โภชนาการสำคัญที่ควรรู้

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) อาการ สาเหตุ และการรักษา

0
มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) คือ ชนิดของโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในไต โดยเกิดจากเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อไตและกรวยไตที่ผิดปกติ มักพบในวัยผู้ใหญ่ ปัจจุบันมะเร็งไตอาจจะมีปริมาณของผู้ป่วยที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ก็ถือว่ามียอดของผู้ป่วยทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไต เป็นอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือ เนื้อไต และกรวยไต มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบปัสสาวะ คอยขับกรองของเสีย และเกลือแร่บางชนิด เช่น เกลือโซเดียม ออกจากร่างกาย มะเร็งไต สามารถเกิดได้ทั้ง 2 ข้าง ไตของมนุษย์จะมีทั้งหมด 2 ข้างคือ ไตซีกซ้าย และไตซีกขวา อยู่บริเวณช่องท้องด้านหลังระดับเอว ภายในไตจะประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด ได้แก่ เซลล์ของไตเองผู้ทำหน้าที่กรองของเสีย เซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต เส้นเลือด และเซลล์ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งทุกชนิดสามารถเกิดเป็นมะเร็งได้หมดทั้งสิ้น>> มะเร็งกรวยไต และ มะเร็งท่อไต >> อาการของระยะมะเร็งต่างๆ >> วิธีป้องกันมะเร็งในแบบง่ายๆด้วยตัวเอง สาเหตุมะเร็งไต เกิดจาก มะเร็งไต เกิดจากภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง ซึ่งโรคมะเร็งไตก็สามารถเกิดขึ้นได้กับไตทั้งสองฝั่ง โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็สามารถเกิดพร้อมกันได้ทั้งฝั่งเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นประมาณร้อยละ 2  โดยอาจจะเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ฝั่งเลย หรือเกิดขึ้นทีละฝั่งก็ได้เช่นกัน  ซึ่งผู้ที่เป็นโรคมะเร็งไต ที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้ จะมีโอกาสเกิดมะเร็งไตทั้งสองข้างได้สูง มากว่าคนปกติ มะเร็งไต คือ การเกิดภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง มะเร็งไต จะแตกต่างกัน ระหว่างประเภทที่พบในผู้ใหญ่ กับประเภทที่พบในเด็ก ซึ่งประเภทที่พบในผู้ใหญ่นั้น จะมีโอกาสเกิดสูงใน ผู้ที่อายุอยู่ในช่วงประมาณ  55 – 60  ปี และสามารถพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่าความแตกต่างระหว่างมะเร็งไตและมะเร็งกรวยไต ทั้งไตและกรวยไต ล้วนแต่เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกัน ทำงานร่วมกัน และอยู่ในระบบขับถ่ายของเสียด้วยกันทั้งคู่  หลายคนจึงมีความสงสัยว่า โรคมะเร็งไตที่เกิดกับอวัยวะทั้ง 2 ส่วน เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งอันที่จริงแล้ว มะเร็งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้คือ ชนิดของมะเร็งไต 1. ไตจะมีหน้าที่หลักคือ กรองของเสียออกจากร่างกายมาทางปัสสาวะ เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่อวัยวะและเซลล์ของตัวไตเอง มักเป็นเซลล์มะเร็งชนิดรีนัลเซลล์ หรือเรียกย่อๆว่า อาร์ซีซี ( RCC : Renal Cell Carcinoma ) ซึ่งเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง 2. กรวยไตมีหน้าที่หลักคือ เก็บกักน้ำปัสสาวะในไต ก่อนปล่อยให้ไหลลงไปสู่ท่อไต เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่ส่วนของกรวยไต เป็นมะเร็งของเซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต ชนิดทีซีซี หรือ ทรานซิชันแนล ( TCC : Transitional Cell Carcinoma ) เป็นเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง สาเหตุการเกิด มะเร็งไต ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถสรุปหาต้นเหตุที่แท้จริง ของการเกิดมะเร็งไตได้  แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เชื่อว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค ดังต่อไปนี้ การสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งไตและมะเร็งเกือบทุกชนิด พันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้บางชนิด ซึ่งคนที่มีความผิดปกติจากพันธุกรรมชนิดนี้ มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งไตได้ถึงร้อยละ 45 และมักมีโอกาสเกิดมะเร็งกับไตทั้งสองข้างสูง ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน  และ ผู้ที่มีภาวะมีโรคความดันโลหิตสูง อาจเกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งบางชนิดในสถานที่ทำงาน เช่น จากการทำเหมืองแร่ เช่น แร่แคดเมียม   ( Cadmium ) หรือแอสเบสตอส ( Asbestos ) เกิดจากอาหารและยาที่ทานเข้าไป...

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) 

0
มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) นอกจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ตับ ปอด กระเพราะอาหาร เต้านม แล้ว โรคมะเร็งยังสามารถเกิดได้กับ เม็ด เลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งของร่างกายได้อีกด้วย โดยส่วนมากเราจะรู้จัก โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในชื่อของ ลูคีเมีย ซึ่งเป็นชนิดมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูงมากประเภทหนึ่ง มะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถเป็นได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ ทารกแรกคลอด ตลอดจนวัยผู้สูงอายุ แต่ส่วนมากมักพบได้บ่อยๆในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อย ทั้งในประเทศไทยเองและเด็กในต่างประเทศ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นชนิดโรคมะเร็งที่พบในเด็กมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง  ส่วนที่พบในผู้ใหญ่ก็มีปริมาณมากเช่นเดียวกัน เป็นโรคที่เกิดขึ้นติดอันดับหนึ่งในสิบจากกลุ่มของโรคมะเร็งทั้งหมด>> ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งคืออะไรบ้าง ? >> เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญอย่างไร ?  เม็ดเลือดประกอบด้วย ปกติแล้ว ไขกระดูก ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่คอยสร้างกลุ่มเม็ดเลือดที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ 1. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักคือ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย หากร่างกายขาดเม็ดเลือดแดงจะส่งผลให้มีอาการตัวซีด เหนื่อยง่าย  หากปล่อยทิ้งไว้ระยะยาว จะส่งผลทำให้ระบบอวัยวะอื่นๆในร่างกายทำงานผิดพลาดจนกระทั้งเกิดภาวะล้มเหลวได้ โดยเฉพาะหัวใจ 2. เกล็ดเลือด มีหน้าที่หลักคือ ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลเมื่อมีแผลเกิดขึ้นกับร่างกาย หรือ การเข้ารับการผ่าตัดทางการแพทย์ หากร่างกายมีปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติจะส่งผลให้ มีอาการเลือกออกง่าย หยุดช้าและอาจไหลไม่หยุดเลย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต่อร่างกายมากหากเกิดบาดแผลขึ้น 3. เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่หลักคือ เปรียบเสมือนทหาร ที่คอยคุ้มป้องกันกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ หลุดเข้าไปสู่ในร่าง กาย หากร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ต่ำจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคต่ำตามไปด้วย ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การติดเชื้อ ได้ง่าย และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง ทำให้อวัยวะต่างๆที่ติดเชื้อเกิดการอักเสบและล้มเหลวในที่สุด สาเหตุการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีสาเหตุหลักมาจาก การที่ไขกระดูกทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ระบบการสร้างเม็ดเลือดต่างๆผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่น สร้างมากเกินกว่าปกติ หรือ สร้างน้อยเกินกว่าปกติ แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะพบในลักษณะการสร้างที่มากเกินกว่าปกติ และพบได้ในเม็ดเลือดขาวบ่อยที่สุด เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกสร้างขึ้นมากว่าปกติ จะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดอาจมีปริมาณในการสร้างลดลงไปด้วย โดยในปัจจุบันยังไม่มีเหตุผลแน่นอนที่ชัดเจน ว่ามีเหตุผลใดที่ทำให้ไขกระดูกทำงานผิดปกติ จนทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้น แต่อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้  เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมบางชนิด ทั้งชนิดถ่ายทอดได้และชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่ควบคุม  เกี่ยวกับการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ การได้รับรังสีชนิดต่างๆในปริมาณมากและต่อเนื่อง เช่น รังสีเอ็กซ์ การได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ที่มีภาวะของโรคดาวน์ซินโดรม ( Down’s Syndrom ) จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนปกติ การขาดสารอาหารของมารดาในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลต่อทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา การได้รับสารก่อมะเร็ง จากสารเคมีบางชนิดบ่อยๆ ส่งผลให้ไปกระตุ้นเชื้อมะเร็งในร่างกายให้เกิดขึ้น การได้รับสารก่อมะเร็งปริมาณสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ร่วมทั้งจากการบริโภคสารก่อมะเร็งของมารดาในขณะตั้งครรภ์ ประเภทมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิด แต่ก็สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิดคือ 1. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซิติก ( Lymphocytic Leukemia )   2. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมย์อีโลซิติก หรือนัลลิมโฟซิติก ( Myelocytic Leukemia or Non-Lymphocytic ) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้ง 2 ชนิดนี้ ยังสามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเภทย่อยๆ ได้อีก คือ  มะเร็งชนิดเฉียบพลัน และ มะเร็งชนิดเรื้อรัง  ซึ่งชนิดแบบเฉียบพลัน  เป็นโรคมะเร็งประเภทที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก จะมีอาการรุนแรงตั้งแต่ที่เริ่มเป็น หากเป็นแล้วต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน  ส่วนมะเร็งชนิดเรื้อรังนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดเฉียบพลัน ผู้ที่ป่วยจะมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ควรได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร่งด่วนโดยเช่นกัน ก่อนที่จะลุกลามไปถึงระยะสุดท้ายของมะเร็งที่ไม่อาจรักษาได้แล้ว อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาว สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น  โรคนี้จะไม่มีอาการเฉพาะของโรคเหมือนมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่จะมีอาการจากผลข้างเคียงของไขกระดูกที่ทำงานผิดปกติ  โดยทั่วไปมักจะมีอาการดังต่อไปนี้ เกิดภาวะตัวซีด รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย ง่ายกว่าปกติ เจ็บป่วยบ่อยๆ เช่น มีอาการไข้ขึ้นสูงบ่อยๆ เนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ ...

สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป มีอะไรบ้าง ?

0
ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ ทำให้สภาพตามธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกในการเก็บรักษาหรือการใช้ มักมีการใช้สารปรุงแต่งหรือวัตถุเจือปนเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ปรับกลิ่น รสชาติ และสี รวมถึงทำให้อาหารมีลักษณะที่น่าทานมากขึ้น เช่น ไส้กรอก หมากฝรั่ง แฮม และคุกกี้ กระบวนการแปรรูปยอดนิยม ได้แก่ การอัดกระป๋อง การแช่แข็ง การแช่เย็น การดึงน้ำออก และการทำให้ปลอดเชื้อ สารปรุงแต่ง ( Food Additive ) มีอะไรบ้าง วัตถุเจือปนอาหารจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งบางชนิดก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นั่นก็คือวัตถุเจือปนอาหารที่เป็นสารเคมีโดยถูกสังเคราะห์ขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้อ อาหารแปรรูป ต่างๆ จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุเจือปนในอาหารแปรรูปได้ดี เพื่อจะได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทำไมต้องใช้วัตถุเจือปนอาหารแปรรูป วัตถุเจือปนอาหาร หมายถึงสารที่ถูกนำมาเติมลงไปในอาหารโดยไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารมาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเอาไว้ รวมถึงช่วยแต่งกลิ่น สีและรสชาติเพื่อให้ อาหารแปรรูป น่าทานมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยการเติมวัตถุเจือปนอาหารลงไปก็อาจเติมในระหว่างกระบวนการแปรรูปหรือในขณะที่กำลังบรรจุก็ได้ >> อาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานมีอะไรบ้าง >> การเลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยสามารถทำได้อย่างไร ? วัตถุเจือปนอาหารหรือสารปรุงแต่งกลิ่นที่ได้รับอนุญาต วัตถุเจือปนอาหารส่วนใหญ่มักจะผ่านการอนุญาตแล้ว แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย โดยมีประเภทของวัตถุเจือปนอาหารดังนี้ 1.วัตถุกันเสีย ใช้เพื่อถนอมอาหารให้อยู่ได้นานขึ้น โดยจะไม่ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่ายและยังช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพและเน่าเสียได้ง่ายอีกด้วย จึงมักจะพบวัตถุกันเสียเป็นส่วนประกอบของอาหารแปรรูปอย่างแพร่หลายนั่นเอง ประเภทของวัตถุกันเสียที่พบได้คือ กรดอินทรีย์ พบมากโดยเฉพาะอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น เยลลี่ แยม หรือ น้ำผลไม้ กรดเหล่านี้มักพบใน อาหารแปรรูป ได้แก่ กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดอะซิตริก กรดโพรพิออนิก เกลือของกรดชนิดต่างๆและพาราเบนส์ เกลือซัลไฟต์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์  นิยมใช้ในผักและผลไม้อบแห้งและรวมไปถึง น้ำหวาน ไวน์ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลา และเครื่องดื่มต่างๆ เมื่อเติมเกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอาหารจะละลายน้ำ และเกิดเป็นกรด "ซัลฟูริก" ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยยับยั้ง และทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี สารประกอบไนไตรต์ และไนเตรต สมัยก่อนนิยมใช้ในเนื้อสัตว์ อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง และอาหารประเภทเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งนี้นิยมใช้สำหรับยับยั้งการเติบโตและการก่อสารพิษของเชื้อ Clostridium Botulinum ใช้ป้องกันการออกซิเดชันของอาหาร ช่วยเพิ่มสีในเนื้อสัตว์ ปัจจุบันได้มีการเลิกใช้สารประกอบไนไตรต์และไนเตรตนานแล้วและถือเป็นสารต้องห้ามในหลายๆประเทศ เนื่องจากสารประกอบไนไตรต์และไนเตรตสามารถเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรซามีน ( N-Nitrosamine ) ได้ง่าย ถือเป็นสารพิษก่อมะเร็งนั่นเอง 2.วัตถุกันหืน เป็นสารที่จะช่วยชะลอการเสียของอาหารเช่นเดียวกับวัตถุกันเสีย โดยจะช่วยลดการเกิดสี กลิ่นหรือรสชาติที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจทำให้เกิดเป็นสารประกอบใหม่ที่จะทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่วัตถุกันหืนลงไปด้วยนั่นเอง โดยอาหารที่พบวัตถุกันหืนได้แก่ อาหารประเภทไขมัน น้ำมัน เนยและนมผง เป็นต้น ประเภทของสารกันหืนที่นิยมใช้ ได้แก่ สารประกอบเดซิล แกลแลต ( Dodecyl Gallate ) ป้องกันการเหม็นหืนของไขมันในอาหารที่มีความเข้มข้นสูง โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สารประกอบเอ็นดีจีเอ ( NDGA ) นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น ขนม ขนมที่มีครีมต่างๆ ไอศกรีม เนย และเครื่องดื่ม โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.05 ใช้ในน้ำมันอาหารพวกเนื้อสัตว์ เช่นน้ำมันหมู อนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.02 ของปริมาณไขมัน สารประกอบบีเอชเอ และสารประกอบบีเอชที ( BHA และ BHT ) นิยมใช้ในอาหารที่มีไขมัน เช่น ขนมหวาน ขนมอบ ไอศกรีม ไส้กรอก กุนเชียง ยีสต์แห้ง...

เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?

