หน้าแรก บล็อก

Serum Glutamic Pyruvate Transaminase (SGPT) คืออะไร? ค่าตับที่ควรรู้

0
การตรวจสาร SGPT (เอส จี พี ที) ในตับ
SGPT คือ เอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนอยู่ภายในเลือดโดยหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่อวัยวะต่างๆ
การตรวจสาร SGPT (เอส จี พี ที) ในตับ
SGPT คือ เอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนอยู่ภายในเลือดโดยหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่อวัยวะต่างๆ

Serum Glutamic Pyruvate Transaminase (SGPT) คืออะไร? ค่าตับที่ควรรู้

SGPT คืออะไร? หนึ่งในเอนไซม์สำคัญที่ใช้ประเมินสุขภาพตับ

SGPT หรือ ALT คืออะไรในทางการแพทย์

SGPT (Serum Glutamic Pyruvate Transaminase) หรือชื่อใหม่ว่า ALT (Alanine Aminotransferase) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์ตับเป็นหลัก หน้าที่ของ SGPT คือช่วยในกระบวนการเผาผลาญกรดอะมิโน โดยเฉพาะการแปรสภาพ alanine ไปเป็นพลังงาน

ทำไม SGPT จึงสำคัญต่อการประเมินตับ?

เมื่อตับได้รับบาดเจ็บหรือเซลล์ตับเสียหาย SGPT จะรั่วออกสู่กระแสเลือด ค่าที่เพิ่มขึ้นจึงบ่งชี้ถึงความผิดปกติของตับอย่างแม่นยำ และเฉพาะเจาะจงกว่าค่า SGOT

ค่าปกติของ SGPT อยู่ที่เท่าไหร่?

  • ผู้ชาย: 10–40 U/L

  • ผู้หญิง: 7–35 U/L
    ค่าปกติอาจแตกต่างเล็กน้อยตามแต่ละห้องปฏิบัติการ

SGPT สะท้อนสุขภาพตับอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่าง SGPT กับ SGOT

  • SGPT (ALT): พบเกือบเฉพาะในตับ จึงแม่นยำสูงในการชี้ภาวะตับเสียหาย

  • SGOT (AST): พบทั้งในตับ หัวใจ กล้ามเนื้อ
    หาก SGPT สูงแต่ SGOT ปกติ มักชี้ชัดว่าตับเสียหายโดยตรง
    หาก SGOT สูงกว่า SGPT อาจเกี่ยวข้องกับหัวใจหรือกล้ามเนื้อร่วมด้วย

วิเคราะห์อัตราส่วน SGOT/SGPT

  • SGOT/SGPT < 1: มักเป็นไวรัสตับอักเสบ

  • SGOT/SGPT > 2: มักเกี่ยวกับแอลกอฮอล์
    อัตราส่วนนี้ช่วยแยกประเภทของโรคตับได้แม่นยำขึ้น

สาเหตุที่ทำให้ค่า SGPT สูง

SGPT สูงเกิดจากอะไรได้บ้าง?

  • ไวรัสตับอักเสบ A, B, C

  • ไขมันพอกตับ (NAFLD / NASH)

  • ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง

  • ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

  • ยาลดไขมัน, ยาต้านวัณโรค, ยากันชักบางชนิด

  • เบาหวาน, ภาวะอ้วน, ภาวะดื้ออินซูลิน

SGPT สูงโดยไม่มีอาการ ต้องกังวลไหม?

ในระยะแรกของโรคตับ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการเลย แต่ SGPT เริ่มสูง หากพบว่าค่าสูงติดต่อกันหลายครั้ง แนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น:

  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง

  • ตรวจไวรัสตับอักเสบ

  • ตรวจ GGT, ALP, และค่าไขมัน

วิธีการตรวจ SGPT และการเตรียมตัวก่อนตรวจ

วิธีตรวจ SGPT

  • ตรวจโดยการเจาะเลือด

  • ใช้เวลาตรวจไม่เกิน 10 นาที

  • รู้ผลใน 1–2 วัน

เตรียมตัวก่อนตรวจ SGPT อย่างไร?

โดยทั่วไปไม่ต้องงดอาหาร
แต่หากตรวจร่วมกับไขมันหรือกลูโคส อาจต้องงดอาหาร 8–12 ชั่วโมงตามคำแนะนำแพทย์

SGPT กับโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ

SGPT กับโรคตับอักเสบ

ในระยะเฉียบพลันของไวรัสตับอักเสบ ค่า SGPT อาจสูงกว่า 10 เท่าของค่าปกติ

SGPT กับไขมันพอกตับ (NAFLD)

ในกลุ่มอ้วน เบาหวาน ความดันสูง อาจมีค่า SGPT สูงเรื้อรัง แม้ไม่มีอาการชัดเจน

SGPT กับโรคตับจากแอลกอฮอล์

ค่าจะขึ้นพอประมาณ (ไม่สูงมาก) แต่สัมพันธ์กับค่า SGOT/SGPT > 2

ค่าร่วมที่ต้องดูควบคู่กับ SGPT

เอนไซม์และค่าชีวเคมีที่ควรพิจารณาร่วม

  • SGOT (AST): บ่งบอกความรุนแรงของการอักเสบ

  • GGT: สะท้อนการดื่มแอลกอฮอล์

  • ALP: บ่งชี้การอุดตันทางเดินน้ำดี

  • Bilirubin และ Albumin: ประเมินการทำงานตับโดยรวม

ดูแล SGPT อย่างไรไม่ให้สูงขึ้น?

ปรับพฤติกรรม ลด SGPT อย่างได้ผล

  • หยุดดื่มแอลกอฮอล์

  • ควบคุมน้ำหนัก

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงยาที่ตับต้องทำงานหนัก

  • ตรวจสุขภาพประจำปี และ SGPT อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

อาหารที่ส่งเสริมสุขภาพตับ

  • ขมิ้นชัน, กระเทียม, บล็อกโคลี

  • น้ำมันมะกอก, ถั่ว, ปลาทะเล

  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SGPT

SGPT สูงแสดงว่าเป็นมะเร็งตับหรือไม่?

ไม่เสมอไป ต้องดูผลภาพถ่าย (Ultrasound / CT Scan) และตรวจค่า AFP ร่วมด้วย

SGPT สูงจากยา พอหยุดยาแล้วจะกลับมาปกติไหม?

โดยทั่วไป SGPT จะลดลงเมื่อหยุดยาและไม่มีอันตรายถาวร แต่ควรติดตามค่าซ้ำหลัง 2–4 สัปดาห์

ค่า SGPT ต้องต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือไม่?

ไม่จำเป็น ค่าที่ต่ำเกินไปอาจหมายถึงตับเสื่อมขั้นรุนแรงเช่นกัน ค่าในช่วงปกติ (10–40 U/L) ถือว่าปลอดภัย

สรุป: เข้าใจ SGPT = เข้าใจสุขภาพตับอย่างรอบด้าน

SGPT คือเครื่องมือสำคัญที่แพทย์ใช้ตรวจสอบสุขภาพตับ แม้คนทั่วไปอาจมองเป็นแค่ตัวเลข แต่ในทางการแพทย์ ค่านี้สามารถช่วยตรวจพบปัญหาตับได้ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ การดูแลค่าตับไม่ใช่เพียงแค่ตรวจทุกปี แต่คือการใส่ใจพฤติกรรม อาหาร และสุขภาพโดยรวมอย่างต่อเนื่อง หากคุณเริ่มต้นดูแล SGPT ตั้งแต่วันนี้ คุณจะลดความเสี่ยงโรคตับในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Koski RR (2008). “Omega-3-acid Ethyl Esters (Lovaza) For Severe Hypertriglyceridemia”. Pharmacy and Therapeutics. 33 (5): 271–303. PMC 2683599 Freely accessible.

Watkins PB, Kaplowitz N, Slattery JT, Colonese CR, Colucci SV, Stewart PW, Harris SC (July 2006). “Aminotransferase elevations in healthy adults receiving 4 grams of acetaminophen daily: a randomized controlled trial”. JAMA. 296

Association for Clinical Biochemistry and Laboratory Medicine. Retrieved 7 October 2013.

Paul T. Giboney M.D., Mildly Elevated Liver Transaminase Levels in the Asymptomatic Patient, American Family Physician.

Serum Glutamic-Oxaloacetic Transaminase (SGOT) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกภาวะตับ

0
การตรวจหาสาร SGOT ในตับ (เอส จี โอ ที)
SGOT เป็นเอนไซม์ที่ใช้ช่วยตรวจภาวะโรคตับ และภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหัวใจ
การตรวจหาสาร SGOT ในตับ (เอส จี โอ ที)
SGOT เอนไซม์ของเม็ดเลือดแดงที่ใช้ช่วยตรวจภาวะโรคตับ และภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหัวใจ

Serum Glutamic-Oxaloacetic Transaminase (SGOT) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกภาวะตับ

SGOT คืออะไร? ความหมาย ค่าปกติ และหน้าที่ในร่างกาย

นิยาม SGOT ในทางการแพทย์

SGOT (Serum Glutamic-Oxaloacetic Transaminase) หรือที่รู้จักในชื่อ AST (Aspartate Aminotransferase) คือเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบได้ในหลายเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะในตับ หัวใจ กล้ามเนื้อ และไต ทำหน้าที่ช่วยในกระบวนการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงานในเซลล์

SGOT ต่างจาก SGPT อย่างไร?

แม้ SGOT และ SGPT (หรือ ALT) จะเป็นเอนไซม์ที่ใช้ประเมินสุขภาพตับเหมือนกัน แต่ SGOT พบในอวัยวะหลายส่วน ในขณะที่ SGPT พบเฉพาะในตับเป็นหลัก ทำให้ SGPT มักเฉพาะเจาะจงกับปัญหาตับมากกว่า ส่วน SGOT บ่งชี้ได้กว้างกว่า และอาจสะท้อนปัญหาหัวใจหรือกล้ามเนื้อได้ด้วย

ค่าปกติของ SGOT เท่าไหร่?

  • ค่าปกติของ SGOT สำหรับผู้ใหญ่:
    ▸ ผู้ชาย: 10–40 U/L
    ▸ ผู้หญิง: 9–32 U/L

  • ค่านี้อาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามห้องปฏิบัติการที่ตรวจ

ทำไม SGOT จึงใช้ประเมินสุขภาพตับ?

SGOT กับหน้าที่ตับและกระบวนการเผาผลาญ

เมื่อเซลล์ตับถูกทำลาย ไม่ว่าจะจากไวรัส แอลกอฮอล์ หรือสารพิษ เอนไซม์ SGOT จะรั่วไหลเข้าสู่กระแสเลือด การตรวจค่าดังกล่าวจึงสามารถสะท้อนการทำงานและความเสียหายของตับในเบื้องต้น

ความสัมพันธ์ระหว่างค่า SGOT และ SGPT

การประเมินภาวะตับมักพิจารณาค่า SGOT ร่วมกับ SGPT อัตราส่วน SGOT/SGPT มีความสำคัญ เช่น:

  • SGOT/SGPT > 2: มักสัมพันธ์กับโรคตับจากแอลกอฮอล์

  • SGOT/SGPT < 1: มักพบในภาวะตับอักเสบจากไวรัส
    การวิเคราะห์อัตราส่วนนี้ช่วยแพทย์จำแนกสาเหตุที่แท้จริงของการทำลายตับ

สาเหตุที่ทำให้ค่า SGOT สูงหรือต่ำผิดปกติ

ค่า SGOT สูงเกิดจากอะไรได้บ้าง?

  • โรคตับ: ตับอักเสบ (Hepatitis A, B, C), ตับแข็ง, มะเร็งตับ

  • โรคหัวใจ: กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

  • กล้ามเนื้อฉีกขาดหรืออักเสบ: อุบัติเหตุ การออกกำลังหักโหม

  • ยาบางชนิด: ยาพาราเซตามอลในขนาดเกิน, ยาลดไขมัน, ยากันชัก

ค่า SGOT ต่ำผิดปกติบ่งบอกอะไร?

แม้จะพบได้น้อย แต่ค่า SGOT ต่ำผิดปกติอาจสะท้อน:

  • การขาดวิตามิน B6 (pyridoxine)

  • ภาวะตับเสื่อมระยะท้ายจนไม่สามารถสร้างเอนไซม์ได้

SGOT กับโรคตับชนิดต่าง ๆ

SGOT กับโรคตับอักเสบ

ในผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ค่า SGOT อาจพุ่งสูงเกิน 10 เท่าของค่าปกติ โดยเฉพาะในระยะเฉียบพลัน ค่าจะสูงและลดลงเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นฟู

SGOT กับตับแข็ง

ในตับแข็ง ค่า SGOT มักจะสูงเรื้อรัง และสัมพันธ์กับอาการอื่น เช่น เหลือง, น้ำในช่องท้อง, แขนขาบวม

SGOT กับมะเร็งตับ

ค่าจะสูงแต่ไม่จำเพาะ ต้องดูร่วมกับ Tumor Marker เช่น AFP (Alpha-Fetoprotein) และผลภาพถ่าย CT หรือ MRI

วิธีการตรวจค่า SGOT และการเตรียมตัวก่อนตรวจ

ขั้นตอนการตรวจ SGOT

การตรวจ SGOT เป็นการเจาะเลือดตรวจหาค่าทางชีวเคมี ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ได้ผลใน 1–2 วัน

ต้องงดอาหารก่อนตรวจไหม?

โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร ยกเว้นแพทย์สั่งตรวจร่วมกับการตรวจไขมันหรือน้ำตาล ซึ่งอาจต้องงดน้ำงดอาหาร 8–12 ชั่วโมง

การวิเคราะห์ผล SGOT อย่างแม่นยำ

วิเคราะห์ร่วมกับเอนไซม์อื่นๆ

  • SGPT (ALT): เจาะจงกับตับมากที่สุด

  • ALP: บ่งบอกการอุดตันทางเดินน้ำดี

  • GGT: ใช้บ่งบอกการดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง
    การอ่านผลค่า SGOT จึงต้องอยู่ในบริบทภาพรวม ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ด้วยค่าเดียว

ค่าร่วมที่ควรตรวจเพิ่มเติม

  • Bilirubin

  • Albumin

  • PT/INR (ค่าการแข็งตัวของเลือด)
    เพื่อประเมินภาพรวมของการทำงานตับ

การป้องกันตับเสื่อม ด้วยการดูแลค่า SGOT ให้อยู่ในเกณฑ์

ปรับพฤติกรรมลดความเสี่ยงตับเสียหาย

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

  • รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

  • ใช้ยาตามคำแนะนำแพทย์เท่านั้น

  • หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ

อาหารที่ดีต่อตับและช่วยควบคุม SGOT

  • ผักใบเขียว, บล็อกโคลี, กระเทียม

  • น้ำมันมะกอก, ปลาที่อุดมด้วยโอเมก้า-3

  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SGOT (FAQs)

SGOT สูงแปลว่าต้องเป็นโรคตับแน่นอนหรือไม่?

ไม่เสมอไป ควรดูร่วมกับอาการอื่น ค่าร่วม เช่น SGPT และประวัติสุขภาพ

ค่า SGOT ที่สูงจากการออกกำลังจะอันตรายไหม?

ไม่จำเป็น เพราะกล้ามเนื้อที่เสียหายชั่วคราวอาจทำให้ SGOT สูงแต่ไม่มีผลร้ายแรงต่ออวัยวะ

SGOT สูงในคนไม่มีอาการ ควรทำอย่างไร?

ควรตรวจติดตามซ้ำ และหาสาเหตุร่วมกับแพทย์ อาจต้องตรวจ SGPT, ALP, GGT เพิ่มเติม

สรุป: รู้ทัน SGOT เพื่อป้องกันโรคตับอย่างยั่งยืน

ค่า SGOT ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สะท้อนความผิดปกติของเซลล์ภายในตับ หัวใจ หรือกล้ามเนื้อ การทำความเข้าใจและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคเรื้อรังที่อาจรุนแรงในอนาคต หากคุณต้องการดูแลตับให้แข็งแรง อย่ารอจนเกิดอาการ จงเริ่มจากการตรวจค่าต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Karmen A, Wroblewski F, Ladue JS (Jan 1955). “Transaminase activity in human blood”. The Journal of Clinical Investigation. 34 (1): 126–31. PMC 438594 Freely accessible. PMID 13221663.

Ghouri N, Preiss D, Sattar N (September 2010). “Liver enzymes, nonalcoholic fatty liver disease, and incident cardiovascular disease: a narrative review and clinical perspective of prospective data”. Hepatology. 52 (3): 1156–61

Wang CS, Chang TT, Yao WJ, Wang ST, Chou P (April 2012). “Impact of increasing alanine aminotransferase levels within normal range on incident diabetes”. Journal of the Formosan Medical Association = Taiwan Yi Zhi. 111 (4): 201–8. 

