การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง: แนวทางการดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และโภชนาการอย่างรอบด้าน

0
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (Cancer Care)
ผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการการดูแลอย่างรอบด้านมากกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โภชนาการ และกำลังใจจากครอบครัว ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกระยะของโรค บทความนี้จะพาคุณสำรวจรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบองค์รวมที่ควรปฏิบัติอย่างเหมาะสม

ประเภทของการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

1. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

เน้นการบรรเทาอาการเจ็บปวดและไม่สบายจากโรคมะเร็งหรือผลข้างเคียงจากการรักษา เหมาะสำหรับทุกระยะของโรค โดยเฉพาะในระยะท้าย ตัวอย่าง:

  • การให้ยาแก้ปวดหรือคลื่นไส้หลังเคมีบำบัด
  • การพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยและครอบครัว
  • การดูแลเรื่องคุณภาพชีวิต เช่น การนอน การหายใจ อารมณ์ ความวิตกกังวล

2. การดูแลเพื่อหวังผลหายขาด (Curative Care)

เป็นการดูแลที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยหายจากโรค เช่น:

  • การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
  • การให้เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือฮอร์โมนบำบัดในระยะเริ่มต้น

หากรักษาไม่หาย หรือมะเร็งลุกลาม แพทย์จะเปลี่ยนเป้าหมายสู่การดูแลแบบประคับประคอง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด (Chemotherapy Care)

อาการข้างเคียงที่พบบ่อย

  • คลื่นไส้ อาเจียน (Acute & Delayed)
  • ผมร่วง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง

การดูแลระหว่างคีโม

  • ให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ สุกๆ ดิบๆ หมักดอง หรือมีสารกันบูด
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนเพียงพอ
  • ใช้มาตรการป้องกันเชื้อโรค เช่น หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย

หลังการให้คีโม

  • อาการข้างเคียงมักดีขึ้นภายใน 1–3 เดือน
  • ส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย: บริหารเบาๆ, โภชนาการฟื้นฟู, ดูแลสุขภาพจิต

การดูแลเฉพาะโรค: ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัด (Mastectomy)

การดูแลกายภาพ

  • แนะนำกายภาพบำบัด เช่น:
    • แกว่งแขน ขยับไหล่ ป้องกันแขนบวม
    • นวดน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
  • สวมชุดชั้นในที่พยุงเต้านมเทียม เพื่อป้องกันการเสียสมดุล

การดูแลจิตใจ

  • ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกยังมีคุณค่า ไม่ถูกตีตรา
  • ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา หรือสนับสนุนกลุ่มผู้ป่วยร่วมกัน

การดูแลด้านโภชนาการ (Nutrition in Cancer Care)

หลักโภชนาการที่ดี

ประเภทอาหาร คำแนะนำ
โปรตีน ปลา ถั่ว เต้าหู้ ไข่ ปรุงสุกสะอาด
คาร์โบไฮเดรต ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มันเทศ
ผักผลไม้ ผักสดล้างสะอาด ผลไม้ไม่หวานจัด
ไขมัน เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
น้ำ ควรดื่ม 6–8 แก้วต่อวัน

ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาลสูง
  • อาหารมีดินประสิวหรือสารกันบูด

การดูแลด้านจิตใจและกำลังใจผู้ป่วย

ความสำคัญของกำลังใจ

  • ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • ลดความวิตกกังวล ซึมเศร้า

วิธีดูแลทางจิตใจ

  • เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุย ไม่กดดัน
  • สนับสนุนการเข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง
  • หมั่นสังเกตสัญญาณภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • สนับสนุนความหวังและเป้าหมายที่ผู้ป่วยเลือก

แนวทางสำหรับผู้ดูแล (Caregiver Guidelines)

สิ่งที่ควรทำ อธิบาย
เรียนรู้เกี่ยวกับโรค ศึกษาโรคมะเร็งชนิดนั้นเพื่อเข้าใจอาการและแนวทางรักษา
สื่อสารอย่างเข้าใจ อย่าปิดบัง ให้ข้อมูลตามความจริงแต่ใช้ถ้อยคำอ่อนโยน
ให้เวลาคุณภาพ อยู่ใกล้ชิด ฟัง ให้กำลังใจเสมอ
ปรับบ้านให้เหมาะสม มีพื้นที่ปลอดภัย เดินสะดวก ไม่ลื่น
ดูแลตนเองด้วย ผู้ดูแลต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดีเช่นกัน

ข้อสรุป

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจทั้งทางการแพทย์และด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดของโรค ทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ควรร่วมมือกันวางแผนดูแลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

Q1: อาหารแบบใดเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง?

