หน้าแรก บล็อก

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
ICSI

การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น

ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ


สารบัญบทความ


ICSI คืออะไร?

Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป

อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น


ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง?

ข้อดีของ ICSI เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก

นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้
  • เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป
  • ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ
  • เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้

ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร?

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้

  • วิธีการปฏิสนธิ
    • การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ
    • การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น
  • เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน
    • การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง
    • การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ
  • อัตราความสำเร็จ
    • ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ

อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด


ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง?

ขั้นตอนการทำ ICSI ก่อนตัดสินใจทำ ICSI หลายคนอาจสงสัยว่ากระบวนการนี้ต้องทำอะไรบ้าง มีความยุ่งยากมากแค่ไหน ซึ่งจริง ๆ แล้วการทำ ICSI มีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ยุ่งยากอย่างที่หลายคนกังวล โดยลำดับขั้นตอนการทำ ICSI มีดังนี้

  • กระตุ้นไข่ในรังไข่ : แพทย์จะให้ยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ของฝ่ายหญิง เพื่อให้รังไข่ผลิตไข่มากกว่าปกติ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลือกไข่ที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับการปฏิสนธิ
  • เก็บไข่ ICSI หรือการเก็บไข่ออกจากรังไข่ : เมื่อไข่มีขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะใช้เข็มดูดไข่ของฝ่ายหญิงออกมาจากรังไข่ผ่านทางช่องคลอด
  • เก็บอสุจิจากฝ่ายชาย : โดยปกติจะเก็บจากการหลั่งในวันที่เก็บไข่ หรือในบางกรณีที่มีปัญหาอสุจิ อาจต้องใช้วิธีเจาะเก็บจากอัณฑะ
  • ทำ ICSI (ฉีดอสุจิเข้าไข่โดยตรง) : นักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและใช้เข็มขนาดเล็กฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ
  • เลี้ยงตัวอ่อนในห้องแล็บ : หลังการปฏิสนธิ ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะถูกเลี้ยงในห้องแล็บ 5-6 วัน เพื่อดูการเจริญเติบโตของตัวอ่อน
  • ย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก : เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตจนถึงระยะเหมาะสม แพทย์จะทำการย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อให้ฝังตัวและเริ่มตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ
  • รอดูผลการตั้งครรภ์ : ประมาณ 10-14 วันหลังย้ายตัวอ่อน แพทย์จะนัดตรวจเลือดเพื่อดูว่าตั้งครรภ์สำเร็จหรือไม่

ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง

อิ๊กซี่ (ICSI) หรือการฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่มีความแม่นยำและได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยทำให้การปฏิสนธิเป็นไปได้ แม้ในกรณีที่อสุจิมีจำนวนหรือคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะคู่รักที่มีปัญหาด้านภาวะเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย หรือเคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าการทำ ICSI เหมาะกับตัวเองหรือไม่ การปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยที่ Beyond IVF เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยากที่พร้อมให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา ช่วยให้คู่รักเข้าใจทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวเอง และสามารถมีลูกได้อย่างที่ใฝ่ฝัน

ช่องทางการติดต่อ

  • Line : https://lin.ee/atytxh8
  • Facebook : www.facebook.com/beyondivf

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง
แสงแดดมีวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยสมานแผล และช่วยฆ่าเชื้อโรคได้
แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง
แสงแดดมีวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยสมานแผล และช่วยฆ่าเชื้อโรคได้

แสงแดด

แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย

สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย

โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้

  • ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น
  • ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล
  • ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน

สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก 

ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน

แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ

  • แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้
  • แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก

หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้

การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน

การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้

แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร?

การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป และทำการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้บาดแผลตื้นขึ้นและค่อยๆหายดีเป็นปกติ
นอกจากนี้ในการสมานแผล ยังมีสารที่สำคัญอีกหนึ่งชนิดที่อยู่ในกระบวนการนี้คือ คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) ซึ่งเป็นตัวรับแสงแดด และเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นวิตามินดี เพื่อนำไปใช้ประโยชน์กับทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะการใช้แคลเซียมไปปรับความสมดุลของภาวะเลือดในร่างกาย เพื่อช่วยให้แผลค่อยๆดีขึ้นจนหายเป็นปกติ   

บทบาทของแสงแดดรักษาแผล

1. แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรค รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และอื่นๆ  ดังนั้น แสงแดดจึงฆ่าเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผล รวมถึงฆ่าเชื้อบาดทะยักได้ด้วย  ทำให้แผลแห้งและหายเร็ว
2. แสงแดดช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยวิตามินดีที่ได้รับจากแสงแดด จะไปช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวถูกผลิตมากขึ้น ให้เพียงพอต่อการนำไปใช้รักษาแผล
3. แสงแดดช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเซลล์ต่างๆของร่างกาย แสงแดดช่วยทำให้เฮโมโกบินในเม็ดเลือดแดงรับออกซิเจนจากปอดได้ดีขึ้น จึงทำให้เซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์รอบๆบริเวณบาดแผล เซลล์เม็ดเลือดขาว ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น และช่วยฟื้นฟูบาดแผลให้หายดี
4. แสงแดดช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แสงแดดเป็นพลังแม่เหล็กที่เต็มไปด้วยพลังประจุไฟฟ้าลบ ( Electron )  จึงมีอนุภาพจัดการกับอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายและบริเวณบาดแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากแผลที่มีความอันตรายสูง ในผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว แสงแดดรักษาแผลในกรณีอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด เช่น แผลติดเชื้อ แผลกดทับ แผลฟกช้ำ และแผลเรื้อรัง เป็นต้น

ถึงแม้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะดูอันตรายและรุนแรง แต่สิ่งที่ช่วยรักษาให้หายได้ ไม่ใช่ยาราคาแพง หรือเครื่องมืออุปกรณ์แพทย์ราคาสูง แต่กลับเป็นพลังงานอย่างแสงแดด ที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท เป็นพลังงานฟรีที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด ดังนั้นจึงควรทำให้ตนเองได้รับปริมาณของแสงแดดที่เพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน ซึ่งหากจะให้ดีที่สุด ผู้ที่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน ต้องรู้จักรอบคอบและระมัดระวังตัวเองไม่ให้เกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกาย หรือ ถ้าเกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกายแล้ว ผู้ป่วยต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันบาดแผลไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ไม่ให้เชื้อนั้นลุกลามจนเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5

MacAdam, David L. (1985). Color Measurement: Theme and Variations (Second Revised ed.). Springer. pp. 33–35. ISBN 0-387-15573-2.

“Graph of variation of seasonal and latitudinal distribution of solar radiation”. Museum.state.il.us. 2007-08-30. Retrieved 2012-02-12.

MacEvoy, Bruce (2008). color vision. Retrieved 27 August 2015. Noon sunlight (D55) has a nearly flat distribution.

Wyszecki, Günter; Stiles, W. S. (1967). Color Science: Concepts and Methods, Quantitative Data and Formulas. John Wiley & Sons. p. 8.

มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) อาการ สาเหตุ และการรักษา

0
อาการ สาเหตุและวิธีการรักษาโรคมะเร็งไต (Kidney Cancer)
มะเร็งไตเกิดจากเซลล์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติบริเวณไต หรือเยื่อบุผิวซึ่งเป็นท่อเล็กๆ ที่เป็นตัวนำน้ำปัสสาวะให้ไหลลงสู่กรวยไต
อาการ สาเหตุและวิธีการรักษาโรคมะเร็งไต (Kidney Cancer)
มะเร็งไตเกิดจากเซลล์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติบริเวณไต หรือเยื่อบุผิวซึ่งเป็นท่อเล็กๆ ที่เป็นตัวนำน้ำปัสสาวะให้ไหลลงสู่กรวยไต

มะเร็งไต ( Kidney Cancer )

มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) คือ ชนิดของโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในไต โดยเกิดจากเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อไตและกรวยไตที่ผิดปกติ มักพบในวัยผู้ใหญ่ ปัจจุบันมะเร็งไตอาจจะมีปริมาณของผู้ป่วยที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ก็ถือว่ามียอดของผู้ป่วยทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไต เป็นอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือ เนื้อไต และกรวยไต มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบปัสสาวะ คอยขับกรองของเสีย และเกลือแร่บางชนิด เช่น เกลือโซเดียม ออกจากร่างกาย

มะเร็งไต สามารถเกิดได้ทั้ง 2 ข้าง ไตของมนุษย์จะมีทั้งหมด 2 ข้างคือ ไตซีกซ้าย และไตซีกขวา อยู่บริเวณช่องท้องด้านหลังระดับเอว ภายในไตจะประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด ได้แก่ เซลล์ของไตเองผู้ทำหน้าที่กรองของเสีย เซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต เส้นเลือด และเซลล์ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งทุกชนิดสามารถเกิดเป็นมะเร็งได้หมดทั้งสิ้น

สาเหตุมะเร็งไต เกิดจาก

มะเร็งไต เกิดจากภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง ซึ่งโรคมะเร็งไตก็สามารถเกิดขึ้นได้กับไตทั้งสองฝั่ง โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็สามารถเกิดพร้อมกันได้ทั้งฝั่งเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นประมาณร้อยละ 2  โดยอาจจะเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ฝั่งเลย หรือเกิดขึ้นทีละฝั่งก็ได้เช่นกัน  ซึ่งผู้ที่เป็นโรคมะเร็งไต ที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้ จะมีโอกาสเกิดมะเร็งไตทั้งสองข้างได้สูง มากว่าคนปกติ

มะเร็งไต คือ การเกิดภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง

มะเร็งไต จะแตกต่างกัน ระหว่างประเภทที่พบในผู้ใหญ่ กับประเภทที่พบในเด็ก ซึ่งประเภทที่พบในผู้ใหญ่นั้น จะมีโอกาสเกิดสูงใน ผู้ที่อายุอยู่ในช่วงประมาณ  55 – 60  ปี และสามารถพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่าความแตกต่างระหว่างมะเร็งไตและมะเร็งกรวยไต ทั้งไตและกรวยไต ล้วนแต่เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกัน ทำงานร่วมกัน และอยู่ในระบบขับถ่ายของเสียด้วยกันทั้งคู่  หลายคนจึงมีความสงสัยว่า โรคมะเร็งไตที่เกิดกับอวัยวะทั้ง 2 ส่วน เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งอันที่จริงแล้ว มะเร็งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้คือ

ชนิดของมะเร็งไต

1. ไตจะมีหน้าที่หลักคือ กรองของเสียออกจากร่างกายมาทางปัสสาวะ เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่อวัยวะและเซลล์ของตัวไตเอง มักเป็นเซลล์มะเร็งชนิดรีนัลเซลล์ หรือเรียกย่อๆว่า อาร์ซีซี ( RCC : Renal Cell Carcinoma ) ซึ่งเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง

2. กรวยไตมีหน้าที่หลักคือ เก็บกักน้ำปัสสาวะในไต ก่อนปล่อยให้ไหลลงไปสู่ท่อไต เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่ส่วนของกรวยไต เป็นมะเร็งของเซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต ชนิดทีซีซี หรือ ทรานซิชันแนล ( TCC : Transitional Cell Carcinoma ) เป็นเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง

สาเหตุการเกิด มะเร็งไต

ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถสรุปหาต้นเหตุที่แท้จริง ของการเกิดมะเร็งไตได้  แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เชื่อว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค ดังต่อไปนี้

  • การสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งไตและมะเร็งเกือบทุกชนิด
  • พันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้บางชนิด ซึ่งคนที่มีความผิดปกติจากพันธุกรรมชนิดนี้ มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งไตได้ถึงร้อยละ 45 และมักมีโอกาสเกิดมะเร็งกับไตทั้งสองข้างสูง
  • ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน  และ ผู้ที่มีภาวะมีโรคความดันโลหิตสูง
  • อาจเกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งบางชนิดในสถานที่ทำงาน เช่น จากการทำเหมืองแร่ เช่น แร่แคดเมียม   ( Cadmium ) หรือแอสเบสตอส ( Asbestos )
  • เกิดจากอาหารและยาที่ทานเข้าไป มีข้อพบมูลว่า ผู้ที่ทานอาหารประเภทโปรตีน หรืออาหารที่มีไขมันสูง เข้าไปในปริมาณมากๆ และไม่ค่อยทานผักและผลไม้ จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งไตได้มากกว่าผู้ที่ทานอาหารครบห้าหมู่และสมดุลกัน

