ต้นชิงชี่ พืชสมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณ 27 ข้อ

0
ต้นชิงชี่ พืชสมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณ 27 ข้อ ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษ
ต้นชิงชี่
ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษ

ต้นชิงชี่

ต้นชิงชี่ เป็นพืชขนาดเล็กพบได้ตามป่าดิบสมุนไพรพื้นบ้าน มักใช้ในชุมชนเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณยาแก้ไข้ สามารถช่วยกระทุ้งพิษ ถอนพิษได้รวมถึงนำรากมาต้มดื่มบำรุงหลังคลอดบุตรของสตรี แก้ไข้ กระทุ้งพิษ ถอนพิษได้เป็น
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของชิงชี่ คือ Capparis micracantha DC. อยู่ในวงศ์กุ่ม (CAPPARACEAE หรือ CAPPARIDACEAE) ชื่อชิงชี่ของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ค้อนกลอง แส้ม้าทลาย พุงแก ซิซอ หมากหมก หนวดแมวแดง น้ำนอง ค้อนฆ้อง ชายชู้ กระดาดป่า[1] กระดาษป่า[2] กระดาดขาว ราม แสมซอ เม็งซอ จิงโจ้ พวงมาระดอ พญาจอมปลวก กระโรกใหญ่ กิรขี้[2] กินขี้[3] น้ำนองหวะ ซาสู่ต้น ชิงชี แซ่ม้าลาย ชินซี่ ปู่เจ้าสมิงกุย ชิงวี่ แซ่สู่ต้น [1],[2],[3]

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้พุ่มหรือกึ่งเลื้อย ชิงชี่เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-6 เมตร กิ่งก้านอ่อนจะมีสีเขียว กิ่งคดไปมา ผิวจะเรียบเกลี้ยง มีหนามยาว 2-4 มิลลิเมตร มีลักษณะตรงหรือโค้งนิดหน่อย ลำต้นมีสีเทา ผิวของเปลือกต้นจะเป็นกระสีขาว แตกระแหง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ขึ้นได้ที่ตามสภาพดินที่แห้ง เขาหินปูนแห้งแล้ง ภูเขา หินปูนที่ใกล้ทะเล ทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าโปร่งทั่วไป พบเจอได้ทุกภาคของประเทศไทย ที่มีความสูงจากน้ำทะเลต่ำกว่า 500 เมตร พบเจอในต่างประเทศได้ที่ฟิลิปปินส์ อันดามัน อินโดจีน ไฮหนาน พม่า อินเดีย จีน มาเลเซีย [1],[3],[4],[7]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวจะออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่ หรือรูปรี ที่ปลายใบจะมน แหลม หรือเว้านิดหน่อยและเป็นติ่ง ขอบใบจะมนหรือค่อนข้างเว้า ส่วนที่ขอบใบจะเรียบ เป็นคลื่นเล็กน้อย ใบกว้าง 3-15 เซนติเมตร ยาว 9.5-24 เซนติเมตร ที่แผ่นใบจะค่อนข้างหนา มัน เกลี้ยง ที่หลังใบจะเรียบและเป็นมัน ท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 0.7-1 เซนติเมตร[4]
  • ดอก ออกดอกเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นแถวประมาณ 1-7 ดอก ดอกออกที่ตามซอกใบบริเวณที่ปลายกิ่ง จะออกเรียงอยู่เหนือง่ามใบ กลีบดอกมีสีขาว ร่วงง่าย มีอยู่ 2 กลีบ ด้านนอกจะมีสีขาวแต้มเหลืองจะเปลี่ยนเป็นแต้มสีม่วงปนกับสีน้ำตาล เป็นรูปขอบขนาน รูปหอก กว้าง 3-7 มิลลิเมตร ยาว 10-25 มิลลิเมตร จะมีต่อมน้ำหวานที่บริเวณโคนก้านดอก ดอกจะมีเกสรเพศผู้ที่เป็นเส้นเล็กฝอย ๆ เป็นสีขาวคล้ายกับหนวดแมวยาวออกมา มี 20-35 อัน มีก้านยาว รังไข่มีลักษณะเป็นรูปไข่ เกลี้ยง กลีบรองกลีบดอกจะเว้าเป็นรูปเรือแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 มิลลิเมตร ยาว 5.5-13 มิลลิเมตร ที่ขอบมักจะมีขน ก้านดอกยาว 1-2 เซนติเมตร ดอกออกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[4]
  • ผล เป็นผลสด ผลจะค่อนข้างกลมหรือรี ผิวของผลจะเรียบแข็งและเป็นมัน มี 4 ร่องที่ตามแนวยาวของผล ผลกว้าง 3-6.5 เซนติเมตร ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีดำ ในผลมีเมล็ดเป็นรูปไต มีสีแดงหรือสีดำเป็นมันอัดแก่นจำนวนมาก[1],[4]

สรรพคุณของชิงชี่

  • สามารถใช้รากเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตรของสตรีได้[4],[7]
  • สามารถรักษาอาการชาที่ตามร่างกายได้ (ใบ)[7]
  • สามารถตำต้นหรือทั้งต้น ใช้พอกแก้อาการช้ำบวมฟกบวม หรือตำรากกับใบ แล้วนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำบวมได้[1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • นำใบมาต้มกับน้ำ ใช้อาบ หรือต้มน้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคผิวหนัง (ใบ)[2],[3],[4]
  • เนื้อไม้สามารถใช้เป็นยากลางบ้าน รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี รักษาโรคกระเพาะ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ[7]
  • รากเป็นยาขับปัสสาวะได้[7]
  • รากเป็นยารักษาโรคที่เกิดในท้องได้[2],[3],[4]
  • ใบมาเผาสูดเอาควัน เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบได้[1],[4],[5],[7]
  • เมล็ดมาคั่วใช้เป็นยาแก้ไอได้[7] สามารถใช้รากเป็นยาแก้ไอที่เกิดจากหลอดลมอักเสบได้[4],[7]
  • เนื้อไม้เป็นยารักษาโรคหลอดลมอักเสบ รักษาอาการอักเสบที่เยื่อจมูกได้[7]
  • รากเป็นยาหยอดตาได้ ช่วยแก้โรคและช่วยรักษาดวงตา[3],[4]
  • ใบเข้ายาอาบ ช่วยรักษาโรคประดง (ใบ, ดอก[1],[2],[4],[5],[7])
  • รากกับใบสามารถช่วยกระทุ้งพิษไข้หัวได้ (อาการไข้ ผื่นหรือตุ่ม เช่น เหือด หัด อีสุกอีใส)[1],[4],[5]
  • ต้นมีรสขื่นปร่า สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[4],[7]
  • รากของชิงชี่อยู่ในตำรับยา พิกัดเบญจโลกวิเชียร หรือตำรายาแก้วห้าดวงหรือยาห้าราก เป็นตำรับยาที่มีรากของสมุนไพร 5 ชนิด คือ รากชิงชี่ รากคนทา รากมะเดื่อชุมพร รากเท้ายายม่อม รากย่านาง เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณยาแก้ไข้ สามารถช่วยกระทุ้งพิษ ถอนพิษได้[4]
  • ใบเข้ายาอาบหรือต้มดื่ม ช่วยแก้ตะคริวได้[1],[2],[4],[5],[7]
  • รากและดอกสามารถใช้เป็นยารักษามะเร็งได้ (แผลเรื้อรัง เน่าลุกลาม รักษายาก) [1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • ต้นสามารถช่วยขับน้ำเหลืองเสียได้[4],[7]
  • รากสามารถทำให้มดลูกเข้าอู่ได้[4],[7]
  • รักษาโรคกระเพาะได้ (ราก)[2],[4],[7]
  • รากใช้เป็นยาขับลมภายในให้ซ่านออกมาได้[1],[3],[4],[5],[7]
  • แก้อาการเจ็บในทรวงอกได้ (รากและใบ)[1],[4],[5]
  • ผลสามารถรักษาโรคที่เกิดในลำคอ และช่วยแก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ[2],[3],[4],[7]
  • รากกับใบเป็นยาแก้หืดได้ [1],[2],[4],[5]
  • รากจะมีสรรพคุณที่ช่วยแก้ไข้ร้อนภายในได้ทุกชนิด และช่วยแก้ไข้เพื่อดีกับโลหิต[2],[3],[4],[6] รากกับใบสามารถใช้เป็นยาระงับความร้อนได้[4]
  • สามารถรักษาไข้เพื่อดีกับเลือดได้ จะใช้ได้ดีในตอนต้นไข้ (ราก)[3]
  • ใบต้ม ใช้ดื่มเป็นยาแก้ไข้สันนิบาต คือไข้ที่มีอาการวิงเวียน ตาลาย เลือดกำเดาไหล แน่นหน้าอก และไข้พิษ
  • ฝีกาฬ คือฝีที่เกิดบริเวณนิ้วมือ สีดำ ทำให้ปวดศีรษะและแสบร้อน อาจจะทำให้แน่นิ่งไป[1],[2],[3],[4],[5],[7]

ประโยชน์ของชิงชี่

  • ต้นชิงชี่เป็นไม้เล็กสามารถปลูกในพื้นที่แคบได้ สามารถตัดแต่งได้ง่าย ดอกจะออกดก มีกลิ่นหอม ดูแปลกตา ดูเหมือนเปลี่ยนสีจากกลีบสีเหลืองเป็นกลีบสีแดงเข้ม ที่จริงแล้วเป็นแหล่งน้ำหวานเปลี่ยนสีได้ มีก้านเกสรเป็นจำนวนมาก มีลักษณะโค้งได้รูปมองดูแปลกตา สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้[7]
  • ผลสุกของชิงชี่จะมีรสหวาน สามารถทานได้[4],[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ชิงชี่ (Chingchi)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 107.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ชิงชี่”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 94.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ชิงชี่”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 270-271.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [6 มี.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [6 มี.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ชิงชี่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [6 มี.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ชิงชี่”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [6 มี.ค. 2014].

