การตรวจและรักษามะเร็ง: วิธีวินิจฉัยและแนวทางการรักษาที่แม่นยำในปัจจุบัน

0
การตรวจและรักษามะเร็ง
การตรวจหาสารมะเร็งจาก จากการเจาะเลือดหรือเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งภายในร่างกาย

โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามะเร็งจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทุกกรณี แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกและการได้รับการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างมาก

ประเภทของการตรวจมะเร็ง

การตรวจคัดกรอง (Cancer Screening)

การตรวจคัดกรองเป็นการตรวจในบุคคลทั่วไปที่ยังไม่มีอาการของโรค เพื่อค้นหาความผิดปกติหรือสัญญาณเริ่มต้นของโรคมะเร็ง ตัวอย่างเช่น:

  • การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม
  • การตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยแป๊บสเมียร์
  • การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Marker)
  • การคลำหาก้อนผิดปกติด้วยตนเอง

การตรวจวินิจฉัย (Cancer Diagnosis)

ใช้กับผู้ที่มีอาการหรือผลตรวจคัดกรองผิดปกติแล้ว เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคและระยะของโรค โดยประกอบด้วย:

  • การตรวจเลือดเชิงลึก
  • การเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ (Biopsy)
  • การถ่ายภาพทางการแพทย์ (Imaging)
  • การตรวจพยาธิสภาพ (Histopathology)

วิธีการตรวจมะเร็งที่ใช้ในปัจจุบัน

วิธีตรวจ จุดเด่น ข้อจำกัด
Tumor Marker ตรวจง่าย รวดเร็ว ไม่สามารถใช้วินิจฉัยเดี่ยวได้ ต้องใช้ร่วมกับวิธีอื่น
Ultrasound ปลอดภัย เหมาะกับอวัยวะที่มีน้ำ ไม่เหมาะกับปอดหรือกระดูก
X-Ray ราคาถูก เห็นโครงสร้างพื้นฐาน เห็นแค่ 2 มิติ มีข้อกังวลเรื่องรังสี
CT Scan เห็นภาพ 3 มิติ ชัดเจน ราคาสูง ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
MRI ไม่ใช้รังสี เหมาะกับเนื้อเยื่อทุกส่วน ราคาสูง ใช้เวลานาน
Gastroscopy/Colonoscopy เห็นภายในจริง เก็บชิ้นเนื้อได้ ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายสูง
Histopathology ระบุชนิดมะเร็งได้แน่นอน ต้องเจ็บตัวจากการเก็บเนื้อเยื่อ

วิธีการรักษามะเร็ง

1. การผ่าตัด (Surgery)

  • เหมาะกับมะเร็งระยะแรกหรือตัดก้อนเนื้อที่อยู่เฉพาะที่
  • ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดในบางกรณี

2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

  • ใช้ยาหลายชนิดเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ผลข้างเคียง เช่น อาเจียน ผมร่วง ภูมิคุ้มกันลด

3. รังสีรักษา (Radiotherapy)

  • ใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่
  • เหมาะกับมะเร็งที่อยู่ตื้น เช่น ผิวหนัง เต้านม ช่องปาก

4. ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)

  • ใช้กับมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน เช่น เต้านม ต่อมลูกหมาก
  • ออกฤทธิ์โดยยับยั้งฮอร์โมนที่มะเร็งใช้ในการเจริญเติบโต

5. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

  • ใช้ยาจำเพาะที่ออกฤทธิ์ตรงจุด เช่น โปรตีนบนเซลล์มะเร็ง
  • ต้องตรวจยีนหรือโปรตีนก่อนเริ่มรักษา ค่าใช้จ่ายสูง

6. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็ง
  • ผลลัพธ์ดีในบางชนิด เช่น มะเร็งปอด ผิวหนังบางชนิด

7. การใช้ความร้อนเฉพาะที่ (Hyperthermia Therapy)

  • ใช้ความร้อนเพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดหรือรังสี
  • ปลอดภัย แต่ยังอยู่ในระยะทดลองและใช้จำกัด

