กำแพงเจ็ดชั้น สมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร

0
กำแพงเจ็ดชั้น
กำแพงเจ็ดชั้น สมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย และเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากใกล้สูญพันธุ์
กำแพงเจ็ดชั้น
เป็นสมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย และเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากใกล้สูญพันธุ์

กำแพงเจ็ดชั้น

กำแพงเจ็ดชั้น ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Salacia chinensis L. จัดอยู่ในวงศ์กระทงลาย (CELASTRACEAE)
สมุนไพรกำแพงเจ็ดชั้น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า น้ำนอง มะต่อมไก่ (ภาคเหนือ), ขาวไก่ ตาไก่ ตากวาง เครือตากวาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หลุมนก (ภาคใต้), ตะลุ่มนก (ราชบุรี), ตาไก้ ตาใกล้ (พิษณุโลก), ขอบกระด้ง พรองนก (อ่างทอง), กระดุมนก (ประจวบคีรีขันธ์), กลุมนก เป็นต้น[1],[2]

กำแพงเจ็ดชั้น คือสมุนไพรที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย (คนละชนิดกันกับต้น “ว่านกำแพงเจ็ดชั้น”) เป็นพันธุ์ไม้ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง เพราะอัตราการเกิดและการอยู่รอดมีความเสี่ยงต่อการถูกบุกรุกและทำลายเป็นอย่างมาก ในบางพื้นที่ของป่าหรือตามชุมชนต่าง ๆ ก็มีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในการเพาะและขยายพันธุ์เพื่อที่จะสามารถนำมาปลูกทดแทนในป่าได้ และส่งเสริมให้มีการปลูกตามหัวไร่ปลายนาในชุมชนสืบต่อไป

ลักษณะของกำแพงเจ็ดชั้น

  • ต้นเป็นไม้เถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อยมีเนื้อที่แข็ง ความสูงของต้นอยู่ที่ประมาณ 2-6 เมตร เปลือกต้นผิวเรียบ เป็นสีเทานวล ภายในเนื้อไม้มีวงปีเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มจำนวนหลายชั้นซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เรียงซ้อนกันอยู่ประมาณ 7-9 ชั้น พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักพบตามป่าชายทะเล ตามป่าดิบริมแหล่งน้ำหรือที่โล่ง และป่าเบญจพรรณ ที่มีความระดับความสูงถึง 600 เมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด[1],[2],[3]
  • ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน สลับกับตั้งฉาก ลักษณะแผ่นใบเป็นรูปวงรี หรือรูปวงรีกว้าง หรือรูปวงรีแกมใบหอก หรือรูปไข่ หรือรูปไข่หัวกลับ ใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร ปลายใบนั้นแหลมหรือเป็นมน ส่วนโคนเป็นสอบ ขอบใบเป็นหยักหยาบ ๆ แผ่นใบหนา หลังใบเรียบเป็นมัน เป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบ เนื้อใบกรอบ ผิวด้านบนและด้านล่างของใบหนาและเป็นมัน มีเส้นแขนงใบประมาณ 4-10 คู่ และส่วนของก้านใบนั้นยาวประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร[1]
  • ดอกออกเป็นช่อ แบบเป็นกระจุกหรือช่อแยกเป็นแขนงสั้น ๆ ตามซอกใบหรือตามกิ่งก้าน ดอกมีขนาดที่เล็ก เป็นสีเหลืองหรือสีเขียวอมเหลือง ดอกมีกลีบทั้งสิ้น 5 กลีบ ปลายกลีบดอกเป็นมนและบิดเล็กน้อย แกนดอกนูนเป็นวงกลม มี 3-6 ดอกในแต่ละช่อ กลีบดอกเป็นรูปไข่กว้างหรือรูปรี มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร และมีกลีบเลี้ยงทั้งหมด 5 กลีบ ซึ่งมีขนาดที่เล็กมาก ลักษณะของกลีบเลี้ยงนั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเป็นมนกลม ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ที่ขอบเป็นชายครุย ส่วนจานฐานดอกเป็นรูปถ้วยลักษณะคล้ายกับถุง และมีปุ่มเล็ก ๆ อยู่ตามขอบอีกด้วย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้อยู่ 3 ก้าน ติดบนขอบจานของฐานดอก ก้านเกสรนั้นสั้น มีอับเรณูเป็นรูปส้อม ปลายเกสรชนกันเป็นยอดแหลม และยังมีรังไข่ซ่อนอยู่ในจานฐานดอกอยู่ 3 ช่อง มีออวุล 2 เม็ดในแต่ละช่อง ก้านเกสรเพศเมียสั้น และก้านดอกยาวประมาณ 6-10 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1]
  • ผลมีลักษณะค่อนข้างจะกลม เป็นรูปกระสวยกว้างหรือรูปรี ผลผิวเกลี้ยง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๆ 1-2 เซนติเมตร โดยผลตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีแดงอมส้ม และผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม ขนาดใกล้เคียงกับผล ผลสามารถนำมารับประทานได้[1]

สรรพคุณของกำแพงเจ็ดชั้น

1. ลำต้นช่วยบำรุงโลหิต ด้วยการนำลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 1-2 ช้อนชา ในเวลาช่วงเช้าและเย็น หรืออีกสูตรให้นำไปผสมเข้ากับเครื่องยารากชะมวง รากตูมกาขาว และรากปอก่อน (ลำต้น) หรือจะใช้รากมาต้มหรือนำไปดองเป็นสุราไว้ดื่มก็ได้เช่นกัน (ราก)[1]
2. ช่วยบำรุงกำลังได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[6]
3. สามารถช่วยขับผายลม (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1],[2]
4. ดอกมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการบิดมูกเลือด (ดอก)[1],[5]
5. ลำต้นปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ โดยใช้เข้ากับเครื่องยา แก่นตากวง แก่นตาไก้ แก่นตาน แก่นดูกไส และแก่นตานกกด (ลำต้น)[1],[5]
6. ช่วยฟอกและขับระดูขาว ขับน้ำคาวปลาของสตรี โดยการนำต้นไปผสมเข้ายากับเปลือกต้นมะดูก หรือจะใช้ใบหรือรากก็ได้เช่นกัน (ต้น, ใบ, ราก)[1],[2],[5]
7. ในประเทศฟิลิปปินส์มีการใช้รากกับยาแผนโบราณเพื่อช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน (ราก)[3]
8. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร โดยใช้เข้ากับเครื่องยา แก่นกระถิน ปูนขาว และว่านงวงช้าง จากนั้นนำมาต้ม (ลำต้น)[1]
9. ต้นสามารถช่วยแก้น้ำดีพิการได้ (ต้น)[5]
10. เถาใช้ช่วยแก้ซางให้ตาเหลือง (เถา)[5]
11. สามารถช่วยรักษาโรคตับอักเสบ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1]
12. หัวช่วยรักษาบาดแผลเรื้อรังได้ (หัว)[5]
13. หัวสามารถช่วยรักษาตะมอยหรือตาเดือน (หัว)[5]
14. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ปวดเมื่อย โดยใช้เข้ากับเครื่องยา ตากวง ตาไก่ ขมิ้นเกลือ ดูกหิน ตับเจ่า และอ้อยดำ (ให้ใช้เฉพาะลำต้นของทุกต้นนำมาต้มน้ำดื่ม) หรือจะใช้ลำต้นมาต้มน้ำดื่ม หรือนำไปดองกับสุราก็ได้เช่นกัน (ต้น)[1]
15. แก่นและรากนำมาต้มน้ำดื่มเป็นแก้เส้นเอ็นอักเสบ (แก่น, ราก)[1]
16. สามารถช่วยแก้อาการปวดตามข้อ แก้ไขข้อพิการ เข้าข้อ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1],[2]
17. ตัวผลนั้นในภูมิภาคอินโดจีนใช้เข้ายาพื้นบ้านเพื่อช่วยลดกำหนัดหรือความต้องการทางเพศ (ผล)[3]
18. ต้นใช้ช่วยฟอกโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษทำให้ร้อน แก้โลหิตจาง ด้วยการนำต้นมาผสมเข้ายากับเปลือกต้นมะดูก (ต้น) หรือจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มหรือดองสุราดื่ม ก็ช่วยดับพิษร้อนของโลหิตเช่นกัน (ราก)[1],[2]
19. เถาช่วยบำรุงหัวใจ (เถา)[4],[5]
20. รากนำมาต้มหรือดองกับสุราดื่มช่วยบำรุงน้ำเหลือง [1],[5]
21. สามารถช่วยแก้อาการผอมแห้งแรงน้อยได้ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1]
22. ต้นใช้ช่วยแก้เบาหวาน ด้วยการนำลำต้นมาผสมเข้ากับเครื่องยาแก่นสัก รากทองพันชั่ง หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู และหญ้าชันกาดทั้งต้น (ต้น) ส่วนในประเทศกัมพูชาจะใช้เถาของต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคเบาหวาน (เถา)[1]
23. รากนั้นมีรสเมาเบื่อฝาด นำไปต้มหรือดองกับสุราดื่ม ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ [1]
24. รากช่วยรักษาโรคตาได้ [1]
25. ต้นและเถาใช้แก้ไข้ [5]
26. สามารถช่วยแก้ประดง (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1], (เถา)[5]
27. ต้นใช้ช่วยแก้หืด โดยการนำลำต้นผสมเข้ากับเครื่องยาแก่นพลับพลา แก่นโมกหลวง แก่นจำปา ต้นสบู่ขาว ต้นคำรอก และต้นพลองเหมือด (ต้น)[1]
28. ต้นสามารถช่วยแก้เสมหะได้ (ต้น)[5]
29. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาระบาย โดยใช้เข้ากับเครื่องยาคอแลน ตากวง ดูกไส พาสาน และยาปะดง (ลำต้น) หรืออีกสูตรให้ใช้ผสมเข้ากับเครื่องยารากชะมวง รากตูมกาขาว และรากปอด่อน (ต้น) หรือจะใช้ส่วนรากและแก่นนำไปต้มเป็นน้ำดื่มเป็นยาระบายก็ได้เช่นกัน (แก่น, ราก)[1]