รูปอ้างอิงจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก

0
ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ผลมีกลิ่นหอม เนื้อกรอบรสชาติหวาน
ชมพู่น้ำดอกไม้
ผลไม้พันธุ์โบราณหาทานยาก ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ผลมีกลิ่นหอม เนื้อกรอบรสชาติหวาน

ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศพบได้ในพื้นที่เขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลไม้ชนิดนี้ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นแห้งแล้ง และสามารถทนต่อความหนาวเย็นในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ ซึ่งเนื้อมีสีเหลืองรสชาติหวาน กลิ่นหอม กรอบอร่อยสามารถกินดิบหรือสุกก็ได้ จัดอยู่ในวงศ์ตระกูล Myrtaceae

ชื่อสามัญของชมพู่น้ำดอกไม้ คือ Rose Apple, Malabar Plum, Jambu, Chom pu, Chom-phu, Pomme Rosa , พลัมโรส, มะละกาพลัม
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของชมพู่น้ำดอกไม้ คือ Syzygium jambos (L.) Alston[1]
ชื่อชมพู่น้ำดอกไม้ของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะซามุด มะห้าคอกลอก ชมพู่น้ำ ยามูปะนาวา มซามุด ฝรั่งน้ำ

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นจะค่อนข้างเรียบ มีสีน้ำตาล มีถิ่นกำเนิดที่ภูมิภาคอินโด-มาลายัน พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง เติบโตได้ดีในดินที่ความชื้นเหมาะสม แดดส่องเต็มวัน มีสายพันธุ์หลัก 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์จากประเทศไทยผลจะมีสีเขียวอ่อน และพันธุ์จากประเทศมาเลเซียผลจะมีสีแดง จะมีผลหลังปลูกได้ประมาณ 2 ปี จะชอบขึ้นตามป่าราบ และพบเจอการปลูกตามสวนเพื่อนำมารับประทานหรือนำมาขายเป็นสินค้า[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอกเรียวยาว ส่วนที่ปลายใบจะแหลมและเป็นติ่งแหลม โคนใบมนรี ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-17 เซนติเมตร ที่แผ่นใบหนาและมีสีเขียวเข้ม[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจะ ดอกจะออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3-8 ดอก กลีบดอกมีสีขาว, สีเหลืองอ่อน ลักษณะของฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวย มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก[2]
  • ผล เป็นผลสดสามารถรับประทานได้ เป็นผลเดี่ยว ลักษณะเกือบกลม มีกลีบเลี้ยงที่ปลายผลอยู่ 4 กลีบ ในผลกลวง มีกลิ่นหอม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม ผลดิบมีสีเขียวเข้ม ผลสุกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทอง ด้านมนมีเนื้อบางมีสีขาวนวลหรือสีเขียวอ่อน มีเมล็ดขนาดใหญ่ เมล็ดมีสีน้ำตาล ออกผลช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2]

วิธีการปลูกหรือขยายพันธุ์

สามารถปลูกด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอน และเกลี่ยดินกลบ นำใบตองมาปิดบริเวณโคนต้น จะช่วยเก็บความชื้น รดน้ำวันละ 2 ครั้ง การกิ่งตอนให้ทำไม้ปักยึดผูกกับต้นไว้ ป้องกันการโค่นล้ม การป้องกันไม่ให้ต้นเฉา ให้นำมาปลูกที่ใกล้บริเวณริมคลอง ชอบน้ำ ควรปลูกให้ห่างกับบ้านประมาณ 2 เมตร ปลูกง่าย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง แต่ต้องห่อผลด้วยถุงพลาสติกป้องกันแมลง

สรรพคุณของชมพู่น้ำดอกไม้

  • ใบสดมาต้มกับน้ำ สามารถใช้ล้างแผลสดได้[5]
  • ใช้เป็นยาแก้ท้องเสียได้[2] และสามารถใช้เปลือกต้น เป็นยาแก้ท้องร่วงได้[5]
  • ใบเป็นยาลดไข้[3]
  • เปลือก ต้น เมล็ด มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้เบาหวาน[2]
  • สามารถนำผลมาปรุงเป็นยาชูกำลัง[2]
  • ใบสดมาตำแล้วพอก ใช้รักษาโรคผิวหนังได้[5]
  • เมล็ดมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้โรคบิดได้[5]
  • ใบ เป็นยาแก้ตาอักเสบได้[3]
  • ผลช่วยแก้ลมปลายไข้ได้[2]
  • ผลเป็นยาบำรุงหัวใจ[2]

ประโยชน์ของชมพู่น้ำดอกไม้

  • สามารถนำเปลือกมาสกัดเป็นสารที่ให้สีน้ำตาล
  • ผลมีสีที่สวยงามสามารถรับประทานได้ มีกลิ่นหอม รสหวาน จัดเป็นไม้หายาก ทำให้ผลมีราคาแพง[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
สารสกัดจากอะซิโตนกับน้ำจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus warneri, Staphylococcus cohnii, Yersinia enterocolitica, Staphylococcus aureus, Staphylococcus hominis สารที่สำคัญในการออกฤทธิ์ต้านเชื้อ คือ สารแทนนิน [4]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการชมพู่น้ำดอกไม้ 100 กรัม พลังงาน 25 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 17 ไมโครกรัม (2%)
วิตามินบี1  0.02 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.8 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินซี 22.3 มิลลิกรัม (27%)
โปรตีน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
น้ำ 93 กรัม
โพแทสเซียม 123 มิลลิกรัม (3%)
ฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม (1%)
สังกะสี 0.06 มิลลิกรัม (1%)
แมกนีเซียม 5 มิลลิกรัม (1%)
แคลเซียม 29 มิลลิกรัม (3%)
แมงกานีส 0.029 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 0.07 มิลลิกรัม (1%)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชมพู่น้ำาดอกไม้”. หน้า 242-243.
พืชไม้ผล, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/fruit.htm. [28 ส.ค. 2014].
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน, โรงเรียนสตรีนครสวรรค์. “ชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sns.ac.th. [28 ส.ค. 2014].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านจุลชีพจากเปลือกต้นชมพู่น้ำดอกไม้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [28 ส.ค. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “ชมพู่น้ำดอกไม้เพชรน้ำบุษย์ ผลทั้งปีหวานหอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thairath.co.th. [28 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
https://www.growables.org/information/TropicalFruit/RoseApple.htm

เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน

0
เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน เป็นพรรณไม้น้ำจืด ผลสีแดงขนาดเล็ก เมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ เป็นยาแผนโบราณพื้นบ้านอีสาน
เฉียงพร้านางแอ
เฉียงพร้านางแอ พรรณไม้พื้นบ้านใช้ทำเครื่องจักสาน เป็นพรรณไม้น้ำจืด ผลสีแดงขนาดเล็ก เมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ เป็นยาแผนโบราณพื้นบ้านอีสาน