แนวทางการเลือกวิธีการรักษา

ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่:

  • ชนิดของมะเร็ง (Type)
  • ระยะของมะเร็ง (Stage)
  • สภาพร่างกายของผู้ป่วย (Performance Status)
  • ความพร้อมของเครื่องมือแพทย์และทีมสหสาขา
  • ความต้องการของผู้ป่วย (Patient Preference)

แพทย์มักใช้วิธีแบบผสมผสาน (Multimodal Therapy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดผลข้างเคียง

ข้อสรุป

การตรวจและรักษามะเร็งมีความก้าวหน้าและแม่นยำมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเป้าหมายหลักคือการตรวจพบให้เร็วที่สุดและรักษาให้ตรงจุด การรู้จักทางเลือกในการวินิจฉัยและวิธีรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถวางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจและรักษามะเร็ง

Q1: ตรวจเลือดหามะเร็งได้หรือไม่?

A: ตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers) ได้ แต่ใช้ควบคู่กับการตรวจอื่นเท่านั้น ไม่สามารถวินิจฉัยเดี่ยวได้

Q2: วิธีไหนแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็ง?

A: การเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy) และตรวจพยาธิสภาพ (Histopathology) ถือว่าแม่นยำที่สุดในการยืนยันการเป็นมะเร็ง

Q3: การรักษาด้วยคีโมทุกคนต้องได้รับหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นเสมอไป แพทย์จะเลือกใช้เฉพาะรายที่เหมาะสมกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค

Q4: Targeted Therapy และภูมิคุ้มกันบำบัดเหมาะกับมะเร็งชนิดใด?

A: ใช้ได้ดีในบางมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านมชนิดเฉพาะ มะเร็งไต ต้องตรวจยีนก่อนใช้

Q5: ตรวจคัดกรองมะเร็งควรเริ่มเมื่อไร?

A: ควรเริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจกว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Loomis, D; Grosse, Y; Bianchini, F; Straif, K (2016) . “Body Fatness and Cancer — Viewpoint of the IARC Working Group”. N Engl J Med. 375:794-798. doi:10.1056/NEJMsr1606602. 

[/vc_column][/vc_row]

การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน: ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย ใจ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

0
การดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ป่วยเบาหวาน
การดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ป่วยเบาหวาน

เข้าใจโรคเบาหวาน: โรคที่ต้องควบคุมตลอดชีวิต

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้หากดูแลอย่างเหมาะสม แม้ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ แต่หากละเลย อาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาว เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม

เป้าหมายการรักษาผู้ป่วยเบาหวานคืออะไร?

แพทย์มุ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงใกล้เคียงค่าปกติ เพื่อชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยแผนการดูแลประกอบด้วย:

การควบคุมอาหาร

  • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
  • ลดของหวาน แป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
  • เลือกทานผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ
  • ปรับพฤติกรรมการกินให้เป็นนิสัยตลอดชีวิต

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

  • อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
  • ส่งเสริมการเผาผลาญ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดระดับน้ำตาล

การพบแพทย์และใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ

  • รับประทานยา/ฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งเท่านั้น
  • ห้ามหยุดยาเองแม้จะรู้สึกดีขึ้น
  • ติดตามตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือนเพื่อตรวจประสิทธิภาพการควบคุมเบาหวาน

จิตใจและอารมณ์: ปัจจัยสำคัญในการดูแลเบาหวาน

อารมณ์และสุขภาพจิตส่งผลต่อความร่วมมือในการรักษาและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย

ปฏิกิริยาทางอารมณ์ 4 รูปแบบที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ต่อต้าน: หงุดหงิด ไม่ยอมรับ ไม่ร่วมมือในการรักษา
  2. หลีกหนี: เปลี่ยนสถานพยาบาล หวังการรักษาที่หายขาด
  3. ปกปิด: แสร้งว่าไม่มีโรค เบี่ยงเบนพฤติกรรมเพียงเพื่อค่าตรวจในวันพบแพทย์ดูดี
  4. ยอมรับ: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตดี มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวและพร้อมเปลี่ยนแปลง

