เต็งหนาม ไม้หนามแห่งป่าดิบ สรรพคุณแก้อาการปวดหัวเข่า

0
เต็งหนาม ไม้หนามแห่งป่าดิบ สรรพคุณแก้อาการปวดหัวเข่า ลำต้นมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดง ผลรูปไข่อ่อนสีเขียว สุแล้วเป็นสีดำอมม่วง
เต็งหนาม
ไม้หนามแห่งป่าดิบ แก้อาการปวดหัวเข่า ลำต้นมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดง ผลรูปไข่อ่อนสีเขียว สุแล้วเป็นสีดำอมม่วง

เต็งหนาม

เต็งหนาม หรือต้นฮัง เป็นพรรณไม้ที่พบได้ในป่าทั่วไปลักษณะลำต้นจะมีหนามยาวรอบต้น เนื้อไม้สีแดงสวยงามสรรพคุณเป็นสมุนไพรที่หายากชนิดหนึ่ง และไม้ฮังหนามเหมาะทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ ด้ามเสียม ด้ามมีด ทำเสาบ้านเรือน คอกสัตว์เลี้ยง หรือทำถ่านฟืน ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bridelia retusa (L.) A.Juss. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Bridelia spinosa (Roxb.) Willd., Clutia retusa L., Clutia spinosa Roxb.ในปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) ชื่อเรียกอื่นว่า ต้นฮัง, เปาหนาม (ลำปาง), ฮังหนาม (นครพนม), รังโทน (นครราชสีมา), ว้อโบ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), จาลีลึกป๊วก (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ลักษณะของเต็งหนาม

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นตั้งตรง มีความสูงถึง 20 เมตร เรือนยอดไม่แน่นอน เปลือกต้นอ่อน ผิวเรียบ มีสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลเทา เมื่อต้นแก่เปลือกต้นจะเป็นสีน้ำตาลแก่ แตกเป็นร่องยาว และมีหนามแข็งขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลำต้น พบขึ้นทั่วไปในป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ และที่โล่งแจ้ง ทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูง 600-1,100 เมตร[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลมบางใบปลายจะมน โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบมีลักษณะเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ขนาดของใบที่ปลายกิ่งจะเล็กกว่าใบที่อยู่ถัดใบ ส่วนการเรียงตัวของใบจะเป็นในแนวระนาบ ยอดอ่อนมีขนสีเทา เมื่อใบแก่ด้านบนเกลี้ยง ยกเว้นบนเส้นใบ ใบด้านล่างมีขนหรือเรียบเกลี้ยง มีเส้นใบข้างขนานกัน 16-24 คู่ เส้นใบข้างจรดเส้นใบที่ขอบใบ เนื้อใบมีลักษณะหนา ท้องใบมีขนนุ่มสีขาว ก่อนที่จะมีการทิ้งใบนั้น ใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลออกชมพู ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.2 เซนติเมตร ไม่มีต่อม มีหูใบแหลมขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร ค่อนข้างร่วงได้ง่าย[1]
  • ดอก เป็นช่อเชิงลดแยกแขนงตามซอกใบ และมักออกดอกที่ปลายยอดกิ่งที่ใบหลุดร่วงเป็นส่วนใหญ่ ช่อดอกยาวเรียว ช่อแน่น มีดอกย่อยที่มีจำนวนมากประมาณ 8-15 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นแบบแยกเพศ กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายแตกออกเป็นซี่ ๆ กลีบดอกเป็นสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง อาจเจอที่มีผสมสีส้มหรือสีแดงบ้าง ก้านดอกมีลักษณะอ้วน ขนาดสั้นเพียง 2 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ แต่เกสรเพศเมียเป็นหมันเชื่อมเป็นแท่งตรงกลางดอก ขนาดประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร ปลายแท่งแผ่ออกเป็น 5 อับเรณู ในส่วนดอกเพศเมียมีก้านชูเกสรเพียง 2 อัน ที่ตรงปลายแยก รังไข่มีขนาดเล็กกว่า 1.5 มิลลิเมตร มีส่วนของหมอนรองดอกเป็นรูปคนโทปิดไว้ กลีบเลี้ยงหนา มีลักษณะรูปสามเหลี่ยม มีขนาดประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1]
  • ผล สดฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ แข็งไม่แตกกระด้าง มีขนาดประมาณ 0.5-0.9 เซนติเมตร ผลตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว ตอนเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีฟ้าอมม่วง เนื้อข้างในบาง เป็นผลเมล็ดเดียว รูปร่างค่อนข้างกลม มีสีน้ำตาลแดง ขนาดประมาณ 0.4-0.5 เซนติเมตร จะออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[2]

สรรพคุณของเต็งหนาม

1. ตำรายาของไทยจะใช้เปลือกของต้นต้มกับน้ำเป็นยาฝาดสมานอย่างแรง และใช้รากเข้ายาสมานท้อง แก้บิด แก้ท้องร่วง และสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดได้อีกด้วย (เปลือกต้น, ราก)[1],[3]
2. เป็นยาพื้นบ้านภาคอีสาน เขาจะนำเอาเปลือกต้นปิ้งไฟ แล้วแช่ในน้ำเกลือ ใช้ดื่มเป็นยาแก้ท้องร่วง (เปลือกต้น)[1]
3. ตำรายาอายุรเวทของทางประเทศอินเดียจะเอาใบต้มดื่มเป็นยารักษาบิด และใช้ใบเป็นยาในการรักษาโรคติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ (ใบ)[1]
4. น้ำต้มจากเปลือกใช้กินเป็นยาสลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (เปลือกต้น)[3]
5. เปลือกต้นใช้ต้มกินเป็นยาคุมกำเนิด (เปลือกต้น)[1]
6. เปลือกต้นใช้ตำผสมกับผักเสี้ยนผีทั้งต้น และหัวแห้วหมู ทำเป็นลูกประคบแก้ปวดหัวเข่า (เปลือกต้น)[1]
7. ในประเทศศรีลังกาจะใช้เปลือกต้นและรากเป็นยารักษาโรคข้อรูมาติซึม และใช้เป็นยาฝาดสมานแผล (เปลือกต้น, ราก)[1]
8. ยางจากเปลือกต้นนั้นนำมาผสมกับน้ำมันงา ใช้เป็นยาทาไว้นวดแก้อาการปวดข้อ (ยางจากเปลือกต้น)[1],[3]
9. ใบ ใช้ร่วมกับพืชอื่น ๆ ผสมเข้ากับน้ำมันละหุ่ง น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันขิง ใช้เป็นยาทารักษาแผล (ใบ)[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. เปลือกต้น พบสารในกลุ่ม bisabolane sesquiterpenes ได้แก่ (E)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-1-hexenyl) benzoic acid, (E)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-1,4-hexadienyl) benzoic acid, (R)-4-(1,5-dimethyl-3-oxo-4-hexenyl) benzoic acid, (-)-isochaminic acid, (R)-4-(1,5-dimethyl-3-oxohexyl) benzoic acid (ar-todomatuic acid) และสารอื่น ๆ ที่พบ ได้แก่ 5-allyl-1,2,3-trimethoxybenzene (elemicin), (+)-sesamin and 4-isopropylbenzoic acid (cumic acid)[1]
2. สารสกัดแอลกอฮอล์จากเปลือกต้น มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านเนื้องอก ไม่เป็นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง[1]
3. สารไอโซฟลาโวนจากใบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งแกรมลบและบวกได้หลากหลายชนิด[1]
4. สารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคทางเดินปัสสาวะได้ ดังนี้ Staphylococcus aureus, Enterococcus faecalis, Enterobacter aerogenes, Acinetobacter baumannii และ Pseudomonas aeruginosa โดยมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ฆ่าเชื้อได้ (MBC) เท่ากับ 1.51, 3.41, 3.41, 4.27 และ 9.63 mg/ml ตามลำดับ[1]
5. สารสกัดแอลกอฮอล์จากใบและต้น มีพิษต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว และสามารถต้านเชื้อไวรัสเอดส์ได้โดยการยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ในหลอดทดลอง[1]
6. สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ก่อโรคพืช (Cladosporium cladosporioides)[1]

ประโยชน์ของเต็งหนาม

1. ผลมีรสฝาด รับประทานได้ และเป็นอาหารนก[2],[3]
2. ใบเป็นอาหารสำหรับสัตว์[2]
3. เนื้อไม้มีสีแดงขุ่น สามารถนำมาใช้ในงานการก่อสร้างได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ทำเสา รวมไปถึงเครื่องมือทางอุตสาหกรรม[2]
4. เปลือกต้นมีสารแทนนินที่ใช้ในทางเภสัชกรรม เพราะมีคุณสมบัติที่เป็นสารต่อต้านไวรัสบางชนิด[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [18 ก.ย. 2015].
2. พันธุ์ไม้, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [18 ก.ย. 2015].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [18 ก.ย. 2015].
4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เต็งหนาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [18 ก.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/dinesh_valke/49263774987
2.https://v3.boldsystems.org/index.php/Taxbrowser_Taxonpage?taxid=210512

ตูมกาขาว เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร

0
ตูมกาขาว
ตูมกาขาว เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร เปลือกต้นสีเทาอมสีเหลือง ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว เปลือกผลสีเขียวสาก เมื่อสุกเป็นสีส้มแดง
ตูมกาขาว
เปลือกต้นสีเทาอมสีเหลือง ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว เปลือกผลสีเขียวสาก เมื่อสุกเป็นสีส้มแดง

ตูมกาขาว

ตูมกาขาว เป็นไม้ป่าดงดิบแล้งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนโดยเฉพาะลำต้นชาวบ้านจะตัดมาทำเป็นที่อยู่อาศัย ท่อนฟืน หรือทำถ่านสำหรับใช้ในหุงต้มในครัวเรือน เพราะเนื้อไม้ให้พลังงานสูงรวมถึงยังใช้ในตำรายาไทยอีกด้วย มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Strychnos nux-blanda A.W. Hill จัดอยู่ในวงศ์กันเกรา (LOGANIACEAE หรือ STRYCHNACEAE)[1] นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ขี้กา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะติ่ง มะติ่งต้น มะติ่งหมาก (ภาคเหนือ), ตูมกาขาว (ภาคกลาง), มะตึ่ง (คนเมือง), อีโท่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), กล้อวูแซ กล้ออึ กล๊ะอึ้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะปินป่า (ปะหล่อง), ปลูเวียต (เขมร), แสงเบื่อ, แสลงใจ, ตากาต้น, ตึ่ง, ตึ่งต้น เป็นต้น[1],[2]
หมายเหตุ : ต้นตูมกาชนิดนี้เป็นคนละชนิดกันกับ “ต้นตูมกาแดง” หรือที่ภาคกลางเรียกว่า “ต้นแสลงใจ” (มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos nux-vomica L.)