0
อาหารสำหรับผู้สูงวัย อาหารสำหรับผู้สูงวัย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รวมถึงภาวะจิตใจด้วย โดยเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง กล่าวคืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะมีการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพลง ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ปอดตับ ระบบย่อยอาหารหรือสมอง นอกจากนี้ก็มักจะมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยต่างๆ มารุมเร้า ซึ่งล้วนมีผลต่อภาวะโภชนาการทั้งสิ้น ยกตัวอย่างโรคที่มักจะพบได้บ่อยในวัยสูงอายุ ได้แก่ โรคเบาหวาน กระดูกพรุน ต้อกระจกและความดันโลหิตสูง เป็นต้นและอีก สิ่งหนึ่งที่จะต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ก็คือโรคขาดสารอาหาร ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาอาหารเหมาะสำหรับผู้สูงวัยนั่นเอง โดยภาวะที่ร่างกายขาดสารอาหารนี้ จะเป็นตัวการให้ภูมิต้านทานลดต่ำลงและอาจติดเชื้อได้ง่ายในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับโภชนาการของคนเราทั้งสิ้น หากเลือกทานอาหารอย่างสมดุลและครบถ้วนปัญหาสุขภาพเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงอย่างแน่นอน >> อาหารแบบไหนบ้างที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน >> ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปใช้สารปรุงแต่งอะไรบ้าง?  วิธีรับมืออาหารวัยผู้สูงอายุ ในวัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะมีความต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าวัยอื่นๆ นั่นก็เพื่อฟื้นฟูและพยุงให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยสาร อาหาร ที่ ผู้สูงอายุ มีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ เป็นต้น นอกจากนี้นักวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เน้นการทานอาหารเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ได้แก่ 1. น้ำและเครื่องดื่ม ผู้สูงอายุควรเลือกดื่มน้ำและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ โดยดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8-12 แก้ว และเสริมด้วยน้ำผลไม้รวมหรือน้ำสมุนไพรโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลลงไป เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานนั่นเอง นอกจากนี้ก็สามารถทานของเหลวในรูปของซุปได้อีกด้วย ทั้งนี้น้ำและเครื่องดื่มถือมีความจำเป็นต่อวัยสูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะหากทานน้อยเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้นั่นเอง 2. อาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ขัดสี อาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี จะเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายและยังอุดมไปด้วยกากใยสูงอีกด้วย โดย ผู้สูงอายุ ควรทานให้ได้วันละ 6 ทัพพี เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่พอเหมาะในแต่ละวัน โดยอาหารประเภทนี้ ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีตและถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น และเนื่องจากเป็นอาหารที่มีกากใยสูง จึงสามารถป้องกันอาการท้องผูกและช่วยในการย่อยได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนคาร์โบไฮเดรตชนิดขัดสี และเป็นพวกเมนูทอด ขนมหวานต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อ้วนและมีปัญหาไขมันในเลือดสูงได้ 3. อาหารโปรตีนจากพืชและสัตว์ ในวัยสูงอายุมีความต้องการโปรตีนเพื่อเสริมพลังงานให้กับร่างกาย แต่เนื่องจากวัยนี้มักจะมีปัญหาในการเคี้ยวจึงทำให้ทานเนื้อสัตว์ได้น้อยลง ดังนั้นจึงกำหนดว่า ผู้สูงอายุ ควรทานเนื้อสัตว์ที่วันละ 150 กรัม โดยเน้นเนื้อสัตว์ที่มีความอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่ายและย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ หรือหากเป็นพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ก็ควรต้มให้เปื่อยยุ่ยที่สุด นอกจากนี้ก็ให้เสริมโปรตีนจากพืชแทน โดยอาจทานถั่วเหลืองหรือถั่วเมล็ดแห้งที่ให้โปรตีนก็ได้  4. แคลเซียม วัยนี้เป็นวัยที่มีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายมากที่สุด จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเปราะบางได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานแคลเซียมเป็นหลัก โดยทานให้สูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20% หรือ ควรทานให้ได้วันละ 1200 มิลลิกรัม ซึ่งหากเทียบกับการดื่มนม ก็คือต้องดื่มนมขนาดแก้ว 240 มิลลิลิตรให้ได้วันละ 4 แก้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามในแต่ละวันคนเรามักจะได้แคลเซียมจาก อาหาร ทั่วไปประมาณ 350 มิลลิกรัม ดังนั้นแค่ดื่มนมหรือทานผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมประมาณ 3 ส่วน ก้จะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วสำหรับอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อยที่กินกระดูกได้ กุ้งแห้งป่น ผักใบเขียว งาและถั่วดำ ถั่วแดง เป้นต้น 5. วิตามินดี วิตามินดีเป็นตัวช่วยในการช่วยดูดซึมสาร อาหาร ต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม ดังนั้นวิตามินดีจึงมีความจำเป็นต่อ ผู้สูงอายุ อย่างมาก ซึ่งพบว่าหากได้รับวิตามินดีและแคลเซียมอย่างเพียงพอ ก็จะสามารถเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไปอีก โดยวิตามินดีนั้นสามารถรับได้จากการสัมผัสแสงแดดในยามเช้า วันละ 20-30 นาที และสัปดาห์ละ 2-3...

ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?

