Home Blog Page 26

ต้นสนหางสิงห์ ช่วยแก้อาการตกเลือด

สนหางสิงห์
ต้นสนหางสิงห์ ช่วยแก้อาการตกเลือด เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 20 เมตร ใบเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น ดอกเดี่ยวรูปไข่สีน้ำตาลอ่อน ผลกลมฉ่ำน้ำ
สนหางสิงห์
เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 20 เมตร ใบเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น ดอกเดี่ยวรูปไข่สีน้ำตาลอ่อน ผลกลมฉ่ำน้ำ

สนหางสิงห์

ชื่อสามัญ Oriental Arborvitae, Chinese Arborvitae [1] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Platycladus orientalis (L.) Franco (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Biota orientalis (L.) Endl., Thuja orientalis L.) อยู่วงศ์ CUPRESSACEAE[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เช่อไป่เย่ (จีนกลาง), เฉ็กแปะ (จีนแต้จิ๋ว), สนเทศ (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), จันทยี (จังหวัดเชียงใหม่), ไป่จื่อเหยิน (จีนกลาง), จันทน์ยี่ (จังหวัดเชียงใหม่), เช่อป๋อ (จีนกลาง), สนแผง (จังหวัดกรุงเทพมหานคร) [1],[2]

ลักษณะขอสนหางสิงห์

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้น ต้นสูงประมาณ 20 เมตร จะแตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ที่ลำต้นกับกิ่งก้านของต้นสนหางสิงห์จะบิดเป็นเกลียว เปลือกต้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมแดง เปลือกต้นจะเป็นเกล็ดสีน้ำตาลอมสีแดง ขยายพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่ง การใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เติบโตดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอประมาณ[1],[2]
  • ใบ จะเป็นใบร่วมหรือเป็นใบประกอบแบบขนนกหลายชั้น จะเรียงกันเป็นแผง ใบย่อยจะออกเรียงสลับกัน ใบย่อยเป็นเกล็ดขนาดเล็ก เรียงติดแน่นกับกิ่ง มีลักษณะเป็นแผง เป็นสีเขียวสด[1],[2]
  • ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ดอกจะออกที่ตามง่ามใบ ดอกเป็นรูปไข่ เป็นสีน้ำตาลอ่อน ดอกเพศเมียกับดอกเพศผู้อยู่คนละดอก แต่จะอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศเมียจะไม่มีก้าน ดอกเพศผู้จะมีก้านที่มีขนาดสั้น[1],[2]
  • ผล ผลกลมตั้งตรง ผลอ่อนจะฉ่ำน้ำ มีลักษณะเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน จะมีผงสีขาวคลุมอยู่ ผลแก่เป็นผลแห้ง มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมสีแดง ผลแก่จะแตกเป็นแฉก 8 แฉก มีเมล็ดอยู่ในผลประมาณ 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม จะมีสัน ภาษาจีนเรียกเมล็ดสนหางสิงห์ว่า ไป่จื่อเหยิน

สรรพคุณสนหางสิงห์

1. นำใบมาบดให้เป็นผงใช้โรยใส่แผล สามารถช่วยห้ามเลือดได้ (ใบ)[1,[2]
2. สามารถช่วยแก้อาการข้อได้ (ใบ)[1]
3. นำใบ 120 กรัม มาต้มกับน้ำ แบ่งทานวันละ 3 ครั้ง สามารถช่วยแก้ตกเลือด สตรีตกเลือดได้ (ใบ)[1],[2]
4. สามารถช่วยขับระดูของสตรีได้ (ใบ)[1]
5. สามารถนำเปลือกต้นมาฝนเป็นใช้ยากวาดทวารเบาได้ (เปลือกต้น)[1]
6. นำใบสด 30 กรัม น้ำ 500 มิลลิลิตร มาชงให้เข้ากัน ทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-6 ครั้ง สามารถช่วยขับปัสสาวะได้ (ใบ)[1]
7. สามารถใช้ผล  เป็นยาบรรเทาอาการลำไส้ตีบได้ (ผล)[1]
8. นำใบสดประมาณ 5-10 กรัม มาต้มน้ำดื่ม สามารถช่วยแก้เด็กท้องร่วงได้ (ใบ)[1]
9. สามารถช่วยแก้อาเจียนเป็นเลือดได้ (ใบ)[2]
10. สามารถใช้เป็นยาแก้บิดไม่มีตัวได้ (ใบ)[1]
11. นำใบสด 30 กรัม น้ำ 500 มิลลิลิตร มาชงให้เข้ากัน ทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-6 ครั้ง สามารถช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะได้ (ใบ)[1]
12. นำเมล็ดสนหางสิงห์ 12 กรัม, หกเหล็ง 10 กรัม, แหม่เกาติ๊ง 12 กรัม, เอี่ยงจี่ 10 กรัม, เมล็ดพุทราจีนที่คั่วแล้ว 10 กรัม มาต้มรวมกันกับน้ำ ใช้ทาน สามารถใช้แก้ประสาทอ่อน นอนไม่หลับ มีอาการตกใจง่ายได้ (เมล็ด)[2]
13. ใบสนหางสิงจะมีสรรพคุณที่เป็นยาลดความดันโลหิต โดยนำใบสด 15 กรัม มาชงกับน้ำ ใช้ดื่มแทนชา ดื่มจนความดันลดลง (ใบ)[1]
14. ใบ มีรสขมฝาด เป็นยาเย็น จะออกฤทธิ์กับหัวใจ ลำไส้ใหญ่ ตับ สามารถใช้เป็นยาทำให้เลือดเย็น แก้ร้อนในปอดได้ (ใบ)[2]
15. นำใบสดตำละเอียดมาผสมน้ำ แล้วคนให้เหนียวเป็นยาง ใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล สามารถช่วยรักษาแผลพุพอง และแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ (บ้างก็ว่ารักษาไฟลามทุ่งได้) (ใบ)[1]
16. เปลือกต้นะมีสรรพคุณที่เป็นยาฝาดสมาน (เปลือกต้น)[1]
17. สามารถช่วยทำให้ระดูขาวแห้งได้ (เปลือกต้น)[1]
18. สามารถช่วยแก้ริดสีดวงทวารที่เลือดไหลไม่หยุดได้ นำขี้เถ้าของใบมาชงกับน้ำทาน (ใบ)[1]
19. สามารถช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ (ใบ)[2]
20. สามารถช่วยแก้บิดมูกเลือด และแก้เลือดออกในกระเพาะกับลำไส้ได้ (ใบ)[2]
21. เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน สามารถใช้แก้อาการท้องผูก และใช้เมล็ด กับเมล็ดกัญชา อย่างละ 15 กรัม มาต้มกับน้ำทานได้ (เมล็ด)[2]
22. สามารถช่วยขับลมชื้นได้ (ใบ)[2]
23. ถ้ามีเลือดกำเดาไหล สามารถนำใบแห้งกับดอกทับทิมแห้ง มาอย่างละเท่า ๆ กันมาบดเป็นผงแล้วเป่าเข้าจมูก (ใบ)[1],[2]
24. ในตำรายาแก้หลอดลมอักเสบ แก้อาการไอ โดยนำใบมาบดเป็นผง ใช้ทำเป็นยาเม็ด เมล็ดละประมาณ 0.5 กรัม ทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ต่อกันนาน 10 วัน (ใบ)[2]
25. สามารถใช้เป็นยาแก้คางทูมได้ นำใบสดมาตำให้ละเอียด ผสมไข่ขาว แล้วนำมาพอกตรงบริเวณที่เป็น ให้เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง (ใบ)[1]
26. สามารถใช้ผลเป็นยากล่อมประสาทสำหรับผู้ที่หัวใจเต้นเร็วแล้วนอนไม่หลับได้ (ผล)[1]
27. เมล็ดจะมีรสหวานเผ็ด เป็นยาสุขุม จะออกฤทธิ์กับหัวใจ ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยทำให้หัวใจชุ่มชื่น ช่วยทำให้จิตใจสบายได้ (เมล็ด)[2]

ประโยชน์สนหางสิงห์

  • ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดที่ได้จากใบ หรือน้ำที่ต้มได้จากใบ จะมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อบิดในลำไส้ใหญ่ หรือเชื้อไทฟอยด์ เชื้อ Columbacilus, Staphelo coccus, Strepto coccus และต้านเชื้อไวรัสของไข้หวัดใหญ่ได้[2]
  • สารสกัดที่ได้จากใบกับเมล็ด จะมีฤทธิ์กล่อมประสาททำให้สัตว์ทดลองหลับสนิท หลับนานมากขึ้น[2]
  • ใบจะมีน้ำมันระเหยอยู่ประมาณ 0.6-1% (Thujone, Pinene, Caryophyllene, Thujene, Fenchone) และยังมี Flavones 1-72% (Myricetin, Hinokiflavone, Amentoflavone, Quercetrin, Aromadendrin) และมีวิตามินซี, สารแทนนิน, เรซิน [1]
  • การทดสอบความยืดอายุของหนอน Caenorhaditis elegans โดยใช้สารสกัด n-butanol จากเมล็ด จะพบว่าสามารถช่วยยืดอายุการมีชีวิตของหนอนได้ ทั้งสภาวะปกติและในสภาวะเครียด ไม่ได้ขึ้นกับความเข้มข้นของสาร และพบว่ามีฤทธิ์ที่ลดอนุมูลอิสระ ช่วยควบการเพิ่มโปรตีนที่เกี่ยวกับการทนกับความเครียดมากขึ้น และมีฤทธิ์ลดรงควัตถุที่เกิดจากความเสื่อมของไขมัน Lipofuscin ในหนอน Caenorhaditis elegans สรุปคือสารสกัด n-butanol ที่ได้จากเมล็ด จะมีฤทธิ์ช่วยยืดอายุ โดยทำลายอนุมูลอิสระ จะลดปริมาณ Lipofuscin และเพิ่มความทนต่อสภาวะเครียด เป็นผลการทดสอบที่มีประโยชน์กับการแพทย์ในการศึกษาเกี่ยวกับยาบำรุงร่างกาย[3]
  • ในใบมีสารพวก Flavonoid จะมีฤทธิ์ยับยั้งอาการไอ และสามารถเป็นยาขับเสมหะในสัตว์ทดลองของหนูได้[2]
  • พบสารใบและกิ่งพบสาร Thujone, Pinpicrin, Fenchone, Vitamin C, Tannin, Quercitrin และพบน้ำมันกับน้ำมันระเหยในเมล็ด และพบสาร Hinokiavone, Cedrol, Thujopsene, Curcumenether, Beta-thujaplicin ในน้ำมันหอมระเหย [2]

ข้อห้ามในการใช้สนหางสิงห์

  • ห้ามให้สตรีที่มีครรภ์ทาน[1],[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ความสามารถในการยืดอายุของหนอนนีมาโทดา Caenorhaditis elegans ของสารสกัด n-butanol จากเมล็ดของสน หางสิงห์”. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [01 มิ.ย. 2014].
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สนหางสิงห์”. หน้า 744-745.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “สนหางสิงห์”. หน้า 524.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://trees.stanford.edu/
2.https://www.biodiversity4all.org/

ต้นช้อยนางรำ ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย

ช้อยนางรำ
ต้นช้อยนางรำ ช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อ กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง ผลเป็นฝักแบน
ช้อยนางรำ
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อ กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง ผลเป็นฝักแบน

ช้อยนางรำ

ช้อยนางรำ มักจะขึ้นเองตามธรรมชาติที่ป่าชื้นทั่วไป หรืออาจจะพบเจอชาวบ้านที่ปลูกเอาไว้ตามบ้าน และอาจพบเห็นได้จากสวนหลังวัดพญา ในปัจจุบันนี้พบเจอได้ค่อนข้างยาก ชื่อสามัญ Telegraph plant, Semaphore plant
ชื่อวิทยาศาสตร์ Codariocalyx motorius (Houtt.) H.Ohashi ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Codariocalyx gyrans (L.f.) Hassk., Codoriocalyx motorius var. glaber X.Y. Zhu & Y.F. Du, Desmodium gyrans (L.f.) DC., Desmodium gyrans var. roylei (Wight & Arn.) Baker, Desmodium motorium (Houtt.) Merr., Desmodium roylei Wight & Arn., Hedysarum gyrans L.f., Hedysarum motorium Houtt., Meibomia gyrans (L.f.) Kuntze จัดอยู่ในวงศ์ จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[2],[3] ชื่ออื่น ๆ แพวแดง (อรัญประเทศ), ค่อยช้างรำ ช้อยช่างรำ นางรำ (ประเทศไทย), เคยแนะคว้า (ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ว่านมีดยับ หว้านมีดยับ (จังหวัดลำพูน), แพงแดง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของต้นช้อยนางรำ