A: อาหารสด สะอาด ปรุงสุก มีโปรตีนสูง กากใยดี หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และสารกันบูด

Q2: ควรออกกำลังกายหรือไม่?

A: ควรออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น เดิน แกว่งแขน โยคะ หรือการกายภาพตามคำแนะนำของแพทย์

Q3: วิธีบรรเทาอาการคลื่นไส้หลังคีโมทำอย่างไร?

A: ให้รับประทานอาหารย่อยง่าย แบ่งมื้อเล็กๆ ดื่มน้ำขิง และพักผ่อนให้เพียงพอ หากรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เรื่องยาแก้คลื่นไส้

Q4: ดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ซึมเศร้าอย่างไร?

A: รับฟังโดยไม่ตัดสิน ส่งเสริมให้เข้าพบนักจิตวิทยา และดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลาย

Q5: ผู้ดูแลควรระวังอะไรเป็นพิเศษ?

A: อย่ารู้สึกผิดที่เหนื่อย ให้เวลาและพื้นที่ตนเองด้วย เพราะสุขภาพใจของผู้ดูแลส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจกว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

“Symptoms in 400 patients referred to palliative care services: prevalence and patterns”. Palliat Med. 17(4):310-314.

[/vc_column][/vc_row]

การตรวจและรักษามะเร็ง: วิธีวินิจฉัยและแนวทางการรักษาที่แม่นยำในปัจจุบัน

0
การตรวจและรักษามะเร็ง
การตรวจหาสารมะเร็งจาก จากการเจาะเลือดหรือเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งภายในร่างกาย

โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามะเร็งจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทุกกรณี แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกและการได้รับการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างมาก

ประเภทของการตรวจมะเร็ง

การตรวจคัดกรอง (Cancer Screening)

การตรวจคัดกรองเป็นการตรวจในบุคคลทั่วไปที่ยังไม่มีอาการของโรค เพื่อค้นหาความผิดปกติหรือสัญญาณเริ่มต้นของโรคมะเร็ง ตัวอย่างเช่น:

  • การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม
  • การตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยแป๊บสเมียร์
  • การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Marker)
  • การคลำหาก้อนผิดปกติด้วยตนเอง

การตรวจวินิจฉัย (Cancer Diagnosis)

ใช้กับผู้ที่มีอาการหรือผลตรวจคัดกรองผิดปกติแล้ว เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคและระยะของโรค โดยประกอบด้วย:

  • การตรวจเลือดเชิงลึก
  • การเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ (Biopsy)
  • การถ่ายภาพทางการแพทย์ (Imaging)
  • การตรวจพยาธิสภาพ (Histopathology)

วิธีการตรวจมะเร็งที่ใช้ในปัจจุบัน

วิธีตรวจ จุดเด่น ข้อจำกัด
Tumor Marker ตรวจง่าย รวดเร็ว ไม่สามารถใช้วินิจฉัยเดี่ยวได้ ต้องใช้ร่วมกับวิธีอื่น
Ultrasound ปลอดภัย เหมาะกับอวัยวะที่มีน้ำ ไม่เหมาะกับปอดหรือกระดูก
X-Ray ราคาถูก เห็นโครงสร้างพื้นฐาน เห็นแค่ 2 มิติ มีข้อกังวลเรื่องรังสี
CT Scan เห็นภาพ 3 มิติ ชัดเจน ราคาสูง ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
MRI ไม่ใช้รังสี เหมาะกับเนื้อเยื่อทุกส่วน ราคาสูง ใช้เวลานาน
Gastroscopy/Colonoscopy เห็นภายในจริง เก็บชิ้นเนื้อได้ ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายสูง
Histopathology ระบุชนิดมะเร็งได้แน่นอน ต้องเจ็บตัวจากการเก็บเนื้อเยื่อ

วิธีการรักษามะเร็ง

1. การผ่าตัด (Surgery)