ประโยชน์ของกำแพงเจ็ดชั้น

นอกจากจะใช้เป็นยาสมุนไพรได้แล้ว ตัวผลนั้นก็สามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้เช่นกัน (ผล)[1],[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [14 ต.ค. 2013].
2. มูลนิธิสุขภาพไทย. “กำแพงเจ็ดชั้น ไม้ชื่อแปลกช่วยบำรุงโลหิต”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [14 ต.ค. 2013].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [14 ต.ค. 2013].
4. กรมปศุสัตว์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dld.go.th. [14 ต.ค. 2013].
5. เดอะแดนดอตคอม. “Gallery ดอกกำแพงเจ็ดชั้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com. [14 ต.ค. 2013].
6. ส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “การศึกษาความหลากหลายพรรณพืชสมุนไพร ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร”. (ชัยรัตน์ รัตนดำรงภิญโญ).

รูปอ้างอิงจาก
1. https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:162552-1
2. https://indiabiodiversity.org/files-api/api/get/raw/observations//a0bf405b-e293-4fff-90b2-6050d61b658c/211.jpg

ขนุนเนื้อสีเหลืองทอง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร

0
ขนุนเนื้อสีเหลืองทอง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และเป็นไม้มงคล มีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ
ขนุน
เนื้อสีเหลืองทอง มากด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และเป็นไม้มงคลมีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ

ขนุน

ขนุน (Jackfruit) เป็นไม้มงคล มีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ นิยมปลูกไว้ที่หลังบ้านทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นผลไม้ที่มีเนื้อหอมหวานอร่อย สามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนู สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการทานขนุนหรือทานแต่น้อย เนื่องจากขนุนมีรสหวาน ขนุนมีสรรพคุณที่เป็นยาสมุนไพร ส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาอาการ คือ ใบ ยวง เมล็ด แก่น ส่าแห้งของขนุน

ชื่อสามัญของขนุน คือ Jackfruit, Jakfruit
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของขนุน คือ Artocarpus heterophyllus Lam.
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น หมักหมี้ ขนู ปะหน่อย ขะนู มะยวยซะ เนน หมากกลาง ล้าง นากอ นะยวยซะ ขะเนอ ซีคึย ลาน Jack fruit tree มะหนุน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของขนุน

  • ต้นของขนุน จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ถ้ากิ่งกับลำต้นมีแผลจะมีน้ำยางสีขาวออกมา
    ใบของขนุน ใบจะเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปรี ที่ปลายใบจะทู่ถึงแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ใบจะหนา ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ผิวของใบด้านล่างจะสากมือ ใบกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาวประ 10-15 เซนติเมตร
  • ดอกของขนุน ดอกออกเป็นช่อเชิงสด จะแยกเพศอยู่รวมกัน เป็นช่อ มีสีเขียว อัดแน่นอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้ออกดอกที่ตามปลายกิ่งกับซอกใบ เรียกว่า ส่า ดอกเพศเมียออกดอกที่ตามกิ่งใหญ่กับลำต้น ถ้าติดผลดอกทั้งช่อจะเจริญร่วมกันเป็นผลขนาดใหญ่ 1 ดอกจะกลายเป็น 1 ยวง
  • ผลของขนุน ภายนอกจะคล้ายกับจำปาดะ (เป็นวงศ์เดียวกัน) ผลดิบเปลือกจะมีสีขาว หนามทู่ เมื่อกรีดจะมียางเหนียว ผลแก่เปลือกจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง หนามจะป้านขึ้น ในผลขนุนมีซังขนุนหุ้มยวงสีเหลืองอยู่ มีเมล็ดอยู่ในยวง ดอกขนุนจะออกปีละ 2 ครั้ง ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม
  • พันธุ์ของขนุน มีหลายสายพันธุ์ สีของเนื้อจะแตกต่างกันตามแต่ละสายพันธุ์ ขนุนบางสายพันธุ์มีรสหวานสามารถทานได้ บางพันธุ์จะมีรสจืดไม่นิยมทาน สายพันธุ์ขนุนที่นิยมปลูกในประเทศไทย เช่น พันธุ์ตาบ๊วย (ผลใหญ่ เนื้อหนา สีจำปาออกเหลือง), พันธุ์ทองสุดใจ (ผลใหญ่ยาว เนื้อมีสีเหลือง), พันธุ์ฟ้าถล่ม (ผลค่อนข้างกลมใหญ่ เนื้อมีสีเหลืองทอง), พันธุ์จำปากรอบ (ผลขนาดกลาง มีรสหวานอมเปรี้ยว เนื้อมีสีเหลือง)

สรรพคุณของขนุน

  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา สามารถช่วยจับกลุ่มอสุจิ เม็ดเลือดแดง แบคทีเรีย สารในของเหลวของร่างกาย ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส ลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวได้
  • สามารถใช้ทาแผลบวมอักเสบได้ (ยาง)
  • สามารถรักษาแผลมีหนองเรื้อรังได้ (ยาง, ใบ)
  • สามารถขับพยาธิได้ (ใบ)
  • ไส้ในของขนุนละมุด สามารถทานช่วยแก้อาการตกเลือดในทวารเบาของสตรีที่มากไปให้หยุด
  • สามารถช่วยสมานลำไส้ได้ (แก่น)
  • เมล็ดของขนุนสามารถแก้อาการปวดท้องได้
  • นำใบขนุนละมุดไปเผาให้เป็นถ่านผสมน้ำปูนใส ใช้หยอดหู ช่วยแก้อาการปวดหู และเป็นหูน้ำหนวก
  • สามารถช่วยระงับประสาทได้ (ใบ)
  • สามารถแก้อาการกระหายน้ำได้ (ผลสุก)
  • สามารถบำรุงร่างกายได้ (เมล็ด)
  • สามารถบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็นได้ (แก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุด, ราก, แก่น)
  • สามารถแก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่เกิดจากแผลที่มีหนองที่ผิวหนัง (ยาง)
  • สามารถช่วยสมานแผลได้ (แก่น)
  • สามารถแก้โรคผิวหนังได้ (ใบ, ราก)
  • แก่นกับเนื้อไม้ สามารถใช้ทานช่วยแก้กามโรคได้ (แก่นและเนื้อไม้)
  • เม็ดขนุน จะมีสารพรีไบโอติกหรือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทนการย่อยของกระเพาะอาหารและช่วยการดูดซึมของลำไส้เล็กตอนบน จะช่วยดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม เหล็ก สร้างสารป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ส่ง
  • เสริมการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อโรค
  • สามารถใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ (เนื้อหุ้มเมล็ด, ผลสุก)
  • ใช้ใบของขนุนมาต้ม ใช้ดื่มแก้อาการท้องเสีย (ใบ, ราก)
  • สามารถแก้โรคลมชักได้ (ใบ)
  • ใบสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ มีผลงานวิจัยของประเทศศรีลังกา ได้ทำการทดลองผู้ป่วยโรคเบาหวานและหนูทดลอง ผลการทดลองพบว่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และผลการทดลองได้ทำการเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน ยา Tolbutamide ได้ผลสรุปว่าสารสกัดจากขนุนช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ายา Tolbutamide ในเวลา 5 ชม. วิธีปรุงเป็นยา ใช้ใบขนุนแก่ 5-10 ใบ มาต้มในน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวประมาณ 15 นาที ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกของผลไม้ และมีวิตามินซีสูงจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  • ช่วยบำรุงกำลัง ชูหัวใจให้สดชื่นได้ (เนื้อหุ้มเมล็ดสุก, เนื้อในเมล็ด, ผลสุก, เมล็ด)

ประโยชน์ของขนุน

  • ขนุนอ่อนนิยมมาปรุงอาหารทานเป็นผัก เช่น ใส่ในส้มตำ ตำมะหนุน แกงขนุน ยำ ขนุนอบกรอบ
  • สามารถนำเมล็ดกับยวงมาทานเป็นอาหารได้
  • สามารถนำส่าแห้งของขนุนทำเป็นชุดจุดไฟได้
  • สามารถแก้อาการเมาสุราได้ (ผลสุก)
  • เม็ดขนุนสามารถช่วยบำรุงน้ำนม ขับน้ำนม ทำให้น้ำนมของแม่เพิ่มขึ้น
  • เนื้อสุกมาทานเป็นผลไม้และสามารถทำเป็นขนมได้หลายชนิด เช่น ใส่ในไอศกรีม ลอดช่อง กินกับข้าวเหนียวมูน นำไปอบแห้ง
  • เนื้อไม้สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรีได้
  • แก่นของต้นสามารถนำมาทำสีย้อมผ้าได้ จะให้สีน้ำตาลแก่ นิยมใช้ย้อมสีจีวรพระ
  • เนื้อหุ้มเมล็ดสุกสามารถใช้หมักทำเหล้าได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของเนื้อขนุนดิบ