  • ต้น
    – เป็นพันธุ์ไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก อยู่ในจำพวกหญ้า
    – ประมาณ 90 เซนติเมตร
    – เป็นพืชว่านชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่พืชที่ลงหัวอย่างว่านทั่ว ๆ ไป
    – ลำต้นมีผิวเปลือกเป็นสีไม้แห้ง[1],[2],[3]
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
  • ใบ
    – ใบจะแยกออกเป็นใบย่อย 3 ใบ โดยใบย่อยแต่ละใบจะมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ ปลายใบมน
    – แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว ผิวใบด้านบนมีความเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีขนขึ้นปกคลุม[1],[2]
    – ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-3 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-7 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ดอกจะแทงออกจากด้านข้างหรือที่ปลายยอดของกิ่งก้าน โดยจะออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อดอกแบบติดกับดอกสลับ
    – ก้านช่อดอกจะมีขนขึ้นปกคลุม ดอกมีขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะคล้ายดอกถั่วแปบ แต่มีขนาดเล็กกว่าดอกถั่วแปบมาก
    – กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงปนกับสีขาวหรือสีม่วงแดง และดอกมีกลีบเลี้ยงมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปกระดิ่ง[1],[2]
  • ผล
    – ผลมีลักษณะรูปร่างเป็นฝักแบน โดยฝักจะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.3 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร
  • เมล็ด
    – ภายในฝักจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 2-6 เมล็ด
    – เมล็ดมีลักษณะรูปทรงคล้ายกับเมล็ดของถั่วดำ แต่จะมีขนาดเท่ากับหัวไม้ขีด เมล็ดมีสีเป็นสีดำ[1]

สรรพคุณของต้นช้อยนางรำ

1. ลำต้นนำมาใช้ทำเป็นยารักษาฝีภายใน และฝีในท้อง (ลำต้น)[2]
2. ลำต้นมีสรรพคุณในการนำมาใช้ทำเป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกายได้ (ลำต้น)[2]
3. ต้น ราก และใบนำมาใช้ทำเป็นยาแก้ไข้ประสาทพิการ และแก้ไข้รำเพรำพัด (ต้น, ราก, ใบ)[2],[3]
4. ต้น ราก และใบนำมาต้มใช้สำหรับดื่มเป็นยาที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเจ็บป่วย (ต้น, ราก, ใบ)[3]
5. แพทย์แผนโบราณจะนำต้น ราก และใบโขลกให้ละเอียดจากนั้นนำมากวนกับปรอทในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน ๆ จะส่งผลทำให้ปรอทแข็งตัวได้ (ต้น, ราก, ใบ)[3]
6. ต้น ราก และใบนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น, ราก, ใบ)[2],[3]
7. ใบนำมาต้มเข้ากับตัวยาอื่น ๆ (ส่วนมากมักจะใช้เข้ากับยาแผนโบราณ) (ใบ)[2]
8. ใบนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน และแก้ฝีภายใน (ใบ)[2]

ประโยชน์ของต้นช้อยนางรำ

1. สามารถนำปลูกไว้ดูเล่นเป็นไม้ประดับที่ดูแปลกหูแปลกตาได้ แต่ค่อนข้างเลี้ยงดูได้ยาก[1]
2. ในปัจจุบันนี้ชาวอุดรธานีจะนำใบทำเป็นใบชาแห้งเพื่อจัดจำหน่ายเป็นสินค้าโอท็อปของจังหวัด[3]
3. เป็นพรรณไม้ที่มีความเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ซึ่งย้อนกลับไปสมัยโบราณที่มีการเรียกว่านนี้ว่า “ว่านกายสิทธิ์” ทำให้มีการนับถือพรรณไม้ชนิดนี้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นไม้กายสิทธิ์ มีอำนาจทางโชคลาภและเมตตามหานิยม ส่งผลให้มีความเชื่อว่าหากบ้านหรือร้านค้าใด ที่ทำการปลูกจะช่วยเรียกเงินทองไหลมาเทมาสู่ผู้ที่ปลูกแบบไม่ขาดมือ[3]
4. เป็นสมุนไพรที่สามารถฤทธิ์ในการต้านความชราหรือต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มีประโยชน์ทางด้านโภชนาการที่หลายอย่าง และมีสรรพคุณในการช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย[3] จึงมักจะนำมาชงกับน้ำต้มดื่มเป็นน้ำสมุนไพร

วิธีการชงน้ำสมุนไพร

1. นำใบชนิดแห้ง (ชาแห้ง) หนัก 1 กรัม
2. นำมาชงกับน้ำร้อนในปริมาตร 50 มิลลิลิตร (ประมาณ 1 ถ้วย)

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ช้อย นาง รำ”. หน้า 244-245.
2. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. (ผศ.วรรณา กาญจนยูร, ศ.ดร. ไมตรี สุทธิจิต์, อำนาจ เหลาทอง). “รายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีและทางชีวภาพของใบช้อยนางรำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.nongsamrong.go.th. [07 ม.ค. 2015].
3. ไทยโพสต์. “สาวน้อยเริงระบำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaipost.net. [07 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.amazon.com/
2.https://www.flickr.com/

เจตมูลเพลิงแดง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย

เจตมูลเพลิงแดง
เจตมูลเพลิงแดง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อสีแดงสด ใบเดี่ยวออกเรียงสลับขอบเป็นคลื่น ผลเป็นฝักกลม
เจตมูลเพลิงแดง
เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อสีแดงสด ใบเดี่ยวออกเรียงสลับขอบเป็นคลื่น ผลเป็นฝักกลม

เจตมูลเพลิงแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumbago indica L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Plumbago rosea L.) จัดอยู่ในวงศ์ PLUMBAGINACEAE เช่นเดียวกับเจตมูลเพลิงขาว ชื่อสามัญ Rose-colored leadwort, Rosy leadwort, Fire plant, Official leadwort, Indian leadwort ชื่อท้องถิ่นอื่น เจ็ดหมุนเพลิง (เลย) ปิดปีแดง (ภาคเหนือ) ปิดปิวแดง (ภาคใต้) ไฟใต้ดิน (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ตอชูกวอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ตั้งชู้โว้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) คุ้ยวู่ (มลายู-ปัตตานี) อุบ๊ะกูจ๊ะ (จีนกลาง) หงฮวาตัน จื่อเสี่ยฮวา

ลักษณะของเจตมูลเพลิงแดง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุหลายปี ความสูงของต้นโดยประมาณ 1-1.5 เมตร บ้างว่าสูงได้โดยประมาณ 2-3 เมตร ต้นแตกกิ่งก้านสาขารอบต้นมาก กิ่งก้านมักทอดยาว ยอดอ่อนมีสีแดง ส่วนลำต้นมีลักษณะกลมเรียบ กิ่งอ่อนมีสีเขียวปนแดงและมีสีแดงบริเวณข้อ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่ม พื้นที่เนินสูง และไม่ชอบที่ชื้นแฉะ มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศไทยเกือบทุกภาค สามารถพบได้ตามป่าดงดิบ ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณทั่วไป
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวโดยประมาณ 20-90 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 1-3 เซนติเมตร ในช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมากโดยประมาณ 10-15 ดอก โดยดอกจะออกเป็นช่อตั้งขึ้นที่ปลายกิ่งหรือปลายยอด กลีบดอกบางมีสีแดงสด มี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กๆ ยาวโดยประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก ลักษณะของกลีบเป็นรูปไข่กลับ ปลายกลีบกลมและมีติ่งหนามตอนปลาย ยาวโดยประมาณ 2 เซนติเมตร มีใบประดับและใบประดับย่อยลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดเล็ก ยาวโดยประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้านติดตรงข้ามกลีบดอก มีอับเรณูยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร รังไข่เป็นรูปรี ส่วนก้านเกสรเพศเมียมีหลายขนาดและมีขนยาวที่โคน ดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปใบหอก เป็นหลอดเล็กยาวโดยประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร และมีขนเหนียวๆ ปกคลุม เมื่อจับดูจะรู้สึกว่าเหนียวมือ
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 3-5 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 8-13 เซนติเมตร แผ่นใบบางมีสีเขียว แผ่นใบมักบิด ส่วนก้านใบและแกนกลางใบอ่อนมีสีแดง
  • ผล ออกผลเป็นฝักกลม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ผลเป็นผลแห้ง เมื่อแก่จะแตกตามร่องได้

สรรพคุณของเจตมูลเพลิงแดง

1. ทั้งต้นหรือรากมีรสเผ็ดร้อน เป็นยาร้อน ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ ใช้เป็นยาขับเลือด ฟอกเลือด กระจายเลือดลม (ราก ทั้งต้น)
2. ใบนำมาป่นผสมกับพริกไทย ขมิ้นดำ ดีปลี และไพล แล้วปั้นเป็นลูกกลอนใช้เป็นยาบำรุงกำลังและขับลม (ใบ) บ้างว่าใช้รากเข้ายาบำรุงกำลัง (ราก)
3. รากมีรสร้อน ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุในร่างกาย (ราก)
4. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ราก) ช่วยรักษาอาการอันเกิดจากธาตุไฟทั้ง 4 เช่น หายใจถี่ มีอาการตัวเย็น นัยน์ตามัว เบื่ออาหาร ไอแห้ง ปวดท้องไม่หาย มือเท้าเป็นเหน็บชา ชอบนอนนานแล้วไม่อยากลุกขึ้น (ราก)
5. รากใช้เป็นยาบำรุง (ไม่ได้ระบุว่าบำรุงอะไร)
6. เนื่องจากรากเป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น จึงนำมาใช้เป็นขี้ผึ้งปิดอกถอนพิษ แก้ปอดชื้น ปอดบวมได้ดี (ราก)
7. ราก จัดอยู่มีตำรับยาขนานสุดท้ายที่ใช้แก้โรคหัวใจและอาการใจสั่น โดยมีส่วนผสมของสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง การบูร ชะมดเชียง เทียนดำ พิมเสน หัวดองดึง อย่างละ 2 บาท กฤษณา กะลำภัก จันทน์เทศ อย่างละ 3 บาท กำยาน ขิง ดอกดีปลี อย่างละ 8 บาท และสนเทศอีก 40 บาท นำทั้งหมดมาบดเป็นผง เติมน้ำมะนาวแล้วปั้นเป็นแท่ง นำไปผึ่งในที่ร่มให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในขวดโหล ใช้รับประทานกับกระสายน้ำมะนาวเมื่อเกิดอาการใจสั่นได้ผลดีนัก
8. ช่วยบำรุงโลหิต (ราก)
9. แก้โลหิตเน่าเสีย (ราก)
10. ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น (ราก)
11. ช่วยกระจายลม (ราก)
12. คนไทยในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย จะนำผ้ามาพันรากเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แล้วนำมาแขวนที่คอเพื่อใช้รักษาโรคดีซ่าน (อาการตาเหลือง ตัวเหลือง) (ราก)
13. ดอกใช้เป็นยาแก้โรคทำให้หนาวและเย็น (ดอก)
14. ต้นมีรสร้อน ใช้แก้โลหิตที่เกิดแต่กองกำเดา (ต้น)
15. ใบมีรสร้อน ใช้แก้ลมในกองเสมหะ (ใบ)
16. รากใช้เป็นยาขมทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ผงของราก นำมาผสมกับผงดีปลี ลูกสมอพิเภก (บ้างว่าผสมขิงหรือเกลือด้วย) อย่างละเท่ากัน นำมาบดเป็นผงรวมกัน นำมาใช้รับประทานกับน้ำร้อนครั้งละ 2.5 กรัมหรือประมาณ 1 ช้อนแกง (บ้างว่าใช้ทั้งหมดนี้ผสมในยาธาตุจะเป็นยาช่วยย่อยและยาเจริญอาหาร) (ราก)
17. ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
18. ดอกใช้รักษาโรคตา (ดอก)
19. ผงรากช่วยระงับอาการปวดฟัน แต่ในประเทศฝรั่งเศสจะเอารากนำมาเคี้ยวเพื่อระงับอาการปวดฟัน (ราก)
20. ช่วยขับเสมหะ (ราก ใบ)
21. รากใช้เข้ายากับพริกไทย นำมาดองกับเหล้าดื่ม จะช่วยขับปัสสาวะ (ราก)
22. รากช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง (ราก) บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาแก้ปวดท้อง (ต้น ทั้งต้น)
23. ช่วยในการย่อยอาหาร (ใบ ราก)
24. รากช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ผายเรอ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดเสียด จุกเสียด มีอาการแน่นหน้าอก ใบช่วยในการขับผายลม (ใบ ราก)
25. ช่วยขับพยาธิ (ราก)
26. ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี (ราก)
27. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ราก)
28. รากใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ราก)
29. ช่วยรักษากามโรค (ราก)
30. รากใช้เป็นยาช่วยขับประจำเดือนของสตรี ช่วยขับฟอกโลหิตระดู แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ มีอาการปวดท้องน้อยในช่วงมีประจำเดือน ด้วยการใช้รากแห้งโดยประมาณ 1-2 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาด 2 ถ้วยแก้ว แล้วใช้รับประทานครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว (เนื่องจากรากมีฤทธิ์เพิ่มจังหวะและความถี่ในการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก คนสมัยโบราณจึงนำมาใช้ในกรณีที่สตรีคลอดบุตรแล้วรกไม่ตกออกมาด้วย) (ราก) บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี (ต้น)
31. รากใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง ผงรากใช้เป็นยาทาภายนอกช่วยแก้โรคผิวหนังบางชนิด ทาแก้กลากเกลื้อน (ราก) ส่วนอีกตำรับยาแก้กลากเกลื้อน ระบุให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกใช้พอกบริเวณที่เป็นจนเริ่มรู้สึกแสบร้อนแล้วจึงเอาออก หรือจะใช้ต้นสดนำมาต้มกับน้ำ แล้วใช้น้ำที่ได้จากการต้มนำมาล้างผิวหนังบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน (ต้น)
32. ใบมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีนอกฝัก) อาการปวดศีรษะและตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว จับไข้
33. รากใช้ผสมในยาบำรุงของสตรีหลังการคลอดบุตร เพื่อช่วยให้มดลูกเข้าอู่ (ราก)
34. ดอกมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้พัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีในฝัก) อาการที่ทำให้ใจขุ่นมัว คลั่งเพ้อ วิกลจริตไป (ดอก) บ้างว่าใบก็ช่วยแก้น้ำดีในฝักเช่นกัน (ใบ)
35. ช่วยแก้ดีไม่ปกติ (ใบ)
36. ใบนำมาตำใช้พอกบริเวณที่โดนตัวบุ้งที่ทำให้คัน โดยใช้ได้เหมือนใบเจตมูลเพลิงขาว แต่เจตมูลเพลิงแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่าและใช้ได้ผลดีกว่า (ใบ)
37. แก่นใช้เป็นยาแก้ขี้เรื้อนน้ำเต้า ขี้เรื้อนกวาง (แก่น)
38. ผงจากรากใช้เป็นยาปิดพอกรักษาฝี ทำให้เกิดความร้อน ช่วยเกลื่อนฝีได้ (ราก) ตำรับยาแก้ฝีบวม ฝีบวมอักเสบ ให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (เพื่อไม่ให้ผิวหนังเกิดพุพอง) (ต้น)
39. ช่วยแก้คุดทะราด (ราก)
40. กระพี้ใช้เป็นยาแก้เกลื้อนช้าง (กระพี้)
41. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาการปวดตามข้อ ปวดข้ออันเนื่องมาจากลมชื้นเข้าแทรก ด้วยการใช้รากแห้งโดยประมาณ 5-10 กรัม นำมาตุ๋นกับกระดูกหมูรับประทานเป็นยา หรือจะนำรากผสมเข้ากับยาดองเหล้า ใช้รับประทานเป็นยาก็ได้เช่นกัน (ราก)
42. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (ต้น)
43. ผลหรือลูกใช้เป็นยาแก้พยาธิผิวหนัง แก้ฝี (ผล)
44. รากใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค (ราก)
45. แก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
46. จัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ได้แก่ ตำรับ (ยาหอมนวโกฐ) และจัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ตำรับ (ยาประสะกานพลู)
47. จัดอยู่ในตำรับ “ยามันทธาตุ” (ตำรับยาแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุไม่เป็นปกติ) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กระเทียม การบูร กานพลู โกฐเขมา โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา โกฐสอ โกฐหัวบัว จันทร์แดง จันทร์เทศ ดีปลี เทียนขาว เทียนดำ เทียนแดง เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน รากชะพลู รากเจตมูลเพลิงแดง รากไคร้เครือ เถาสะค้าน ลูกจันทร์ ลูกผักชีล้อม ลูกผักชีลา เปลือกสมุลแว้ง เปลือกโมกมัน พริกไทยล่อน หนักอย่างละ 1 ส่วน ขิง และลูกเบญกานี หนักอย่างละ 3 ส่วน (ราก)
48. ช่วยรักษาโรคอัมพาต (ราก)
49. จัดอยู่ในตำรับยา (เบญจกูล) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร 5 ชนิด อันได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง รากชะพลู เหง้าขิงแห้ง เถาสะค้าน และ ผลดีปลี โดยเป็นตำรับยาที่เป็นยาแก้โรคในกองเตโชธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 16 ส่วน) กองวาโยธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 8 ส่วน) และกองอากาศธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 2 ส่วน) และยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายของผู้ป่วยมะเร็ง สามารถช่วยต้านเซลล์มะเร็งปอดและมะเร็งเต้านมได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันการทำงานของ NK Cells ช่วยกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ต้านการอักเสบ ช่วยยับยั้งการอักเสบได้ทั้งแบบเรื้อรังและแบบเฉียบพลัน โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับในยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ แต่จะให้ผลดีกว่ายาสเตียรอยด์ ชนิด Phenylbutazone และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Candida albicans และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหนอง เช่น Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus
50. จัดอยู่ในต้นตำรับยา ธรณีสัณฑะฆาต (ตำรับยาคลายเส้น) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กานพลู โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน้ำเต้า ขิง ชะเอมเทศ ลูกกระวาน ลูกเร่ว ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เทียนขาว เทียนดำ รากเจตมูลเพลิงแดง หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง หัวดองดึง หนักอย่างละ 1 ส่วน ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักอย่างละละ 2 ส่วน, รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก 4 ส่วน การบูร เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ หนักอย่างละ 6 ส่วน ยาดำ หนัก 20 ส่วน และพริกไทยล่อน หนัก 96 ส่วน (ราก)
51. นอกจากนี้ยังมีตำรับยาอีกหลากหลายขนานที่เข้ารากเจตมูลเพลิงแดงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ เช่น ยาหอมอินทจักร์ ตำรับยาแก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้ ตำรับยาแก้โรคเหงื่อออกมาก ยาแก้โรควิงเวียนหน้ามืดตาลาย ตำรับยาขนานใหญ่ แก้โรคลมอัมพาต ยาแก้โรคลมต่าง ๆ ยาแก้โรคประสาท ยาแก้โรคกระเพาะ ยาแก้ธาตุทั้งสี่แปรปรวน เป็นต้น