0
ผลไม้อบแห้ง ผลไม้อบแห้ง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำผลไม้ที่อยู่ในสภาพดี ไม่เน่าเสีย โดยอาจนำมาผ่านกรรมวิธีแปรรูปเป็น ผลไม้ดองหรือผลไม้แช่อิ่มก่อน หรือไม่ก็ได้มาทำแห้ง ( dehydration ) เพื่อลดความชื้นตามต้องการโดยใช้แสงแดด ( sun drying ) หรือนำไปอบแห้ง โดยการอบแห้งโดยทั่วไปจะใช้วิธีการอาศัยพลังงานความร้อนในการระเหยน้ำออกจากผลไม้ จากนั้นจึงนำผลไม้ที่ได้มาบรรจุลงในภาชนะที่ปิดสนิทและมีกระบวนการดูดเอาออกซิเจนและความชื้นออกไป จึงทำให้ได้ผลไม้อบแห้งที่เก็บไว้บริโภคได้อย่างยาวนานมากขึ้น เป็นการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานและสามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้ดี >> ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมได้อย่างไร มาดูกันในบทความนี้ค่ะ >> ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระวังการทานผลไม้อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ ข้อดีของการอบแห้งผลไม้ ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินในผลไม้น้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการแปรรูปอื่นๆ สามารถเสริมวิตามินเข้าไปในผลไม้อบแห้งได้ในระหว่างกำลังผลิต ทำให้ผลไม้อบแห้งสามารถเก็บไว้ได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเก็บไว้ในสภาวะที่เหมาะสมด้วย มีส่วนช่วยในการยับยั้งการทำงานของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ ผลไม้ที่ผ่านการอบแห้งแล้วส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเบามาก เพียงแค่ 1 ใน 7 ของน้ำหนักผลไม้สดเท่านั้น แถมช่วยลดต้นทุนในการขนส่งได้ดีอีกด้วย สามารถเก็บผลไม้อบแห้งไว้ได้ในอุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องเก็บไว้ในห้องเย็น ช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษาได้ดี บริโภคง่ายและให้ความรู้สึกเพลิดเพลินกับการทานผลไม้อบแห้ง สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย https://www.youtube.com/watch?v=Uc8v_LFl11s การเตรียมผลก่อนนำไปทำผลไม้อบแห้ง อย่างไรก็ตามก่อนจะนำผลไม้ไปอบแห้งก็จะต้องมีการเตรียมการให้ดีก่อนด้วย โดยมีกระบวนการเตรียมที่ถูกวิธีดังนี้ 1. ต้องเก็บเกี่ยวผลไม้ที่มีความสุกในระดับที่เหมาะสม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ด้วย เพราะบางชนิดควรเก็บตั้งแต่เริ่มสุกไม่มาก และบางชนิดต้องเก็บเมื่อสุกกำลังดี ที่สำคัญในระหว่างเก็บเกี่ยวจะต้องระมัดระวังไม่ให้ผลไม้เกิดการช้ำหรือมีแผลเช่นกัน 2. ต้องล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนเสมอ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีการใช้สารฆ่าแมลง ซึ่งการล้างผลไม้ที่ถูกต้อง จะต้องนำผลไม้ไปแช่น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาหรือล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเย็นแบบให้น้ำไหลผ่าน เพื่อพยายามกำจัดสารพิษตกค้างให้ได้มากที่สุด 3. การปอกเปลือกจะต้อปลอกให้เหมาะสม คือปลอกด้วยมีด ด้วยการขัดสีหรือการใช้สารละลายด่าง และหั่นให้สวยงาม โดยพยายามอย่าให้เกิดความช้ำ  การนำผลไม้มาแปรรูป สำหรับการนำผลไม้มาแปรรูป พบว่าผลไม้บางชนิดสามารถนำมาแปรรูปได้ทั้งผล แต่ผลไม้บางชนิดก็จะต้องผ่านการปอกเปลือกและการหั่นให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการแปรรูปมากขึ้น นอกจากนี้จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสีน้ำตาลในการแปรรูปอีกด้วย ซึ่งอุตสาหกรรมการแปรรูปส่วนใหญ่ก็จะใช้เทคนิคการใส่สารเคมีต่างๆ ลงไป เพื่อป้องกันการเกิดสีน้ำตาลและทำให้สีของผลไม้อบแห้งยังคงดูน่ากินอยู่เสมอ โดยสารที่นิยมใช้ได้แก่สารละลายกรดแอสคอร์บิค สารละลายซัลเฟอร์ กรอดซิตริก และสารที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีกระบวนการอื่นๆ ที่สำคัญในการแปรรูปอาหารดังนี้ การลวกด้วยน้ำร้อนหรือไอน้ำ คือ การทำให้ผลไม้บางส่วนสุกก่อนนำไปอบแห้ง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการอบแห้งได้ดี และสามารถป้องกันการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในระหว่างการเก็บรักษาผลไม้อบแห้งอีกด้วย ที่สำคัญก็สามารถรักษาปริมาณของแคโรทีนและวิตามินซีของผลไม้อบแห้งได้ดีทีเดียว การลวกด้วยน้ำเชื่อม วิธีนี้จะใช้กับการทำผลไม้เชื่อมแห้ง โดยอาศัยความเข้มข้นของน้ำตาลเกลือเพื่อลดการเกิดสีน้ำตาลในผลไม้ และลดการสูญเสียของกลิ่นผลไม้สดได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ก็ช่วยให้ผลไม้อบแห้งมีรสชาติที่กลมกล่อมและน่าทานมากขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากวิธีนี้จะมีน้ำตาลสูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน และอาจเกิดกลิ่นหืนเมื่อเก็บไว้นานๆ อีกด้วย วิธีการแปรรูป ผลไม้อบแห้ง วิธีการแปรรูปผลไม้อบแห้งสามารถทำได้หลายวิธี โดยมีวิธีที่ได้รับความนิยมดังนี้ 1. ผลไม้แช่อิ่มอบแห้ง คือ การนำผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อมจนเกิดการอิ่มตัว แล้วจึงนำไปอบแห้ง ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความกรอบ อร่อยและหวานมาก และด้วยปริมาณของน้ำตาลที่สูงมากนี่เอง จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง 2. ผลไม้อบแห้งแบบฟรีซดราย คือวิธีการนำผลไม้มาทำแห้งเยือกแข็งแบบสุญญากาศ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความแห้ง กรอบ และยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างคือ มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างแห้งและแข็งจนเกินไป ผลไม้บางชนิดอาจถึงขั้นเคี้ยวไม่ออกได้เลยทีเดียว 3. ผลไม้อบนิ่มด้วยวิธีการผ่านลมร้อน คือวิธีการอบแห้งผลไม้แบบใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความยืดหยุ่นสูง และมีเนื้อนิ่มน่าทาน แถมสามารถคงคุณค่าทางโภชนาการสูงถึง 80% ในปัจจุบันต้องบอกเลยว่าผลไม้อบแห้งได้รับความนิยมและมีจำหน่ายอย่างแพร่หลายมาก เพราะมีรสชาติหวานอร่อยและสามารถเก็บไว้ทานได้เป็นเวลานาน แต่เนื่องจากผลไม้อบแห้งส่วนใหญ่จะมีปริมาณของน้ำตาลที่สูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผลไม้อบแห้งที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มก็มีเหมือนกัน เพียงแต่จะมีรสชาติหวานน้อย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ผลไม้อบนิ่ม ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ไม่ได้เติมน้ำตาลลงไป แถมยังมีความนิ่มทานง่าย เหมาะกับผู้ที่ฟันไม่แข็งแรง หรือวัยเด็กและวัยสูงอายุที่สุด ทั้งยังเป็นผลไม้อบแห้งที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง ขอขอบคุณคลิปสาระดีๆ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้ Hui, YH. Handbook of fruits and fruit processing. Blackwell Publishing, Oxford UK (2006) . Brothwell D, Brothwell P. Food in Antiquity: A survey of...

ธาตุเหล็ก ประโยชน์ของธาตุเหล็กคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ?