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม 1%
วิตามินบี 1 0.105 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 2 0.055 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 3 0.92 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 5 0.235 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.329 มิลลิกรัม 25%
วิตามินบี 9 24 ไมโครกรัม 6%
วิตามินซี 14.7 มิลลิกรัม 17%
วิตามินอี 0.34 มิลลิกรัม 2%
คาร์โบไฮเดรต 23.25 กรัม
เส้นใย 1.5 กรัม โปรตีน 1.72 กรัม
เบตาแคโรทีน 61 ไมโครกรัม 1%
น้ำตาล 19.08 กรัม
ไขมัน 0.64 กรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 157 ไมโครกรัม
ธาตุเหล็ก 0.23 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.043 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโพแทสเซียม 448 มิลลิกรัม 10%
ธาตุสังกะสี 0.13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัม 8%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 95 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), หนังสือเภสัชกรรมไทยร่วมอนุรักษ์มรดกไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน (เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.healthline.com/nutrition/jackfruit-meat-alternative
2.https://www.jmthaifood.com/en/product/jackfruit/

กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย

0
กีวี
กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นผลไม้ขนาดเล็กมีขนอ่อน เนื้อมีทั้งสีเขียวและสีเหลือง มีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก
กีวี
กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นผลไม้ขนาดเล็กมีขนอ่อน เนื้อมีทั้งสีเขียวและสีเหลือง มีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก

กีวี

กีวี มีต้นกำเนิดในประเทศจีน มีผู้นำไปปลูกในประเทศนิวซีแลนด์และได้ปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ทำให้กีวีมีรสชาติดีขึ้น และกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกีวีตามชื่อนกกีวีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน (ชื่อเดิมคือ Chinese gooseberry)
ชื่อสามัญอื่นๆ : กีวีฟรุต / Kiwi / kiwifruit / Hardy Kiwi / Tara Vine / Yang Tao / Chinese Gooseberry / Chinese Strawberry.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Actinidia chinesis.

ประเทศไทยมีนำเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2519 จะปลูกเยอะที่จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอ่างขาง ดอยขุนวาง ผลกีวีมีลักษณะรีรูปไข่ และจะมีขนเล็ก ๆ อยู่ทั่วผล เนื้อมีสีเขียว (บางสายพันธุ์เนื้อจะเป็นสีเหลือง) มีรสเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ สามารถเก็บได้นานถึงสองสัปดาห์ถ้าเก็บในที่ที่เหมาะสม (เก็บในตู้เย็น)

กีวีเป็นผลไม้อันดับต้น ๆ ของผลไม้ลดความอ้วน เนื่องจากมีไฟเบอร์เยอะ จะทำให้อิ่มเร็วและนานขึ้น ผู้ที่มักทานอาหารระหว่างวันหรือเพราะความหิว กีวีสามารถช่วยได้ แต่อดสงสัยไม่ได้ว่ากีวีมีรสหวานถ้าทานมาก ๆ จะไม่อ้วนเหรอ ? ต้องบอกว่าไม่อ้วนเนื่องจากกีวีมีน้ำหนัก 60 กรัมซึ่งจะให้พลังงานเพียง 25 แคลอรี
การทานกีวี นำผลมาหั่นครึ่ง ใช้ช้อนตักเนื้อทานได้เลย ถ้าอยากให้สวยน่าทาน ให้นำผลตัดหัวกับท้ายออก ใช้ช้อนคว้านเนื้อเป็นวงกลม และนำเนื้อกีวีที่ได้มาสไลซ์เป็นแผ่น วิธีดูกีวีว่าทานได้หรือยัง คือผลกีวีจะเริ่มนุ่ม ก็สามารถทานได้ ถ้าซื้อกีวีมาก็อย่าลืมเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าไม่อยากให้กีวีสุกมากกว่านี้ให้เก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ได้นาน 1-2 สัปดาห์

สรรพคุณของกีวี

  • สามารถช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียกับเชื้อไวรัสได้
  • ไฟเบอร์สามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กีวีสีทองสามารถช่วยทำให้ร่างกายสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ได้
  • ควรทานกีวีพร้อมหรือหลังอาหาร ถ้าอาหารในมื้อนั้นมีไขมัน
  • สามารถช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อกับเส้นใยประสาทได้
  • ซิงค์จากกีวี คือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการใช้สร้างฮอร์โมนของเพศชาย
  • สามารถป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดของโรคหัวใจวายได้
  • สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลกับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
  • สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายให้ดีขึ้นได้
  • สามารถบรรเทาอาการอักเสบในร่างกายได้
  • สามารถป้องกันโรคท้องผูก และช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างสะดวกและสม่ำเสมอ
  • สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงได้
  • สามารถซ่อมแซมเซลล์ DNA ที่ถูกทำลายจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกกับฟันให้แข็งแรง และช่วยป้องกันฟันผุได้ กีวีจะลดอนุมูลอิสระเหล่านี้
  • โฟเลตจากกีวีสามารถช่วยเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ จำเป็นมากสำหรับมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากสามารถช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองกับระบบประสาทถ้าขาดโฟเลต และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้
  • โพแทสเซียมจากกีวีสามารถลดความดันโลหิตสูงได้
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนอนหลับยาก กีวีสามารถช่วยให้หลับง่ายและสบายขึ้น

ประโยชน์ของกีวี

  • สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ผลไม้กระป๋อง กีวีกวน กีวีตากแห้ง น้ำผลไม้ ไวน์ ผลไม้แช่แข็ง
  • สาร “โพลีฟีนอล” ของผลกีวีมีคุณสมบัติที่ช่วยต่อต้านการเกิดของโรคมะเร็งได้
  • กีวีมีโอเมก้า-3 ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
  • สามารถช่วยลดจุดด่างดำใต้ผิว และแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำได้
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง สามารถช่วยชะลอวัยและช่วยการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
  • สามารถใช้แต่งหน้าเค้กกับสลัดได้
  • สามารถป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากการทานกีวีสามารถช่วยทำให้อิ่มเร็ว และทำให้ไม่อ้วน
  • มีวิตามินซีสูง สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งสดใส

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลกีวีสีเขียว

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.025 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.341 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.183 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.063 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 9 25 กรัม 6%
วิตามินซี 92.7 มิลลิกรัม 112%
วิตามินอี 1.46 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 40.3 ไมโครกรัม 38%
คาร์โบไฮเดรต 14.66 กรัม
เส้นใย 3.0 กรัม
โปรตีน 1.14 กรัม
น้ำตาล 8.99 กรัม
ไขมัน 0.52 กรัม
โคลีน 7.28 กรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.31 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.098 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 312 มิลลิกรัม 7%
ธาตุสังกะสี 0.14 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 34 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 61 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลกีวีสีทอง

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.024 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.046 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.28 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.5 มิลลิกรัม 10%
วิตามินบี 6 0.057 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 34 กรัม 9%
วิตามินซี 105.4 มิลลิกรัม 127%
วิตามินอี 1.49 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 5.5 ไมโครกรัม 5%
คาร์โบไฮเดรต 14.23 กรัม
เส้นใย 2 กรัม
โปรตีน 1.23 กรัม
น้ำตาล 10.98 กรัม
ไขมัน 0.56 กรัม
โคลีน 5 กรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.058 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 316 มิลลิกรัม 7%
ธาตุสังกะสี 0.10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม 4%
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

วิธีทำน้ำกีวีปั่น

รสเปรี้ยวของกีวีเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ แต่ถ้าเปรี้ยวเกินไปคงจะไม่อร่อย จึงต้องผสมน้ำเขียวเข้มข้นกับน้ำองุ่น เพื่อให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานนิดหน่อยรสชาติจะกลมกล่อม ชื่นใจ

เตรียมวัตถุดิบ

  • กีวีที่จะใช้ปั่น 2 ผล / กีวีสไลซ์ไว้ตกแต่งหน้า / น้ำองุ่น 1½ ถ้วยตวง / น้ำเขียวเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ / น้ำแข็ง
  • นำกีวีทั้ง 2 ผลมาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อแล้วหั่นเป็นชิ้น
  • ใส่กีวีที่ปอกเปลือก น้ำองุ่น น้ำเขียวเข้มข้น ลงในโถปั่น
  • ปั่นพอให้ละเอียด จะได้น้ำกีวี (ใส่น้ำแข็งลงในโถปั่นเลยก็ได้)
  • นำมารินใส่แก้วพร้อมกับน้ำแข็ง
  • ตกแต่งหน้านิดหน่อยด้วยกีวีสไลซ์เพื่อความสวยงามและน่าทานมากขึ้น (ตกแต่งหรือไม่ตกแต่งก็ได้)