อาการของมะเร็งไต

โดยปกติแล้ว โรคมะเร็งไต จะไม่มีอาการเฉพาะตัวของโรค ในระยะแรกที่ก้อนเนื้อมะเร็งยังไม่ใหญ่มาก ผู้ป่วยจะยังคงใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาเด่นชัด แต่เมื่อก้อนมะเร็งเริ่มใหญ่ขึ้น และเริ่มลุกลามแล้ว ผู้ป่วย จะเริ่มมีอาการคล้ายกับการเกิดการอักเสบของไต โดยอาการของโรคมะเร็งไตที่พบได้บ่อยๆ เช่น

  • มีอาการปวดหลังบริเวณตำแหน่งของไต แบบเรื้อรัง โดยจะมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
  • คลำพบก้อนเนื้อในช่องท้องบริเวณตำแหน่งของไต ( ทั้งสองข้าง )

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งไต

เนื่องจาก โรคมะเร็งในไต ยังเป็นโรคที่ผู้ป่วยจำนวนไม่มากนัก ประกอบกับแหล่งของข้อมูลยังน้อยอยู่ จึงทำให้หลายคนวิตกกังวลว่า จะสามารถทราบได้อย่างไรว่าตัวเราเองป่วยเป็นโรคชนิดนี้  ซึ่งในทางการแพทย์จะมีวิธีในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งไต ได้หลายวิธี เช่น การสอบถามประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ ( MRI ) การอัลตราซาวด์ภาพไต  เป็นต้น  แต่แพทย์จะไม่นิยมใช้วิธีการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา เนื่องจากมีความอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยสูง เพราะไต เป็นอวัยวะอยู่ลึกและมีลำไส้ซ้อนอยู่ และยังอยู่ใกล้หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่อีกด้วย หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ วิธีนี้จะทำก็ต่อเมื่อมีการผ่าตัดเกิดขึ้นแล้ว โดยจะทำไปพร้อมกันเลย

ระยะของมะเร็งไต

เราสามารถแบ่งระยะของโรคมะเร็งไต ได้เหมือนกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ออกเป็น 4 ระยะดังต่อไปนี้

มะเร็งไต ระยะที่ 1 : เป็นระเริ่มต้นของโรค ก้อนมะเร็งลุกลามเฉพาะในไต และก้อนเนื้อจะมีขนาดโตไม่เกิน 7 ซม.

มะเร็งไต ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะในไต เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเกินกว่า 7 เซนติเมตร

มะเร็งไต ระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียงหรือเส้นเลือดดำของไตและลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้ไต

มะเร็งไต ระยะที่ 4 : ก้อนมะเร็งลุกลามออกจากไต เข้าเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ หลายเนื้อเยื่อหลายอวัยวะ โดยเฉพาะต่อมหมวกไตหรือแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลืองอยู่ไกลออกไปจากไต หรือแพร่กระจายเข้ากระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆที่ไกลออกไป ส่วนที่พบบ่อยคือ ปอด กระดูก และสมอง เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้แล้ว
ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถทราบได้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็ง ถึงในขั้นระยะไหนแล้ว

จากการตรวจวินิจฉัยของแพทย์จากวิธีการต่างๆ  เพื่อนำข้ออมูลที่ได้ไปใช้ในกระบวนการรักษาต่อไป [banner slot1=”oral_6″ slot2=”oral_6″ slot3=”oral_6″ slot4=”oral_6″

การรักษามะเร็งไต

ในการรักษามะเร็งไต นั้น จะขึ้นอยู่กับระยะและอาการของโรคในผู้ป่วยแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์แนวทางในการรักษา  ซึ่งวิธีการหลักที่ใช้ในการรักษามะเร็งไตก็คือ การผ่าตัด  แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคมะเร็งในระยะที่ลุกลามแล้ว จะใช้วิธีรังสีรักษา หรือ การให้เคมีบำบัด แต่โรคมะเร็งไตนั้นเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ดื้อต่อยาเคมี บำบัดที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบัน จึงใช้วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล ส่วนวิธีอื่นๆยังคงอยู่ในกระบวนการศึกษาทางการแพทย์ต่อไป
โรคมะเร็งไต เป็นโรคชนิดที่มีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปานกลาง ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งไต สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ ยังไม่มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  นอกจากนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น อายุ ร่างกาย ความแข็งของผู้ป่วย เป็นต้น

การตรวจคัดกรองมะเร็งไต และ การป้องกัน

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งไต ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น  สิ่งที่ทำได้คือ คอยสังเกตถึงความผิดปกติต่างๆในร่างกาย หากมีความผิดปกติอะไรที่มีอาการคล้ายโรคมะเร็งไต ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันทีจะดีที่สุด ส่วนการป้องกันโรคมะเร็งไตก็ยังไม่มีวิธีการใด ที่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือ ทำร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆในการก่อมะเร็ง เท่าที่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
แม้ว่ามะเร็งไต จะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย เหมือนมะเร็งประเภทอื่นๆ และมีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปลานกลางเท่านั้น  แต่ทั้งนี้หากเลี่ยงได้ก็คงไม่อยากที่จะป่วยเป็นโรคร้ายชนิดนี้ ทั้งนี้ในปัจจุบันที่ยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองโรค รวมถึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรค ทางที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ก็คือ ทำให้ร่างกายตนเองมีความแข็งแรง หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อันที่จะนำไปสู่ให้เกิดโรค นอกจากนี้หากพบความผิดปกติใดเกิดขึ้นกับร่างกาย ควรรีบไปปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Tongaonkar HB, Desai SB (September 2005). “Benign mixed epithelial stromal tumor of the renal pelvis with exophytic growth: case report”. Int Semin Surg Oncol. 2: 18. PMC 1215508 Freely accessible. PMID 16150156. 

Nzegwu MA, Aligbe JU, Akintomide GS, Akhigbe AO (May 2007). “Mature cystic renal teratoma in a 25-year-old woman with ipsilateral hydronephrosis, urinary tract infection and spontaneous abortion”. Eur J Cancer Care (Engl). 16 (3): 300.

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) 

0
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบเลือดที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเติบโตผิดปกติ ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากในกระแสเลือด ทำให้การทำงานของระบบเม็ดเลือดเสียไป
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
มะเร็งชนิดนี้เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเติบโตผิดปกติ ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากในกระแสเลือด ทำให้การทำงานของระบบเม็ดเลือดเสียไป

มะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) นอกจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ตับ ปอด กระเพราะอาหาร เต้านม แล้ว โรคมะเร็งยังสามารถเกิดได้กับ เม็ด เลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งของร่างกายได้อีกด้วย โดยส่วนมากเราจะรู้จัก โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในชื่อของ ลูคีเมีย ซึ่งเป็นชนิดมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูงมากประเภทหนึ่ง

มะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถเป็นได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ ทารกแรกคลอด ตลอดจนวัยผู้สูงอายุ แต่ส่วนมากมักพบได้บ่อยๆในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อย ทั้งในประเทศไทยเองและเด็กในต่างประเทศ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นชนิดโรคมะเร็งที่พบในเด็กมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง  ส่วนที่พบในผู้ใหญ่ก็มีปริมาณมากเช่นเดียวกัน เป็นโรคที่เกิดขึ้นติดอันดับหนึ่งในสิบจากกลุ่มของโรคมะเร็งทั้งหมด

เม็ดเลือดประกอบด้วย

ปกติแล้ว ไขกระดูก ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่คอยสร้างกลุ่มเม็ดเลือดที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ

1. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักคือ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย หากร่างกายขาดเม็ดเลือดแดงจะส่งผลให้มีอาการตัวซีด เหนื่อยง่าย  หากปล่อยทิ้งไว้ระยะยาว จะส่งผลทำให้ระบบอวัยวะอื่นๆในร่างกายทำงานผิดพลาดจนกระทั้งเกิดภาวะล้มเหลวได้ โดยเฉพาะหัวใจ

2. เกล็ดเลือด มีหน้าที่หลักคือ ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลเมื่อมีแผลเกิดขึ้นกับร่างกาย หรือ การเข้ารับการผ่าตัดทางการแพทย์ หากร่างกายมีปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติจะส่งผลให้ มีอาการเลือกออกง่าย หยุดช้าและอาจไหลไม่หยุดเลย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต่อร่างกายมากหากเกิดบาดแผลขึ้น

3. เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่หลักคือ เปรียบเสมือนทหาร ที่คอยคุ้มป้องกันกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ หลุดเข้าไปสู่ในร่าง กาย หากร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ต่ำจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคต่ำตามไปด้วย ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การติดเชื้อ ได้ง่าย และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง ทำให้อวัยวะต่างๆที่ติดเชื้อเกิดการอักเสบและล้มเหลวในที่สุด

สาเหตุการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีสาเหตุหลักมาจาก การที่ไขกระดูกทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ระบบการสร้างเม็ดเลือดต่างๆผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่น สร้างมากเกินกว่าปกติ หรือ สร้างน้อยเกินกว่าปกติ แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะพบในลักษณะการสร้างที่มากเกินกว่าปกติ และพบได้ในเม็ดเลือดขาวบ่อยที่สุด

เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกสร้างขึ้นมากว่าปกติ จะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดอาจมีปริมาณในการสร้างลดลงไปด้วย โดยในปัจจุบันยังไม่มีเหตุผลแน่นอนที่ชัดเจน ว่ามีเหตุผลใดที่ทำให้ไขกระดูกทำงานผิดปกติ จนทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้น แต่อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้

  •  เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมบางชนิด ทั้งชนิดถ่ายทอดได้และชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่ควบคุม  เกี่ยวกับการแบ่งตัวและการตายของเซลล์
  • การได้รับรังสีชนิดต่างๆในปริมาณมากและต่อเนื่อง เช่น รังสีเอ็กซ์
  • การได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ตั้งแต่อายุยังน้อย
  • ผู้ที่มีภาวะของโรคดาวน์ซินโดรม ( Down’s Syndrom ) จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนปกติ
  • การขาดสารอาหารของมารดาในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลต่อทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
  • การได้รับสารก่อมะเร็ง จากสารเคมีบางชนิดบ่อยๆ ส่งผลให้ไปกระตุ้นเชื้อมะเร็งในร่างกายให้เกิดขึ้น
  • การได้รับสารก่อมะเร็งปริมาณสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ร่วมทั้งจากการบริโภคสารก่อมะเร็งของมารดาในขณะตั้งครรภ์

ประเภทมะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิด แต่ก็สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิดคือ
1. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซิติก ( Lymphocytic Leukemia )  

2. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมย์อีโลซิติก หรือนัลลิมโฟซิติก ( Myelocytic Leukemia or Non-Lymphocytic )

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้ง 2 ชนิดนี้ ยังสามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเภทย่อยๆ ได้อีก คือ  มะเร็งชนิดเฉียบพลัน และ มะเร็งชนิดเรื้อรัง  ซึ่งชนิดแบบเฉียบพลัน  เป็นโรคมะเร็งประเภทที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก จะมีอาการรุนแรงตั้งแต่ที่เริ่มเป็น หากเป็นแล้วต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน  ส่วนมะเร็งชนิดเรื้อรังนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดเฉียบพลัน ผู้ที่ป่วยจะมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ควรได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร่งด่วนโดยเช่นกัน ก่อนที่จะลุกลามไปถึงระยะสุดท้ายของมะเร็งที่ไม่อาจรักษาได้แล้ว

อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาว

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น  โรคนี้จะไม่มีอาการเฉพาะของโรคเหมือนมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่จะมีอาการจากผลข้างเคียงของไขกระดูกที่ทำงานผิดปกติ  โดยทั่วไปมักจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • เกิดภาวะตัวซีด รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย ง่ายกว่าปกติ
  • เจ็บป่วยบ่อยๆ เช่น มีอาการไข้ขึ้นสูงบ่อยๆ เนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ
  • มีอาการทางสมอง เมื่อมีโรคแพร่กระจายเข้าสมอง
  • เมื่อเป็นมาก ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และอัณฑะจะโต ( ในผู้ชาย ) จนคลำพบได้เองถึงความผิดปกติ
  • เกิดภาวะ มีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล มีเลือดออกขณะแปรงฟัน  อาจมีจ้ำ ห้อเลือด หรือจุด
  • เลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจุดแดงแดงเหมือนเป็นไข้เลือดออก ซึ่งเป็นผลมาจากไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดในปริมาณผิดปกติ

จะสามารถทราบได้อย่างไรว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติเบื้องต้น  ตามข้อมูลจากในหัวข้อ อาการป่วยของผู้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้ว ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทันที โดยแพทย์จะมีวิธีในการตรวจหาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้ได้หลากหลายวิธี  เช่น

ระยะของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะต่างจากมะเร็งประเภทอื่น ที่ไม่มีการแบ่งระยะของโรค เนื่องจาก เป็นโรคที่เกิดขึ้นในไขกระดูก เมื่อถูกตรวจพบ ก็แสดงว่าโรคจะแพร่กระจายเข้าในไขกระดูกทั่วตัวแล้ว ซึ่งในทางการแพทย์จะใช้วิธีการแบ่งระยะของโรคมะเร็งชนิดนี้โดย ใช้ผลการตรวจจากวิธีต่างๆ เช่น การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดซีบีซี  การตรวจไขกระดูก  เพื่อดูความรุนแรงของโรค  โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น  2 ระยะใหญ่ๆ คือ

  • กลุ่มที่มีความรุนแรงของโรคปานกลาง คือ กลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม จำนวนเม็ดเลือดขาวไม่สูงมาก โรคยังไม่แพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม อัณฑะ สมอง และไขสันหลัง
  • กลุ่มที่มีความรุนแรงของโรคสูง คือ มีลักษณะโรคนอกเหนือจากที่กล่าวแล้วในกลุ่ม โรคมีความรุนแรงปานกลาง เช่น การมีโรคแพร่กระจายเข้าเนื้อเยื่ออื่นๆนอกเหนือไขกระดูกแล้ว

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

แนวทางในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น จะมิวิธีที่แตกต่างกันออกไป  ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย อายุ ความรุนแรงของโรค โดยแพทย์ผู้ที่ให้การรักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์ถึงแนวทางสำหรับการรักษาผู้ป่วยในแต่ละราย เช่น

  • การใช้เคมีบำบัด  โดยอาจใช้ตัวยาหลายชนิด เพื่อให้ไปหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้น
  • การใช้รังสีรักษา  มักจะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการของโรครุนแรง เฉียบพลัน เช่น ใช้รังสีเพื่อป้องกันโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าสมอง
  • วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก/สเต็มเซลล์  จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคสูง และไม่ได้ผลจากการให้เคมีบำบัด แต่มีข้อเสียคือ เป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จนอาจเกินกว่าที่ผู้ป่วยทุกคนจะรับได้

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น ถึงจะเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูงแต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดเป็นปกติได้เช่นกัน  แต่จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของโรคด้วย เช่น

  • ชนิดของเซลล์มะเร็ง  ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟ-ซิติก จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ง่ายกว่า ชนิดไมย์อีโลซิติก และ ชนิดเรื้อรังก็จะสามารถรักษาให้หายได้ง่ายกว่าชนิดแบบเฉียบพัน ด้วยเช่นกัน
  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม หากผู้ป่วยมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ไม่มากก็สามารถรักษา ให้หายได้เป็นปกติได้ไม่ยาก ต่างกับผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมมากก็จะรักษาให้หายได้ยากว่า
  • เพศ โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีความรุนแรงของโรคสูงกว่าผู้หญิง
  • อายุ  จากข้อมูลพบว่า ทารก วัยรุ่น และผู้ใหญ่จะมีความรุนแรงของโรคสูงกว่าเด็กอายุ 1 ถึง 10 ปี
  • สภาวะทางร่างกาย  ผู้ป่วยที่มี ตับ ม้าม หรือต่อมน้ำเหลืองโต จะส่งผลให้มีความรุนแรงของโรคสูงไปด้วย
  • การแพร่กระจายของโรค หากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่เชื้อมะเร็งมีการแพร่กระจายเข้าสู่น้ำไขสันหลัง สมอง และอัณฑะ เป็นระยะที่มีความรุนแรงของโรคสูงแล้ว การรักษาให้หายจะทำได้ยากมากขึ้น
  • สุขภาพของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีสุขภาพดีแข็งแรง จะมีโอกาสรักษาให้หายง่ายกว่าผู้ป่วยที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง

การป้องกันมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่ระยะเริ่มเป็น  สิ่งที่ทำได้คือ คอยสังเกตถึงความผิดปกติต่างๆในร่างกาย หากมีความผิดปกติอะไรที่มีอาการคล้ายโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีจะดีที่สุด

สำหรับการป้องกันโรคก็เช่นกัน ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดๆที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือ ทำร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดเชื้อมะเร็งด้วย

มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือที่เรารู้จักกันในชื่อของลูคิเมีย แม้จะเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กที่มีอายุน้อย แต่ก็ไม่ควรละเลยไปสำหรับผู้ที่เลยวัยเด็กมาแล้ว  เนื่องจากเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก และยังเป็นโรคที่ในปัจจุบันไม่มีวิธีการป้องกันและไม่สามารถตรวจคัดกรองเบื้องต้นได้อีกด้วย  ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดทีเราสามารถทำได้กันคือ หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีอยู่เสมอ และหากพบความผิดปกติอะไรเกี่ยวกับร่างกายควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อให้ทำการตรวจจะดีที่สุด และอย่าลืมเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะหากตรวจพบโรคในระยะอาการที่ไม่หนักมาก โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้ก็สามารถรักษาให้หายเป็นปกติเหมือนโรคอื่นทั่วๆไปได้นั้นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Leukemia — Definition of Leukemia by Merriam-Webster”. Archived from the original on 6 October 2014.

“What You Need To Know About™ Leukemia”. National Cancer Institute. 23 December 2013. Archived from the original on 6 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

“A Snapshot of Leukemia”. NCI. Archived from the original on 4 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

Hutter, JJ (Jun 2010). “Childhood leukemia.”. Pediatrics in review / American Academy of Pediatrics. 31 (6): 234–41. PMID 20516235. 

สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป มีอะไรบ้าง ?

0
สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป มีอะไรบ้าง ?
ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปใช้สารปรุงแต่งอะไรบ้าง?
สารปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักาาอาหารได้นานขึ้น

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือ

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ ทำให้สภาพตามธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกในการเก็บรักษาหรือการใช้ มักมีการใช้สารปรุงแต่งหรือวัตถุเจือปนเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ปรับกลิ่น รสชาติ และสี รวมถึงทำให้อาหารมีลักษณะที่น่าทานมากขึ้น เช่น ไส้กรอก หมากฝรั่ง แฮม และคุกกี้ กระบวนการแปรรูปยอดนิยม ได้แก่ การอัดกระป๋อง การแช่แข็ง การแช่เย็น การดึงน้ำออก และการทำให้ปลอดเชื้อ

สารปรุงแต่ง ( Food Additive ) มีอะไรบ้าง

สารปรุงแต่ง ( Food Additive ) มีอะไรบ้างวัตถุเจือปนอาหารจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งบางชนิดก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นั่นก็คือวัตถุเจือปนอาหารที่เป็นสารเคมีโดยถูกสังเคราะห์ขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้อ อาหารแปรรูป ต่างๆ จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุเจือปนในอาหารแปรรูปได้ดี เพื่อจะได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ

ทำไมต้องใช้วัตถุเจือปนอาหารแปรรูป

วัตถุเจือปนอาหาร หมายถึงสารที่ถูกนำมาเติมลงไปในอาหารโดยไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารมาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเอาไว้ รวมถึงช่วยแต่งกลิ่น สีและรสชาติเพื่อให้ อาหารแปรรูป น่าทานมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยการเติมวัตถุเจือปนอาหารลงไปก็อาจเติมในระหว่างกระบวนการแปรรูปหรือในขณะที่กำลังบรรจุก็ได้

วัตถุเจือปนอาหารหรือสารปรุงแต่งกลิ่นที่ได้รับอนุญาต

วัตถุเจือปนอาหารหรือสารปรุงแต่งกลิ่นที่ได้รับอนุญาตวัตถุเจือปนอาหารส่วนใหญ่มักจะผ่านการอนุญาตแล้ว แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย โดยมีประเภทของวัตถุเจือปนอาหารดังนี้

1.วัตถุกันเสีย ใช้เพื่อถนอมอาหารให้อยู่ได้นานขึ้น โดยจะไม่ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่ายและยังช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพและเน่าเสียได้ง่ายอีกด้วย จึงมักจะพบวัตถุกันเสียเป็นส่วนประกอบของอาหารแปรรูปอย่างแพร่หลายนั่นเอง ประเภทของวัตถุกันเสียที่พบได้คือ

  • กรดอินทรีย์ พบมากโดยเฉพาะอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น เยลลี่ แยม หรือ น้ำผลไม้ กรดเหล่านี้มักพบใน อาหารแปรรูป ได้แก่ กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดอะซิตริก กรดโพรพิออนิก เกลือของกรดชนิดต่างๆและพาราเบนส์
  • เกลือซัลไฟต์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์  นิยมใช้ในผักและผลไม้อบแห้งและรวมไปถึง น้ำหวาน ไวน์ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลา และเครื่องดื่มต่างๆ เมื่อเติมเกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอาหารจะละลายน้ำ และเกิดเป็นกรด “ซัลฟูริก” ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยยับยั้ง และทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี
  • สารประกอบไนไตรต์ และไนเตรต สมัยก่อนนิยมใช้ในเนื้อสัตว์ อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง และอาหารประเภทเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งนี้นิยมใช้สำหรับยับยั้งการเติบโตและการก่อสารพิษของเชื้อ Clostridium Botulinum ใช้ป้องกันการออกซิเดชันของอาหาร ช่วยเพิ่มสีในเนื้อสัตว์ ปัจจุบันได้มีการเลิกใช้สารประกอบไนไตรต์และไนเตรตนานแล้วและถือเป็นสารต้องห้ามในหลายๆประเทศ เนื่องจากสารประกอบไนไตรต์และไนเตรตสามารถเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรซามีน ( N-Nitrosamine ) ได้ง่าย ถือเป็นสารพิษก่อมะเร็งนั่นเอง

2.วัตถุกันหืน เป็นสารที่จะช่วยชะลอการเสียของอาหารเช่นเดียวกับวัตถุกันเสีย โดยจะช่วยลดการเกิดสี กลิ่นหรือรสชาติที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจทำให้เกิดเป็นสารประกอบใหม่ที่จะทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่วัตถุกันหืนลงไปด้วยนั่นเอง โดยอาหารที่พบวัตถุกันหืนได้แก่ อาหารประเภทไขมัน น้ำมัน เนยและนมผง เป็นต้น ประเภทของสารกันหืนที่นิยมใช้ ได้แก่

  • สารประกอบเดซิล แกลแลต ( Dodecyl Gallate ) ป้องกันการเหม็นหืนของไขมันในอาหารที่มีความเข้มข้นสูง โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • สารประกอบเอ็นดีจีเอ ( NDGA ) นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น ขนม ขนมที่มีครีมต่างๆ ไอศกรีม เนย และเครื่องดื่ม โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.05 ใช้ในน้ำมันอาหารพวกเนื้อสัตว์ เช่นน้ำมันหมู อนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.02 ของปริมาณไขมัน
  • สารประกอบบีเอชเอ และสารประกอบบีเอชที ( BHA และ BHT ) นิยมใช้ในอาหารที่มีไขมัน เช่น ขนมหวาน ขนมอบ ไอศกรีม ไส้กรอก กุนเชียง ยีสต์แห้ง และเนื้อสัตว์ โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • กรดแอสคอร์บิก ( C6H8O6 ) เรียกที่เรียกกันว่ากรดวิตามินซี ถือเป็นสารกันหืนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ใช้ในเนยเทียมโดยไม่จำกัดจำนวน