เฉียงพร้านางแอ

เฉียงพร้านางแอ เป็นพรรณไม้น้ำจืดพบได้ทั่วไปขึ้นเองตามธรรมชาติบริเวณป่าชายเลนน้ำจืด ริมลำธาร และหนองน้ำ มีผลไม้สีแดงขนาดเล็กจำนวนมากที่กินได้ ใบและเปลือกของต้นเฉียงพร้านางแอใช้เป็นยาแผนโบราณ ยาพื้นบ้านอีสาน โดยเฉพาะรักษาโรคทางช่องปากและคอ ต้มน้ำดื่มบำรุงร่างกาย และใช้เป็นยาเจริญอาหารสำหรับสตรีหลังคลอดเป็นต้น ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Carallia brachiata (Lour.) Merr. จัดอยู่ในวงศ์โกงกาง (RHIZOPHORACEAE)[1],[2],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า แก็ก วงคต วงคด องคต (ลำปาง), บงคด (แพร่), นกข่อ ส้มป้อง (เชียงใหม่), ขิงพร้า เขียงพร้า (ตราด, ประจวบคีรีขันธ์), กวางล่าม้า (ภาษาชอง-ตราด), เฉียงพร้า ตะแบง (สุรินทร์), ร่มคมขวาน (กรุงเทพ), สีฟันนางแอง (ภาคเหนือ), ต่อไส้ สันพร้านางแอ (ภาคกลาง), คอแห้ง สีฟัน (ภาคใต้), สะโข่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), กูมุย (เขมร-สุรินทร์), ม่วงมัง หมักมัง (ปราจีนบุรี), โองนั่ง (อุตรดิตถ์), บงมัง (ปราจีนบุรี, อุดรธานี), เขียงพร้านางแอ (ชุมพร) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของเฉียงพร้านางแอ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 25-30 เมตร และอาจจะสูงได้ถึง 35 เมตร ลำต้นเปลา ตั้งตรง เป็นทรงเรือนยอดทรงพุ่มรูปกรวยกว้างและทึบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอมแดงถึงสีน้ำตาลอมเทา ผิวเปลือกเรียบ และมีรูอากาศมาก หรือเปลือกต้นหนาและแตกเป็นร่องลึกตามยาว อาจพบเห็นเป็นลักษณะคล้ายรากค้ำจุนแบบ Prop root เป็นเส้นยาว หรือออกเป็นกระจุกตามตัวลำต้นหรือส่วนโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และมีการกระจายพันธุ์ในป่าเบญจพรรณ ป่าพรุน้ำจืด ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ตั้งแต่พื้นที่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 1,300 เมตร แต่ในภูมิภาคมาเลเซียนั้นจะพบที่ระดับความสูง 1,800 เมตร[1],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามและสลับกับตั้งฉาก ใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอกกลับ ตรงปลายใบเป็นมนมีติ่งเล็กแหลม ส่วนฐานของใบนั้นเป็นสอบแหลม ขอบใบเรียบ มีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ส่วนก้านใบยาวประมาณ 0.4-1 เซนติเมตร แผ่นใบผิวเกลี้ยงมีความหนาและเหนียว หลังใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันหนา แต่ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า และมีจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ และมีหูใบอ่อนเป็นรูปหอกแหลมที่ตรงปลายกิ่ง เมื่อใบร่วงจะเห็นเป็นรอยแผลของใบ ตรงบริเวณข้อพองเล็กน้อย [1],[4]
  • ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงแบบกระจุกสั้น ๆ มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีขนาดที่เล็กเรียงตัวกันอย่างแน่นหนาเป็นช่อกลม โดยจะออกไปตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง แตกแขนงเป็น 4 กิ่ง กลีบดอกแยกเป็นอิสระจากกัน กลีบดอกเป็นสีครีม กลีบเป็นรูปกลม ขอบกลีบหยักเว้าพับจีบ โคนกลีบเป็นสอบแหลมเป็นก้านติดเรียงสลับกันกับกลีบเลี้ยง ดอกนั้นมีเกสรเพศผู้เป็น 2 เท่าของกลีบดอกและมีความยาวไม่เท่ากัน ส่วนจานฐานของดอกนั้นเป็นรูปวง มีรังไข่เป็นพู 3-4 พู มีการออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[4]
  • ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ลักษณะของผลเป็นทรงกลม มีขนาดเล็ก และออกผลกันเป็นกระจุก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ตรงปลายผล รูปลักษณ์คล้ายมงกุฎ ผิวผลดูเป็นมัน มีเนื้อบาง ๆ สีเขียวห่อหุ้มอยู่ ผลเมื่อตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่ผลเมื่อตอนสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเมื่อสุกจัด ผลมีเมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ มีเนื้อเยื่อหนาสีส้ม ลักษณะเมล็ดเป็นรูปไต ตัวผลจะสุกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[1],[4]

สรรพคุณของเฉียงพร้านางแอ

1. แก่นนั้นช่วยขับลมได้ (แก่น)[4]
2. เปลือกต้นช่วยแก้บิด (เปลือกต้น)[1],[4]
3. เปลือกต้นสามารถแก้พิษผิดสำแดง (หมายถึง การที่กินอาหารแสลงอาการไข้ ทำให้อาการของโรคกำเริบ และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย) ด้วยการใช้ลำต้นผสมกันกับลำต้นแคด เปลือกของต้นตับเต่า แล้วนำมาต้มกับน้ำเพื่อดื่ม (เปลือก)[1],[4]
4. เปลือกต้นนั้นยังช่วยในการสมานแผลได้ด้วย (เปลือกต้น)[1],[4]
5. ข้อมูลจากทางเภสัชวิทยาของเฉียงพร้านางแอ ระบุไว้ว่าสารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินมีฤทธิ์ในการแก้แพ้ ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้เล็กน้อยในสัตว์ที่ทำการทดลอง และไม่พบว่ามีพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง[4]
6. ลำต้นนำไปต้มน้ำดื่มช่วยบำรุงร่างกาย (ต้น)[1],[3],[4]
7. ลำต้นนำเอามาต้มกับน้ำดื่มช่วยทำให้เจริญอาหาร หรือจะใช้เป็นยาเจริญอาหารสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร (ต้น)[1],[3],[4]
8. ลำต้นนำมาฝนน้ำดื่มช่วยในการแก้ไข้ หรือจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาอาการเป็นไข้ตัวร้อนก็ได้ (ต้น, เปลือกต้น)[1],[3],[4]
9. เปลือกต้นมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการร้อนใน อาการกระหายน้ำ (เปลือกต้น)[1],[4] และยังสามารถช่วยระบายความร้อนได้อีกด้วย (เปลือกต้น)[4]
10. เปลือกต้นนั้นช่วยในการขับเสมหะและโลหิต ปิดธาตุ (เปลือกต้น)[1],[4]

ประโยชน์ของเฉียงพร้านางแอ

1. ผลสุกรับประทานได้ มีรสเปรี้ยวอมหวาน[2],[4]
2. ต้นเฉียงพร้านางแอ เป็นไม้ที่ไม่ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง และดอกมีกลิ่นหอม จึงเหมาะจะปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาหรือเป็นไม้ประดับ[1]
3. ต้นเฉียงพร้านางแอ จัดอยู่ในพรรณไม้ที่โตเร็ว จึงเป็นพรรณไม้ที่นำมาปลูกป่าป้องกันอุทกภัยได้[1]
4. เนื้อไม้เฉียงพร้านางแอ เป็นไม้ที่คงทนแข็งแรงเป็นอย่างมากและมีลายไม้ที่สวยงาม จึงนำมาใช้ในการก่อสร้างทั่ว ๆ ไปได้เป็นอย่างดี ทำเป็นเครื่องมือทางการเกษตร ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือจะใช้ทำฟืนเผาถ่านให้ความร้อนสูงก็ได้อีกด้วย[1]
5. ผลสุกเป็นอาหารที่โปรดปรานของนก กระรอก และสัตว์ป่าขนาดเล็กหลายชนิด ผลของพรรณไม้ชนิดนี้จึงสามารถช่วยดึงดูดสัตว์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี[1]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.พรรณไม้เพื่อปลูกป่าป้องกันอุทกภัย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [17 ธ.ค. 2013].
2.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [17 ธ.ค. 2013].
3.หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4: กกยาอีสาน (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).
4.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เฉียงพร้านางแอ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [17 ธ.ค. 2013]

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/guide_taxa/334540
2.https://www.natureloveyou.sg/Carallia%20brachiata/Main.html
3.https://www.territorynativeplants.com.au/carallia-brachiata-bush-current

เงาะ ผลไม้เมืองร้อนมีดีมากกว่ารสชาติความอร่อย

0
เงาะ ผลไม้เมืองร้อนมีดีมากกว่ารสชาติความอร่อย เป็นไม้ผลเมืองร้อนขนาดกลาง ผลแก่และขนมีสีแดง เนื้อสีขาว เมล็ดแบนรูปไข่เปลือกหุ้มสีน้ำตาล
เงาะ
ผลแก่และขนมีสีแดง เนื้อสีขาว เมล็ดแบนรูปไข่เปลือกหุ้มสีน้ำตาล เป็นไม้ผลเมืองร้อนขนาดกลาง รสชาติความอร่อย 

เงาะ

เงาะ เป็นผลไม้เมืองร้อนมีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และได้แพร่ขยายเข้ามาปลูกในประเทศไทยในภายหลัง ซึ่งจะนิยมปลูกกันในภาคใต้และภาคตะวันออก ส่วนสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเพาะปลูกมากที่สุดก็ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน (เงาะโรงเรียน) พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ นั้นก็มีปลูกกันบ้างประปราย
ชื่อสามัญ Rambutan ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Nephelium lappaceum L. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เงาะป่า (นครศรีธรรมราช), พรวน (ปัตตานี), กะเมาะแต มอแต อาเมาะแต (มาเลย์ปัตตานี) เป็นต้น

ประโยชน์ของเงาะ

1. ช่วยในการบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส
2. ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก
3. ช่วยแก้อาการท้องร่วงอย่างรุนแรงได้
4. มีส่วนช่วยในการรักษาโรคบิด และท้องร่วงได้อีกด้วย
5. สามารถใช้เป็นยาแก้อักเสบได้
6. มีฤทธิ์ในการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
7. สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น การนำไปทำเป็นเงาะกระป๋อง กวน เป็นต้น
8. มีสารแทนนิน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง การย้อมสีผ้า การบำบัดน้ำเสีย นำไปทำเป็นปุ๋ย และผลิตกาวได้ เป็นต้น
9. สารแทนนินสามารถช่วยป้องกันแมลง แถมยังยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ และสามารถนำไปใช้ทำเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเงาะกระป๋องน้ำเชื่อมต่อ 100 กรัม พลังงาน 82 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 20.87 กรัม
เส้นใย 0.21 กรัม
ไขมัน 0.65 กรัม
โปรตีน 2.5 กรัม
วิตามินบี 1 0.013 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 2 0.022 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 1.352 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 6 0.02 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม 2%
วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแคลเซียม 22 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.35 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 7 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.343 มิลลิกรัม 16%
ธาตุฟอสฟอรัส 9 มิลลิกรัม 1%
ธาตุโพแทสเซียม 42 มิลลิกรัม 1%
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