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. ทั้งต้นพบสาร Plumbagin, D-Naphthaquinone เป็นต้น
2. มีฤทธิ์บีบมดลูกทำให้แท้งได้โดยพบว่าสารสกัดที่ได้จากน้ำต้มของราก เมื่อนำมาทดลองกับมดลูกที่อยู่นอกร่างกายของหนู พบว่ามีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว หากสตรีมีครรภ์รับประทาน จะมีผลทำให้มดลูกมีการบีบตัว
3. รากมีสารจำพวกแนฟธาควิโนน (Naphthaquinone) ชื่อว่า Plumbagin, 3-chloroplumbagin, α-naphthaquinone ฯลฯ ประโยชน์ทางยาคือมีกลิ่นฉุนและมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อเมือก (Mucous membrane) หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเป็นผื่นแดงไหม้
4. สาร Plumbagin มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเต้นของหัวใจ และมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดเส้นใหญ่ของหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตลดลง
5. สาร Plumbagin เมื่อนำมาฉีดเข้าในกระต่ายทดลองในอัตราส่วน 0.01 กรัมต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าจะทำให้กระต่ายเสียชีวิต
6. สาร Plumbagin มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อจุลินทรีย์ ต้านมาลาเรีย ต้านโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ต้านความสามารถในการสืบพันธุ์ ต้านการเกิดเนื้องอก ช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งทุกชนิด
7. รากมีสาร Plumbagin ที่นอกจากจะมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้แล้ว ยังมีฤทธิ์ในการบีบลำไส้ช่วยทำให้มีการหลั่งน้ำย่อยเพิ่มมากขึ้น จึงช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้ แต่อาจทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้
8. Kubo และคณะ (1983) ได้รายงานว่า สาร Plumbagin มีผลต่อการยับยั้งการสังเคราะห์ Chitin ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดแมลงทางด้านการเกษตรได้
9. Fetterer และคณะ (1991) ได้พบว่า สาร Plumbagin สามารถยับยั้งการเคลื่อนที่และการมีชีวิตของตัวอ่อนระยะที่ 1 ของไส้เดือนฝอย Haemonchis contonus และตัวอ่อนระยะที่ 4 และระยะเอมบริโอของไส้เดือนฝอย Ascaris suum ได้
10. มีการนำ Napthoquinone ธรรมชาติ ที่แยกได้จากรากของเจตมูลเพลิง มาใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ มากมาย โดยส่วนประกอบที่มีอยู่มีความสัมพันธ์อย่างเฉพาะเจาะจงกับการต่อต้านยีสต์และแบคทีเรีย ซึ่งจากการทดสอบพบว่า สามารถยับยั้ง Candida albicans ได้ที่ความเข้มข้น 0.78 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และสามารถยับยั้ง Staphylococcus aureus ได้ที่ความเข้มข้น 1.56 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร จากผลดังกล่าว จึงน่าจะทดลองใช้ Plumbagin เพื่อเป็น Antimicrobial agent ได้ (Panichayupakaranant และคณะ, 2001)
11. สิริวรรณและคณะ (2546) ได้พบว่า สารสกัดจากรากสามารถแสดงผลการยับยั้งการงอกของสปอร์เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides ทุกไอโซเลทได้ 100% โดยใช้วิธี Glass slide
12. แพทย์แผนโบราณจะนิยมใช้รากของเจตมูลเพลิงแดงมากกว่าเจตมูลเพลิงขาวเพราะมีฤทธิ์ที่แรงกว่า โดยรากที่นำมาใช้เป็นยาถ้าจะให้ได้ผลดีต้องมีอายุ 3 ปีขึ้นไป
13. บ้างว่ามีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด (ไม่ยืนยัน)

ประโยชน์ของเจตมูลเพลิงแดง

1. ยอดอ่อนและใบมีรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม ใช้รับประทานเป็นผักสดได้ หรือนำมาใส่ข้าวยำ หรือนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่น ทำแกงคั่ว แกงเผ็ด แกงเนื้อ เป็นต้น
2. เปลือกใช้เป็นยาฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู

ข้อควรระวังในการใช้

1. ห้ามรับประทานเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เพราะจะมีผลทำให้เส้นเลือดในมดลูกแตกและมีอาการตกเลือดได้
2. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะมีสารที่ทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งในประเทศไทยและมาเลเซียถือว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นยาทำแท้ง
3. ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้และพองได้เหมือนโดนเพลิงไฟ จึงได้ชื่อว่า “เจตมูลเพลิง” ส่วนคนใต้จะเรียกว่า “ไฟใต้ดิน” ดังนั้นในการจะจับต้องรากในขณะเก็บมาใช้ ก็ต้องสวมถุงมือเสียก่อน เพื่อป้องกันอาการปวดแสบปวดร้อน
4. เจตมูลเพลิงมีสาร Plumbagin ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้ จึงควรระมัดระวังในการใช้

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “เจตมูลเพลิงแดง (Chetta Mun Phloeng Daeng)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 98.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เจตมูลเพลิงแดง Rose-colored Leadwort”. หน้า 169.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เจตมูลเพลิงแดง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 186.
4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “เจตมูลเพลิงแดง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 232-233.
5. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [2 มี.ค. 2014].
6. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [2 มี.ค. 2014].
7. ผู้จัดการออนไลน์. “สมุนไพรไม้เป็นยา : เจตมูลเพลิงแดง ต้านการเกิดเนื้องอก”. อ้างอิงใน: นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 152 สิงหาคม 2556. (รศ.ดร.อรุณพร อิฐรัตน์ สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [3 มี.ค. 2014].
8. ครูบ้านนอกดอทคอม. “สมุนไพรใกล้บ้าน มารู้จัก “เจตมูลเพลิง” กันดีกว่า”. อ้างอิงใน: มติชนกรุ๊ป. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kroobannok.com. [3 มี.ค. 2014].
9. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [3 มี.ค. 2014].
10. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “เจตมูลเพลิงแดง, ปิดปิวแดง”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [3 มี.ค. 2014].
11. เวชพงศ์โอสถ, คลังแห่งสมุนไพร. “คลังแห่งความรู้ของยาสมุนไพร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.vejpongosot.com. [3 มี.ค. 2014].
12. ปัญหาพิเศษปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร คณะเกษตร กำแพงแสนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (ศกุนตลา พร้อมมูล, 2548). “ผลของสารสกัดจากต้นหยาดน้ำค้างและรากเจตมูลเพลิงแดงต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas axonopodis pv. citri เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici”.
13. พันวสา. “เจตมูลเพลิงแดง”. อ้างอิงใน: หนังสือคู่มือเภสัชกรรมแผนแพทย์ไทย เล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ (ชยันต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์), หนังสือ 20 ปี สวนสมุนไพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, อภัยภูเบศรสาร ฉบับที่ 97 และฉบับที่ 105. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panvasa.com. [3 มี.ค. 2014].
14. มหาวิทยาลัยแม่โจ้. “การศึกษาการขยายพันธุ์และการเก็บรักษาพันธุกรรมพืชสมุนไพรในสภาพหลอดแก้ว”. (ทิพย์สุดา ปุกมณี, นพมณี โทปุญญานนท์, รังสิมา อัมพวัน, วรวรรณ ชาลีพรหม, จักรพงษ์ พิมพ์พิมล, เรณู สุวรรณพรสกุล).
15. กรุงเทพทิพโอสถ. “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkoktiposod.com. [3 มี.ค. 2014].
16. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เจตมูลเพลิงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [3 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flora-toskana.com/en/permanent-blossom/496-plumbago-indica-indische-bleiwurz-rot.html
2. https://www.medicinalplantsanduses.com/plumbago-indica-plant-medicinal-uses

ต้นสังวาลย์พระอินทร์ สรรพคุณช่วยแก้อาการไอเป็นเลือด

ต้นสังวาลย์พระอินทร์ สรรพคุณช่วยแก้อาการไอเป็นเลือด ไม้เถาเลื้อยกึ่งกาฝาก ยอดอ่อนของเถามีขนสีเหลืองนุ่ม ใบเล็กมาก ดอกเป็นช่อสีขาว ผลมีสีเขียวและมีขนาดที่เล็กมาก เนื้อนิ่ม
สังวาลย์พระอินทร์
ไม้เถาเลื้อยกึ่งกาฝาก ยอดอ่อนของเถามีขนสีเหลืองนุ่ม ใบเล็กมาก ดอกเป็นช่อสีขาว ผลมีสีเขียวและมีขนาดที่เล็กมาก เนื้อนิ่ม