3.สารปรุงแต่ง สี กลิ่น รส เป็นสารที่จะช่วยปรุงแต่งกลิ่น สีและรสชาติของอาหารให้คล้ายกับธรรมชาติมากที่สุด รวมถึงช่วยคงรูปผักผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ แปรรูปอาหาร ให้ยังคงสภาพเดิมไว้มากที่สุดอีกด้วย สามารถแบ่งประเภทของสารแต่งสี กลิ่น รส ออกได้ ดังนี้

  • สารแต่งกลิ่นตามธรรมชาติ ได้แก่ น้ำสกัดจากพืช เครื่องเทศ น้ำมันหอมระเหยจาก เช่น ผักชี อบเชย กระเทียม กานพลู พริกไทย กระวานพริก ลูกผักชี ลูกยี่หร่า ขมิ้น ขิง เป็นต้น
  • โอลิโอเรซิน จากเครื่องเทศ เช่น สารเคอร์คิวมิน ( Curcumin ) จากขมิ้น น้ำมันยี่หร่า อบเชย ขิง จันทน์เทศ หรือใช้เป็นสารกันบูด เช่น มัสตาร์ด ทั้งนี้ กระเทียม น้ำมันหอมระเหยจากอบเชย จันทน์เทศหรือช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น
  • เอสเทอร์ ( Ester ) เป็นสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับกรดอินทรีย์ เอสเทอร์ที่เกิดในธรรมชาติจะอยู่ในรูปของไขมัน คือน้ำมันและขี้ผึ้ง เอสเตอร์ นิยมใช้แต่งกลิ่นของหวาน ขนม น้ำผลไม้ ตัวอย่างของกลิ่น สี รส จากเอสเตอร์ เช่น ไอโซเอมิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย กล้วยหอม เอทิลบิวทิเรต กลิ่นคล้าย สับปะรด
    ไอโซเอมิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย ลูกแพร์ เอทิลฟีนิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย น้ำผึ้ง เป็นต้น

4.สารช่วยดูดความชื้น เป็นสารที่จะช่วยในการดูดความชื้น ทำให้อาหารมีความแห้งอยู่ตลอดเวลาและไม่จับตัวกันเป็นก้อนนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใส่ไว้ในอาหารที่มีลักษณะเป็นผงแห้งมากที่สุด รวมถึงพวกเค้กสำเร็จรูปและน้ำตาลทราย เกลือผงอีกด้วย สารช่วยดูดความชื้น สามารถจำแนกได้ 6 ประเภทหลักตามคุณสมบัติการดูดความชื้นได้ ดังนี้

  • ซิลิกา เจล ( Silica Gel ) การดูดความชื้น ของซิลิกา เจล เป็นลักษณะทางกายภาพ ( Physical Adsorption ) โดยกักเก็บความชื้นไว้ที่โพรงโครงสร้างด้านใน ซิลิกาเจล ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในบรรจุภัณฑ์อาหารและยา
  • แคลเซียม ซัลเฟต ( CaSo4 ) เป็นสารที่ได้จากแร่ยิปซั่ม โดยมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นค่อนข้างต่ำประมาณ 10% ของน้ำหนักตัวเอง เป็นสารที่คงสถานะได้ดี ไม่เป็นพิษ และไม่กัดกร่อน
  • แคลเซียม ออกไซด์ ( Calcium Oxide, CaO ) เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้มากกว่า 28.5% บรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้นประเภทนี้ ต้องป้องกันไม่ให้สารดูดความชื้นหลุดรอดออกมาได้โดยเด็ดขาด
  • ไดอะตอมมาเชียส เอิร์ธ ( Diatomaceous Earth ) หรือที่เรียกว่า ดินไดอะตอมเป็นดินที่เกิดจากซากพืชเซลล์เดียว ที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุนขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อได้รับการเผาที่อุณหภูมิสูง และเติมสารเร่งปฏิกิริยาบางชนิด เช่น แคลเซียม คลอไรด์ (Calcium Chloride) จะมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดีมากถึง 70-80% ของน้ำหนักตัวเอง จึงเป็นที่ยอมรับและใช้อย่างกว้างขวางในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
  • มอนต์โมริลโลไนต์ เคลย์ ( Montmorillonite Clay ) ใช้มอนต์โมริลโลไนต์ เคลย์ ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง
  • โมเลกุลลาร์ ซีฟ ( Molecular Sieve ) เป็นสารสังเคราะห์ ที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น ที่ดีมากๆ ภายใต้ ความชื้นสัมพัทธ์ รอบข้าง ในระดับต่ำ (10-30%) โมเลกุลลาร์ ซีฟ ยังไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ ในการใช้งานกับอาหารและยา จึงยังไม่แพร่หลายมากนัก

5.สารที่ช่วยให้อาหารมีความคงตัว สารชนิดนี้จะช่วยให้อาหารมีลักษณะคงตัวเป็นเนื้อเดียวกัน โดยส่วนใหญ่จะนิยมใส่ในอาหารสองชนิดที่ไม่ละลายด้วยกัน เช่นน้ำกับน้ำมัน เป็นต้น สารให้ความคงตัวของอาหาร ( Stabilizing Agent ) ส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคอลลอยด์ ( Hydrocolloid ) ใช้เป็นส่วนผสมของไอศกรีม น้ำสลัด อาหารแช่แข็ง  ( Frozen Food ) สามารถแบ่งออกตามวัตถุดิบที่ใช้ เช่น

  • สารพวกเพคทิน ( Pectin ) ได้แก่ Low – High Methoxyl Pectin
  • สารพวกเซลลูโลส ( Cellulose ) เช่น Sodium Carboxymethyl Cellulose, Microcrystalline Cellulose, Methyl Cellulose, Methylethyl Cellulose, Hydroxypropyl Cellulose และ Hydroxypropylmethyl Cellulose
  • สารสกัดจากสาหร่าย เช่น อะกา ( Agar ), อัลจิเนต ( Alginate ), คาร์ราจีแนน ( Carrageenan )
  • ประเภทจากเมล็ด หัว และรากพืช เช่น โลคัสต์บีนกัม ( Locust Bean Gum ), Psyllium, สตาร์ซ ( Starch ), สตาร์ชดัดแปร ( Modified Starch )
  • ประเภทโปรตีน เช่น เจลาติน ( Gelatin )
  • กัมที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ เช่น Xanthan Gum
  • กัมจากยางพืช เช่น กัมอะราบิก ( Gum Arabic ), Ghatti Gum, กัมคารายา ( Karaya Gum ), Tragacant Gums

สารปรุงแต่งที่นิยมใส่ในผักผลไม้

นอกจากสารปรุงแต่งดังกล่าวแล้วก็ยังมีสารปรุงแต่งที่นิยมนำมาใส่ในผักผลไม้อีกด้วย ได้แก่

1.กรดซิตริก ( Citric Acid )  เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส โดยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากรดมะนาว ซึ่งสารปรุงแต่งชนิดนี้จะนิยมใส่ลงในน้ำที่จะใช้ลวกหรือแช่ผักผลไม้ก่อนนำไปเข้ากระบวนการแปรรูป โดยจะช่วยให้ผักผลไม้มีสีที่สม่ำเสมอและมีกลิ่น รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังดูน่าทานขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสีน้ำตาลในผักผลไม้และยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในระยะยาวได้เช่นกัน

2.โซเดียมเมตาไบซัลไฟท์ ( Sodium Metabisulfite ) เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่อยู่ในกลุ่มของสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส โดยจะช่วยให้ผลไม้ยังคงสีสวยอย่างเป็นธรรมชาติและป้องกันการเกิดเชื้อราใน ผักผลไม้แปรรูป ได้ดี ซึ่งการนำสารปรุงแต่งชนิดนี้มาใช้ หากเป็นการแปรรูปผลไม้แช่อิ่ม จะใส่ลงไปในน้ำเชื่อมร่วมกับกรดซิตริค แต่หากเป็นการแปรรูปผลไม้แช่อิ่มแบบอบแห้ง จะใส่ลงไปในน้ำลวก ซึ่งจะช่วยล้างน้ำตาลที่ผิวผลไม้และป้องกันการเกิดเชื้อราอีกด้วย ส่วนกรณีที่เป็นการแปรรูปผลไม้อบแห้ง ก็จะใส่ลงไปในน้ำที่จะนำผลไม้ไปจุ่มก่อนนำไปอบแห้งนั่นเอง

3.โซเดียมเบนโซเอต ( Sodium Benzoate )
เป็นวัตถุเจือปนใน อาหารแปรรูป ที่อยู่ในกลุ่มวัตถุกันเสีย โดยจะนำมาใส่ลงไปในอาหารที่เป็นกรด หรือมีค่า pH ต่ำกว่า 3.6 เพื่อควบคุมการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และทำให้อาหารสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นกว่าเดิม แต่ทั้งนี้จะต้องใส่ลงไปในปริมาณที่จำกัด คือไม่เกินจากร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักอาหารนั่นเอง

ทั้งนี้แม้ว่าสารเจือปนแต่งกลิ่นอาหารเหล่านี้จะได้รับการอนุญาตให้ใส่ลงไปใน อาหารแปรรูป ได้ แต่ก็ไม่ควรทานบ่อยเกินไปเช่นกัน เพราะหากได้รับสารเหล่านี้เข้าไปสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมากก็จะทำให้เกิดผลเสียได้ โดยเฉพาะสีผสมอาหาร ที่จะทำให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพต่ำลง และเป็นผลให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อ่อนเพลียง่าย น้ำหนักลดและอาจเป็นโรคมะเร็งได้ หรือหากมีกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Erich Lück and Gert-Wolfhard von Rymon Lipinski “Foods, 3. Food Additives” in Ullmann’s Encyclopedia of Industrial Chemistry, 2002.

“Food Additives & Ingredients – Overview of Food Ingredients, Additives & Colors”. FDA Center for Food Safety and Applied Nutrition. Retrieved 11 April 2017.

Bucci, Luke (1995). Nutrition applied to injury rehabilitation and sports medicine. Boca Raton: CRC Press. p. 151. ISBN 0-8493-7913-X.

เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?

0
เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?
ผู้สูงอายุมีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ
เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?
ผู้สูงอายุมีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ

อาหารสำหรับผู้สูงวัย

อาหารสำหรับผู้สูงวัย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รวมถึงภาวะจิตใจด้วย โดยเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง กล่าวคืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะมีการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพลง ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ปอดตับ ระบบย่อยอาหารหรือสมอง นอกจากนี้ก็มักจะมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยต่างๆ มารุมเร้า ซึ่งล้วนมีผลต่อภาวะโภชนาการทั้งสิ้น ยกตัวอย่างโรคที่มักจะพบได้บ่อยในวัยสูงอายุ ได้แก่ โรคเบาหวาน กระดูกพรุน ต้อกระจกและความดันโลหิตสูง เป็นต้นและอีก สิ่งหนึ่งที่จะต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ก็คือโรคขาดสารอาหาร ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาอาหารเหมาะสำหรับผู้สูงวัยนั่นเอง โดยภาวะที่ร่างกายขาดสารอาหารนี้ จะเป็นตัวการให้ภูมิต้านทานลดต่ำลงและอาจติดเชื้อได้ง่ายในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับโภชนาการของคนเราทั้งสิ้น หากเลือกทานอาหารอย่างสมดุลและครบถ้วนปัญหาสุขภาพเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงอย่างแน่นอน

วิธีรับมืออาหารวัยผู้สูงอายุ

ในวัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะมีความต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าวัยอื่นๆ นั่นก็เพื่อฟื้นฟูและพยุงให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยสาร อาหาร ที่ ผู้สูงอายุ มีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ เป็นต้น นอกจากนี้นักวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เน้นการทานอาหารเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ได้แก่

1. น้ำและเครื่องดื่ม ผู้สูงอายุควรเลือกดื่มน้ำและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ โดยดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8-12 แก้ว และเสริมด้วยน้ำผลไม้รวมหรือน้ำสมุนไพรโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลลงไป เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานนั่นเอง นอกจากนี้ก็สามารถทานของเหลวในรูปของซุปได้อีกด้วย ทั้งนี้น้ำและเครื่องดื่มถือมีความจำเป็นต่อวัยสูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะหากทานน้อยเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้นั่นเอง

2. อาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ขัดสี อาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี จะเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายและยังอุดมไปด้วยกากใยสูงอีกด้วย โดย ผู้สูงอายุ ควรทานให้ได้วันละ 6 ทัพพี เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่พอเหมาะในแต่ละวัน โดยอาหารประเภทนี้ ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีตและถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น และเนื่องจากเป็นอาหารที่มีกากใยสูง จึงสามารถป้องกันอาการท้องผูกและช่วยในการย่อยได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนคาร์โบไฮเดรตชนิดขัดสี และเป็นพวกเมนูทอด ขนมหวานต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อ้วนและมีปัญหาไขมันในเลือดสูงได้

3. อาหารโปรตีนจากพืชและสัตว์ ในวัยสูงอายุมีความต้องการโปรตีนเพื่อเสริมพลังงานให้กับร่างกาย แต่เนื่องจากวัยนี้มักจะมีปัญหาในการเคี้ยวจึงทำให้ทานเนื้อสัตว์ได้น้อยลง ดังนั้นจึงกำหนดว่า ผู้สูงอายุ ควรทานเนื้อสัตว์ที่วันละ 150 กรัม โดยเน้นเนื้อสัตว์ที่มีความอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่ายและย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ หรือหากเป็นพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ก็ควรต้มให้เปื่อยยุ่ยที่สุด นอกจากนี้ก็ให้เสริมโปรตีนจากพืชแทน โดยอาจทานถั่วเหลืองหรือถั่วเมล็ดแห้งที่ให้โปรตีนก็ได้ 

4. แคลเซียม วัยนี้เป็นวัยที่มีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายมากที่สุด จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเปราะบางได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานแคลเซียมเป็นหลัก โดยทานให้สูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20% หรือ ควรทานให้ได้วันละ 1200 มิลลิกรัม ซึ่งหากเทียบกับการดื่มนม ก็คือต้องดื่มนมขนาดแก้ว 240 มิลลิลิตรให้ได้วันละ 4 แก้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามในแต่ละวันคนเรามักจะได้แคลเซียมจาก อาหาร ทั่วไปประมาณ 350 มิลลิกรัม ดังนั้นแค่ดื่มนมหรือทานผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมประมาณ 3 ส่วน ก้จะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วสำหรับอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อยที่กินกระดูกได้ กุ้งแห้งป่น ผักใบเขียว งาและถั่วดำ ถั่วแดง เป้นต้น

5. วิตามินดี วิตามินดีเป็นตัวช่วยในการช่วยดูดซึมสาร อาหาร ต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม ดังนั้นวิตามินดีจึงมีความจำเป็นต่อ ผู้สูงอายุ อย่างมาก ซึ่งพบว่าหากได้รับวิตามินดีและแคลเซียมอย่างเพียงพอ ก็จะสามารถเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไปอีก โดยวิตามินดีนั้นสามารถรับได้จากการสัมผัสแสงแดดในยามเช้า วันละ 20-30 นาที และสัปดาห์ละ 2-3 วัน นอกจากนี้ก็ยังพบวิตามินดีได้ในอาหารอีกด้วย ซึ่งอาหารที่มีวิตามินดีได้แก่ ไข่แดง ปลาแซลมอน เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน นม และเห็ดหอมแห้ง เป็นต้น

6. ธาตุเหล็กและวิตามินซี ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาโลหิตจางได้ง่าย เนื่องจากการขาดธาตุเหล็ก จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลงต่ำและเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานธาตุเหล็กให้สูงขึ้น และควรทานร่วมกับวิตามินซี เพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีนั่นเอง โดยสำหรับผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและเหมาะกับวัยสูงอายุได้แก่ เมล่อน ลิ้นจี่ แตงโมและมังคุด เป็นต้น

7. สารอาหารอื่นๆ  นอกจากสารอาหารดังกล่าวแล้วก็ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นอีกด้วย ได้แก่

  • วิตามินเอ เป็นวิตามินที่จะช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในที่มืด และเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ดี ส่วนมากจะพบในผักใบเขียวจัดและเหลืองจัด ซึ่งอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน
  • วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของกรดโฟลิค จึงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้ดี ซึ่งวัยสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินบี 12 สูงกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยการรับจากการทานวิตามินบีรวมหรืออาหารที่มีวิตามินบี 12 สูงก็ได้ ซึ่งได้แก่ ปลา ไก่ ไข่และนม เป็นต้น
  • โฟเลต มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด จึงมีความจำเป็นไม่แพ้สารอาหารอื่นๆ เลยทีเดียว โดยอาหารที่มีกรดโฟลิคสูง ได้แก่ ผักใบเขียวจัด ธัญพืช ตับและผลไม้ เป็นต้น
  • สังกะสี เป็นตัวช่วยในการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อรวมทั้งช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้เป็นอย่างดี โดยสังกะสีสามารถพบได้ใน อาหารทะเล นม ธัญพืชไม่ขัดสีและเนื้อสัตว์ เป็นต้น 

ผู้สูงอายุจำเป็นต้องเสริมอาหารหรือไม่?

วัยสูงอายุ เป็นวัยที่ระบบย่อย อาหาร และการดูดซึมแย่ลง จึงทำให้วัยนี้จำเป็นต้องเสริมวิตามินและอาหารมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามการเสริมอาหารก็ไม่สามารถทดแทนการทานอาหารหลักที่ต้องบริโภคในชีวิตประจำวันได้เสมอไป และมีข้อควรระวังในการเสริมอาหารดังนี้

1. วิตามินเอ ความต้องการวิตามินเอของคนเราจะลดลงไปตามช่วงอายุ และเนื่องจากวัย ผู้สูงอายุ ไม่สามารถขจัดวิตามินเอส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนวัยอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ได้รับวิตามินเอมากเกินไป และกรณีที่ต้องการเสริมวิตามินเอจากการทานวิตามินรวม ก็ควรเลือกที่มีวิตามินเอไม่เกิน 100-200 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

2. ธาตุเหล็ก ในวัยสูงอายุ หากได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรเสริม อาหาร ชนิดที่มีธาตุเหล็กน้อยที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของธาตุเหล็กมากเกินไปนั่นเอง

ข้อแนะนำอื่นๆ ในการบริโภคในผู้สูงอายุ

สำหรับการบริโภคอาหารในวัยสูงอายุ มีคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อและกินตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญจะต้องให้ผู้สูงอายุกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอด้วย นอกจากนี้ห้ามอดอาหารเด็ดขาด เพราะจะทำให้ฟื้นตัวได้ช้าในยามที่กำลังเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บนั่นเอง
  • ควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการย่อยและการดูดซึม นอกจากนี้ควรได้รับอาหารว่างในระหว่างมื้อด้วย โดยอาจจะเป็น ลูกเดือย นม โยเกิร์ต ขนมปัง ผลไม้หรือข้าวโอ๊ตที่ ผู้สูงอายุ สามารถทานได้ง่าย
  • ควรเลือกกินอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่าย และเป็นอาหารที่ย่อยได้ง่าย เพราะวัยผู้สูงอายุนั้นจะมีการหลั่งน้ำย่อยและน้ำลายน้อยลง เป็นผลให้ประสิทธิภาพในการย่อยลดลงไปด้วยนั่นเอง ส่วนในรายที่ไม่มีฟัน ก็ควรใช้วิธีการสับเนื้อสัตว์ให้ละเอียดและต้มจนเปื่อยเพื่อให้ทานง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นสูงได้ ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการปรุง อาหาร ด้วยเกลือ และงดการทานอาหารพวกหมักดอง ปลาเค็ม ไข่เค็ม รวมถึงลดปริมาณของน้ำปลาและซีอิ๊วลงเช่นกัน นอกจากนี้ในขนมหรืออาหารที่มีโซเดียมแฝงก็จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว    
  • ไขมันเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดและภาวะคอเลสเตอรอลสูง ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรเลี่ยงการทานอาหารประเภทไขมันอย่างเด็ดขาด โดยสามารถทำได้ด้วยการเลี่ยงเมนูทอด เนื้อสัตว์ที่ติดมัน อาหารที่มีกะทิ เนยและขนมที่ผ่านการทอดและมีเนยเป็นส่วนประกอบทั้งหลาย ที่สำคัญหากไม่สามารถเลี่ยงเมนูทอดได้ ก็ควรจำกัดการใช้น้ำมันในการปรุงอาหารวันละไม่เกิน 2-3 ช้อนโต๊ะเท่านั้น

จะเห็นได้ว่าแค่ดูแลเรื่อง อาหาร ให้ดี ก็จะทำให้ ผู้สูงอายุ มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ และยังห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ที่มักจะมาเยือนวัยสูงอายุอยู่เสมออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดูแลในเรื่องของอาหารและโภชนาการเป็นอย่างดีแล้ว ก็ต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของวัยสูงอายุ มาทานอาหารอย่างเหมาะสม ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและเลี่ยงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ที่เป็นตัวการทำลายสุขภาพกันดีกว่า แล้วคุณจะมีอายุที่ยืนยาวยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Archived copy”. Archived from the original on August 24, 2014. Retrieved August 14, 2014.

Song, Hee-Jung; Simon, Judy R.; Patel, Dhruti U (March 21, 2014). “Food Preferences of Older Adults in Senior Nutrition Programs”. Journal of Nutrition in Gerontology & Geriatrics.

Dan (2014). “Life Experience And Demographic Influences On Cognitive Function In Older Adults”. Neuropsychology.

ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?

0
ผลไม้อบแห้ง
ผลไม้อบแห้ง เป็นวิธีการถนอมผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้นและทำให้มีผลไม้ไว้บริโภคนอกฤดูกาล
ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่
ผลไม้อบแห้ง เป็นวิธีการถนอมผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้นและทำให้มีผลไม้ไว้บริโภคนอกฤดูกาล

ผลไม้อบแห้ง

ผลไม้อบแห้ง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำผลไม้ที่อยู่ในสภาพดี ไม่เน่าเสีย โดยอาจนำมาผ่านกรรมวิธีแปรรูปเป็น ผลไม้ดองหรือผลไม้แช่อิ่มก่อน หรือไม่ก็ได้มาทำแห้ง ( dehydration ) เพื่อลดความชื้นตามต้องการโดยใช้แสงแดด ( sun drying ) หรือนำไปอบแห้ง โดยการอบแห้งโดยทั่วไปจะใช้วิธีการอาศัยพลังงานความร้อนในการระเหยน้ำออกจากผลไม้ จากนั้นจึงนำผลไม้ที่ได้มาบรรจุลงในภาชนะที่ปิดสนิทและมีกระบวนการดูดเอาออกซิเจนและความชื้นออกไป จึงทำให้ได้ผลไม้อบแห้งที่เก็บไว้บริโภคได้อย่างยาวนานมากขึ้น เป็นการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานและสามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้ดี

ข้อดีของการอบแห้งผลไม้

  • ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินในผลไม้น้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการแปรรูปอื่นๆ
  • สามารถเสริมวิตามินเข้าไปในผลไม้อบแห้งได้ในระหว่างกำลังผลิต
  • ทำให้ผลไม้อบแห้งสามารถเก็บไว้ได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเก็บไว้ในสภาวะที่เหมาะสมด้วย
  • มีส่วนช่วยในการยับยั้งการทำงานของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ
  • ผลไม้ที่ผ่านการอบแห้งแล้วส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเบามาก เพียงแค่ 1 ใน 7 ของน้ำหนักผลไม้สดเท่านั้น แถมช่วยลดต้นทุนในการขนส่งได้ดีอีกด้วย
  • สามารถเก็บผลไม้อบแห้งไว้ได้ในอุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องเก็บไว้ในห้องเย็น ช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษาได้ดี
  • บริโภคง่ายและให้ความรู้สึกเพลิดเพลินกับการทานผลไม้อบแห้ง สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย

การเตรียมผลก่อนนำไปทำผลไม้อบแห้ง

อย่างไรก็ตามก่อนจะนำผลไม้ไปอบแห้งก็จะต้องมีการเตรียมการให้ดีก่อนด้วย โดยมีกระบวนการเตรียมที่ถูกวิธีดังนี้
1. ต้องเก็บเกี่ยวผลไม้ที่มีความสุกในระดับที่เหมาะสม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ด้วย เพราะบางชนิดควรเก็บตั้งแต่เริ่มสุกไม่มาก และบางชนิดต้องเก็บเมื่อสุกกำลังดี ที่สำคัญในระหว่างเก็บเกี่ยวจะต้องระมัดระวังไม่ให้ผลไม้เกิดการช้ำหรือมีแผลเช่นกัน