โทษของเงาะ

  • สารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร การรับประทานในปริมาณมากเกินไปนั้น อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกได้ เพราะฉะนั้นควรรับประทานอย่างพอประมาณ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด
  • เมล็ดมีพิษ ! ห้ามรับประทานด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีไข้ได้ ถึงแม้จะมีการนำไปคั่วจนสุกแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, กรมวิชาการเกษตร, กรมส่งเสริมการเกษตร

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.bangaloreagrico.in/product/rambutan-bud-grafted-fruit-live-plant-bangalore-agrico/
2.https://healthyfamilyproject.com/produce-tips/rambutan/

แครนเบอร์รี่ วิตามินซีสูงตัวช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา

0
แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ วิตามินซีสูงตัวช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา เป็นไม้ทรงพุ่มแคระผลัดใบ ผลเล็กออกเป็นพวงสีแดงสด รสเปรี้ยวอมหวาน
แครนเบอร์รี่
ผลเล็กออกเป็นพวงสีแดงสด รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นไม้ทรงพุ่มแคระผลัดใบ 

แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีประโยชน์เหนือกว่าสายพันธ์ในตระกลูเบอร์รี่ทั่งไป ซึ่งมีลักษณะเป็นไม้เลื้อยผลสีแดงสด มีรสเปรี้ยวหวาน แม้ผลเล็กแต่อุดมไปด้วยวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีวิตามินซีสูงสามารถชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา และเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ชื่อสามัญ คือ Cranberry จัดอยู่ในวงศ์ ERICACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Vaccinium subg. Oxycoccus

สรรพคุณของแครนเบอร์รี่

1. ช่วยทำให้ร่างกายสามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้หลังเกิดอาการชัก[2]
2. ช่วยป้องกันโรคเหงือก[2]
3. ช่วยรักษาแผลในช่องท้อง[2]
4. การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ 500 มิลลิกรัม แล้วดื่มน้ำตาลอีก 1,500 มิลลิลิตร สามารถช่วยป้องกันการตกตะกอนของ Calcium oxalate ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของนิ่วในไตได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว[7]
5. ช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ[2]
6. ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ ขจัดกลิ่นปัสสาวะได้ดี (บ้างว่าใช้แก้อาการปวดปัสสาวะแบบกระปริบกระปอยได้ด้วย)[2]
7. ช่วยรักษาและป้องกันโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย (ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ระบุว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 30 ml. จะช่วยลดจำนวนของแบคทีเรียในปัสสาวะลง และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะได้ดี เพราะผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย)[2]
8. ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli)[2] (มีรายงานว่าผู้หญิงที่ได้รับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่อย่างต่อเนื่อง จะช่วยยับยั้งการยึดเกาะตัวของเชื้ออีโคไลได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.0001) เมื่อเทียบกับหญิงที่ไม่ได้รับสารสกัดจากผลแครนเบอร์รี่)[5]
9. สามารถช่วยยับยั้ง ป้องกัน และรักษาการเกิดนิ่วในไตได้[2],[3]

ประโยชน์ของแครนเบอร์รี่

1. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต[2]
2. การรับประทานเป็นประจำสามารถช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมองได้[2]
3. วิตามินซีในแครนเบอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น เกลี้ยงเกลา ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน[2]
4. เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาวได้ดี[2]
5. แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูง และยังประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Catechins, Quinic acid, Hippuric acid, Proanthocyanidins, Triterpenoids, และ Tannin จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม[2]
6. ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านการก่อกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย[2]
7. สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมากและอื่น ๆ ได้อีกมากมาย[4]
8. โดยสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Proanthocyanidins) จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสาร Proanthocyanidins สามารถยับยั้งกลไกการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหลายกลไก และพบว่าเป็นตัวเลือดที่ดีที่จะนำไปพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งต่อไป[14]
9. มีผลในการทำลายเซลล์มะเร็งรังไข่ได้ โดยสาร Proanthocyanidins จะเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตายลง หรือเมื่อร่วมกับยารักษามะเร็งรังไข่ ก็จะไปช่วยเสริมฤทธิ์ยาในการลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[15]
10. สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลองได้[3] Proanthocyanidins ที่พบได้มากในผลแครนเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนมะเร็งและนำไปสู่การตายของเซลล์มะเร็งปอด[13]
11. สาร Proanthocyanidins ในผลมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด[2]
12. แครนเบอร์รี่ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Anthocyanin, Flavonoids, Proanthocyanidins) โดยที่ Flavonoids จะไปยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันเลว (LDL) ทำให้ป้องกันเกิด Oxidized LDL ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบและอุดตันได้[8]
13. ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ในเลือด ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย[2]
14. สารต้านอนุมูลอิสระสามารถเหนี่ยวนำให้ตัวรับไขมันเลว (LDL) ที่ตับทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้เพิ่มการขับออกของไขมันเลวจากระบบไหลเวียนของเลือด และเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ตับเพื่อขับออกได้ จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้[9]
15. อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีนแครนเบอรี่ (Lutein & Zeaxanthin) ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา และช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต้อกระจก และโรคจอตาเสื่อมได้[10]
16. สาร Proanthocyanidins ที่ได้จากน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น สามารถช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่สร้างมาจากเซลล์ gingival fibroblasts ได้ เช่น interieukin (IL-6,IL-8) และ PGE(2) ในโรคปริทันต์ จึงส่งผลให้สามารถช่วยลดขบวนการอักเสบได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี ที่จะสามารถพัฒนาเป็นสารช่วยในการรักษาโรคปริทันต์ (Perlodontitis) ต่อไป[10]
17. แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้จากธรรมชาติที่สามารถป้องกันและต่อสู้กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารปัสสาวะได้ดีที่สุด โดยแครนเบอร์รี่นั้นได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการในเภสัชตำรับของสหรัฐอเมริกา (U.S. Pharmacopeia) ให้เป็นยาที่ใช้รักษาปัญหาเหล่านี้อย่างได้ผล (แต่ยังมีข้อโต้แย้งจากนักวิชาการเพียงไม่กี่คนว่า แครนเบอร์รี่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรด จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อตาย หรือเพียงแต่ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะกับผนังของกระเพาะปัสสาวะ)[1],[2]
18. คนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น (ไม่ผสมน้ำตาล) วันละ 300 ml. ทุกวัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้อีก ซึ่งจากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์กับผลการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ พบว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้สูงถึง 50% นอกจากนี้สามารถช่วยป้องกันการยึดเกาะของแบคทีเรียกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองผลไม้ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงการเกิดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน[1],[2]
19. การรับประทานสารสกัดจากแครนเบอร์รี่ในขนาด 500 มิลลิกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับยา Trimethoprim ในการป้องกันการเป็นซ้ำของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ พบว่าสารสกัดจากแครนเบอร์รี่สามารถป้องกันได้ แต่จะได้ผลน้อยกว่ายา Trimethoprim อย่างไรก็ตามผู้ป่วยให้การยอมรับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่มากกว่า Trimethoprim เนื่องจากแครนเบอร์รี่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลข้างเคียงต่ำกว่าในการทำให้เชื้อดื้อยา และการเกิดติดเชื้อรา และ Clostridium difucile ซ้ำซ้อน อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าด้วย[6]
20. ผลแครนเบอร์รี่สามารถนำไปทำเป็นลิปมัน เพื่อใช้ป้องกันริมฝีปากแห้งแตกในช่วงฤดูหนาวได้ โดยใช้ผลแครนเบอร์รี่ 10 ผล นำมาผสมกับน้ำมันสวีทอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ช้อนชา และน้ำมันวิตามินอี 1 หยด นำไปต้มจนเดือด แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปบดให้ละเอียดผ่านกระชอน เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาทาปากเวลาปากแห้ง (เป็นข้อมูลจากกระปุก)
21. ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแครนเบอร์รี่มีวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ แครนเบอร์รี่อบแห้ง ซอส แยม อาหารเสริมทั้งในรูปแบบชงและแบบแคปซูล และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลไม้แครนเบอร์รี่ไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จึงสามารถรับประทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ[2]
22. ในวงการแพทย์ต่างก็ให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าแครนเบอร์รี่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของน้ำผลไม้สด สารสกัดแบบบรรจุแคปซูล แบบชงดื่ม ต่างก็มีประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะภายในช่องท้องของสตรี ที่มักประสบปัญหาการอักเสบขึ้นภายในและการอั้นปัสสาวะ เมื่อได้รับประทานอย่างต่อเนื่องก็จะเห็นผลดีขึ้น[2]
23. แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งในรูปของผลสด ผลตากแห้ง น้ำคั้น หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มประเภทสมูทตี้ผลไม้ก็ได้ ด้วยการนำส้มคั้นลูกขนาดกลาง 1 ลูก เกรปฟรุต 1/2 ลูกคั้นเอาแต่น้ำใส่ลงในเครื่องปั่น แล้วเติมผลแครนเบอร์รี่ 2 กำมือ และกล้วยอีก 1 ผลลงไป ปั่นจนเข้ากัน แล้วนำมาดื่ม จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้[3]
24. น้ำแครนเบอร์รี่มีส่วนประกอบของ High molecular weight non-dialyzable material ที่สามารถช่วยยับยั้งการยึดเกาะและการรวมตัวกันของแบคทีเรียในช่องปากได้หลายชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทางช่องปาก การเกิดคราบหินปูน และจุลินทรีย์บนผิวฟัน และยังช่วยลดอาการฟันผุ และป้องกันโรคเหงือกอักเสบได้อีกด้วย[11]
25. การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 250 มิลลิลิตร ร่วมกับการได้รับยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร จะสามารถเพิ่มอัตราการฆ่าเชื้อได้สูงขึ้นในเพศหญิงที่ติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในกระเพาะอาหาร[12]