โทษของกีวี บางรายอาจจะมีอาการแพ้ เนื่องจากกีวีมีเอนไซม์ชนิดพิเศษอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ แต่อาการแพ้ดังกล่าวถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย แต่ผู้ที่มีอาการแพ้กีวีสีเขียว อาจจะไม่มีปัญหาหรือมีอาการแพ้กีวีสีทอง แต่ควรสอบถามแพทย์ก่อนทาน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database
อ้างอิงรูปจาก
1.https://oscar.kiwi/en/kiwi-fruits-and-digestion/
2.https://hort.extension.wisc.edu/articles/kiwifruit-actinidia-spp/

กะเจียนผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง

0
กะเจียน
กะเจียนผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง เป็นพรรณไม้ยืนต้น ใบรีท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีแดง
กะเจียน
ผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง เป็นพรรณไม้ยืนต้น ใบรีท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีแดง

กะเจียน

กะเจียน ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Polyalthia cerasoides (Roxb.) Bedd. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1]

สมุนไพรกะเจียน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สะบันงาป่า (ภาคเหนือ), เสโพลส่า (ไทใหญ่-แม่ฮ่องสอน), ค่าสามซีก (เชียงใหม่), เหลือง ไม้เหลือง (ลำปาง), โมดดง (ระยอง), จันทน์ดง ทรายเด่น (ขอนแก่น), ไชยเด่น (อุบลราชธานี), กะเจียน พญารากดำ (ชลบุรี), แคหาง (ราชบุรี) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกะเจียน

  • เป็นไม้ยืนต้นที่มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนไปถึงขนาดกลาง ลำต้นเปลาตรง มีความสูงประมาณ 5-15 เมตร เรือนยอดเป็นรูปกรวยคว่ำ กิ่งเกือบตั้งฉากกับลำต้น เปลือกต้นนั้นเรียบมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน ตามกิ่งอ่อนจะมีขนนุ่มปกคลุม ส่วนกิ่งที่แก่แล้วผิวจะเรียบเกลี้ยง ลำต้นและกิ่งแก่ มีช่องอากาศสีเหลืองอ่อนอยู่ทั่วไป การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน แต่จะขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย ชอบที่ที่มีแสงแดดจัด มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ทั่วทุกภาคมักพบเห็นขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทั่วไป บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 700 เมตร[1],[2],[3],[5]
  • ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรี ยาวรี หรือรูปหอกแกมรูปขอบขนาน มักจะเบี้ยว ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นมนจนเว้าเข้า มีลักษณะเบี้ยว ส่วนขอบใบนั้นเรียบ แผ่นใบค่อนข้างบาง หลังใบเกลี้ยงมีสีเขียวเข้ม ส่วนบริเวณท้องใบมีขนนุ่ม ๆ เป็นสีจาง ๆ หรือสีขาวอมเทา เส้นแขนงใบมีข้างละ 8-15 เส้น เห็นชัดทางด้านล่าง ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-16 เซนติเมตร ก้านใบนั้นสั้นมากและมีขนสั้น ๆ ยาวได้ประมาณ 0.5 เซนติเมตร ส่วนใบอ่อนมีขนนุ่ม ๆ อยู่ทั่วไป และขนจะค่อย ๆ ร่วงเมื่อใบแก่ ยกเว้นตามเส้นใบและเส้นแขนงใบ[1],[2],[3]
  • ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุกไม่เกิน 3 ดอก โดยจะออกตามง่ามใบและเหนือรอยแผลใบไปตามกิ่ง ก้านดอกเรียวยาวประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร เมื่อดอกบานได้อย่างเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร กลีบดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกมี 2 ชั้น เรียงสลับกัน ชั้นละ 3 กลีบ รวม 6 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ หนา และเกลี้ยง ส่วนกลีบดอกชั้นในจะใหญ่และยาวกว่ากลีบดอกชั้นนอกเล็กน้อย ส่วนกลีบเลี้ยงดอกจะบาง มีอยู่ 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเล็ก ๆ ที่ปลายแหลม มีขนนุ่มทั้งสองด้าน ก้านดอกยาวได้ประมาณ 3 เซนติเมตร ตรงก้านนั้นมีขนขึ้นประปราย ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่เป็นจำนวนมากและอยู่กันชิดแน่นเป็นพุ่มกลม[1],[2],[3] ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[5]
  • ผลเป็นช่อโปร่ง ออกผลเป็นกลุ่มหรือกระจุกกันอยู่บนแกนตุ้มกลม มีผลย่อยประมาณ 10-20 ผล ผลมีลักษณะป้อมหรือเป็นรูปทรงกลมรี ผลมีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่ง ก้านผลย่อยมีขนาดที่เรียวเล็กยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร โคนก้านติดรวมกันอยู่บนปลายก้านช่อที่โตเป็นตุ้ม ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว ผลตอนที่แก่จัดแล้วนั้น จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ภายในผลมี 1 เมล็ด[1],[2],[3] ออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[5]

สรรพคุณของกะเจียน

1. เปลือกใช้เข้ายาพื้นเมืองบางชนิด (เปลือก)[2]
2. รากกับเนื้อไม้ นำเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย และไตพิการ (ราก)[1],[2],[6]
3. ในตำรายาพื้นบ้านเขียนไว้ว่า รากนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยาบำรุงกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ บำรุงกำลังสำหรับบุรุษ กินแล้วกระชุ่มกระชวย คลายเส้นเอ็น และช่วยปรับสภาพร่างกายได้ (ราก)[1],[4],[6]
4. ใบสดมีรสชาติที่เฝื่อนเย็น เอามาตำพอกฝี แก้ปวด แก้อักเสบได้ (ใบ)[6]
5. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ (ราก)[4],[6]
6. เนื้อไม้มีรสชาติที่ขม จึงนำไปต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร (เนื้อไม้)[6]
7. เนื้อไม้เอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้วัณโรคในลำไส้ และวัณโรคในปอดได้ (เนื้อไม้)[6]
8. เนื้อไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปัสสาวะพิการ (เนื้อไม้)[1],[6]
9. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยาคุมกำเนิดในสตรี (ราก)[1],[4],[6]
10. เนื้อไม้นำมาฝนกับน้ำปูนใสทาเกลื่อนหัวฝี (เนื้อไม้)[6]
11. เนื้อไม้นำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลัง ปวดเอว (เนื้อไม้)[1],[6] หรือจะใช้ส่วนรากแทนโดยการนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกายก็ได้เช่นกัน (ราก)[1]

ประโยชน์ของกะเจียน

1. ผลที่สุกนั้นในส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ดจะมีรสชาติที่หวาน สามารถนำมารับประทานได้[5]
2. เนื้อไม้มีสีขาวอมเหลือง สามารถใช้ทำด้ามเครื่องเกษตรกรรมทั่วไปได้[3] หรือจะใช้ในการทำเครื่องจักสานและเครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ ก็ได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กะเจียน”. หน้า 68.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พญารากดำ”. หน้า 526-527.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [21 มิ.ย. 2015].
4. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [22 มิ.ย. 2015].
5. พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [22 มิ.ย. 2015].
6. กรีนคลินิก. “กระเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.greenclinic.in.th. [22 มิ.ย. 2015].

ภาพประกอบ
https://www.kasettambon.com/
http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in/herbsheet.php?id=699&cat=7

ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

0
กัดลิ้น
ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นสีขาวนวล ผลสุกจะเป็นสีเหลือง
กัดลิ้น
ต้นกัดลิ้น ผลกินได้สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นสีขาวนวล ผลสุกจะเป็นสีเหลือง

ต้นกัดลิ้น

กัดลิ้น ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Walsura trichostemon Miq. จัดอยู่ในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE)
สมุนไพรกัดลิ้น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แก้วลาว (จันทบุรี), ขี้อ้าย (ลำปาง), มะค่าลิ้น (อุตรดิตถ์, ปราจีนบุรี), ลำไยป่า (อุตรดิตถ์)[1]

ลักษณะของกัดลิ้น

  • ต้นกัดลิ้น หรือ ต้นลำไยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 5-12 เมตร ลักษณะต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้างถึงค่อนข้างกลม[1] ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ในประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในต่างประเทศจะพบได้มากในประเทศพม่าและกัมพูชา[4]
  • ใบกัดลิ้น เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยจำนวนทั้งสิ้น 3 ใบ ซึ่งใบย่อยใบตรงกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด ใบย่อยคู่ข้างนั้นจะอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนที่เชื่อมกันกับก้านใบย่อยจะป่องเป็นข้อ ๆ ลักษณะของใบย่อยนั้นจะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานจนถึงรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบเป็นเรียวแหลม ส่วนโคนใบเป็นสอบ ผิวใบด้านบนมีสีเขียว แต่ท้องใบนั้นมีสีที่อ่อนกว่า[1]
  • ดอกกัดลิ้น ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนงตามปลายกิ่ง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อน ๆ อยู่ประปราย ดอกกัดลิ้นเป็นดอกขนาดเล็ก มีกลีบเลี้ยงทั้งหมด 5 กลีบซึ่งมีขนาดที่เล็กมาก มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีขนสั้น ๆ ปกคลุม ส่วนกลีบดอกนั้นก็มี 5 กลีบเช่นกัน ดอกเป็นสีขาวนวล ลักษณะกลีบดอกเป็นรูปขอบขนานปลายมน ความยาวประมาณ 6 เท่าของกลีบเลี้ยง ด้านนอกมีขนสั้น ๆ อยู่ประปราย และมีเกสรเพศผู้อยู่ 10 อัน[1]
  • ผลกัดลิ้น มีลักษณะกลม เมื่อผลสุกจะเป็นสีเหลือง มีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ขึ้นประปราย ผลมีเมล็ด 1 เมล็ด โดยเมล็ดนั้นมีลักษณะกลม และมีเยื่อนุ่ม ๆ ห่อหุ้มเมล็ดอยู่[1],[2]