2. ต้องล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนเสมอ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีการใช้สารฆ่าแมลง ซึ่งการล้างผลไม้ที่ถูกต้อง จะต้องนำผลไม้ไปแช่น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาหรือล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเย็นแบบให้น้ำไหลผ่าน เพื่อพยายามกำจัดสารพิษตกค้างให้ได้มากที่สุด

3. การปอกเปลือกจะต้อปลอกให้เหมาะสม คือปลอกด้วยมีด ด้วยการขัดสีหรือการใช้สารละลายด่าง และหั่นให้สวยงาม โดยพยายามอย่าให้เกิดความช้ำ 

การนำผลไม้มาแปรรูป

สำหรับการนำผลไม้มาแปรรูป พบว่าผลไม้บางชนิดสามารถนำมาแปรรูปได้ทั้งผล แต่ผลไม้บางชนิดก็จะต้องผ่านการปอกเปลือกและการหั่นให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการแปรรูปมากขึ้น นอกจากนี้จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสีน้ำตาลในการแปรรูปอีกด้วย ซึ่งอุตสาหกรรมการแปรรูปส่วนใหญ่ก็จะใช้เทคนิคการใส่สารเคมีต่างๆ ลงไป เพื่อป้องกันการเกิดสีน้ำตาลและทำให้สีของผลไม้อบแห้งยังคงดูน่ากินอยู่เสมอ โดยสารที่นิยมใช้ได้แก่สารละลายกรดแอสคอร์บิค สารละลายซัลเฟอร์ กรอดซิตริก และสารที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีกระบวนการอื่นๆ ที่สำคัญในการแปรรูปอาหารดังนี้

  • การลวกด้วยน้ำร้อนหรือไอน้ำ คือ การทำให้ผลไม้บางส่วนสุกก่อนนำไปอบแห้ง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการอบแห้งได้ดี และสามารถป้องกันการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในระหว่างการเก็บรักษาผลไม้อบแห้งอีกด้วย ที่สำคัญก็สามารถรักษาปริมาณของแคโรทีนและวิตามินซีของผลไม้อบแห้งได้ดีทีเดียว
  • การลวกด้วยน้ำเชื่อม วิธีนี้จะใช้กับการทำผลไม้เชื่อมแห้ง โดยอาศัยความเข้มข้นของน้ำตาลเกลือเพื่อลดการเกิดสีน้ำตาลในผลไม้ และลดการสูญเสียของกลิ่นผลไม้สดได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ก็ช่วยให้ผลไม้อบแห้งมีรสชาติที่กลมกล่อมและน่าทานมากขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากวิธีนี้จะมีน้ำตาลสูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน และอาจเกิดกลิ่นหืนเมื่อเก็บไว้นานๆ อีกด้วย

วิธีการแปรรูป ผลไม้อบแห้ง

วิธีการแปรรูปผลไม้อบแห้งสามารถทำได้หลายวิธี โดยมีวิธีที่ได้รับความนิยมดังนี้
1. ผลไม้แช่อิ่มอบแห้ง คือ การนำผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อมจนเกิดการอิ่มตัว แล้วจึงนำไปอบแห้ง ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความกรอบ อร่อยและหวานมาก และด้วยปริมาณของน้ำตาลที่สูงมากนี่เอง จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง

2. ผลไม้อบแห้งแบบฟรีซดราย คือวิธีการนำผลไม้มาทำแห้งเยือกแข็งแบบสุญญากาศ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความแห้ง กรอบ และยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างคือ มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างแห้งและแข็งจนเกินไป ผลไม้บางชนิดอาจถึงขั้นเคี้ยวไม่ออกได้เลยทีเดียว

3. ผลไม้อบนิ่มด้วยวิธีการผ่านลมร้อน คือวิธีการอบแห้งผลไม้แบบใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความยืดหยุ่นสูง และมีเนื้อนิ่มน่าทาน แถมสามารถคงคุณค่าทางโภชนาการสูงถึง 80%

ในปัจจุบันต้องบอกเลยว่าผลไม้อบแห้งได้รับความนิยมและมีจำหน่ายอย่างแพร่หลายมาก เพราะมีรสชาติหวานอร่อยและสามารถเก็บไว้ทานได้เป็นเวลานาน แต่เนื่องจากผลไม้อบแห้งส่วนใหญ่จะมีปริมาณของน้ำตาลที่สูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผลไม้อบแห้งที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มก็มีเหมือนกัน เพียงแต่จะมีรสชาติหวานน้อย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ผลไม้อบนิ่ม ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ไม่ได้เติมน้ำตาลลงไป แถมยังมีความนิ่มทานง่าย เหมาะกับผู้ที่ฟันไม่แข็งแรง หรือวัยเด็กและวัยสูงอายุที่สุด ทั้งยังเป็นผลไม้อบแห้งที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอขอบคุณคลิปสาระดีๆ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Hui, YH. Handbook of fruits and fruit processing. Blackwell Publishing, Oxford UK (2006) .

Brothwell D, Brothwell P. Food in Antiquity: A survey of the diet of early people. Johns Hopkins University Press, Baltimore and London (1998) pp. 144–147.

ธาตุเหล็ก ประโยชน์ของธาตุเหล็กคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ?

0
ธาตุเหล็ก คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร?
ตับเป็นแหล่งสะสมของวิตามินและแคลเซียมและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
ธาตุเหล็ก คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร?
ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่สำคัญในการผลิตเฮโมโกลบิน ไมโอโกลบิน และเอนไซม์บางชนิด รวมทั้งเป็นสารที่มีความจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญวิตามินบี

ธาตุเหล็กคืออะไร

ธาตุเหล็ก หรือ วิตามินเหล็ก คือ แร่ธาตุที่มีความสำคัญกับระบบเลือด ซึ่งปริมาณของธาตุเหล็กที่พบในคนส่วนใหญ่ก็จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ประมาณ 3-5 กรัม โดยขึ้นอยู่กับเพศ อายุและขนาดภาวะ โภชนาการสุขภาพที่ได้รับอีกด้วย นอกจากนี้ก็พบว่าประโยชน์ของธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 จะพบในเลือด โดยจะทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบินเพื่อนำออกซิเจนไปใช้ในการหายใจ ส่วนอีกประมาณ 26% จะพบอยู่ในรูปของเฟอร์ริทิน ( Ferritin ) หรือเอโมซิเดอริน ( Hemosiderin ) โดยส่วนนี้จะเก็บไว้ใช้เพื่อสร้างเฮโมโกลบินในยามที่จำเป็นนั่นเอง และธาตุเหล็กอีกประมาณร้อยละ 3 ก็จะพบอยู่ในกล้ามเนื้อนั่นเอง ส่วนที่เหลือก็จะอยู่ในน้ำย่อยหลากหลายชนิดปะปนกันไป

ประโยชน์ของธาตุเหล็ก

ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ในร่างกายของคนเรา จะมีหน้าที่สำคัญดังต่อไปนี้

1.ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ในการรวมตัวเข้ากับ วิตามินบี 6 โปรตีนและ ทองแดง เพื่อสร้างเฮโมโกลบินขึ้นมา โดยสารชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการส่งออกซิเจนในเลือดจากปอดไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่ต้องการออกซิเจนและนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้ามาสู่ปอดเพื่อทำการขจัดทิ้งออกจากร่างกายผ่านการหายใจต่อไป เพราะฉะนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่าธาตุเหล็กเป็นตัวช่วยในการสร้างคุณภาพของเลือดและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ได้นั่นเอง และนอกจากการสร้างเฮโมโกลบินในเลือดแล้ว ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ก็ยังช่วยสร้างไมโอโกลบินในกล้ามเนื้ออีกด้วย โดยสารตัวนี้ก็จะช่วยส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวตามปกติ และนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพื่อกำจัดทิ้งเช่นกัน

2.ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนและน้ำย่อยอีกหลากหลายชนิด เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตและกระบวนการหายใจของเซลล์ให้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่มีธาตุเหล็กผสมอยู่ได้แก่ ไมโอโกลบิน เฮโมซิเดอริน และเฮโมโกลบิน เป็นต้น ส่วนน้ำย่อยที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ รีดักเทส แคแทเลสและสารต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ร่างกายของคนเราก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเหล็กที่อยู่ในรูปของเหล็กเฟอริคและเหล็กเฟอรัส แต่จะสามารถใช้ประโยชน์จากเหล็กเฟอรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

การดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย

สำหรับการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายของคนเรา โดยปกติแล้วจะสามารถดูดซึมได้ที่ร้อยละ 6-10 ซึ่งหากธาตุเหล็กในร่างกายมีน้อยก็จะมีการดูดซึมได้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กสูงนั่นเอง นอกจากนี้ธาตุเหล็กที่ได้รับจากอาหารประมาณร้อยละ 2-4 จะถูกนำไปใช้ในร่างกายและจะเก็บไว้ที่ม้าม ไขกระดูก เลือดและตับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ชายจะมีธาตุเหล็กสะสมไว้มาก จึงทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย แต่ผู้หญิงจะมีปริมาณธาตุเหล็กสะสม น้อย จึงสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากกว่านั่นเอง และสำหรับปริมาณของธาตุเหล็กที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ความต้องการเหล็กของร่างกาย ซึ่งหากร่างกายกำลังต้องการธาตุเหล็กสูง ก็จะดูดซึมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายกำลังขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ขณะให้นมบุตรและในเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งโดยปกติแล้วในภาวะนี้ร่างกายจะทำการดึงเอาธาตุเหล็กจากทรานส์เฟอร์รินมาใช้ก่อน แล้วจึงค่อยดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปทดแทนในภายหลัง ดังนั้นในช่วงภาวะดังกล่าวจึงต้องทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้มากขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตามกลไกในการดูดซึมเหล็กก็จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการดูดซึมธาตุเหล็กที่มากเกินไปด้วย เพราะอาจจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายได้นั่นเอง

2. สภาพของลำไส้ โดยพบว่าหากลำไส้เล็กตอนบนและกระเพาะอาหารมีสภาวะเป็นกรดก็จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น เนื่องจากเหล็กเฟอริคจะถูกเปลี่ยนเป็นเหล็กเฟอรัสที่สามารถละลายได้ง่ายและทำให้ง่ายต่อการดูดซึมอีกด้วย ในขณะเดียวกันหากมีการผ่าตัดเอาส่วนใดออกไป ทำให้การผลิตกรดด้อยลง ก็จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กด้อยลงไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของลำไส้เล็กตอนกลางและตอนปลายจะมีความเป็นด่างมากกว่า จึงทำให้ในส่วนนี้สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

3. ส่วนผสมที่อยู่ในอาหารที่บริโภค โดยพบว่าร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กที่ได้จากเนื้อสัตว์มากถึงร้อยละ 10-30 ในขณะที่ดูดซึมธาตุเหล็กจากผักได้แค่ร้อยละ 2-10 เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เหล็กที่อยู่ในถั่วเหลือง จะดูดซึมได้ร้อยละ 7 และเหล็กที่อยู่ในข้าวจะดูดซึมได้ร้อยละ 1 เป็นต้น

4. ผลไม้ที่มีกรด โดยพบว่าจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีเหมือนกัน ซึ่งกรดที่พบในผลไม้เหล่านี้ได้แก่ กรดมาลิก กรดซิตริกและกรดทาร์ทาริก เป็นต้น

เพราะอะไรเหล็กจากแหล่งพืชจึงดูดซึมได้น้อย?