คุณค่าทางโภชชนาการ

คุณค่าทางโภชชนาการของแครนเบอร์รี่ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 46 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 12.2 กรัม
น้ำตาล 4.04 กรัม
ใยอาหาร 4.6 กรัม
ไขมัน 0.13 กรัมน้ำแครนเบอร์รี่
โปรตีน 0.39 กรัม
น้ำ 87.13 กรัม
วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม (0%)
เบต้าแคโรทีน 36 ไมโครกรัม (0%)
ลูทีน และ ซีแซนทีน 91 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.012 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี2 0.02 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.101 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี5 0.295 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี6 0.057 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี9 1 ไมโครกรัม (0%)
วิตามินซี 13.3 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินอี 1.2 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินเค 5.1 ไมโครกรัม (5%)
แคลเซียม 8 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 0.25 มิลลิกรัม (2%)
แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม (2%)
แมงกานีส 0.36 มิลลิกรัม (17%)
ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม (2%)
โพแทสเซียม 85 มิลลิกรัม (2%)
โซเดียม 2 มิลลิกรัม (0%)
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม (1%)

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือวิตามินไบเบิล. (ดร.เอิร์ล มินเดลล์). “แครนเบอร์รี่ (Cranberry)”. หน้า 245.
2. THE CRANBERRY INSTITUTE. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cranberryinstitute.org. [05 ส.ค. 2014].
3. สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. (ดร.นัฐพล ตั้งสุภูมิ). “แครนเบอร์รี่ดีกับสุขภาพจริงหรือ?”.
4. J. Nutr. “Cranberry and Its Phytochemicals: A Review of In Vitro Anticancer Studies.” (Catherine C. Neto)
5. Int J Immunopathol Pharmacol. “Inhibitory activity of cranberry extract on the bacterial adhesiveness in the urine of women: an ex-vivo study.” (Tempera G, Corsello S, Genovese C, Caruso FE, Nicolosi D.)
6. J Antimicrob Chemother. “Cranberry or trimethoprim for the prevention of recurrent urinary tract infections? A randomized controlled trial in older women.” (McMurdo ME, Argo I, Phillips G, Daly F, Davey P.)
7. BJU Int. “Influence of cranberry juice on the urinary risk factors for calcium oxalate kidney stone formation.” (McHarg T, Rodgers A, Charlton K.)
8. Life Sci. “Cranberries inhibit LDL oxidation and induce LDL receptor expression in hepatocytes.” (Chu YF, Liu RH.)
9. J Indian Soc Periodontol. “Inhibitory effect of cranberry juice on the colonization of Streptococci species: An in vitro study.” (Sethi R, Govila V.)
10. Eur J Oral Sci. “Cranberry components inhibit interleukin-6, interleukin-8, and prostaglandin E production by lipopolysaccharide-activated gingival fibroblasts.” (Bodet C, Chandad F, Grenier D.)
11. J Antimicrob Chemother. “Effect of a high-molecular-weight component of cranberry on constituents of dental biofilm.” (Steinberg D, Feldman M, Ofek I, Weiss EI.)
12. Mol Nutr Food Res. “Effect of cranberry juice on eradication of Helicobacter pylori in patients treated with antibiotics and a proton pump inhibitor.” (Shmuely H, Yahav J, Samra Z, Chodick G, Koren R, Niv Y, Ofek I.)
13. Molecules. “Cranberry proanthocyanidins mediate growth arrest of lung cancer cells through modulation of gene expression and rapid induction of apoptosis.” (Laura A. Kresty, Amy B. Howell, Maureen Baird)
14. Nutr Cancer. “North American cranberry (Vaccinium macrocarpon) stimulates apoptotic pathways in DU145 human prostate cancer cells in vitro.” (MacLean MA, Scott BE, Deziel BA, Nunnelley MC, Liberty AM, Gottschall-Pass KT, Neto CC, Hurta RA.)
15. Phytother Res. “Cranberry proanthocyanidins are cytotoxic to human cancer cells and sensitize platinum-resistant ovarian cancer cells to paraplatin.” (Singh AP, Singh RK, Kim KK, Satyan KS, Nussbaum R, Torres M, Brard L, Vorsa N.)
16. .Br J Clin Pharmacol. “Effect of high-dose cranberry juice on the pharmacodynamics of warfarin in patients.” (Mellen CK, Ford M, Rindone JP.)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.berriesgroup.cz/en/cranberry-vaccinium-oxycoccus/
2.https://www.flickr.com/photos/warrenlynn/2756431965

คอแลน หรือลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก

0
คอแลน
คอแลน หรือลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว เมล็ดมีพิษรับประทานเมล็ดไม่ได้
คอแลน
ลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว เมล็ดมีพิษรับประทานเมล็ดไม่ได้

คอแลน

คอแลน เป็นผลไม้ที่ใกล้จะสูญพันธุ์เนื่องจากคนไม่ค่อยปลูก เพราะไม่นิยมรับประทาน อาจเป็นเพราะมีรสเปรี้ยวต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธ์ุให้มีรสหวานขึ้นและลูกใหญ่กว่าพันธุ์เดิม
ชื่อสามัญ Korlan ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Nephelium hypoleucum Kurz ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น บักแงว คอลัง ลิ้นจี่ป่า มะแงว กะเบน หมากแวว หมากแงว หมักงาน สังเครียดขอน มะแงะ หมักแงว อยู่ในวงศ์เดียวกับลำไย ลิ้นจี่ มามอนซีโย เงาะ เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว รับประทานเมล็ดไม่ได้เพราะเมล็ดมีพิษ

ลักษณะบักแงว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกเรียบเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เรือนยอดเป็นพุ่ม
  • ใบ เนื้อหนา มีสีเขียว ใบออกเป็นช่อเรียงสลับ มีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกม หรือรูปไข่กลับถึงรูปรี ติดตรงข้ามประมาณ 1-3 คู่ โคนใบมนและเบี้ยว ส่วนขอบใบจะเรียบ ที่หลังใบเกลี้ยงและเป็นมัน ท้องใบสีจาง
  • ดอก มีขนาดที่เล็ก ออกดอกเป็นช่อที่ตามปลายกิ่ง ดอกมีสีขาวอมเขียว ที่ช่อดอกจะมีขนสีเทา ส่วนโคนกลีบรองดอกติดกัน ปลายจะแยกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน รังไข่มีลักษณะกลมและมีขน ไม่มีกลีบดอก
  • ผล มีลักษณะรีถึงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ผิวขรุขระ จะเป็นปมเล็ก ๆ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีแดงเข้ม ในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด จะมีเนื้อเยื่อใส ๆ กับน้ำหุ้มเมล็ด

สรรพคุณของบักแงว

  • สามารถใช้เป็นยาระบายได้
  • สามารถช่วยลดความเครียดได้
  • สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ทำให้ชุ่มคอ
  • ช่วยป้องกันเชื้อหวัดและไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้
  • สามารถช่วยการย่อยอาหารได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างสมาธิได้
  • สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มพลังงานได้

ประโยชน์ของบักแงว

  • ไม้มีเนื้อเหนียว แข็ง ละเอียด สามารถนำไปใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรได้
  • ผลที่แก่สามารถรับประทานได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งที่มา
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เล่ม 1, เว็บไซต์องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, www.cookingmail.com

อ้างอิงรูปจาก
kaset.today

แคนตาลูป ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน

0
แคนตาลูป ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น เป็นเถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีขนอ่อนปกคลุม ประเทศไทยปลูกได้ทั่วทุกภาค
แคนตาลูป
ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น เป็นเถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีขนอ่อนปกคลุม ประเทศไทยปลูกได้ทั่วทุกภาค

แคนตาลูป

แคนตาลูป เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย แต่มีผู้นำผลไม้ชนิดนี้ไปปลูกที่ประเทศอิตาลีในเมือง “แคนตาลูโป (Cantalupu)” ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโรม จึงเป็นที่มาของชื่อผลไม้ชนิดนี้ โดยผลไม้ชนิดนี้ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2478 โดยมีการปลูกครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนได้มีการนำมาทดลองปลูกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ปรากฏว่าได้ผลดี โดยปัจจุบันแหล่งปลูกที่สำคัญในประเทศไทยอยู่ที่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร
แคนตาลูป (Cantaloupe) หรือ แตงแคนตาลูป, แคนตาลูป
มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ “Cucumis melo L. var. cantaloupensis” ชื่ออื่น คนไทยจึงนิยมเรียกกันว่า แตงเทศ, แตงฝรั่ง, แตงไทยฝรั่ง

