลักษณะเหมือนไต้ที่ใช้จุดไฟ มัดเป็นปล้อง ๆ 4-5 ปล้อง ซึ่งมีขนาดยาวกว่าข้าวต้มมัดทั่วไป ไม่มีไส้ มีรสชาติเค็มที่ทำมาจากส่วน ผสมถั่วทองโขลกกับเครื่อง เช่น รากผักชี กระเทียม และพริกไทย แถมยังใส่หมูและมันหมูลงไปด้วย และยังแยกออกไปอีกด้วยว่า ถ้าห่อด้วยใบกะพ้อ เรียก "ห่อต้ม" แต่ถ้าห่อด้วยใบมะพร้าวและมัดด้วยเชือกเรียกว่า "ห่อมัด"
ข้าวต้มกล้วย เป็นชื่อเรียกของคนภาคอีสาน มี 2 แบบด้วยกันคือ ใช้ข้าวเหนียวดิบปรุงรสด้วยเกลือ ใส่ถั่วลิสงต้มสุก เคล้าให้เข้ากัน นำไปห่อเป็นมัด ใส่ไส้กล้วย แล้วเอาไปต้มให้สุก ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบผัด จะผัดข้าวเหนียวกับกะทิ นำไปห่อใส่ไส้กล้วยแล้วต้มให้สุก จะไม่ใส่น้ำตาลลงไปในส่วนผสม แต่จะใช้วิธีนำมาจิ้มกินกับน้ำตาลแทน
ข้าวต้มหัวหงอก ของคนภาคเหนือ จะนำข้าวต้มมัดที่สุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด แล้วโรยน้ำตาลทราย
ข้าวต้มญวน มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่ห่อให้ใหญ่กว่า นำไปต้ม เวลากินให้หั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด เกลือและน้ำตาลทราย
ข้าวต้มลูกโยน เป็นขนมที่ใช้ในเทศกาลออกพรรษา ห่อด้วยใบพ้อหรือยอดมะพร้าวเป็นรูปรี ข้างในเป็นข้าวเหนียวผสมถั่วดำไม่มีไส้ ผูกเข้าด้วยกันเป็นพวงแล้วนำไปต้ม
อุปกรณ์
ใบตอง
ตอก แช่น้ำให้นิ่มประมาณ 2-3 ชั่วโมง (หรือเชือกมัดอาหาร)
หม้อนึ่งขนม
ส่วนผสม
ข้าวเหนียวเขี้ยวงูดิบ 1 กิโลกรัม
ถั่วดำสุก 1/2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
เกลือป่น 2 ช้อนชา
ใบเตย
ตาลทราย 1 ถ้วยตวง + 1/2 ถ้วยตวง
ล้วยน้ำว้าสุก 10-15 ลูก (หรือไส้อื่น ๆ ตามต้องการ)
วิธีทำ
แช่ถั่วดำทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วนำมานึ่งให้พอสุก
ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด (ประมาณ 2...
สูตรเค้กไข่ไต้หวัน
เค้กไข่ไต้หวัน
เค้กไข่ไต้หวัน (Taiwanese Castella Cake) คือ เค้กที่แสนอร่อยเนื้อเค้กนุ่มเด้งละลายในปากเป็นที่รู้จักกันดีว่า เค้กไข่ไต้หวันมีหน้าเค้กเรียบเนียนไม่มีรอยแตก และขึ้นชื่อในเรื่องเนื้อนุ่มและฟู เคล็ดลับต้องใช้ส่วนผสมเพียง 5 อย่างในการทำ ได้แก่ แป้งอเนกประสงค์ ไข่ นม น้ำมันข้าวโพด และน้ำตาล ซึ่งจะให้ความชุ่มช่ำและเนียนนุ่มกว่าเค้กสปันจ์ทั่วไป
>> เนื้อเค้กที่ได้รับความนิยมตกแต่งและนำไปเป็นเค้กวันเกิดคือเค้กแบบไหน ?
>> สูตรสปันจ์เค้ก และเคล็ดลับการอบเค้กให้เนื้อนุ่มสวย
ส่วนผสมแป้งเค้กไข่ไต้หวัน
แป้งสาลีทำเค้ก 250 กรัม
เกลือป่น1/2 ช้อนชา - ผงฟู1 ½ ช้อนชา
น้ำตาลทราย (ส่วนที่ 1) 50 กรัม
ไข่ไก่ ( เฉพาะไข่แดง ) 8 ฟอง
นมข้นจืด 150 มิลลิลิตร
น้ำมันพืช100 มิลลิลิตร
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
ไข่ไก่ ( เฉพาะไข่ขาว ) 8 ฟอง
ครีมออฟทาร์ทาร์1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย (ส่วนที่ 2) 100 กรัม
วิธีทำเค้กไข่ไต้หวัน
1. ใส่แป้งสาลีทำเค้ก เกลือป่น ผงฟู และน้ำตาลทราย ลงในภาชนะ คนผสมเข้าด้วยกัน
2. จากนั้นเติมไข่แดง นมข้นจืด น้ำมันพืช และกลิ่นวานิลลา แล้วคนด้วยตะกร้อมือจนเป็นเนื้อเดียวกัน เตรียมไว้
3. ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ ด้วยเครื่องตีหัวตะกร้อใช้ความเร็วสูงสุด ประมาณ 30 วินาที เติมน้ำตาลทราย ตีต่อจนส่วนผสมตั้งยอด ปิดเครื่อง
4. เปิดไฟเตาอบที่อุณหภูมิ 150 -175 องศาเซลเซียส ตักส่วนผสมไข่ขาวลงในส่วนผสมแป้ง คนตะล่อมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
เทส่วนผสมลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ เกลี่ยหน้าให้เรียบ วางลงในถาดสำหรับอบ เติมน้ำเล็กน้อย (เพื่อให้เนื้อเค้กนุ่มและชุ่มฉ่ำ)
5. นำเข้าอบนานประมาณ 45-50 นาที หรือจนกระทั่งเค้กสุก นำออกจากพิมพ์ตัดเป็นชิ้นพร้อมเสิร์ฟ
ส่วนผสมแป้งเค้กไข่ไต้หวันชาเชียว
ส่วนผสม สำหรับ 2 ปอนด์
1. แป้งเค้ก 80 กรัม
2. ผงฟู 1 ช้อนชา
3. เกลือ 1/8 ช้อนชา
4. น้ำมันข้าวโพด70 กรัม
5. นมสด70 กรัม
6. ไข่แดง 6 ฟอง
7. น้ำตาล 80 กรัม
8. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา
9. ไข่ขาว 6 ฟอง
ส่วนของชาเชียว
1. ชาเขียว 10 กรัม
2. นมสด 40 กรัม
วิธีทำเค้กไข่ไต้หวัน
1. น้ำมันข้าวโพดเวฟร้อนประมาณ 30 วินาที
2. นำส่วนผสมต่อไปนี้ร่อนรวมกัน แป้งเค้ก เกลือ ผงฟู
3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วเติมชาเขียวผสมนมสด และเติมนมสดลงไป
4. ใส่ไข่แดงผสมเข้ากันจนเนียน
5. ตีไข่ขาวให้ได้ฟองหยาบ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ และน้ำตาล และตีต่อจนเนียนตั้งยอด
6. นำไข่ขาวมาผสมในส่วนผสมที่พักไว้
7. นำไปอบแบบรองน้ำ...