0
ธาตุเหล็กคืออะไร ธาตุเหล็ก หรือ วิตามินเหล็ก คือ แร่ธาตุที่มีความสำคัญกับระบบเลือด ซึ่งปริมาณของธาตุเหล็กที่พบในคนส่วนใหญ่ก็จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ประมาณ 3-5 กรัม โดยขึ้นอยู่กับเพศ อายุและขนาดภาวะ โภชนาการสุขภาพที่ได้รับอีกด้วย นอกจากนี้ก็พบว่าประโยชน์ของธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 จะพบในเลือด โดยจะทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบินเพื่อนำออกซิเจนไปใช้ในการหายใจ ส่วนอีกประมาณ 26% จะพบอยู่ในรูปของเฟอร์ริทิน ( Ferritin ) หรือเอโมซิเดอริน ( Hemosiderin ) โดยส่วนนี้จะเก็บไว้ใช้เพื่อสร้างเฮโมโกลบินในยามที่จำเป็นนั่นเอง และธาตุเหล็กอีกประมาณร้อยละ 3 ก็จะพบอยู่ในกล้ามเนื้อนั่นเอง ส่วนที่เหลือก็จะอยู่ในน้ำย่อยหลากหลายชนิดปะปนกันไป >> ทำไมโปรตีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายมาดูกันค่ะ >> แอนโทไซยานิน ดีต่อสุขภาพอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ในร่างกายของคนเรา จะมีหน้าที่สำคัญดังต่อไปนี้ 1.ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ในการรวมตัวเข้ากับ วิตามินบี 6 โปรตีนและ ทองแดง เพื่อสร้างเฮโมโกลบินขึ้นมา โดยสารชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการส่งออกซิเจนในเลือดจากปอดไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่ต้องการออกซิเจนและนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้ามาสู่ปอดเพื่อทำการขจัดทิ้งออกจากร่างกายผ่านการหายใจต่อไป เพราะฉะนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่าธาตุเหล็กเป็นตัวช่วยในการสร้างคุณภาพของเลือดและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ได้นั่นเอง และนอกจากการสร้างเฮโมโกลบินในเลือดแล้ว ประโยชน์ของธาตุเหล็ก ก็ยังช่วยสร้างไมโอโกลบินในกล้ามเนื้ออีกด้วย โดยสารตัวนี้ก็จะช่วยส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวตามปกติ และนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพื่อกำจัดทิ้งเช่นกัน 2.ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนและน้ำย่อยอีกหลากหลายชนิด เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตและกระบวนการหายใจของเซลล์ให้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่มีธาตุเหล็กผสมอยู่ได้แก่ ไมโอโกลบิน เฮโมซิเดอริน และเฮโมโกลบิน เป็นต้น ส่วนน้ำย่อยที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ รีดักเทส แคแทเลสและสารต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ร่างกายของคนเราก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเหล็กที่อยู่ในรูปของเหล็กเฟอริคและเหล็กเฟอรัส แต่จะสามารถใช้ประโยชน์จากเหล็กเฟอรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า การดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย สำหรับการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายของคนเรา โดยปกติแล้วจะสามารถดูดซึมได้ที่ร้อยละ 6-10 ซึ่งหากธาตุเหล็กในร่างกายมีน้อยก็จะมีการดูดซึมได้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กสูงนั่นเอง นอกจากนี้ธาตุเหล็กที่ได้รับจากอาหารประมาณร้อยละ 2-4 จะถูกนำไปใช้ในร่างกายและจะเก็บไว้ที่ม้าม ไขกระดูก เลือดและตับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ชายจะมีธาตุเหล็กสะสมไว้มาก จึงทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย แต่ผู้หญิงจะมีปริมาณธาตุเหล็กสะสม น้อย จึงสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากกว่านั่นเอง และสำหรับปริมาณของธาตุเหล็กที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ 1. ความต้องการเหล็กของร่างกาย ซึ่งหากร่างกายกำลังต้องการธาตุเหล็กสูง ก็จะดูดซึมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายกำลังขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ขณะให้นมบุตรและในเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งโดยปกติแล้วในภาวะนี้ร่างกายจะทำการดึงเอาธาตุเหล็กจากทรานส์เฟอร์รินมาใช้ก่อน แล้วจึงค่อยดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปทดแทนในภายหลัง ดังนั้นในช่วงภาวะดังกล่าวจึงต้องทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้มากขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตามกลไกในการดูดซึมเหล็กก็จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการดูดซึมธาตุเหล็กที่มากเกินไปด้วย เพราะอาจจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายได้นั่นเอง 2. สภาพของลำไส้ โดยพบว่าหากลำไส้เล็กตอนบนและกระเพาะอาหารมีสภาวะเป็นกรดก็จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น เนื่องจากเหล็กเฟอริคจะถูกเปลี่ยนเป็นเหล็กเฟอรัสที่สามารถละลายได้ง่ายและทำให้ง่ายต่อการดูดซึมอีกด้วย ในขณะเดียวกันหากมีการผ่าตัดเอาส่วนใดออกไป ทำให้การผลิตกรดด้อยลง ก็จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กด้อยลงไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของลำไส้เล็กตอนกลางและตอนปลายจะมีความเป็นด่างมากกว่า จึงทำให้ในส่วนนี้สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 3. ส่วนผสมที่อยู่ในอาหารที่บริโภค โดยพบว่าร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กที่ได้จากเนื้อสัตว์มากถึงร้อยละ 10-30 ในขณะที่ดูดซึมธาตุเหล็กจากผักได้แค่ร้อยละ 2-10 เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เหล็กที่อยู่ในถั่วเหลือง จะดูดซึมได้ร้อยละ 7 และเหล็กที่อยู่ในข้าวจะดูดซึมได้ร้อยละ 1 เป็นต้น 4. ผลไม้ที่มีกรด โดยพบว่าจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีเหมือนกัน ซึ่งกรดที่พบในผลไม้เหล่านี้ได้แก่ กรดมาลิก กรดซิตริกและกรดทาร์ทาริก เป็นต้น เพราะอะไรเหล็กจากแหล่งพืชจึงดูดซึมได้น้อย? สาเหตุที่ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งพืชได้น้อย นั่นก็เพราะ 1. ธาตุเหล็กที่อยู่ในแหล่งพืชส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่ไม่ได้อยู่ในรูปของฮีม จึงทำให้ดูดซึมได้ยากกว่าเนื้อสัตว์ที่มีเหล็กในรูปของฮีมนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็สามารถที่จะเปลี่ยนเหล็กในรูปของเหล็กเฟอริคในแหล่งพืชให้เป็นเหล็กเฟอรัสที่ดูดซึมได้ง่ายด้วยการดื่มน้ำส้มหลังจากทานอาหารจำพวกพืชเข้าไปนั่นเอง เพราะน้ำส้มจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี 2. อาหารในแหล่งพืชมักจะมีใยอาหารสูงมาก ซึ่งจะทำให้มีการดูดซึมเหล็กได้ยากกว่าอาหารที่มีใยอาหารน้อย จึงเป็นผลให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งพืชได้ต่ำมากนั่นเอง ดังนั้นผู้ที่ทานมังสวิรัติจึงมักจะมีภาวะขาดธาตุเหล็กได้มากกว่าคนทั่วไป และต้องทานธาตุเหล็กเสริมเป็นหลัก 3. มีแทนนินสูง โดยสารชนิดนี้จะไปทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายลดน้อยลง ซึ่งก็มักจะพบได้มากในใบชา ใบชะพลูและใบเมี่ยง ดังนั้นจึงมีคำแนะนำไม่ให้ดื่มชาหลังจากมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้เท่าที่ควรนั่นเอง 4. ไฟเตต จะทำหน้าที่ในการขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งจะพบได้มากในพืชตระกูลถั่ว พืชผักทั่วไปและธัญพืช อย่างไรก็ตาม เมื่อทานพืชผักพร้อมกับเนื้อสัตว์ จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะในเนื้อสัตว์มีโปรตีนสูง และกรดอะมิโนที่ปล่อยออกมาจากโปรตีนก็มีฤทธิ์ในการเพิ่มการละลายในธาตุเหล็ก จึงทำให้สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้อาหารที่มีกรดแอสคอร์บิกและกรดซัคซินิคสูง ก็จะช่วยเปลี่ยนเหล็กเฟอริคให้เป็นเหล็กเฟอรัสที่ดูดซึมมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย การดูดซึมเหล็กจากอาหารต่างๆ ประเภทอาหาร ค่าเฉลี่ยของเหล็กที่ดูดซึมจากอาหาร (ร้อยละ) ข้าว 1 ข้าวโพด หรือ...

เบตาเลน สารสีแดงของแก้วมังกร อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร

0
เบตาเลนและคุณค่าทางโภชนาการ แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีสีสันสดใสและเป็นที่นิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย สารสีแดงที่พบในแก้วมังกรคือเบตาเลน (betalain) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เบตาเลนช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับความเครียดจากออกซิเดชัน และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ สารนี้ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยส่งเสริมการทำงานของตับ ทำให้แก้วมังกรไม่เพียงแต่เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย แต่ยังเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก >>  คุณค่าทางโภชนาการของผลไม้มีอะไรบ้าง อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แก้วมังกร ผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม จริงหรือไม่ มาดูกันค่ะ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เบตาเลน เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากกรดอะมิโนไทโรซีน โดยจัดอยู่ในกลุ่มอินโดล ( Indole ) มีลักษณะเป็นสารสีแดง-เหลือง สามารถละลายในน้ำได้จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้เบตาเลนยังมีความเชื่อว่าน่าจะมีความเกี่ยวพันกับสารให้สีชนิดอื่นๆ อีกด้วย เพราะเบตาเลนสามารถให้สีกับพืชได้นั่นเอง ประโยชน์ต่อสุขภาพของเบตาเลน สำหรับประโยชน์และคุณสมบัติของเบตาเลน ( Betalain ) ในแก้วมังกรพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีและสามารถต้านการอักเสบได้อีกด้วย ควบคุมระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทานแก้วมังกรจึงสามารถลดน้ำหนักได้นั่นเอง มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไม่ดีในเลือด จึงสามารถลดความเสี่ยงไขมันอุดตันในหลอดเลือดได้ดี และสามารถป้องกันภาวะดื้ออินซูนลินได้อีกด้วย ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้และยับยั้งการอักเสบ ติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น พร้อมกับลดการอักเสบในลำไส้ สีของเบตาเลนและคุณสมบัติ โดยจากความเชื่อดังกล่าวก็ได้มีการศึกษาและพบว่าจริงๆ แล้วเบตาเลนมีโครงสร้างที่แตกต่างจากสารให้สีชนิดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง โดยจะมีความคล้ายกับโปรตีนมากกว่าสารให้สี เพราะมีธาตุไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการให้สีของเบตาเลนและคุณสมบัติที่พบ ซึ่งได้แก่ 1. เบต้าไซยานิน ( Betacyanin ) สารชนิดนี้จะเป็นสารที่ให้สีแดง-ม่วง และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ซึ่งจะช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย พร้อมกับป้องกันการเสื่อมของเซลล์ได้ดี โดยสารในกลุ่มนี้ที่พบได้บ่อยๆ เช่น เบตานิน ( Betanin ) นีโอเบตานิน ( Neobetanin ) และสามารถพบได้มากในบีทรูท แครนเบอรี่ ทับทิม เป็นต้น  2. เบต้าแซนทิน ( Betaxanthin ) สารชนิดนี้จะให้สีแดง - เหลือง ได้แก่ ไมร่าแซนทิน ( Miraxanthin ) โวลก้าแซนทิน ( Vulgaxanthin ) เป็นต้น และสามารถพบได้มากในผลแคคตัส และบีทรูท เป็นต้น กินแก้วมังกรแล้วปัสสาวะเป็นสีแดง ผิดปกติไหม? ในบางคนที่เคยกินแก้วมังกรแล้วปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงก็อาจเกิดความสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรและผิดปกติไหม ซึ่งสรุปได้ว่าอาการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ ไม่อันตรายและไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะในแก้วมังกรมีเบตานินสูงมากและเนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยสารสีดังกล่าวได้ จึงต้องขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ เป็นผลให้ปัสสาวะมีสีแดงนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงวางใจได้เลยว่าไม่ใช่อาการผิดปกติใดๆ แน่นอน อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างเอกสารอ้างอิง รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน (Diabetes): แนวทางจัดการและรักษาสมดุลน้ำตาลในเลือด