ลักษณะ

  • เป็นพืชล้มลุก เป็นเถาเลื้อยมีขนอ่อนปกคลุม มีอายุสั้นมีเพียงปีเดียวหรือฤดูเดียว มีลำต้นเดี่ยว ลำต้นมีลักษณะกลมๆ เถาแก่มีสีเขียวปนน้ำตาล
  • ราก มีระบบรากแก้ว แทงลึกลงในดิน มีลักษณะทรงกลม จะมีรากแขนงรากฝอยเล็กๆ ออกรอบตามแนวราบ มีสีน้ำตาล
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะทรงรูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม ขอบใบมีรอยหยัก มีใบขนาดใหญ่ มีก้านใบยาว มีขนปกคลุม มีสีเขียว
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ มีลักษณะคล้ายแตร กลีบดอกมีสีเหลือง กลีบเลี้ยงมีสีเขียว มีก้านดอกยาว ดอกเพศเมีย มีผลเล็กๆติดมาด้วย ดอกตัวผู้ไม่มีผลเล็กๆติดมา
  • ผล มีลักษณะทรงกลม มีเปลือกแข็ง ผิวเรียบหรือผิวมีลายตาข่ายนูนสีขาวทั่วผล ตามสายพันธุ์ ผลมีสีเขียว สีเหลือง สีส้ม หรือสีขาวครีม ตามสายพันธุ์ ข้างในมีเนื้อสีส้ม สีเขียวอมขาว หรือสีเหลือง เนื้อนุ่มชุ่มน้ำ จะมีเมล็ดสีครีมแทรกอยู่ มีรสชาติหวานเย็น มีกลิ่นหอม
  • เมล็ด อยู่ภายในผล จะมีหลายเมล็ดอยู่ในเนื้อ เมล็ดมีลักษณะแบนรีๆ เมล็ดอ่อนมีสีขาวนวล เมล็ดแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน

สรรพคุณของแคนตาลูป

1. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
2. มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
3. มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ
4. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
5. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
6. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
7. ช่วยเสริมสร้างภูมิร่างกายให้แก่ร่างกาย
8. มีส่วนช่วยในเรื่องของการเกิดสมาธิ
9. ช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
10. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
11. ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
12. ช่วยบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
13. ช่วยในการขับน้ำนม
14.ช่วยในการขับเหงื่อ
15. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
16. ช่วยในการลดไข้
17. ช่วยดับร้อน แก้กระหาย
18. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
19. ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของแคนตาลูปต่อ 100 กรัม พลังงาน 34 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 8.16 กรัม
น้ำตาล 7.86 กรัม
เส้นใย 0.9 กรัม
ไขมัน 0.19 กรัม
โปรตีน 0.84 กรัม
วิตามินเอ 169 ไมโครกรัม 21%
เบตาแคโรทีน 2,020 ไมโครกรัม 19%
ลูทีนและซีแซนทีน 26 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.041 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 2 0.019 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.734 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 5 0.105 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 6 0.072 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 21 ไมโครกรัม 5%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 36.7 มิลลิกรัม 44%
วิตามินเค 2.5 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 9 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.21 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.41 มิลลิกรัม 20%
ธาตุฟอสฟอรัส 15 มิลลิกรัม 2%
โพแทสเซียม 267 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโซเดียม 16 มิลลิกรัม 1%
ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 2%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คำเตือน : “ไม่ควรรับประทานติดต่อกันมากจนเกินไป เนื่องจากแคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ดูแลยาก มีปัญหาเรื่องโรคต่าง ๆ และแมลงต่าง ๆ มากมาย โดยการปลูกแคนตาลูปนั้นต้องใช้ยาที่แรงและฉีดค่อนข้างบ่อย บางคนฉีดยาไม่เว้นแต่ละวัน แม้กระทั่งวันเก็บผลผลิตขายก็ยังฉีดอยู่ จนยามันสะสมไว้ในลูกแคนตาลูป การรับประทานเข้าไปก็อาจจะสะสมไว้ในร่างกายได้เรื่อย ๆ ซึ่งอันตรายมาก” คำสัมภาษณ์จากลุงลอง นายลิขิต เคลื่อนดอน ผู้ปลูกแคนตาลูปในจังหวัดสระแก้ว

วิธีทำน้ำแคนตาลูปปั่น

1. ปอกเปลือกแคนตาลูปแล้วนำเมล็ดออก
2. นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กประมาณ 1 ถ้วย
3. น้ำส้มคั้นครึ่งถ้วย
4. มะนาว 1 ช้อนชา
5. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
6. ปั่นจนได้ที่ และนำใส่แก้ว
เสร็จแล้วน้ำแคนตาลูป

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง

1. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), บทสัมภาษณ์จากลุงลอง (นายลิขิต เคลื่อนดอน)
2. www.thai-thaifood

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.gardeningknowhow.com/edible/fruits/cantaloupe/growing-cantaloupe.htm
2.https://www.halfyourplate.ca/produce/fruits/cantaloupe/

ไข่เน่าผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ต้านมะเร็ง

0
ไข่เน่าผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ต้านมะเร็ง สุกผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำรสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ
ไข่เน่า
ผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง รสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ

ไข่เน่า

ไข่เน่า เมื่อสุกผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำมีสรรพคุณทางตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น รากใช้แก้ท้องร่วง เจริญอาหาร ขับพยาธิแก้บิด บำรุงธาตุ บำรุงสมอง บรรเทาอาการปวดหัว เป็นลดไข้ และปวดประจำเดือน รวมถึงสารสกัดยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและต้านมะเร็ง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Vitex glabrata R.Br. จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE) ชื่อพื้นเมือง : ไข่เน่า Khai nao, คมขวาน Khom khwan, ฝรั่งโคก Farang khok (ภาคกลาง), ขี้เห็น Khi hen (เลย, อุบลราชธานี), ปลู Khmer-Surin (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ลักษณะของไข่เน่า

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-25 เมตร ผิวลำต้นนั้นเกลี้ยงมีสีหม่นและมีด่างเป็นดวงสีขาวๆ ส่วนบางข้อมูลระบุเอาไว้ว่าเปลือกมีสีเทาหรือสีน้ำตาลแกมสีเหลือง ผิวเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด หรือเป็นร่องตื้นตามความยาวของตัวลำต้น ในส่วนของกิ่งอ่อนและยอดอ่อนนั้นจะมีขนนุ่ม ๆ ขึ้นปกคลุม กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ส่วนลำต้นเป็นทรงเรือนยอดรูปกรวย การแตกกิ่งนั้นต่ำเติบโตได้ดีในพื้นที่แห้งแล้ง เริ่มออกผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 3-4 ปีหลังจากการปลูก จะพบได้ตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบทั่วไป และวิธีการขยายพันธุ์คือขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
  • ใบ มีใบประกอบแบบนิ้วมือ อยู่เรียงตรงข้ามสลับกันเป็นแนวตั้งฉาก มีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบเป็นสีเขียวเข้มคล้ายกับใบงิ้ว ลักษณะเหมือนรูปไข่กลับ หรือรูปรีแกมรูปไข่กลับ ใบมีขนาดที่ไม่เท่ากัน ปลายใบนั้นแหลมเป็นติ่ง ส่วนตรงโคนใบนั้นเป็นสอบแหลมหรือเป็นมน ขนาดใบกว้างประมาณ 3-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-22 เซนติเมตร ผิวใบด้านบนจะเกลี้ยงมีสีเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ส่วนท้องใบจะมีสีที่อ่อนกว่า และมีขนสั้น ๆ อยู่ประปราย ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1-7 เซนติเมตร ส่วนก้านช่อใบจะยาวอยู่ประมาณ 7-20 เซนติเมตร[1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง ดอกมีขนาดที่เล็กและมีกลิ่นหอม กลีบดอกสีม่วงอ่อนหรือมีสีม่วงอมชมพูหรือสีขาวมีแดงเรื่อ ๆ ก็มี[7]) กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดกว้าง และมีขนละเอียดอยู่ประปรายที่ดอก[1],[2],[3],[4] ดอกตอนบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร[8] ดอกจะเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือในต่างต้นต่างดอกก็ได้ และออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[7]
  • ผล หรือ ลูก เป็นรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ผลกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร ขั้วผลเป็นรูปกรวยกว้าง ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนผลเมื่อตอนสุกจะเป็นสีม่วงดำ ผลนั้นมีเนื้อที่อ่อนนุ่ม และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ส่วนเมล็ดมีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย และมีการสันนิษฐานว่า ชื่อน่าจะมาจากลักษณะและสีของผลนั่นเอง[1],[2],[3],[4] โดยผลแก่นั้นจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[7]

