ว่านกีบแรด มีหัวคล้ายกีบเท้าแรด อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาสมุนไพร
ว่านกีบแรด เป็นไม้พวกเฟิร์น หัวคล้ายกับกีบเท้าของแรดหรือกระบือ ภายในจะเป็นสีเหลืองคล้ายขมิ้น มีรสเย็นฝาด

ว่านกีบแรด

ว่านกีบแรด (Giant fern) เป็นไม้จำพวกเฟิร์นที่พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย มีลักษณะเด่นอยู่ที่หัวคล้ายกับกีบเท้าของแรดหรือกระบือและเป็นสีน้ำตาลแก่ หัวและรากมีรสจืดเย็นฝาดและเป็นยา ใบมีรสเฝื่อนสามารถนำมารับประทานได้ ว่านกีบแรดเป็นส่วนหนึ่งของยาพื้นบ้านในสามจังหวัดภาคใต้ ตำรับยาแก้อาการนอนไม่หลับ หมอยาจังหวัดเลย (ตาเพ็ง สุขนำ) ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนและตำรับยาเขียวหอม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของว่านกีบแรด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Angiopteris evecta (G. Forst.) Hoffm.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Giant fern” “Mule’s – foot fern”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ว่านกีบม้า” ภาคเหนือเรียกว่า “กีบม้าลม” ภาคใต้เรียกว่า “ปากูดาฆิง” จังหวัดแพร่เรียกว่า “กีบแรด” จังหวัดปัตตานีเรียกว่า “ปากูปีเละ ปียา” ภาคใต้มลายูเรียกว่า “ดูกู” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “โด่คเว่โข่” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “เฟิร์นกีบแรด กูดกีบม้า ผักกูดยักษ์”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ MARATTIACEAE
ชื่อพ้อง : Polypodium evectum G. Forst.

ลักษณะของว่านกีบแรด

ว่านกีบแรด เป็นพรรณไม้จำพวกเฟิร์นที่มักจะพบตามสภาพของเขา ตามป่าชื้น ป่าดิบเขาที่มีความร่มเงาและมีความชื้นสูง ใกล้แหล่งน้ำ ตามที่รกร้างทั่วไปหรือภายในสวนพฤกษศาสตร์ โดยเฉพาะตามห้วยต่าง ๆ
ต้น : โคนต้นพองอยู่ติดกับพื้นผิวดิน
หัว : มีหัวลักษณะเป็นกีบอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะคล้ายกับกีบเท้าของแรดหรือกระบือ เป็นสีน้ำตาลแก่ เมื่อนำมาหักดูภายในจะเป็นสีเหลืองคล้ายขมิ้นและมีรสเย็นฝาด
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมนไม่เท่ากันหรือเป็นรูปหัวใจตื้นและเบี้ยว ขอบใบจักมน จักเป็นฟันเลื่อยหรือจักถี่ตลอดทั้งขอบใบ หลังใบและท้องใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนาและอวบน้ำ มีเมล็ดสีน้ำตาล หลังใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนด้านล่างเป็นสีเขียวอ่อน เส้นแขนงใบอิสระแยกสาขาเป็นคู่จำนวนมาก ก้านใบย่อยบวม ก้านใบร่วมมีขนาดใหญ่ ลักษณะอวบกลม ตามใบแก่จะมีอับสปอร์สีน้ำตาลเรียงติดกันเป็นแถวอยู่ใกล้กับขอบใบตรงด้านท้องใบ กลุ่มอับสปอร์ลักษณะเป็นรูปวงรีประกอบด้วย 7 – 12 อับสปอร์ ผนังเชื่อมติดกัน ไม่มีเยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์

