บัวหิมะ
พืชสมุนไพรพืชตระกูลทานตะวัน นิยมนำผลมาใช้กิน ชอบอากาศหนาว ดินอุดมสมบรูณ์

บัวหิมะ

บัวหิมะ เป็นพืชสมุนไพรที่จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน แก่นตะวัน รักแร่ และชิโครี ซึ่งมักจะเรียกกันว่าบัวหิมะพันปี หรือบัวหิมะหมื่นปี โดยจะพบได้ตามเทือกเขาที่ราบสูงและจะงอกเฉพาะในบริเวณภูเขาสูงที่มีอุณหภูมิเย็นจัดบริเวณที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมอยู่ หรือในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 – 4,000 เมตร อย่างเทือกเขาอัลไต ภูเขาคุนหลุน ที่ราบสูงซินเจียง เป็นต้น ซึ่งจะใช้เวลานานมาก 3 ปีถึงจะเก็บเกี่ยวดอกได้และดอกมีสีขาวหรือสีเขียวอ่อน
เนื่องจากพืชชนิดนี้ที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “บัวหิมะสด” “ผลบัวหิมะ” “หัวบัวหิมะ” “รากบัวหิมะ” และ “บัวหิมะจีน” หรือในประเทศจีนจะเรียกกันว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” บัวหิมะชนิดนี้จะเป็นพืชพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ผลไม้ เพียงแต่เราเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผลไม้ เนื่องจากนิยมนำมารับประทานสดๆ โดยจะมีรูปร่างที่คล้ายกับหัวมันเทศ เปลือกบาง รสออกหวานเหมือนแห้วผสมมันแกว ฉ่ำน้ำเหมือนสาลี่ และกรอบ บัวหิมะเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนหรือกำลังควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี บัวหิมะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม เป็นต้น และรากบัวหิมะ สรรพคุณใช้เป็นยาสมุนไพรในการรักษาอาการต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ชื่อภาษาอังกฤษ Yacon
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เสวี่ยนเหลียกว่อ (จีน), ผลบัวหิมะ, รากบัวหิมะ, หัวบัวหิมะ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Smallanthus sonchifolius (Poepp.) H. Rob
ชื่อสามัญ Yacon, Argonne, Ground ginseng fruit, Daisy potato
วงศ์ ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE

บัวหิมะแยกชนิดเป็น 4 ชนิดดังนี้

1. บัวหิมะที่เป็นดอกหรือต้นพืช
2. บัวหิมะที่เป็นผลไม้
3. บัวหิมะทิเบต
4. ครีมบัวหิมะ

สรรพคุณบัวหิมะเป็นดอกหรือพืช

1. ช่วยแก้ไข้
2. ช่วยบำรุงหัวใจ
3. ช่วยบำรุงโลหิต
4. ช่วยบำรุงไต
5. เป็นผลไม้
6. ช่วยขับพิษในร่างกาย
7. ช่วยแก้อาการข้ออักเสบ
8. ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
9. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
10. ใช้เป็นยาบำรุงและรักษาโรคชนิดต่าง ๆ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น
11. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งที่เป็นแบบบริสุทธิ์ 100% และที่เป็นแบบนำไปผสมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ

ประโยชน์บัวหิมะที่เป็นผลไม้หรือพืช

1. แก้อาการอักเสบ
2. ช่วยแก้อาการร้อนใน
3. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
4. ช่วยให้หลอดเลือดอ่อนตัว
5. ป้องกันการเกิดผลึกก้อนนิ่ว
6. ช่วยบำรุงหัวใจและเส้นเลือด
7. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
8. ช่วยควบคุมของเหลวในเลือด
9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
10. ช่วยตับขับถ่ายสารพิษในร่างกาย
11. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดสิวฝ้าบนใบหน้า
12. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
13. ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น
14. ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูกและท้องเสีย
15. ช่วยป้องกันจากสารพิษจากมลภาวะและสารก่อมะเร็ง
16. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน คอเลสเตอรอล
17. ใบมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
18. รับประทานสด ให้รสชาติหวานฉ่ำ ชื่นใจ
19. เป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพ เสริมความงาม
20. นำไปปรุงสุกต้มกับกระดูกหมูหรือนำไปตุ๋น ช่วยย่อยอาหารและระบายท้องได้ดี
21. มีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องดื่ม ชา อาหารกระป๋อง