Alkaline Phosphatase (ALP) คืออะไร? ความสำคัญของค่าตรวจตับ

0
การตรวจสาร Alkaline Phosphatase ในตับ
ALKALINE PHOSPHATASE คือ เอ็นไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีน จากอวัยวะต่างๆในร่างกายที่เกิดความผิดปกติจากโรคที่กำลังเกิดขึ้น
การตรวจสาร Alkaline Phosphatase ในตับ
ALKALINE PHOSPHATASE คือ เอ็นไซม์ที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีน จากอวัยวะต่างๆในร่างกายที่เกิดความผิดปกติจากโรคที่กำลังเกิดขึ้น

Alkaline Phosphatase (ALP) คืออะไร? ความหมาย ค่าปกติ และการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อประเมินสุขภาพตับ–กระดูก

Alkaline Phosphatase (ALP) คือเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยพบมากในอวัยวะสำคัญอย่าง ตับ, กระดูก, ท่อน้ำดี, รก, และ ลำไส้ เอนไซม์ ALP ทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยหมู่ฟอสเฟตจากโมเลกุลต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูก การดูดซึมสารอาหาร และการทำงานของระบบตับและทางเดินน้ำดี

ค่า ALP มักถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางการแพทย์ที่สำคัญใน Liver Function Test (LFT) หรือชุดการตรวจเพื่อประเมินสมรรถภาพการทำงานของตับ โดยค่า ALP ที่ “สูงหรือต่ำผิดปกติ” สามารถชี้ไปที่ภาวะผิดปกติในร่างกาย เช่น ตับอักเสบ, โรคกระดูก, ภาวะทางพันธุกรรม, หรือ ภาวะขาดสารอาหาร

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของ ALP ไปจนถึงการตีความผลเลือด, การวิเคราะห์เชิงลึก, ความเชื่อมโยงกับโรคสำคัญ และแนวทางการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถประเมินภาวะสุขภาพตับ–กระดูกของตนเองได้อย่างรู้เท่าทันและแม่นยำ

ALP คืออะไร? เอนไซม์พื้นฐานที่มีบทบาทหลายอวัยวะ

Alkaline Phosphatase (ALP) เป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในระบบชีวเคมีของร่างกาย โดยจัดอยู่ในกลุ่ม “เอนไซม์ฟอสฟาเตส” ที่ทำหน้าที่เร่งการแยกหมู่ฟอสเฟตออกจากสารชีวโมเลกุล เช่น ไกลโคโปรตีน, ไกลโคลิพิด หรือกรดนิวคลีอิก การทำงานของ ALP เกิดขึ้นในภาวะที่มีค่า pH เป็นด่าง (alkaline) จึงได้ชื่อว่า “Alkaline Phosphatase”

ความสำคัญของ ALP ไม่ได้จำกัดแค่ในระบบตับหรือกระดูกเท่านั้น แต่ยังแทรกอยู่ในทุกระบบที่ต้องการกระบวนการ “ขนส่ง–แปรสภาพ–ย่อยสลาย” ของสารอาหารและโครงสร้างระดับเซลล์ โดยบทบาทเหล่านี้เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดของ ALP ที่หลากหลายภายในร่างกาย

แหล่งที่มาของ ALP ในร่างกาย (ตับ, ท่อน้ำดี, กระดูก, รก, ลำไส้)

ALP มีอยู่ในหลายอวัยวะและเนื้อเยื่อ โดยที่มีความเข้มข้นสูงใน:

  • ตับ: โดยเฉพาะในผนังท่อน้ำดี (bile duct epithelium) ซึ่งเป็นบริเวณที่ ALP ทำหน้าที่ในการขจัดของเสียผ่านทางน้ำดี
  • กระดูก: Osteoblasts หรือเซลล์สร้างกระดูกผลิต ALP เพื่อช่วยในการแร่ธาตุกระดูก (bone mineralization)
  • รก: โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ที่ ALP จะสูงขึ้นตามการเจริญเติบโตของรก
  • ลำไส้เล็ก: พบ ALP ในผิวเยื่อบุลำไส้ ซึ่งมีบทบาทในการช่วยดูดซึมไขมัน
  • ไต (พบได้น้อยในผู้ใหญ่แต่มีในเด็ก)

แม้ ALP จะเป็นเอนไซม์เดียวกัน แต่มี “isoenzymes” ต่างกันตามแหล่งผลิต ทำให้ค่า ALP ที่สูงขึ้นในเลือดต้องตีความร่วมกับบริบททางคลินิกเสมอ

หน้าที่ของ ALP ต่อกระบวนการชีวภาพ (แปรสภาพฟอสเฟต, สร้างกระดูก, ช่วยดูดซึมสารอาหาร)

หน้าที่ของ ALP สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้:

  1. แปรสภาพฟอสเฟต (Dephosphorylation)
    ALP ช่วยเร่งการตัดหมู่ฟอสเฟตออกจากสารต่าง ๆ ซึ่งสำคัญในการเปิดใช้งาน/ย่อยสลายโมเลกุลชีวภาพ เช่น ATP → ADP → AMP
  2. สร้างกระดูก (Bone Mineralization)
    ในกระบวนการสร้างกระดูก ALP ที่ผลิตจาก osteoblast จะช่วยให้เกิดการตกผลึกของแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อกระดูก ทำให้โครงสร้างแข็งแรง
  3. ช่วยดูดซึมสารอาหาร
    ALP มีบทบาทในการดูดซึมไขมันและวิตามินบางชนิด โดยเฉพาะในลำไส้เล็ก ซึ่งต้องการสภาวะเป็นด่างเพื่อให้เอนไซม์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

กรณีที่ ALP ทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้กระบวนการเหล่านี้ล้มเหลว เช่น การดูดซึมไขมันบกพร่อง หรือการสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์ในเด็ก

ALP กับระบบย่อยอาหารและตับโดยตรง

ในระบบย่อยอาหาร ALP ทำหน้าที่เสริมการดูดซึมไขมันผ่านการทำงานร่วมกับน้ำดี (bile salts) โดย ALP ที่อยู่บริเวณลำไส้เล็กจะช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร และควบคุมความเป็นด่างให้เหมาะกับการทำงานของเอนไซม์อื่น ๆ

ส่วนในระบบตับ ALP ที่ผลิตในผนังท่อน้ำดี มีบทบาทชัดเจนในการกำจัดของเสียออกทางน้ำดี การอุดตันของท่อน้ำดีหรือการอักเสบที่บริเวณตับส่วนนี้มักทำให้ค่า ALP ในเลือดสูงขึ้นผิดปกติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคตับบางชนิด เช่น cholestasis หรือ biliary cirrhosis

ค่า ALP ที่สูงโดยไม่มีอาการ มักต้องวิเคราะห์ร่วมกับค่าทางตับอื่น เช่น GGT, AST, ALT เพื่อแยกแยะความผิดปกติของตับกับกระดูก

ค่า ALP ปกติอยู่ที่เท่าไหร่?

ค่า ALP ที่วัดได้จากเลือดจะถูกระบุในหน่วย “U/L” หรือ “หน่วยต่อเลือดหนึ่งลิตร” โดยช่วงค่าปกติสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของ ตับ และ กระดูก ได้ในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ค่าที่ถือว่า “ปกติ” อาจแตกต่างกันตามอายุ เพศ หรือสภาวะทางร่างกายเฉพาะ เช่น การตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยเจริญเติบโต

ค่ามาตรฐาน ALP ในห้องปฏิบัติการทั่วไป (U/L)

ค่าปกติของ ALP ในห้องปฏิบัติการทั่วไปอยู่ในช่วง:

กลุ่ม

ค่าอ้างอิง (U/L)

ผู้ใหญ่ทั่วไป

44 – 147 U/L

เด็ก (โดยเฉพาะช่วงวัยเจริญเติบโต)

100 – 400 U/L

หญิงตั้งครรภ์ (ปลายไตรมาสที่ 3)

อาจสูงถึง 200–400 U/L

ผู้สูงอายุ

มีแนวโน้มอยู่ในระดับปกติหรือลดต่ำลงเล็กน้อย

ค่าเหล่านี้อาจแตกต่างตามมาตรฐานของแต่ละห้องแล็บ หรือเทคนิคที่ใช้ในการตรวจ (เช่น colorimetric vs enzymatic method) ดังนั้นควรดูค่าที่อ้างอิงจากรายงานผลเลือดร่วมด้วยเสมอ

ปัจจัยที่ทำให้ค่า ALP ต่างกันระหว่างคน (อายุ เพศ ตั้งครรภ์ เด็ก)

  1. อายุ
    • เด็กและวัยรุ่นมีค่า ALP สูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตของกระดูก (bone remodeling)
    • ผู้สูงอายุอาจมีค่า ALP สูงจากกระดูกบาง หรือมีแนวโน้มต่ำลงจากสมรรถภาพร่างกายที่ลดลง
  2. เพศ
    • ในวัยเจริญพันธุ์ เพศชายมักมีค่า ALP สูงกว่าหญิงเล็กน้อย อันเนื่องมาจากมวลกระดูกที่มากกว่า
  3. การตั้งครรภ์
    • หญิงตั้งครรภ์จะมีค่า ALP สูงขึ้นตามการเจริญของรก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2–3
    • ค่า ALP จากรก (placental ALP) ไม่ควรแปลความเทียบกับโรคตับหรือกระดูกโดยตรง
  4. พฤติกรรมส่วนบุคคล
    • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การขาดสารอาหาร หรือภาวะน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน อาจส่งผลต่อค่า ALP ได้เช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของค่า ALP กับช่วงวัย

ค่า ALP เป็นหนึ่งในค่าทางคลินิกที่ “ผันแปรตามวัย” อย่างมีนัยสำคัญ:

  • ทารกและเด็กเล็ก
    มีค่า ALP สูงมาก (อาจเกิน 300–400 U/L) เพราะอยู่ในช่วงของการสร้างกระดูกอย่างรวดเร็ว
  • วัยรุ่น
    ค่า ALP ยังคงสูง โดยเฉพาะในเพศชายช่วงก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่กระตุ้นกระดูก
  • ผู้ใหญ่
    ค่า ALP ลดลงสู่ช่วงปกติ (44–147 U/L) ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินตับและกระดูกได้แม่นยำที่สุด
  • ผู้สูงอายุ
    บางรายมีค่า ALP ต่ำกว่าปกติ อาจสะท้อนถึงภาวะขาดสารอาหาร, ภาวะกระดูกพรุน หรือโรคตับเรื้อรังที่ทำให้การผลิต ALP ลดลง

การแปลผลค่า ALP จึงต้องพิจารณา “บริบทของช่วงวัย” ร่วมกับ “ภาวะสุขภาพปัจจุบัน” เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด

ค่า ALP สูงบ่งบอกอะไร?

ค่า ALP ที่สูงกว่าค่าปกติอาจเป็นสัญญาณทางชีวเคมีของความผิดปกติในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ระบบตับและท่อน้ำดี หรือ ระบบโครงสร้างกระดูก อย่างไรก็ตาม การแปลผลค่า ALP ที่สูงต้องพิจารณาร่วมกับค่าทางห้องปฏิบัติการอื่น เช่น GGT, ALT, AST รวมถึงอาการทางคลินิกของผู้ป่วย

ค่า ALP สูงไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคร้ายแรงเสมอไป แต่ถือเป็น “ตัวบ่งชี้” ที่ควรนำไปสู่การวินิจฉัยเพิ่มเติมอย่างละเอียด

ALP สูงจากปัญหาตับ (เช่น ท่อน้ำดีอุดตัน, ตับอักเสบ)

ในผู้ใหญ่ หากค่า ALP สูงเกิน 2 เท่าของค่าปกติ ร่วมกับค่า GGT ที่สูงขึ้นด้วย มักสื่อถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบท่อน้ำดี เช่น:

  • ท่อน้ำดีอุดตัน (Cholestasis)
    เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี, เนื้องอก, หรือพังผืดอุดกั้น ส่งผลให้ ALP พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ตับอักเสบ (Hepatitis)
    โดยเฉพาะชนิดเรื้อรัง เช่น B, C, หรือจากพิษแอลกอฮอล์ ค่า ALP จะเพิ่มปานกลาง และมักมีค่า ALT, AST สูงร่วมด้วย
  • โรคตับแข็ง (Cirrhosis)
    ในระยะที่ท่อน้ำดีเริ่มถูกทำลาย ค่า ALP อาจสูงขึ้นอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง

GGT คือค่าที่ช่วยยืนยันว่า ALP ที่สูงมาจาก “ตับ” ไม่ใช่ “กระดูก”

ALP สูงจากปัญหากระดูก (เช่น กระดูกหัก, โรค Paget)

หาก ALP สูง แต่ GGT อยู่ในเกณฑ์ปกติ มักสื่อถึง “แหล่งกำเนิดจากกระดูก” มากกว่า โดยภาวะที่ทำให้ค่า ALP สูง ได้แก่:

  • กระดูกหัก หรือการซ่อมแซมหลังบาดเจ็บ
    ช่วง 2–6 สัปดาห์หลังจากกระดูกหัก ค่า ALP จะสูงขึ้นเพราะ osteoblast ทำงานซ่อมแซม
  • โรค Paget (Paget’s Disease of Bone)
    เป็นโรคที่ทำให้กระดูกหนา ผิดรูป และเปราะบาง การสร้างกระดูกที่ผิดปกตินี้ทำให้ ALP พุ่งสูงแม้ไม่มีอาการ
  • ภาวะ Hyperparathyroidism
    ฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงทำให้เกิดการสลายแคลเซียมจากกระดูก ส่งผลให้ ALP สูงขึ้น

การตรวจ “Bone-specific ALP” อาจช่วยยืนยันแหล่งกำเนิดจากกระดูกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สาเหตุอื่น ๆ เช่น มะเร็ง, การตั้งครรภ์, การใช้ยา

ค่า ALP สูงไม่ได้หมายถึงแค่ตับหรือกระดูกเสมอไป ยังอาจเกิดจากเงื่อนไขอื่น เช่น:

  • มะเร็งบางชนิด
    เช่น มะเร็งตับ มะเร็งกระดูก มะเร็งปอด หรือมะเร็งที่แพร่กระจายเข้าสู่ตับ มักทำให้ ALP สูงเรื้อรัง
  • หญิงตั้งครรภ์
    โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2–3 ค่า ALP ที่สูงเกิดจากรก ไม่ใช่จากโรค ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรักษา
  • การใช้ยา
    ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก (phenytoin), ยาขับน้ำดี, สเตียรอยด์, หรือยาต้านเชื้อรา อาจทำให้ ALP สูง

การแปลผลต้องใช้บริบทร่วม เช่น ประวัติใช้ยา, ภาวะตั้งครรภ์ หรืออาการอื่นประกอบ มิฉะนั้นอาจตีความผิด

 ค่า ALP สูงอาจสื่อถึงความผิดปกติของ ตับ, ท่อน้ำดี, กระดูก, หรือเป็นผลจาก การใช้ยา และ ภาวะตั้งครรภ์ ต้องพิจารณาร่วมกับค่าทางชีวเคมีอื่นและอาการทางคลินิกเสมอ

ค่า ALP ต่ำมีผลเสียไหม?

แม้ ALP สูงจะมักได้รับความสนใจทางการแพทย์มากกว่า แต่ในทางกลับกัน “ค่า ALP ต่ำกว่าปกติ” ก็สามารถสะท้อนความผิดปกติของร่างกายที่ “ลึกซึ้งและซ่อนเร้น” ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในด้านการดูดซึมสารอาหาร, ความสมบูรณ์ของกระดูก, และการเจริญเติบโต

ค่าที่ถือว่า “ต่ำ” มักน้อยกว่า 40 U/L ในผู้ใหญ่ และหากต่ำกว่า 20 U/L อาจบ่งชี้ภาวะที่ควรได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม

สาเหตุของ ALP ต่ำ (เช่น ขาดวิตามิน B6/B12, ภาวะขาดสังกะสี)

ค่า ALP ต่ำอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยเฉพาะปัญหาทางโภชนาการหรือระบบเผาผลาญ ดังนี้:

  1. ภาวะขาดสังกะสี (Zinc Deficiency)
    สังกะสีเป็นโคแฟกเตอร์สำคัญของ ALP หากขาดสารนี้ ร่างกายจะผลิตเอนไซม์ได้ต่ำลงอย่างชัดเจน
  2. ขาดวิตามิน B6 และ B12
    วิตามินกลุ่ม B มีบทบาทในการเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ ขาดวิตามินเหล่านี้จะส่งผลต่อการสร้างเอนไซม์หลายชนิดรวมถึง ALP
  3. ภาวะขาดโปรตีนเรื้อรัง
    ผู้ที่รับประทานอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเรื้อรัง อาจมีค่า ALP ต่ำร่วมกับค่าทางโภชนาการอื่นผิดปกติ

การตรวจค่า “Albumin, Zinc, Vitamin B12” ควรทำควบคู่กันเมื่อพบว่า ALP ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน

ความเกี่ยวข้องกับโรค hypophosphatasia และภาวะทางพันธุกรรม

หนึ่งในโรคที่สำคัญที่สุดซึ่งเกี่ยวข้องกับค่า ALP ต่ำอย่างชัดเจนคือ:

Hypophosphatasia (HPP)
เป็นโรคพันธุกรรมหายาก ที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ALPL ซึ่งควบคุมการสร้าง ALP ในกระดูกและฟัน

  • ส่งผลให้เกิด ความผิดปกติของกระดูก (rickets) ในเด็ก และ กระดูกพรุน หรือ กระดูกหักง่าย ในผู้ใหญ่
  • ผู้ป่วยอาจมีฟันหลุดก่อนวัย, เดินผิดปกติ, เจ็บกระดูกบ่อย
  • ในรูปแบบรุนแรง (perinatal form) เด็กแรกเกิดอาจเสียชีวิตจากการหายใจลำบากเนื่องจากกระดูกซี่โครงอ่อนตัว

การตรวจยีน ALPL และ ALP-specific isoenzyme เป็นสิ่งจำเป็นหากสงสัย HPP โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติกระดูกผิดปกติหลายราย

ความสำคัญของ ALP ต่ำในเด็กและผู้สูงอายุ

ในเด็ก:

  • ALP ต่ำอาจสะท้อนพัฒนาการล่าช้าในการสร้างกระดูกหรือฟัน
  • ถ้าเด็กไม่มีการเจริญเติบโตตามเกณฑ์ หรือน้ำหนักไม่เพิ่ม ค่า ALP ที่ต่ำอาจเป็นสัญญาณหนึ่งของการขาดสารอาหาร

ในผู้สูงอายุ:

  • ค่า ALP ต่ำอาจพบร่วมกับภาวะ กล้ามเนื้อฝ่อลีบ, ขาดสารอาหาร, หรือภาวะซึมเศร้า
  • ผู้สูงวัยที่รับประทานอาหารได้น้อย หรือมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานระยะท้าย อาจมีค่า ALP ต่ำเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการเด่นชัด

สารอาหาร, การดูแลภาวะโภชนาการ, และการประเมินคุณภาพชีวิต มีความสัมพันธ์กับระดับ ALP มากกว่าที่หลายคนคาดคิด

ค่า ALP ต่ำอาจสื่อถึง ภาวะขาดสารอาหาร, โรคพันธุกรรม, หรือ พัฒนาการผิดปกติ และควรไม่ละเลยในกลุ่มเด็ก–ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหากพบร่วมกับอาการทางโภชนาการหรือโครงสร้างกระดูก

ALP แยกชนิดได้อย่างไร?