ลักษณะของตูมกาขาว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ และมีการผลัดใบ ต้นมีความสูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกลำต้นจะเป็นสีเทาอมสีเหลือง ไม่มีช่องอากาศ และไม่มีมือจีบ ตามง่ามใบบางครั้งจะมีหนามขึ้น มักจะพบขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง และป่าหญ้าที่ค่อนข้างแห้ง ส่วนในต่างประเทศจะสามารถพบได้ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย[1],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปรี รูปกว้างหรือรูปกลม ปลายใบมนหรือเรียวแหลม ปลายสุกมักมีติ่งแหลม โคนใบแหลม หรือกลม หรือเว้าเป็นรูปหัวใจเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร ผิวใบมันเรียบเป็นสีเขียวเข้ม มีเส้นใบตามยาวคมชัดประมาณ 3-5 เส้น เส้นกลางใบด้านบนแบนหรือเป็นร่องตื้นๆ ส่วนด้านล่างนูนเกลี้ยงหรือมีขนประปรายตามเส้น ส่วนก้านใบยาวประมาณ 5-17 มิลลิเมตร[1]
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบแบบกระจุกแยกแขนง โดยจะออกบริเวณยอดหรือตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกย่อยอยู่จำนวนมาก กลีบดอกจะเป็นสีเหลืองแกมสีเขียวถึงขาว ก้านดอกยาวไม่เกิน 2.5 มิลลิเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปไข่แคบถึงรูปใบหอก มีความยาวอยู่ประมาณ 1.5-2.2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนหรืออาจจะเกลี้ยง ไม่มีขน ส่วนกลีบดอกเป็นสีเขียวถึงขาว มีความยาวอยู่ประมาณ 9.4-13.6 มิลลิเมตร โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก หลอดจะมีความยาวกว่าแฉกอยู่ 3 เท่า มีตุ่มขึ้นอยู่เล็กๆ ด้านใน บริเวณด้านล่างของหลอดมีขนแบบขนแกะอยู่ แฉกมีตุ่มขึ้นอยู่หนาแน่น ปลายแฉกจะหนา ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ไม่มีก้าน ติดกันอยู่ภายในหลอดดอก ส่วนอับเรณูเป็นรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร เกลี้ยง ปลายมนหรือมีติ่งแหลม ส่วนเกสรเพศเมีย มีความยาวประมาณ 8-13 มิลลิเมตร เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม[1]
  • ผล เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-8 เซนติเมตร เปลือกผลมีความหนาและสาก ผลจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงแดง และจะมีเมล็ดประมาณ 4-15 เมล็ด[1]
  • เมล็ด มีลักษณะกลมแบนคล้ายกระดุม มีความยาวประมาณ 1.5-2.2 เซนติเมตร และมีความหนาประมาณ 5-15 มิลลิเมตร ผิวของเมล็ดมีขนสีอมเหลือง ตำรายาไทยจะเรียกเมล็ดแก่แห้งว่า “โกฐกะกลิ้ง”[1]

สรรพคุณของตูมกาขาว

1. เมล็ด ใช้แก้หนองใน (เมล็ด)[1]
2. เมล็ด ช่วยแก้ไตพิการ (เมล็ด)[1]
3. เมล็ด ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)[1]
4. เมล็ด ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)[1]
5. เมล็ด ช่วยแก้โลหิตพิการ (เมล็ด)[1]
6. เมล็ด ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (เมล็ด)[1]
7. เมล็ด ช่วยแก้ลมคูถทวาร (เมล็ด)[1]
8. เมล็ด ช่วยบำรุงเพศของบุรุษ (เมล็ด)[1]
9. เมล็ด ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ (เมล็ด)[1]
10. เมล็ด เป็นยาแก้ไข้ ช่วยทำให้ตัวเย็น (เมล็ด)[1]
11. เมล็ด ใช้เป็นยาแก้โรคอันเกิดจากปากคอพิการ ช่วยกระตุ้นประสาทส่วนกลาง บำรุงประสาท หูตาจมูก (เมล็ด)[1]
12. เมล็ด ใช้เป็นยาแก้พิษงู พิษตะขาบ พิษแมงป่อง (เมล็ด)[1]
13. เมล็ด ช่วยแก้อัมพาต แก้เส้นตาย แก้เหน็บชา แก้เนื้อชา (เมล็ด)[1]
14. เมล็ด มีรสเมาเบื่อขมจัดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ (เมล็ด)[1]
15. เมล็ด ก็มีสรรพคุณแก้อาการปวดเมื่อย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง (เมล็ด)[1]
16. เมล็ด ตำรายาไทยจะใช้เมล็ดแก่แห้ง (โกฐกะกลิ้ง) เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้กระษัย ช่วยขับน้ำย่อย แก้อิดโรย (เมล็ด)[1]
17. เมล็ด ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยแก้ลมกระเพื่อมในท้อง แก้ลมพานไส้ ช่วยขับลมในลำไส้ (เมล็ด)[1]
18. ใบ ใช้ตำพอกแก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง (ใบ)[1]
19. ใบ มีรสเมาเบื่อ ใช้ตำพอกเป็นยาแก้ฟกบวม (ใบ)[1]
20. ใบ ใช้ตำพอกหรือคั้นเอาแต่น้ำทาแก้โรคผิวหนัง แก้ขี้กลาก (ใบ)[3],[4]
21. ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พิษภายใน (ลำต้น)[1]
22. ต้น นำมาต้มกับน้ำหรือฝนทาแก้อาการปวดตามข้อ (ต้น)[1]
23. เปลือกต้น ก็มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจเช่นกัน (เปลือกต้น)[4]
24. ชาวกะเหรี่ยงแดงจะใช้เปลือกต้น นำมาเคี้ยวกินกับเกลือเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[2]
25. เปลือกต้น มีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย พิษงูกัด ฝนกับเหล้าปิดแผลและรับประทานแก้พิษงู (ใช้ได้กับทั้งคนและสัตว์) ส่วนในกรณีใช้แก้อาการอักเสบจากพิษงูกัด อาจจะใช้สมุนไพรก่อนแล้วจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล (เปลือกต้น)[1],[3]
26. เนื้อไม้ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้พิษร้อน แก้ไข้เซื่องซึม (เนื้อไม้)[1],[2]
27. เนื้อไม้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทเช่นเดียวกับเมล็ด (เนื้อไม้)[1],[2]
28. เนื้อไม้และเปลือกต้น ก็มีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหารเช่นเดียวกับเมล็ด (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[1],[2],[4]
29. แก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (แก่น)[1]
30. ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้แก่นของต้น เข้ายากับเครือกอฮอ ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เบาหวาน (แก่น)[1]
31. รากมีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก)[1]
32. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ราก)[4]
33. ตำรายาพื้นบ้านจะใช้รากผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น รากปอด่อน และรากชะมวง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย (ราก)[1]
34. ต้นหรือรากใช้ฝนกับน้ำทาแก้อักเสบจากงูกัด (ต้น,ราก)[1]

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรตูมกาขาว

1. ห้ามประชาชนทั่วไปนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้เอง การนำมาใช้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ[1]
2. ทุกส่วนของต้นมีพิษ เป็นยาที่อันตรายมาก ก่อนนำมาใช้เป็นยาจะต้องทำการฆ่าพิษตามกรรมวิธีในหลักเภสัชกรรมไทยเสียก่อน[1]
3. เมล็ดมีพิษเมาเบื่อ อาจทำให้ตายได้ การนำมาใช้เป็นยาต้องใช้อย่างระมัดระวัง หากรับประทานเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง ขาสั่น กลืนลำบาก ชักอย่างแรง ทำให้หัวใจเต้นแรง ขากรรไกรแข็งและตายได้ ส่วนในกรณีที่ไม่ตาย พบว่ามีไข้ ตัวชา หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมากติดต่อกันหลายวัน และกล้ามเนื้อเกร็ง ซึ่งในขนาด 60-90 มิลลิกรัม ก็ทำให้ตายได้[1]

ประโยชน์ของตูมกาขาว

1. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำที่อยู่อาศัยได้
2. ต้น ใช้ผสมกับรำให้ม้ากินเป็นยาขับพยาธิตัวตืด[1]
3. ชาวบ้านจะใช้ไม้จากต้นเป็นฟืนและถ่าน เพราะเป็นไม้ที่ให้พลังงานสูงมาก[3]
4. ผลสุก ใช้รับประทานได้ (กินได้แต่เนื้อ ส่วนเมล็ดห้ามกินเพราะมีพิษมาก) (คนเมือง, ปะหล่อง, กะเหรี่ยงแดง)[2],[3]
5. เปลือกต้น ใช้ผสมกับผลปอพรานและเหง้าดองดึง นำมาคลุกให้สุนัขกินเป็นยาเบื่อ (การฆ่าสัตว์ถือเป็นบาป ไม่ควรทำครับ)[1]
6. ผล กาถูกนำมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำยางเพื่อจุดให้แสงสว่าง หรือที่เรียกว่าการจุด “ไฟตูมกา” โดยนำผลตูมกาขนาดเท่ากำปั้นหรือใหญ่กว่ามาขูดเอาผิวสีเขียวออกและคว้านเอาเนื้อและเมล็ดข้างในออกให้หมด จากนั้นใช้มีดแกะเป็นลายต่างๆ ตามความต้องการ หลังจากจุดเทียนที่สอดขึ้นไปจากรูที่เจาะไว้ส่วนล่าง แสงสว่างจากเปลวเทียนก็จะลอดออกเป็นลวดลายตามที่แกะเป็นลายไว้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

ทุกส่วนของต้นและเมล็ดตูมกาขาลมีสารอัลคาลอยด์ ส่วนเนื้อในผลสุกพบไกลโคไซด์ Laganin ที่ทำให้มีรสขม ส่วนเมล็ดมีสาร Strychnine และ Brucine โดยสาร Strychnine เป็นสารมีพิษ ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความรู้สึกไวกว่าปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง มีอาการชักกระตุก[1]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “แสลงใจ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [11 ก.ค. 2014].
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตูมกาขาว, มะติ่ง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 13 : สมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [11 ก.ค. 2014].
3. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ตูมกา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [11 ก.ค. 2014].
4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ตูมกาขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [11 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://anthrome.wordpress.com/2011/10/15/loganiaceae-strychnos-spp-vietnam/
2.https://uk.inaturalist.org/taxa/498755-Strychnos-nux-vomica/browse_photos

ตะคร้ำ กับสรรพคุณและประโยชน์ที่สุดยอด !