0
ดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างไรให้ถูกวิธี? การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นเป็นการจัดการและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ความสำคัญของการจัดการระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพโดยรวม ทำไมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน? การควบคุมระดับน้ำตาลช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไต และตา1 ระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรอยู่ที่เท่าใด? ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารควรอยู่ระหว่าง 80-130 mg/dL และหลังอาหาร 2 ชั่วโมงไม่เกิน 180 mg/dL1 อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวน? ปัจจัยที่ทำให้น้ำตาลผันผวน ได้แก่ อาหาร การออกกำลังกาย ความเครียด และการใช้ยา1 วิธีตรวจและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจและติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์สามารถปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (Self-Monitoring of Blood Glucose - SMBG) SMBG เป็นการตรวจด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลที่บ้าน ช่วยให้ผู้ป่วยทราบระดับน้ำตาลปัจจุบัน1 การตรวจค่า HbA1c คืออะไร และช่วยติดตามภาวะเบาหวานได้อย่างไร? HbA1c แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือน ช่วยประเมินการควบคุมเบาหวานในระยะยาว1 การตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะมีประโยชน์หรือไม่? การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะไม่แม่นยำเท่าการตรวจในเลือด แต่อาจใช้เสริมในบางกรณี1 ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยแค่ไหน? ความถี่ในการตรวจขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวานและการรักษา โดยทั่วไปอาจตรวจ 1-4 ครั้งต่อวัน1 การจัดการอาหารและโภชนาการสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อาหารมีผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด การจัดการอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรเป็นอย่างไร? อาหารควรมีสมดุล เน้นผัก ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย1 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลพุ่งสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้งขัดขาว และไขมันอิ่มตัว1 วิธีคำนวณคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate Counting) เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การนับคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมปริมาณอาหารและปรับขนาดอินซูลินได้อย่างเหมาะสม1 อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีอะไรบ้าง? อาหารที่ช่วยควบคุมน้ำตาล ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ1 การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อระดับน้ำตาลในเลือด การออกกำลังกายช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และควบคุมน้ำหนัก1 ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การออกกำลังกายที่เหมาะสม ได้แก่ การเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และโยคะ1 ข้อควรระวังเมื่อต้องออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน ควรตรวจน้ำตาลก่อนและหลังออกกำลังกาย และเตรียมอาหารว่างเผื่อภาวะน้ำตาลต่ำ1 การใช้ยาและการรักษาสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การใช้ยาร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ มียารักษาเบาหวานประเภทใดบ้าง? ยารักษาเบาหวานมีหลายประเภท ได้แก่: ยากลุ่ม Metformin: ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ ยากลุ่ม Insulin: ทดแทนอินซูลินที่ร่างกายผลิตไม่เพียงพอ ยากลุ่ม SGLT2 inhibitors และ DPP-4 inhibitors: ช่วยลดระดับน้ำตาลผ่านกลไกต่างๆ1 วิธีการฉีดอินซูลินที่ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรฉีดใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือต้นแขน โดยหมุนเวียนตำแหน่งฉีด1 ผลข้างเคียงของยารักษาเบาหวานที่ควรระวัง ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการทางระบบทางเดินอาหาร และน้ำหนักเพิ่ม1 ผู้ป่วยเบาหวานสามารถหยุดใช้ยาได้หรือไม่? ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว1 การจัดการภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน การป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนเป็นส่วนสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในระยะยาว ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง? ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่: เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy): ทำให้การมองเห็นแย่ลง โรคไตจากเบาหวาน (Diabetic Nephropathy): ทำให้ไตเสื่อม โรคปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy): ทำให้เกิดอาการชา โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดจากเบาหวาน: เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด1 วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน การป้องกันทำได้โดยควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ1 สัญญาณเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) และสูง (Hyperglycemia) อาการน้ำตาลต่ำ: ใจสั่น เหงื่อออก หิว อาการน้ำตาลสูง: กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย1 การดูแลสุขภาพโดยรวมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยเสริมการควบคุมเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อน วิธีการลดความเครียดเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การลดความเครียดทำได้โดยการฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ1 ความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพต่อการควบคุมเบาหวาน การนอนหลับที่เพียงพอช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง1 ผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน? ควรพบแพทย์ทุก 3-6 เดือน หรือตามที่แพทย์แนะนำ1 เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับภาวะเบาหวาน? ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่: อาการของน้ำตาลต่ำ: ใจสั่น เหงื่อออก มือสั่น หิว วิงเวียน อาการของน้ำตาลสูง: กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว แผลที่เท้าหายช้าหรือมีการติดเชื้อ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง อาการชาหรือปวดที่มือหรือเท้า คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปรับเปลี่ยนการรักษา สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปรับเปลี่ยนการรักษา ควรปฏิบัติดังนี้: ปรึกษาแพทย์ก่อนปรับเปลี่ยนการรักษาใดๆ บันทึกระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ รายงานผลข้างเคียงของยาให้แพทย์ทราบ แจ้งแพทย์หากมีการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต เช่น การออกกำลังกายหรืออาหาร ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว การเข้าใจถึงความสำคัญของการควบคุมเบาหวาน การปฏิบัติตามแผนการรักษา และการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใดๆ เกี่ยวกับการดูแลรักษา ควรปรึกษาแพทย์หรือทีมสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน...