  • เหมาะกับมะเร็งระยะแรกหรือตัดก้อนเนื้อที่อยู่เฉพาะที่
  • ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดในบางกรณี

2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

  • ใช้ยาหลายชนิดเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ผลข้างเคียง เช่น อาเจียน ผมร่วง ภูมิคุ้มกันลด

3. รังสีรักษา (Radiotherapy)

  • ใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่
  • เหมาะกับมะเร็งที่อยู่ตื้น เช่น ผิวหนัง เต้านม ช่องปาก

4. ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)

  • ใช้กับมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน เช่น เต้านม ต่อมลูกหมาก
  • ออกฤทธิ์โดยยับยั้งฮอร์โมนที่มะเร็งใช้ในการเจริญเติบโต

5. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

  • ใช้ยาจำเพาะที่ออกฤทธิ์ตรงจุด เช่น โปรตีนบนเซลล์มะเร็ง
  • ต้องตรวจยีนหรือโปรตีนก่อนเริ่มรักษา ค่าใช้จ่ายสูง

6. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็ง
  • ผลลัพธ์ดีในบางชนิด เช่น มะเร็งปอด ผิวหนังบางชนิด

7. การใช้ความร้อนเฉพาะที่ (Hyperthermia Therapy)

  • ใช้ความร้อนเพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดหรือรังสี
  • ปลอดภัย แต่ยังอยู่ในระยะทดลองและใช้จำกัด

แนวทางการเลือกวิธีการรักษา

ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่:

  • ชนิดของมะเร็ง (Type)
  • ระยะของมะเร็ง (Stage)
  • สภาพร่างกายของผู้ป่วย (Performance Status)
  • ความพร้อมของเครื่องมือแพทย์และทีมสหสาขา
  • ความต้องการของผู้ป่วย (Patient Preference)

แพทย์มักใช้วิธีแบบผสมผสาน (Multimodal Therapy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดผลข้างเคียง

ข้อสรุป

การตรวจและรักษามะเร็งมีความก้าวหน้าและแม่นยำมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเป้าหมายหลักคือการตรวจพบให้เร็วที่สุดและรักษาให้ตรงจุด การรู้จักทางเลือกในการวินิจฉัยและวิธีรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจและรักษามะเร็ง

Q1: ตรวจเลือดหามะเร็งได้หรือไม่?

A: ตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers) ได้ แต่ใช้ควบคู่กับการตรวจอื่นเท่านั้น ไม่สามารถวินิจฉัยเดี่ยวได้

Q2: วิธีไหนแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็ง?

A: การเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy) และตรวจพยาธิสภาพ (Histopathology) ถือว่าแม่นยำที่สุดในการยืนยันการเป็นมะเร็ง

Q3: การรักษาด้วยคีโมทุกคนต้องได้รับหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นเสมอไป แพทย์จะเลือกใช้เฉพาะรายที่เหมาะสมกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค

Q4: Targeted Therapy และภูมิคุ้มกันบำบัดเหมาะกับมะเร็งชนิดใด?

A: ใช้ได้ดีในบางมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านมชนิดเฉพาะ มะเร็งไต ต้องตรวจยีนก่อนใช้

Q5: ตรวจคัดกรองมะเร็งควรเริ่มเมื่อไร?

A: ควรเริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจกว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Loomis, D; Grosse, Y; Bianchini, F; Straif, K (2016) . “Body Fatness and Cancer — Viewpoint of the IARC Working Group”. N Engl J Med. 375:794-798. doi:10.1056/NEJMsr1606602. 

[/vc_column][/vc_row]

การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน: ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย ใจ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

0
การดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ป่วยเบาหวาน
การดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ป่วยเบาหวาน

เข้าใจโรคเบาหวาน: โรคที่ต้องควบคุมตลอดชีวิต

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้หากดูแลอย่างเหมาะสม แม้ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ แต่หากละเลย อาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาว เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม

เป้าหมายการรักษาผู้ป่วยเบาหวานคืออะไร?