สังวาลย์พระอินทร์

ชื่อสามัญ Love Vine [1] ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassytha filiformis L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์อบเชย (LAURACEAE)[2],[3] ชื่ออื่น ๆ บ่อเอี่ยงติ้ง (ภาษาจีนแต้จิ๋ว), อู๋เกินเถิง อู๋เย่เถิง (ภาษาจีนกลาง), เซาะเบียง (ภาษาเขมร), ช้องนางคลี่ (ในภาคใต้), เขืองคำโคก (จังหวัดเลย), สังวาลย์พระอินทร์ (จังหวัดนครราชสีมา), ผักปลัว (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), ต้นตายปลายเป็น รังนกกระสา (จังหวัดจันทบุรี), เขียงคำ เขียวคำ (จังหวัดอุบลราชธานี), รังกาสา, วัวพันหลัก, เครือเขาคำ เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของต้นสังวาลย์พระอินทร์

  • ต้น
    – จัดให้เป็นพันธุ์ไม้ประเภทเถาเลื้อยกึ่งกาฝาก ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบความชื้นบ้าง[1],[2]
    – ลักษณะคล้ายกับต้นฝอยทอง ลำต้นจะเป็นเถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆ
    – ลักษณะของลำต้นหรือลำเถามีลักษณะรูปร่างเป็นเส้นกลมยาว มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีสีเป็นสีเขียว สีเขียวออกเทา หรือเขียวอมเหลือง
    – บริเวณยอดอ่อนของเถามีขนสีเหลืองนุ่มขึ้นปกคลุมอยู่ และบริเวณตรงกลางหรือโคนของลำเถาจะไม่มีขนขึ้นปกคลุมหรืออาจมีขนขึ้นปกคลุมบ้างเล็กน้อยเป็นประปราย
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
  • ใบ
    – ใบมีลักษณะรูปร่างเป็นเกล็ดรูปสามเหลี่ยม[1],[2]
    – ใบมีขนาดใบที่เล็กมาก หรือแทบจะไม่มีใบเลย
  • ดอก
    – ออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อ
    – ก้านช่อดอกมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-5 เซนติเมตร
    – ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกย่อยอยู่ 6 ดอก โดยดอกย่อยจะไม่มีก้านดอก ดอกมีขนาดเล็กเป็นสีขาว มีกลีบดอก 6 กลีบ และกลีบดอกมีรูปร่างกลมมนเป็นรูปไข่
    – ซึ่งกลีบดอกจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกของดอกมีกลีบอยู่ 3 กลีบ ส่วนชั้นในดอกมีกลีบอยู่ 3 กลีบ และกลีบดอกชั้นในจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าชั้นนอก โดยมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2 มิลลิเมตร
    – ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีสีเป็นสีเขียวและมีขนาดที่เล็ก
    – ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 9 อัน และมีเกสรเพศเมียอยู่ 1 อัน โดยจะออกเกสรเรียงตามชั้นของขอบกลีบดอก[1],[2]
  • ผล
    – ผลจะพบได้ที่บริเวณใกล้กับดอก
    – ผลมีสีเขียวและมีขนาดที่เล็กมาก โดยจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 7 มิลลิเมตร (หรือขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว)
    – ลักษณะรูปร่างของผลจะเป็นรูปทรงกลม ภายในผลจะมีเนื้อนิ่ม ๆ อยู่ภายใน
    – ผลมีเมล็ดรูปทรงกลมอยู่ 1 เมล็ด[1],[2]

สรรพคุณของต้นสังวาลย์พระอินทร์

1. ต้นนำมาใช้ทำเป็นยารักษาไข้หวัด และบรรเทาอาการตัวร้อน (ต้น)[1],[2]
2. ต้นมีฤทธิ์ต่อตับและไต โดยจะมีสรรพคุณเป็นยาขับความชื้นในร่างกาย แก้พิษในเลือด และทำให้เลือดเย็น (ต้น)[1],[2]
3. นำต้นสด เหล้า และเนื้อในหมู ในปริมาณอย่างละเท่า ๆ กันมาตุ๋นทำเป็นยา ใช้สำหรับรับประทานเป็นยาแก้เลือดกำเดาไหล หากมีอาการเลือดกำเดาออกบ่อย ๆ (ต้น)[1],[2]
4. ต้นมีสรรพคุณเป็นยาในการช่วยแก้อาการไอเป็นเลือด และไอร้อนในปอดได้ (ต้น)[1],[2]
5. ใช้ต้นสดในปริมาณประมาณ 15-30 กรัม นำมาตุ๋นกับเต้าหู้ 2 ชิ้น ทานเป็นยาสำหรับใช้แก้เด็กเป็นดีซ่าน (ต้น)[1]
6. ใช้ต้นสดในปริมาณ 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่ม โดยจะมีสรรพคุณในการช่วยแก้บิดมูก (ต้น)[1]
7. ตำรับยาการรักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะ ระบุไว้ว่า ใช้ต้นสดปริมาณ 60 กรัม, ต้นบักทงปริมาณ 12 กรัม, ต้นเต็งซิมเช่าปริมาณ 12 กรัม และเปลือกรากเกากี่ไฉ่ปริมาณ 12 กรัม นำมาต้มกับน้ำใช้ดื่ม โดยจะออกฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ รักษาอาการทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ต้น)[1],[2]
8. ใช้ต้นสด ต้นหญ้าไผ่หยอง และสมุนไพรฉั่งกีอึ๊ง ในปริมาณอย่างละ 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาแก้ไตอักเสบเรื้อรัง (ต้น)[1]
9. ใช้ต้นสดในปริมาณ 120 กรัม นำมาต้มกับน้ำตาลทรายแดงทานเป็นยา แก้อาการตกเลือด (ต้น)[1]
10. ต้นสดนำมาตำและใช้พอกรักษาแผลหกล้มที่มีอาการเลือดออกได้ (ต้น)[1]
11. ต้นสดนำมาต้มเอาแต่น้ำมาใช้ชะล้างร่างกายในบริเวณที่มีโรค หากเป็นโรคผิวหนังผดผื่นคัน และสูตรยาสมุนไพรนี้ยังสามารถนำมาใช้แก้ฝีหนองอักเสบได้อีกด้วย (ต้น)[1],[2]
12. ต้นสดนำมาผิงไฟให้แห้ง จากนั้นนำมาบดให้เป็นผงแล้วนำไปผสมกับน้ำมันพืชใช้สำหรับทาในบริเวณที่มีอาการ จะมีฤทธิ์ในการรักษาแผลไฟไหม้ และแผลจากการโดนน้ำร้อนลวกได้ (ต้น)[1]
13. ต้นสดนำมาต้มเอาแต่น้ำใช้สำหรับชะล้างรักษาแผลเน่าเปื่อยเรื้อรังได้ (ต้น)[1]

ขนาดและวิธีใช้

1. ยาใช้ภายนอก ให้ใช้ต้นสด ๆ มาตำจากนั้นนำมาพอกบริเวณที่เป็นแผลหรือจะต้มเอาแต่น้ำมาล้างแผลก็สามารถทำได้เช่นกัน[2]
2. ยาแห้งนำมาใช้ครั้งละ 10-15 กรัม โดยให้นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่ม
3. ยาสดนำมาใช้ครั้งละ 30-60 กรัม โดยให้นำมาตำจากนั้นนำมาคั้นเอาแต่น้ำหรือจะมานำต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มก็ได้เช่นกัน

ข้อควรระวังในการใช้

1. เนื่องจากสมุนไพรนี้มีความเป็นพิษอยู่ จึงไม่ควรนำมาใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะจะส่งผลทำให้เกิดอาการชักได้[2]
2. สตรีที่มีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แท้งบุตรได้[1],[2]
3. หากขึ้นพาดพันกับต้นไม้ชนิดที่มีพิษ ตัวอย่างเช่น ยี่โถ ลำโพง ฯลฯ จึงไม่ควรนำมาใช้ปรุงเป็นยาอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายต่อร่างกายได้[1]

ประโยชน์ของต้นสังวาลย์พระอินทร์

  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับน้ำปูนใสสำหรับให้สัตว์จำพวกโคและกระบือกิน โดยทั้งต้นนี้มีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิสำหรับโคและกระบือได้[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. สารอัลคาลอยด์ที่สกัด จากผลการทดลองถ้านำมาใช้ในปริมาณมาก ๆ จะทำให้สัตว์ทดลองมีอาการชักจนถึงตายได้ แต่ถ้าใช้ในปริมาณน้อย ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อของสัตว์ทดลองมีอาการเส้นเอ็นเป็นตะคริว[1],[2],[3]
2. ทั้งต้นจะพบสารอัลคาลอยด์ได้หลากหลายชนิด ได้แก่ cassiline, cassythidine, cassyfilline (cassythine), dulcitol, galactitol, laurotetanine, launobine, tannins เป็นต้น[1],[2]

3. สารสกัดจากต้น มีฤทธิ์ในกดประสาทส่วนกลาง กดการหายใจ นำมาเป็นยาขับปัสสาวะ ยาลดไข้ และลดความดันโลหิต[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “สังวาลพระอินทร์”.  หน้า 771-772.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “สังวาลพระอินทร์”.  หน้า 548.
3. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “สังวาลพระอินทร์”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/.  [11 ต.ค. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/
2.https://alchetron.com/

ต้นฉัตรทอง ดอกใช้รักษาอาการตกขาวในสตรี

ต้นฉัตรทอง ดอกใช้รักษาอาการตกขาวในสตรี ไม้พุ่มขนาดเล็ก แผ่นใบเป็นแฉกเหมือนรูปดาว ดอกเดี่ยวรูปถ้วย สีชมพู สีแดง และสีขาว เกสรกลางดอกมีสีเหลือง ผลกลมและแบน
ต้นฉัตรทอง
ไม้พุ่มขนาดเล็ก แผ่นใบเป็นแฉกเหมือนรูปดาว ดอกเดี่ยวรูปถ้วย สีชมพู สีแดง และสีขาว เกสรกลางดอกมีสีเหลือง ผลกลมและแบน

ฉัตรทอง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Alcea rosea L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Althaea rosea (L.) Cav.) จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE) ชื่อสามัญ Hollyhock ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ (จีนกลาง) ซูขุย (จน-แต้จิ๋ว) จวกขุ่ยฮวย

ลักษณะของต้นฉัตรทอง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีลำต้นตั้งตรงและมีความสูงของต้นโดยประมาณ 2.5 เมตร ลำต้นมีสีเขียวและตามลำต้นมีขนอ่อนขึ้นปกคลุมอยู่ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย จัดเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกสลับกันไปตามลำต้น แผ่นใบมีสีเขียว ลักษณะของแผ่นใบเป็นแฉกเหมือนรูปดาว ใบหนึ่งจะมีแฉกโดยประมาณ 3-7 แฉก แต่โคนใบจะมีลักษณะเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบหยัก ขนาดกว้างโดยประมาณ 5-10 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 6-10 เซนติเมตร ก้านใบมีลักษณะกลมยาวมีสีเขียว มีความยาวโดยประมาณ 4-8 เซนติเมตร
  • ดอก ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ ลักษณะของดอกเป็นรูปถ้วย ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบเรียงซ้อนกัน กลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยม กลีบดอกมีสีชมพู สีแดง และสีขาว โคนกลีบดอกเชื่อมเข้าหากันเป็นหลอด ส่วนปลายดอกบานออก ส่วนเกสรกลางดอกมีสีเหลือง ดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขียวลักษณะเป็นรูปถ้วยเช่นกัน โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน แต่ส่วนปลายกลีบนั้นจะแยกออกเป็นกลีบ 5 กลีบ (บ้างว่ามีกลีบเลี้ยงโดยประมาณ 7-8 กลีบ) มีก้านดอกยาวโดยประมาณ 2.5 เซนติเมตร
  • ผล ลักษณะเป็นรูปทรงกลมและแบน ผลเมื่อโตจะมีจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 3 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต ผิวของเมล็ดมีรอยเส้นขวาง