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งพืชได้น้อย นั่นก็เพราะ

1. ธาตุเหล็กที่อยู่ในแหล่งพืชส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่ไม่ได้อยู่ในรูปของฮีม จึงทำให้ดูดซึมได้ยากกว่าเนื้อสัตว์ที่มีเหล็กในรูปของฮีมนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็สามารถที่จะเปลี่ยนเหล็กในรูปของเหล็กเฟอริคในแหล่งพืชให้เป็นเหล็กเฟอรัสที่ดูดซึมได้ง่ายด้วยการดื่มน้ำส้มหลังจากทานอาหารจำพวกพืชเข้าไปนั่นเอง เพราะน้ำส้มจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี

2. อาหารในแหล่งพืชมักจะมีใยอาหารสูงมาก ซึ่งจะทำให้มีการดูดซึมเหล็กได้ยากกว่าอาหารที่มีใยอาหารน้อย จึงเป็นผลให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งพืชได้ต่ำมากนั่นเอง ดังนั้นผู้ที่ทานมังสวิรัติจึงมักจะมีภาวะขาดธาตุเหล็กได้มากกว่าคนทั่วไป และต้องทานธาตุเหล็กเสริมเป็นหลัก

3. มีแทนนินสูง โดยสารชนิดนี้จะไปทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายลดน้อยลง ซึ่งก็มักจะพบได้มากในใบชา ใบชะพลูและใบเมี่ยง ดังนั้นจึงมีคำแนะนำไม่ให้ดื่มชาหลังจากมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้เท่าที่ควรนั่นเอง

4. ไฟเตต จะทำหน้าที่ในการขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งจะพบได้มากในพืชตระกูลถั่ว พืชผักทั่วไปและธัญพืช

อย่างไรก็ตาม เมื่อทานพืชผักพร้อมกับเนื้อสัตว์ จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะในเนื้อสัตว์มีโปรตีนสูง และกรดอะมิโนที่ปล่อยออกมาจากโปรตีนก็มีฤทธิ์ในการเพิ่มการละลายในธาตุเหล็ก จึงทำให้สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้อาหารที่มีกรดแอสคอร์บิกและกรดซัคซินิคสูง ก็จะช่วยเปลี่ยนเหล็กเฟอริคให้เป็นเหล็กเฟอรัสที่ดูดซึมมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

การดูดซึมเหล็กจากอาหารต่างๆ

ประเภทอาหาร

ค่าเฉลี่ยของเหล็กที่ดูดซึมจากอาหาร (ร้อยละ)

ข้าว 1
ข้าวโพด หรือ ถั่วดำ 3
ข้าวสาลี หรือ ผักกาดหอม 4 – 5
ถั่วเหลือง 7
ปลา 11
เฮโมโกลบิน 12
เนื้อวัว หรือ ตับ 22

 

ปริมาณธาตุเหล็กอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยวัยต่างๆ

เพศ

อายุ

ปริมาณ

หน่วย

เด็ก 1-3 ปี 5.8 มิลลิกรัม/วัน
4-5 ปี 6.3 มิลลิกรัม/วัน
6-8 ปี 8.1 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้ชาย 9-12 ปี 11.8 มิลลิกรัม/วัน
13-15 ปี 14.0 มิลลิกรัม/วัน
16 -18 ปี 16.6 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้หญิง 9-12 ปี 19.1 มิลลิกรัม/วัน
13-15 ปี 28.2 มิลลิกรัม/วัน
16 -18 ปี 26.4 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้ชาย 19-≥ 71 ปี 10.4 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้หญิง 19 – 50 ปี 24.7 มิลลิกรัม/วัน
51- ≥ 71 ปี 9.4 มิลลิกรัม/วัน
หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริม 60 มิลลิกรัม/วัน
หญิงให้นมบุตร ควรได้รับเม็ดธาตุเหล็กจากอาหาร

เนื่องจากไม่มีประจำเดือน จึงไม่สูญเสียธาตุ

15 มิลลิกรัม/วัน

ปัจจัยที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

สำหรับปัจจัยที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้แก่ แกสโตรเฟอริน ( Gastroferrin ) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่จะเข้ามาจับตัวกับเหล็ก จนทำให้เหล็กไม่สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ แต่สารชนิดนี้ก็จะมีจำนวนที่น้อยลงในผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอีกด้วย เนื่องจากไม่มีธาตุเหล็กให้จับนั่นเอง และนอกจากนี้ฟอตเฟตและไฟเตต ก็เป็นตัวขัดขวางการดูดซึมเช่นกัน ด้วยการเข้าไปรวมกับเหล็กจนทำให้เหล็กไม่ละลายและไม่สามารถถูกดูดซึมได้ หรือ ภาวะความเป็นด่างในลำไส้ ซึ่งไม่เหมาะกับการดูดซึมเหล็ก ดังนั้นผู้ที่กินยาลดกรดหรือกินอาหารที่มีความเป็นด่างสูงจึงมักจะทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กต่ำไปด้วยนั่นเอง และนอกจากปัจจัยดังกล่าวนี้แล้ว การทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและอาหารที่มีธาตุสังกะสีสูง ก็จะไปยับยั้งการดูดซึมของธาตุเหล็กเช่นกัน

การรักษาสมดุลประโยชน์ของธาตุเหล็ก

ร่างกายของคนเราจะมีภาวะที่ต้องรักษาสมดุลของธาตุเหล็กบ่อยครั้ง ซึ่งโดยปกติในวันหนึ่งคนเราจะมีการสูญเสียธาตุเหล็กเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว โดยสูญเสียออกไปพร้อมกับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระนั่นเอง นอกจากนี้เมื่อเม็ดเลือดแดงหมดอายุ 120 วัน ก็จะเกิดการแตกตัวและถูกทำลายออกไป ส่วนเหล็กที่มีอยู่ก็จะมีการนำไปใช้เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงต่อไป ส่วนในผู้หญิงก็มักจะสูญเสียธาตุเหล็กจากการมีประจำเดือนอยู่เสมอ โดยจะสูญเสียออกมาพร้อมกับเลือดประจำเดือน ซึ่งเฉลี่ยประมาณ 0.5 – 1.0 มก./วันเลยทีเดียว นอกจากนี้ร่างกายของคนเราก็จะมีการเก็บธาตุเหล็กไว้จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในยามที่ร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติ เช่น ในช่วงระยะท้ายของการตั้งครรภ์ ช่วงการให้นมบุตร เป็นต้น และในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะมีความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วย โดยสำหรับแหล่งอาหารที่ร่างกายมักจะได้รับธาตุเหล็กมากที่สุดก็คือตับและเนื้อสัตว์ ในขณะที่ได้รับธาตุเหล็กจากแหล่งพืชน้อยมาก เพราะในพืชจะมีปัจจัยที่ทำให้การดูดซึมเหล็กเป็นไปได้ยากนั่นเอง

แหล่งอาหารที่พบธาตุเหล็กสูง

แหล่งอาหารที่สามารถพบธาตุเหล็กได้สูง ได้แก่ ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง เลือด ลูกพรุน ลูกเกด และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โดยเฉพาะใบ ขี้เหล็ก ใบยอและใบชะพลูที่สามารถพบธาตุเหล็กได้มากเป็นพิเศษ ส่วนในนมจะพบธาตุเหล็กได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและนอกจากธาตุเหล็กจะพบได้จากแหล่งอาหารทั่วไปแล้ว ยังได้จากภายในร่างกายของตัวเองอีกด้วย ด้วยการสลายของเม็ดเลือดและการสลายออกมาจากแหล่งที่เห็บธาตุเหล็กเอาไว้ ทำให้ร่างกายสามารถนำเหล็กที่ได้นี้ไปใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ร่างกายของคนเราจะได้รับเหล็กจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงที่ประมาณ 20 มก./วัน โดยนอกจากนี้ในหญิงตั้งครรภ์ก็ควรได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริมที่ 60 มก./วัน และหญิงให้นมควรได้รับที่ 15 มก./วัน 

สาเหตุของการขาดธาตุเหล็ก

โดยจากการศึกษาพบว่าผู้หญิงมักจะขาดธาตุเหล็กได้มากที่สุดและธาตุเหล็กที่ได้รับจากอาหารในแต่ละวันก็มักจะไม่เพียงพออีกด้วย นั่นก็เพราะ
1. มีการสูญเสียเลือดเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะคนที่มีแผลในกระเพาะอาหาร เป็นเนื้องอก เป็นโรคพยาธิปากขอและพยาธิแส้ม้า เป็นริดสีดวงทวารและลำไส้อักเสบเรื้อรัง รวมถึงในคนที่ประจำเดือนมามากกว่าปกติด้วย

2. เกิดความผิดปกติในการดูดซึม จึงทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยกว่าปกติ เป็นผลให้ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรคอุจจาระร่วง

3. ร่างกายไม่สามารถที่จะนำเหล็กที่ดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาด แร่ธาตุทองแดง วิตามินเอ หรือเป็นโรคเลือดบางชนิด

4. อยู่ในภาวะที่ร่างกายมีความต้องการเหล็กมากกว่าปกติ เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร และเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต ซึ่งจะต้องการธาตุเหล็กสูงมาก

5. การสะสมของเหล็กมีน้อยตั้งแต่กำเนิด ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กแฝดหรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนั่นเอง

6. ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็กต่ำหรือธาตุเหล็กอยู่ในสภาพที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ หรือดูดซึมได้ยากมาก

7. ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กน้อยลงไปด้วย

ผลของการขาดธาตุเหล็ก

เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กจะส่งผลกระทบมากพอสมควร โดยกรณีที่ขาดธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อย จะทำให้ความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายลดน้อยลง เป็นผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ มีภูมิคุ้นกันโรคต่ำและอาจเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ง่าย ทั้งยังบั่นทอนพัฒนาการ การเรียนรู้ของเด็กทารกอีกด้วย ส่วนในคนที่ขาดธาตุเหล็กมากๆ จนถึงขั้นมีอาการเลือดจางแบบเรื้อรัง ก็มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย ปวดศีรษะบ่อยๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หายใจลำบาก ใจสั่น จุกเสียดบริเวณยอดอกบ่อยๆ เล็บและลิ้นซีด บวมตามข้อเท้า นอกจากนี้ก็อาจมี อาการมือและเท้าชาและเจ็บเสียวตามมือตามเท้าได้เหมือนกันโดยนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว สำหรับบางคนก็อาจมีอาการแสบปาก แสบลิ้น มุมปากเปื่อย กลืนอาหารลำบาก คล้ายกับขาด วิตามินบีสอง ได้อีกด้วย และสำหรับผู้หญิงบางคนก็อาจจะมีปัญหาระดูมาผิดปกติ มาไม่ตรงกำหนดหรือมาน้อยจนเกินไป หรือในคนที่ขาดธาตุเหล็กอย่างรุนแรงก็จะมีอาการที่รุนแรงขึ้น และเล็บอาจแบนและงอนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อเม็ดเลือดแดงมีสีซีดกว่าปกติ จะทำให้เฮโมโกลบินลดลง เป็นผลให้ขนากของเม็ดเลือดแดงเล็กลงมาก จนทำให้ไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะทำให้ร่างกายมีความอ่อนเพลียผิดปกติ ผิวหนังเหี่ยวย่น ซีดเหลือง หัวใจโต สติปัญญาเริ่มเลอะเลือน และมีอาการบวมทั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็อันตรายมากทีเดียว 

การรักษาโรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก

สำหรับการรักษาโรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก จะต้องดูจากสาเหตุเพื่อจะได้รักษาได้ถูกทางมากขึ้น เช่นหากเป็นโรคเลือกจางจากการที่ร่างกายสูญเสียเลือดเป็นเวลานานหรือเป็นโรคระบบทางเดินอาหารที่ทำให้การย่อยอาหารไม่ดีและส่งผลให้เกิดการดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย ก็จะต้องทำการรักษาให้หายขาด และตามด้วยการเสริมธาตุเหล็กเพื่อปรับสมดุลของเม็ดเลือดอีกครั้ง ส่วนผลเสียของการที่ร่างกายขาดธาตุเหล็กก็แบ่งออกได้เป็น 6 ข้อดังนี้

1. ผลเสียในหญิงตั้งครรภ์ พบว่าจะทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตของทารกในครรภ์และทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ ทั้งยังทำให้ทารกที่คลอดออกมาอาจมีภาวะธาตุเหล็กสะสมมาต่ำจนทำให้เจ็บป่วยและเสี่ยงเสียชีวิตในวัยทารกได้เช่นกัน และนอกจากนี้ก็เป็นการเพิ่มอัตราการเสียชีวิตของมารดาในขณะตั้งครรภ์อีกด้วย

2. เป็นผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายด้อยลง เพราะไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง

3. ทำให้เด็กในวัยเติบโตมีการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าปกติ และอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ รวมถึงมีอาการเซื่องซึมไม่ค่อยกระตือรือร้นเหมือนเด็กทั่วไปอีกด้วย

4. มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนต้น

5. ร่างกายสามารถต้านทานต่ออากาศหนาวเย็นได้น้อยลง และมักจะมีอาการหนาวสั่นได้ง่าย

6. น้ำย่อย อับฟากลี-เซอรอลฟอสเฟตดีฮัยโดรจีเนส ต่ำลง จึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อแย่ลงไปด้วย

และนอกจากนี้หากร่างกายได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปก็จะส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ทานธาตุเหล็กเสริมในรูป ของแคปซูลหรือเม็ด โดยในเด็กอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียนและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนในผู้ใหญ่ก็อาจมีอาการท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน ได้เช่นกันโดยเมื่อปี พ.ศ.2547 ก็ได้มีการออกมาประกาศเตือนจากเอฟเอสเอว่า การได้รับธาตุเหล็กมากกว่า 17 มิลลิกรัมต่อวันจะทำให้เกิดอาการปวดท้องและอาจท้องร่วงได้ แต่เมื่อหยุดรับประทานธาตุเหล็ก อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไปเอง อย่างไรก็ตามเพราะร่างกายไม่สามารถกำจัดธาตุเหล็กส่วนเกินออกจากร่างกายได้นอกจากมีการเสียเลือด ดังนั้นจึงควรทานธาตุเหล็กอย่างพอเหมาะ และนอกจากนี้ก็พบอีกว่าการได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง รวมถึงเกิดความผิดปกติบางอย่าง และยังเสี่ยงต่อภาวะตับแข็งที่เป็นอันตรายมากอีกด้วย ส่วนวิธีการรักษาเมื่อร่างกายมีเหล็กเกินก็อาจจะต้องใช้วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก ฉีดยาเพื่อนำธาตุเหล็กออกมาหรือกินยาเพื่อขับธาตุเหล็กเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

British national formulary : BNF 69 (69 ed.). British Medical Association. 2015. pp. 660–664. ISBN 9780857111562.

Hamilton, Richart (2015). Tarascon Pocket Pharmacopoeia 2015 Deluxe Lab-Coat Edition. Jones & Bartlett Learning. p. 217. ISBN 9781284057560.

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

เบตาเลน สารสีแดงของแก้วมังกร อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร

0
เบตาเลน สารสีแดงของแก้วมังกร อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร
เบตาเลน สารสีแดงของแก้วมังกร อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร
เบตาเลนในแก้วมังกรเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากกรดอะมิโนไทโรซีน มีสีแดง-เหลือง สามารถละลายในน้ำได้ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมระบบเผาผลาญ

เบตาเลนและคุณค่าทางโภชนาการ

แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีสีสันสดใสและเป็นที่นิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย สารสีแดงที่พบในแก้วมังกรคือเบตาเลน (betalain) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เบตาเลนช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับความเครียดจากออกซิเดชัน และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ สารนี้ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยส่งเสริมการทำงานของตับ ทำให้แก้วมังกรไม่เพียงแต่เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย แต่ยังเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เบตาเลน เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากกรดอะมิโนไทโรซีน โดยจัดอยู่ในกลุ่มอินโดล ( Indole ) มีลักษณะเป็นสารสีแดง-เหลือง สามารถละลายในน้ำได้จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้เบตาเลนยังมีความเชื่อว่าน่าจะมีความเกี่ยวพันกับสารให้สีชนิดอื่นๆ อีกด้วย เพราะเบตาเลนสามารถให้สีกับพืชได้นั่นเอง

ประโยชน์ต่อสุขภาพของเบตาเลน

  • สำหรับประโยชน์และคุณสมบัติของเบตาเลน ( Betalain ) ในแก้วมังกรพบว่า
    มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีและสามารถต้านการอักเสบได้อีกด้วย
  • ควบคุมระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทานแก้วมังกรจึงสามารถลดน้ำหนักได้นั่นเอง
  • มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไม่ดีในเลือด จึงสามารถลดความเสี่ยงไขมันอุดตันในหลอดเลือดได้ดี และสามารถป้องกันภาวะดื้ออินซูนลินได้อีกด้วย
  • ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้และยับยั้งการอักเสบ ติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น พร้อมกับลดการอักเสบในลำไส้

สีของเบตาเลนและคุณสมบัติ

สีของเบตาเลนและคุณสมบัติโดยจากความเชื่อดังกล่าวก็ได้มีการศึกษาและพบว่าจริงๆ แล้วเบตาเลนมีโครงสร้างที่แตกต่างจากสารให้สีชนิดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง โดยจะมีความคล้ายกับโปรตีนมากกว่าสารให้สี เพราะมีธาตุไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการให้สีของเบตาเลนและคุณสมบัติที่พบ ซึ่งได้แก่

1. เบต้าไซยานิน ( Betacyanin ) สารชนิดนี้จะเป็นสารที่ให้สีแดง-ม่วง และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ซึ่งจะช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย พร้อมกับป้องกันการเสื่อมของเซลล์ได้ดี โดยสารในกลุ่มนี้ที่พบได้บ่อยๆ เช่น เบตานิน ( Betanin ) นีโอเบตานิน ( Neobetanin ) และสามารถพบได้มากในบีทรูท แครนเบอรี่ ทับทิม เป็นต้น 

2. เบต้าแซนทิน ( Betaxanthin ) สารชนิดนี้จะให้สีแดง – เหลือง ได้แก่ ไมร่าแซนทิน ( Miraxanthin ) โวลก้าแซนทิน ( Vulgaxanthin ) เป็นต้น และสามารถพบได้มากในผลแคคตัส และบีทรูท เป็นต้น

กินแก้วมังกรแล้วปัสสาวะเป็นสีแดง ผิดปกติไหม?

กินแก้วมังกรแล้วปัสสาวะเป็นสีแดง ผิดปกติไหม?ในบางคนที่เคยกินแก้วมังกรแล้วปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงก็อาจเกิดความสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรและผิดปกติไหม ซึ่งสรุปได้ว่าอาการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ ไม่อันตรายและไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะในแก้วมังกรมีเบตานินสูงมากและเนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยสารสีดังกล่าวได้ จึงต้องขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ เป็นผลให้ปัสสาวะมีสีแดงนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงวางใจได้เลยว่าไม่ใช่อาการผิดปกติใดๆ แน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน (Diabetes): แนวทางจัดการและรักษาสมดุลน้ำตาลในเลือด

0
การจัดการและการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เบาหวานเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เป็นดรคที่รักษาไม่หายต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต
การจัดการและการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เบาหวานเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เป็นดรคที่รักษาไม่หายต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต

ดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างไรให้ถูกวิธี?

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นเป็นการจัดการและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ความสำคัญของการจัดการระดับน้ำตาลในเลือด

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพโดยรวม

ทำไมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน?

การควบคุมระดับน้ำตาลช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไต และตา1

ระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรอยู่ที่เท่าใด?

ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารควรอยู่ระหว่าง 80-130 mg/dL และหลังอาหาร 2 ชั่วโมงไม่เกิน 180 mg/dL1

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวน?

ปัจจัยที่ทำให้น้ำตาลผันผวน ได้แก่ อาหาร การออกกำลังกาย ความเครียด และการใช้ยา1

วิธีตรวจและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด

การตรวจและติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์สามารถปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (Self-Monitoring of Blood Glucose – SMBG)

SMBG เป็นการตรวจด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลที่บ้าน ช่วยให้ผู้ป่วยทราบระดับน้ำตาลปัจจุบัน1

การตรวจค่า HbA1c คืออะไร และช่วยติดตามภาวะเบาหวานได้อย่างไร?

HbA1c แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือน ช่วยประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว1

การตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะมีประโยชน์หรือไม่?

การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะไม่แม่นยำเท่าการตรวจในเลือด แต่อาจใช้เสริมในบางกรณี1

ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ในการตรวจขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวานและการรักษา โดยทั่วไปอาจตรวจ 1-4 ครั้งต่อวัน1

การจัดการอาหารและโภชนาการสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

อาหารมีผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด การจัดการอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน

อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรเป็นอย่างไร?

อาหารควรมีสมดุล เน้นผัก ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย1

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลพุ่งสูง

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้งขัดขาว และไขมันอิ่มตัว1

วิธีคำนวณคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate Counting) เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การนับคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมปริมาณอาหารและปรับขนาดอินซูลินได้อย่างเหมาะสม1

อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยควบคุมน้ำตาล ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ1

การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน

ประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อระดับน้ำตาลในเลือด

การออกกำลังกายช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และควบคุมน้ำหนัก1

ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การออกกำลังกายที่เหมาะสม ได้แก่ การเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และโยคะ1

ข้อควรระวังเมื่อต้องออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน

ควรตรวจน้ำตาลก่อนและหลังออกกำลังกาย และเตรียมอาหารว่างเผื่อภาวะน้ำตาลต่ำ1

การใช้ยาและการรักษาสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การใช้ยาร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มียารักษาเบาหวานประเภทใดบ้าง?

ยารักษาเบาหวานมีหลายประเภท ได้แก่:

  • ยากลุ่ม Metformin: ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ
  • ยากลุ่ม Insulin: ทดแทนอินซูลินที่ร่างกายผลิตไม่เพียงพอ
  • ยากลุ่ม SGLT2 inhibitors และ DPP-4 inhibitors: ช่วยลดระดับน้ำตาลผ่านกลไกต่างๆ1

วิธีการฉีดอินซูลินที่ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

ควรฉีดใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือต้นแขน โดยหมุนเวียนตำแหน่งฉีด1

ผลข้างเคียงของยารักษาเบาหวานที่ควรระวัง

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการทางระบบทางเดินอาหาร และน้ำหนักเพิ่ม1

ผู้ป่วยเบาหวานสามารถหยุดใช้ยาได้หรือไม่?

ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว1

การจัดการภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

การป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนเป็นส่วนสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในระยะยาว

ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่:

  • เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy): ทำให้การมองเห็นแย่ลง
  • โรคไตจากเบาหวาน (Diabetic Nephropathy): ทำให้ไตเสื่อม
  • โรคปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy): ทำให้เกิดอาการชา
  • โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดจากเบาหวาน: เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด1

วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน

การป้องกันทำได้โดยควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ1

สัญญาณเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) และสูง (Hyperglycemia)

อาการน้ำตาลต่ำ: ใจสั่น เหงื่อออก หิว
อาการน้ำตาลสูง: กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย1

การดูแลสุขภาพโดยรวมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยเสริมการควบคุมเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

วิธีการลดความเครียดเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การลดความเครียดทำได้โดยการฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ1

ความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพต่อการควบคุมเบาหวาน

การนอนหลับที่เพียงพอช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง1

ผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน?

ควรพบแพทย์ทุก 3-6 เดือน หรือตามที่แพทย์แนะนำ1

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับภาวะเบาหวาน?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • อาการของน้ำตาลต่ำ: ใจสั่น เหงื่อออก มือสั่น หิว วิงเวียน
  • อาการของน้ำตาลสูง: กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว
  • แผลที่เท้าหายช้าหรือมีการติดเชื้อ
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
  • อาการชาหรือปวดที่มือหรือเท้า

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปรับเปลี่ยนการรักษา

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปรับเปลี่ยนการรักษา ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนปรับเปลี่ยนการรักษาใดๆ
  • บันทึกระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
  • รายงานผลข้างเคียงของยาให้แพทย์ทราบ
  • แจ้งแพทย์หากมีการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต เช่น การออกกำลังกายหรืออาหาร
  • ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

การเข้าใจถึงความสำคัญของการควบคุมเบาหวาน การปฏิบัติตามแผนการรักษา และการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใดๆ เกี่ยวกับการดูแลรักษา ควรปรึกษาแพทย์หรือทีมสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศิริอร สินธุม พิเชต วงรอต, การจัดการรายกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง. สมาคมผู้จัดการรายกรณีประเทศไทย พิมพ์ครั้งที่ 3. 2558. วัฒนาการพิมพ์ กรุงเทพฯ 242 หน้า ISBN : 978-616-92014-0-3.