แม้ ALP จะเป็นเพียงค่าเดียวในผลเลือด แต่ในความเป็นจริง ALP มีหลายชนิดตามแหล่งที่สร้าง เช่น:

  • Liver ALP
  • Bone ALP
  • Intestinal ALP
  • Placental ALP
  • Regan Isoenzyme (ในมะเร็งบางชนิด)

การแยกชนิด ALP หรือที่เรียกว่า “ALP Isoenzyme Separation” จึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ค่า ALP ผิดปกติแต่ไม่มีอาการทางคลินิกชัดเจน

เทคนิคการแยก Isoenzyme ของ ALP (Liver vs Bone)

ในห้องปฏิบัติการ มีหลายวิธีที่ใช้จำแนก ALP isoenzymes ได้แก่:

  1. Electrophoresis (การแยกด้วยกระแสไฟฟ้า)
    • เป็นวิธีมาตรฐานในการแยก ALP จากแหล่งต่าง ๆ โดยอาศัย “ความต่างของการเคลื่อนที่ในสนามไฟฟ้า”
    • Liver ALP เคลื่อนที่เร็วกว่า Bone ALP
  2. Heat Stability Test
    • ALP แต่ละชนิดทนความร้อนไม่เท่ากัน เช่น:
      • Bone ALP ถูกทำลายที่ 56°C
      • Liver ALP ทนร้อนได้มากกว่า
    • ใช้ในโรงพยาบาลที่ไม่มี electrophoresis
  3. Lectin Affinity Method (แยกด้วยพันธะกับสารจำเพาะ)
    • ใช้สารเฉพาะเพื่อจับกับ ALP จากแหล่งต่าง ๆ แล้ววิเคราะห์ความเข้มข้น
    • แม่นยำแต่ราคาแพงและใช้เฉพาะในกรณีจำเป็น

ผลลัพธ์จากเทคนิคเหล่านี้ช่วยระบุว่า ALP ที่สูงผิดปกตินั้น “มาจากตับหรือกระดูก” ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการวินิจฉัยโดยตรง

ตัวอย่างกรณีทางคลินิกที่ต้องแยกชนิด ALP

สถานการณ์

เหตุผลในการแยก ALP

ผู้สูงอายุ ALP สูง แต่ไม่มีอาการตับ

ต้องแยกว่ามาจาก “กระดูกพรุน” หรือ “มะเร็งตับแฝง”

หญิงตั้งครรภ์ ALP สูงมาก

ต้องแยกว่าเป็น “Placental ALP” หรือ “Liver ALP” เพื่อคัดกรอง preeclampsia

เด็ก ALP สูงเกิน 500 U/L

แยกว่ามาจากการ “เจริญเติบโตปกติ” หรือโรคกระดูก เช่น rickets

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ และมี ALP สูงเรื้อรัง

แยกว่าค่า ALP มาจาก “ภาวะ cholestasis” หรือ “ภาวะกระดูกพรุนจากโรคตับ”

หากไม่แยกชนิด ALP อาจพลาดโอกาสวินิจฉัยโรค หรือทำให้การรักษาเบี่ยงเบนจากต้นเหตุ

ค่าร่วมอื่นๆ ที่ควรดูร่วมกัน เช่น GGT, AST, ALT

ค่า ALP ควร “ไม่ถูกอ่านเดี่ยว” แต่ต้องดูร่วมกับค่าอื่นเพื่อให้แปลผลได้แม่นยำ:

  • GGT (Gamma-Glutamyl Transferase)
    • ใช้แยกแหล่ง ALP:
      • ALP↑ + GGT↑ = ตับ
      • ALP↑ + GGT ปกติ = กระดูก
  • AST และ ALT
    • ถ้า AST/ALT เพิ่มด้วย → เป็นตับอักเสบ (hepatocellular pattern)
    • ถ้า AST/ALT ปกติ แต่ ALP↑ → เป็น cholestasis หรือกระดูก
  • Calcium, Phosphorus, Vitamin D
    • ใช้ร่วมเมื่อสงสัยปัญหาจากกระดูก เช่น Paget หรือ Osteomalacia
  • Bilirubin
    • ถ้า ALP สูง + bilirubin สูง → มีแนวโน้มท่อน้ำดีอุดตัน

การดูค่าร่วมช่วยลดโอกาสพลาดการวินิจฉัย โดยเฉพาะในกรณีที่ ALP เพิ่มขึ้นแบบไม่มีอาการ

การแยก ALP ช่วยชี้เป้าหมายของโรคว่าอยู่ที่ ตับ หรือ กระดูก การแปลผลอย่างแม่นยำต้องใช้ “เทคนิคแล็บ” + “ค่าอื่นร่วม” + “บริบทคนไข้” เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นและป้องกันการรักษาผิดทิศ

เมื่อไรควรตรวจค่า ALP?

การตรวจค่า Alkaline Phosphatase (ALP) ไม่ใช่การตรวจเฉพาะทางสำหรับโรคใดโรคหนึ่ง แต่ถูกใช้ใน “บริบททางคลินิกที่หลากหลาย” ทั้งด้านโรคตับ โรคกระดูก และการติดตามหลังการรักษามะเร็งบางชนิด

โดยทั่วไป แพทย์จะสั่งตรวจ ALP เมื่อพบว่า:

  • ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติของ ตับ, ถุงน้ำดี หรือทางเดินน้ำดี
  • มีภาวะ เจ็บกระดูก, กระดูกผิดรูป, กระดูกหักง่าย
  • มีผลเลือดอื่นผิดปกติ เช่น bilirubin สูง หรือ GGT สูง
  • ติดตามผลหลังการรักษาโรคที่มีผลต่อโครงสร้างเซลล์ตับหรือกระดูก

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจ ALP (ตับอักเสบ, โรคกระดูก, มะเร็ง)

  1. กลุ่มโรคตับและถุงน้ำดี
    • ผู้ที่มีอาการ ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, ท้องอืดเรื้อรัง
    • ประวัติ ไวรัสตับอักเสบ (HBV/HCV) หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
    • ผู้มีความเสี่ยงท่อน้ำดีอุดตัน เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
  2. กลุ่มโรคกระดูก
    • เด็กที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น ฟันหลุดเร็ว, ขาโก่ง, เจ็บข้อบ่อย
    • ผู้สูงอายุที่ มีกระดูกหักบ่อย หรือวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
  3. กลุ่มโรคมะเร็ง
    • ผู้ป่วยมะเร็งตับ, มะเร็งลำไส้, หรือมะเร็งที่แพร่กระจายไปตับ/กระดูก
    • ใช้ ALP ติดตามการลุกลามหรือประเมินการตอบสนองต่อเคมีบำบัด

หากคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น ควรหารือกับแพทย์เรื่องการตรวจ ALP ร่วมกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ

การตรวจ ALP ร่วมกับ Liver Function Test อื่นๆ

ALP มักไม่ได้ถูกตรวจแบบ “โดดเดี่ยว” แต่เป็นหนึ่งในชุด Liver Function Test (LFT) ซึ่งประกอบด้วย:

ค่าที่ตรวจร่วม

ความหมาย

ALT (SGPT)

สะท้อนความเสียหายภายในเซลล์ตับ

AST (SGOT)

แสดงภาวะตับอักเสบหรือกล้ามเนื้อเสียหาย
GGT

ช่วยแยก ALP ว่ามาจาก “ตับ” หรือ “กระดูก”

Bilirubin (รวม/ตรง)

ชี้ภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำดี

Albumin

สะท้อนสมรรถภาพการสังเคราะห์โปรตีนของตับ

การอ่านผล ALP ต้องมีบริบท เช่น:

  • ALP ↑ + GGT ↑ → ท่อน้ำดีอุดตัน
  • ALP ↑ + ALT/AST ปกติ → โรคกระดูก
  • ALP ↑ + Bilirubin ↑ → สงสัย obstruction (ต้องอัลตราซาวด์)

ถ้าผล ALP ผิดปกติแต่ไม่มีอาการ ควรทำ LFT เต็มชุดเพื่อให้ได้มุมมองครบถ้วน

ความถี่ในการตรวจ ALP สำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง

กลุ่มผู้ป่วย

ความถี่ที่แนะนำ

ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง (HBV/HCV, fatty liver)

ทุก 6 เดือน – 1 ปี

ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงโรคกระดูก

ปีละ 1 ครั้ง ร่วมกับ DEXA scan
ผู้ที่รักษามะเร็งตับ/กระดูก

ตามรอบเคมีบำบัด หรือทุก 3 เดือน

หญิงตั้งครรภ์

ทุกไตรมาส (ค่า ALP จะเปลี่ยนไปตามระดับรก)

กลุ่มตรวจสุขภาพประจำปี

รวมใน LFT หรือแพ็กเกจสุขภาพเฉพาะทางตับ

หากพบว่า ALP ผิดปกติ ควร ติดตามค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแนวโน้ม ไม่ควรดูค่าเพียงครั้งเดียวแล้วสรุป

ควรตรวจ ALP ในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ, โรคกระดูก หรือโรคมะเร็ง เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และติดตามผลหลังรักษา ค่า ALP มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ร่วมกับค่าทางชีวเคมีอื่น และควรถูกบรรจุในแผนสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

วิธีดูแลสุขภาพเมื่อค่า ALP ผิดปกติ

ไม่ว่าจะเป็นค่า ALP สูงหรือต่ำ สิ่งสำคัญคือการ ดูแลร่างกายแบบเฉพาะทาง ตามแหล่งที่ ALP ผิดปกติ โดยเน้นการเสริมสุขภาพของ “ตับ” และ “กระดูก” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหลักของเอนไซม์นี้ พร้อมด้วยการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม

การดูแลเชิงป้องกันยังเป็นแนวทางสำคัญสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือผู้ที่ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ

แนวทางการดูแลตับ (อาหาร, เลี่ยงแอลกอฮอล์, การออกกำลังกาย)

1. อาหารบำรุงตับ

  • รับประทานผักผลไม้ที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ สูง เช่น บล็อกโคลี, แครอท, เบอร์รี่
  • เพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงจาก ไข่ขาว, เต้าหู้, ปลา เพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อตับ
  • ลดอาหารแปรรูป, ไขมันทรานส์ และของทอด ที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง

2. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารพิษตับ

  • หลีกเลี่ยง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หากค่า ALP สูงโดยมีความเสี่ยงตับ
  • หลีกเลี่ยงยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์

3. การออกกำลังกายที่เหมาะสม

  • เน้นการ เดินเร็ว, โยคะ, หรือว่ายน้ำ วันละ 30–45 นาที
  • ลดการสะสมไขมันที่ตับและช่วยกระตุ้นการขับสารพิษออกทางเหงื่อ

การดูแลตับที่ดีจะส่งผลต่อระดับ ALP โดยตรง โดยเฉพาะในผู้ป่วย fatty liver, hepatitis หรือ biliary disorder

แนวทางการดูแลกระดูก (เสริมวิตามิน D, ออกกำลังกายต้านแรง)

1. เพิ่มแคลเซียมและวิตามิน D

  • เลือกแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย, เต้าหู้, ผักใบเขียว
  • รับแสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้าอย่างน้อยวันละ 10–15 นาที เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามิน D
  • หากจำเป็นอาจเสริมวิตามิน D ตามคำแนะนำของแพทย์

2. ออกกำลังกายต้านแรง (Resistance Exercise)

  • แนะนำ: ยกน้ำหนักเบา, ฝึกพิลาทิส, เดินขึ้นบันได, squat
  • การสร้างแรงกระแทกในระดับปลอดภัยช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและ ALP ในกระดูก

3. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำลายกระดูก

  • งดการสูบบุหรี่, ดื่มกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว และอาหารเค็มจัด

การดูแลกระดูกที่ดีจะช่วยควบคุม ALP จาก osteoblast activity ให้อยู่ในสมดุล ลดภาวะกระดูกบางหรือ ALP ผิดปกติในเด็กและผู้สูงวัย

การปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงค่า ALP สูงหรือต่ำ

พฤติกรรม

ส่งผลต่อ ALP อย่างไร

นอนดึก–นอนไม่พอ

รบกวนการซ่อมแซมตับ ทำให้ ALP ตับสูง

รับประทานแอลกอฮอล์

ทำลายเซลล์ตับ → ALP สูงเรื้อรัง
ขาดสารอาหารจำพวกสังกะสี

ลดการสร้าง ALP ในลำไส้และกระดูก

นั่งนาน ไม่ออกกำลังกาย

ทำให้กระดูกเสื่อม มวลกระดูกลด ALP ผันผวน

รับประทานอาหารเสริมไม่เหมาะสม

เช่น วิตามิน A เกินขนาด ส่งผลต่อตับและ ALP

จุดเริ่มต้นของการดูแล ALP ไม่ได้อยู่ที่ “ยา” แต่เริ่มจาก “วิถีชีวิต” ที่สมดุลในทุกมิติ

การดูแลสุขภาพเมื่อค่า ALP ผิดปกติควรพุ่งเป้าไปยัง “ต้นทางของปัญหา” คือ ตับ และ กระดูก ด้วยวิธีธรรมชาติ การเสริมโภชนาการที่เหมาะสม + ออกกำลังกาย + เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง จะช่วยควบคุมระดับ ALP ให้สมดุลในระยะยาว

การวางแผนสุขภาพด้วยค่า ALP

การวางแผนสุขภาพที่ดีในยุคปัจจุบันไม่ควรอิงเพียงแค่ “อาการเจ็บป่วย” เท่านั้น แต่ควรใช้ ข้อมูลชีวเคมีจากเลือด มาเป็นตัวชี้นำล่วงหน้า หนึ่งในค่าที่สะท้อนสุขภาพได้ทั้งในเชิงโครงสร้าง (กระดูก) และระบบภายใน (ตับ) คือ ค่า ALP

เมื่อค่า ALP ถูกนำมาใช้ควบคู่กับการตรวจสุขภาพประจำปี, การติดตามโรคเรื้อรัง, หรือการวางเป้าหมายสุขภาพเฉพาะกลุ่ม จะช่วยให้สามารถ “ป้องกันได้ก่อนรักษา” อย่างแท้จริง

ALP กับการวางแผนสุขภาพระยะยาว

ค่า ALP ทำหน้าที่เสมือน “early signal” หรือ “alarm” ที่ชี้ให้เห็นความผิดปกติลึก ๆ ที่อาจยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะ:

  • ตับที่มีการสะสมไขมัน (fatty liver) ในระยะเริ่มต้น
  • การสูญเสียมวลกระดูกอย่างเงียบ ๆ ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • การเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการที่มีผลต่อการสร้างเอนไซม์

ด้วยเหตุนี้ ค่า ALP จึงสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดในการ:

  • ปรับพฤติกรรมสุขภาพแบบรายบุคคล เช่น โภชนาการเฉพาะโรค
  • วางเป้าหมายสุขภาพรายปี เช่น ลด ALP ลงสู่ค่ากลางใน 6 เดือน
  • ประเมินแนวโน้มโรคก่อนเกิดจริง เช่น ถ้า ALP สูงร่วมกับ ALT ในกลุ่มเสี่ยงตับ → ควรตรวจภาพตับก่อนมีอาการ

ค่า ALP ไม่ได้ชี้ว่า “คุณป่วยแล้ว” แต่ช่วยเตือนว่า “คุณควรเริ่มดูแลก่อนจะป่วย”

การใช้ข้อมูล ALP ร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำปี

ในแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ดี ควรมี ALP รวมอยู่ใน Liver Panel และ Bone Profile เสมอ เพื่อให้สามารถ:

  • เปรียบเทียบค่า ALP แบบปีต่อปี
    → ดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงแม้ค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • วิเคราะห์ร่วมกับพฤติกรรมชีวิตที่ผ่านมา
    เช่น น้ำหนักขึ้น, นอนน้อย, ไม่ออกกำลังกาย → กระทบ ALP ได้
  • ใช้ ALP ประเมินผลลัพธ์ของพฤติกรรมสุขภาพ
    เช่น หลังลดแอลกอฮอล์หรือเสริมวิตามิน D ค่า ALP กลับสู่สมดุล

ผู้ที่เริ่มต้นดูแลสุขภาพ ควร “วางเป้า ALP” ให้เข้าสู่ระดับค่ากลาง (เช่น 70–90 U/L) มากกว่าการเน้นแค่ไม่เกินช่วงอ้างอิง

ALP กับการติดตามผลหลังการรักษาโรคตับ/กระดูก

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาแล้ว ไม่ควรละเลยการติดตามค่า ALP เนื่องจาก:

  • หลังการผ่าตัดถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี
    ค่า ALP ควรลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์ หากยังสูงอาจมีภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ป่วยมะเร็งตับหรือกระดูก
    ALP ใช้ติดตามการตอบสนองต่อเคมีบำบัด หาก ALP ลดแสดงถึงการตอบสนองดี
  • ผู้ที่รักษากระดูกหัก, โรคกระดูกพรุน, หรือ Paget
    ALP ควรอยู่ในระดับที่คงที่หรือมีแนวโน้มลดเมื่อการสร้างกระดูกสมดุลขึ้น

ค่าทางชีวเคมี เช่น ALP, GGT, Vitamin D, และ DEXA scan ควรถูกวางไว้ในแผน follow-up เพื่อให้การรักษาครอบคลุมทั้ง “อาการ” และ “ชีวภาพ”

ALP คือดัชนีที่ใช้วางกลยุทธ์สุขภาพได้ทั้งในเชิงป้องกันและเชิงติดตาม ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันโรคตับ-กระดูก, ติดตามผลรักษา, หรือวางแผนสุขภาพในภาพรวม ค่านี้ไม่ควรถูกละเลยในทุกระดับของการดูแลสุขภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ALP (FAQs)

ค่า ALP สูงแปลว่าเป็นมะเร็งหรือไม่?

คำตอบ: ไม่เสมอไป
แม้ว่าค่า ALP สูงอาจพบได้ในผู้ป่วยมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ, มะเร็งกระดูก, หรือ มะเร็งที่แพร่กระจายสู่ตับหรือกระดูก แต่ ไม่สามารถใช้ค่า ALP เพียงตัวเดียวเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งได้

ในกรณีที่ ALP สูงผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาค่าร่วมอื่น เช่น GGT, ALT, AST, และทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น:

  • การตรวจอัลตราซาวด์ตับหรือ CT scan
  • ตรวจ Tumor Marker เฉพาะ (AFP, CA 19-9)
  • การเจาะชิ้นเนื้อถ้าสงสัยร้ายแรง

สรุปคือ ALP สูงอาจเป็นสัญญาณ แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเรื่องมะเร็ง

ทำไมเด็กถึงมีค่า ALP สูงกว่าผู้ใหญ่?

คำตอบ: เพราะ ALP ในเด็กมาจากการเจริญเติบโตของ “กระดูก”
เด็กและวัยรุ่นจะมีอัตราการสร้างกระดูก (Bone Turnover) สูงมาก ทำให้ ALP ที่สร้างจาก osteoblast สูงกว่าปกติได้หลายเท่าตัว โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ

ตัวอย่างค่า ALP ปกติ:

  • เด็กอายุ 1–9 ปี: 110–400 U/L
  • วัยรุ่นช่วงเจริญเติบโต: อาจสูงถึง 500–1000 U/L
  • ผู้ใหญ่: 40–130 U/L โดยเฉลี่ย

การตีความค่า ALP ต้องพิจารณา “อายุและช่วงพัฒนาการ” เสมอ ไม่สามารถเทียบข้ามวัยได้

สามารถลดค่า ALP ได้เองโดยไม่ใช้ยาไหม?

คำตอบ: ได้ ในกรณีที่ ALP สูงจากพฤติกรรมหรือภาวะไม่รุนแรง
โดยเฉพาะในกรณีที่ค่า ALP สูงจาก:

  • การสะสมไขมันในตับ (fatty liver)
  • ความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress)
  • การขาดวิตามิน D หรือสังกะสีเล็กน้อย

แนวทางปรับพฤติกรรม:

  • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์
  • เพิ่มการออกกำลังกายแบบต้านแรง
  • รับประทานอาหารที่ช่วยตับ เช่น บล็อกโคลี, อะโวคาโด
  • เสริมวิตามินและแร่ธาตุตามคำแนะนำแพทย์

แต่หากค่า ALP สูงจาก โรคทางการแพทย์ เช่น ตับอักเสบ หรือมะเร็ง → การใช้ยาและการรักษาตามสาเหตุเป็นสิ่งจำเป็น

คำแนะนำคือ ตรวจซ้ำหลังปรับพฤติกรรม 1–3 เดือน หากค่าไม่ลด ควรพบแพทย์

ค่า ALP ผิดปกติ จำเป็นต้องตรวจอะไรต่อ?