บัวหิมะทิเบต

บัวหิมะทิเบต หรือ คีเฟอร์ (Kefir) บ้านเรานิยมเรียกว่า “บัวหิมะทิเบต” หรือ “น้ำหมักบัวหิมะ” ซึ่งก็คือ นมหมักคีเฟอร์ มีการเกิดจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งประกอบด้วยยีสต์ Saccharomyces exiguus และ Lactic acid bacteria ซึ่งอยู่ร่วมกันในแบบที่พึ่งพาอาศัยกันและยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียว ๆ จนเกิดการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายกับดอกกะหล่ำ มีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดข้าว โดยจะมีกลิ่นอ่อน ๆ ของยีสต์ (คล้ายเบียร์) สามารถเจริญเติบโตด้วยการเพาะเลี้ยงในอาหารชนิดต่าง ๆ แต่ละชนิดจะให้คีเฟอร์ที่มีขนาดและลักษณะแตกต่างกันออกไป นิยมเลี้ยงในน้ำนมอย่างนมวัว นมแพะ หรือนมแกะ เป็นต้น

ข้อควรรู้ อ่านก่อนสำคัญมาก !

1. นมที่นิยมนำมาใช้ทำกันมากคือ นมวัว นมแพะ และนมถั่วเหลือง
2. ความหนืดของคีเฟอร์เป็นตัวบอกได้ถึงการเจริญเติบโตยิ่งหนืดยิ่งดี
3. ถ้าจำนวนบัวหิมะคีเฟอร์ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ นั้น แสดงว่าบางส่วนได้ตายแล้ว
4. การเพาะเลี้ยงคีเฟอร์ในอาหารแต่ละชนิด จะทำให้คีเฟอร์มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
5. คีเฟอร์ (Kefir) จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับเห็ดและยีสต์
6. สำหรับบางรายกินแล้วมีอาการท้องผูก เพราะรับประทานมากเกินไปจึงทำให้ลำไส้ไม่สมดุล
7. บัวหิมะคีเฟอร์ ประกอบไปด้วยแบคทีเรียและยีสต์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสัมพันธ์ทางบวก
8. การเอาใจใส่ในการเลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
9. มีความเชื่อว่าถ้าหากเลี้ยงบัวหิมะจนเจริญเติบโตดีแล้วหรือมีมากเกินความต้องการ ให้นำไปแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
10. มีความเชื่อว่าห้ามจำหน่ายบัวหิมะ (ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะต่างประเทศเขาขายกันเป็นปกติ)
11. นมชนิดที่ดีที่สุดที่นำมาใช้ทำคีเฟอร์คือนมแพะ เพราะย่อยง่ายกว่านมวัว และพบอาการแพ้ได้น้อยกว่านมวัว
12. โยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir) แตกต่างกับโยเกิร์ตธรรมดาตรงที่หัวเชื้อที่ใช้ในการหมัก โดยการหมักโยเกิร์ตธรรมดาจะใช้หัวเชื้อ Lactobacillus แต่คีเฟอร์จะใช้หัวเชื้อที่มีลักษณะเป็นก้อนเหนียวยืดหยุ่นคล้ายดอกกะหล่ำ เรียกว่า Kefir grain
13. นมที่สามารถนำมาใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ก็มาจากนมจากสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วอัลมอนด์ มะพร้าว กะทิ เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลข้าว เช่น ข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ เป็นต้น และนมที่มาจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก เช่น ป่าน ฟักทอง งา เป็นต้น
14. นอกจากนมแล้วก็สามารถใช้เครื่องดื่มอื่น ๆ มาทำคีเฟอร์แทนนมได้ แต่เครื่องดื่มประเภทนั้น ๆ ต้องมีน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารของคีเฟอร์ เช่น คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำหวานต่าง ๆ เราจะเรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” (Water kefir) ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวของคีเฟอร์มากกว่า 1 สัปดาห์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