แพทย์มุ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงใกล้เคียงค่าปกติ เพื่อชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยแผนการดูแลประกอบด้วย:

การควบคุมอาหาร

  • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
  • ลดของหวาน แป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
  • เลือกทานผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ
  • ปรับพฤติกรรมการกินให้เป็นนิสัยตลอดชีวิต

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

  • อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
  • ส่งเสริมการเผาผลาญ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดระดับน้ำตาล

การพบแพทย์และใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ

  • รับประทานยา/ฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งเท่านั้น
  • ห้ามหยุดยาเองแม้จะรู้สึกดีขึ้น
  • ติดตามตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือนเพื่อตรวจประสิทธิภาพการควบคุมเบาหวาน

จิตใจและอารมณ์: ปัจจัยสำคัญในการดูแลเบาหวาน

อารมณ์และสุขภาพจิตส่งผลต่อความร่วมมือในการรักษาและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย

ปฏิกิริยาทางอารมณ์ 4 รูปแบบที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ต่อต้าน: หงุดหงิด ไม่ยอมรับ ไม่ร่วมมือในการรักษา
  2. หลีกหนี: เปลี่ยนสถานพยาบาล หวังการรักษาที่หายขาด
  3. ปกปิด: แสร้งว่าไม่มีโรค เบี่ยงเบนพฤติกรรมเพียงเพื่อค่าตรวจในวันพบแพทย์ดูดี
  4. ยอมรับ: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตดี มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวและพร้อมเปลี่ยนแปลง

วิธีช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการรักษา

  • อธิบายโรคและแผนการดูแลให้เข้าใจง่าย
  • สนับสนุนเชิงบวกจากคนในครอบครัว
  • แสดงให้เห็นตัวอย่างของผู้ที่ดูแลเบาหวานได้สำเร็จ
  • เสริมกำลังใจโดยไม่ใช้อารมณ์บีบบังคับ

การดูแลสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยเบาหวาน

การนอนหลับ ความเครียด และพฤติกรรมประจำวัน

  • นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงความเครียดโดยฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลาย
  • หมั่นชั่งน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ควบคุมโรคยากขึ้น

การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยหลายคนละเลยการตรวจสุขภาพเมื่อไม่มีอาการผิดปกติ ทั้งที่โรคแทรกซ้อนมักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เช่น เบาหวานขึ้นตา จึงควรพบแพทย์อย่างน้อยทุก 3–6 เดือน พร้อมตรวจจอประสาทตา ไต และปลายประสาทประจำปี

การดูแลอวัยวะสำคัญเฉพาะด้านในผู้ป่วยเบาหวาน

การดูแลสุขภาพตา

  • พบจักษุแพทย์ตรวจจอประสาทตาปีละ 1 ครั้ง
  • หากมีอาการตามัว เห็นภาพซ้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพฟัน

  • แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟัน
  • พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจเหงือกและฟัน
  • หลีกเลี่ยงแผลในช่องปากเพราะติดเชื้อได้ง่าย

การดูแลผิวหนัง

  • อาบน้ำและเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกพับ รักแร้ ขาหนีบ
  • ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นหากผิวแห้ง
  • หากมีผื่น คัน ฝี หรือพุพอง ควรพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพเท้าแบบละเอียด

ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาปลายประสาทเสื่อม ทำให้ความรู้สึกลดลง หากเกิดแผลอาจไม่รู้ตัว และแผลจะหายช้าเนื่องจากเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ

การดูแลเท้าควรทำดังนี้:

  • ล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกนิ้ว
  • ตัดเล็บอย่างระมัดระวัง ไม่ตัดสั้นเกินไป
  • ทาครีมหรือโรยแป้งฝุ่นบางๆ หากผิวแห้งหรือชื้นง่าย
  • ตรวจเท้าทุกวัน มีแผล รอยแดง รอยแตก ควรพบแพทย์ทันที
  • เลือกถุงเท้าผ้าฝ้ายระบายอากาศดี เปลี่ยนทุกวัน
  • สวมรองเท้าที่นุ่ม กระชับ ไม่บีบเท้า และป้องกันแรงกระแทก
  • ห้ามเดินเท้าเปล่า แม้ในบ้าน เพื่อป้องกันบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

  • ไม่ควรเดินเท้าเปล่า หลีกเลี่ยงของมีคมทุกชนิด
  • ไม่ควรวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือแช่เท้าในน้ำร้อนโดยไม่ทดสอบอุณหภูมิก่อน
  • ไม่ควรตัดตาปลาหรือหนังด้านเอง
  • ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะทำให้หลอดเลือดตีบตันมากขึ้น