ไลโคปีน คืออะไร และแคโรทีนอยด์จากมะเขือเทศ มีผลต่อความดันโลหิตอย่างไร

0
ไลโคปีน ( Lycopene ) ไลโคปีน ( Lycopene ) คือ สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งสารตัวนี้ทำให้ผลไม้ ผักมีสีแดง เป็นหนึ่งในเม็ดสีที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระในตระกูลแคโรทีนอยด์พบได้ในผลไม้สีแดง สีชมพู เช่น มะเขือเทศ แตงโม ส้มเนื้อแดง ส้มโอเนื้อแดง ฝรั่งใส้แดง ทับทิม มะละกอ พริกแดง ลูกพลับ หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง กะหล่ำปลีม่วง และเกรฟฟรุต ไลโคปีนในอาหารมาจากผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ หรือมะเขือเทศสด โดยการแปรรูปมะเขือเทศดิบจากการใช้ความร้อน และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม เมื่อระดับอนุมูลอิสระมีมากกว่าระดับสารต้านอนุมูลอิสระก็สามารถสร้างความเครียดจากการออกซิเดชั่นในร่างกายได้ นอกจากนี้วิจัยพบว่าไลโคปีนถูกใช้ป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดอย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น >> สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นกับการบำรุงผิวด้วยวิตามินมีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ >> สรรพคุณและประโยชน์ของ มะเขือเทศ มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ มะเขือเทศกับสารไลโคปีน จากการวิจัยพบว่าในมะเขือเทศจะอุดมไปด้วยสาร ไลโคปีน เป็นจำนวนมาก และไลโคปีนจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีการปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อน เพราะจะทำให้เกิดชีวประสิทธิผลที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณของไลโคปีนให้สูงขึ้นไปอีก นั่นก็เพราะเมื่อไลโคปีนสัมผัสกับความร้อน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพันธะเคมีแบบทรานส์ ทำให้ไลโคปีนกลายเป็นพันธุแบบซิสที่เป็นเส้นโค้งงอ โดยจะสามารถละลายในไขมันได้ดีกว่า จึงทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าด้วยนั่นเองซึ่งจากกรณีของมะเขือเทศจะเห็นได้ว่า ผักผลไม้ทุกชนิดไม่ได้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อทานสดๆ เท่านั้น โดยเฉพาะมะเขือเทศที่จะยิ่งมีคุณค่าสูงขึ้นเมื่อได้ผ่านการปรุงด้วยความร้อนนั่นเอง เพราะฉะนั้นมาทานมะเขือเทศที่ปรุงด้วยความร้อนกันบ่อยๆ ไลโคปีน ช่วยอะไร ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสารชนิดอื่นๆ ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ซึ่งรวมถึงเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมีประสิทธิภาพในการรักษาความแข็งแรงความหนาและความลื่นไหลของเยื่อหุ้มเซลล์ มีหน้าที่ช่วยคัดกรองสิ่งที่เข้าและออกจากเซลล์ช่วยให้สารอาหารที่ดีเข้า กำจัดขยะในเซลล์และป้องกันไม่ให้สารพิษเข้าสู่เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ที่แข็งแรงมีความสำคัญในการป้องกันโรคต่างๆ ไลโคปีนประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ไลโคปีนนั้นสามารถช่วยป้องกันมะเร็งหลายรูปแบบ ตลอดจนการป้องกันและรักษาความเจ็บป่วย และโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ไลโคปีนช่วยต้านอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยในการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลจากการทดสอบพบว่าไลโคปีนสามารถเพิ่มความเข้มข้นของอสุจิในผู้ชายได้ ไลโคปีนช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การเสริมด้วยไลโคปีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดพารามิเตอร์หรือความเครียดภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 30 วัน สามารถเพิ่มพลาสมาเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันการเสื่อมสภาพของอายุและต้อกระจก ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ทำหน้าที่เป็นครีมกันแดดภายในและปกป้องผิวของคุณจากการถูกแดดเผา แหล่งอาหารของไลโคปีน ไลโคปีนพบในผัก ผลไม้หลายชนิดที่มีสีแดง สีชมพู อาหารที่มีไลโคปีนสูงและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาให้ใช้เป็นสารเติมแต่งในอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในรูปแบบที่เข้มข้นและแยกได้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหาร ปริมาณในการรับประทาน ปริมาณไลโคปีน (มิลลิกรัม) มะเขือเทศบดกระป๋อง 1 ถ้วย 54.4 มะเขือเทศตากแดด 1 ถ้วย  24.8 น้ำมะเขือเทศ 1 ถ้วย 22.0 ฝรั่งใส้แดง 1 ถ้วย 8.59 แตงโม (หั่นลูกเต๋า) 1 ถ้วย 6.89 มะเขือเทศแดงดิบ(สับ) 1 ถ้วย 4.63 ซอสมะเขือเทศเข้มข้น 1 ช้อนโต๊ะ 4.60 ส้มโอสีเนื้อแดง 1 ถ้วยตวง 3.26 มะละกอ 1 ถ้วย 2.65 ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ 2.05 สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) สารในกลุ่ม แคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ส่วนใหญ่ จะเป็นสารประกอบอินทรีย์ท่สามารถพบได้มากในพืชและแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะทำให้เกิดสีส้ม แดงและสีเหลือง จึงดูได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ชนิดใดที่มีแคโรทีนอยด์สูงนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติของสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ก็มีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าสารในกลุ่มนี้มีสูงมากถึง 600 ชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมและมีการยอมรับมากที่สุด ก็มีเพียง 6 ชนิดได้แก่ 1. อัลฟาแคโรทีน ( Alpha Carotene ) เป็นสาระสำคัญที่ร่างกายจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์วิตามินเอ โดยจะพบมากในผักโขม มะเขือเทศ และแครอท 2. เบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene ) เป็นสารที่จะช่วยสังเคราะห์วิตามินเอเช่นกัน แต่หากมีมากเกินความจำเป็น ก็จะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ซึ่งก็จะพบได้มากใน มะม่วง มันเทศ แครอท แคนตาลูปและลูกพีช 3. คริปโตแซนทีน ( Cryptoxanthin ) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดโดยตรง ซึ่งมักจะพบได้มากในพริกหยวก ฟักทอง...

ตรวจลิพิดโปรไฟล์เพื่ออะไร และค่าปกติควรอยู่ที่เท่าไหร่

0
ลิพิดโปรไฟล์ Lipid Profile คือ ลิพิดโปรไฟล์ ( Lipid Profile ) คือ กระบวนการตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อใช้บ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคเพื่อเป็นตัวช่วยในการป้องกันโรคร้าย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Artery Disease ) โรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน โรคสมองขาดเลือดจากการอุดตัน หรือตีบตันของเส้นเลือด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตีบตันก็คือ การมีไขมันในร่างกายปริมาณสูงง และยังใช้ติดตามการรักษาในผู้ป่วยที่ได้รับยาลดระดับไขมันในเลือด การตรวจ lipid profile การตรวจ lipid profile นั้นแพทย์จะใช้วิธีการเจาะเลือดแล้วนำเลือดมาตรวจหาค่าของไขมันชนิดต่างๆ โดยผู้ป่วยจะต้องอดอาหารก่อนการเจาะเลือด 12 ชั่วโมง สำหรับการตรวจวัดระดับไขมันทุกชนิด (ดื่มน้ำเปล่าได้) >> ไขมันหรือลิปิดมีความสำคัญอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> คอเลสเตอรอลคืออะไร มีความจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ มาดูกันค่ะ ลิพิดโปรไฟล์สามารตรวจอะไรได้บ้าง 1. cholesterol เป็นไขมันที่ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ เอนไซม์ และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ การตรวจวัดระดับคลอเลสเตอรอลจะบ่งชี้ระดับไขมันโดยรวม ทั้ง HDL-cholesterol, LDL-cholesterol และ triglyceride ภายในเลือด ค่าปกติ <200 mg/dL 2. triglycerides เป็นไขมันที่ถูกเก็บสะสมในร่างกายในเซลล์ไขมัน (adipose Tissue) ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย ซึ่งจะตรวจควบคู่กับไขมันตัวอื่นๆ ค่าปกติ <150 mg/dL หากค่าสูงจะทำให้ไขมันในเลือดสูง 3. low density lipoprotein (LDL) ไขมันชนิดนี้ทำหน้าที่นำพา cholesterol เป็นไขมันเลว ค่าปกติ <100 mg/dL  หากค่าสูง(ไขมันในเลือดสูง) อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง(atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง 4. high density lipoprotein (HDL) ไขมันชนิดนี้ทำหน้าที่เก็บ cholesterol จากอวัยวะต่างๆ กลับเข้าสู่ตับซึ่งเป็นศูนย์กลางของกระบวนการสลายของไขมัน ซึ่งเป็นไขมันดี ค่าปกติ (ผู้หญิง) >40 mg/dL และ (ผู้ชาย) >50 mg/dL หากค่าต่ำอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง 5. very low-density lipoprotein cholesterol (VLDL) เป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับ ทำหน้าที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับไปยังผนังหลอดเลือด เนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ ค่าปกติ lipid profile 1. cholesterol ค่าปกติ <200 mg/dL 2. triglycerides ค่าปกติ <150 mg/dL 3. low density lipoprotein (LDL) ค่าปกติ <100 mg/dL  หากค่าสูง(ไขมันในเลือดสูง) 4. high density lipoprotein (HDL) ค่าปกติ (ผู้หญิง) >40 mg/dL และ (ผู้ชาย) >50 mg/dL หากค่าต่ำอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง 5. very low-density lipoprotein cholesterol (VLDL) ค่าปกติ 7 - 32 mg/dL แปลผล...