คำตอบ: ใช่ โดยต้องดู “ทิศทางของ ALP” และพิจารณาค่าร่วมอื่น
ลำดับการตรวจเพิ่มเติมทั่วไปมีดังนี้:

  1. ค่า ALP สูง
    → ตรวจ GGT (แยกว่ามาจากตับหรือกระดูก)
    → ตรวจ ALT, AST, Bilirubin (ดูการทำงานของตับ)
    → อัลตราซาวด์ตับ, CT scan หากมีอาการ
  2. ค่า ALP ต่ำ
    → ตรวจ ระดับสังกะสี, วิตามิน D, B6, B12
    → พิจารณาภาวะทางพันธุกรรมเช่น hypophosphatasia หากต่ำเรื้อรัง
  3. ค่า ALP ผันผวนบ่อย
    → ตรวจค่าฮอร์โมนและดูการตอบสนองต่อพฤติกรรม เช่น อาหาร, การออกกำลังกาย

ค่า ALP เป็นเพียงจุดเริ่มต้น → ต้องมีการตรวจซ้ำหรือขยายผลเสมอหากผิดปกติ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ALP สะท้อนความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มประชาชน การตอบแบบตรงไปตรงมาโดยมีข้อมูลสนับสนุนทางคลินิกจะช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

สรุป: เข้าใจ ALP อย่างรอบด้านเพื่อสุขภาพระยะยาว

Alkaline Phosphatase (ALP) ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขในผลตรวจเลือด แต่คือ “เครื่องชี้วัดแบบครอบจักรวาล” ที่เชื่อมโยงสุขภาพ ตับ, กระดูก, และ ระบบเผาผลาญ เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง การทำความเข้าใจ ALP อย่างรอบด้านจึงเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศที่บอกว่า “ร่างกายของเรากำลังส่งสัญญาณอะไรอยู่”

Key Takeaways ที่ควรจดจำ

  • ALP สะท้อนสุขภาพของทั้งตับและกระดูก
    โดยค่า ALP ที่ผิดปกติอาจบ่งบอกถึงโรค เช่น ตับอักเสบ, ท่อน้ำดีอุดตัน, กระดูกพรุน, หรือมะเร็ง
  • ค่า ALP ต้องตีความตามช่วงวัย, เพศ, พฤติกรรมสุขภาพ และบริบทของโรคประจำตัว
    เช่น เด็กมี ALP สูงโดยธรรมชาติ, ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนต้องติดตาม ALP ร่วมกับมวลกระดูก
  • ควรตรวจ ALP อย่างต่อเนื่อง
    อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และตรวจร่วมกับค่าอื่น ๆ เช่น AST, ALT, GGT เพื่อประเมินสาเหตุอย่างแม่นยำ

เชื่อมโยงกลับสู่แนวทางดูแลสุขภาพของ Amprohealth

ที่ Amprohealth เราเชื่อว่า “ข้อมูลสุขภาพ” ควรถูกแปลเป็น “แนวทางดูแลสุขภาพเชิงปฏิบัติ” ดังนั้นเมื่อคุณมีผลตรวจ ALP แล้ว:

  1. หากค่า ALP สูง → ควรเริ่มดูแลตับโดยลดไขมันทรานส์, งดแอลกอฮอล์, เพิ่มการออกกำลังกาย
  2. หาก ALP ต่ำ → ควรเสริมสังกะสี, วิตามิน D และประเมินภาวะโภชนาการ
  3. กรณีมีโรคเรื้อรัง → ใช้ค่า ALP เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อการรักษา (ตับ, กระดูก, หรือเคมีบำบัด)

อย่าปล่อยให้ “ค่า ALP” เป็นแค่ข้อมูลที่ถูกมองข้ามในผลเลือด
เริ่มใช้มันเป็น “พิมพ์เขียวสุขภาพระยะยาว” วันนี้ กับคำแนะนำจากแพทย์และทีม Amprohealth ที่พร้อมสนับสนุนคุณทุกขั้นตอน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Kim EE, Wyckoff HW (March 1991). “Reaction mechanism of alkaline phosphatase based on crystal structures. Two-metal ion catalysis”. J. Mol. Biol. 218 (2): 449–64.

Rao, N. N.; Torriani, A. (1990-07-01). “Molecular aspects of phosphate transport in Escherichia coli”. Molecular Microbiology.

Horiuchi T, Horiuchi S, Mizuno D (May 1959). “A possible negative feedback phenomenon controlling formation of alkaline phosphomonoesterase in Escherichia coli”. Nature. 183 (4674): 1529–30. 

Willsky; Malamy; Bennett (1973). “Inorganic Phosphate Transport in Escherichia coli: Involvement of Two Genes Which Play a Role in Alkaline Phosphatase Regulation”. Journal of Bacteriology. 113: 529–539.

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Colorectal Cancer )

0
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สาเหตุ อาการ วิธีรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถเกิดได้กับลำไส้ส่วนไหนก็ได้และเกิดได้กับเซลล์ทุกชนิด แต่มักเกิดจากเซลล์เยื่อเมือกบุภายในลำไส้
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สาเหตุ อาการ วิธีรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถเกิดได้กับลำไส้ส่วนไหนก็ได้และเกิดได้กับเซลล์ทุกชนิด แต่มักเกิดจากเซลล์เยื่อเมือกบุภายในลำไส้

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Colorectal Cancer ) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งส่วนใดในลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่พบที่เนื้อเยื่อของลำไส้ใหญ่และทวารหนักชนิดที่พบบ่อยเกิดจากการเจริญเติมโตและแพร่กระจายไปยังที่ลำไส้ใหญ่จนเกิดความผิดปกติของเยื่อบุผิวของลำไส้จนกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ เรียกว่า โปลิป โดยเกิดขึ้นตั้งแต่ลำไส้เล็กไปจนถึงส่วนปลายที่ติดกับทวารหนัก และเกิดได้กับเซลล์ทุกชนิด ได้แก่ เซลล์ต่อมน้ำเหลือง เส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเซลล์เยื่อเมือกบุภายในลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบได้มากถึงร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์ ลำไส้ประกอบด้วย   
1. ลำไส้ใหญ่ ( Colorectal )
ของคนเราจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือส่วนที่อยู่ในช่องท้อง เรียกว่า โคลอน และส่วนที่อยู่ในอุ้งเชิงกรานเรียกว่า ลำไส้ตรง ซึ่งลำไส้ทั้งสองส่วนจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป
2. ลำไส้ที่อยู่ในช่องท้อง ( CA Colon )
จะทำหน้าที่ในการดูดซึม วิตามิน เกลือแร่ น้ำและสารบางชนิดกลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อนำไปใช้ในการบำรุงและฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อไป และเป็นทางผ่านของกากอาหารอีกด้วย
3. ลำไส้ตรง ( Rectal )
จะมีหน้าที่ในการดูดซึมน้ำ เกลือแร่ ยาและวิตามินเข้าสู่ร่างกาย พร้อมทั้งทำหน้าที่เก็บกักกากอาหารเอาไว้ก่อนจะขับถ่ายออกมาในรูปของอุจจาระ ซึ่งลำไส้ตรงถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก เพราะหากไม่มีลำไส้ส่วนนี้ก็จะทำให้กลั้นอุจจาระไม่อยู่นั่นเอง อาจเกิดมะเร็งลำไส้ตรงได้

อาการและสัญญาณที่บ่งชี้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • คลื่นไส้อาเจียน
  • อาการปวดท้อง
  • อาหารไม่ย่อย
  • การเปลี่ยนแปลงของลำไส้ใหญ่ เช่น ท้องร่วง ท้องผูก
  • เลือดออกทางทวารหนัก หรืออุจจาระเป็นเลือด
  • ความรู้สึกไม่สบายท้องอย่างต่อเนื่อง เช่น เป็นตะคริว
  • ความเหนื่อยล้า
  • น้ำหนักลดผิดปกติ โดยไม่สามารถอธิบายได้
  • โรคโลหิตจาง หมายถึงการลดจำนวนเม็ดเลือดแดง อาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก

ใครควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทุกคนที่มีอายุ 45 ถึง 75 ปี ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็ง รวมทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และทุกคนที่มีประวัติส่วนตัวประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรคลำไส้อักเสบมะเร็งรังไข่เต้านม หรือเยื่อบุโพรงมดลูก การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำหรือการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและมีไฟเบอร์น้อยทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักเพิ่มขึ้น ดังนั้น การทดสอบในคนทั่วไปมักไม่แสดงอาการที่บ่งบอกว่าเป็นมะเร็งที่เห็นได้ชัด จึงต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียด โดยวิธีดังต่อไปนี้ คือ
1) การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Stool Occult Blood) คือ การตรวจเพื่อค้นหาเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ซ่อนอยู่หรือเพื่อหาเลือดจำนวนเล็กน้อยที่ปนเปื้อนในอุจจาระ
2) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography) คือ การตรวจเพื่อหาติ่งเนื้อด้วยระบบคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงสร้างภาพ 3 มิติ

สาเหตุการเกิดมะเร็งลำไส้

มะเร็งลำไส้ใหญ่ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด โดยทางการแพทย์เชื่อว่าโรคนี้น่าจะเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่   

  • มีติ่งเนื้อเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ ซึ่งเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานก็อาจกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
  • เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีหน้าที่ในการควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ โดยอาจเป็นชนิดถ่ายทอดได้หรือชนิดไม่ถ่ายทอดก็ได้
  • การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะไขมันเหล่านี้อาจไปเกาะอยู่ในผนังลำไส้และก่อให้เกิดเป็นมะเร็งในที่สุด
  • การทานอาหารที่ไม่มีเส้นใยอาหารหรือมีต่ำมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เกิดปัญหาในการขับถ่ายและอาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
  • ผู้ที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โดยจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป
  • คนที่เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อนและรักษาจนหายแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีก โดยอาจเกิดกับลำไส้ส่วนที่ยังไม่เคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่ติด 10 อันดับมะเร็งที่พบได้บ่อยทั้งในผู้หญิงและผู้ชายไทย และมักจะพบได้มากที่สุดในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีอีกด้วย ส่วนในเด็กโตก็มีโอกาสเป็นได้บ้างแต่พบได้ไม่บ่อยมากนัก และชนิดของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มักจะพบได้บ่อยที่สุด ก็คือชนิดอะดีโนซิคาร์โนมานั่นเอง
  • การดื่มสุราหรือเบียร์ การสูบบุหรี่ ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ โดยมีข้อบ่งชี้ของมะเร็งในระยะต่างๆ ดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มะเร็งยังไม่ลุกลาม หรือลุกลามอยู่แค่ในผนังลำไส้ใหญ่เท่านั้น
ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับก้อนมะเร็ง
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป ผ่านทางกระแสเลือด ซึ่งอวัยวะที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่ ปอด ตับ กระดูกเป็นต้น

วิธีการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่จะพิจารณาจากส่วนของลำไส้ที่เป็นมะเร็ง

  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ในส่วนช่องท้อง จะรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น นอกจากว่ามะเร็งได้เข้าสู่ระยะที่มีการลุกลามและแพร่กระจายออกไป แพทย์จะใช้วิธีการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดอย่างต่อเนื่อง
  • มะเร็งลำไส้ตรง จะรักษาด้วยการผ่าตัดเช่นกัน หากเป็นระยะแรก แต่ถ้าอยู่ในระยะที่มีการลุกลามและแพร่กระจายออกไป แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด ร่วมกับการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด เพื่อประคับประคองอาการของผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเลือกวิธีการรักษาของแพทย์นั้น จะคำนึงถึงระยะของโรคมะเร็งเป็นหลัก ตามด้วยตำแหน่งที่เกิดโรค อายุและสุขภาพของผู้ป่วย เพื่อให้ได้วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผู้ป่วยบางคนนอกจากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วก็อาจต้องผ่าตัดทำทวารเทียมให้อุจจาระออกทางหน้าท้อง เพราะลำไส้ตรงไม่สามารถใช้งานได้ตามปกตินั่นเอง

สำหรับวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มแรก แพทย์แนะนำให้คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจคัดกรอง มะเร็งลำไส้ใหญ่โดยแพทย์อาจตรวจด้วยการเอกซเรย์ดูภาพลำไส้ใหญ่ ตรวจอุจจาระ หรือการส่องกล้อง ซึ่งแม้ว่าจะตรวจไม่พบมะเร็งลำไส้ใหญ่แต่ก็ควรตรวจซ้ำบ่อยๆ เช่นกัน ส่วนวิธีการป้องกัน ก็สามารถทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ในระดับหนึ่ง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

National Cancer Institute. Archived from the original on June 25, 2014. Retrieved June 10, 2014.

General Information About Colon Cancer”. NCI. May 12, 2014. Archived from the original on July 4, 2014. Retrieved June 29, 2014.

Logullo Waitzberg, AG, Kiss, DR, Waitzberg, DL, Habr-Gama, A, Gama-Rodrigues, J (Jan 2005). “Diet and colorectal cancer: current evidence for etiology and prevention”. Nutricion Hospitalaria.

มะเร็งอัณฑะ ( Testicular Cancer )

0
โรคมะเร็งอัณฑะ (Testicular Cancer)
โรคมะเร็งอัณฑะ เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของลูกอัณฑะซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายในถุงอัณฑะ บริเวณด้านหลังอวัยวะเพศชายหรือองคชาต
โรคมะเร็งอัณฑะ (Testicular Cancer)
โรคมะเร็งอัณฑะ เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของลูกอัณฑะซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายในถุงอัณฑะ บริเวณด้านหลังอวัยวะเพศชายหรือองคชาต

มะเร็งอัณฑะ

มะเร็งอัณฑะ ( Testicular Cancer ) เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของลูกอัณฑะซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายในถุงอัณฑะ บริเวณด้านหลังอวัยวะเพศชายหรือองคชาต เกิดขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น เพราะอัณฑะมีเฉพาะในผู้ชาย มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ในถุงอัณฑะ และมีสองข้างซ้ายขวา โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างอสุจิและ ฮอร์โมนเพศชายออกมา ซึ่งปกติแล้วการเกิดโรคมะเร็งอัณฑะสามารถเกิดได้กับเซลล์ทุกชนิดในอัณฑะ ได้แก่ เจิร์มเซลล์ เส้นเลือด เซลล์ต่อมน้ำเหลืองและเซลล์ของเนื้อเยื่ออัณฑะ แต่ที่มักจะพบได้มากและบ่อยที่สุด ก็คือ มะเร็งอัณฑะ ที่เกิดจากเจิร์มเซลล์สาเหตุของโรคมะเร็งอัณฑะอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยแพทย์วินิจฉัยว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

สาเหตุของมะเร็งอัณฑะ

  • ผู้ชายที่ลูกอัณฑะยังคงอยู่ในช่องท้องน้อยไม่เคลื่อนมาอยู่ในถุงอัณฑะอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งปกติแล้วเด็กแรกเกิดลูกอัณฑะจะอยู่ในช่องท้องน้อยก่อนแล้วจึงเคลื่อนมาอยู่ในถุงอัณฑะเมื่อโตขึ้น ดังนั้นหากไม่เป็นไปตามนี้ ก็แสดงได้ว่าอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งได้สูงถึง 10-40 เท่าเลยทีเดียว
  • มีความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยเกิดจากพันธุกรรมชนิดที่สามารถถ่ายทอดได้บางชนิด
  • มีความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้บางชนิด โดยจะเป็นพันธุกรรมที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ปกติ
  • เชื้อชาติ โดยพบว่าคนชาติตะวันตก จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งอัณฑะได้มากกว่าคนชาติอื่นๆ
  • เคยมีการอักเสบหรือบาดเจ็บที่อัณฑะ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม
  • มีภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานโรคบกพร่อง โดยเฉพาะการติดเชื้อ HIV
  • ผู้ชายที่เป็นหมันตั้งแต่กำเนิด โดยจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งอัณฑะมากกว่าคนทั่วไป
  • อาจมีความสัมพันธ์กับการที่มารดาทานฮอร์โมนเพศในระหว่างตั้งครรภ์
  • ขาดสารอาหารบางชนิดที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกาย
  • อายุ โดยปกติแล้วโรคมะเร็งอัณฑะจะพบได้สูงในวัยรุ่นชายจนถึงวัยหนุ่มที่มีช่วงอายุระหว่าง 15-34 ปี โดยอาจเกิดขึ้นกับอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งหรือเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้

โรคมะเร็งอัณฑะมีหลายชนิด แต่ที่พบได้มากที่สุด ได้แก่ มะเร็งอัณฑะ ที่เกิดจากเจิร์มเซลล์ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นสองชนิดหลักๆ คือ ชนิดไม่ใช่เซมิโนมา ( Non-Seminoma ) และชนิดเซมิโนมา ( Seminoma ) ซึ่งหากเทียบระดับความรุนแรงแล้ว โรคมะเร็งอัณฑะชนิดไม่ใช่เซมิโนมาจะมีความรุนแรงสูงกว่าชนิดเซมิโนมามาก

อาการมะเร็งอัณฑะ

อาการมะเร็งอัณฑะยังไม่มีอาการที่ชี้เฉพาะของโรค แต่จะมีอาการผู้ป่วยมะเร็งอัณฑะคล้ายกับการอักเสบทั่วไป โดยอาการที่มักจะพบได้บ่อยๆ และสามารถสังเกตอาการมะเร็งอัณฑะได้ว่าอาจจะเป็นโรคมะเร็งอัณฑะ มีดังนี้

  • อัณฑะบวมกว่าปกติและอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย หรือในบางคนอาจเจ็บอัณฑะอย่างเดียว
  • คลำเจอก้อนเนื้อผิดปกติที่อัณฑะ ซึ่งก้อนเนื้อที่คลำพบอาจมีอาการเจ็บหรือไม่ก็ได้

โดยการวินิจฉัยโรคมะเร็งอัณฑะแพทย์จะสอบถามจากประวัติอาการของผู้ป่วย ทำการตรวจร่างกายและคลำลูกอัณฑะ รวมถึงการตรวจอัลตร้าซาวด์ และเพื่อให้ได้ผลการตรวจที่แน่ชัด แพทย์จะทำการผ่าตัดอัณฑะออกมาตรวจทางพยาธิวิทยา โดยจะทำให้ทราบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งอัณฑะหรือไม่และสามารถตรวจระยะของโรคมะเร็งได้อีกด้วย

ระยะของมะเร็งอัณฑะ

โรคมะเร็งอัณฑะเป็นโรคมะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงต่ำ ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ 3 ระยะ และมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้มากกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ

ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มะเร็งยังคงลุกลามอยู่เฉพาะในอัณฑะเท่านั้น หรืออาจลุกลามเข้าสู่ถุงอัณฑะ

ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง โดยอาจคลำเจอต่อมน้ำเหลืองโตได้

ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งมีการแพร่เข้าสู่กระแสเลือดและแพร่ไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป โดยส่วนใหญ่มักจะพบที่ปอดและสมองมากที่สุด ซึ่งระยะนี้จะตรวจพบค่าสารทูเมอร์มาร์กเกอร์ในเลือดสูงมาก

การรักษามะเร็งอัณฑะ

การรักษาโรคมะเร็งอัณฑะแพทย์จะนิยมใช้วิธีการผ่าตัด ร่วมกับการทำเคมีบำบัดและรังสีรักษาซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ด้วยว่าจะใช้วิธีไหน ซึ่งหากผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาได้ดีก็จะทำให้รักษาหายง่ายขึ้น

แม้ว่าจะเข้าสู่ระยะการแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไปแล้วก็ตาม แต่หากผู้ป่วยมีอาการดื้อยา ก็จะทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควรได้สำหรับวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งอัณฑะให้พบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกยังไม่มีวิธีที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแพทย์แนะนำให้หมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเอง

โดยหากพบว่าอัณฑะมีอาการเจ็บ บวมหรือคลำเจอก้อนผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วนส่วนวิธีการป้องกันก็ยังไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นสาเหตุ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ หากพบว่าตั้งครรภ์ลูกชายควรระมัดระวังการบริโภคอาหารและยาในขณะตั้งครรภ์ให้ดี

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Some facts about testicular cancer, American Cancer Society.”Marijuana Use Linked To Increased Risk Of Testicular Cancer”. Cancer. 115 (6) : 1215–23. PMC 2759698 Freely accessible.