15. คีเฟอร์แบบน้ำกับแบบนมอันไหนดีกว่ากัน ? ทั้งสองต่างมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน แต่จะแตกต่างตรงกันตรงที่คีเฟอร์แบบนมจะมีจุลินทรีย์มากกว่าคีเฟอร์แบบน้ำเกือบเท่าตัว
16. หากเลี้ยงคีเฟอร์ไปเรื่อย ๆ แล้วเมล็ดมันเล็กลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ซึ่งอาจมีได้หลายขนาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
17. แล้วถ้าเลี้ยงคีเฟอร์เรื่อย ๆ จนมันก้อนใหญ่เกินไป จะนำมาตัดแบ่งส่วนได้หรือไม่ ? การตัดคีเฟอร์จะเป็นการไปทำลายโครงสร้างของมัน แต่ถ้าอยากจะแบ่งก็ควรใช้มือดึงออกจากกันเบา ๆ เพื่อเป็นการถนอมโครงสร้างเดิมของมันให้คงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
18. การเลี้ยงคีเฟอร์อย่างไม่เหมาะสม เช่น การเติมนมที่เยอะเกินไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อุณหภูมิผิดปกติอาจจะทำให้คีเฟอร์เหลวเละ ดูพองบวม และไม่เป็นลักษณะยางยืดเหมือนเคย นั่นแสดงว่ามันกำลังไม่มีความสุขหรือมันกำลังจะตาย ดังนั้นควรเอาใจใส่ในการเลี้ยงด้วย
19. นมที่ได้มาจะมีรสชาติออกเปรี้ยว โดยจะมีคุณสมบัติเป็นยา นำมาดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วัน และหยุดพักการดื่มอีก 10 วันวนไปเรื่อย ๆ แต่บางคนบอกว่ากินทุกวันก็ได้
20. บัวหิมะไม่จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำทุกวันก็ได้ เมื่อกรองนมโยเกิร์ตออก ก็เทนมใหม่ต่อใส่ได้เลย เพราะคลอรีนในน้ำจะไปทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ แต่ภาชนะที่ใส่ก็ต้องล้างให้สะอาดด้วย
21. สำหรับบางคนที่เริ่มกินครั้งแรกแล้วมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ต้องตกใจคิดไปว่าฉันแพ้บัวหิมะแน่ ๆ ! ความจริงแล้วบัวหิมะกำลังขับสารพิษในร่างกายอยู่นั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่เริ่มกินแนะนำว่าควรลดปริมาณการกินช่วงแรกให้น้อยลงจากปกติ แล้วค่อยปรับไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า
22. โยเกิร์ตบัวหิมะเมื่อนำมาพอกหน้า บางครั้งอาจมีอาการคันยิบ ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผิวบริเวณนั้นอาจเป็นสิว แผลสิว หรือผิวที่กำลังแห้งลอก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยสมานผิวให้หายเป็นปกตินั่นเอง
23. ความเป็นมาของบัวหิมะคีเฟอร์มาจากอาจารย์ท่านหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งในขณะที่ทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียและทิเบต เขาได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ พระที่ทิเบตได้นำมาให้กินเพื่อรักษาอาการป่วย หลังจากนั้น 18 เดือนอาการป่วยของเขาได้หายไป และก่อนจะเดินทางกลับ เขาจึงขอบัวหิมะจากพระรูปนั้นมา ถัดมาจึงได้มีการนำเข้ามาสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย

วิธีทำหมักโยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir)