วิธีช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการรักษา

  • อธิบายโรคและแผนการดูแลให้เข้าใจง่าย
  • สนับสนุนเชิงบวกจากคนในครอบครัว
  • แสดงให้เห็นตัวอย่างของผู้ที่ดูแลเบาหวานได้สำเร็จ
  • เสริมกำลังใจโดยไม่ใช้อารมณ์บีบบังคับ

การดูแลสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยเบาหวาน

การนอนหลับ ความเครียด และพฤติกรรมประจำวัน

  • นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงความเครียดโดยฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลาย
  • หมั่นชั่งน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ควบคุมโรคยากขึ้น

การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยหลายคนละเลยการตรวจสุขภาพเมื่อไม่มีอาการผิดปกติ ทั้งที่โรคแทรกซ้อนมักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เช่น เบาหวานขึ้นตา จึงควรพบแพทย์อย่างน้อยทุก 3–6 เดือน พร้อมตรวจจอประสาทตา ไต และปลายประสาทประจำปี

การดูแลอวัยวะสำคัญเฉพาะด้านในผู้ป่วยเบาหวาน

การดูแลสุขภาพตา

  • พบจักษุแพทย์ตรวจจอประสาทตาปีละ 1 ครั้ง
  • หากมีอาการตามัว เห็นภาพซ้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพฟัน

  • แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟัน
  • พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจเหงือกและฟัน
  • หลีกเลี่ยงแผลในช่องปากเพราะติดเชื้อได้ง่าย

การดูแลผิวหนัง

  • อาบน้ำและเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกพับ รักแร้ ขาหนีบ
  • ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นหากผิวแห้ง
  • หากมีผื่น คัน ฝี หรือพุพอง ควรพบแพทย์ทันที

การดูแลสุขภาพเท้าแบบละเอียด

ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาปลายประสาทเสื่อม ทำให้ความรู้สึกลดลง หากเกิดแผลอาจไม่รู้ตัว และแผลจะหายช้าเนื่องจากเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ

การดูแลเท้าควรทำดังนี้:

  • ล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกนิ้ว
  • ตัดเล็บอย่างระมัดระวัง ไม่ตัดสั้นเกินไป
  • ทาครีมหรือโรยแป้งฝุ่นบางๆ หากผิวแห้งหรือชื้นง่าย
  • ตรวจเท้าทุกวัน มีแผล รอยแดง รอยแตก ควรพบแพทย์ทันที
  • เลือกถุงเท้าผ้าฝ้ายระบายอากาศดี เปลี่ยนทุกวัน
  • สวมรองเท้าที่นุ่ม กระชับ ไม่บีบเท้า และป้องกันแรงกระแทก
  • ห้ามเดินเท้าเปล่า แม้ในบ้าน เพื่อป้องกันบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

  • ไม่ควรเดินเท้าเปล่า หลีกเลี่ยงของมีคมทุกชนิด
  • ไม่ควรวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือแช่เท้าในน้ำร้อนโดยไม่ทดสอบอุณหภูมิก่อน
  • ไม่ควรตัดตาปลาหรือหนังด้านเอง
  • ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะทำให้หลอดเลือดตีบตันมากขึ้น

สรุป: ครอบครัวและผู้ป่วยต้องเดินไปด้วยกัน

การดูแลผู้ป่วยเบาหวานต้องอาศัยความเข้าใจทั้งจากตัวผู้ป่วยเองและบุคคลรอบข้าง ต้องมีความอดทนในการปรับพฤติกรรม และกำลังใจในการรักษา การดูแลไม่ใช่เพียงการให้ยาหรืออาหารเท่านั้น แต่รวมถึงการดูแลจิตใจ การติดตามอาการ และการใส่ใจในสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หากทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ผู้ป่วยเบาหวานก็สามารถมีชีวิตที่สมดุล แข็งแรง และมีความสุขได้ในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน

Q1: ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมอาหารแม้ไม่มีอาการหรือไม่?