สรรพคุณของไข่เน่า

1. ผลรับประทานได้ กินแล้วช่วยบำรุงสมองได้ (ผล)[7]
2. ผลอุดมไปด้วยแคลเซียม ที่ช่วยในการบำรุงกระดูก ช่วยแก้อาการกระดูกผุสำหรับผู้สูงอายุได้ดี (ผล)[7]
3. รากทำให้เจริญอาหาร (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
4. ผลสุกรับประทานได้ ช่วยในการรักษาโรคเบาหวาน (ผล, เปลือกต้น)[1],[4],[7]
5. ราก เปลือกต้น และผล ช่วยแก้ตานขโมย (ตานขโมย หรือก็คือโรคพยาธิในเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผอมแห้ง ซูบซีด มีอาการท้องเดิน และก้นปอด) (ราก, เปลือกต้น, ผล)[1],[2],[4],[7]
6. เปลือกต้นมีฤทธิ์รักษาพิษตานซาง (เปลือกต้น)[7]
7. เปลือกต้นสามารถแก้ไข้ได้ (เปลือกต้น)[1],[3],[7]
8. ผลและเปลือกผล แก้โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นนัยน์ตา (ผล[1],[4], เปลือกผล[7])
9. เปลือกต้นมีรสชาติฝาด สามารถแก้อาการท้องเสียได้ (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
10. รากและเปลือกต้นมีฤทธิ์แก้บิด (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
11. รากช่วยในการรักษาอาการท้องร่วง (ราก)[7]
12. เปลือกต้นช่วยแก้อาการเด็กถ่ายเป็นฟอง (เปลือกต้น)[2],[7]
13. เปลือกต้นมีฤทธิ์ขับพยาธิในเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร (เปลือกต้น)[3],[7] ส่วนรากก็มีฤทธิ์ในการขับพยาธิไส้เดือน (ราก)[7]
14. เปลือกผลช่วยในการรักษาโรคกระเพาะหรือโรคลำไส้อักเสบในเด็กทารก (เปลือกผล)[7]
15. ตัวผลนั้นช่วยในระบบขับถ่าย (ผล)[7]
16. ผลสามารถช่วยบำรุงระบบเพศได้ (ผล)[7]
17. ผลมีฤทธิ์ช่วยบำรุงไต (ผล)[7]
18. เนื้อไม้ช่วยแก้เลือดตกค้าง (เนื้อไม้)[1],[4]
19. หมอยาโบราณนั้นนิยมใช้เปลือกของต้นมาต้มรวมกับรากเต่าไห้ ปรุงเป็นยารักษาโรคซางในเด็กและเป็นยาขับพยาธิ (เปลือกต้น)[3]

ข้อมูลเพิ่มเติม : เปลือกต้นมีสารจำพวกสเตีอรอยด์ (Steroid)ที่มีชื่อว่า -sitosterol และ ecdysterone และ anguside (p-hydroxybenzoic ester of aucubin

ประโยชน์ของไข่เน่า

1. ผลสุกรับประทานสดเป็นผลไม้ได้ แต่มีรสชาติหวานเอียน ไม่ค่อยอร่อยมากนัก ซึ่งหากใส่เกลือป่นหรือจิ้มกับเกลือจะมีรสชาติที่ดีขึ้น[3] หรือจะนำไปคลุกเคล้ากับเกลือแล้วนำไปผึ่งแดดเก็บไว้รับประทาน หรือจะรับประทานสด ๆ หรือนำเอาไปดองกับน้ำเกลือก็ได้เช่นกัน[7]
2. ผลนำไปทำขนมที่เรียกว่า “ขนมไข่เน่า” ได้อีกด้วย โดยวิธีการทำนั้นก็คล้ายกับการทำขนมกล้วย แต่จะเปลี่ยนจากกล้วยเป็นไข่เน่า โดยการหยอดใส่ใบตองรูปทรงเป็นกรวยแหลม แล้วเอามะพร้าวขูดโรยหน้าก่อนจะนำไปนึ่ง[7]
3. ต้นเป็นไม้ยืนต้นมีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี และเป็นไม้ที่น่าปลูกไว้สะสม เพราะในปัจจุบันเริ่มที่จะหายากลงขึ้นทุกที โดยมักนิยมปลูกไว้เป็นร่มเงาเนื่องจากต้นไม่ผลัดใบนั่นเอง[7]
4. เนื้อไม้ของต้นแข็งแรง สามารถนำมาทำเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องเรือน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th. [4 พ.ย. 2013].
2.อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [4 พ.ย. 2013].
3.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ไข่เน่า, ฝรั่งโคก”. (ฉันท์ฐิตา ธีระวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [4 พ.ย. 2013].
4.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ไข่เน่า”. (มะลิวัลย์ ชื่นอารมย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [4 พ.ย. 2013].
5.แหล่งเรียนรู้ ศูนย์ค้ำคูณ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดขอนแก่น. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: khonkaen.nfe.go.th. [4 พ.ย. 2013].
6..ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [4 พ.ย. 2013].
7.GotoKnow. “ไข่เน่า”. (นายอานนท์ ภาคมาลี (หมอแดง)). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [4 พ.ย. 2013].
8.ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (FBD). สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [4 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/taxa/170272-Vitex-glabrata/browse_photos
2.https://www.facebook.com/KasetTanin/posts/2548157848771125/

เขยตาย แม่ยายปก ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย

0
เขยตาย
เขยตาย แม่ยายปก ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเรียบสีน้ำตาลแดง ใบประกอบแบบขนนก ดอกช่อ กลีบเลี้ยงสีเขียวเชื่อมติดกัน กลีบดอกสีขาวมีขนอ่อน ผลสดทรงกลมขนาดเล็กสีชมพูใสฉ่ำน้ำ มีรสหวาน
เขยตาย
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ผลสดทรงกลมขนาดเล็กสีชมพูใสฉ่ำน้ำ มีรสหวาน

เขยตาย

เขยตาย (Khoei Tai) เป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นมีขนาดที่เล็ก ซึ่งที่มาของพืชชนิดนี้มีตำนานเล่าว่า ลูกเขยกับแม่ยายไปทำไร่บนภูเขา ขากลับลูกเขยถูกงูกัดตาย แม่ยายจึงตัดต้นไม้มาคลุมร่างเอาไว้กันอุจาด จากนั้นจึงไปตามคนในหมู่บ้าน แต่เมื่อกลับไปที่เกิดเหตุก็พบว่าลูกเขยฟื้นขึ้นมาแล้ว เนื่องจากต้นไม้ที่แม่ยายชักปรกไว้นั้น มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษ

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Glycosmis pentaphylla (Retz.) DC. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Glycosmis arborea (Roxb.) DC. ชื่อวงศ์ RUTACEAE
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ส้มชื่น ศรีชมชื่น น้ำข้าวต้น พิษนาคราช พุทธรักษา (สุโขทัย), ประยงค์ใหญ่ (กรุงเทพฯ), กระรอกน้ำ กระรอกน้ำข้าว (ชลบุรี), มันหมู (ประจวบคีรีขันธ์), เขนทะ ส้มชื่น (ภาคเหนือ), ส้มชื่น (ภาคอีสาน), กระโรกน้ำข้าว เขยตายแม่ยายชักลาก ลูกเขยตาย น้ำข้าว (ภาคกลาง), เขยตายแม่ยายชักปรก ลูกเขยตาย ลูกเขยตายแม่ยายทำศพ ต้มชมชื่น น้ำข้าว โรคน้ำเข้า หญ้ายาง (ภาคใต้), ชมชื่น เขยตายแม่ยายปรก ลูกเขยตายแม่ยายทำศพ ตาระเป (บางภาคเรียก), ต้นเขยตาย (ตามตำรายาเรียก) เป็นต้น

ลักษณะของเขยตาย

  • ต้นเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นมีขนาดที่เล็ก สูงได้ประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำตั้งแต่โคนต้นเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นเป็นเหลี่ยม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลอมเทา ผิวลำต้นตกกระเป็นวงสีขาว ใบออกดกทึบ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นพืชในเขตร้อนของทวีปเอเชียและออสเตรเลีย พบได้ในอินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ประเทศในแถบคาบสมุทรอินโดจีน สุมาตราและชวา ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ตามชายป่าและหมู่บ้าน
  • ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับตรงข้ามกันหรือกึ่งตรงข้ามกัน มีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมถึงกลม โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบนั้นจะเรียบหรือมีรอยจักตื้น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-14 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ ผิวใบทั้งสองด้านมีจุดต่อม หลังใบเรียบและลื่นมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนท้องใบก็เรียบเช่นกันแต่สีอ่อนกว่า ใบที่อยู่ด้านบน ๆ ฐานจะมีสีแดง
  • ดอกออกเป็นช่อเชิงลดแยกแขนงหรือออกดอกเป็นกระจุกประมาณ 12-15 ดอก มีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีขนาดเล็ก ดอกมีสีขาว ส่งกลิ่นหอม โดยดอกนั้นจะออกไปตามซอกใบและที่ปลายของกิ่ง กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลีบทั้งสิ้น 5 กลีบ ขนาด 4-5 x 2-2.5 มิลลิเมตร เรียงกลีบซ้อนกันเป็นวง ผิวมีต่อมจุด กลีบมีลักษณะรูปไข่กลับ ส่วนกลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกัน ปลายจะแยกออกเป็น 5 แฉก ยาวประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร เป็นรูปแหลมกึ่งรูปไข่ มีขนอ่อน ๆ ที่ส่วนปลาย มีใบประดับหุ้มไว้ ชั้นบนจะมี 5 กลีบใหญ่ และมีส่วนย่อยเล็ก ๆ อีกเป็นหลายอัน มีต่อมซึ่งเป็นร่อง ส่วนก้านชูดอกมีขนาดที่สั้นมาก เกสรเพศเมียออกเรียงรูปเป็นวง ตรงกลางแกนดอกมีเกสรเพศผู้เป็นแท่ง รังไข่มีขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร เป็นรูปไข่ ดอกมีเกสรเพศผู้ 8-10 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 2-3 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
  • ผลเป็นรูปทรงกลมมีขนาดที่เล็ก โดยมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.18 เซนติเมตร ปลายผลนั้นแหลม ผิวเรียบ ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูใส มีความดูฉ่ำน้ำ และมีรสชาติหวาน มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม สีดำ และเป็นลาย ติดผลในช่วงเดือนมีนาคม