0
ตะคร้ำ
ตะคร้ำ กับสรรพคุณและประโยชน์ที่สุดยอด ! เป็นไม้ยืนต้น ยอดอ่อนมีขนหนา ดอกสีเหลืองอ่อนหรือชมพู ผลสีเขียวอมเหลืองเนื้อนุ่มรสเฝื่อนเนื้อฉ่ำน้ำ เมื่อแก่เป็นสีดำ
ตะคร้ำ
ยอดอ่อนมีขนปกคลุมหนา ดอกสีเหลืองอ่อนหรือชมพู ผลเนื้อนุ่ม มีรสเฝื่อน เนื้อผลฉ่ำน้ำ ผลสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ

ตะคร้ำ

ตะคร้ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Garuga pinnata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE)[1]
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า อ้อยน้ำ (จันทบุรี), กะตีบ แขกเต้า ค้ำ หวีด (ภาคเหนือ), คร้ำ ตำคร้ำ (ไทย), เก๊าค้ำ ไม้หวิด ไม้ค้ำ (คนเมือง), ไม้ค้ำ (ไทใหญ่), ปีซะออง ปิชะยอง (กะเหรี่ยง-จันทบุรี), กระโหม๊ะ (ขมุ), ลำคร้ำ ลำเมาะ (ลั้วะ), เจี้ยนต้องแหงง (เมี่ยน) ด้วย[1],[2],[4]

ลักษณะของตะคร้ำ

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-20 เมตร จะแตกกิ่งก้านตรงรอบ ๆ เรือนยอดของต้น โคนต้นเป็นพูพอน กิ่งอ่อน ก้านช่อดอกมีขนสีเทาขึ้น และใบจะมีรอยแผลให้เห็นตามกิ่ง เปลือกต้นจะมีสีเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาแตกเป็นหลุมตื้น ๆ ส่วนเปลือกด้านในมีสีนวล สีชมพู และยางจะมีสีชมพูปนแดง หากทิ้งยางไว้นาน ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำ ๆ ส่วนกระพี้มีสีชมพูอ่อน มีแก่นเป็นสีน้ำตาลแดง จะสามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด จัดเป็นไม้กลางแจ้ง ในประเทศไทยพบขึ้นตามที่ราบตามป่าโปร่ง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งในที่ค่อนข้างราบและใกล้ลำห้วยทั่วไป ป่าดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณชื้น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ประมาณ 50-800 เมตร ในต่างประเทศจะพบได้ตามประเทศอินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เป็นต้น[1],[2],[3],[5]
  • ใบ เป็นใบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับกันเป็นกระจุกตรงปลายกิ่ง ก้านช่อหนึ่งจะมีใบย่อยอยู่ประมาณ 7-13 ใบ จะออกเรียงตรงข้ามหรืออาจทแยงกันเล็กน้อย ความยาวประมาณ 10-12 นิ้ว ปลายก้านจะมีใบเดียว ลักษณะเป็นรูปมนรีหรือรูปวงรีขอบขนาน ปลายใบจะสอบหรือหยักแหลม โคนใบแหลมเบี้ยว ขอบใบหยัก ใบมีความกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร และมีสีเขียว มีเส้นแขนงใบอยู่ 10-12 คู่ ใบอ่อนมีขนขึ้น ส่วนใบแก่จะไม่มีขนหรือมีนิดหน่อย ก้านใบจะสั้น ใบแก่จะร่วงก่อนจะผลิดอก และจะเริ่มผลิใบใหม่เมื่อดอกเริ่มบาน[1],[2],[3],[5]
  • ดอก จะออกเป็นช่อใหญ่ตรงปลายกิ่งหรือยอดของต้น ช่อดอกมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว ดอกย่อยมีจำนวนเยอะ เป็นดอกสมบูรณ์ เป็นรูปคล้ายระฆัง กลีบรองกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกมี 5 แฉก กลีบรองกลีบดอกมีรูปสามเหลี่ยม ขนาดประมาณ 1.5-2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกเป็นสีครีม สีเหลือง สีเหลืองอ่อน หรือสีชมพู มี 5 กลีบ จะออกเรียงสลับกับกลีบเลี้ยง ลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ยาวประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร มีขน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีเกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร รังไข่มี 5 ช่อง แต่ละช่องจะมีไข่อ่อน 2 ใบ ปลายหลอดท่อรังไข่มี 5 แฉก ก่อนจะออกดอกจะผลัดใบหมด โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]
  • ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีความอวบน้ำ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีเมล็ด สีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่มากๆจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลเนื้อนุ่มแต่ข้างในมีความแข็ง จะมีผลในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]

สรรพคุณของตะคร้ำ

1. ผล สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุหรือบำรุงกระเพาะอาหาร (ผล)[1],[2]
2. ต้น สามารถนำมาคั้นเอาน้ำใช้หยอดตา แก้ตามัวเนื่องจากเยื่อตาอักเสบ (ต้น)[1],[2]
3.ใบ ตำรายาไทยจะใช้น้ำคั้นจากใบนำมาผสมกับน้ำผึ้ง ใช้เป็นยารักษาโรคหืด (ใบ)[1],[2]
4. เปลือกต้น สามารถนำมาต้มกับน้ำกินหรือนำมาบีบเพื่อเอาน้ำกินเป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (เปลือกต้น)[1],[2])
5. เปลือกต้น สามารถใส่น้ำร่วมกับเปลือกต้นมะกอกและตะคร้อ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[4]
6. เปลือกต้น สามารถนำมาใช้ต้มอาบสำหรับสตรีหลังคลอดได้ (เปลือกต้น)[5]
7. เปลือกต้น สามารถใช้ภายนอกเป็นยาทาห้ามเลือด (เปลือกต้น)[1],[2]
8. เปลือกต้น สามารถนำมาแช่กับน้ำใช้ล้างแผลเรื้อรังได้ดีมาก (เปลือกต้น)[1],[2]
9. เปลือกต้น พวกชาวเขาเผ่าอีก้อจะนำเปลือกต้น นำมาตำพอกหรือต้มกับน้ำอาบเป็นยาแก้อักเสบ บวม ติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ฝีหรือตุ่ม (เปลือกต้น)[1]
10. เปลือกต้น ส่วนคนเมืองจะใช้เปลือกต้นนำมาแช่กับน้ำ ให้เด็กทารกอาบ ป้องกันไม่ให้ผิวหนังมีผื่นหรือตุ่มขึ้น[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วและกล้ามเนื้อเรียบเกร็งในหลอดทดลอง[1]

ประโยชน์ของตะคร้ำ

1. ผล สามารถรับประทานได้[4]
2. เปลือกต้น ชาวขมุจะใช้เปลือกต้นนำมาขูดใส่ลาบ[4]
3. ใบ สามารถใช้มัดเสาของบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลในการช่วยค้ำชู (คนเมือง)[4]
4. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ในการสร้างบ้านเรือ ทำเครื่องตกแต่งบ้าน เครื่องเรือน [3],[4]
5.ผล สามารถใช้ย้อมตอกให้เป็นสีดำ[5]
6. เปลือกต้น จะมีน้ำฝาดชนิด Pyrogollol และ Catechol[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ตะคร้ำ”. หน้า 115.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตำคร้ำ”. หน้า 303-304.
3. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ตะคร้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [21 ธ.ค. 2014].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตะ คร้ำ, หวีด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [21 ธ.ค. 2014].
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะคร้ำ”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [21 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/observation/
2.https://efloraofindia.com/2012/05/24/melia-dubia/

ตะโกสวน ไม้เศรษฐกิจคุณสมบัติและประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่อ

0
ตะโกสวน
ตะโกสวน ไม้เศรษฐกิจคุณสมบัติและประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่อ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาวจนถึงสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลดิบมียางและรสฝาด ผลสุกสีส้มเหลือง
ตะโกสวน
ไม้เศรษฐกิจดอกสีขาวจนถึงสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลดิบมียางและรสฝาด ผลสุกสีส้มเหลือง

ตะโกสวน

ตะโกสวน ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Diospyros malabarica (Desr.) Kostel. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Diospyros embryopteris Pers., Diospyros peregrina (Gaertn.) Gürke, Embryopteris peregrina Gaertn.) จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พลับ, ตะโก (ไทย), ตะโกไทย, ปลาบ, มะเขือเถื่อน และมะสุลัวะ เป็นต้น[1]