1. เมื่อได้รับบัวหิมะมาแล้ว (จะมาในสภาพที่แช่อยู่ในนม) ใช้ประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถทำได้ 1 แก้ว
2. ลักษณะก่อนกรองมันจะดูเหมือนโยเกิร์ต มีรสและกลิ่นเปรี้ยว แต่ไม่เสีย ถึงจะเปรี้ยวมากแค่ไหนก็กินได้ (มันไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสียนมบูด) และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และถ้าเห็นเป็นฟอง ๆ ก็เป็นเรื่องปกติ
3. หลังจากนั้นให้นำมากรองด้วยการแยกนมออกจากบัวหิมะ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้กรองนั้นก็คือกระชอนกรองที่เป็นพลาสติกหรือกระชอนช้อนปลาก็ได้ ไม่ต้องใหญ่เกินไป ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี แต่จะต้องไม่ใช่โลหะหรือเหล็กเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและลดโอกาสปนเปื้อนจากสารตะกั่ว (และห้ามไม่ให้บัวหิมะสัมผัสโลหะที่มีส่วนผสมของเงินเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายโครงสร้างบางอย่างของแบคทีเรียในคีเฟอร์)
4. นำนมที่ได้จากการกรองมาดื่ม (การดื่มทันทีจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มวันหลังก็นำไปแช่เย็น ซึ่งจะเก็บไว้ได้แค่ 2-3 วัน)
5. ถัดมาก็ทำความสะอาดโดยให้น้ำไหลผ่านให้สะอาด ถ้าเป็นน้ำกลั่นที่ปราศจากสารคลอรีนจะดีมาก (การทำความสะอาดอย่างดี จะช่วยให้สุขภาพของผู้ดื่มดีตามไปด้วย)
6. นำบัวหิมะที่ทำความสะอาดใส่ลงไปในแก้วพลาสติกหรือภาชนะที่สะอาดดีแล้ว
7. บัวหิมะทิเบตใส่นมลงไปประมาณ 8 ออนซ์ (แต่ถ้าได้รับบัวหิมะมาในช่วง 1 สัปดาห์แรก ปริมาณอาจมีน้อย ควรใส่นมแค่พอให้ท่วมหมด ไม่ต้องใส่หมดกล่อง เพื่อให้บัวหิมะได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อน)
8. นำผ้าบางๆ มาปิดฝาเพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหวี่มาตอมหรือฝักไข่ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณหนึ่งวัน (ห้ามแช่เย็น เพราะจะเป็นการชะลอการเจริญเติบโตของบัวหิมะ บัวหิมะชอบอากาศร้อนชื้น และจะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิปกติ)
9. หลังจากนั้นหาภาชนะนำมาใส่น้ำรองแก้วนมอีกที เพื่อป้องกันมด
10. แล้วนำมากรองเพื่อดื่มนมเหมือนใหม่ (ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ)
11. หากไม่อยู่บ้าน 2-3 วันหรือต้องการหยุดใช้ชั่วคราว ก็ให้ใส่นมแค่พอท่วมบัวหิมะ แล้วแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
12. หากต้องการหยุดใช้หรือไม่อยู่บ้านเกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้นำบัวหิมะมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้งพอหมาด ๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วนำไปแช่ช่องแช่แข็ง (เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโต) เมื่อจะกลับมาใช้อีกครั้งให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็งตัว ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นแล้วค่อยใส่นม

บัวหิมะสรรพคุณ (คีเฟอร์)