สรรพคุณของฉัตรทอง

1. ทำให้ชุ่มชื่น (ดอก)
2. เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น (ดอก)
3. รากและดอกใช้เป็นยาจับพิษร้อนในร่างกาย ทำให้เลือดเย็น (ราก ดอก)
4. รากและเมล็ดเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก เมล็ด)
5. ช่วยแก้โลหิตกำเดา (ราก ดอก)
6. รักษาอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือตกเลือด ด้วยการนำรากสดโดยประมาณ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำสะอาดรับประทาน หรือจะใช้รากสดโดยประมาณ 60 กรัม นำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับเหล้ารับประทานเป็นยาก็ได้ หรือหากมีอาการตกเลือดก็สามารถใช้ดอกต้มรับประทานเป็นยาได้เช่นกัน (ดอก ราก)
7. แก้อาการไอเป็นเลือด (ราก ดอก)
8. รากสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาและป้องกันโรคเยื่อจมูกอักเสบหรือเยื่อภายในร่างกายอักเสบได้ (ราก)
9. หากมีไข้หรือเป็นไข้จับสั่น ก็ให้ใช้ดอกสดที่ผึ่งแห้งแล้ว นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำสะอาดรับประทานเป็นยาแก้ไข้ ส่วนรากและเมล็ดในตำราได้ระบุไว้ว่ามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ลดไข้เช่นเดียวกับดอก (ดอก ราก เมล็ด)
10. ช่วยรักษาโรคหัด ด้วยการใช้ดอกที่บานเต็มที่แล้ว (สดหรือแห้งก็ได้) นำมาต้มกินหรือบดเป็นผงกิน (ดอก)
11. เมล็ดใช้เป็นยาช่วยหล่อลื่นลำไส้ ด้วยการใช้เมล็ดจากผลแก่ที่ตากแห้งแล้ว นำมาต้มรับประทานหรือบดเป็นผงรับประทาน ส่วนดอกตามตำราก็ระบุว่ามีสรรพคุณช่วยหล่อลื่นเช่นกัน (เมล็ด ดอก)
12. แก้บิด ขับถ่ายเป็นเลือด ให้ใช้ยอดอ่อนนำมาต้มกับน้ำสะอาดรับประทาน แต่ต้องนำมาปิ้งกับไฟให้พอเหลืองเสียก่อน และให้ใช้โดยประมาณ 6-18 กรัม หรือจะใช้ดอกนำมาต้มรับประทานก็ได้ (ยอดอ่อน ดอก)
13. รักษาโรคหลอดลมอักเสบ (ราก ดอก)
14. รักษาเด็กที่ปากเป็นแผลอักเสบ ด้วยการใช้ยอดอ่อนผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาเช้าเย็น โดยการนำไปปิ้งกับไฟให้แห้งแล้วให้เป็นผงเสียก่อน (ยอดอ่อน)
15. ถ้ามีอาการท้องผูก ให้ใช้ดอกสดโดยประมาณ 30 กรัม นำมาผสมกับชะมดเชียง 1.5 กรัม กับน้ำสะอาดครึ่งแก้วใช้ต้มรับประทาน บ้างก็ว่าให้ใช้รากสดๆ ผสมกับเมล็ดของตังเกี้ยงไฉ่ (อย่างละ 30 กรัม) นำมาต้มกับน้ำสะอาดรับประทาน ส่วนเมล็ดก็แก้ท้องผูกเช่นกัน โดยนำมาเมล็ดมาต้มรับประทานหรือบดเป็นผงรับประทาน แต่จะต้องใช้เมล็ดจากผลแก่ที่ตากแห้งแล้ว (ดอก เมล็ด ราก)
16. รากและดอกใช้แก้ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ ปัสสาวะแสบร้อน (ราก ดอก)
17. รักษาโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ด้วยการนำเมล็ดแก่ที่ตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง ใช้ผสมกับน้ำอุ่นรับประทานวันละ 2 ครั้ง โดยใช้รับประทานครั้งละ 6 กรัม (ตำรับนี้สามารถใช้แก้ปัสสาวะขัดและอุจจาระขัดได้ด้วย) ส่วนเด็กที่มีอาการท้องผูกก็รับประทานได้ แต่ต้องใช้โดยประมาณ 3-10 กรัม (เมล็ด)
18. รักษาแผลในลำไส้ ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 3 กรัม นำมาต้มกับน้ำใช้รับประทานเป็นยา (ราก)
19. แก้ลำไส้อักเสบ รักษาฝีในลำไส้ หรือฝีในท้อง ด้วยการใช้ราก 20 กรัม โกฐน้ำเต้า 6 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาดรับประทาน แต่หากมีอาการเลือดออกด้วยก็ให้เพิ่มโกฐสอ 20 กรัม แปะเจียก 20 กรัม และสารส้มสตุ 19 กรัม ต้มกับน้ำสะอาดเป็นยารับประทาน หรือจะนำมารวมกันแล้วบดให้เป็นผง ทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนรับประทานก็ได้เช่นกัน (ราก)
20. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัดและอุจจาระติดขัด (เข้าใจว่าใช้รากสดโดยประมาณ 30-60 กรัม) หรือจะใช้ดอกสดโดยประมาณ 35 กรัม นำมาต้มกับน้ำครึ่งแก้วแล้วใส่ชะมดเชียง 2 กรัม เป็นยารับประทาน ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณขับปัสสาวะเช่นกัน แต่ต้องเป็นเมล็ดจากผลแก่ที่ตากแห้งแล้วนำมาต้มหรือบดเป็นผงรับประทาน (ดอก เมล็ด ราก)
21. รักษาปากมดลูกอักเสบ (ราก ดอก)
22. รักษาโรคหนองใน ด้วยการใช้ยอดอ่อนหรือใบนำมาต้มกับน้ำสะอาดกินเป็นยา จะใช้ใบสดหรือใบแห้งก็ได้ หรือจะนำมาเผาให้เป็นเถ้าแล้วนำมาบดเป็นผงกินก็ได้เช่นกัน โดยจะใช้อยู่ที่โดยประมาณ 6-20 กรัม หรือจะใช้รากสดโดยประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือทำเป็นเม็ด หรือบดเป็นผงกินก็ได้ ส่วนเมล็ดก็สามารถนำมาทำเป็นยาแก้โรคหนองในได้เช่นกัน (ใบ เมล็ด ราก)
23. แก้อาการปัสสาวะมากผิดปกติ ใช้รากสดนำมาล้างให้สะอาด แล้วทุบให้แตกใส่น้ำสะอาดต้มให้เดือดจนเข้มข้น แล้วรินน้ำรับประทาน (ราก)
24. หากปัสสาวะเป็นเลือด ให้ใช้เถาจากยอดอ่อนของต้น นำมาผสมกับเหล้าใช้รับประทานวันละ 2 ครั้ง แต่ต้องรับประทานทีละน้อยๆ หรือจะใช้รากสดนำมาต้มกับน้ำสะอาดดื่มก็ได้ ส่วนดอกและเมล็ดตามตำราก็ระบุว่าแก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้เช่นกัน (เถาจากยอดอ่อน ดอก เมล็ด ราก)
25. หากสตรีมีอาการตกขาว นำดอกสดโดยประมาณ 150 กรัม นำมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทาน แต่ก่อนรับประทานจะต้องดื่มเหล้าก่อน 1 ถ้วยชา หรือจะใช้รากสดๆ โดยประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาดกินก็ได้เช่นกัน (ดอก ราก) ส่วนอีกวิธีให้ใช้ราก 35 กรัมและดอกอีก 10 กรัม นำมาตุ๋นกับเนื้อหมูรับประทาน ก็สามารถใช้แก้มุตกิดระดูขาวได้เช่นกัน (ราก ดอก)
26. รักษาแผลบวมอักเสบ ให้ใช้รากสดนำมาตำแล้วพอก หรือถ้าเป็นแผลบวมจะใช้ดอกมาตำหรือบดให้เป็นผงใช้พอกหรือทาบริเวณที่เป็นแผลก็ได้ (ดอก ราก)
27. รากและเมล็ดใช้ตำพอกรักษาแผลเรื้อรังได้ (ราก เมล็ด)
28. รักษาอาการบวมน้ำ ด้วยการนำเมล็ดแก่ที่ตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง ใช้ผสมกับน้ำอุ่นรับประทานวันละ 2 ครั้ง ใช้รับประทานครั้งละ 6 กรัม ส่วนเด็กที่มีอาการท้องผูกก็รับประทานได้ แต่ต้องใช้ประมาณ 3-10 กรัม (เมล็ด) ส่วนรากและดอกก็ช่วยแก้บวมน้ำได้เช่นกัน (ราก ดอก)
29. รักษาแผลไฟไหม้ แผลโดนน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ดอกสดที่ตำละเอียดแล้วนำมาผสมกับน้ำมันพืช ใช้เป็นยาพอกบริเวณนั้น (ดอก)
30. รักษาแผลหิด ด้วยการใช้เมล็ดจากผลแก่ที่ตากแห้งแล้ว นำมาต้มหรือบดเป็นผงรับประทาน (เมล็ด)
31. รากใช้เป็นยาดูดหนอง ด้วยการใช้รากสดๆ นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น (ราก)
32. รากและเมล็ดช่วยในการคลอดบุตรของสตรี (ราก เมล็ด)
33. รักษาแผลฝีหนอง ใช้ยอดอ่อนหรือใบนำมาต้มกับน้ำสะอาดกินเป็นยา จะใช้ใบสดหรือใบแห้งก็ได้ หรือจะนำมาเผาให้เป็นเถ้าแล้วนำมาบดเป็นผงรับประทานก็ได้เช่นกัน โดยจะใช้โดยประมาณ 6-20 กรัม (ใบ) ส่วนรากและดอกก็ช่วยขับฝีหนอง (ราก ดอก)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของฉัตรของ

1. ดอกมีสารสีแดงที่ใช้เป็นตัวบ่งบอกความเป็นกรดด่างได้
2. ในเมล็ด พบสาร Myrtillin-a, น้ำมันและน้ำมันหอมระเหย ในน้ำมัน 11.9% ประกอบไปด้วย Oleic acid 34.88%
3. ราก จะมีสารเมือกอยู่มาก หากต้นมีอายุ 1 ปี สารเมือกนี้จะประกอบไปด้วย Methylpentosans 10.59%, Mucus, Pentose 7.78%, Pentosans 6.68%, Uronic acid 20.04% โดยสารเมือกนี้จะใช้เป็นยาหล่อลื่น ยาช่วยลดอาการระคายเคือง และใช้เป็นยาพอกแก้ผิวหนังอักเสบ
4. ดอก จะมีผลึกเป็นสารสีเหลือง และมีจุดหลอมเหลวอยู่ที่ 261 องศาเซลเซียส ซึ่งสารนี้อาจเป็น Dibenzoyl carbinol จะเป็นสารผสมของ Kaempferol และดอกที่เป็นสีขาวจะแยกได้ Dihydrokaempferol

คำเตือน : สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้

ประโยชน์ของฉัตรทอง

1. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามรั้วตามสวนทั่วไป
2. หากใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นหรือเป็นฝ้า ก็ให้ใช้ดอกสดนำมาบดให้ละเอียดผสมกับรังผึ้งสด ใช้ทาหน้าก่อนนอนทุกคืน

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1 หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ฉัตรทอง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 233-236.
2 หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ฉัตรทอง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 190.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://botany.cz/
2.https://www.plantopedia.com/

ต้นเจตมูลเพลิงขาว รากช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย

เจตมูลเพลิงขาว
ต้นเจตมูลเพลิงขาว รากช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย เป็นไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีสีขาว ผลมีสีเขียวและมีขนเหนียวรอบผล
เจตมูลเพลิงขาว
ไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีสีขาว เกสรเพศผู้สีม่วงน้ำเงิน ผลมีสีเขียวและมีขนเหนียวรอบผล

เจตมูลเพลิงขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumbago zeylanica L. จัดอยู่ในวงศ์ PLUMBAGINACEAE เช่นเดียวกับเจตมูลเพลิงแดง
ชื่อสามัญ Ceylon leadwort, White leadwort ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ปิ๋ด ปี๋ ปี่ปีขาว ขาว (ภาคเหนือ) ปิดปิวขาว (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ตอชู ( กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ตอชูวา ตั้งชู้อ้วย (ม้ง) โก้นหลัวะ (ไทลื้อ) หนวดแมว (แต้จิ๋ว) แปะฮวยตัง (จีนกลาง) ไป๋ฮวาตัน ไป๋เสี่ยฮวา ป๋ายฮัวตาน

ลักษณะของเจตมูลเพลิงขาว

  • ต้น มีการกระจายพันธุ์กว้างในเขตร้อน ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ โดยเป็นไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุได้หลายปี แตกกิ่งก้านมากกิ่งก้านมักทอดยาว ลำต้นตั้งตรงหรือพาดพันบนต้นไม้อื่น ส่วนกิ่งเอนลู่ลง ต้นมีความสูงได้โดยประมาณ 1-2 เมตร บ้างว่าสูงได้โดยประมาณ 2-3 เมตร ลำต้นมีสีเขียวเข้ม กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวเป็นร่องเหลี่ยม ผิวเรียบ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด โดยเป็นไม้ในที่ร่มรำไร ชอบความชื้นและที่แฉะ มักพบขึ้นตามป่าที่ราบ ป่าโปร่ง ป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบทั่วไป
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามข้อ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก รูปกลมรี รูปไข่แกมขอบขนาน หรือรูปขอบขนาน ปลายใบจะแหลม ตอนปลายเป็นติ่ง โคนใบเว้าหรือเป็นรูปลิ่มหรือมน ส่วนขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 3.8-5 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 5-10 เซนติเมตร แผ่นใบบางและมีสีเขียวอ่อน
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง โดยช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะเชิงลด ดอกย่อยมีหลายดอก แกนกลางและก้านช่อดอกจะมีต่อมไร้ก้าน (ส่วนเจตมูลเพลิงแดงจะไม่มี) ก้านมียางเหนียว กลีบดอกมีสีขาว โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กๆ ยาวโดยประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ รูปหอก หรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ยาวโดยประมาณ 0.7 เซนติเมตร ปลายกลีบดอกแหลมหรือเป็นติ่ง ดอกมีเกสรเพศผู้สีม่วงน้ำเงิน ยาวโดยประมาณ 0.2 เซนติเมตร จำนวน 5 อัน และมีรังไข่ลักษณะเป็นรูปรี เป็น 5 เหลี่ยม ส่วนก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ มีลักษณะเป็นหลอดเล็กยาวโดยประมาณ 0.6-1.2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงดอกมีสีเขียวมีต่อมน้ำยางเหนียวติดมือได้ ช่อดอกยาวได้โดยประมาณ 5-25 เซนติเมตร ส่วนก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ใบประดับมีลักษณะเป็นรูปไข่ ยาวโดยประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร ส่วนใบประดับย่อยมีลักษณะเป็นรูปแถบ ยาวโดยประมาณ 0.2 เซนติเมตร และมีต่อมอยู่หนาแน่น
  • ผล ผลเป็นแบบแคปซูลแห้ง ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรี ยาว กลม หรือเป็นรูปขอบขนาน ผลมีสีเขียวและมีขนเหนียวรอบผล แตกได้เป็น 5 ปาก มีร่องตามยาว