ลักษณะของตะโกสวน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ผลัดใบ มีขนาดกลาง ความสูงอยู่ที่ประมาณ 8-15 เมตร ทรงพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นสีดำมีลายแต้มสีขาว เนื้อภายในเปลือกมีสีแดงเข้ม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตตามป่าไม้ ป่าเบญจพรรณและมีปลูกตามเรือกสวนไร่นาทั่วไป[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นใบอ่อนมีสีแดง ใบแคบเป็นรูปขอบขนาน ส่วนปลายใบนั้นแหลมมน โคนใบมีความโค้งมน เนื้อใบนั้นหนาคล้ายแผ่นหนังของสัตว์ ใบมีขนาดประมาณ 4×8 เซนติเมตร[1]
  • ดอก เป็นดอกสีขาวจนถึงดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกไปตามซอกใบ ดอกเพศผู้จะออกดอกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 2-7 ดอก ตรงกลีบเลี้ยงมีขนอ่อน ๆ ขึ้นปกคลุม มีแฉก 4 แฉก ลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดกว้างและกลีบดอกเป็นหลอดกว้าง ส่วนดอกเพศเมียนั้นเป็นดอกเดี่ยวและมีขนาดที่ใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ลักษณะกลีบเลี้ยงคล้ายดอกเพศผู้ และกลีบดอกนั้นเป็นรูประฆัง[1]
  • ผล มีลักษณะที่กลม มีเกล็ดขึ้นปกคลุมแต่เกล็ดหลุดร่วงได้ง่าย ผลมีขนาดโตคล้ายคลึงกับผลตะโกนา แต่ขนาดจะโตและยาวกว่า มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 เซนติเมตร ผลตอนดิบมียางที่มากและมีรสชาติฝาด ผลเมื่อสุกแล้วจะเป็นสีส้มเหลือง ภายในผลมีเมล็ด 8 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลดำทรงรีแป้น ขนาดอยู่ที่ประมาณ 1×2 เซนติเมตร[1],[2]

สรรพคุณของตะโกสวน

1. เปลือกต้น และเนื้อไม้ เป็นยาบำรุงธาตุ (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1]
2. ราก เปลือกราก ดอก และผล เป็นยาแก้บวม (ราก, เปลือกราก, ดอก, ผล)[1]
3. เปลือกต้นมีสรรพคุณที่ช่วยทำให้เกิดกำลังได้ (เปลือกต้น)[1]
4. ยางจากต้น และยางจากผลนั้น ใช้เป็นยาแก้แผลน้ำกัดเท้า (ยางจากต้น, ยางจากผล)[1]
5. เปลือกต้นมีสรรพคุณในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (เปลือกต้น)[1]
6. เปลือกราก และยางจากต้น นำมาใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกราก, ยางจากต้น)[1]
7. เปลือกราก และเปลือกต้น เป็นยาแก้อาเจียน (เปลือกราก, เปลือกต้น)[1]
8. ราก เป็นยาแก้ฝีเปื่อยผุพัง (ราก)[1]
9. เปลือกราก เป็นยาแก้ปวดฟันได้ (เปลือกราก)[1]
10. เปลือกผลนั้นมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เปลือกผล)[1]
11. ยางจากต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการท้องเดินได้ (ยางจากต้น)[1]
12. ราก ดอก และผล เป็นยาแก้พยาธิได้ (ราก, ดอก, ผล)[1]
13. เปลือกรากนั้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการท้องร่วงได้ (เปลือกราก, ยางจากผล)[1]
14. เนื้อไม้มีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหาร (เนื้อไม้)[1]
15. เปลือกราก และยางจากต้น เป็นยาแก้บิด (เปลือกราก, ยางจากต้น)[1]

วิธีใช้ : การใช้ตามนั้น [1] ให้นำส่วนของเนื้อไม้ (แก่น) หรือเปลือกต้นประมาณ 4-6 ชิ้น มาต้มกับน้ำ 1 ลิตร ใช้ดื่มได้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโกสวน

1. สารสำคัญที่พบ ได้แก่ amyrin, betulin, cystine, daucosterol, diospyros, flavanone, glucopyranosyl, gallic acid, hexacosane, leucopelargonidin, linoleic acid, linolenic acid, lupeol, marsformosanone, myristic acid, nonadecan-7-ol-2-one, oleanolic acid, peregrinol, raffinose, sitosterol, L-sorbose[1]
2. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบนั้น ได้แก่ ฤทธิ์ที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการความเครียด ต้านเชื้อบิด และเชื้อไวรัส[1]
3. เมื่อปี ค.ศ.1973 ที่ประเทศอินเดีย ได้มีการทำการทดลองใช้พืชสมุนไพรหลายชนิด ซึ่งเป็นสมุนไพรจากหนึ่งในนั้น พบว่า สารสกัดจากเปลือกของต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้[1]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษนั้น ได้ผลสรุปว่า สารสกัดจากเปลือกของต้นสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องหนูที่ถีบจักร ขนาดที่สัตว์ทดลองนั้นทนได้สูงสุด คือ 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ประโยชน์ของตะโกสวน

1. ผลสุกนำมารับประทานได้[2]
2. สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ดัดได้ โดยนำมาปลูกในกระถางหรือปลูกลงดิน แล้วทำการตัดกิ่งก้านและตัดแต่งใบไม้ให้เป็นพุ่ม หรือดัดให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามต้องการก็ได้เช่นกัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ตะโก”. หน้า 81-82.
2. กรมวิชาการเกษตร. “ไม้ดัด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doa.go.th/th/dmdocuments/08Ebony.pdf. [22 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://thai-herbs.thdata.co/page/

ตะโกนา พรรณไม้ประดับอายุยืนดูแลง่าย

0
ตะโกนา
ตะโกนา พรรณไม้ประดับอายุยืนดูแลง่าย ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนา ขนร่วงง่าย โคนผลมักจะบุ๋ม ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม เนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ
ตะโกนา
ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนา ขนร่วงง่าย โคนผลมักจะบุ๋ม ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม เนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ

ตะโกนา

ตะโกนา เป็นพรรณไม้ป่าที่พบเห็นได้ตามธรรมชาติพบมากในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ ตะโกนา ตะโกดัด ตะโกสวน และตะโกดำ ลักษณะพิเศษของพืชชนิดนี้มีอายุยืนยาว ทนแล้ง เมื่อผลสุกจะมีเนื้อหุ้มเมล็ดรับประทานได้ ปัจจุบันพืชชนิดนี้นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดัด ใช้เป็นไม้ประดับ ไม้มงคล เนื่องจากเนื้อไม้มีความยืดหยุ่น และเนื้อไม้มีความเหนียวนั่นเอง

ชื่อสามัญ :Ebony ชื่อวิทยาศาสตร์ :Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์ : EBENACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะถ่านไฟผี นมงัว ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ โก ตองโก หมัก เป็นต้น

ลักษณะทั่วไปของตะโกนา

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูปทรงพุ่ม ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร เปลือกของลำต้นมีสีดำ จะแตกเป็นร่องลึก และเป็นสะเก็ดหนา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด (ไม่นิยมนักเพราะจะเติบโตได้ช้า) การตอนกิ่ง การขุดล้อมเอามาจากธรรมชาติ จะเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด จะต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน ทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง พบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์ที่พม่าถึงภูมิภาคอินโดจีน ประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคที่ตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ ตามทุ่งนา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 40-300 เมตร[1],[2],[3],[4],[5],[8]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวจะออกเรียงสลับ ใบจะเป็นรูปรีค่อนข้างกลม รูปไข่กลับ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกลาย ๆ รูปป้อม ที่ปลายใบจะมนมีติ่งสั้นหรือมีรอยหยักเว้าเข้านิดหน่อย ส่วนที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มหรือป้าน ขอบใบจะเรียบ ใบกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตร แผ่นใบจะค่อนข้างหนาและเหนียว ที่หลังใบจะเรียบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน มีเส้นแขนงใบประมาณ 5-8 คู่ เส้นอ่อนจะคดไปมามองเห็นได้ที่ทางด้านหลังใบจะขึ้นเด่นชัดที่ด้านท้องใบ เส้นร่างแหถ้าสังเกตจะเห็นได้ทั้งสองด้าน เส้นกลางใบมีสีแดงเรื่อ ๆ ก้านใบสั้นมีความยาวประมาณ 2-7 มิลลิเมตร[1],[2],[12]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ดอกเป็นแบบแยกเพศ จะอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้จะเป็นช่อเล็ก ๆ ออกที่ตามกิ่งหรือที่ตามง่ามใบ ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3 ดอก มีกลีบดอก 4 กลีบ และมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร จะมีขนนุ่ม กลีบดอกยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร เชื่อมกันเป็นรูปเหยือกน้ำ, รูปป้อง ๆ ที่ปลายจะแยกเป็นแฉกเล็ก ๆ จะเกลี้ยงทั้งสองด้าน กลีบรองดอกมีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ที่โคนกลีบจะเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยปากกว้าง ที่ด้านนอกจะมีขนนุ่ม ด้านในจะมีขนยาว ๆ แน่น ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 14-16 ก้าน จะมีขนแข็งแซม ที่รังไข่เทียมจะมีขนแน่น ดอกเพศเมียออกที่ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงกับกลีบดอกจะเหมือนดอกเพศผู้แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร รังไข่จะป้อม จะมีขนเป็นเส้นไหมปกคลุม ด้านในแบ่งเป็น 4 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย หลอดท่อรังไข่จะมีหลอดเดียว มีขนแน่น ที่ปลายหลอดจะแยก 2 แฉก จะมีเกสรเพศผู้เทียมอยู่ประมาณ 8-10 ก้าน จะมีขนแข็งแซม ดอกออกช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[12]
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.4 เซนติเมตร (บ้างก็ว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร) ผิวผลจะเรียบ ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงหนาแน่น ขนเหล่านี้จะร่วงง่าย ที่ปลายผลกับโคนผลมักจะบุ๋ม กลีบจุกของผลจะชี้ออกหรือแนบลู่ตามผิวผล ข้างในจะมีขนสีน้ำตาลแดง มีขนนุ่มที่ด้านนอกพื้นกลีบกับขอบกลีบมักจะเป็นคลื่น เส้นสายกลีบจะพอเห็นได้ ผลสุกมีสีแดง สีแดงปนส้ม ในผลจะมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่รี, แบน เมล็ดมีสีน้ำตาล จะมีเนื้อหุ้มสีขาวฉ่ำน้ำ จะมีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีก้านผลที่สั้นมาก ยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ติดผลช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[4],[12]