สรรพคุณของเขยตาย

1. ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถแก้เบาหวานได้ (ใบ)[5]
2. ดอกและผลนั้นมีรสเมาร้อน เป็นยาแก้หิดได้ (ดอกและผล)[1],[2],[4]
3. ส่วนรากมีรสเมาขื่นปร่า เป็นยาแก้ไข้กาฬ ไข้รากสาด และยาลดไข้ได้ (ราก)[1],[2],[4]
4. ใบนำเอามาบดผสมกับขิง ใช้รักษาผิวหนังอักเสบ เป็นตุ่มพุพอง หรือคันอักเสบได้ (ใบ)[4]
5. รากและใบนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ หรือแก้ไข้ได้ (ราก, ใบ)[7]
6. เปลือกต้น เนื้อไม้ และราก มีสรรพคุณเป็นยาขับน้ำนม (เนื้อไม้, เปลือกต้น, ราก)[1],[2],[3],[4]
7. รากและใบนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคบิด ท้องเดิน (ราก, ใบ)[7]
8. ในบังกลาเทศจะนำน้ำคั้นที่ได้จากใบไปผสมกับน้ำตาล ใช้กินตอนท้องว่างเพื่อถ่ายพยาธิตัวกลม และสามารถแก้ไข้ได้ (ใบ)[4]
9. น้ำคั้นที่ได้จากใบนำไปผสมกับน้ำตาลกินตอนท้องว่างเป็นยาแก้โรคตับ (ใบ)[4]
10. เปลือกต้นนั้นมีรสเมาร้อน เป็นยาแก้ฝีได้ทั้งภายนอกและภายใน (เนื้อไม้, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4]
11. รากนำมาฝนแล้วนำไปทาแก้โรคผิวหนังพุพอง และใช้ทาแผลที่อักเสบ (ราก)[1],[2],[4]
12. ใบเอามาขยี้หรือบดผสมกับพวกแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าขาว หรือน้ำมะนาว เป็นยาทารักษางูสวัด เริม ไฟลามทุ่ง ขยุ้มตีนหมา และลมพิษ (ใบ)[9]
13. ตำรายาไทยเขียนไว้ว่า รากเป็นยาแก้ฝีที่นม ตัดรากฝีที่นม เกลื่อนฝีให้ยุบ และสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสบางชนิดได้ (ราก)[4]
14. ส่วนของรากนั้นเป็นยากระทุ้งพิษ แก้พิษฝีทั้งภายในและภายนอก นำมาฝนกับน้ำกินและทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น พิษงู (จากงูพิษที่พิษไม่รุนแรง) พิษตะขาบกัด พิษปลาดุกแทง ปลาแขยงปักมือ ฯลฯ หรือจะนำเอารากมาตำบีบน้ำมะนาวใส่หรือเหล้าพอกทิ้งไว้สักครู่ก็ได้ อาการก็จะหายไป (ราก)[1],[2],[4] หรือจะใช้ส่วนของเปลือกต้นเป็นยากระทุ้งพิษ แก้พิษงู แก้พิษต่าง ๆ แก้พิษไข้ ก็ได้เช่นกัน (เปลือกต้น)[3],[4]

ประโยชน์ของเขยตาย

1. ผลเมื่อสุกมีรสชาติที่หวานนำมารับประทานได้ แต่มีกลิ่นที่ฉุน[5],[7]
2. เนื้อไม้สามารถใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรได้[7]
3. ส่วนของใบใช้เป็นอาหารของหนอนผีเสื้อ[8]

ข้อควรระวัง : ยางจากทุกส่วนของลำต้นมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน เกิดอาการเพ้อคลั่ง จนสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย[6]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเขยตาย

1. ดอกมีสารอัลคาลอยด์ arborine, arbornine, glycorine, glycophymine, glycophymoline, glycosmicine, glycomide, skimmianine[4]
2. ใบมีสารอัลคาลอยด์ arborine, arborinine, glycosine, glycosminine, glycosamine, glycorine, glycosmicine , gamma-fagarine สารกลุ่มไตรเทอร์ปีน เช่น arbinol, arborinone, isoarbinol สารสเตียรอยด์ β-sitosterol, stigmasterol[4]
3. รากมีสารอัลคาลอย์ carbazole alkaloids ได้แก่ glycozolicine, 3-formylcarbazole, glycosinine, glycozoline, glycozolidine, gamma-fagarine, dictamine, skimmianine[4]
4. ลำต้นนั้นมีสารอัลคาลอยด์ arborinine เป็นหลัก และอัลคาลอยด์อื่นๆ[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เขยตาย (Khoei Tai)”. หน้า 69.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “เขยตาย”. หน้า 98.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เขยตาย”. หน้า 152-153.
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เขยตาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [27 ม.ค. 2015].
5. อภัยภูเบศรสาร ปีที่ 3 ฉบับที่ 28 ประจำเดือน มีนาคม 2548. (ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร). “เก็บป่ามาฝากเมือง”. หน้า 2.
6. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552
7. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เขยตาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [27 ม.ค. 2015].
8. พันธุ์ไม้สวนพืชอาหารแมลง, ศูนย์วิจัยกีฏวิทยาป่าไม้ที่ 1. “ชื่อพืชอาหารต้นส้มชื่น (เขยตาย)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/FOREMIC/. [27 ม.ค. 2015].
9. จำรัส เซ็นนิล. “เขยตายแม่ยายปรก “สมุนไพรถอนพิษ เริม-งูสวัด-ไฟลามทุ่ง-ขยุ้มตีนหมา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.jamrat.net. [27 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://tropical.theferns.info/image.php?id=Glycosmis+parviflora
2. http://www.fpcn.net/a/guanmu/20131108/Glycosmis_parviflora.html

เข็มป่า ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม

0
เข็มป่า
เข็มป่า ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม มีดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตา ทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษา รวมถึงใบและราก
เข็มป่า
ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม มีดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตา ทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษา รวมถึงใบและราก

เข็มป่า

เข็มป่า เป็นดอกไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมักพบในป่าเขตร้อนแถบเอเชีย ซึ่งดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตามีสรรพคุณทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษาริดสีดวงจมูก ลดเสมหะ โรคตาแดง แก้บิด รักษาโรคหิด รวมถึงใบและรากใช้เป็นยาพอกฝี มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Ixora cibdela Craib จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)[1]นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เข็มตาไก่ (เชียงใหม่), เข็มโพดสะมา (ปัตตานี), เข็มดอย (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), เข็มไทย เป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นแตกกิ่งก้านค่อนข้างต่ำ มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม ลำต้นมีขนาดใหญ่ประมาณเท่าข้อมือ เปลือกต้นมีสีเทาปนกับสีน้ำตาล มีความสูงของต้นอยู่ที่ประมาณ 3-4 เมตร สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง มักขึ้นตามธรรมชาติในป่าทั่วไปในประเทศไทย[1],[2]
  • ใบ มีลักษณะเป็นรูปไข่ยาว ปลายใบเรียวและแหลม ส่วนตรงขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 6-18 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวสด[1],[2]
  • ดอก ดอกมีขนาดที่เล็ก และจะออกดอกเป็นพวงคล้ายกับดอกเข็มธรรมดา แต่จะมีดอกเป็นสีขาว สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี[1]
  • ผล มีลักษณะที่ค่อนข้างกลมและเป็นสีเขียว ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ตัวเมล็ดมีเนื้อหุ้มอยู่ สามารถใช้รับประทานได้ มีรสหวานปะแล่ม ๆ[1],[2

สรรพคุณของเข็มป่า

1. ดอก สามารถใช้เป็นยารักษาโรคตาแดง ตาเปียก ตาแฉะ (ดอก)[1]
2. ผล มีสรรพคุณเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูก (ผล)[1]
3. ใบ สามารถใช้เป็นยาฆ่าพยาธิทั้งปวง (ใบ)[1]
4. เปลือกต้น สามารถนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้เป็นยาหยอดหูฆ่าแมงคาเข้าหู (เปลือกต้น)[1]
5. ราก มีสรรพคุณเป็นยาแก้เสมหะในทรวงอกและในท้อง (ราก)[1]

ประโยชน์ของเข็มป่า

1. ผล สามารถใช้รับประทานได้ มีรสหวานปะแล่ม[2]
2. สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ เนื่องจากมีดอกที่สวย และมีกลิ่นหอม มักปลูกกันตามวัดวาอารามแล้วตัดแต่งให้เป็นทรงพุ่มให้ดูสวยงาม[2]

หมายเหตุ : เป็นพรรณไม้คนละชนิดกันกับต้นเข็มป่าที่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavetta indica L. (มีชื่อท้องถิ่นอื่นว่า เข็มโคก) และต้นข้าวสารป่า ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavetta tomentosa Roxb. ex Smith. (มีชื่อท้องถิ่นว่า เข็มป่า เข็มแพะ เข็มขาว กระดูกงูเหลือ) ซึ่งทั้ง 3 ชนิดต่างก็มีสรรพคุณทางยาที่คล้ายคลึงกัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เ ข็ ม ป่ า”. หน้า 151.
2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เ ข็ ม ป่ า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [08 เม.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.territorynativeplants.com.au/pavetta-brownii-syn-ixora-tomentosa