สรรพคุณของเจตมูลเพลิงขาว

1. ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ราก)
2. รากใช้เข้ายาบำรุงโลหิต (ราก)
3. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย (ราก ลำต้น)
4. รากใช้เข้ายาช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก)
5. ช่วยขับโลหิตที่เป็นพิษ (ราก)
6. ดอกใช้เป็นยาแก้โรคตา (ดอก)
7. ดอกมีรสร้อน ใช้แก้โรคหนาวเย็น (ดอก)
8. ช่วยกระจายเลือดลม ช่วยลดการอุดตันในเส้นเลือด (ราก ทั้งต้น)
9. ใบมีรสร้อน แก้ลมและเสมหะ แก้ลมในกองเสมหะ (ใบ)
10. ช่วยขับโลหิตที่เป็นพิษ (ราก)
11. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำสะอาดดื่มช่วยทำให้อาเจียน (ราก ลำต้น)
12. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ (ราก ลำต้น)
13. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำสะอาดดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก ลำต้น) หรือจะใช้ใบเป็นยาแก้โรคมาลาเรียก็ได้เช่นกัน โดยใช้ใบสดประมาณ 8-9 ใบ นำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกตรงข้อมือทั้งสองข้างตรงบริเวณชีพจร โดยให้พอกก่อนที่จะเกิดอาการสักโดยประมาณ 2 ชั่วโมง และให้พอกไปจนกระทั่งบริเวณที่พอกนั้นเย็น แล้วค่อยเอาออก (ใบ) ส่วนชาวม้งจะนำมาใบทุบแล้วหมกไฟให้ร้อน แล้วนำไปห่อด้วยผ้า ใช้ห่อมือห่อเท้าผู้ที่ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย ด้วยเชื่อว่าจะช่วยลดไข้ได้ (ใบ)
14. ช่วยขับเหงื่อ (ราก)
15. ใบช่วยขับเสมหะ (ใบ)
16. แก้อาการปวดกระเพาะ แน่นจุกเสียดท้อง (ราก ทั้งต้น)
17. หากเต้านมอักเสบ ให้นำใบสดมาตำแล้วเอาผ้าก๊อซห่อ ใช้พอกบริเวณที่เป็นจนหาย (ใบ)
18. ช่วยแก้อาการหาวเรอ (ราก)
19. ใบมีรสร้อน ช่วยแก้ปอดบวม (ใบ)
20. รากและทั้งต้นมีรสเผ็ดฝาด ใช้เป็นยาเย็นร้อนเล็กน้อย มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ ใช้เป็นยาขับลม (ราก ทั้งต้น) ตำรายาไทยรากมีรสร้อน ใช้เข้ายาแก้ลมในตัว (ราก) ช่วยขับลมในอก (ราก)
21. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ราก ลำต้น)
22. ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย (ราก ทั้งต้น)
23. ใบช่วยในการขับผายลม (ใบ) รากช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ (ราก)
24. ช่วยในการย่อยอาหาร (ใบ ราก) บ้างว่าใช้ทั้งต้น
25. รากใช้เป็นยาขับพยาธิ (ราก)
26. ใบนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้ทาหรือพอกเป็นยารักษาแผลสด ห้ามเลือด (ใบ)
27. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มจะช่วยทำให้คลอดบุตรได้ง่ายขึ้น (ราก ลำต้น)
28. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ดอก ราก)
29. ต้นหรือลำต้นมีรสร้อน ใช้เป็นยาขับประจำเดือนหรือขับระดูเสียให้ตกไป (ต้น ราก) แก้ประจำเดือนไม่เป็นปกติ ประจำเดือนไม่มา แก้อาการปวดท้องเวลามีประจำเดือน (ราก ทั้งต้น) ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากเข้ายากับพริกไทย นำมาดองกับเหล้าดื่มเป็นยาขับประจำเดือน (แต่เจตมูลเพลิงแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่า) ส่วนตำรายาจีนจะใช้ราก15 กรัม นำมาต้มกับเนื้อหมูรับประทานเป็นยาขับประจำเดือน (บ้างว่าใช้รากแห้ง 30 กรัมและเนื้อหมูแดง 60 กรัม) (ราก)
30. หากตับหรือม้ามโต ให้ใช้ทั้งต้น นำมาดองกับเหล้ารับประทานเช้าเย็น หรือจะนำต้นแห้งมาบดเป็นผง ผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำให้เป็นยาลูกกลอนใช้รับประทานหลังอาหารครั้งละ 1 เมล็ด (ขนาดเม็ดละโดยประมาณ 3-3.5 กรัม) เช้าเย็นก็ได้ (ทั้งต้น) หรือจะใช้รากนำมาดองกับเหล้ารับประทาน จะช่วยแก้อาการม้ามบวมได้ แต่ถ้าอาการหนักก็ให้นำใบสดมาตำให้ละเอียดคลุกกับข้าวเหนียวปั้นเป็นเม็ดขนาดพอดี แล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้รับประทานก่อนนอนและตื่นนอนครั้งละ 1 เม็ด (ราก ใบ)
31. ช่วยแก้ฝีบวมอักเสบ (ราก ต้น ทั้งต้น) หรือจะใช้ผงรากปิดพอกฝีก็ได้ (ผงราก) หรือจะใช้ใบสดนำมาตำพอกแก้ฝีบวมก็เช่นกัน หรืออีกวิธีให้นำใบสดมาตำแล้วเอาผ้าก๊อซห่อ ใช้เป็นยาพอกแก้ฝีบวม ฝีคัณฑสูตร (ใบ)
32. ใบและรากนำมาตำใช้พอกบริเวณที่โดนตัวบุ้งที่ทำให้เกิดอาการคัน (ใบ ราก)
33. ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ราก ทั้งต้น)
34. ต้นสดใช้ตำพอกรักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน รากใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โรคผิวหนังบางชนิด กลากเกลื้อนและผื่นคัน (ต้น ทั้งต้น ราก) หรือจะใช้รากสดโดยประมาณ 1-2 ราก นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับเหล้าบ้างก็น้ำสะอาดหรือน้ำมันพืชเล็กน้อย ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อนก็ได้ แล้วนำส่วนที่ผสมนั้นไปพอกบริเวณที่เป็น (ราก) หรือจะใช้ผงรากนำมาทาแก้กลากเกลื้อนก็ได้เช่นกัน (ผงราก)
35. ใช้ใบสดและข้าวสวยอย่างละ 1 กำมือ ใส่เกลือเล็กน้อย นำมาตำเคล้ากันให้ละเอียด ใช้รักษาโรคผิวหนังหนาอันเนื่องมาจากการเสียดสีกันนาน ๆ โดยนำมาบริเวณที่เป็น (ใบ)
36. ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำสะอาดดื่มเป็นยาแก้ปวดหลัง (ราก ลำต้น)
37. ใช้แก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ต้นสดนำมาตำให้แหลกคั่วกับเหล้า แล้วนำมาพอกบริเวณที่มีอาการฟกช้ำ และถ้ารู้สึกแสบร้อนแล้วจึงค่อยเอายาที่พอกออก (ต้น ทั้งต้น ราก) หรือจะใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอก หรือนำใบสดนำมาตำแล้วนำไปแช่ในเหล้าหรือผสมกับเหล้าเล็กน้อย ใช้พอกหรือทาบริเวณที่ฟกช้ำก็ได้เช่นกัน (ใบ)
38. ใช้รักษาไฟลามทุ่ง ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วเอาผ้าก๊อซห่อ ใช้พอกบริเวณที่เป็นจนกระทั่งหาย (ใบ)
39. ช่วยแก้คุดทะราด (ราก)
40. ช่วยแก้ปวด แก้ปวดบวม (ราก, ทั้งต้น)[3] แก้อาการบวม (ราก)
41. รากใช้เป็นยาทาแก้อาการปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้รากแห้งโดยประมาณ 1.5-3 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาดหรือนำมาแช่ในเหล้า ใช้รับประทานวันละ 5 มิลลิเมตร วันละ 2 ครั้ง (ราก) บ้างว่าใช้ผงรากนำมาทาแก้อาการปวดข้อ (ผงราก) ช่วยขับลมชื้นปวดตามข้อ (ราก ทั้งต้น)
42. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย กระดูกหัก (เข้าใจว่าใช้ใบนำมาตำแล้วพอก)
43. ตำรายาไทยใช้รากเข้ายาแก้อาการปวดตัว (ราก)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. สารที่พบได้แก่ Plumbagin, Hydroplumbagin, Sistosterol, Glucoside, 3-Biplumbagin, 3-Chloroplumbagin, Chitranone, Droserone, Elliptinone, Fructose, Glucose, Isozeylinone, Protease, Zeylinone เป็นต้น
2. สาร Plumbagin จากรากเจตมูลเพลิงขาวมีฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง ช่วยลดไขมันในเลือด และช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสารสกัดจากรากมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
3. สาร Plumbagin มีกลิ่นเหม็นและมีรสเผ็ดขม หากนำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง จะสามารถช่วยฆ่าเชื้อบริเวณผิวหนังได้ และถ้านำสารชนิดนี้มาสกัดด้วยสารคลอโรฟอร์ม จะพบว่าสามารถช่วยต้านเชื้อ Staphylo coccus ได้
4. เจตมูลเพลิงขาวมีฤทธิ์ต่อการเต้นของหัวใจและมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้หัวใจหยุดเต้น หรือทำให้ประสาทสงบระงับ (ได้แก่พวกหนูตะเภา กระต่าย และกบ) หากใช้สารสกัด (Plumbagin) ในอัตราส่วน 0.1 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม ฉีดเข้าที่ตัวของหนูหรือกระต่ายทดลอง พบว่าจะมีฤทธิ์ในการกระตุ้นประสาทส่วนกลางของสัตว์ทดลองให้ตื่นตัว แต่หากใช้ในอัตราส่วนมากจนเกินไป จะทำให้ประสาทส่วนกลางตายด้าน จนหมดความรู้สึก
5. สารสกัดจากรากมีฤทธิ์บีบมดลูกทำให้หนูแท้ง โดยมีฤทธิ์ต่อมดลูกของสัตว์ที่ตั้งท้อง หากใช้ในระดับปานกลางจะไปยับยั้งการบีบตัว และหากฉีดเข้าไปในหนูขาวทดลองจะทำให้แท้งได้ เพราะการทำงานของรังไข่จะผิดปกติไป และสาร Plumbagin ของเจตมูลเพลิงยังมีผลกระตุ้นมดลูกของหนูหรือกระต่ายทดลองที่กำลังตั้งท้อง ทำให้ตกเลือดอีกด้ว
6. สารสกัดจากด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ในการกำจัดเพลี้ย และจะมีฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรีย Mincrococcus pyogenes var. aureus, Mycobacterium phlei และ Salmonella typhi
7. มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตและหยุดการหายใจของกระต่าย หากนำสารสกัดเจตมูลเพลิงมาฉีดเข้าที่ตัวของหนูหรือกระต่ายในอัตราส่วน 10 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการหายใจและความดันได้ โดยสาเหตุที่ทำให้ความดันโลหิตลดลง เนื่องมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยยับยั้งการเต้นของหัวใจให้ลดลง แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ในที่สุด

ข้อควรระวังในการใช้

1. เมื่อทาแล้ว ให้สังเกตด้วยว่าอาการของโรคผิวหนังดีขึ้นหรือไม่ หากมีอาการพุพองมากยิ่งขึ้นให้หยุดใช้ยา เพราะสมุนไพรชนิดนี้หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เป็นแผลพุพองได้
2. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เป็นอันขาด เพราะจะทำให้แท้งบุตรได้ เนื่องจากมีสารบางอย่างที่เหมือนกับเจตมูลเพลิงแดง ที่มีฤทธิ์ในการบีบมดลูกและทำให้แท้ง (แต่ฤทธิ์ของเขตมูลเพลิงขาวจะอ่อนกว่า)

ประโยชน์ของเจตมูลเพลิงขาว

นอกจากจะใช้เจตมูลเพลิงเป็นยาสมุนไพรแล้ว เรายังสามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้อีกด้วย เพราะมีดอกที่ดูสวยงาม มีอายุได้หลายปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อและปักชำ

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1 หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “เจตมูลเพลิงขาว (Chetta Mun Phloeng Khao)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 97. 2 หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เจตมูลเพลิงขาว”. หน้า 173.
3 หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เจตมูลเพลิงขาว”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 184.
4 หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “เจตมูลเพลิงขาว”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 230-232.
5 ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เจตมูลเพลิงขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [2 มี.ค. 2014].
6 สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เจตมูลเพลิงขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [2 มี.ค. 2014].
7 โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “เจตมูลเพลิงขาว, ปิดปิวขาว”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [2 มี.ค. 2014].
8 สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เจตมูลเพลิงขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [2 มี.ค. 2014].
9 Clearing House Mechanism of Department of Agriculture (CHM of DOA). “เจตมูลเพลิงขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: chm.doa.go.th. [2 มี.ค. 2014].
10 สวนพฤษศาสตร์สายยาไทย. “เจตมูลเพลิงขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [2 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://pza.sanbi.org/plumbago-zeylanica
2.https://www.plantslive.in/product/buy-plumbago-zeylanica-plant-online-india/