สรุป: ครอบครัวและผู้ป่วยต้องเดินไปด้วยกัน

การดูแลผู้ป่วยเบาหวานต้องอาศัยความเข้าใจทั้งจากตัวผู้ป่วยเองและบุคคลรอบข้าง ต้องมีความอดทนในการปรับพฤติกรรม และกำลังใจในการรักษา การดูแลไม่ใช่เพียงการให้ยาหรืออาหารเท่านั้น แต่รวมถึงการดูแลจิตใจ การติดตามอาการ และการใส่ใจในสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หากทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ผู้ป่วยเบาหวานก็สามารถมีชีวิตที่สมดุล แข็งแรง และมีความสุขได้ในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน

Q1: ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมอาหารแม้ไม่มีอาการหรือไม่?

A: จำเป็นมาก เพราะแม้ไม่มีอาการ แต่ระดับน้ำตาลอาจสูงโดยไม่รู้ตัว หากไม่ควบคุมอาหารจะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม

Q2: ควรพาผู้ป่วยเบาหวานไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน?

A: ควรพบแพทย์ทุก 3–6 เดือน และตรวจจอประสาทตา ไต และเท้าอย่างน้อยปีละครั้ง แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจไม่เจอจากอาการเพียงอย่างเดียว

Q3: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?

A: ได้และควรทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม หากมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจหรือปลายประสาทเสื่อม

Q4: การดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานต้องทำอย่างไร?

A: ต้องล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้งโดยเฉพาะซอกนิ้ว ห้ามเดินเท้าเปล่า และตรวจดูแผลหรือความผิดปกติทุกวัน ควรสวมรองเท้านุ่ม สบาย และไม่บีบเท้า หลีกเลี่ยงการตัดตาปลาด้วยตนเอง

Q5: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงมีปัญหาทางจิตใจได้ง่าย?

A: การรับรู้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้แต่การปฏิเสธโรค พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการรักษา หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากครอบครัวและทีมแพทย์

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง 

ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.

บุษบา จินดาวิจักษณ์. ยารักษาโรคเบาหวานใช้อย่างไร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล; 2553.

[/vc_column][/vc_row]

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเบาหวาน: แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อควบคุมน้ำตาลและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

0
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติอย่างสม่ำเสมอจะเกิดโรคแทรกซ้อน

ทำไมผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสในเลือดอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต เส้นประสาทเสื่อม หรือภาวะกรดคั่งในเลือดจากคีโทน

ความสัมพันธ์ของอินซูลินกับระดับน้ำตาลในเลือด

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน หากร่างกายผลิตอินซูลินไม่พอ หรือใช้อินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในภาวะเจ็บป่วย

เมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะเจ็บป่วย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด (Stress Hormones) เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลีน ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ร่างกายจะตอบสนองโดยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน แต่ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถปรับตัวเช่นนั้นได้ ทำให้เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลที่สูงจนถึงขั้นเป็นอันตราย

ภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทนคืออะไร

ในภาวะที่ไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะหันไปใช้ไขมันเป็นพลังงานแทน การเผาผลาญไขมันจะปล่อยสารคีโทนซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด หากสะสมมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะ “กรดคั่งในเลือดจากคีโทน (Diabetic Ketoacidosis, DKA)” โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิตได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยเบาหวานไม่สบาย

การตรวจระดับน้ำตาลและคีโทนอย่างถูกต้อง

  • ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4–6 ชั่วโมง
  • ผู้ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาล >240 มก./ดล.

ควรหยุดยาหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย?

  • ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยเด็ดขาด เว้นแต่แพทย์สั่งให้หยุด
  • อินซูลินควรฉีดตามขนาดเดิม แม้ไม่ได้ทานอาหารตามปกติ

การรับประทานอาหารและน้ำขณะป่วย

  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำซุป
  • จิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • หากอาเจียนหรือท้องเสียมาก อาจต้องใช้ ORS หรือน้ำเกลือแร่

แนวทางการฉีดอินซูลินระหว่างเจ็บป่วย

วิธีเพิ่มปริมาณอินซูลินชั่วคราว

ผู้ที่ฉีดอินซูลินประจำ อาจต้องเพิ่มขนาดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting Insulin) ชั่วคราวในช่วงเจ็บป่วย โดยพิจารณาจากระดับน้ำตาลและคีโทนในปัสสาวะ

ควรฉีดอินซูลินเพิ่มเมื่อไรและเท่าไร?