สรรพคุณของว่านกีบแรด

  • สรรพคุณจากหัว เป็นยาอายุวัฒนะ แก้พิษตานซางในเด็ก ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้ตาเจ็บ ช่วยแก้น้ำลายเหนียว แก้อาเจียน เป็นยาฝาดสมาน เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ฝีหัวคว่ำ เป็นยาลดบวม แก้อาการปวดเมื่อย บรรเทาอาการไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด แก้พิษอีสุกอีใส
    – เป็นยาบำรุงกำลัง โดยคนเมืองนำหัวมาสับแล้วตากให้แห้ง แล้วนำมาบดผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้า ดีปลีและพริกไทย ปั้นเป็นลูกกลอนกินเป็นยา
    – บำรุงเลือดและบำรุงกำลัง แก้อาการปวดหลังและปวดเอว ด้วยการนำหัวมาหั่นตากดองกับเหล้าหรือต้มกับน้ำกิน
    – รักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจ โดยหมอยาพื้นบ้านในสามจังหวัดภาคใต้นำหัวและหัวกระทือมาหั่นตากแห้ง แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม
    – รักษาโรคมะเร็ง โดยแบนุหมอยาปัตตานีนำหัวมาต้มกับแก่นขี้เหล็กแล้วนำน้ำที่ได้มาดื่มกินเป็นประจำ
    – ช่วยควบคุมน้ำตาลในโรคเบาหวาน โดยหมอยาภาคใต้นำหัวตากแห้งมาต้มกับน้ำดื่มเป็นประจำ
    – เป็นยาลดความดัน ด้วยการนำหัวมาหั่นตากแห้งแล้วต้มกับน้ำกิน
    – แก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการนำว่านกีบแรด รากหญ้าคา รากย่านางและเนระพูสีมาต้มให้เดือดแล้วดื่มก่อนนอน 1 แก้ว
    – แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้กำเดา ด้วยการนำหัวมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
    – แก้แผลในปากและในคอ ด้วยการนำหัวมาฝนกับน้ำหรือต้มเคี่ยวใช้เป็นยาทาหรืออมไว้ให้ตัวยาสัมผัสกับแผล
    – แก้ท้องร่วง ด้วยการนำหัวมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบแก่
    แก้ไอ ด้วยการนำใบแก่มาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาห้ามเลือด
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้ผื่นคัน ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มหรือแช่กับน้ำไว้ครึ่งวันแล้วใช้อาบ
  • สรรพคุณจากโคนก้านใบ
    – แก้อาการตัวบวม โดยชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำโคนก้านใบที่อยู่ใต้ดินมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบอ่อน
    – แก้อาการปวด ด้วยการนำใบอ่อนมาทุบแล้วนำไปต้มใช้ประคบหัวเข่า

ประโยชน์ของว่านกีบแรด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนนำมารับประทานเป็นผักลวกกินกับน้ำพริก ลาบ ป่น แจ่วได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกใส่กระถางเป็นไม้ประดับทั่วไป
3. เป็นส่วนประกอบในยา อยู่ในตำรับยาเขียวหอม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านกีบแรด

จากการทดลองพบว่า สารในว่านกีบแรดมีฤทธิ์ในการยับยั้งมะเร็งแต่มีฤทธิ์น้อย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ HIV (HIV-1reverse transcriptase) อีกด้วย

ว่านกีบแรด เป็นชื่อที่มาจากหัวของต้นที่มีลักษณะคล้ายกับกีบแรด จึงทำให้มีชื่อว่า “ว่านกีบแรด” เป็นส่วนที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาสมุนไพร นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในตำรายามากมาย ว่านกีบแรดมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของหัว มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงเลือดและบำรุงกำลัง รักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ควบคุมน้ำตาลในโรคเบาหวานและลดความดัน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยรักษาในเรื่องอื่นได้อีกมากมาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ว่านกีบแรด (Wan Kip Raet)”. หน้า 273.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ว่านกีบแรด”. หน้า 51.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านกีบแรด”. หน้า 706-707.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ว่านกีบแรด, กีบม้าลม, เฟิร์นกีบแรด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, พิมพ์ครั้งที่ 6. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [25 ต.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ว่านกีบแรด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [25 ต.ค. 2014].
กลุ่มรักษ์เขาใหญ่. “กูดกีบม้า…ยาม้าปนแรด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rakkhaoyai.com. [25 ต.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักกูดยักษ์”. อ้างอิงใน : หนังสือผักพื้นบ้านภาคอีสาน (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [25 ต.ค. 2014].
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ว่านกลีบแรด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [25 ต.ค. 2014].
สันยาสี. (หมอเมือง สันยาสี). “ตำรับยารักษาโรคเรื้อรัง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sanyasi.org. [25 ต.ค. 2014].
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (รองศาสตราจารย์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล). “ยาเขียว ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก…”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [25 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/