แมกนีเซียม
แมกนีเซียม ( Magnesium ) คือ องค์ประกอบแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกายกายมนุษย์ พบอยู่ประมาณ 0.5 ของน้ำหนักกาย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบกระดูก เนื้อเยื่ออ่อน และในเลือดเพียงเล็กน้อย ดังนั้นมีหน้าที่ที่สำคัญส่งเสริมการก่อตัวของกระดูกและฟัน มีส่วนช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ แมกนีเซียมจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเซลล์ทั้งหมด ส่วนแมกนีเซียมส่วนเกินจะถูกร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระและเหงื่อนั่นเอง
หน้าที่สำคัญของแมกนีเซียม
1. แมกนีเซียมจะทำงานร่วมกับฟอสฟอรัส วิตามินดีและแคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยพบว่าหากร่างกายขาดแมกนีเซียมหรือมีแมกนีเซียมในปริมาณที่น้อยเกินไป ก็จะทำให้กระดูกมีความเปราะบางและแตกหักได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
2. แมกนีเซียมมีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญ โดยแมกนีเซียมจะไปกระตุ้นน้ำย่อยที่มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง
3. แมกนีเซียมช่วยควบคุมสมดุลของความเป็นกรดและด่างให้เป็นปกติมากขึ้น
4. แมกนีเซียมอาหารที่มีส่วนช่วยในการคงตัวของกล้ามเนื้อ
5. แมกนีเซียมส่งเสริมการดูดซึม ให้ร่างกายมีการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะฟอสฟอรัส แคลเซียมและโปแตสเซียม
6. แมกนีเซียมช่วยส่งเสริมให้ร่างกายมีการดูดซึมวิตามิน นำเอาวิตามินบีรวม วิตามินอีและ วิตามินซี มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
7. แมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อให้เป็นไปอย่างปกติและมีความจำเป็นต่อการส่งสัญญาณประสาทอีกด้วย
8. แมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการปรับอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่คงที่และต้านความหนาวเย็นได้ดี ด้วยการปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสมนั่นเอง
9. การที่ร่างกายได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานได้ดี
10. แมกนีเซียมมีความจำเป็นและสัมพันธ์ต่อของเหลวภายนอกร่างกาย
11. แมกนีเซียมมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ DNA และ RNA ในระหว่างที่เซลล์กำลังแบ่งตัว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด
อาหารอะไรที่มีแมกนีเซียมสูง
1. อัลมอนด์ 1 ออนซ์ = แมกนีเซียม 80 มิลลิกรัม
2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ออนซ์ = แมกนีเซียม 72 มิลลิกรัม
3. ถั่งลิสง 1 ออนซ์ = แมกนีเซียม 49 มิลลิกรัม
4. เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ = แมกนีเซียม 150 มิลลิกรัม
5. ข้าวสาลีฝอย 1 ถ้วย = แมกนีเซียม 56 มิลลิกรัม
6. โยเกิร์ต 8 ออนซ์ = แมกนีเซียม 42 มิลลิกรัม
7. ผักโขม 1/2 ถ้วย = แมกนีเซียม 78 มิลลิกรัม
8. ดาร์กช็อกโกแลต 1 ออนซ์ = แมกนีเซียม 64 มิลลิกรัม
9. อะโวคาโด 1/2 ถ้วย = แมกนีเซียม 22 มิลลิกรัม
10. แซลมอน (สุก) 3 ออนซ์ = แมกนีเซียม 26 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม แร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นสำหรับร่างกาย
ร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีบริเวณลำไส้เล็กตอนต้น ซึ่งในขณะเดียวกันก็จะไปขัดขวาง การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเช่นกัน และในทางตรงกันข้ามก็จะมีการขัดขวางการดูดซึมแมกนีเซียม และนอกจากแร่ธาตุดังกล่าวแล้ว ไฟเตต ก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการดูดซึมแมกนีเซียมเช่นกัน โดยจะขัดขวางการดูดซึมให้ร่างกายได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่น้อยลงนั่นเอง นอกจากนี้ก็จะมีการขับแมกนีเซียมออกมาทางปัสสาวะอีกด้วย ดังนั้นหากมีการใช้ยาขับปัสสาวะ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียแมกนีเซียมในปริมาณมากเช่นกัน