สรรพคุณของกัดลิ้น

1. ผลสุกรับประทานเป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ (ผลสุก)[3]
2. รากช่วยในการขับลมในลำไส้ (ราก)[2]
3. ชาวอีสานมักนำกัดลิ้นเป็นส่วนผสมในยารักษาโรคริดสีดวงทวาร (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
4. เปลือกของกัดลิ้นนั้นช่วยห้ามเลือด และใช้ชำระล้างบาดแผลได้ (เปลือก)[2],[4]
5. เปลือกนั้นสามารถช่วยสมานบาดแผลได้ (เปลือก)[2]
6. เนื้อผลเมื่อสุกนั้นช่วยรักษาแผลเปื่อยได้ (เนื้อผลสุก)[3]
7. แก่นหรือเปลือกนั้น ช่วยแก้หิด โดยการนำมาต้มทั้งเปลือกทั้งแก่นผสมกับยาอื่น (แก่น, เปลือก)[2]
8. รากและต้นของกัดลิ้นช่วยบำรุงเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการได้ (ราก, ต้น)[2],[4]
9. รากนั้นสามารถช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ (ราก)[2]

ประโยชน์กัดลิ้น

1. ผลสุกมีรสชาติที่หวานนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้[3]
2. ผลสุกสามารถนำมาใช้ทำส้มตำร่วมกับผลตะโกได้[2],[5]
3. เนื้อไม้หรือลำต้นใช้สำหรับการก่อสร้างต่าง ๆ[2]
4. เนื้อไม้นำมาทำเป็นฟืนที่ให้ความร้อนสูงได้[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ข้อมูลพรรณไม้. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กัดลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [15 พ.ย. 2013].
2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “กัดลิ้น ลำไยป่า มะค่าลิ้น”, “กัดลิ้น, มะค่าลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [15 พ.ย. 2013].
3. โรงเรียนน้ำดิบวิทยาคม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ndk.ac.th. [15 พ.ย. 2013].
4. การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “กัดลิ้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: inven.dnp9.com. [15 พ.ย. 2013].
5. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้พื้นบ้านอีสาน เล่ม 1. (สุทธิรา ขุมกระโทก). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org. [15 พ.ย. 2013].
อ้างอิงรูปจาก 1.https://www.samunpri.com

ต้นกล้วยเต่า ผลไม้ป่าหายากช่วยดับพิษไข้

0
กล้วยเต่า
กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่มรูปทรงกระบอก ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่ม
กล้วยเต่า
กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่มรูปทรงกระบอก ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่ม

กล้วยเต่า

กล้วยเต่า ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Polyalthia debilis Finet & Gagnep.[1] จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1]

สมุนไพรกล้วยเต่า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ไข่เต่า ตับเต่า ตับเต่าน้อย (ภาคเหนือ), รกคก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ไข่เต่า (เชียงใหม่), ก้นครก (มหาสารคาม, ยโสธร), กล้วยตับเต่า กล้วยเต่า (ราชบุรี) เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของกล้วยเต่า

  • กล้วยเต่า เป็นพรรณไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1 เมตร ตามกิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุมอย่างหนาแน่น ส่วนกิ่งที่แก่จะเรียบและมีสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ไม่อุ้มน้ำ ชอบอยู่ที่แสงแดดจัด มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศเวียดนามและลาว ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยจะพบขึ้นในป่าดิบ ชายป่า ป่าโปร่ง และป่าเต็งรัง บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-350 เมตร[1],[2],[3],[4]
  • ใบกล้วยเต่า เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันในระนาบเดียวกัน ลักษณะของใบนั้นเป็นรูปขอบขนานจนถึงรูปไข่กลับแกมรูปใบหอก ปลายใบจะแหลมหรือมนและมีติ่งแหลม โคนใบนั้นมนหรือหยักเว้าเล็กน้อย ลักษณะแผ่ใบนั้นแคบ มีขนาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-13 เซนติเมตร ท้องใบจะมีขนและมีสีจางกว่าส่วนหลังใบที่เป็นสีเขียวเข้มและมีลักษณะเกลี้ยงเป็นมัน มีเส้นแขนงใบข้างละ 7-10 เส้น ก้านใบมีความยาว 3 มิลลิเมตร และมีขนสีเหลืองอ่อนขึ้นอย่างหนาแน่น[1],[2]
  • ดอกกล้วยเต่า เป็นดอกเดี่ยวขนาดเล็กตามง่ามใบ ก้านดอกมีขนาดที่สั้น ดอกมีสีเหลืองอ่อน กลีบดอกเรียงสลับกันมี 2 ชั้น มีชั้นละ 3 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายเป็นมน มีขนาดกว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ด้านนอกกลีบนั้นมีขนละเอียดสีเหลืองอ่อน ส่วนกลีบเลี้ยง
  • ดอกมีขนาดที่เล็กและมี 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมกลาย ๆ ด้านนอกมีขนอ่อนนุ่มมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมากอยู่บนแกนกลางของดอก ส่วนเกสรเพศเมียนั้นมี 4 อัน อยู่ที่ปลายแกนกลางของดอก ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[2]
  • ผลกล้วยเต่า ผลออกเป็นกลุ่ม อยู่บนแกนตุ้มลักษณะกลม แต่ละผลมีรูปทรงกระบอก คอดระหว่างเมล็ด มีปลายที่เรียวแหลม ผิวเปลือกผลมีขนอ่อนนุ่มปกคลุม ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล ผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาล มีลักษณะแบนกลม ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม[1],[2],[4]

สรรพคุณของกล้วยเต่า

1. รากนั้นมีรสเย็น นำมาใช้เป็นยาแก้ตัวร้อน ดับพิษไข้ทั้งปวง ดับพิษตานซาง และแก้วัณโรค (ราก)[5]
2. ต้นหรือรากนำเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ปวดท้อง (ต้น, ราก)[3]
3. ในทางภาคอีสานจะใช้เหง้า เปลือก และเนื้อไม้กล้วยเต่า นำมาเป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กหรือถ่ายกะปริบกะปรอยเป็นมูกเลือด (เหง้า, เปลือก, เนื้อไม้)[1]
4. ชาวบ้านในจังหวัดยโสธรนั้นจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกระเพาะ (ราก)[3]

ประโยชน์ของกล้วยเต่า

1. ผลสุกจะมีสีเหลือง และมีรสชาติที่หวาน (ในส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ด) สามารถนำมารับประทานได้[1],[2],[3],[4]
2. สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์อย่างโค และกระบือได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางอาหารที่พบนั้นจะมีโปรตีน 12.5%, แคลเซียม 0.39%, ฟอสฟอรัส 0.22%, โพแทสเซียม 1.23%, ADF 45.9%, NDF 58.4% และDMD 30.9%[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กล้วยเต่า”. หน้า 64.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [24 มิ.ย. 2015].
3. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์. “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : nutrition.dld.go.th. [24 มิ.ย. 2015].
4. พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “กล้วยเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [24 มิ.ย. 2015].
5. สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณ แห่งประเทศไทย. “ตับเต่าน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.ayurvedicthai.com. [24 มิ.ย. 2015].

กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ

0
กล้วยหมูสัง
กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ เป็นเถาไม้เลื้อยขนาดใหญ่ กิ่งก่อนมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุม ผลลักษณะคล้ายหวีกล้วย ผลแก่รสหวานอมเปรี้ยว
กล้วยหมูสัง
กล้วยหมูสัง บุปผาสีแดงสดกับกลิ่นหอมหวนยามพลบค่ำ ผลลักษณะคล้ายหวีกล้วย ผลแก่รสหวานอมเปรี้ยว

กล้วยหมูสัง

กล้วยหมูสัง ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Uvaria grandiflora Roxb. Ex Hornem. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1],[2]

สมุนไพรกล้วยหมูสัง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กล้วยหมูสัง (ภาคใต้), กล้วยมดสัง กล้วยมุดสัง ย่านนมควาย (ตรัง), กล้วยมูซัง (สงขลา) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกล้วยหมูสัง