ต้นจันทนา ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย

จันทนา
ต้นจันทนา ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ดอกเป็นสีขาวกลิ่นหอม ผลกลมรีสีเขียวเข้มและฉ่ำน้ำ ผลแก่จะมีสีแดง
จันทนา
เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ดอกเป็นสีขาวกลิ่นหอม ผลกลมรีสีเขียวเข้มและฉ่ำน้ำ ผลแก่จะมีสีแดง

จันทนา

ต้นจันทนา มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียและพม่า มักขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงของจากระดับน้ำทะเลโดยประมาณ 100-400 เมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง ชอบดินร่วนซุยและทนแล้งได้ดี ชื่อวิทยาศาสตร์ Tarenna hoaensis Pit. จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ จันทน์ทนา (ภาคตะวันออก-เขมร) จันทน์ตะเนี้ย จันทน์ตะเบี้ย จันทน์ขาว (ประจวบคีรีขันธ์) จันทน์ใบเล็ก จันทนา (ระยอง) จันทน์หอม

ลักษณะของจันทนา

  • ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงของต้นได้ถึงโดยประมาณ 2-5 เมตร (บ้างว่าสูงได้โดยประมาณ 5-10 เมตร) กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มแน่น ลำต้นเดี่ยวตั้งตรง เปลือกต้นบาง ผิวเรียบ เป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนกิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมมีขนสั้น เนื้อไม้และแก่นมีสีออกน้ำตาลอ่อนๆ หรืออกขาวนวล มีรสขม หวาน หรือรสขมเย็นระคนกัน
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนมีหางแหลม โคนใบสอบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 6-10 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 24 เซนติเมตร แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม หลังใบเรียบเป็นมัน หลังใบและท้องใบเกลี้ยง มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมฐานแคบปลายเรียวแหลม
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกโดยประมาณ 8-12 ดอก ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกเป็นสีขาว โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายจะแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ส่วนปลายกลีบม้วนลง ดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลืองติดอยู่ข้างในผนังหลอด
  • ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรี สีเขียวเข้มและฉ่ำน้ำ พอแก่จะมีสีแดง ภายในผลมีเมล็ดจำนวนโดยประมาณ 1-2 เมล็ด

สรรพคุณของจันทนา

1. ช่วยบำรุงดวงจิตมิให้ขุ่นมัว (แก่น)
2. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย (แก่น)
3. แก่นช่วยรักษาโรคเลือดลม (แก่น) หรือจะใช้แก่นผสมกับสมุนไพรอื่นในตำรับยา ซึ่งประกอบไปด้วย แก่นจันทนา แก่นจันทน์แดง กระดูกหมาดำ งาช้าง รากชะอม รากชุมเห็ดเทศ รากผักหวานบ้าน รากมะกอกเผือก รากมะกอกฟานซ้อม รากมะลืมดำ รากมะลืมแดง รากหญ้าขัด และหัวถั่วพู โดยนำมาฝนกับน้ำข้าวเจ้า ใช้รับประทานเป็นยารักษาโรคเลือดลม แต่ถ้าเป็นมากจนตัวแดงหรือแดงเป็นลูกตำลึงสุกก็ให้นำมาทาด้วย (แก่น)
4. ช่วยบำรุงเลือดลม (แก่น)
5. แก่นหรือเนื้อไม้มีรสหวาน ช่วยบำรุงประสาท (แก่น) ช่วยทำให้เกิดปัญญาและราศี (แก่น)
6. ช่วยแก้ลม (แก่น)
7. ช่วยบำรุงตับและปอด (แก่น)
8. ช่วยบำรุงธาตุไฟในร่างกาย บำรุงธาตุไฟให้สมบูรณ์ (แก่น)
9. ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ (แก่น)
10. ช่วยแก้ปอด ตับ และดีพิการ (แก่น)
11. ช่วยบำรุงผิวหนัง บำรุงเนื้อหนังให้สดชื่น (แก่น)
12. ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (แก่น)
13. แก่นใช้เป็นยาแก้ไข้ (แก่น) แก้ไข้ร้อน แก้ไข้ที่เกิดจากตับและดี แก้ไข้กำเดา (แก่น)
14. ช่วยแก้อาการเหงื่อตกหนัก (แก่น)
15. ช่วยขับพยาธิ (แก่น)
16. ในตำรับ (ยาจันทน์ลีลา) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ส่วนผสมของจันทน์ขาว (เข้าใจว่าหมายถึงแก่นจันทนา) ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ อีกในตำรับยา โดยเป็นตำรับยาที่ช่วยบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู (ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แต่เข้าใจว่าคือส่วนของแก่น)
17. จัดอยู่ในตำรับยาพระโอสถนารายณ์ คือตำรับยา (มโหสถธิจันทน์) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรจันทน์ทั้งสอง ได้แก่ จันทน์แดงและจันทน์ขาว (เข้าใจว่าคือแก่นจันทนา) ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ อีก 13 ชนิด โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทั้งปวงที่มีอาการตัวร้อน หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วยก็ได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แต่เข้าใจว่าคือส่วนของแก่นหรือเนื้อไม้)
18. ในตำรับยา (พิกัดเบญจโลธิกะ) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณทำให้ชื่นใจ 5 อย่าง ได้แก่ แก่นจันทน์ขาว (เข้าใจว่าหมายถึงแก่นจันทนา) แก่นจันทน์แดง แก่นจันทน์ชะมด ต้นเนระพูสีไทย และต้นมหาสะดำ โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้เพื่อดี แก้รัตตะปิตตะโรค แก้ลมวิงเวียน ช่วยกล่อมพิษทั้งปวง (แก่น)
19. อยู่ในตำรับยา (พิกัดจันทน์ทั้งห้า) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยแก่นไม้จันทน์ 5 อย่าง ได้แก่ แก่นจันทน์ทนา แก่นจันทน์แดง แก่นจันทน์ขาว แก่นจันทน์เทศ และแก่นจันทน์ชะมด โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้เพื่อโลหิตและดี แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยบำรุงปอดและหัวใจ และช่วยแก้พยาธิบาดแผล (แก่น)
20. ปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) คือ ตำรับ (ยาหอมเทพจิตร) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีส่วนผสมของจันทน์ขาว (เข้าใจว่าหมายถึงแก่นจันทนา) ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับยาอีก โดยตำรับยานี้มีสรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แต่เข้าใจว่าคือส่วนของแก่นหรือเนื้อไม้)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารสกัดจากแก่นด้วยแอลกอฮอล์ไม่เป็นพิษต่อหนูในความเข้มข้น 10 กรัมต่อกิโลกรัมต่อน้ำหนักตัว

ประโยชน์ของจันทนา

1. เนื้อไม้หรือแก่นใช้บดหรือฝนผสมกับน้ำ นำไปปรุงแต่งเป็นเครื่องหอมได้
2. แก่น สามารถนำมาใช้ในการทำมาทำเป็นธูปหอมได้

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “จันทนา”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 88.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. “จันทนา”. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 208.
3. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “จันทน์ขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [28 ก.พ. 2014].
4. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “จันทนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [28 ก.พ. 2014].
5 คมชัดลึกออนไลน์. “จันทนา แก่นใช้ทำธูป”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [28 ก.พ. 2014].
6. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “ไม้ดอกหอมของไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [28 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org/wiki/
2. https://www.floraofsrilanka.com/

ต้นขึ้นฉ่าย สรรพคุณช่วยแก้อาการตกเลือด

ขึ้นฉ่าย
ต้นขึ้นฉ่าย สรรพคุณช่วยแก้อาการตกเลือด เป็นพืชผักที่หาง่ายในท้องตลาด ต้นเล็ก ก้านบาง มีกลิ่นหอมฉุน นิยมทานทั้งต้น นิยมใช้ในการปรุงอาหารที่ต้องการดับกลิ่นคาว หรือเพิ่มความหอมของน้ำซุป
ขึ้นฉ่าย
เป็นพืชผักที่หาง่ายในท้องตลาด ต้นเล็ก ก้านบาง มีกลิ่นหอมฉุน นิยมทานทั้งต้นในการปรุงอาหารที่ต้องการดับกลิ่นคาว หรือเพิ่มความหอมของน้ำซุป

ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่ายจีน หรือคื่นฉ่ายใบ เป็นพืชผักที่หาง่ายในท้องตลาด โดยคื่นช่ายพันธุ์จีนจะมีขนาดลำต้นเล็กกว่า กินได้ทั้งแบบสด และสุก และมีสรรพคุณเป็นยา เป็นสมุนไพรล้มลุกหรือพรรณไม้ยืนต้นลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร มีอายุได้ถึง 1-2 ปี มีกลิ่นหอมฉุนทานได้ทั้งต้น มีถิ่นกำเนิดในเขตประเทศอากาศร้อน แอฟริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery) และขึ้นฉ่ายจีน (Chinese Celery) นิยมปลูกเพื่อใช้ปรุงอาหารช่วยในการดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ เพิ่มความอร่อยให้กับอาหารหลากหลายเมนู มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Apium graveolens L. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)

ลักษณะของขึ้นฉ่ายจีน

  • ต้น
    – เป็นพืชล้มลุก
    – ต้นมีความสูง 30 เซนติเมตร
    – ลำต้นมีลักษณะกลวง
    – มีกลิ่นหอมทั้งต้น
    – มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ต้นสีขาว ต้นสีเขียว และต้นสีน้ำตาลเขียว
  • ใบ
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก
    – ออกใบตรงข้ามกัน
    – ใบสีเขียวอมเหลือง
    – ใบย่อยเป็นรูปลิ่มหยัก
    – ขอบใบหยักเป็นแฉกลึก
    – ในแต่ละแฉกอาจจะเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปห้าเหลี่ยม
    – ก้านใบยาวแผ่ออกเป็นกาบ
  • ดอก
    – ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีขาว
    – เป็นดอกสมบูรณ์เพศ
    – ออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม
    – ตรงยอดดอกนั้นแผ่เป็นรัศมี
  • ผล
    – ผลมีรูปร่างกลมรี
    – มีสีน้ำตาล
    – มีขนาดค่อนข้างเล็ก
    – มีกลิ่นหอม
    – จะให้ผลแค่เพียงครั้งเดียว

คุณค่าทางโภชนาการ

ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 67 กิโลแคลอรี

สาอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
น้ำตาล 1.4 กรัม
เส้นใย 1.6 กรัม
ไขมัน  0.2 กรัม
โปรตีน 0.7 กรัม
 น้ำ  95 กรัม
วิตามินเอ 22 ไมโครกรัม 3%
วิตามินบี 1 0.021 มิลลิกรัม 2%
 วิตามินบี 2 0.057 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 3 0.323 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 6  0.074 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9  36 ไมโครกรัม 9%
วิตามินซี 3 มิลลิกรัม 4%
วิตามินอี 0.27 มิลลิกรัม 2%
วิตามินเค 29.3 ไมโครกรัม 28%
ธาตุแคลเซียม 40 มิลลิกรัม 4%
ธาตุเหล็ก 0.2 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม  11 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส  24 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม  260 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโซเดียม 80 มิลลิกรัม 5%
ธาตุสังกะสี 0.13 มิลลิกรัม 1% %

ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อควรระวังในการรับประทาน

  • หากรับประทานมากเกินไป สำหรับเพศชายอาจจะทำให้เป็นหมันได้ และจะทำให้อสุจิลดลงถึง 50%
  • หากหยุดรับประทานแล้ว จำนวนของเชื้ออสุจิจะกลับสู่ระดับปกติในระยะเวลา 8-13 สัปดาห์
  • สำหรับบางคนนั้นอาจจะเกิดอาการแพ้จากการสัมผัสต้นจนถึงขั้นรุนแรงได้
  • สารสกัดจากต้นจะช่วยเร่งให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมากขึ้น
  • การใช้ประกอบอาหาร ไม่ควรผัดหรือต้มผักให้สุกเกินไป
  • ความร้อนจะไปทำลายวิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ให้หมดไป