แหล่งแมกนีเซียมในอาหารที่พบ
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่สามารถพบได้ในอาหารแทบทุกชนิด แต่จะพบได้มากในผักใบเขียว เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ที่พบได้ในพืชนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบได้มากในข้าวโพด ธัญพืชไม่ขัดสี อาหารทะเล ปลาน้ำจืด แอปเปิ้ล นม และถั่วเหลืองได้อีกด้วย
ปริมาณแมกนีเซียมอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยวัยต่างๆ | ||
เพศ | อายุ | ปริมาณที่ได้รับ (มิลลิกรัม/วัน) |
เด็ก | 1-3 ปี | 60 |
4-5 ปี | 80 | |
6-8 ปี | 120 | |
วัยรุ่นผู้ชาย | 9-12 ปี | 170 |
13-15 ปี | 240 | |
16 -18 ปี | 290 | |
วัยรุ่นผู้หญิง | 9-12 ปี | 170 |
13-15 ปี | 220 | |
16 -18 ปี | 250 | |
ผู้ใหญ่ผู้ชาย | 19 – 30 ปี | 310 |
31 – 70 ปี | 320 | |
51- 70 ปี | 300 | |
≥ 71 ปี | 280 | |
ผู้ใหญ่ผู้หญิง | 19 – 30 ปี | 250 |
31 – 70 ปี | 260 | |
51- 70 ปี | 260 | |
≥ 71 ปี | 240 | |
หญิงตั้งครรภ์ | ควรเพิ่มอีก | 30 |
โดยปกติแล้วเรามักจะพบว่าคนที่เป็นพิษสุราเรื้อรังจะมีระดับของแมกนีเซียมต่ำมาก เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้มีการขับถ่ายแมกนีเซียมออกไปมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบอีกว่าแคลเซียมและแมกนีเซียมจะต้องมีความสมดุลกัน โดยหากมีแคลเซียมในร่างกายสูงก็จะต้องได้รับแมกนีเซียมสูงขึ้นไปด้วย และที่สำคัญ ฟอสฟอรัส วิตามินดีและโปรตีน ก็จะทำให้ร่างกายมีความต้องการแมกนีเซียมสูงขึ้นจากเดิมอีกด้วย
การขาดแมกนีเซียม
เมื่อร่างกายขาดแมกนีเซียมจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนแรงและเกิดตะคริวได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคตับอ่อนอักเสบและตับแข็งนั่นเอง นอกจากนี้ในผู้ที่ครรภ์เป็นพิษ ไตพิการ เป็นพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่มีการดูดซึมในร่างกายที่ผิดปกติ หรือผู้ที่ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็มักจะเป็นผู้ที่มีภาวะขาดแมกนีเซียมได้เช่นกัน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแมกนีเซียมและโรคหัวใจขาดเลือด พบว่าหากร่างกายได้รับแมกนีเซียมน้อยเกินไป จนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็จะทำให้เกิดการอุดตันในหัวใจและสมอง จนส่งผลให้หัวใจขาดเลือดได้นั่นเอง
สำหรับอาการที่พบได้บ่อยๆ จากการขาดแมกนีเซียมก็คือ กล้ามเนื้อจะเกิดการบิด สั่น ความจำแย่ลง โดยอาจเกิดความจำเสื่อมเฉพาะ เช่น จำสถานที่หรือจำเพื่อนฝูงไม่ได้ โดยการรักษาอาการดังกล่าวนั้น หากเป็นเด็กจะห้ามไม่ให้ดื่มนม เพราะในน้ำนมมีแคลซีฟีรอลที่จะยิ่งกระตุ้นให้แมกนีเซียมถูกขับออกมากขึ้น และตามด้วยการให้อาหารเสริมที่จะเพิ่มแมกนีเซียมและรักษาอาการได้ดี
การเป็นพิษของแมกนีเซียม
โดยปกติแล้วหากไตของคนเรายังทำงานได้อย่างปกติ มักจะไม่เกิดพิษจากแมกนีเซียม เพราะไตสามารถที่จะขับแมกนีเซียมออกจากร่างกายได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหากร่างกายเกิดภาวะไตชำรุด ก็จะทำให้อัตราการขับแมกนีเซียมออกจากร่างกายต่ำลงและมีระดับของแมกนีเซียมในร่างกายสูงมากขึ้น จนทำให้เป็นพิษในที่สุด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
Bernath, P. F.; Black, J. H. & Brault, J. W. (1985). “The spectrum of magnesium hydride” (PDF). Astrophysical Journal. 298: 375.
Housecroft, C. E.; Sharpe, A. G. (2008). Inorganic Chemistry(3rd ed.). Prentice Hall. pp. 305–306. ISBN 978-0131755536.
Ash, Russell (2005). The Top 10 of Everything 2006: The Ultimate Book of Lists. Dk Pub. ISBN 0-7566-1321-3. Archived from the original on 2006-10-05.
Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.