  • ต้นกล้วยหมูสัง จัดเป็นพืชที่หายากชนิดหนึ่ง เป็นพรรณไม้เถาที่มีเนื้อที่แข็งและมีขนาดใหญ่ แยกออกจากโคนต้นได้หลายเถา สามารถเลื้อยพาดผ่านตามพุ่มไม้ไปได้ไกลถึง 30 เมตรเลยทีเดียว เนื้อไม้เหนียวแข็ง ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นอย่างหนาแน่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีปักชำกิ่ง ชอบดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง และชอบที่ที่มีแสงแดดทั้งวัน มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศพม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยนั้นจะพบกระจายพันธุ์ทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมักจะขึ้นตามชายป่าดิบชื้น ป่าโปร่งที่ชุ่มชื้น ป่าละเมาะที่ชุ่มชื้น บริเวณที่โล่งติดริมลำธาร ในพื้นที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 700 เมตร[1],[2],[3]
  • ใบกล้วยหมูสัง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะรูปใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่กลับ รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน มีปลายใบที่แหลม โคนใบมีส่วนเว้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบนั้นเรียบ แผ่นใบมีขนทั้งสองด้าน โดยแผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมันและมีขนขึ้นประปรายตามเส้นตรงกลางใบกับเส้นแขนงใบ ส่วนด้านล่างใบมีสีเขียวนวลมีขนที่สั้นนุ่มขึ้นทั่วไป ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร และก้านใบยาวประมาณ 3-8 มิลลิเมตร[1],[2]
  • ดอกกล้วยหมูสัง เป็นดอกเดี่ยว มีสีแดงสด และจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงพลบค่ำและกลางคืน โดยดอกนั้นจะออกที่ปลายกิ่งจรดไปตามกิ่ง ออกตรงข้ามหรือเยื้องกับใบกันเล็กน้อย กลีบดอกมีทั้งหมด 6 กลีบ เรียงสลับกัน 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกจะค่อนข้างหนา กลีบดอกนั้นมีสีแดงสดหรือสีแดงเลือดนก ส่วนโคนกลีบดอกนั้นเป็นสีเหลืองอ่อน ลักษณะกลีบดอกมีลักษณะรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ปลายมน ยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกนั้นมี 3 กลีบ กลีบเลี้ยงจะค่อนข้างบอบบาง มีสีเขียวอมเหลือง ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวด้านนอกมีขนสั้นขึ้นประปราย ส่วนผิวด้านในเกลี้ยง มีน้ำหวานจำนวนมากรอบฐานดอก ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นจำนวนมาก อยู่ชิดติดกันแน่นเป็นพุ่มกลม รังไข่ยาวได้ประมาณ 7 มิลลิเมตร มีขนสั้น และยอดเกสรเพศเมียจะแผ่ออกคล้ายรูปแตร มีเมือกเหนียวสีเหลืองแล้วเปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้น ตอนเมื่อดอกบานเต็มที่นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-11 เซนติเมตร[1],[2]
  • ผลกล้วยหมูสัง ออกผลเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มจะมีผลย่อยอยู่อีกจำนวนมาก อยู่ที่ประมาณ 6-15 ผล อยู่บนแกนตุ้มกลม ก้านช่อของผลยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ลักษณะของผลย่อยมีลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ๆ ยาวได้ประมาณ 3-6 เซนติเมตร ปลายผลนั้นมน ส่วนก้านผลย่อยยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร บางตอนของผลจะคอดมีส่วนเว้าเล็กน้อย ตามผิวผลนั้นมีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นกระจายและมีขนขึ้นประปราย ผลตอนอ่อนมีสีเขียว ส่วนผลตอนสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีรสชาติหวานเปรี้ยวนำมารับประทานได้ ภายในผลนั้นมีเมล็ดอยู่มาก[1],[2] ออกดอกและผลในช่วงดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม[3]

สรรพคุณของกล้วยหมูสัง

1. ใบกับรากนั้น นำเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาบำบัดอาการปวดท้องได้ (ใบและราก)[1],[2]
2. ชาวมลายูจะนำใบกล้วยหมูสัง เอามาต้มกับข้าวรับประทานเป็นยาบรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ (ใบ)[1],[2]

ประโยชน์ของกล้วยหมูสัง

1. ผลเมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นที่หอมและมีรสชาติที่หวานเปรี้ยว นำมารับประทานได้[1],[2]
2. กล้วยหมูสังเป็นพรรณไม้ที่มีดอกสีแดงสดสวยงามมาก จนมีการนำมาพัฒนาเป็นไม้เลื้อยประดับ โดยจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงพลบค่ำและในช่วงกลางคืน[4]
3. เถาเอามาใช้ประโยชน์แทนหวายได้[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “กล้วยหมูสัง”. หน้า 90.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ย่านนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [23 มิ.ย. 2015].
3. พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ย่านนมควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th. [23 มิ.ย. 2015].
4. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “กล้วยหมูสัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [23 มิ.ย. 2015].
รูปจาก : nparks

ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน

0
กระท้อน
ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลมีสีสะดุดตา และทนแล้ง
กระท้อน
ประโยชน์ 11 ข้อ ที่น่าทึ่งของกระท้อน เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลมีสีสะดุดตา และทนแล้ง

กระท้อน

ชื่อสามัญของกระท้อน คือ Sentul, Yellow sentol, Santol, Red sentol
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกระท้อน คือ Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr. อยู่ในวงศ์กระท้อน
ชื่อกระท้อนของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เตียนล่อน สะตู มะต้อง สะโต มะติ๋น สะท้อน สตียา

ลักษณะ

  • ต้นของกระท้อน เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดที่แถวอินโดจีนกับมาเลเซียตะวันตก และแพร่ขยายไปในอินเดีย อินโดนีเซีย มอริเชียส ฟิลิปปินส์ จนเป็นพืชท้องถิ่น เป็นไม้ยืนต้น สูง 15-30 เมตร ที่เปลือกต้นมีสีเทา
    ใบของกระท้อน เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะคล้ายรูปรีแกมไข่ ใบแก่มีสีส้มแดง ใบกว้าง 6-15 เซนติเมตร ยาว 8-20 เซนติเมตร
  • ดอกของกระท้อน กลีบดอกมีสีเหลืองนวล ดอกออกเป็นช่อที่ตามซอกใบปลายกิ่ง มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก
  • ผลของกระท้อน มีลักษณะกลมแป้น ที่ผิวมีขน ผลอ่อนเป็นสีเขียวและมีน้ำยางสีขาว ผลแก่เป็นสีเหลืองมีน้ำยางน้อยลง ขนาด 5-15 เซนติเมตร ในผมมีเมล็ด 4-5 เมล็ด มีปุยสีขาวหุ้มเมล็ดอยู่ และมีปลอกเหนียวห่อหุ้มอยู่ เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี
  • สายพันธุ์กระท้อน ที่นิยมจะเป็นพันธุ์กระท้อนห่อที่มีรสหวาน คือ สายพันธุ์อีล่า ปุยฝ้าย ทับทิม อินทรชิต นิ่มนวล ขันทอง เทพรส อีแดง กระท้อนสายพันธุ์พื้นเมืองนั้นจะเปรี้ยว ผลดก ขนาดเล็ก นิยมเอามาทำเป็นกระท้อนทรงเครื่อง และกระท้อนดอง
  • กระท้อน มีธาตุโพแทสเซียมสูง ไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะโพแทสเซียมสูงอยู่ ทำให้ต้องควบคุมการทานโพแทสเซียม สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคไตก็ไม่ควรประมาท เพราะมีการตรวจพบว่ากระท้อนมีสารฟอกขาว (สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) ปนเปื้อนได้ ถ้าได้รับเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการอักเสบตามอวัยวะที่สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร และจะมีอาการแน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียนด้วย

สรรพคุณของกระท้อน

  • สารสกัดที่ได้จากเมล็ดกระท้อนจะมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง
  • สามารถช่วยรักษาโรคผิวหนัง และกลากเกลื้อนได้ (เปลือก)
  • สามารถใช้ทำเป็นยาขับลมได้ (ราก)
  • รากกระท้อนสามารถช่วยแก้บิดได้
  • สามารถนำใบสดมาต้มใช้อาบแก้ไข้ได้
  • สารสกัดที่ได้จากกิ่งของกระท้อนมีผลยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลอง
  • กระท้อนมีหลายส่วนที่มีสรรพคุณที่ออกฤทธิ์แก้อาการอักเสบ
  • ผลกระท้อนมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน
  • รากสามารถช่วยแก้อาการท้องเสียได้
  • สามารถใช้รากทำเป็นยาธาตุได้
  • ใบของกระท้อนสามารถช่วยขับเหงื่อได้

ประโยชน์ของกระท้อน

  • ลำต้นทำเป็นไม้ใช้สอยต่าง ๆ ได้ เช่น ทำไม้กระดาน เป็นต้น
  • กระท้อนมีรสเปรี้ยว และมีฤทธิ์เย็น เหมาะกับผู้ที่เกิดในเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม ธาตุเจ้าเรือนอยู่ในธาตุน้ำ
    ผลสามารถทานได้ และสามารถนำมาใช้ทำอาหารคาวหวานได้หลากหลายชนิด เช่น แกงคั่ว แกงฮังเล ผัด ตำ ใช้เป็นอาหารหวานเช่น กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนดอง กระท้อนกวน กระท้อนแช่อิ่ม เยลลี่กระท้อน แยมกระท้อน น้ำกระท้อน

คุณค่าทางโภชนา

คุณค่าทางโภชนาการของกระท้อน 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.045 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.741 มิลลิกรัม
วิตามินซี 86.0 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.42 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 4.3 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 17.4 มิลลิกรัม
แคโรทีน 0.003 มิลลิกรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 0.118 กรัม
ใยอาหาร 0.1 กรัม

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.hort.purdue.edu
แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง

0
กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดใช้รักษาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก เนื้อผลสุกกินเป็นอาหาร ใบกับเมล็ดนำมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์จะเป็นพิษ
กระเบา
กระเบา สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดใช้รักษาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก เนื้อผลสุกกินเป็นอาหาร ใบกับเมล็ดนำมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์จะเป็นพิษ

กระเบา

ชื่อสามัญของกระเบา คือ Chaulmoogra[3]
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกระเบา คือ Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness[1] อยู่ในวงศ์ ACHARIACEAE
ชื่อกระเบาของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ดงกะเปา กระเบาเบ้าแข็ง กระเบาน้ำ ตัวโฮ่งจี๊ หัวค่าง กระเบาข้าวแข็ง กระเบาใหญ่ มะกูลอ กระเบาข้าวเหนียว เบา กระเบาตึก กาหลง ต้าเฟิงจื่อ กระตงดง แก้วกาหลง กุลา

ลักษณะ

  • ต้นของกระเบา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-15 เมตร สูงโปร่ง ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกลำต้นจะเรียบ มีสีเทา ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ประเทศไทยสามารถพบเจอได้ทุกภาคที่ตามป่าดิบตามป่าบุ่ง ป่าทามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 30-1,300 เมตร[1],[2],[4],[6],[7],[11]
  • ใบของกระเบา เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปรียาวแกมรูปขอบขนาน ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร หลังใบจะเรียบและเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม ท้องใบจะเรียบไม่ลื่น มีสีอ่อนกว่าหลังใบ เนื้อใบทึบแข็งกรอบ มีเส้นใบ 8-10 คู่ เส้นใบย่อยจะสานกันเป็นลายร่างแห ใบอ่อนจะมีสีชมพูแดง ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 10-30 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11]
  • ดอกของกระเบา เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ต้นตัวผู้เรียกว่าแก้วกาหลง ต้นตัวเมียเรียกว่ากระเบา[10] เป็นดอกเดี่ยว ดอกออกที่ตามซอกใบ บ้างก็ว่าดอกออกเป็นช่อสีขาวนวล ช่อหนึ่งมีดอก 5-10 ดอก มีกลิ่นหอม มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 ก้าน[4] ดอกเพศผู้มีสีชมพู มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ มีขนอยู่ ดอกเพศเมียดอกออกเป็นช่อที่ตามง่ามใบ กลีบเลี้ยงกับกลีบดอกเหมือนดอกเพศผู้[1],[2],[5] ดอกออกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[6],[11] บางคนก็ว่าดอกออกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน[7]
  • ผลของกระเบา มีลักษณะกลม ผลใหญ่ ผลกว้าง 8-12 เซนติเมตร เปลือกผลจะหนาและแข็งมีสีน้ำตาล ผิวผลจะมีขนคล้ายกับกำมะหยี่สีน้ำตาล เนื้อผลมีสีขาวอมเหลือง ในผลมีเมล็ดสีดำรวมกันประมาณ 30-50 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปรีหรือรูปไข่เบี้ยว ปลายจะมนทั้งสองข้าง กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-1.9 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11] ติดผลช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน จะเป็นผลช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[6],[11]

สรรพคุณของกระเบา

  • สามารถนำเมล็ดมาหุงเป็นน้ำมันทาภายนอก ใช้ทาผมและรักษาโรคผมร่วง[1],[2]
  • สามารถใช้ปรุงเป็นยารักษาอีสุกอีใสได้ โดยใช้กระเบา 50 กรัม กระเทียม 20 กรัม มาตำผสมน้ำ 100 cc. แล้วต้มให้เดือด 5 นาที แล้วใช้ทาแผลตามร่างกาย จากการทดลองในคนไข้ 50 คน และทาเพียงครั้งเดียวพบว่าคนไข้ทั้งหมดมีอาการดีขึ้น (เข้าใจว่าใช้ส่วนของเมล็ดของกระเบา)[4]
  • ผลกับเมล็ดจะมีรสเมาเบื่อมัน สามารถใช้แก้โรคผิวหนังต่างๆ[1],[2] ตำรายาไทยใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเพื่อใช้รักษาโรคผิวหนังอื่นๆ[3] หรือใช้เมล็ด 5-10 เมล็ด มาแกะเปลือกออกมาตำให้ละเอียด แล้วเติมน้ำมันพืชลงไปพอควร คลุกให้เข้ากัน นำมาใช้ทาแก้โรคผิวหนัง[4]
  • ใบจะมีรสเบื่อเบา สามารถใช้ฆ่าพยาธิบาดแผลได้[1],[2]
  • สามารถช่วยรักษาบาดแผลได้ (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • สามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ (เมล็ด)[11]
  • สามารถช่วยดับพิษทั้งปวง (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • ผลสามารถใช้รักษามะเร็งได้[1],[2]
  • สามารถใช้แก้อาการปวดบวมตามข้อได้ (น้ำมันที่ได้จากเมล็ด)[5],[7]
  • ผลสามารถช่วยรักษาโรคเรื้อนได้[1],[2] ตำรายาไทยระบุว่าใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดในการรักษาโรคเรื้อน[3] หรือใช้น้ำมันจากเมล็ด 3 มล. น้ำ 160 มล. น้ำนมอุ่น 30 มล. น้ำเชื่อม 40 มล. มาผสมกัน ดื่มหลังอาหารวันละ 3 เวลา ช่วยแก้โรคเรื้อนได้[4]
  • สามารถใช้ใบแก้กลากเกลื้อนได้[1],[2] สามารถใช้เมล็ดเป็นยาแก้กลากเกลื้อนได้ และช่วยแก้หิดได้[4]
    สามารถช่วยแก้พิษบาดแผลสดได้ (ใบ)[2]
  • รากกับเนื้อไม้จะมีรสเบื่อเมา สามารถช่วยฆ่าพยาธิผิวหนังต่าง ๆ ได้[1],[2]
  • สามารถช่วยแก้เสมหะเป็นพิษได้ (รากกับเนื้อไม้)[1],[2]
  • เมล็ดจะมีรสเผ็ดร้อนและขม สามารถใช้เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์กับตับ ม้าม ไต สามารถใช้เป็นยาขับลม ขับพิษได้[4]

ประโยชน์ของกระเบา

  • กระเบาเป็นต้นไม้ที่ไม่ใหญ่มาก สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้ ต้นจะมีเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ไม่ผลัดใบ สามารถให้ร่มเงาได้ทั้งปี และช่วงการแตกใบอ่อนสีชมพูแดงจะมีสีสันสวยมาก ดอกถึงจะมีขนาดเล็กแต่มีกลิ่นหอมแรง มีผลที่ใหญ่คล้ายผลทองดูสวยงาม[11]
  • ชาวพิจิตรใช้เมล็ดกระเบามาตำให้ละเอียดแล้วให้สุนัขกลืนแบบดิบ ๆ ช่วยทำให้สุนัขที่เป็นโรคเรื้อนหายเป็นปกติจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ เมล็ดมีฤทธิ์ที่ทำให้เมา ไม่ควรใช้เยอะ[6]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นน้ำมันสำหรับใส่ผมเพื่อรักษาโรคบนหนังศีรษะได้[5]
  • ผลแก่ที่สุกสามารถทานเนื้อเป็นอาหารได้ เนื้อจะนุ่ม มีรสหวานมันคล้ายเผือกต้ม[5],[6]
  • เนื้อไม้กระเบาจะมีสีแดงแกมสีน้ำตาลเมื่อตัดใหม่ นานไปจะมีสีน้ำตาลอมสีเทา เนื้อไม้จะเป็นเสี้ยนตรง เนื้อไม้ละเอียด และสม่ำเสมอ แข็ง ผ่าเลื่อยง่าย สามารถใช้ในงานก่อสร้าง ทำกระดานพื้นบ้านได้[6]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดกระเบา (Chaulmoogra oil หรือ Hydnocarpus oil) สามารถนำไปดัดแปลงทางเคมี ใช้เป็นยาทาภายนอก ยาฉีด ยารับประทาน เพื่อใช้บำบัดโรคผิวหนังและฆ่าเชื้อโรคได้ เช่น นำไปใช้บำบัดโรคเรื้อน โรคเรื้อนกวาง หิด คุดทะราด โรคผิวหนังผื่นคันที่มีตัวทุกชนิด และนำไปใช้รักษามะเร็งได้[5]
  • ผลเป็นอาหารของลิงกับปลา มีรสชาติมัน มีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล[9],[11]