A: จำเป็นมาก เพราะแม้ไม่มีอาการ แต่ระดับน้ำตาลอาจสูงโดยไม่รู้ตัว หากไม่ควบคุมอาหารจะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม

Q2: ควรพาผู้ป่วยเบาหวานไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน?

A: ควรพบแพทย์ทุก 3–6 เดือน และตรวจจอประสาทตา ไต และเท้าอย่างน้อยปีละครั้ง แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจไม่เจอจากอาการเพียงอย่างเดียว

Q3: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?

A: ได้และควรทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม หากมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจหรือปลายประสาทเสื่อม

Q4: การดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานต้องทำอย่างไร?

A: ต้องล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้งโดยเฉพาะซอกนิ้ว ห้ามเดินเท้าเปล่า และตรวจดูแผลหรือความผิดปกติทุกวัน ควรสวมรองเท้านุ่ม สบาย และไม่บีบเท้า หลีกเลี่ยงการตัดตาปลาด้วยตนเอง

Q5: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงมีปัญหาทางจิตใจได้ง่าย?

A: การรับรู้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้แต่การปฏิเสธโรค พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการรักษา หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากครอบครัวและทีมแพทย์

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง 

ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.

บุษบา จินดาวิจักษณ์. ยารักษาโรคเบาหวานใช้อย่างไร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล; 2553.

[/vc_column][/vc_row]

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเบาหวาน: แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อควบคุมน้ำตาลและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

0
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติอย่างสม่ำเสมอจะเกิดโรคแทรกซ้อน

ทำไมผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสในเลือดอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต เส้นประสาทเสื่อม หรือภาวะกรดคั่งในเลือดจากคีโทน

ความสัมพันธ์ของอินซูลินกับระดับน้ำตาลในเลือด

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน หากร่างกายผลิตอินซูลินไม่พอ หรือใช้อินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในภาวะเจ็บป่วย

เมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะเจ็บป่วย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด (Stress Hormones) เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลีน ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ร่างกายจะตอบสนองโดยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน แต่ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถปรับตัวเช่นนั้นได้ ทำให้เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลที่สูงจนถึงขั้นเป็นอันตราย

ภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทนคืออะไร

ในภาวะที่ไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะหันไปใช้ไขมันเป็นพลังงานแทน การเผาผลาญไขมันจะปล่อยสารคีโทนซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด หากสะสมมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะ “กรดคั่งในเลือดจากคีโทน (Diabetic Ketoacidosis, DKA)” โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิตได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยเบาหวานไม่สบาย

การตรวจระดับน้ำตาลและคีโทนอย่างถูกต้อง

  • ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4–6 ชั่วโมง
  • ผู้ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาล >240 มก./ดล.

ควรหยุดยาหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย?

  • ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยเด็ดขาด เว้นแต่แพทย์สั่งให้หยุด
  • อินซูลินควรฉีดตามขนาดเดิม แม้ไม่ได้ทานอาหารตามปกติ

การรับประทานอาหารและน้ำขณะป่วย

  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำซุป
  • จิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • หากอาเจียนหรือท้องเสียมาก อาจต้องใช้ ORS หรือน้ำเกลือแร่

แนวทางการฉีดอินซูลินระหว่างเจ็บป่วย

วิธีเพิ่มปริมาณอินซูลินชั่วคราว

ผู้ที่ฉีดอินซูลินประจำ อาจต้องเพิ่มขนาดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting Insulin) ชั่วคราวในช่วงเจ็บป่วย โดยพิจารณาจากระดับน้ำตาลและคีโทนในปัสสาวะ

ควรฉีดอินซูลินเพิ่มเมื่อไรและเท่าไร?