Would it be better to use MRI scans instead of CT scans to monitor men with early stage testicular cancer? And is it safe to use less CT scans than we do now?”. Medical Research Council. Retrieved 4 December 2011.

George J. (2005). “82. Testicular Cancer”. In Kasper, Dennis L.; Jameson, J. Larry. Harrison’s Principles of Internal Medicine (16th ed.). McGraw-Hill. pp. 550–553. ISBN 0-07-139140-1.

มะเร็งทวารหนัก ( Anal Cancer ) สาเหตุ อาการ และการรักษา

0
โรคมะเร็งทวารหนัก (Anal Cancer) มีสาเหตุและอาการอย่างไร
ทวารหนัก เป็น ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่มีความยาวประมาณ15 เซนติเมตรนับตั้งแต่กล้ามเนื้อหูรูดของรูทวารขึ้นไป เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ตรง

มะเร็งทวารหนัก ( Anal Cancer )

มะเร็งทวารหนัก ( Anal Cancer ) คือ โรคมะเร็งที่เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นบริเวณทวารหนัก มีอาการถ่ายเป็นเลือด ปวดและคันบริเวณทวารหนัก เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งโรคมะเร็งทวารหนักก็อาจเกิดขึ้นได้กับเซลล์ทุกชนิดของทวารหนัก ได้แก่ เซลล์บุภายในทวารหนัก โดยอาจเป็นเซลล์เยื่อเมือกหรือเซลล์เบื่อบุผิวภายนอกก็ได้ กล้ามเนื้อ เส้นเลือดและเซลล์ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น แต่โรคมะเร็งทวารหนักที่พบได้บ่อย มักจะเกิดจากเซลล์เยื่อเมือกบุภายในและเซลล์เยื่อบุผิวภายนอกมากที่สุด

มะเร็งทวารหนักมีสาเหตุจาก

มะเร็งทวารหนักภาษาชาวบ้านเรียก ” มะเร็งตูด “ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคมะเร็งทวารหนัก แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งได้แก่

  • ทวารหนักเกิดการติดเชื้อเอชพีวี ( HPV ) จึงทำให้เป็นมะเร็งทวารหนักได้ง่าย
  • การมีเพศสัมพันธ์ทาทวารหนักและการสำส่อนทางเพศ รวมถึงคนที่เป็นหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งทวารหนัก และมะเร็งปากทวารหนักมากขึ้นด้วยเช่นกัน
  • ผู้หญิงที่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งช่องคลอด โดยจะมีโอกาสเป็นมะเร็งทวารหนักมากกว่าคนทั่วไป
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานต่ำ ทำให้ป่วยมะเร็งทวารหนักง่ายและเป็นโรคแทรกซ้อนต่างๆตามมา
  • ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ( HIV ) จะมีโอกาสเป็นมะเร็งทวารหนักได้สูงด้วย
  • การสูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในบุหรี่อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง
  • เกิดการอักเสบเรื้อรังของทวารหนัก หรือ มีเนื้องอกที่ทวารหนักคล้ายริดสีดวง
  • มะเร็งทวารหนัก ( Anal Cancer ) เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ปกติ โดยจะเป็นชนิดไม่ถ่ายทอด
  • อายุ โดยจากสถิติพบว่า มะเร็งทวารหนักจะพบได้ในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปมากกว่าวัยอื่นๆ และมีโอกาสเกิดใน ผู้หญิงและผู้ชายเท่าเทียมกันนอกจากนี้มะเร็งทวารหนักก็มีหลายชนิดเช่นกัน แต่ที่พบบ่อยที่สุดจะมี 2 ชนิดคือ ชนิดสความัสและชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา โดยทั้งสองชนิดก็ถูกจัดเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงในระดับปานกลาง

อาการของโรคมะเร็งทวารหนัก

โรคมะเร็งทวารหนักไม่มีอาการที่ชี้เฉพาะ แต่มีอาการเหมือนกับการอักเสบทั่วไป โดยอาการที่แพทย์ชี้ว่ามักจะพบบ่อยๆ ในผู้ป่วยมะเร็งทวารหนัก ได้แก่ 

  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือมีมูกเลือดปนมา
  • มีอาการปวดเบ่งอุจจาระ
  • มีก้อนเนื้อบริเวณทวารหนัก โดยอาจโผล่มาให้เห็นหรือคลำเจอเมื่ออุจจาระ
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตจนคลำเจอได้ โดยอาจพบว่าโตทั้งสองข้างหรือโตข้างเดียว ซึ่งอาการนี้จะพบได้เมื่อมะเร็งลุกลามไปมากแล้วการวินิจฉัยและระยะของโรคการวินิจฉัยโรคมะเร็งทวารหนักแพทย์จะสอบถามจาก ประวัติอาการของผู้ป่วย และทำการตรวจร่างกาย ตรวจทวารหนัก รวมถึงตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อทราบผลการตรวจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยวิธีนี้ก็จะทำให้ทราบระยะของอาการป่วยด้วย

มะเร็งทวารหนัก คือ การเกิดเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งขึ้นบริเวณทวารหนัก มีอาการถ่ายเป็นเลือด ปวดและคันบริเวณทวารหนัก

โรคมะเร็งทวารหนักมีทั้งหมด 4 ระยะ

มะเร็งทวารหนักระยะที่ 1 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 2 เซนติเมตร

มะเร็งทวารหนักระยะที่ 2 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นจากเดิม เกินจาก 2 เซนติเมตร

มะเร็งทวารหนักระยะที่ 3 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งได้ลุกลามเข้าไปสูงเนื้อเยื่อและอวัยวะข้างเคียง

มะเร็งทวารหนักระยะที่ 4 เป็นระยะที่อันตรายมาก โดยมะเร็งได้มีการลุกลามและแพร่กระจายออกไปสู่อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป โดยเฉพาะปอดและตับ ซึ่งแพร่ผ่านกระแสเลือดหรือต่อมน้ำเหลืองนั่นเอง   

การรักษาโรคมะเร็งทวารหนัก

การรักษา แพทย์มักจะใช้ 3 วิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด โดยได้แก่การผ่าตัด การใช้รังสีรักษาและการทำเคมีบำบัด แต่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอายุและความพร้อมทางด้านสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย นอกจากนี้ก็มีวิธีการรักษาด้วยยารักษาตรงเป้า  แต่ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษา จึงยังไม่นิยมนำมาใช้มากนัก และเนื่องจากมะเร็งทวารหนักเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงในระดับปานกลาง จะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับระยะ สุขภาพและอายุของผู้ป่วยด้วย

สำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งทวารหนักที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันยังไม่พบ ซึ่งแพทย์แนะนำให้สังเกตความผิดปกติของตัวเองจะดีที่สุด และรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน สำหรับการป้องกัน ก็ให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายและการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี แต่ก็ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาที่ยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัดเช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

Halperin, E., Perez, C., and Brady, L. (2008). Perez and Brady: Principles and practice of Radiation Oncology (5th edition). Philadelphia: Wolters Kluwer/ Lippincott Williams & Wilkins.

Haffty, B., and Wilson, L. (2009). Handbook of radiation oncology: basic principles and clinical protocols. Boston: Jones and Bartlett Publishers
DeVita, V., Hellman, S., and Rosenberg, S. (2005). Cancer: principles& practice of oncology (7th edition). New York: Lippincott Williams & Wilkins.

Anal cancer http://en.wikipedia.org/wiki/Anal_cancer [2012, Jan 2].

มะเร็งรังไข่ อาการ สาเหตุ และการรักษา ( Ovarian Cancer )

0
สาเหตุ อาการ วิธีรักษาโรคมะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer)
มะเร็งรังไข่ เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี พบได้ในผู้หญิงหลายช่วงวัยทั้งในวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์
สาเหตุ อาการ วิธีรักษาโรคมะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer)
มะเร็งรังไข่ เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี พบได้ในผู้หญิงหลายช่วงวัยทั้งในวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์

มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่ ( Ovarian Cancer ) อาการจะแสดงออกหลากชนิด มะเร็งรังไข่ จะเกิดที่อวัยวะภายในผู้หญิงเท่านั้น รังไข่ ในเพศหญิงจะอยู่บริเวณอุ้งเชิงกรานหรือช่องท้องน้อย ติดกับส่วนปลายเปิดของปีกมดลูก โดยรังไข่จะทำหน้าที่ในการผลิตเซลล์ไข่ออกมาเพื่อรอการผสมพันธุ์กับตัวอสุจิของผู้ชาย และเกิดการปฏิสนธิจนเป็นทารกในที่สุด รวมถึงมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงอีกด้วย ซึ่งรังไข่นั้นจะมี 2 ข้างซ้ายขวา และมีโอกาสเป็นโรค มะเร็งรังไข่ ได้ทั้งสองข้าง โดยอาจพบมะเร็งรังไข่ข้างเดียวหรือพร้อมกับทีเดียวทั้งสองข้างเลยก็ได้ อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและระยะของโรคอีกด้วย

รังไข่ก็ประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด โดยทุกชนิดสามารถเกิดมะเร็งได้ทั้งหมด เช่น เซลล์สร้างไข่ เซลล์สร้างฮอร์โมน เซลล์เนื้อเยื่อบุผิว ( Epitthlium ) เซลล์ต่อมน้ำเหลือง เส้นเลือดและเจิร์มเซลล์ ( Germ Cell ) เป็นต้น แต่ทั้งนี้ที่มักจะพบได้มากที่สุด ก็คือมะเร็งรังไข่ที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว ยกเว้นในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น มักจะพบมะเร็งรังไข่จากเจิร์มเซลล์ได้มากที่สุด แต่อย่างไรโอกาสที่จะพบมะเร็งรังไข่ในวัยเด็กก็มีน้อยมากเช่นกัน

สาเหตุของมะเร็งรังไข่

สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งรังไข่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดเช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน โดยปัจจัยที่ทางแพทย์ชี้ว่าน่าจะเป็นสาเหตุของมะเร็งรังไข่ มีดังนี้

  1. ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งตัวหรือการตายของเซลล์ปกติทั้งชนิดที่ถ่ายทอดได้และไม่สามารถถ่ายทอดได้
  2. โรคอ้วน เป็นผลให้ฮอร์โมนเกิดการแปรปรวนและส่งผลให้เป็นมะเร็งรังไข่ได้ง่ายเช่นกัน
  3. คนที่มีลูกน้อย มีลูกยากหรือไม่มีเลย และได้รับฮอร์โมนกระตุ้นกรณีที่มีบุตรยาก
  4. คนที่ประจำเดือนมาเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย และประจำเดือนหมดช้ากว่าปกติ
  5. เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งเต้านมมาก่อน จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ได้สูง
  6. การทานฮอร์โมนเพศบางชนิดอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานาน
  7. รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนในช่วงหมดประจำเดือนติดต่อกันเกิน 5 ปี
  8. การสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่อาจไปกระตุ้นให้เกิดเป็นมะเร็งได้
  9. มีอายุมากขึ้น
  10. มีความเครียดสะสม

ชนิดของมะเร็งรังไข่

นอกจากนี้มะเร็งรังไข่ยังพบได้บ่อยทั้งในวัยเด็ก  จนถึงวันสูงอายุเลยทีเดียว แต่มักจะพบในวัยใกล้หมดประจำเดือนมากที่สุด ซึ่งชนิดของมะเร็งรังไข่ก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

  • เจิร์มเซลล์ เป็นกลุ่มที่พบได้มากในวัยเด็กและวัยสาว
  • เซลล์เนื้อเยื่อบุผิว โดยจะมี 2 ชนิดย่อยคือ อีพีทีเลียมคาร์ซิโนมา หรือ อะดีโนคาร์ซิโนมา ( Epithelial Carcinoma, Adenocarcinoma ) มักจะพบในวัยผู้ใหญ่มากที่สุด และมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก

บริเวณที่เกิดมะเร็งรังไข่

1.1 มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ ( Ovarian Epithelial Carcinoma )

มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เยื่อบุผิวรังไข่ เป็น มะเร็งรังไข่ ที่พบมากที่สุด คือร้อยละ 90 ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด สามารถพบได้ในผู้ที่มีอายุมากแล้ว ตั้งแต่ 56- 60 ปีขึ้นไป มีด้วยกันหลายชนิด ชนิดที่พบมากที่สุดคือชนิดซีรัส ซีสตาดีโนคาร์ซิโนมา

มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ เป็นมะเร็งที่มีรุนแรงสูง เพราะมักจะพบได้ที่รังไข่ทั้งสองข้าง ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 75 มักจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการของโรคอยู่ที่ระยะที่ 3 ไปแล้ว จึงทำให้มีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก

1.2 มะเร็งฟองไข่ ( Germ Cell Tumor )

มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ฟองไข่ สามารถพบได้ร้อยละ 5 ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด ชนิดที่พบมากที่สุดมี 2 ชนิด คือ ชนิดดิสเจอร์มิโนมา และอิมเมเชอร์เทอราโทมา มะเร็งรังไข่ในฟองไข่ มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี มีอาการของโรคที่ไม่รุนแรงมากนัก เพราะจะเกิดขึ้นที่รังไข่ข้างเดียว ถ้าหากพบแพทย์เร็วก็มีโอกาสรักษาหายได้มากถึงร้อยละ 60-85

1.3 มะเร็งเนื้อเยื่อรังไข่ ( Sex Cord-Stromal Tumor )

มีจุดเริ่มต้นที่เนื้อเยื่อรังไข่ พบได้ร้อยละ 8 ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด สามารถพบได้ในผู้หญิงอายุ 40-70 ปี มะเร็งรังไข่ บริเวณเนื้อเยื่อรังไข่มักจะสร้างฮอร์โมนเพศขึ้นมาเอง ชนิดที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง คือชนิดกรานูโลซาเซลล์ และชนิดที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ ชนิดเซอร์โตไล-เลย์ดิกเซลล์

อาการของโรคไม่รุนแรงมากนัก เพราะจะเกิดขึ้นที่รังไข่ข้างเดียว และไม่มีการแพร่กระจายไปที่อื่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การรักษาค่อนข้างง่าย แค่ผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าพบแพทย์เร็วก็มีโอกาสรอดชีวิตร้อยละ 70-90 แต่อาจต้องระวังการกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี

1.4 มะเร็งมาจากหลายแหล่ง

เป็นมะเร็งรังไข่ที่มีจุดเริ่มต้นในการเกิดบริเวณเยื่อบุผิวรังไข่ร่วมกับฟองไข่ หรือร่วมกับเนื้อเยื่อรังไข่ ( Mixed Tumors ) จึงทำให้โรคค่อนข้างมีความรุนแรงพอสมควร

1.5 มะเร็งรังไข่ชนิดอื่นๆ ( Unclassified )

เกิดขึ้นที่บริเวณกล้ามเนื้อรังไข่ ( Sercoma ) สามารถพบได้น้อยมาก แต่ถ้าหากว่าพบก็ยากที่จะรักษา จากที่ผ่านมาพบว่าไม่มีผู้ป่วยคนใดที่เป็นมะเร็งชนิดนี้อยู่รอดเกิน 1 ปี

1.6 มะเร็งรังไข่ที่เป็นจากมะเร็งที่กระจายมาจากแหล่งอื่น

ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งเต้านม ที่เรียกรวมกันว่าเนื้องอกครุกเคนเบิร์ก ( Krukenberg Tumor ) มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยน้อยคนที่มีชีวิตอยู่รอดเกิน 2 ปี

อาการของมะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่จะมีอาการเมื่อโรคได้ลุกลามไประดับหนึ่งแล้ว แต่ไม่ใช่อาการเฉพาะ ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับโรคทั่วๆไป โดยต้องลองสังเกตตัวเองดู อย่างไรก็ตามมะเร็งรังไข่ก็ถือเป็นโรคที่ทำการวินิจฉัยได้ยากที่สุด โดยมีอาการที่สามารถสังเกตได้ดังนี้

  • อึดอัดและแน่นท้อง โดยอาจเป็นขึ้นมาเฉยๆ หรือเป็นหลังจากการทานอาการก็ได้
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ ที่มักจะพบบ่อยที่สุดก็คือ มามาก มาบ่อยและมาแบบขาดๆ หายๆ คือมาบ้างไม่มาบ้างนั่นเอง
  • มีอาการปวดถ่ายปัสสาวะบ่อยและอาจติดขัดบ้าง นั่นก็เพราะมะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่อุ้งเชิงกราน หรือก้อนเนื้อมะเร็งมีขนาดโตมากจนเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ
  • มีอาการท้องผูก ขับถ่ายลำบาก โดยเกิดจากการที่มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่อุ้งเชิงกรานหรือก้อนเนื้อมีขนาดโตมากจนไปเบียดทับทวารหนัก
  • คลำเจอก้อนเนื้อผิดปกติในอุ้งเชิงกราน เนื่องจากก้อนมะเร็งมีขนาดโตจนคลำเจอได้
  • มีอาการท้องบวม เพราะมะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่เยื่อบุช่องท้อง ทำให้มีน้ำมะเร็งในช่องท้อง และส่งผลให้ท้องบวมออกมามากขึ้น

สำหรับการวินิจฉัย นอกจากแพทย์จะสอบถามประวัติอาการของผู้ป่วยตามนี้แล้ว ก็จะทำการตรวจร่างกายและตรวจดู สารทูเมอร์มาร์กเกอร์ของ มะเร็งรังไข่รวมถึงอัลตราซาวด์และทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อมาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะทำให้ทราบผลการตรวจที่แน่ชัดมากขึ้น โดยเหตุผลที่จะต้องผ่าตัดนำชิ้นเนื้อมาตรวจเท่านั้น เป็นเพราะหากทำการตรวจชิ้นเนื้อจากภายนอกโดยไม่ผ่าตัด จะเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้ทะลุ และทำให้มะเร็งลุกลามเข้าช่องท้องอย่างรวดเร็วได้นั่นเอง

ระยะของมะเร็งรังไข่

การตรวจหาระยะของโรคมะเร็งรังไข่จะทำเช่นเดียวกับการตรวจหามะเร็งรังไข่ โดยส่วนใหญ่ตรวจเพียงครั้งเดียวก็จะทราบระยะของโรคในทันที ซึ่งโรคมะเร็งรังไข่ก็มีทั้งหมด 4 ระยะดังนี้

มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มะเร็งยังคงลุกลามอยู่เฉพาะในรังไข่เท่านั้น แต่ก็อาจลุกลามเข้าสู่เยื่อบุช่องท้องได้เหมือนกัน โดยระยะนี้จะตรวจพบได้ด้วยวิธีทางเซลล์วิทยาและพยาธิวิทยา

มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามเข้าไปในเนื้อเยื่อ ต่อมน้ำเหลืองในอ้งเชิงกรานและอวัยวะใกล้เคียง

มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามไปสู่เนื้อเยื่อ ต่อมน้ำเหลือง อวัยวะใกล้เคียง และเข้าสู่เยื่อบุช่องท้องจนทำให้มีน้ำมะเร็งในท้อง และมีอาการท้องบวมผิดปกติ

มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มีความรุนแรงที่สุด โดยมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป ผ่านทางการแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งที่พบบ่อยๆ ได้แก่ ปอดและตับ

การรักษาโรคมะเร็งรังไข่

1. การผ่าตัด ( เป็นการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ดีที่สุด )

ผู้ป่วยที่มีอายุน้อย และพบก้อนเนื้อมะเร็งที่รังไข่เพียงข้างเดียว แพทย์ก็จะทำการผ่าตัดรังไข่ข้างที่เกิดปัญหาออกไป ซึ่งก็จะทำให้การรักษาหายเป็นปกติได้

แต่ถ้าหากผู้ป่วยอายุมาก แล้วพบก้อนเนื้อมะเร็งที่รังไข่สองข้าง หรือเชื้อมะเร็งเริ่มมีการกระจายตัวไปที่อื่น แพทย์ก็จะทำการตัดมดลูกและตัดเยื่อไขมันของลำไส้ ( Omentum ) พร้อมกับตัดต่อมน้ำเหลืองเพื่อหาเซลล์มะเร็ง แต่ถ้าหากว่าสามารถมองเห็นก้อนมะเร็งที่กำลังแพร่กระจายด้วยสายตา แพทย์ก็จะผ่าตัดออกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วย

2. รักษาด้วยเคมีบำบัด

การรักษาด้วยเคมีบำบัด ก็เป็นอีก 1 วิธีมาตรฐานในการรักษาโรค มะเร็งรังไข่ ที่ได้ผลดี ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูงและไม่ค่อยพบการกลับมาเป็นซ้ำ โดยใช้สูตรดังต่อไปนี้

  • โรคมะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ รักษาโดย คาร์โบพลาติน ( Carboplatin ) และ แพคลิแทกเซล ( Paclitaxel )
  • โรคมะเร็งฟองไข่ รักษาโดย บลีโอมัยซิน ( Bleomycin ) อีโทโพไซด์ ( Etoposide ) และ ซีสพลาติน ( Cisplatin )
  • แพทย์มักทำการรักษาด้วยเคมีบำบัด ในกรณีดังนี้
  • ไม่สามารถผ่าตัดโรคมะเร็งออกไปได้ทั้งหมด
  • มะเร็งบางชนิดมีการแพร่กระจายไวมาก และอาจพบการดื้อยาเคมีบำบัด จึงอาจจะต้องมีการปรับรูปแบบในการให้ยา เช่น ใส่เข้าไปในช่องท้องหลังผ่าตัด , ให้ทางเส้นเลือด หรือแบบรับประทาน

3. รักษาด้วยรังสีรักษา และฮอร์โมนบำบัด

วิธีการรักษาด้วยรังสีรักษา ( ฉายแสง )

แพทย์มักจะเลือกใช้เป็นการรักษาร่วมกับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่ที่ไวต่อการฉายแสงบริเวณช่องท้อง เช่น มะเร็งรังไข่ ชนิดที่สร้างจากฟองไข่ และมะเร็งรังไข่ที่สร้างจากเนื้อเยื่อรังไข่บางชนิด

วิธีการรักษาฮอร์โมนบำบัด

จากการใช้ยาต้านฮอร์โมนในการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ พบว่ายาทาม็อกซิเฟน เมื่อนำมาใช้รักษามะเร็งรังไข่ชนิดที่มีการแบ่งตัวดี สามารถตอบสนองได้มากถึงร้อยละ 15-20 นอกจากนั้นยังพบว่าการใช้ยาที่ห้ามการหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง ( Gonadotropin Agonist ) ก็ได้ผลกับมะเร็งรังไข่บางชนิด

การป้องกันการเกิดโรคมะเร็งรังไข่

ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค มะเร็งรังไข่ เพราะฉะนั้นเราจึงขอแนะนำการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ดังต่อไปนี้

  • ในกรณีที่มีการเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ควรลองปรึกษาแพทย์ดูถึงการตัดรังไข่ทั้งสองข้างออกให้หมด ถึงแม้ว่าคุณจะหมดประจำเดือนไปแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรค มะเร็งรังไข่ ได้
  • ควรพิจารณาในการตัดรังไข่ทิ้งทั้งสองข้าง ถ้าหากว่าคุณมีความเสี่ยงในการกระจายโรคมะเร็งอื่น ๆ ไปยังรังไข่ได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่ต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดช่องท้องอยู่แล้ว เช่น เป็นมะเร็งรังไข่อีกข้าง มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม เป็นต้น
  • ควรทำอย่างไรก็ได้ให้รังไข่มีการใช้งานน้อย หรือหยุดทำงานมากที่สุด เช่น แต่งงานเร็ว มีบุตรหลายคน ให้นมบุตรต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน รับประทานยาคุมกำเนิด
  • ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด และไม่ปล่อยให้ตัวเองอ้วน

การตรวจติดตามผลภายหลังการรักษาโรคมะเร็งรังไข่

เมื่อมีการให้เคมีบำบัดครบ แพทย์อาจจะผ่าตัดซ้ำอีกครั้งเพื่อตรวจดูเชื้อมะเร็งรังไข่ที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ หรือที่เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อจะได้ผ่าออกให้หมด หรือผ่าให้ได้มากที่สุด และเมื่อการรักษาครบถ้วนแล้ว แพทย์ก็จะนัดตรวจทุก 3-4 เดือนในช่วงเวลา 1 ปีแรก และเปลี่ยนมาเป็นทุก 4-6 เดือน ในช่วงเวลา 2-3 ปี ถ้าเกิน 5 ปีอาจจะเป็นทุก 6-12 เดือน

ในการตรวจร่างกายตามนัดของแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจภายในเพื่อดูว่ามีก้อนมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำใหม่หรือไม่ รวมถึงการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาสารเคมีของ มะเร็งรังไข่ ชนิดที่ผู้ป่วยเคยเป็นเพื่อเปรียบเทียบกับค่าที่เคยตรวจพบ ถ้าหากว่าเท่าเดิมหรือลดลง ก็แปลว่าโอกาสที่หายขาดจะมีสูง นอกจากนั้นแพทย์อาจจะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์ดูในช่องท้อง หรือส่งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ้าหากสงสัยว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือมีการกระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Genetics of Breast and Ovarian Cancer”. National Cancer Institute. 2 October 2014. Archived from the original on 22 October 2014. Retrieved 27 October 2014.

Moll HD, Garrett PD (1987). “Diagonal paramedian approach for removal of ovarian tumors in the mare”. Vet Surg. 16.

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ( Endometrial Cancer ) สาเหตุ อาการ และการรักษา

0
สาเหตุ อาการและวิธีการรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer)
โรคมะเร็งเยื่อบุมดลูก เป็น โรคมะเร็งที่เกิดกับเยื่อบุโพรงมดลูกด้านในสุดของมดลูก พบในผู้หญิงอายุ 40 ปี
สาเหตุ อาการและวิธีการรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer)
โรคมะเร็งเยื่อบุมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่เกิดกับเยื่อบุโพรงมดลูกด้านในสุดของมดลูก พบในผู้หญิงอายุ 40 ปี

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ( Endometrial Cancer ) คือ โรคมะเร็งที่เกิดกับเยื่อบุโพรงมดลูก โดยชนิดที่พบได้มากที่สุดก็คือชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา ซึ่งมีความรุนแรงในระดับปานกลาง ส่วนอาการของมะเร็งชนิดนี้ ยังไม่มีอาการที่บ่งชี้เฉพาะได้ แต่สามารถสังเกตได้จากอาการที่มักจะพบได้บ่อยๆ โดยมีความคล้ายคลึงกับการมีประจำเดือนผิดปกติ และมะเร็งปากมดลูกนั่นเอง 

เยื่อบุโพรงมดลูก หรือเยื่อบุมดลูก ( Endometrium ) คือ เยื่อเมือกบุภายในโพรงของมดลูก ซึ่งในคนปกติเยื่อบุโพรงมดลูกมีความหนาประมาณ 5-6.7 มิลลิเมตร เป็นผนังด้านในสุดของมดลูก ซึ่งในแต่ละรอบประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกจะได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่ให้เจริญเติบโตหนาตัวขึ้น เพื่อช่วยปกป้องให้ทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาอย่างปลอดภัย แต่ถ้าไม่มีการฝังตัวของไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกออก เกิดเป็นประจำเดือน แต่ถ้ามีการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญกลายเป็นรก ซึ่งเป็นทางผ่านของออกซิเจน และอาหารจากเลือดของแม่สู่ทารก โดยเยื่อบุโพรงมดลูกจะเป็นเนื้อเยื่อที่มีการสร้างขึ้นใหม่และสลายไปอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือในทุกเดือนร่างกายจะมีการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นมา หากไม่มีประจำเดือน ก็จะสลายออกมาเป็นประจำเดือน และมีการสร้างใหม่เพื่อทดแทน

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

มะเร็งเติบโตจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ดังนั้นเมื่อฮอร์โมนเหล่านี้มีมากผิดปกติก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชด้วยซึ่ง ได้แก่
1. ฮอร์โมนวัยทอง ฮอร์โมนวัยทองมีหลายชนิดและหลายส่วนประกอบ บางชนิดสามารถกระตุ้นมะเร็งได้มาก
2. สมุนไพร สมุนไพรกบางชนิดมีเอสโตรเจนปริมาณสูง เช่น กวาวเครือ และอีกหลายชนิดมีเอสโตรเจนแฝงอยู่โดยไม่รู้ อาจทำให้เลือดระดูออกผิดปกติหรือเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
3. ความอ้วนในชั้นไขมันของคนเราเป็นที่สะสมของเอสโตรเจน ดังนั้นยิ่งอ้วนมากยิ่งมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากขึ้น
4. ยารักษามะเร็งเต้านม ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัด บางรายแพทย์แนะนำให้รับประทานยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ( ทามอกซิเฟน ) ซึ่งยานี้มีลักษณะคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติได้ จึงสมควรได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด
5. ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เมื่อเป็นมากๆ อาจมีสิว ผิวมัน ขนดกร่วมด้วยกลุ่มนี้มีเอสโตรเจนสูงเช่นกัน   
6. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้
7. ประวัติพันธุกรรม ญาติสายตรง เป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่
8. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน อาจส่งผลต่อการป่วยมะเร็งได้เช่นกัน
9. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน เพราะโรคอ้วนมีผลต่อฮอร์โมน ทำให้การทำงานของมดลูกผิดปกติและอาจกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
10. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน รวมถึงผู้ที่มีประจำเดือนเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย และผู้ที่หมดประจำเดือนช้าเกินจากอายุ 55 ปีขึ้นไป

อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

1. เลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน
2. ตกขาวผิดปกติและมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ คล้ายกับโรคมะเร็งปากมดลูก
3. ประจำเดือนมาผิดปกติ ในคนที่ยังไม่พ้นวัยหมดประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมามาก มาน้อย หรือมาครั้งละหลายวันนานกว่าปกติ
4. คลำเจอมดลูกโตบริเวณเหนือหัวหน่าวในอุ้งเชิงกรานหรือบริเวณช่องท้องน้อย
5. ปัสสาวะมีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อยเกินไป และมีอาการแสบขัด
6. อุจจาระมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องผูกบ่อยๆ และมักจะปวดเบ่งเวลาอุจจาระ
7. มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ระยะของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

สำหรับการวินิจฉัยโรคหรือระยะของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแพทย์จะทำการสอบถามประวัติอาการของผู้ป่วย ตรวจร่างกาย และทำการขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และทราบด้วยว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะไหน โดยมี 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มะเร็งยังคงลุกลามอยู่ภายในตัวมดลูกเท่านั้น โดยหากพบในระยะนี้จะสามารถรักษาให้หายได้ง่าย   
ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่ปากมดลูก
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปมาก โดยส่วนใหญ่จะลุกลามเข้าสู่รังไข่ ช่องคลอด เยื่อหุ้มมดลูกและเนื้อเยื่อรอบมดลูกบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อย
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่อันตรายที่สุด โดยมะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและทวารหนัก รวมถึงอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป ด้วยการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลือง โดยเฉพาะปอด

การรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

การรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกนิยมใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อประเมินการลุกลามของโรคและพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยอาจรักษาด้วยการใช้รังสีรักษาหรือการทำเคมีบำบัดร่วมกัน รวมถึงการให้ฮอร์โมน ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับระยะ ความรุนแรงของโรคและสุขภาพของผู้ป่วยเองด้วย ส่วนอีกวิธีหนึ่ง การให้ยารักษาตรงเป้ายังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมโดยยังไม่แน่ชัดว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากแค่ไหน

การป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

  1. ปรึกษาแพทย์เมื่อมีความผิดปกติหลังวัยหมดประจำเดือน
  2. ออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนัก
  3. ทานยาคุมกำเนิดอาจลดความเสี่ยงมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (ยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม)

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ จึงต้องอาศัยการสังเกตความผิดปกติซึ่งโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมักมีอาการเตือนแต่แรกเริ่ม โดยจะมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน หรือประจำเดือนมาผิดปกติ ซึ่งการพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการผิดปกติจะช่วยให้รักษาได้ทันแต่เนิ่นๆ โดยผ่าตัดและทำให้มีโอกาสรักษาหายได้สูง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Herzog T, Abu Shahin F (August 2014). “Endometrial cancer: A review and current management strategies: Part I”. Gynecologic Oncology. 134 (2): 385–392. PMID 24905773.

Reinbolt, “The Role of PARP Inhibitors in the Treatment of Gynecologic Malignancies”. Frontiers in Oncology. 3: 237.

Staley, H; McCallum, I; Bruce, J (17 October 2012). “Postoperative tamoxifen for ductal carcinoma in situ.”. The Cochrane database of systematic reviews.

มะเร็งปากมดลูก ( Cervical Cancer ) สาเหตุ อาการ และการรักษา

0
มะเร็งปากมดลูก สาเหตุ อาการ และการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่เกิดบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะมีอาการเมื่อเซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปแล้ว
มะเร็งปากมดลูก สาเหตุ อาการ และการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่เกิดบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะมีอาการเมื่อเซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปแล้ว

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก ( Cervical Cancer ) คือ มะเร็งที่เกิดบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งในอนาคต และเป็นโรคมะเร็งที่พบในผู้หญิงมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ฮิวแมมแปปปิโลมาไวรัส ( Human Papiloma Virus ) หรือเรียกสั้นๆว่า เชื้อ HPV ซึ่งมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในแต่ละปีเป็นปริมาณมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก มะเร็งปากมดลูกที่มีความรุนแรงของโรคสูงหากไม่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี ก็แทบจะไม่รู้เลยว่าป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากมักไม่มีอาการป่วยเบื้องต้นใดๆแสดงออกมา  ทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคชนิดนี้ก็จะอยู่ในช่วงที่อาการเริ่มหนักและรักษาได้ยาก

ปากมดลูก ( Cervix ) เป็น อวัยวะที่อยู่บริเวณตรงกลางของช่องท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน ตรงกับเนินหัวหน่าว โดยด้านหลังจะติดกับลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ส่วนด้านหน้าจะติดกับกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งปากมดลูกเป็นส่วนปลายของตัวมดลูกและเป็นเนื้อเยื่อในระบบสูตินรีเวช และมดลูกมีหน้าที่เป็นทางผ่านของตัวอสุจิและประจำเดือน รวมถึงช่วยในการพยุงการตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกสามารถอยู่ในครรภ์

สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกพบว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า เอชพีวี ( HPV ) โดยเป็นเชื้อที่จะติดต่อกันในขณะมีเพศสัมพันธ์ และนอกจากเชื้อดังกล่าวแล้ว ก็พบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากหลายปัจจัยเสี่ยง ซึ่งได้แก่

  • การสำส่อนทางเพศ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • การมีลูกมาก ซึ่งจะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนที่มีลูกน้อย
  • สามีมีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อน ซึ่งอาจนำเชื้อมาติดภรรยาได้
  • เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของปากมดลูก
  • อายุ โดยพบว่ามะเร็งปากมดลูกจะพบได้มากที่สุดในคนที่มีอายุ 45-55 ปี

เชื้อ HPV คืออะไร?

มะเร็งปากมดลูก จากฮิวแมมแปปปิโลมาไวรัส คือ โรคที่เกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัสชนิดที่เรียกว่า ไวรัสเอชพีวี ( HPV หรือ Human Papillomavirus ) หรือ อาจเรียกว่าไวรัสหูด ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ในตระกูล ( Family ) Papillomavirus  มีหลายสายพันธุ์ย่อยมากมาย เป็นร้อยๆชนิด  มีทั้งชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็งและชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่สายพันธุ์ที่ถือได้ว่ามีความอันตรายและส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากที่สุดคือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นเชื้อเอชพีวี ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ได้มากถึง 70% เลยทีเดียว   

HPV ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างไร?

ปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เรา หากมีความแข็งแรงปกติ ก็สามารถที่จะกำจัดเชื้อของ HPV ที่เข้าสู่ร่างกายได้เอง แต่ถ้าวันที่ร่างกายมีความอ่อนแอเกิดขึ้น และไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV ออกจากร่างกายได้ ก็จะส่งผลให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะต้องใช้เวลานานหลายปี หรือหลายสิบปี  กว่าจะทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ส่วนมากเราจะพบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกในเด็กได้ค่อนข้างน้อย ผู้ป่วยส่วนมากมักมีอายุที่เกิน 30 ปีขึ้นไป

เราสามารถติดเชื้อ HPV ได้อย่างไร?