สรรพคุณของตะโก

1. รากกับต้นสามารถช่วยบำรุงน้ำนมของสตรีได้[13]
2. สามารถแก้บวม และฝีบวมได้ (ผล)[1],[2],[13]
3. สามารถใช้ผลเป็นยาเย็นถอนพิษได้[13]
4. สามารถใช้ผลเป็นยารักษาโรคผิวหนังได้[13]
5. สามารถแก้ตกเลือดได้ (ผล)[4],[6],[13]
6. สามารถนำเปลือกของผลมาเผาจนเป็นถ่าน แล้วใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรีได้ เปลือกต้นหรือแก่นก็สามารถขับตกขาวได้[1],[2],[4],[13] บ้างก็ว่าผลสามารถเป็นยาขับระดูขาวได้[13]
7. สามารถนำเปลือกผลมาเผาจนเป็นถ่าน แล้วใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะได้ (เปลือกผล)[1],[2],[4],[13], เปลือกต้น[13], แก่น[13])
8. สามารถช่วยขับน้ำย่อย และช่วยการย่อยอาหาร (แก่น, เปลือกต้น)[4],[6],[13]
9. ผลจะมีรสฝาดหวาน สามารถช่วยแก้อาการมวนท้องได้ (ผล)[4],[6],[13]6
10. สามารถนำเปลือกต้นหรือแก่นมาต้มกับเกลือ ใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ได้[1],[2],[4],[6],[13]
11. สามารถแก้พิษผิดสำแดงได้ (ต้น)[13]
12. ต้นสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[13]
13. สามารถช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรที่เกิดจากอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)[13]
14. แก่นและเปลือกสามารถใช้เข้ายารักษามะเร็งได้[13]
15. สามารถนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลังได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[9],[13] สามารถช่วยบำรุงร่างกายได้ (เปลือก)[13]
16. เปลือกต้นหรือแก่นสามารถใช้เป็นยาอายุวัฒนะได้ จะทำให้มีอายุยืนยาว[1],[2],[4],[6],[13] ตำรายาไทยใช้เปลือกต้นตะโก เถาบอระเพ็ด ผสมเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง หัวแห้วหมู อย่างละเท่า ๆ กันมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าใช้ดื่มเป็นยาอายุวัฒนะได้ (เปลือกต้น)[2]
17. สามารถใช้รากมาตะโกมาต้มกับ ใช้น้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลียได้ (ราก)[10] ตำรับยาพื้นบ้านของอีสานจะใช้รากตะโกผสมรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง รากตีนนก มาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยได้[11]
18. สามารถใช้ผลเป็นยาแก้แผล สมานแผล แก้แผลเน่าเปื่อย ฝีเน่าเปื่อย และช่วยปิดธาตุได้[1],[2],[4],[6],[13]
19. ต้นสามารถช่วยแก้ผื่นคันได้[13] ผลสามารถช่วยแก้ตุ่มคันเป็นเม็ดผื่นคันที่ตามตัวได้[13]
20. สามารถนำรากมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้ไตพิการ น้ำเหลืองเสียได้[10]
21. ผลสามารถช่วยแก้อาการปวดมดลูกได้[13]
22. สามารถนำแก่นหรือเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรงได้[1],[2],[5],[6],[9],[10],[13]
23. สามารถใช้เป็นยาแก้พยาธิ และขับพยาธิได้ (ใช้ผลต้มกับน้ำดื่ม)[1],[4],[6],[13]
24. นำผลมาตากแดดมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง และท้องเสียได้[1],[2],[4],[13] เปลือกผลสามารถใช้แก้อาการท้องร่วงได้[13] สามารถแก้บิดบวมเป่งได้ (ผล)[13]
25. สามารถนำเปลือกต้นหรือแก่นมาต้มกับเกลือ ใช้อมแก้อาการปวดฟันได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[13]
26. นำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนใน[9] บ้างก็ว่าใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม[10]
27. ราก ต้น แก่นสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ ที่เกิดจากการกินของแสลงที่เป็นพิษได้[13]
28. สามารถแก้อาการคลื่นไส้ได้ (ผล)[1],[2] สามารถช่วยแก้อาเจียนเป็นโลหิตได้ (ผล)[13]
29. นำผลมาตากแดดมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้กษัย[4],[6],[13] บ้างก็ว่าใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม[10]
30. สามารถช่วยทำให้เจริญอาหารได้ (เปลือก)[13]
31. นำแก่นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกายได้ (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[9],[13]

ประโยชน์ของตะโก

1. ต้นตะโกนิยมปลูกเพื่อใช้ทำไม้ดัดมาก ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เนื่องจากทนทานกับสภาพแวดล้อมได้ และง่ายกับการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา[5],[8]
2. ใช้ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ สีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพไม่ดีมาก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานแสง คุณภาพจะไม่ดีเท่ามะพลับ[3],[5],[7] ยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้ย้อมแหและอวน จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ ทำให้เกิดคำพังเพยว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก[10]
3. ผลสุกของตะโกจะมีรสหวานฝาดสามารถทานได้[3] บ้างก็ว่านำผลมาทานโดยทำเหมือนส้มตำ คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลตะโก มี พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม[12]
4. ต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน ทนทานกับความแห้งแล้ง เชื่อว่าเป็นไม้มงคล ถ้าปลูกไว้บริเวณบ้านที่ทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความอดทนเหมือนกับต้นตะโก[8]
5. เนื้อไม้มีสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง เหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตรได้ เช่น ทำเสา รอด ตง คาน เป็นต้น[3],[5]
6. ต้นตะโกออกผลดกทุกปี ทำให้เป็นอาหารให้กับสัตว์ได้เป็นจำนวนมาก[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโก

1. ตะโกจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ จะออกฤทธิ์เหมือนกับฮิสตามีน ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase[13]
2. ตะโกมีสารสำคัญ คือ Betulin, Betulinic acid, B-sitosterol, Lupenone, Lupeol, Stigmast-4-en-3-one, Stigmast4-en-3-one 1 –O-ethyl-B-D-glucopyrahoside, Stigmast-4-en-3-one 1-O-ethyl-B-D-glucoside, Stigmasterol, Taraxerol, Taraxerol acetate, และ Taraxerone.[13]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ตะโกนา (Tako Na)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 118.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ตะโกนา”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 96.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะโกนา”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [8 มี.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ตะโก”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [8 มี.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [8 มี.ค. 2014]
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ตะโกนา”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [8 มี.ค. 2014].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th/webtreecolor/. [8 มี.ค. 2014].
๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [8 มี.ค. 2014].
หนังสือรักษาโรคด้วยสมุนไพร. “ตะโกนา”. (ยุวดี จอมพิทักษ์).
ไทยโพสต์. “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ไม้ร่วมวงศ์เด่นแก้กามตายด้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [8 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เครือปลาสงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [8 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [8 มี.ค. 2014].
สมุนไพรในร้านยาโบราณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “โกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [8 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/herb/rhodocalyx.html
2.https://www.samunpri.com/
3.https://thaiherbs.thdata.co/page

ต้นสารภีดอกใหญ่ 2 สรรพคุณยาสมุนไพรที่น่าสนใจ

0
ต้นสารภีดอกใหญ่ 2 สรรพคุณยาสมุนไพรที่น่าสนใจ เป็นไม้ประจำถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อไม้แข็ง ใช้ทำสีย้อมผ้า ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ผลมีรสหวาน
ต้นสารภีดอกใหญ่
ดอกขาว กลิ่นหอม เป็นไม้ประจำถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อไม้แข็ง ใช้ทำสีย้อมผ้า ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ผลมีรสหวาน

ต้นสารภีดอกใหญ่

ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Mammea harmandii ( Pierre ) Kosterm ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น สารภี ประดงช้าง สารภีดง

ลักษณะทั่วไปของต้นสารภีดอกใหญ่

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 8 – 15 เมตร และอาจจะสูงได้ประมาณ 10 – 25 เมตร ที่เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล เปลือกตะแกเป็นสะเก็ด ส่วนที่กิ่งอ่อนจะเป็นสันสี่เหลี่ยม [1],[2],[3] ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง จะชอบดินร่วนซุย และแดดจัด จะเติบโตได้ดี่ในที่ค่อนข้างชื้น [3] มีเขตการกระจายพันธุ์ คือ ป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้า ป่าดิบเขา ทางภาคตะวันออกกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระดับความสูงตั้งแต่น้ำทะเลปานกลางถึง 1,500 เมตร พบในต่างประเทศได้ที่ประเทศกัมพูชา เวียดนาม ลาว [2]
  • ใบ เป็นใบเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน รูปใบหอกกลับ รูปใบหอกกลับแคบ รูปไข่กลีบแกม ที่ปลายใบจะเรียวแหลมหรือมน ส่วนที่โคนใบเป็นรูปสอบเรียว , รูปกึ่งหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 6 – 10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 – 24 เซนติเมตร เนื้อใบจะหนา เหนียวเป็นมัน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม เส้นใบจะไม่เห็นชัด ก้านใบยาวได้ 2.5 เซนติเมตร [1],[2],[3]
  • ดอก ออกดอกเป็นกระจุกที่ตามลำต้น กิ่งก้าน ง่ามใบ กลีบดอกมีสีขาวถึงสีเหลืองนวล ดอกมีกลิ่นหอม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม [1],[2],[3]
  • ผล เป็นผลสด ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ออกผลช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน [1],[2],[3]

สรรพคุณของต้นสารภี

  • น้ำที่จากการผล สามารถใช้เป็นยากินก่อนคลอดเพื่อบำรุงครรภ์ของสตรีได้ [2]
  • ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ใช้เปลือกเข้ายาสมุนไพรจำพวกประดง 9 ชนิด มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคประดง แก้ร้อนในกระหายน้ำ[1]

ประโยชน์ของต้นสารภี

  • เนื้อไม้มีสีแดง และแข็งแรง นำมาใช้ทำด้ามเครื่องมือ เครื่องใช้ [2]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับ
  • สามารถนำผลมารับประทานได้ [3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สารภีดอกใหญ่”. หน้า 147.
สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “สารภีดอกใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [09 ต.ค. 2014].
พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “สารภีดอกใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [09 ต.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://inaturalist.nz/taxa/156793-Mammea

ต้นกร่างสมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

0
ต้นกร่าง
ต้นกร่างสมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อ ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ
ต้นกร่าง
สมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อ ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ

ต้นกร่าง

ต้นกร่าง มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา แล้วแพร่กระจายพันธุ์ในแทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นตรงเป็นพูพอน แตกกิ่งก้านหนา มีลักษณะเป็นเรือนยอด ปลายกิ่งลู่ลง เปลือกต้นเกลี้ยง ลำต้นกับกิ่งจะมีรากอากาศห้อยลงจำนวนมาก เมื่อหยั่งถึงดินจะทำให้เป็นหลืบสลับซับซ้อน หรือเป็นลำต้นต่อ ลำต้นมียางสีขาว ที่กิ่งอ่อนจะมีขนหนาแน่น ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักชำ หรือวิธีทางธรรมชาติโดยนก หรือค้างคาว จะกินผลแล้วถ่ายมูลจะมีเมล็ดติดอยู่ เติบโตได้ในดินทุกชนิดที่มีความชุ่มชื้น

ชื่อสามัญ : Bar, East Indian Fig, Banyan tree
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ficus benghalensis L.อยู่ในวงศ์ขนุน
ชื่อต้นกร่างของท้องถิ่นอื่น ๆ : บาร์คาด ไทรนิโครธ บันยัน นิโครธ

ลักษณะของต้นกร่าง

  • ใบของต้นกร่าง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ ใบมีลักษณะเป็นรูปรี รูปไข่ ปลายใบมน บ้างก็ว่ามีติ่งแหลม ส่วนที่โคนใบจะเรียบหรือโค้งกว้าง ใบกว้างประมาณ 10-14 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร มีเส้นแขนงใบประมาณ 4-6 คู่ ก้านใบอวบ ยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีหูใบหุ้มยอดอ่อน[1],[4] ที่ใบอ่อนมีขนหนาโดยเฉพาะส่วนท้องใบ ใบแก่จะไม่มีขน ใบแก่จะร่วงและมีรอยแผลใบ[2]
  • ดอกออกเป็นช่อมะเดื่อที่ตามซอกใบ ดอกเล็กและมีจำนวนมาก เติบโตภายใต้ฐานรองดอก เป็นดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ดอกประกอบด้วยดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ดอกตัวเมียอยู่ใกล้กับรูปากเปิด [1]
  • ผลขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงสีส้ม ผลแก่มีสีแดงคล้ำ แต่ละผลมีกลีบเลี้ยงประมาณ 2-4 กลีบ[1],[2],[4]

สรรพคุณของต้นกร่าง

  • ยางจากต้นสามารถใช้แก้หูดได้[4]
  • สามารถนำยางจากต้นมาใช้แก้โรคริดสีดวงทวารได้[4]
  • ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย สามารถรับประทานได้[4]
  • สามารถนำใบและเปลือกต้น มาใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[4]
  • นำรากมาเคี้ยว ป้องกันโรคเหงือกบวม[4]
  • นำเมล็ดมาใช้เป็นยาเย็นและยาบำรุงร่างกาย[2],[3]
  • นำยางจากต้นมาใช้เป็นยาทาแก้ไขข้ออักเสบ[1]
  • นำใบและเปลือกต้นมาใช้เป็นยาช่วยห้ามเลือด[4]
  • ใบและเปลือกต้น ช่วยแก้อาการถ่ายเป็นมูกเลือด[4]
  • ใช้ยางและเปลือกต้นแก้บิด[3]
  • ใช้เปลือกต้นและยาง เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องเดิน[1],[2],[3],[4]
  • นำเปลือกต้นมาทำยาชง ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดและแก้โรคเบาหวาน[3],[4]

ประโยชน์ของต้นกร่าง

  • ต้นกร่างหรือต้นนิโครธ เป็นไม้มงคลตามพุทธประวัติที่พระกัสสปพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียร 7 วัน และได้ตรัสรู้ ณ ควงไม้นิโครธ จึงนิยมปลูกไว้ตามศาสนสถาน ตามวัดวาอาราม เพื่อเป็นไม้ให้ร่มเงา เพิ่มความร่มเย็น ไม่นิยมปลูกไว้ในบ้านเพราะต้นนิโครธมีขนาดใหญ่[4]
  • ใช้ผลแก่เป็นอาหารของนก[2]
  • รากอากาศมีความเหนียว นำมาเป็นเชือกได้ และสามารถนำเปลือกด้านในมาใช้ทำกระดาษ
    ในอินเดียนำใบมาใช้ใส่อาหารรับประทาน[4]
  • สามารถทานผลได้[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “กร่าง”. (พญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 89.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “นิโครธ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [02 ก.พ. 2014].
หนังสืออนุกรมวิธานพืชอักษร ก. ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (รศ.บุศบรรณ ณ สงขลา).
ผู้จัดการออนไลน์. (29 พฤศจิกายน 2547). “โพธิญาณพฤกษา : นิโครธ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [02 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://plantly.io/plant-care/ficus-benghalensis
2.https://www.cabidigitallibrary.org/doi/10.1079/cabicompendium.24066

24 สรรพคุณของต้นแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน

0
24 สรรพคุณของต้นแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ชอบแดด ปลูกเป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีแต่ความสุข
ต้นแก้ว
ดอกแก้ว ช่วยแก้อาการปวดฟัน เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ชอบแดด ปลูกเป็นไม้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีแต่ความสุข

ต้นแก้ว

ชื่อสามัญของต้นแก้ว คือ Chanese box tree, Orange jessamine, Andaman satinwood, Satin wood, Cosmetic bark tree, Orange jasmine
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Murraya paniculata (L.) Jack ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Murraya exotica L. อยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น แก้วขี้ไก่ กะมูนิง ตะไหลแก้ว จ๊าพริก จิ๋วหลี่เซียง แก้วลาย แก้วขาว แก้วพริก

ลักษณะ

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีน ออสเตรเลีย[7] พบเจอในประเทศไทยได้ทุกภาคในป่าดิบแล้งที่ราบสูงถึงที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร[8] เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นจะไม่ผลัดใบ มีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร ต้นจะแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มลักษณะกลมแน่นทึบ ที่เปลือกของลำต้นมีสีเทาแตกเป็นร่อง เนื้อไม้มีสีขาวนวล เติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำดี จะชอบแดดเต็มวันหรือรำไร ความชื้นปานกลางถึงต่ำ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอน [1],[2],[3],[4],[5]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ จะออกเรียงสลับ มีใบย่อยอยู่ 5-9 ใบ ใบเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบกับโคนใบจะแหลม ส่วนที่ขอบใบจะเป็นคลื่นหรือหยักมนนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะคล้ายกับแผ่นหนังบาง ๆ หลังใบจะมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ท้องใบจะเรียบมีสีอ่อน ที่ใบจะมีต่อมน้ำมัน ถ้าขยี้จะมีกลิ่นฉุนคล้ายกับผิวส้มเป็นน้ำมันติดอยู่ที่มือ[1],[2],[3],[5]
  • ดอกออกเป็นช่อสั้น ออกดอกที่ตามซอกใบ ดอกย่อยมีสีขาว จะมีกลิ่นหอมจัด มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ร่วงง่าย กลีบดอกเป็นรูปกลมรี ยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 7-9 มิลลิเมตร ที่โคนกลีบดอกจะติดกัน ดอกจะมีเกสรเพศผู้ 10 ก้าน มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ ดอกออกได้ตลอดทั้งปี [1],[2],[3]
  • ผลแก้ว เป็นกลมรีหรือรูปไข่ ที่ปลายจะสอบนิดหน่อย ผลกว้างประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีแดงอมส้ม ลักษณะผิวของผลจะมีต่อมน้ำมันสามารถเห็นได้ชัด ในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปรี รูปไข่ ปลายสอบ จะมีขนหนาเหนียวหุ้มรอบเมล็ด มีสีขาวขุ่น เมล็ดกว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 6-9 มิลลิเมตร [1],[2],[3],[4]

สรรพคุณของต้นแก้ว

  • สามารถนำก้านกับใบสดมาบดแช่กับแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ใช้ทาหรือฉีดเป็นยาระงับอาการปวด [1],[2]
  • สามารถแก้ฟกช้ำได้ โดยใช้ใบแก้วสด, ขมิ้น, ขิง, ไพร มาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้า นำไปคั่วให้ร้อน แล้วนำผ้าสะอาดมาห่อ ใช้เป็นยาประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำ 20-30 นาที ทำวันละ 2-3 ครั้ง [3]
  • สามารถแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยใช้รากกับใบสดมาต้ม ใช้ชะล้างบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยได้ [1] สามารถแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้รากสดเป็นยาพอกบริเวณที่เป็นแผลได้ [1],[2] สามารถใช้เป็นยาแก้แผลคันได้ (ราก)[3]
  • สามารถนำรากกับต้นแห้งมาหั่น ต้มเคี่ยวกรองเอาแต่น้ำมาใช้ สามารถช่วยเร่งการคลอดบุตรของสตรีได้ ใช้ผ้าพันแผลจุ่มน้ำยาสอดไปที่ปากมดลูก (ราก, ต้นแห้ง)[1],[2]
  • สามารถใช้ใบเป็นยาขับพยาธิตัวตืดได้ [4]
  • สามารถช่วยการย่อยอาหารได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • สามารถแก้บิดได้ (ใบ)[4]
  • สามารถใช้รากเป็นยาช่วยขับลมชื้นในร่างกาย ต้องใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน [3]
    สามารถนำราก ก้าน ใบสดมาใช้เป็นยาชาระงับอาการปวดได้ มีการใช้เป็นยาแก้อาการปวดฟัน ปวดกระเพาะ [3],[4] บ้างก็ว่าก้านกับใบสดจะมีรสเผ็ดร้อนขม สามารถต้มใช้เป็นยาอมบ้วนปากแก้อาการปวดฟันได้ [1],[2],[4]
    สามารถแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • ใบจะมีรสร้อนเผ็ด ขม สามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกายได้ [3],[5]
  • สามารถใช้ดอกกับใบเป็นยาแก้ไขข้ออักเสบได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • รากสามารถแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และบรรเทาอาการปวดบวมได้ ต้องใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน [3] บ้างก็ว่านำรากแห้งหั่นฝอยใช้ตุ๋นกับหางหมูเจือกับสุรา สามารถทานเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยเอวได้ (รากแห้ง)[1],[2],[4]
  • รากสดจะมีรสเผ็ดสุขุม มาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยาแก้แผลฟกช้ำ[1],[2] สามารถแก้ฟกช้ำดำเขียวได้ (ราก)[3]
  • สามารถแก้แผลเจ็บปวดจากการกระทบกระแทกได้ (ใบ)[4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ผดผื่นคันที่เกิดเพราะความชื้น, แมลงกัดต่อยได้ (ราก, ก้าน, ใบสด)[1],[3],[4] สามารถ
  • แก้ผื่นคันได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้รากเป็นยาแก้ฝีในมดลูกได้ (ราก)[3]
  • สามารถใช้ใบเป็นยาขับประจำเดือนหรือระดูของสตรีได้ [3],[5] หรือใช้รากแห้ง 10-15 กรัม (ถ้าสดให้ใช้ประมาณ 30-60 กรัม) มาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว ทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น [4]
  • สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดกระเพาะได้ โดยใช้ใบแก้วแห้ง, กานพลู, เจตพังคี, เปลือกอบเชย มาบดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนเป็นยาทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงที่ได้มาบดผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง [3]
  • ใบสามารถช่วยขับลม และแก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อได้ [3],[5]
  • ใบสามารถแก้ท้องเสียได้ [4]
  • สามารถใช้รากเป็นยาแก้ฝีฝักบัวที่บริเวณเต้านมได้ [3]
  • สามารถแก้อาการไอได้ (ดอก, ใบ)[4]
  • สามารถช่วยคลายการอุดตันของเส้นเลือดได้ จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีมากขึ้น (ราก)[3]