  • หากน้ำตาล >240 มก./ดล. หรือมีคีโทนในปัสสาวะมากกว่า 1 ระดับ
  • เพิ่มอินซูลิน 20% จากปริมาณรวมปกติ ตัวอย่าง:
    • ปกติฉีดรวมวันละ 40 ยูนิต → เพิ่ม 8 ยูนิต
  • ฉีดทุก 4–6 ชั่วโมง จนกว่าระดับน้ำตาลจะอยู่ในช่วง 100–240 มก./ดล. และไม่พบคีโทนในปัสสาวะ

เมื่อไรควรไปโรงพยาบาลทันที

ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้:

  • เจ็บป่วยนานเกิน 2–3 วันโดยไม่ดีขึ้น
  • อาเจียนหรือท้องเสียมากทุก 4–6 ชั่วโมง
  • รับประทานหรือดื่มได้น้อยมาก
  • มีอาการอ่อนเพลียผิดปกติหรือหมดสติ
  • เพิ่มขนาดอินซูลินแล้วยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ใน 1–2 วัน

เคล็ดลับการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การจัดอาหารและเลือกชนิดอาหาร

  • กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี
  • หลีกเลี่ยงของหวาน น้ำอัดลม ขนมอบ
  • เน้นผักสด โปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีจากปลาและถั่ว
  • ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละมื้อให้พอเหมาะ

การพักผ่อน การออกกำลังกาย และลดความเครียด

  • นอนหลับให้ได้ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
  • ออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความเครียด และฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก สมาธิ

การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือน (เป้าหมาย <7%)
  • ตรวจตา (จอตา) ทุกปีเพื่อป้องกันเบาหวานขึ้นตา
  • ตรวจเท้า ไต และระดับไขมันในเลือดประจำปี

สรุป: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้

การดูแลตนเองเป็นหัวใจของการควบคุมโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรรู้จักสังเกตอาการ รู้วิธีปรับขนาดยาอย่างปลอดภัย รักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม และขอคำปรึกษาแพทย์หากไม่แน่ใจ การมีวินัยในการดูแลตนเองไม่เพียงแต่ป้องกันภาวะแทรกซ้อน แต่ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และมีความสุขได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน

Q1: เมื่อติดเชื้อหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรหยุดใช้ยาไหม?

A: ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยพลการ แม้จะเจ็บป่วย หากไม่สามารถทานอาหารได้ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการปรับขนาดยา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน จำเป็นต้องฉีดต่อเนื่องเพื่อป้องกันระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ

Q2: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงเสี่ยงภาวะกรดคั่งในเลือดเวลาไม่สบาย?

A: เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (stress hormones) ซึ่งกระตุ้นตับให้สร้างน้ำตาลเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้เกิดคีโทนสะสมและเสี่ยงต่อภาวะกรดคั่งในเลือด (Diabetic Ketoacidosis)

Q3: เจาะเลือดตรวจน้ำตาลบ่อยแค่ไหนในช่วงป่วย?

A: ควรเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลทุก 4–6 ชั่วโมง และในผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลินควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมงเช่นกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับการดูแลได้ทันเวลา

Q4: ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 240 mg/dL ควรทำอย่างไร?

A: ควรฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วเพิ่มเติมประมาณ 20% จากขนาดยาปกติ และตรวจซ้ำทุก 4–6 ชั่วโมง หากยังไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน ควรไปโรงพยาบาลทันที

Q5: ออกกำลังกายได้หรือไม่เมื่อระดับน้ำตาลไม่คงที่?

A: ไม่ควรออกกำลังกายหากระดับน้ำตาล >250 mg/dL หรือมีคีโทนในปัสสาวะ เพราะเสี่ยงภาวะน้ำตาลสูงรุนแรง ควรรอให้ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงปลอดภัยก่อนเริ่มกิจกรรมทางกาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.

สิรินาถ วงศ์ภมรมนตรี. เราจะไม่เป็นเบาหวานในชาตินี้. กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559.

[/vc_column][/vc_row]