  • หากน้ำตาล >240 มก./ดล. หรือมีคีโทนในปัสสาวะมากกว่า 1 ระดับ
  • เพิ่มอินซูลิน 20% จากปริมาณรวมปกติ ตัวอย่าง:
    • ปกติฉีดรวมวันละ 40 ยูนิต → เพิ่ม 8 ยูนิต
  • ฉีดทุก 4–6 ชั่วโมง จนกว่าระดับน้ำตาลจะอยู่ในช่วง 100–240 มก./ดล. และไม่พบคีโทนในปัสสาวะ

เมื่อไรควรไปโรงพยาบาลทันที

ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้:

  • เจ็บป่วยนานเกิน 2–3 วันโดยไม่ดีขึ้น
  • อาเจียนหรือท้องเสียมากทุก 4–6 ชั่วโมง
  • รับประทานหรือดื่มได้น้อยมาก
  • มีอาการอ่อนเพลียผิดปกติหรือหมดสติ
  • เพิ่มขนาดอินซูลินแล้วยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ใน 1–2 วัน

เคล็ดลับการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การจัดอาหารและเลือกชนิดอาหาร

  • กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี
  • หลีกเลี่ยงของหวาน น้ำอัดลม ขนมอบ
  • เน้นผักสด โปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีจากปลาและถั่ว
  • ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละมื้อให้พอเหมาะ

การพักผ่อน การออกกำลังกาย และลดความเครียด

  • นอนหลับให้ได้ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
  • ออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความเครียด และฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก สมาธิ

การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือน (เป้าหมาย <7%)
  • ตรวจตา (จอตา) ทุกปีเพื่อป้องกันเบาหวานขึ้นตา
  • ตรวจเท้า ไต และระดับไขมันในเลือดประจำปี

สรุป: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้

การดูแลตนเองเป็นหัวใจของการควบคุมโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรรู้จักสังเกตอาการ รู้วิธีปรับขนาดยาอย่างปลอดภัย รักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม และขอคำปรึกษาแพทย์หากไม่แน่ใจ การมีวินัยในการดูแลตนเองไม่เพียงแต่ป้องกันภาวะแทรกซ้อน แต่ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และมีความสุขได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน

Q1: เมื่อติดเชื้อหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรหยุดใช้ยาไหม?

A: ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยพลการ แม้จะเจ็บป่วย หากไม่สามารถทานอาหารได้ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการปรับขนาดยา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน จำเป็นต้องฉีดต่อเนื่องเพื่อป้องกันระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ

Q2: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงเสี่ยงภาวะกรดคั่งในเลือดเวลาไม่สบาย?

A: เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (stress hormones) ซึ่งกระตุ้นตับให้สร้างน้ำตาลเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้เกิดคีโทนสะสมและเสี่ยงต่อภาวะกรดคั่งในเลือด (Diabetic Ketoacidosis)

Q3: เจาะเลือดตรวจน้ำตาลบ่อยแค่ไหนในช่วงป่วย?

A: ควรเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลทุก 4–6 ชั่วโมง และในผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลินควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมงเช่นกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับการดูแลได้ทันเวลา

Q4: ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 240 mg/dL ควรทำอย่างไร?

A: ควรฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วเพิ่มเติมประมาณ 20% จากขนาดยาปกติ และตรวจซ้ำทุก 4–6 ชั่วโมง หากยังไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน ควรไปโรงพยาบาลทันที

Q5: ออกกำลังกายได้หรือไม่เมื่อระดับน้ำตาลไม่คงที่?

A: ไม่ควรออกกำลังกายหากระดับน้ำตาล >250 mg/dL หรือมีคีโทนในปัสสาวะ เพราะเสี่ยงภาวะน้ำตาลสูงรุนแรง ควรรอให้ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงปลอดภัยก่อนเริ่มกิจกรรมทางกาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.

สิรินาถ วงศ์ภมรมนตรี. เราจะไม่เป็นเบาหวานในชาตินี้. กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559.

[/vc_column][/vc_row]