1. นมหมักคีเฟอร์ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน
2. ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
3. รักษาสิวช่วยลดอาการไข้
4. ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
5. ช่วยลดอาการแพ้ยาหรือเซรุ่มชนิดต่าง ๆ
6. ช่วยรักษาสารพิษจากยาเสพติดในร่างกาย
7. ใช้เลี้ยงทารกที่คลอดก่อนกำหนด ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
8. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย
9. ช่วยทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
10. ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
11. ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
12. ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารจำพวกน้ำตาล
13. ช่วยควบคุมน้ำหนักในร่างกาย
14. ช่วยรักษาโรควัณโรค
15. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
16. ช่วยบำบัดรักษาโรคปอด
17. คีเฟอร์ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
18. มีส่วนช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก
19. ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย
20. ช่วยบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า
21. เป็นยาจากธรรมชาติที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย
22. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ความเป็นกรด-ด่างให้เป็นปกติ
23. ช่วยบำรุงตับ ไต และรักษาตับ ไตอักเสบ
24. ช่วยรักษาโรคของถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
25. ช่วยป้องกันและรักษาโรคตับอ่อนในเด็ก โรคปอดบวม หลอดลมอักเสบในเด็กที่อายุกว่า 2 ขวบ
26. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
27. ช่วยรักษาแผลพุพอง น้ำร้อนลวก
30. นำมาใช้ทาเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น เชื้อราบนผิวหนัง กลาก เกลื้อน เป็นต้น
31. การดื่มคีเฟอร์ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็งมีอาการดีขึ้น (ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจน)
32. ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของเด็กทารก
33. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
34. ช่วยลดความเครียด รักษาอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดี
35. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแพร่ขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
36. ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจอย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
37. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกาย
38. ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
39. ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
40. ช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
41. ช่วยรักษาโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุง)
42. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ลำไส้เล็กส่วนต้น และช่วยบำรุงลำไส้
43. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติและดียิ่งขึ้น ลำไส้บีบตัวได้ดียิ่งขึ้น
44. ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
45. เป็นอาหารที่เหมาะกับทารกหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
46. ช่วยแก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
47. มีสารต่าง ๆ อย่างวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุไอโอดีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 กรดโฟลิก ไบโอติน วิตามินดี วิตามินเค เป็นต้น
48. โยเกิร์ตบัวหิมะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที (หรือจนกว่าจะแห้ง) เพื่อช่วยให้หน้าขาวเนียนใส รักษาสิว แผลสิว และช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
49. รักษาสิวด้วยการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ช่วยในเรื่องของการรักษาสิว กระชับรูขุมขน ทำให้หน้าเต่งตึงอ่อนเยาว์

ครีมบัวหิมะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน เรียกว่า “จงหัวฟูเป่า” ส่วนในประเทศไทยเรียกกันว่า “สมุนไพรบัวหิมะ” ซึ่งเป็นครีมที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติหลายชนิด เช่น โสม ชะมดเช็ด ว่านหางจระเข้ การบูร ผงไข่มุก ซึ่งราคาจะค่อนข้างแพง

โดยส่วนใหญ่จะมีสรรพคุณที่นำมาใช้ในลักษณะเป็นยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมากกว่าเป็นครีมบำรุงผิว โดยใช้เป็นยาทาและห้ามรับประทาน เนื้อของครีมจะเป็นสีขาว กลิ่นหอมให้ความรู้สึกสดชื่นและมีความเย็นเล็กน้อย สำหรับการเลือกซื้อก็ควรที่จะดูให้ดีด้วย โดยเลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ เพราะครีมในท้องตลาดนั้นจะมีของปลอมด้วย ซึ่งราคาตามท้องตลาดก็ประมาณหลักพันบาทขึ้นไป

ประโยชน์ของครีมบัวหิมะ

1. ใช้รักษาโรคเริม
2. ใช้รักษาโรคฮ่องกงฟุต
3. ใช้รักษาแผลสด เป็นหนอง
4. ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน
5. ใช้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
6.ใช้รักษาผื่นแพ้คัน บวมแดงบนผิวหนัง
7. ใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น อีสุกอีใส
8. ช่วยบำรุงผิว ปรับสภาพผิว ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส
9. บัวหิมะใช้ทาแก้แผลพุพอง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดนท่อไอเสีย
10. ใช้รักษารอยแผลสิว รักษาสิว แต้มสิวเพื่อให้ยุบไว (แต่บางคนอาจจะใช้แล้วสิวเห่อ)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://lonestarnursery.com/products/yacon-smallanthus-sonchifolius