เชื้อเอชพีวี ( HPV ) ชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกโดยส่วยใหญ่จะสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง

https://www.youtube.com/watch?v=sfPLe1NliMg

อาการของโรคมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกยังไม่พบอาการที่ชี้เฉพาะ โดยอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูกจะมีอาการคล้ายกับการอักเสบของมดลูกทั่วไป โดยแพทย์ได้ชี้ถึงอาการป่วยของมะเร็งปากมดลูกที่มักจะพบได้บ่อยๆ จากผู้ป่วยมะเร็งดังนี้

  • มีตกขาวผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น โดยอาจมีอาการคันร่วมด้วย
  • มีเลือดออกมาทางช่องคลอด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยอาจมาน้อย มามาก หรือขาดในบางเดือน
  • มีอาการปวดท้องน้อยและปัสสาวะบ่อยจนผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะที่มะเร็งลุกลามไปมากแล้ว
  • มีอาการท้องผูก
  • มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

การวินิจฉัยและการตรวจคัดกรอง

การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยกำลังเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือไม่นั้น แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติอาการของผู้ป่วย และทำการตรวจภายใน เพื่อนำเซลล์จากปากมดลูกไปตรวจแพปสเมียร์ และอาจมีการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อผลการตรวจที่แม่นยำมากขึ้นอีกด้วย

การตรวจแปปสเมียร์ (  Papsmear หรือ Papanicolaou Test )

การตรวจแปปสเมียร์ ( Papsmear ) คือ วิธีในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกชนิดหนึ่ง เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูก ซึ่งถ้าหากตรวจพบเจอเชื้อของมะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ ในระยะที่เชื้อยังไม่ลุกลาม ก็จะสามารถทำ การรักษาให้หายขาดได้ง่ายกว่าการตรวจพบเชื้อในระยะที่แพร่กระจายแล้ว การตรวจแปปสเมียร์สามารถทำพร้อมกับการตรวจภายในได้เลย โดยแพทย์จะใช้วิธีนำไม้พายขนาดเล็กเข้าไปขูดเบาๆบนผิวปากมดลูก ป้ายลงแผ่นกระจกเพื่อส่งตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ โดยความผิดปกติของเซลล์ที่พบมีหลายอย่างและมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไป ซึ่งการค้นหาเซลล์ผิดปกติของปากมดลูกในระยะก่อนเป็นมะเร็งจะช่วยให้แพทย์สามารถดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา ก่อนที่จะลุกลามจนกลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกในอนาคต

ผู้ที่ควรจะตรวจแนะนำสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างวัยทำงาน หรือวัยกลางคน อายุประมาณ 30 -35 ขึ้นไป ไม่ว่าจะเคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือไม่ก็ตาม และควรตรวจซ้ำในทุกๆปี โดยอาจจะตรวจพร้อมกับการเช็คสุขภาพประจำปีไปเลย แต่หากมีผลการตรวจที่ดีติดต่อกันหลายๆปี หรือเป็นผู้หญิงโสดที่ไม่ได้มีเพศสัมพันกับใคร ก็อาจจะลดจำนวนครั้งในการตรวจลงเป็นแบบปีเว้นปี หรือ ตรวจทุก 3–5 ปี ก็ได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่เคยฉีด วัคซีนเอชพีวี มาแล้ว เมื่อถึงช่วงอายุที่เหมาะสม ( 30 -35 ขึ้นไป ) ก็ควรจะทำการตรวจแปปสเมียร์ด้วยเช่นกัน เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งก็อาจจะมีความเสี่ยงน้อยในการเกิดโรค แต่ก็ควรทำเพื่อให้เกิดความสบายใจจะดีที่สุด

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกวิธีอื่น

การตรวจแปปสเมียร์หามะเร็งปากมดลูก ยังมีข้อจำกัดหลายประการ นอกจากการไม่ยอมรับในการตรวจของผู้หญิงบางคนแล้ว ยังไม่สามารถทราบผลได้ทันที เพราะต้องใช้เวลาในการย้อมเซลล์บนแผ่นกระจกและใช้เวลาในการอ่านผล ทำให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งไม่ได้ทราบผลตรวจและเสียโอกาสในการดูแลรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้น  นอกจากการตรวจแปปสเมียร์ แล้ว ยังมีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปาดมดลูกอีกหนึ่งวิธี  ที่ทำได้โดยประหยัดค่าใช้จ่ายมากว่าแบบการตรวจแปปสเมียร์  คือ การตรวจ VIA

การตรวจ VIA คือ  การตรวจด้วยน้ำส้มสายชู มีวิธีการตรวจคือ ใช้น้ำส้มสายชูชนิดเจือจางป้ายที่บริเวณปากมดลูก แล้วปล่อยทิ้งไว้ 1 นาที จากนั้น น้ำส้มสายชูจะไปทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อที่ผิดปกติของปากมดลูก หากมีฝ้าสีขาวเกิดขึ้นที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ก็ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ และจะได้ทำการรักษาต่อไป อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยวิธี VIA นี้ ต้องอาศัยความชำนาญของผู้ตรวจซึ่งต้องได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีเสียก่อน และนอกจากนี้การตรวจดังกล่าวก็สามารถทราบระยะของโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ได้เหมือนกัน

มะเร็งปากมดลูก ( Cervical Cancer ) สาเหตุ อาการ และการรักษา
มะเร็งปากมดลูก ( Cervical Cancer ) คือโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ร่างกายมีการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ฮิวแมมแปปปิโลมาไวรัส ( Human Papiloma Virus ) หรือเรียกสั้นๆว่า เชื้อ HPV

ระยะของมะเร็งปากมดลูก

โดยโรคมะเร็งปากมดลูกจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการป่วยมะเร็ง ซึ่งจะยังคงลุกลามอยู่ภายในช่องคลอดจนถึงส่วนล่างของปากช่องคลอดเท่านั้น

ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามออกมานอกปากมดลูกแล้ว โดยมีความรุนแรงในระดับปานกลาง

ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามขึ้นไปถึงผนังของอุ้งเชิงกราน และต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับปากมดลูก นอกจากนี้มดลูกก็อาจมีขนาดโตขึ้นจนไปเบียดทับอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้เช่นกัน

ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยระยะนี้มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไป โดยเฉพาะกระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก ปอด ตับ กระดูกและช่องท้อง เป็นต้น ซึ่งหากพบอาการป่วยในระยะนี้จะมีโอกาสรักษาให้หายได้ต่ำมาก

วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก

วัคซีนสำหรับป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก คือ สารทางชีววิทยาที่นำมาใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีของปากมดลูก จากการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง โดยในปัจจุบัน วัคซีนชนิดนี้จะใช้ฉีดเพื่อป้องกันเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น แต่ก็มีการนำมาฉีดในผู้ชายอยู่บ้าง เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเอชพีวีจากผู้ชายแพร่มาติดผู้หญิงจนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้นั่นเอง โดยการผลิตวัคซีนก็มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การผลิตวัคซีนจากเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะทำให้เชื้อชนิดนั้นมีความอ่อนฤทธิ์ลง แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันได้ดี และการผลิตวัคซีนจากเชื้อที่ตายแล้ว อย่างเช่นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ พัฒนาไปมากจนสามารถ ผลิตคิดค้น วัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี ได้แล้วโดย วัคซีนเอชพีวี เป็นวัคซีนที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก มีการผลิตมาจากโปรตีนที่เปลือกหุ้มเชื้อไวรัส วัคซีนชนิดนี้ ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมะเร็งปากมดลูก ในแต่ละปีได้มากเลยทีเดียว  ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในร่างใช้วัคซีนชนิดนี้ ควรใช้วัคซีนตั้งแต่ในวัยเด็กหรือก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะดีที่สุด

การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกแพทย์จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อและฉีดอย่างต่อเนื่องจนครบ 3 เข็มภายใน 6 เดือน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกอย่างสูงสุด ซึ่งก็สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้นานถึง 4-6 ปีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามในปัจจุบันก็ยังคงมีการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถใช้ในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกสายพันธุ์ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยพบว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ มีฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้แค่ 2 สายพันธุ์เท่านั้น ในขณะที่มะเร็งปากมดลูกมีทั้งหมดประมาณ 100 สายพันธุ์ย่อยเลยทีเดียว

และจากข้อมูลดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า ถึงแม้จะได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะป่วยด้วยมะเร็งปากมดลูกสายพันธุ์อื่นๆ ได้อีกประมาณร้อยละ 30 จึงไม่ควรชะล่าใจอย่างเด็ดขาด โดยจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อนและควรดูแลสุขภาพอนามัยของอวัยวะเพศให้ดีอยู่เสมอด้วย และที่สำคัญก็ไม่ควรพลาดการตรวจภายในที่เรียกว่า แปปสเมียร์ เป็นประจำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะให้ผลป้องกันอย่างสูงสุดเมื่อใด?

โดยปกติแล้วการฉีดวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกนั้นจะให้ผลการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต่อเมื่อได้ฉีดวัคซีนก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในชีวิต เนื่องจากยังไม่เคยมีการติดเชื้อเอชพีวีจากการร่วมเพศมาก่อน ดังนั้นใน ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำให้เริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 9-12 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนแน่นอน ส่วนผู้หญิงในวัย 13-26 ปี ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือไม่ก็สามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ผลการป้องกันอาจด้อยประสิทธิภาพลง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าได้เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือไม่นั่นเอง และสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 26 ปีขึ้นไป ยังไม่มีผลการศึกษายืนยันว่าจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงของการศึกษา แต่เชื่อว่าน่าจะให้ผลการป้องกันที่ต่ำกว่าผู้หญิงวัยต่ำกว่า 26 ปี

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกจะให้ผลการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต่อเมื่อได้ฉีดวัคซีนก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในชีวิต

การฉีดวัคซีนมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่?

จากการศึกษาพบว่าวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นจากเชื้อตาย จึงไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันได้อย่างแน่ชัด แพทย์จึงไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งต้องรอฉีดวัคซีนหลังจากคลอดแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทารกนั่นเอง ส่วนกรณีที่เป็นช่วงให้นมบุตรก็ยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัดเช่นกัน จึงควรปรึกษากับสูตินรีแพทย์ก่อน ว่าสามารถฉีดวัคซีนได้เลยหรือไม่

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ของวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก พบว่าอาจป้องกันมะเร็งอื่นๆ ที่มีปัจจัยเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชพีวี ( HPV ) ได้ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนักและมะเร็งคอหอยส่วนปาก เป็นต้น แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะช่วยป้องกันได้จริงหรือไม่และป้องกันได้มากน้อยแค่ไหน

อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกพบว่าสามารถพบได้น้อยมาก และส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายกับการฉีดวัคซีนทั่วไป เช่น บวมแดง หรือปวดร้อนบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย หรือในบางคนก็อาจมีอาการไข้ คลื่นไส้อาเจียน เกิดผื่นคันและปวดศีรษะร่วมด้วย แต่ไม่เป็นอันตรายแน่นอน นอกจากผู้ที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยจะมีอาการช็อกจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ไม่ค่อยพบมากนัก ซึ่งแพทย์ก็จะแนะนำโดยทั่วไปว่า หลังจากฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ควรนอนพักผ่อนประมาณ 15-30 นาทีก่อนกลับบ้าน เพื่อเฝ้าดูอาการความผิดปกติอย่างใกล้ชิดและทำการช่วยเหลือได้ทัน

การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถใช้บัตรประกันสุขภาพได้หรือไม่?

ใช้บัตรทองได้หรือไม่การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่ถูกรวมอยู่ในบัตรทอง เนื่องจากมีราคาที่สูงมากเกินกว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะต้องฉีดกี่เข็มกันแน่จึงจะสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็สามารถทำการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยการตรวจคัดกรอง แพปสเมียร์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นการตรวจประจำทุกปีหรือตามแพทย์แนะนำก็ได้ โดยวิธีนี้ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ในระดับหนึ่งเช่นกันโดยในปัจจุบันก็ได้มีการศึกษาวัคซีนต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้จริง แต่ยังมีเพียงวัคซีนแค่ 2 ชนิดเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ได้และเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งก็คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับชนิดบีและวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกนั่นเอง

การป้องกันมะเร็งปากมดลูก

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก 

วิธีการง่ายที่สุด ที่เราสามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ได้ก็คือ การเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดโรคนั้นเอง โดยปัจจัยเสี่ยงที่ควรจะหลีกเลี่ยงมีดังนี้   

  • การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
  • การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ จนเป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • การมีบุตรหลายคน
  • การใช้ยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน
  • การสูบบุหรี่ หรือได้รับควันพิษจากบุหรี่บ่อยๆ
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์รักษาให้หายโดยเร็วจะดีที่สุด
  • การป้องกันมะเร็งปากมดลูกนั้นทำได้โดยวิธีการดังนี้ คือ
  • ฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับต่อต้านเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และสายพันธุ์ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากถึงร้อยละ 70 และยังช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV อีกสองสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคหูดที่อวัยวะเพศได้ถึงร้อยละ 90 โดยแพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปี ฉีดวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรือฉีดในรายที่มีเพศสัมพันธ์แล้วแต่ยังไม่ติดเชื้อ HPV เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
  • การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) โดยแพทย์จะเก็บเซลล์จากปากมดลูกแล้วนำส่งตรวจเพื่อหาเซลล์ผิดปกติที่อาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจแปปสเมียร์อาจมีโอกาสพลาดถึงร้อยละ 40 ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกแม้จะตรวจแปปสเมียร์ทุกปี
  • ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV เป็นการตรวจทางชีวโมเลกุลเพื่อหาเชื้อไวรัส HPV โดยตรง ซึ่งเป็นการตรวจที่มีความแม่นยำอย่างมากคือมีโอกาสพลาดเพียงร้อยละ 5-10 และส่วนใหญ่จะทำร่วมกับการตรวจ ThinPrep โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างเซลล์เพื่อส่งตรวจในคราวเดียว หากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติก็แสดงว่าโอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกมีน้อยมาก และสามารถรอได้ถึง 3 ปี กว่าจะเข้ารับการตรวจคัดกรองอีกครั้ง

สำหรับการป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีอื่นๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชพีวี ( HPV ) ได้เป็นอย่างดี แต่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันที่น้อยกว่าการฉีดวัคซีน และยังคงมีความเสี่ยงในกรณีที่ถุงยางรั่วหรือแตกอีกด้วย ส่วนความเชื่อที่ว่าการขลิบหนังหุ้ม ปลายอวัยวะเพศชายจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงได้ จากการศึกษาพบว่าไม่เป็นความจริง เพราะถึงแม้ว่าจะขลิบออก ก็ยังมีโอกาสที่ทำให้ผู้หญิงเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคร้ายในผู้หญิงที่พบเป็นอันดับแรกๆ ของโรคมะเร็งทั้งหมด ดังนั้นจึงควรป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกอยู่เสมอ โดยเฉพาะการไม่มีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อนและหมั่นตรวจประจำปีเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ เท่านี้ก็จะทำให้ห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูกได้มากขึ้นแล้ว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. “ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก”. (รศ.นพ.จตุพล ศรีสมบูรณ์). [ออนไลน์]. www.rtcog.or.th. 

หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 1159-1160.

World Cancer Report 2014. World Health Organization. 2014. pp. Chapter 5.4. ISBN 9283204298.

Mary-Anne Romano (17 October 2011). “Aboriginal cervical cancer rates parallel health inequity”. Science Network Western Australia. Archived from the original on 14 May 2013.

 Australian Cervical Cancer Foundation. “Vision and Mission”. Australian Cervical Cancer Foundation. Archived from the original on 12 May 2013.

การผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายไต

0
การผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายไต
ผู้บริจาคที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับผู้ป่วย หากผลแสดงออกมาว่าเข้ากันได้ ก็สามารถบริจาคไตให้กันได้
การผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายไต
ผู้บริจาคที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับผู้ป่วย หากผลแสดงออกมาว่าเข้ากันได้ ก็สามารถบริจาคไตให้กันได้

เปลี่ยนไต

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย  หรือ ไตทำงานได้น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จะต้องได้รับการ เปลี่ยนไตจำนวน 1 ข้าง เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้มีไตใหม่มาคอยทำหน้าที่ทดแทนไตเดิม  ซึ่งไตเดิมไม่สามารถทำหน้าที่ได้แล้วทั้งสองข้าง  เพราะฉะนั้น ผู้ป่วยเปลี่ยนไต จะมีไตเดิมจำนวน 1 ข้าง และไตใหม่จำนวน 1 ข้าง หากไตใหม่สามารถทำ งานได้ดี เป็นปกติ และไม่มีปฏิกิริยาเหมือนจะต่อต้าน  ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้องทำการฟอกเลือด หรือ ล้างไตอีกต่อไปการรับบริจาคไต สามารถรับบริจาคได้จากกลุ่มคนเหล่านี้

    [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

ผู้ที่เปลี่ยนไตจะได้รับบริจาคจาก 2 กลุ่ม

1. ผู้บริจาคไตที่เพิ่งเสียชีวิต ผู้บริจาคอวัยะที่เพิ่งจะเสียชีวิต

บางแห่งอาจจะต้องรอให้ผู้บริจาคอวัยวะหัวใจหยุดเต้นเสียก่อน  แต่บางที่อาจจะพึ่งการตรวจคลื่นสมองเป็นหลัก  หากสมองตายแล้ว ผู้บริจาคอวัยวะจะสามารถบริจาคอวัยวะได้ทันทีในขณะนั้น ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องรอให้หัวใจหยุดเต้นก็สามารถทำได้  ซึ่งแพทย์จะจัดเตรียมความพร้อมในการผ่าตัดไต ทันทีที่ผู้บริจาคได้เสียชีวิตลง

2. รับบริจาคจากญาติที่มีชีวิตอยู่

รับบริจาคจากญาติที่มีชีวิตอยู่หรือ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ว่าจะเป็น พ่อ – แม่ หรือ ญาติพี่น้อง  ลุง ป้า น้าอา หรือแม้กระทั่งหลาน หากเป็นกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกัน ย่อมสามารถบริจาคไตให้แก่กันได้

ผู้บริจาคที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับผู้ป่วย หากผลแสดงออกมาว่าเข้ากันได้ ก็สามารถบริจาคไตให้กันได้

เราสามารถบริจาคไตที่ไหนได้บ้าง สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคไต  สามารถแสดงความจำนงได้ที่ศูนย์บริจาคไต  ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานของสภากาชาดไทย  หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลประจำจังหวัด  หรือ โรงพยาบาลที่มีคณะแพทยศาสตร์   หลังจากที่ผู้บริจาคได้ทำเรื่องเพื่อขอบริจาคไตแล้ว  ควรแจ้งให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดทราบด้วย  ซึ่งญาติและผู้ใกล้ชิด จะคอยทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ และเซ็นชื่อยินยอม เพื่อให้แพทย์ได้ผ่าตัดเอาไตของผู้บริจาคไปให้กับผู้รับบริจาค

หากต้องการบริจาคไตให้ญาติ ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ผู้บริจาคไต จะต้องได้รับการตรวจร่างกาย เพื่อที่จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด ว่าผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ และมีสภาพจิตใจที่เป็นปกติ  ซึ่งผู้บริจาคจะต้องผ่านการตรวจคัดกรอง ดังนี้  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

1. วัดความดันเลือดและชีพจร  ซึ่งผู้บริจาคจะต้องไม่เป็นความดันโลหิตสูง

2. ต้องตรวจเลือดดูการทำงานของไต  ซึ่งไตต้องปกติและต้องไม่เป็นเบาหวาน

3. ต้องทำการตรวจปัสสาวะ ซึ่งต้องปกติเท่านั้น

4. ตรวจอัลตราซาวน์  ต้องพบว่าไม่มีโรคร้ายแรง

5. ต้องตรวจคลื่นหัวใจอย่างละเอียด

6. ต้องถูกประเมินทางจิตเวช

หลังจากที่ได้มีการบริจาคไตให้กับญาติ  ผู้บริจาคควรดูแลตนเองอย่างไร ?