สิ่งที่ควรรู้และข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระเบา

  • ใบกับเมล็ดของกระเบาจะเป็นพิษ มีสาร Cyanogenetic glycoside [5] พิษเฉียบพลันของเมล็ดกระเบา ถ้านำเมล็ดมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ นำไปฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะรู้สึกปวดแสบ และทำให้เซลล์กล้ามเนื้อตายด้านอย่างเฉียบพลัน ถ้าทานมากเกินไป จะทำให้อาเจียนปวดท้อง ปวดลำไส้ ทำให้ไตอักเสบ ปัสสาวะมีโปรตีน ปัสสาวะเป็นเลือด[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดกระเบาในสมัยก่อนสามารถใช้รักษาโรคเรื้อนได้นานพอควร และใช้รักษาเชื้อราของโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ด้วย[4] มีรายงานวิจัยระบุว่าน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดกระเบาโดยที่ไม่ใช้ความร้อน จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคเรื้อนกับวัณโรค[3]
  • กระเบาจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ยับยั้งมะเร็ง ยับยั้งมดลูกบีบตัว ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร แก้ไข้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์ คล้ายกล้ามเนื้อเรียบ รักษาวัณโรค รักษาโรคเรื้อน ทำให้อักเสบ[11]
  • เมล็ดกระเบาส่วนมากจะใช้เป็นยาภายนอก ถ้าต้องการใช้ผสมกับตำราอื่นเพื่อทาน ต้องมีวิธีการกำจัดพิษในเมล็ดก่อนนำมาใช้ ห้ามทานเกินที่กำหนด[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ใช้ฉีดเข้าในผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ซึมผ่านแผล (Direct infusion) ครั้งแรกให้ใช้ 0.5 มล. ต่อมาใช้ 1 มล. อาทิตย์ละครั้ง ใช้ฉีดน้ำมันใส่ผม ช่วยรักษาผิวหนังบนศีรษะ รักษาคุดทะราด ใช้เป็นยาแก้มะเร็ง[4]
  • การใช้สาร Hydnocarpic acid จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนมากกว่าสาร Chaulmoograte ถ้านำมาใช้ร่วมกับ Chaulmoograte จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนดีกว่า[4]
  • น้ำมันที่ได้จากเมล็ดจะมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิไส้เดือน กระตุ้นการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง[8] เมล็ดกับใบสดจะมีสาร Hydrocyanic acid เมล็ดมีน้ำมันระเหย 20-25% มีน้ำมันที่เป็น Glycerides oil ของ Chaulmoogric acid, Cyclopentenylglycine, Hydnocarpic acid, Alepric acid, Aleprolic acid, Aleprylic acid, Gorlic acid[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กระเบาใหญ่ (Kra Bao Yai)” (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 34.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “กระเบาใหญ่”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, รศ.ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, อาจารย์กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 61.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “กระเบา”. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 122.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “กระเบาน้ำ”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 40.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].
รอบรู้สมุนไพร, โรงเรียนบางสะพานวิทยา. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bspwit.ac.th. [01 ก.พ. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4.
พืชสมุนไพรโตนงาช้าง, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กระเบาใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: paro6.dnp.go.th. [01 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/. [01 ก.พ. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “กระเบา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [01 ก.พ. 2014].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาใหญ่”. อ้างอิงใน: thaimedicinalplant.com. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูป
https://www.phakhaolao.la/en/kb/0000187
https://www.floraofbangladesh.com/2018/10/chalmugra-or-dalmugri-hydnocarpus-kurzii.html

กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น

0
กระเบากลัก
กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ผลดำขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่
กระเบากลัก
กระเบากลัก พรรณไม้ผลสีดำน่าพิศวง กับคุณประโยชน์อันมากล้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ผลดำขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่

กระเบากลัก

กระเบากลัก ในทางชื่อวิทยาศาสตร์ Hydnocarpus ilicifolius King[1] ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในวงศ์ ACHARIACEAE

สมุนไพรกระเบากลัก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กระเบาลิง (ทั่วไป), จ๊าเมี่ยง (แพร่, สระบุรี), กระเบาหิน (อุดรธานี), กระเรียน (ชลบุรี), คมขวาน หัวค่าง (ประจวบคีรีขันธ์), หัวค่าง (สุราษฎร์ธานี), กระเบียน ขี้มอด (จันทบุรี), กระเบาซาวา (เขมร-จันทบุรี), กระเบาพนม (เขมร-สุรินทร์), ดูกช้าง (กระบี่), บักกรวย พะโลลูตุ้ม (มลายู-ปัตตานี) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกระเบากลัก

  • ต้นกระเบากลัก เป็นพรรณไม้ยืนต้นมีขนาดกลาง ตรงส่วนของลำต้นนั้นค่อนข้างเปลาตรง มีความสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมแดง และผิวเรียบ ส่วนตามกิ่งอ่อนนั้นมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม กิ่งที่แก่แล้วจะเกลี้ยง ชอบน้ำปานกลางและแสงแดดแบบครึ่งวัน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะกล้าจากเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน และแหลมมลายู ส่วนในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค ส่วนใหญ่มักขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามเขาหินปูน และบริเวณที่ใกล้ชายทะเล ขึ้นตามพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงประมาณ 800 เมตร[1],[2],[3]
  • ใบกระเบากลัก เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรียาวขอบขนานหรือมีรูปใบหอก ตรงปลายใบเป็นใบเรียวหรือค่อนข้างเรียวแหลม โคนใบนั้นมน หรือสอบ ส่วนขอบใบจะหยักเป็นฟันเลื่อยห่าง ๆ ช่วงปลายใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7.5-16 เซนติเมตร ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร หลังใบลักษณะเรียบเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบ มีเส้นแขนงใบเยื้องกันข้างละ 7-10 เส้น ส่วนเส้นใบย่อยเป็นรูปร่างแห ทั้งเส้นแขนงใบและเส้นใบย่อยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งสองด้าน[1],[2],[3]
  • ดอกกระเบากลัก เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ช่อละประมาณ 2-10 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีขนสีน้ำตาลแดง ส่วนดอกย่อยเป็นสีขาวหรือมีสีเหลืองอมเขียว มีกลีบดอก 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายจะตัด ความยาวจะไล่เลี่ยกับกลีบเลี้ยง มีขนที่ปลายกลีบ ด้านนอกค่อนข้างเกลี้ยง ส่วนที่โคนก้านด้านในมีเกล็ดรูปเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้มีเกสรประมาณ 14-20 อัน ก้านชูอับเรณูมีขนาดสั้น มีขน ส่วนดอกเพศเมียนั้นมีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์จำนวน 15 อัน รังไข่เป็นรูปไข่ มีขนสีน้ำตาลแดง ที่ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 4 แฉก[1],[2],[3]
  • ผลกระเบากลัก มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 4-8 เซนติเมตร เปลือกผลนั้นแข็ง ผิวเรียบและมีขนนุ่มสีดำ สีน้ำตาลดำ หรือสีน้ำตาลแดง ลักษณะคล้ายกำมะหยี่ ภายในผลนั้นมีเมล็ดสีขาว มีเนื้อหุ้มเมล็ดอัดกันแน่นรวมกันประมาณ 10-15 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.3-2.2 เซนติเมตร[1],[2],[3]

สรรพคุณของกระเบากลัก

1. ใบสามารถใช้เป็นยาแก้พิษบาดแผล ฆ่าพยาธิบาดแผล และแก้กลากเกลื้อนได้ (ใบ)[1],[2]
2. ผลนั้นสามารถเป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคเรื้อน มะเร็ง และคุดทะราดได้ (ผล, เมล็ด)[1],[2],[4]
3. ส่วนเมล็ดนั้นใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (เมล็ด)[4]
4. รากและเนื้อไม้นำมาใช้เป็นยาดับพิษทั้งปวง และแก้เสมหะเป็นพิษ (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
5. บางข้อมูลระบุว่า เมล็ดนอกจากจะใช้ทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้แล้ว ยังใช้เป็นยารักษาโรคผมร่วงได้อีกด้วย (ไม่มีอ้างอิง)

ประโยชน์ของกระเบากลัก

1. ส่วนผลนั้นรับประทานได้ ลิงจะชอบกินเป็นพิเศษ[5]
2. ต้นกระเบากลักจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กมีรูปทรงที่สง่างาม เรือนยอดกลม และแผ่นใบหนา มีผลสีดำกำมะหยี่ดูสวยงาม เป็นไม้ให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี จะนำไปปลูกตกแต่งบริเวณบ้าน สวนหย่อม หรือที่ทำการก็ได้ สามารถปลูกได้ตั้งแต่ที่ราบไปจนถึงภูเขาที่ไม่สูงมากนัก[5]
3. ส่วนของเมล็ดจะนำไปบดเพื่อสกัดเอาน้ำมัน ที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่ น้ำมันใส่ผม เทียนไข น้ำมันหล่อลื่น ฯลฯ[4]
4. เนื้อไม้มีประโยชน์ในงานก่อสร้างอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำเป็นกระดาน เครื่องจักสาน เครื่องแกะสลัก ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ และยังสามารถใช้ทำเป็นฟืนหรือถ่านได้อีกด้วย[4],[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กระเบากลัก (Kra Bao Klak)”. หน้า 33.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กระเบากลัก”. หน้า 60.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [27 มิ.ย. 2015].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [27 มิ.ย. 2015].
5. เว็บไซต์ท่องไทยแลนด์ดอทคอม. “กระเบากลัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thongthailand.com. [27 มิ.ย. 2015].

ภาพประกอบ : www.biogang.net (by so_sick, scoopy), www.magnoliathailand.com (by ღ(•ิ_•ิ)ღปิ่งปิ๊ง, ป้ากระต่าย)

รูปอ้างอิง
1.https://www.ydhvn.com/news/cay-duoc-lieu-cay-lo-noi-o-ro-son-den-chum-bao-gia-da-trang-hydnocarpus-ilicifolia-king
รูปจาก khaohinsonbg.org