สรรพคุณของขึ้นฉ่ายจีน

  • ช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตและการงอกของถั่วเขียวผิวดำได้
  • ช่วยในการคุมกำเนิด
  • มีฤทธิ์ในการลดปริมาณการสร้างอสุจิในเพศชาย
  • ช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์
  • ช่วยต่อต้านการอักเสบเรื้อรัง
  • ช่วยรักษาฝีฝักบัว
  • ช่วยแก้ลมพิษ ผดผื่นคันต่าง ๆ
  • ช่วยทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว
  • ช่วยแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
  • ช่วยรักษาโรคปวดข้อต่าง ๆ
  • ช่วยรักษาอาการปวดตามปลายประสาท
  • ช่วยแก้อาการตกเลือด
  • ช่วยลดอาการบวมน้ำ
  • ช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง
  • ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี
  • ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
  • ช่วยขับปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด รักษานิ่ว
  • ช่วยขับลมในกระเพาะ
  • ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารในร่างกาย
  • ช่วยลดอาการของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
  • ช่วยแก้อาเจียน
  • ช่วยในการขับเสมหะ
  • ช่วยดับร้อนในร่างกาย
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน
  • ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอล
  • ช่วยลดระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์
  • ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยป้องกันโรคซิลิโคซิส (Silicosis)
  • ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ
  • ช่วยล้างพิษในร่างกาย
  • ช่วยทำความสะอาดเลือด
  • ช่วยทำให้ร่างกายสะอาด
  • ช่วยในการทำงานของระบบหมุนเวียนต่าง ๆ ในร่างกาย
  • ช่วยลดอาการของโรคหอบหืด
  • ช่วยในการทำงานของระบบหมุนเวียนต่าง ๆ ในร่างกาย
  • ช่วยบำรุงหัวใจและรักษาโรคหัวใจ
  • ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์
  • ช่วยกล่อมประสาท
  • ช่วยในการนอนหลับ
  • ช่วยทำให้รู้สึกสบายขึ้น
  • ช่วยป้องกัน DNA ถูกทำลาย
  • ช่วยลดอาการอักเสบ
  • ช่วยป้องกันมะเร็งด้วยการไปยับยั้งการกลายพันธุ์สารก่อมะเร็งในร่างกาย
  • ช่วยในการปรับสมดุลของกรดและด่างในเลือด
  • ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร

ประโยชน์ของขึ้นฉ่ายจีน

  • จากการศึกษาของทีมนักวิจัยสหรัฐฯ พบว่ามีสารเคมีบางชนิดในผักช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
  • ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและเนื้องอก
  • ช่วยยับยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยต่อต้านมะเร็งได้
  • ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  • ป้องกันหวัด
  • ชะลอความเสื่อมของร่างกายได้เป็นอย่างดี

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ห้องปฏิบัติการสัตว์ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐ (ดร.ร็อดนีย์ จอห์นสัน), ผลของแอลลีโลพาธีของพืชสมุนไพร 6 ชนิดต่อการงอกและการเจริญเติบโตของถั่วเขียวผิวดำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ศานิต สวัสดิกาญจน์), ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, www.the-than.com

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.zahradnictvi-flos.cz/a
2.https://www.botanickafotogalerie.cz/

ต้นข่อย สรรพคุณช่วยแก้อาการบิด แก้ท้องเสีย

ต้นข่อย สรรพคุณช่วยแก้อาการบิด แก้ท้องเสียเป็นไม้ยืนต้น เปลือกต้นมีสีเทาอ่อน มียางสีขาวข้นเหนียว ผิวใบสากคล้ายกระดาษทรายทั้งสองด้าน
ต้นข่อย
เปลือกต้นมีสีเทาอ่อน มียางสีขาวข้นเหนียว ผิวใบสากคล้ายกระดาษทรายทั้งสองด้าน

ต้นข่อย

Siamese rough bush, Tooth brush tree เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูงประมาณ 5-15 เมตร มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อนทั้งอินเดีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังการวมถึงประเทศไทย ซึ่งทางตำรายาสมุนไพรชนิดนี้ใช้เป็นยายุรเวทและยาแผนโบราณ เพื่อรักษาโรค เช่น บรรเทาอาการปวดฟัน ท้องเสีย และรักษามะเร็งบางชนิด ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Streblus asper Lour. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน (MORACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ตองขะแหน่ (กาญจนบุรี), ส้มพอ (เลย ร้อยเอ็ด), ซะโยเส่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), กักไม้ฝอย (ภาคเหนือ), สะนาย (เขมร), สมนาย

ลักษณะของต้นข่อย

  • ต้น
    – ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้างคดงอ
    – มีปุ่มปมอยู่รอบ ๆ ต้นหรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไป
    – อาจจะขึ้นเป็นต้นเดียวหรือเป็นกลุ่ม
    – เปลือกต้นมีสีเทาอ่อน มีความบางและขรุขระเล็กน้อย
    – มียางสีขาวข้นเหนียวซึมออกมา
    – แตกกิ่งก้านมีสาขามาก
    – แตกกิ่งต่ำเป็นพุ่มทึบ
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้รากปักชำ การใช้กิ่งปักชำหรือการเพาะเมล็ด
  • ใบ
    – ใบเดี่ยวเรียงสลับ
    – มีขนาดเล็ก
    – แผ่นใบมีสีเขียว
    – เนื้อใบค่อนข้างหนากรอบ
    – ผิวใบสากคล้ายกระดาษทรายทั้งสองด้าน
    – ใบคล้ายรูปรีแกมรูปไข่หัวกลับ
    – โคนใบสอบ
    – ปลายใบแหลม
    – ขอบใบหยัก
    – มีความกว้าง 2-3.5 เซนติเมตรและยาว 4-7 เซนติเมตร
  • ดอก
    ออกดอกเป็นช่อ
    ดอกมีสีขาวเหลืองอ่อน
    จะออกปลายกิ่งตามซอกใบ
    ออกดอกเดี่ยวแต่รวมกันเป็นกระจุก
    ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ต่างดอกกัน
  • ผล
    – ผลสดมีรูปร่างกลม สีเขียว
    – ผลคล้ายกับรูปไข่
    – มีขนาดประมาณ 0.5 เซนติเมตร
    – เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดพริกไทย
    – มีเนื้อเยื่อหุ้ม
    – ผลแก่จะมีสีเหลืองใสและมีรสหวาน

สรรพคุณของข่อย

  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • ช่วยแก้รำมะนาดได้
  • ช่วยแก้ริดสีดวงที่จมูก
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยดับพิษภายในร่างกาย
  • ช่วยแก้อาการบิด แก้ท้องเสีย
  • ช่วยขับลมในลำไส้
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้
  • ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
  • ช่วยแก้พยาธิผิวหนัง
  • ช่วยบำรุงหัวใจ
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • รับประทานเป็นยาอายุวัฒนะได้
  • ช่วยฆ่าเชื้อในช่องปากและทางเดินอาหารได้
  • ช่วยขับลมในลำไส้
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดของมดลูกในระหว่างมีประจำเดือน
  • ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้

ประโยชน์ของข่อย

  • ยาง สามารถนำมาใช้กำจัดแมลงได้
  • ยาง มีน้ำย่อยที่ชื่อว่า milk (lotting enzyme) ช่วยย่อยน้ำนม
  • ไม้ สามารถนำมาใช้ทำกระดาษ ทำเป็นสมุดไทยหรือสมุดได้
  • เปลือกไม้ สามารถนำมาใช้ทำปอหรือใช้ทำเป็นกระดาษได้
  • กิ่ง สามารถนำมาใช้แปรงฟันแทนการใช้แปรงสีฟันได้ แต่ต้องนำมาทุบให้นิ่ม ๆ ก่อนนำมาใช้
  • สามารถนำมาปลูกเพื่อทำรั้วได้
  • สามารถปลูกไว้เพื่อดัดหรือปรับแต่งเป็นรูปต่าง ๆ ที่เรียกว่าไม้ดัดได้
  • คนไทยโบราณมีความเชื่อที่ว่า หากบ้านใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้ประจำบ้าน จะช่วยทำให้ผู้อาศัยเกิดความมั่นคง มีความแข็งแกร่ง ช่วยป้องกันศัตรูจากภายนอก ทำให้แคล้วคลาดจากอันตรายที่เกิดจากผู้ที่ไม่หวังดีหรือศัตรูที่อาจมาทำอันตรายต่อสมาชิกในบ้าน
  • ใบ สามารถนำมาใช้โบกพัดเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปจากบ้านได้
  • เพื่อความเป็นสิริมงคลจะนิยมปลูกในวันเสาร์และปลูกไว้ทางทิศตะวันออก
  • ต้น เป็นวัสดุที่ใช้ในการสื่อสารที่สำคัญในอดีตที่เรียกกันว่า “ส มุ ด ข่ อ ย” เนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งแรงคงทน

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม), เว็บไซต์โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์, เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofsrilanka.com/
2.https://www.wallpaperflare.com/

ต้นขยุ้มตีนหมา ใช้เป็นยารักษาอาการพิษสุนัขบ้า

ขยุ้มตีนหมา
ต้นขยุ้มตีนหมา ใช้เป็นยารักษาอาการพิษสุนัขบ้า เป็นพรรณไม้เถาล้มลุกลำต้นเป็นเถาเลื้อย ดอกออกเป็นช่อสีขาวเชื่อมกันเป็นรูปปากแตรหรือจะติดกันเป็นรูประฆัง ผลเป็นรูปไข่
ขยุ้มตีนหมา
เป็นพรรณไม้เถาล้มลุกลำต้นเป็นเถาเลื้อย ดอกออกเป็นช่อสีขาวเชื่อมกันเป็นรูปปากแตรหรือจะติดกันเป็นรูประฆัง ผลเป็นรูปไข่

ขยุ้มตีนหมา

ต้นขยุ้มตีนหมา คือ Tiger-foot Morning Glory, Morningglory เป็นพรรณไม้เถาล้มลุกที่มีอายุแค่เพียง 1 ปี ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร เป็นพืชที่พบได้ตามธรรมชาติทั่วไปและยังกระจายอยู่เกือบทั่วโลก ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Ipomoea pes-tigridis L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Ipomoea hepaticifolia L., Ipomoea capitellata Choisy, Convolvulus pes-tigridis (L.) Spreng.) อยู่วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)[1],[2] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เพาละบูลู (มาเลย์-ยะลา), เถาสายทองลอย (จังหวัดสิงห์บุรี), เพาละมูลู (มาเลย์-ยะลา), ผักบุ้งทะเล (จังหวัดพังงา) [1]

ลักษณะของขยุ้มตีนหมา

  • ลักษณะของลำต้นลำต้นเป็นเถาเลื้อยพาดไปตามสิ่งที่อยู่รอบๆ จะไม่มีมือเกาะ ลำต้นเล็กเรียว มักจะเลื้อยที่ตามพื้นดินหรือจะเลื้อยพาดพัน สามารถเลื้อยยาวได้ประมาณ 0.5-3 เมตร มีขนแข็งสีขาวขึ้นคลุมลำต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด สามารถพบขึ้นได้ที่ตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป นาข้าว ดินทรายใกล้ทะเล
  • ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเรียงตัวสลับ ใบกว้างเป็นรูปไข่ ที่ขอบใบจะเป็นแฉกหรือจะเป็นจักเว้าลึกประมาณ 7-9 แฉก มักเป็นจักลึกถึงโคนใบ หรือจะเว้าลึกแยกเป็นพู 3 พู แต่ละพูเว้าจะลึกแยกเป็นอีก 2-3 พู ดูคล้ายกับเป็นใบประกอบที่มีใบย่อยประมาณ 7-9 ใบ ส่วนที่ปลายใบจะแฉกแหลม ใบกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีขนนุ่มขึ้นคลุมผิวใบทั้งสองด้าน ก้านใบเล็กเรียว มีความยาวประมาณ 1.5-10 เซนติเมตร[1],[3]
  • ลักษณะของดอก ดอกออกเป็นช่อ ออกดอกที่ตามซอกใบ ช่อดอกมีดอกประมาณ 2-3 ดอก หรือจะเป็นดอกเดี่ยวขึ้นที่ตามซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร จะมีขนขึ้นคลุม มีใบประดับเป็นรูปหอกแกมรูปขอบขนาน ที่ปลายจะแหลม มีความยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงจะติดกันมีอยู่ 5 กลีบ มีความยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร จะมีขนยาวขึ้นเป็นสีขาว ที่ปลายกลีบจะแหลม มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว เชื่อมกันเป็นรูปปากแตรหรือจะติดกันเป็นรูประฆัง กลีบดอกยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ผิวกลีบมีลักษณะเรียบ ที่ปลายกลีบจะเว้าหยักเข้านิดหน่อย ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้เรียบเกลี้ยง ส่วนเกสรเพศเมียก็เรียบเกลี้ยงเช่นกัน มีเกสรเพศผู้ 5 อัน อยู่บนหลอดกลีบดอก มีเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มีลักษณะเป็นรูปไข่ เป็นรังไข่แบบ Superior ovary [1],[3]
  • ลักษณะของผล ผลเป็นรูปไข่แบบแคปซูล มีความยาวประมาณ 8-9 มิลลิเมตร ผิวผลมีลักษณะเกลี้ยง ผลแห้งเป็นสีน้ำตาล มีเมล็ดยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร จะมีขนสีเทาขึ้นกระจาย [1],[3]

สรรพคุณขยุ้มตีนหมา

1. สามารถนำทั้งต้น มาตำให้ละเอียดผสมเนย ใช้ปิดหัวฝีไม่ให้แพร่กระจายได้ (ทั้งต้น)[1]
2. สามารถใช้เป็นยารุ และรักษาโรคไอเป็นเลือดได้ (ราก)[1]
3. สามารถนำทั้งต้น มาใช้ทำเป็นยาระงับพิษสุนัขบ้าได้ (ทั้งต้น)[1]
4. สามารถใช้เป็นยารักษาโรคท้องมานได้ (เมล็ด)[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ขยุ้มตีนหมา”. หน้า 92-93.
2. Fang Rhui-cheng, George Staples (1995). “ Flora of China – Ipomoea”. Science Press, Peking und Missouri Botanical Garden Press, St. Louis. หน้า 6.
3. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. “ขยุ้ม ตีน หมา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : science.sut.ac.th. [04 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/2021/05/onguli-lota-or-tigers-footprint-ipomoea.html