เมื่อผู้บริจาคได้รับการผ่าตัดไตออกไปแล้ว  ผู้บริจาคจะเหลือไตเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ผู้บริจาคควรระมัดระวัง และควรดูแลตนเอง โดยจะต้องนอนพักฟื้น 2 – 4 สัปดาห์ จึงจะสามารถเริ่มต้นทำงานเบา ๆ ได้  และช่วงในระยะพักฟื้น ควรหมั่นลุกขึ้นเดินบ่อยครั้ง เพื่อบริหารร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไป  อีกทั้งในช่วงระยะแรก ไม่ควรให้ แผลเปียกน้ำเป็นอันขาด เพื่อป้องกันอาการติดเชื้อ และ ผู้บริจาคจะต้องไม่ยกของหนัก นอกจากนี้  ผู้บริจาคควรดูแลสุขภาพให้เต็มที่ เพื่อที่จะสามารถกลับมามีสุขภาพเป็นปกติ และ แข็งแรงเหมือนเดิม

หากต้องการบริจาคไตให้กับสภากาชาดไทย ต้องทำอย่างไร ?

1. ผู้บริจาคจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ หรือ ควรมากกว่า 18 ปี และไม่ควรอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์

2. ผู้บริจาคจะต้องไม่เป็นความดันโลหิตสูง  และ ไม่เป็นโรคเบาหวาน

3. เมื่อตรวจสภาพร่างกายแล้ว ต้องพบว่าไตของผู้บริจาคสามารถทำงานได้เป็นปกติ  พร้อมทั้งไม่มีประวัติว่าเป็นโรคเรื้อรัง  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

4. ไม่มีภาวะโรคอ้วน

5. ผ่านการประเมินทางจิตเวช

คุณสมบัติของผู้รับบริจาคไต

1. เป็นผู้ป่วยที่กำลังรักษาตนเองด้วยการล้างไตทางช่องท้อง หรือ ต้องทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

2. อายุของผู้ป่วยจะต้องไม่เกิน 60 ปี  หากเป็นผู้ป่วยเด็กจะต้องไม่เกิน 5 ปี

3. ผู้ปวยไม่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง

4. ผู้ป่วยไม่เป็นโรคตับเรื้อรัง

5. ผู้ป่วยไม่เป็นโรคมะเร็ง

6. ผู้ป่วยที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด

7. ผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคทางจิตเวช

8. ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง

9. ผู้ป่วยที่ไม่มีโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือ ยังแก้ไขไม่ได้

ผลสำเร็จของการปลูกถ่ายเปลี่ยนไต  ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ 

  • ผู้ป่วยอายุมากกว่า 55 ปี
  • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 7 ปี
  • โรคของผู้ป่วยที่มีผลเสี่ยงต่อเส้นเลือดโดยตรง
  • การเกิดภาวะติดเชื้อ
  • ชนิดของไต ว่าได้รับมาจากผู้เสียชีวิต หรือ ผู้บริจาคที่มีชีวิตอยู่ หรือ จากใคร  นับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมาก  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

การเตรียมตัวในช่วงเวลาที่ต้องรอเปลี่ยนไต

ที่ผ่านมา ผู้ป่วยจำนวน 100 คน  จะมีแค่ 1.4 คนเท่านั้น ที่สามารถรับไตใหม่ได้   ในช่วงเวลาที่รอเปลี่ยนไต  ผู้ป่วยอาจจะใช้เวลารอเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น  แต่บางรายอาจจะต้องรอเป็นปีกันเลยทีเดียว  ซึ่งระหว่างที่ผู้ป่วยรอการเปลี่ยนไต  จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ  สิ่งที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติ มีดังต่อไปนี้

1. ควรตรวจสอบว่าแพทย์ผู้รักษา ได้มีการส่งข้อมูลผู้รอรับทั้งหมด เพื่อมาลงทะเบียนไว้กับศูนย์บริจาคอวัยะแล้วในช่วงนั้น

2. หลังจากที่ได้มีการลงทะเบียนเพื่อขอรอรับการบริจาคไต  ผู้ป่วยจะต้องตรวจเลือดทุก 2 เดือน  พร้อมทั้งตรวจสภาพร่างกายทุก 2 – 3 เดือน

3. ผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนไต และผู้ป่วยสูงอายุ  หรือ ผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง จะต้องถูกตรวจเพื่อดูเส้นเลือดที่จะนำไตใหม่ไปปลูกถ่าย  ว่าเส้นเลือดมีความแข็งแรง และมีความแคลเซียมเกาะอยู่หรือไม่

4. ผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเข้ารับการติดต่อผู้ประสานงานการเปลี่ยนไตได้ตลอด

5. ผู้ป่วยจะต้องเข้าพบแพทย์ตามกำหนด

6. ควรส่งเลือดทุกเดือน เพื่อตรวจหาโอกาสในการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ

7. ผู้ป่วยจะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงระหว่างนี้

8. ผู้ป่วยควรมีทุนทรัพย์ไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไต และ หลังจากที่ได้รับการเปลี่ยนไตแล้ว

กระบวนการผ่าตัดไตจากผู้เสียชีวิต

การผ่าตัดเอาไตออกจากมาจากร่างกายของผู้เสียชีวิต  แพทย์จะต้องได้รับอนุญาตจากญาติของผู้เสียชีวิตก่อน  ซึ่งแพทย์จะต้องติดต่อเพื่อขออนุญาต ก่อนที่หัวใจของผู้ป่วยจะหยุดเต้นลง  เพื่อที่แพทย์จะได้มีระยะเวลาในการจัดเตรียม เพื่อทำการผ่าตัดไตได้ทันท่วงที  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

ส่วนทีมแพทย์เปลี่ยนไต  จะพยายามทำให้ผู้บริจาคไตส่วนใหญ่ มีความดันโลหิตเป็นปกติ และผู้บริจาคจะต้องปัสสาวะออกมาได้มาก  โดยแพทย์จะกระตุ้นการเกิดปัสสาวะ ด้วยการให้น้ำเหลือและแมนนิตอลทางเส้นเลือดของผู้บริจาคไต

เมื่อการผ่าตัดเกิดขึ้น และมีการนำไตทั้งสองข้างออกจากร่างกายของผู้บริจาคแล้ว  ไตจะได้รับการเก็บรักษาอย่างดี  โดยไตจะถูกแช่ในน้ำยาถนอมอวัยวะเท่านั้น และยังคงมีน้ำแข็งที่ปราศาจากเชื้อโรคเข้ามาช่วยเสริมและเพิ่มเติมอุณหภูมิ  โดยไตที่ถูกผ่าตัดออกมาแล้ว จะสามารถเก็บได้นานถึง 48 ชั่วโมงด้วยกัน

ทางด้านศูนย์รับบริจาคอวัยวะ จะต้องทำการตรวจชนิดเนื้อเยื่อของผู้บริจาคไตก่อน พร้อมทั้งทดสอบความเข้ากันได้ของเม็ดเลือดขาว  แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผู้รับบริจาค ว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่  ซึ่งในกรณีการผ่าตัดไตจากผู้เสียชีวิตแล้ว จะสามารถแบ่งไตให้กับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้มากถึง 2 คนด้วยกัน นั่นเอง

การผ่าตัดไตจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิต

การผ่าตัดไตจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิตอยู่นั้น จะต้องมีการตรวจสภาพไตโดยการฉีดสี  เพื่อที่แพทย์จะสามารถดูความผิดปกติของเส้นเลือดที่อาจจะเกิดขึ้นได้  ซึ่งผู้บริจาคบางราย จะมีเส้นเลือดแดงของไตข้างละ 2 เส้นด้วยกัน  ส่งผลทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนไตเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น  และด้วยเหตุนี้แพทย์จึงต้องรู้รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ของผู้บริจาคไตเสียก่อน ซึ่งในกรณีของการผ่าตัดไตเก่าออกจากตัวผู้รับบริจาคนั้น  แพทย์ไม่จำเป็นจะต้องทำการผ่าตัด พร้อมกับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนไต  ซึ่งแพทย์สามารถผ่าตัดได้ก่อนหรือหลังจากนี้

การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต

1. ควรงดน้ำและอาหารประมาณ 6 ชั่วโมง

2. ควรงดยาและอาหารเสริม ที่ส่งผลทำให้เลือดหยุดยาก

3. ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องได้รับการดมยาสลบ

4. ไตจากผู้บริจาค จะถูกส่งต่อให้กับผู้รับบริจาค โดยแพทย์จะทำการต่อไตเข้ากับเส้นเลือด พร้อมทั้งทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วย บริเวณหน้าท้องน้อยเท่านั้น  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

การดูแลผู้ป่วยในระยะแรก หลังจากที่ได้รับการเปลี่ยนไต

1. หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ด้วยกัน  ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง เหมือนกับการได้เข้ารับการผ่าตัดทั่วไปได้

2. เจ้าหน้าที่จะแจกเอกสาร เพื่อให้ผู้ป่วยศึกษาเกี่ยวกับกรณีการดูแลตนเอง  เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค โดยต้องใช้ยาตามแพทย์สั่ง

3. ในกรณีที่พบว่าไตใหม่ ยังไม่สามารถทำงานได้ทัน ผู้ป่วยอาจจะต้องรอเป็นระยะเวลา 10 – 14 วัน เพื่อให้ไตฟื้นตัว  แต่ในช่วงระหว่างนี้ ผู้ป่วยอาจจะต้องทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมร่วมด้วย

4. ผู้ป่วยอาจจะได้รับยา หลังจากการที่มีการผ่าตัดเพื่อปลูกไต ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน

การดูแลผู้ป่วยในระยะต่อมา หลังจากที่เปลี่ยนไตแล้ว

1. จะต้องระวังการติดเชื้อ  เพราะจะส่งผลต่อผู้ป่วยโดยตรง

2. ในช่วงนี้ผู้ป่วยอาจจะต้องระวังการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ป่วยลดลงมาก

3. การมีเพศสัมพันธ์  ในช่วงนี้ผู้ป่วยสามารถมีลูกได้ตามปกติ แต่ผู้ป่วยเพศหญิง อาจจะประสบปัญหาการตั้งครรภ์ในระหว่างนี้

4. การทำงานของผู้ป่วย  ผู้ป่วยจะสามารถเริ่มต้นทำงานเบา ๆ  ซึ่งจะต้องไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือ เกิดอุบัติเหตุ หลังจากที่ผู้ป่วยได้ทำการเปลี่ยนไตมาแล้วเป็นระยะเวลา 1 เดือน

5. การออกกำลังกาย   ผู้ป่วยควรเริ่มต้นจากการบริหารร่างกายแบบเบา ๆ ค่อย ๆ เพิ่มกายบริหารไปทีละขั้นตอน

6. เส้นเลือดที่ใช้ฟอกไต   ถึงแม้จะได้รับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนไตสำเร็จแล้วก็ตาม แต่ผู้ป่วยจะยังคงมีเส้นเลือด เพื่อใช้ในการฟอกไตอยู่  ซึ่งแพทย์จะเก็บไว้เผื่อผู้ป่วยต้องกลับไปฟอกเลือดอีกครั้ง  ซึ่งผู้ป่วยยังคงต้องดูแลเส้นเลือดที่ใช้ฟอกไตตามเดิมไปก่อน  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

หลังจากผู้ป่วยได้ผ่าตัดเปลี่ยนไตแล้ว ต้องตรวจอะไรอีกบ้าง ?

  • ตรวจการทำงานของไต
  • ตรวจเช็คสุขภาพประจำปี
  • ตรวจหาเชื้อมะเร็ง
  • ฉีดวัคซีนต่าง ๆ
  • ตรวจสภาวะการตีบตันตามรอยต่อของหลอดเลือดแดงของไตใหม่ กับ หลอดเลือดแดงภายในร่างกาย
  • การควบคุมความดันโลหิต

ผู้ป่วยที่เปลี่ยนไต จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ?

  • ปกติแล้ว ไตใหม่ร้อยละ 50 จะสามารถทำงานได้เป็นปกติ นานกว่า 10 ปี  ยิ่งถ้าหากเป็นไตที่เข้ากับเนื้อเยื่อของผู้รับและผู้ให้ ไตก็จะมีสภาพอยู่ได้นานมากกว่า 10 ปีแน่นอน
  • สำหรับไตใหม่ที่เนื้อเยื่อเข้ากับร่างกายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก  อายุไตใหม่มักจะสั้นลง ต่ำกว่า 10 ปี
  • กลุ่มผู้ป่วยที่เสี่ยงในการผ่าตัด  อัตราการอดของไต 2 ปี จะน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หลังจากเข้ารับการเปลี่ยนไต สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น  อาจจะมีระดับความรุนแรงถึงขั้นทำให้ไตใหม่มีลักษณะเสื่อมลงได้ หรือ ไตใหม่ไม่ทำงาน  สาเหตุส่วนใหญ่มักจะมาจากการที่ผู้ป่วยไม่รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ  หรือไม่ก็ลืมทานยา หรือ มีการทานยามากจนเกินไป  หรืออาจจะเกิดจากการที่โรคไตเดิมที่ผู้ป่วยเป็นอยู่มีอาการกำเริบ และส่งผลทำให้ไตใหม่ไม่ทำงาน ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน

วิธีการป้องกันแก้ไข

นอกจากนี้การเลือกใช้ยากดภูมิต้านทาน อาจจะส่งผลทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้  ซึ่งแพทย์มักจะให้คำแนะนำ และ บอกวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น

  • ความดันเลือดสูง อันเนื่องมาจากยา หรือผู้ป่วยมีประวัติเป็นความดันเลือดสูงอยู่แล้ว
  • เป็นโรคเบาหวาน จากยา หรือ เป็นโรคเบาหวานมาก่อนหน้านี้แล้ว
  • ไขมันในเลือดสูงจากการใช้ยา
  • มีภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย
  • เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากการใช้ยาเพร็ดนิโซโลน  [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

ภาวะสลัดไตแบบเฉียบพลัน หรือ เรื้อรัง

ภาวะสลัดไต นั้น ถือได้ว่าเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ไม่สามารถรับไตใหม่ได้ โดยร่างกายมีการสร้างเคมีขึ้นมา เพื่อที่จะย่อยสลายไตใหม่  ส่วนเม็ดเลือดขาวชนิด ที – ลิมโฟไซต์ อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ และ ทำลายเนื้อเยื่อของไตได้เช่นกัน  ซึ่งในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้แบบเฉียบพลันถึงขั้นรุนแรง และแบบค่อยเป็นค่อยไปก็มี  ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1. การสลัดไตอย่างเฉียบพลัน   สามารถเกิดขึ้นได้ประมาณ 20 – 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีแรก  แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ผู้ป่วยใช้กดภูมิต้านทานด้วย  ซึ่งถือได้ว่ามีผู้ป่วยน้อยราย ที่ต้องใช้ยาราคาแพง เพื่อที่จะคอยควบคุมการสลัดไต

2. การสลัดไตอย่างเรื้อรัง   ในกรณีนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้อย่างเด็ดขาด  แต่ยังมีโอกาสในการลดความเสี่ยงนี้ได้อยู่  โดยจะต้องทำการควบคุมโรคที่อาจจะเกิดร่วมด้วย และ ผู้ป่วยจำต้องทานยากดภูมิต้านทานอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น  ซึ่งจะช่วยทำให้ไตมีอายุที่ยาวนานได้มากยิ่งขึ้น

อาการของผู้ป่วยที่เกิดภาวการณ์สลัดไต

  • มีไข้
  • มีอาการเจ็บปวดบริเวณไตที่ถูกเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้
  • น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น  เนื่องจากปัสสาวะน้อยลง เนื่องจากไตทำงานไม่เป็นปกติ
  • ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย

ยาที่สามารถใช้รักษาภาวะสลัดไต

1. ยาสเตียรอยด์  จะมาในรูปแบบของยาฉีด หรือ ยารับประทาน

2. โอเคที – 3 ซึ่งจะถูกเตรียมมาจากน้ำเหลืองของหนูโดยตรง

3. เอทีจี  ถูกเตรียมมาจากน้ำเหลือของม้าโดยตรง

4. ธัยโมโกลบูลิน  ลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ซ้ำ

5. โฟรกราฟ สามารถรักษาได้ผลประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์

หากต้องการรักษาโรคไตวายที่ต่างจังหวัด และต้องทำการเปลี่ยนไตที่อื่น ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

1. ผู้ป่วยต้องมีใบส่งตัวจากอายุรแพทย์โรคไตประจำตัวโดยตรง

2. เข้าพบแพทย์โรคไตที่โรงพยาบาลแห่งใหม่  เพื่อดูว่าจะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไตได้หรือไม่

3. เข้ารับการตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์  ตรวจคลื่นหัวใจ ฉีดสีตรวจเส้นเลือด เป็นต้น

4. เจาะเลือดเพื่อตรวจเนื้อเยื่อ  หากต้องการรอไตจากผู้บริจาค ต้องขึ้นทะเบียนรอทันที  แต่ถ้าหากเป็นไตจากญาติหรือบุคคลในครอบครัว สามารถนัดวัดเพื่อทำการเปลี่ยนไตได้เลย [adinserter name=”โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ”]

กรณีการปลูกถ่ายไตล้มเหลว

เมื่อเกิดกรณีการปลูกถ่ายไตล้มเหลวเกิดขึ้น  ผู้ป่วยอาจจะต้องกลับไปเข้ารับการรักษา ด้วยวิธีการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมอีกครั้ง หรือ ผู้ป่วยจะต้องทำการล้างไตผ่านช่องท้อง ด้วยน้ำยาอย่างถาวรอีกครั้ง   ในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจจะหมดสิทธิ์ในการเบิกยาที่ใช้ในการรักษากดภูมิคุ้มกัน  ในส่วนนี้จะรวมไปถึงกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตลงด้วย

หากต้องการยื่นคำขอ เพื่อกลับมาบำบัดทดแทนไต

ต้องมีหลักฐานดังนี้

1. แบบคำขอรับประโยชน์จากการบำบัดทดแทนไต

2. สำเนาเวชระเบียนที่เกี่ยวข้องโดยตรง

3. ใบรับรองแพทย์

4. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

5. สำเนาสมุดคู่มือ เพื่อแสดงสิทธิการบำบัดทดแทนไต  ซึ่งจะใช้เล่มสุดท้าย เป็นหลัก

จากข้อมูลที่เราได้กล่าวมาในเบื้องต้น นับได้ว่าเป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อทำการเปลี่ยนไต หรือ การเปลี่ยนไตใหม่ให้กับผู้ป่วย   ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องทำการปลูกถ่ายไตเพื่อเปลี่ยนไตใหม่นั้น จะต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้   ซึ่งความรู้เหล่านี้จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ป่วยได้โดยตรง รวมไปถึงญาติของผู้ป่วยเอง ที่จำเป็นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย เพื่อที่จะคอยช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและดูแลผู้ป่วยได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

New Robot Technology Eases Kidney Transplants, CBS News, June 22, 2009 – accessed July 8, 2009.

“Kidney and Pancreas Transplant Center – ABO Incompatibility”. Cedars-Sinai Medical Center. Retrieved 2009-10-12.

Krista L. (2014). “Gestational Hypertension and Preeclampsia in Living Kidney Donors”. New England Journal of Medicine. 2010

“Kidney Transplant”. National Health Service. 29 March 2010. Retrieved 19 November 2011.