การใช้สมุนไพรแก้ว

ใช้รากกับใบแห้งครั้งละ 10-18 กรัม ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ครั้งละ 20-35 กรัม[3]
สามารถใช้เป็นยารักษาภายใน แก้อาการท้องเสีย แก้บิด ขับพยาธิ ใช้ก้านกับใบสด 10-15 กรัม มาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว ทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หรือนำมาดองกับเหล้าใช้ดื่มแต่เหล้าครั้งละ 1 ถ้วยตะไล[4]
ถ้าใช้เป็นยาภายนอก นำก้านกับใบสดมาตำใช้พอกหรือคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบแห้งมาบดเป็นผงใช้โรยใส่แผล ถ้าใช้เป็นยาแก้ปวดหรือยาชาเฉพาะที่ให้ใช้ใบกับก้านสดที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50% ถ้าเป็นส่วนของรากแห้งหรือรากสดให้ตำแล้วใช้พอก หรือนำไปต้มเอาน้ำมาใช้ชะล้างบริเวณที่เป็น[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นแก้ว

  • มีฤทธิ์การยับยั้งการเต้นของหัวใจของกบ[3]
  • กิ่ง เปลือกก้าน ผลมีสาร Mexoticin I, Hibiscetin, Heptamethyleeher I[3] สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์การฆ่าเชื้อหรือช่วยยับยั้งเชื้อ Bacullus Inuza และเชื้อ Btaphylo Coccus [3]
  • สารสกัดจาก Petroleum ether จากต้นถ้านำมาทดลองกับลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็กของหนูขาวที่ผ่าออกจากร่าง จะพบว่าสารดังกล่าวมีประสิทธิภาพทำให้เกร็งตึงที่กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้หย่อนคลาย[3]
  • ใบ น้ำมันหอมระเหย 0.25 ประกอบไปด้วยสาร Bisabolene, Carene, Citronellol, Eugenol, Geraniol, I-Candinenem, Paniculatin, Phebalosin, Methyl Anthranilate, Scopoletin, Scopolin[3]

ประโยชน์ของต้นแก้ว

  • เนื้อไม้ นำมาแปรรูปใหม่ ๆ จะมีสีเหลืองอ่อน นานเข้าจะมีสีเหลืองแกมสีเทา เนื้อไม้จะมีเสี้ยนตรงหรือสน จะมีความละเอียดอย่างสม่ำเสมอ มักมีลายพื้นหรือลายกาบบางต้น สามารถเลื่อย ผ่า ไส ขัด ตบแต่งได้ และมีลายไม้สวยงาม นิยมนำเนื้อไม้มาใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องตกแต่งในบ้าน ภาชนะ ด้ามเครื่องมือ ด้ามปากกา ไม้บรรทัด ไม้เท้า ไม้ตะพด กรอบรูป เครื่องดนตรี ซออู้ ซอด้วง เครื่องกลึง เป็นต้น [6],[8]
  • ดอกบูชาพระในพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลยิ่ง [6]
  • ต้น เป็นไม้ประดับมีทรงพุ่มสวย สามารถตัดแต่งเป็นพุ่มได้ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมดี ไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก แต่ต้องรดน้ำเพียงครั้งคราว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ประธานที่ตามสวนหย่อม ริมทะเล เป็นต้น จะปลูกเป็นต้นเดี่ยวหรือปลูกแบบเป็นกลุ่ม หรือปลูกเป็นรั้วบังสายตา ปลูกเพื่อให้ร่มเงา ต้นแก้วจะออกดอกดก ดอกมีสวยงาม มีกลิ่นหอม (ถ้าปลูกจากกิ่งตอนจะเป็นไม้พุ่ม แต่ถ้าปลูกในที่ร่มใบจะมีสีเขียวเข้ม จะมีกิ่งยืดยาว ออกดอกน้อย)[5]
  • ก้านใบมาใช้ทำความสะอาดฟันได้[1],[2]
  • สารสกัดจากต้น เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักที่ในประเทศมาเลเซีย โฆษณาระบุว่าเป็นสูตรยาสมุนไพรเก่าแก่ มีสรรพคุณในการช่วยลดความอยากอาหารได้ ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายกับร่างกาย[9]
  • ต้น สามารถขับไล่วิญญาณร้าย แม่มด ปีศาจ ปัดเป่าโชคร้ายต่าง ๆ และนำความสุขสมหวังมาให้ มีการปลูกเป็นไม้ประดับกันแพร่หลาย เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ มีตำนานเล่าว่าสุลต่านแห่งยอกยาการ์ต้า จะหาที่พักสงบจิตใจ รวบรวมสมาธิใกล้กับต้นแก้วก่อนที่จะเสด็จเพื่อเข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีสมาธิ สติปัญญาโดยปริยาย ในพิธีแต่งงาน ดอกแก้วยังเปรียบเหมือนคำอวยพรให้คู่บ่าวสาวที่ขอพรให้ใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมหวัง หอมหวานเหมือนกลิ่นของดอกแก้ว มีการนำใบของต้นใช้ในพิธีศพ มักใช้โรยบนพื้นก่อนนำศพไปวาง เนื่องจากใบแก้วจะมีกลิ่นหอมสดชื่น สามารถช่วยดับกลิ่นเหม็นคลุ้งของศพได้[9]
  • ปลูกเป็นไม้ประจำบ้าน จะทำให้คนในบ้านมีแต่ความดี มีคุณค่า เพราะคำว่า แก้ว มีความหมายว่า สิ่งที่ดี มีคุณค่า และเป็นที่นับถือของคนทั่วไป เนื่องจากคนโบราณเปรียบเทียบของที่มีค่าสูงเหมือนดั่งดวงแก้ว และมีความเชื่อว่าบ้านที่ปลูกเป็นไม้ประจำบ้าน จะทำให้คนในบ้านมีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เปรียบเหมือนแก้วที่สดใส มีความใสสะอาด เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นแก้วทางทิศตะวันตก ควรปลูกในวันพุธ เนื่องจากคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้ดอกเพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกวันพุธ[6]
  • ผลสุกสามารถทานเป็นอาหารได้[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “แก้ว”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 95.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “แก้ว (Kaew)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 55.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “แก้ว”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 92.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “แก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [06 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “แก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [06 ก.พ. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ต้นแก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [06 ก.พ. 2014].
GRIN (Germplasm Resources Information Network) Taxonomy for Plants. “Murraya paniculata (L.) Jack”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ars-grin.gov. [06 ก.พ. 2014].
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1.
Sangkae’s Blog. Murraya paniculate”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: sangkae.wordpress.com. [06 ก.พ. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.lucknownursery.com/product/murraya-paniculata-chinese-box-dark-green-all-time-garden-flower-plant/

ต้นซ้อ พรรณไม้กลางป่าสรรพคุณแก้อาการคัน

0
ต้นซ้อ พรรณไม้กลางป่าสรรพคุณแก้อาการคัน เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เนื้อไม้มีความแข็งแรง ดอกมีสีเหลืองแกมน้ำตาลเข้ม มีรสหวาน ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปรี
ต้นซ้อ
ไม้ยืนต้นผลัดใบ เนื้อไม้มีความแข็งแรง ดอกมีสีเหลืองแกมน้ำตาลเข้ม มีรสหวาน ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปรี

ต้นซ้อ

ชื่อสามัญของซ้อ คือ Gamari ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของซ้อ คือ Gmelina arborea Roxb. อยู่ในวงศ์กะเพรา ชื่อซ้อของท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ม้าเหล็ก แก้มอ้น เซาะแมว ตุ๊ดจะหระ ไม้ซ้อ แต้งขาว ท้องแมว เฝิง ลำซ้อ ช้องแมว เป้านก ลำซ้อ สันปลาช่อน เมา ไม้เส้า ลำชิล้า ซึงโฉว้ ต๊ะจู้งก้ง

ลักษณะต้นซ้อ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ต้นสูงประมาณ 15-25 เมตร กิ่งอ่อนจะมีขนและเป็นสันสี่เหลี่ยม มีเขตการกระจายพันธุ์ที่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ภูฎาน พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย ประเทศไทยมีเขตกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาค ซ้อจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 1,500 เมตร[1],[2]
  • ใบ เป็นเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปหัวใจ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มกว้าง ขอบจะใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ที่แผ่นใบด้านบนจะเกลี้ยง ท้องใบด้านล่างนวลและมีขน มีเส้นแขนงใบประมาณ 3-5 คู่ ออกจากโคน 1 คู่ ก้านใบยาว 3-10 เซนติเมตร เป็นร่องที่ด้านบน[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ ดอกจะออกที่ตามปลายกิ่งจะมี 1 ช่อหรือหลายช่อ มีความยาว 7-15 เซนติเมตร ช่อดอกจะมีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีใบประดับที่ร่วงง่าย มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูประฆังยาว 0.3-0.4 เซนติเมตร ที่ปลายกลีบจะเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ด้านของนอกกลีบเลี้ยงจะมีขน กลีบดอกสมมาตรด้านข้าง เป็นรูปปากแตรโป่งด้านเดียว ยาว 2-4 เซนติเมตร ที่ปลายแยกเป็น 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบบนกลีบล่าง กลีบบนมี 2 กลีบ กลีบล่างมี 3 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน ด้านนอกจะมีสีน้ำตาลแดง ด้านในจะมีสีครีมอ่อน ๆ กลีบปากล่างและกลีบกลางด้านในเป็นสีเหลืองแซม และมีขนอยู่ด้านนอก ด้านในเกลี้ยง มีเกสรเพศผู้สั้น 2 ก้าน ก้านจะยื่นไม่พ้นปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ติดบนหลอดกลีบดอกที่ประมาณกึ่งกลาง รังไข่เกลี้ยง มีต่อม ยอดของเกสรเพศเมียมีแฉก 2 แฉก มีขนาดไม่เท่ากัน ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
  • ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ยาว 1.5-2 เซนติเมตร ผิวผลจะเกลี้ยงและเป็นมัน มีกลิ่น ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง ในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด เมล็ดจะมีลักษณะเป็นรูปรี กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ออกผลช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของต้นซ้อ

  • เปลือกต้นมาทุบแล้วบีบเอาน้ำมาใช้รักษาแผลที่เกิดจากน้ำกัดเท้า[4]
  • ชาวไทใหญ่จะนำเปลือกต้นมาต้มหรือตำ ใช้พอกแก้อาการคันตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า[4]
  • ชาวเขาเผ่าลีซอจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำใช้อาบแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน หูด[1]
  • สามารถใช้รากเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกายได้[5]
  • สามารถนำเปลือกต้นต้มกับน้ำใช้แช่เท้ารักษาโรคเท้าเปื่อย[3]
  • ยาพื้นบ้านล้านนาจะนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำใช้อาบแก้อาการคัน[1] หรือนำเปลือกต้นมาขูดเป็นฝอย ๆ บีบเอาน้ำมาใช้ใส่แผลที่เกิดจากผื่นคัน[2]
  • คั้นเอาน้ำจากใบมาใช้ทารักษาแผล[5]

ประโยชน์ของต้นซ้อ

  • ชาวไทใหญ่จะนำดอกมาใส่กับข้าวแป้งทำขนมห่อ[4]
  • เนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เนื้อมีสีขาวแกมสีเหลือง ถ้าทิ้งไว้นานสีจะเข้มขึ้น เหมาะกับการใช้ในงานก่อสร้าง โครงสร้างของบ้าน เสาบ้าน ไม้กระดาน หน้าต่าง วงกบประตู ไม้บุผนังที่สวยงาม ฯลฯ หรือใช้ทำเกวียน ทำเรือ แจว พาย กรรเชียง กระเดื่อง บางส่วนของรถ โลงศพ ไม้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ กังหันน้ำ ถังไม้ เป็นต้น เนื่องจากมีความทนไม่แตกหักง่าย หรืองานก่อสร้างในที่ร่ม ทำเครื่องเรือน หีบใส่ของ ของเล่นเด็ก ครก สาก ไหนึ่งข้าว ไหนึ่งเมี่ยง อ่างคนข้าว กลอง ฆ้อง สันแปรง ด้ามปากกา ไม้บรรทัด ไม้ฉาก พานท้ายและรางปืน จะเข้ รางระนาด เยื่อกระดาษ เป็นต้น หรือจะใช้ในงานกลึง งานแกะสลักประดับตกแต่ง ทำนก ทำดอกไม้ กระบวยเล็ก ฯลฯ ชาวเมี่ยนจะนำไม้มาทำสะพานเพื่อประกอบพิธีตานขัว สามารถนำลำต้นหรือเนื้อไม้มาทำฟืน[3],[4],[5]
  • ผลสุกมาบีบเอาแต่น้ำผสมกับข้าวเหนียวนึ่ง แล้วนำมาหมกไฟใช้ทาน หรือบีบน้ำของผลใส่ข้าวจี่จะทำให้มีรสหวาน[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ซ้อ”. หน้า 118.
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ซ้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [7 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ซ้อ”. อ้างอิงใน: หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [7 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ซ้อ”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [7 มี.ค. 2014].
LOOK FOREST GROUP. “ซ้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.lookforest.com. [7 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.flickr.com/photos/mercadanteweb

เชอร์รี่ผลไม้สีแดง รสหวานเปรี้ยวมากคุณประโยชน์มากมาย

0
เชอร์รี่ผลไม้สีแดง รสหวานเปรี้ยวมากคุณประโยชน์มากมาย ลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยว
เชอร์รี่
ผลไม้สีแดง ลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยว

เชอร์รี่

เชอรี่ หรือ เชอร์รี่ (Cherry) จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับ พลัม ลูกท้อ บ๊วย อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง

เชอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ลักษณะผลนั้นมีลักษณะกลม มีขนาดเล็ก เปลือกมีสีแดง สีแดงเข้ม สีส้ม และสีเหลือง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ โดยในทั่วไปแล้ว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีรสหวาน และกลุ่มที่มีรสหวานอมเปรี้ยว โดยแหล่งเพาะปลูกมากที่สุดก็คือในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ออสเตรเลีย รวมไปถึงในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น นิยมนำมารับประทานสด ๆ หรืออาจจะนำมาคั้นเป็นน้ำไว้ดื่มก็ได้ หรือจะนำไปทำขนมต่าง ๆ เช่น แยม พาย เชื่อม เป็นต้น โดยสายพันธุ์ที่นิยมนำมารับประทานมากที่สุดคือ เชอร์รี่ป่า (Prunus avium)

ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีพิษที่ซ่อนไว้ในเมล็ดอยู่ด้วย ชื่อของพิษนั้นก็คือ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ โดยเฉพาะเวลาที่เคี้ยว หรือบดจะผลิตสารนี้โดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากเป็นพิษที่ค่อนข้างอ่อน อย่างมากก็แค่จะทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน แต่หากได้รับสารพิษนี้มากจนเกินไปก็อาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไตวาย หรืออาจเกิดอาการชักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และสิ่งที่จะต้องระวังอีกเรื่องนั้นก็คือ เชอร์รี่ที่เราเห็นอยู่บนขนมเค้กตามท้องตลาดนั้น ที่เห็นว่ามีสีแดงดูน่ารับประทานส่วนใหญ่แล้วนั้นเกิดจากการนำไปย้อมสีอีกที การเลือกรับประทานก็ควรจะดูให้ดี ๆ เพราะอาจจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตได้

สรรพคุณของเชอร์รี่

1. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
2. ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน
3. มีสรรพคุณช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและความแก่ได้
4. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
5. มีสารไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึงร้อยละ 20% เลยทีเดียว
6. มีส่วนช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อหวัดและช่วยรักษาโรคหวัดได้
7. สารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) ช่วยป้องกันเซลล์ดีเอ็นเอถูกทำลายได้
8. มีส่วนช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงทำให้ผิวพรรณมีความขาวขึ้นได้
9. มีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
10. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
11. มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้
12. มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดได้ แพทย์ในตะวันตกเรียกว่า “แอสไพรินธรรมชาติ”
13. มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนัก ๆ ได้
14. มีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบ และปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง 37% หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ
15. สารแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (แต่ควรรับประทานแต่พอเหมาะ ไม่งั้นจะเป็นเบาหวานซะเองแทนที่จะป้องกัน)
16. มีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
17. มีส่วนช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด (Lycopene)
18. สามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการรับประทานยาเสียอีก เพราะมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ทำให้อารมณ์ดีมีความสุข
19. มีส่วนช่วยลดอาการแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงโรคภูมิแพ้อีกด้วย
20. มีส่วนช่วยลดระดับของไขมันเลว (LDL)
21. มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความอ่อนล้าจากการออกกำลังกาย
22. มีสรรพคุณช่วยระบายและยังช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
23. มีสรรพคุณช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้

ประโยชน์ของเชอร์รี่

1. มีฤทธิ์ที่ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้มากขึ้น
2. นอกจากการที่เราจะรับประทานเป็นผลไม้สดแล้ว ก็สามารถนำไปคั้นเป็นน้ำหรือจะนำเอาไปทำขนมต่าง ๆ เช่น แยม พาย เชื่อม ก็สามารถทำได้เช่นกัน

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่หวาน (สีแดง) ต่อ 100 กรัม พลังงาน 63 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 16 กรัม
น้ำ 82.25 กรัม
น้ำตาล 12.8 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 1.06 กรัม
วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม 0%
เบตาแคโรทีน 38 ไมโครกรัม 0%
ลูทีนและซีแซนทีน 85 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.033 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.154 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 5 0.199 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.049 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 4 ไมโครกรัม 1%
โคลีน 6.1 มิลลิกรัม 1%
วิตามินซี 7 มิลลิกรัม 8%
วิตามินเค 2.1 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.36 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.07 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 222 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 0 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่เปรี้ยว (สีแดง) ต่อ 100 กรัม พลังงาน 50 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 12.2 กรัม
น้ำตาล 8.5 กรัม
เส้นใย 1.6 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
วิตามินเอ 64 ไมโครกรัม 8%
เบตาแคโรทีน 770 ไมโครกรัม 7%
ลูทีนและซีแซนทีน 85 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 6 0.044 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม 2%
โคลีน 6.1 มิลลิกรัม 1%
วิตามินซี 10 มิลลิกรัม 12%
วิตามินเค 2.1 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 16 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.32 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.112 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 15 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโพแทสเซียม 173 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (En), หนังสือพิมพ์สยามดารา, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

รูปอ้างอิงจาก
1.https://www.rootsplants.co.uk/collections/cherry-trees
2.https://www.allaboutgardening.com/cherry-trees/