สารเพคตินและใยอาหารในแอปเปิ้ล

0
เพคติน เพคติน ( Pectin ) เดิมทีมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า “ Pektikos ” ที่มีความหมายว่า การทำให้ข้นหรือการทำให้แข็งตัว ในการทำแยมผลไม้จึงนิยมใส่เพคตินลงไป เพื่อให้เกิดเป็นเจลข้นๆ และทำให้แยมจับตัวกัน โดยเฉพาะและยังมีประโยชน์อีกมากมายอีกด้วย โดยเฉพาะการช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้ง ดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย เพคติน สามารถพบได้ในผักและผลไม้มากมายหลายชนิด และเนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยเพคตินได้ เพคตินจึงถูกจัดเป็นกลุ่มเดียวกับใยอาหาร ที่จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นและลดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี >> คุณค่าทางโภชนาการของผลไม้มีอะไรบ้าง อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์อะไรบ้าง มาดูกันค่ะ เพคติน ที่พบในแอปเปิ้ลนั้น จะเป็นใยอาหารชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ และช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้นอีกด้วย นั่นก็เพราะเมื่อทานเพคตินเข้าไป จะไปทำหน้าที่ในการจับกับโมเลกุลไขมันแล้วกลายเป็นวุ้นเจลเคลือบอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยนอกจากจะทำให้อิ่มนานแล้วก็ช่วยให้ร่างกายได้มีเวลาในการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นนานขึ้นอีกด้วย "เพคติน"เป็นสารที่มักจะพบได้มากที่สุดในผนังเซลล์ของพืช มีลักษณะเป็นสารพอลิแซ็กคาไรด์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ให้คงรูป เพคติน ที่พบในผักผลไม้ทั่วไป จะพบได้ทั้งที่เป็นชนิดละลายน้ำและชนิดไม่ละลายน้ำ โดยขึ้นอยู่กับการสุกของผักผลไม้นั่นเอง จากผลงานวิจัยพบว่า ในผลไม้ที่ยังคงดิบหรือห่ามอยู่ จะมีเพคตินในรูปของ โปรโตเพคติน ชนิดไม่ละลายน้ำ และเมื่อผลไม้สุกเต็มที่ ก็จะพบเพคตินในรูปของเพคตินที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งเพคตินทั้งสองแบบนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างไร ศึกษาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้ เพคติคชนิดที่เป็นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ เพคตินชนิดนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารและช่วยรักษาความสมดุลของการเป็นกรด-ด่างภายในลำไส้ ให้มีความเหมาะต่อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ได้ดี จึงไม่ทำให้แบคทีเรียเหล่าปล่อยสารพิษออกมา และช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ รวมถึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยมและป้องกันการเกิดริดสีดวงทวารได้อีกด้วย ซึ่งใยอาหารชนิดนี้ก็มักจะพบได้มากในผักใบเขียว ผิวของผลไม้บางชนิด เมล็ดพืช ข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น  เพคตินชนิดที่เป็นใยอาหารละลายน้ำได้ สำหรับชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่ในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดเลวในร่างกาย รวมถึงช่วยลดการอุดตันในเส้นเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และเนื่องจากเพคตินชนิดนี้จะละลายน้ำแล้วกลายเป็นเจลเคลือบใน กระเพาะอาหาร จึงทำให้รู้สึกอิ่มนาน หิวน้อยลง ซึ่งก็เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก หรือในผู้ป่วยเบาหวาน เพคตินชนิดนี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ดีเช่นกัน เพราะจะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าใยอาหารทั้งสองชนิดนี้ให้ประโยชน์ที่ต่างกัน แต่ร่างกายของคนเราก็มีความต้องการใยอาหารทั้งสองอย่างเพียงพอ ดังนั้นจึงควรกินแอปเปิ้ลควบคู่กับผักใบเขียวเป็นประจำ แล้วจะได้รับใยอาหารที่ครบถ้วนอย่างแน่นอน อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างเอกสารอ้างอิง รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้--แง่โภชนาการ--ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. 

ไขมัน LDL คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตรายต่อร่างกาย

0
Low Density Lipoprotein ไขมัน LDL หรือที่เรียกกันว่า "ไขมันเลว" เป็นชนิดของคอเลสเตอรอลที่มีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด เมื่อมี LDL ในเลือดมากเกินไป มันจะสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น การเข้าใจถึงผลกระทบของไขมัน LDL และการควบคุมระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจเพื่อการมีสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคร้าย >> ไขมันทรานส์ ไขมันชนิดเลว และ ไขมันชนิดดี คืออะไรและพยได้ที่ไหน มาดูกันค่ะ >> ไขมันดี HDL คืออะไรจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ อยากรู้มาดูกัน การตรวจวัดค่าระดับ LDL ในแต่ละช่วงอายุ การตรวจเลือดสามารถวัดระดับคอเลสเตอรอลของคุณรวมถึง LDL คุณควรได้รับการทดสอบนี้เมื่อใดและบ่อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับอายุ ปัจจัยเสี่ยง และประวัติครอบครัวของคุณ คำแนะนำทั่วไป คือ ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ครั้งแรก ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ทุกๆ 5 ปี ผู้ชายอายุ 45 ถึง 65 ปี และผู้หญิงอายุ 55 ถึง 65 ปี ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ทุก 1 ถึง 2 ปี การตรวจวัดค่า LDL-c โดยปกติวิธีที่สามารถตรวจหาค่า LDL-c ได้นั้น มี 2 วิธีดังนี้ 1. การตรวจโดยตรง Direct LDL-c การตรวจโดยวิธี Direct LDL-c คือ การตรวจเพื่อหาค่า LDL โดยตรง ซึ่งสามารถตรวจได้โดยการเจาะเลือดไปตรวจโดยแพทย์ วิธีนี้จะให้ผลที่แม่นยำ 2. การคำนวณด้วยค่าของคอเลสเตอรอลตัวอื่นๆ LDL ( calc )การตรวจวิธีที่การคำนวณด้วยค่าของคอเลสเตอรอลตัวอื่นๆ คือ การนำผลตรวจของ Total cholesterol ( TC ), High Density Lipoprotein ( HDL ) และ Triglyceride ( TG ) มาเข้าสูตรเพื่อหาค่า LDL การตรวจ LDL ส่วนมากจะใช้วิธีคำนวณโดยอาศัยสูตรวิธีนี้ เนื่องจากสะดวกประหยัด และรวดเร็วซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้ LDL = TC – HDL – 20% TG คณะผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เลือด นำโดย ดร.เต วาย วัง ( The Y. Wang, Ph.D. ) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ LDL ทั้ง 2 วิธีว่า ค่าที่ตรวจได้จะมีเท่าหรือแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข คือ ค่าของ Triglyceride จะต้องไม่สูงเกินกว่า 400 mg / dL...

High Density Lipoprotein ( HDL ) คืออะไร

0
High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ ในร่างกายมนุษย์เราประกอบไปด้วยไขมันมากมายหลายชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีเป็นบวกต่อร่างกาย และชนิดที่ไม่ดีเป็นลบต่อร่างกาย ปะปนกันไป ซึ่งคอเลสเตอรอลชนิดดีที่อยู่ในร่างกายมนุษย์เรา จะถูกเรียกว่า High Density Lipoprotein หรือเรียกสั้นๆว่า HDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันชนิดดี ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตับ ช่วยทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด คอเลสเตอรอลไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระแสเลือดได้เอง แต่ต้องใช้ตัวชักนำอย่างไลโปโปรตีน ในการพาเข้าไป ซึ่งไลโปโปรตีนก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด โดยจะแบ่งได้ตามความหนาแน่นของ อัตราส่วนไขมันต่อโปรตีน  เมื่อ คอเลสเตอรอลมาจับคู่กับ ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี จะทำให้เกิดเป็นไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกายที่เรียกว่า  High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) นั่นเอง>> ไขมันทรานส์ ไขมันชนิดเลว และ ไขมันชนิดดี คืออะไรและพบได้ที่ไหนบ้าง มาดูกัน >> คอเลสเตอรอลคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ อยากรู้มาดูกัน ประโยชน์ของ HDL High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี  หรือ High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) คือ ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง เนื่องจากจะคอยป้องกันไม่ให้ไขมันชนิดที่ไม่ดี อย่าง คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL ไปพอกสะสมในหลอดเลือดแดง โดย HDL จะนำไขมันชนิดที่ไม่ดีส่งคืนสู่ตับเพื่อนำไปทำลายทิ้งออกจากร่างกายต่อไป ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆได้เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น และยังเป็นการช่วยลดคอเลสเตอรอล ( Total Cholesterol ) ในร่างกายให้ต่ำลงอีกด้วย hdl คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี  High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) คือ ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง วิธีการเพิ่มระดับ HLD ให้มีค่าสูง ตามที่ได้ทราบกันแล้วว่า  HDL มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก ยิ่งมี HDL ในร่างกายมากเท่าไหร่ยิ่งดีต่อสุขภาพเท่านั้น ซึ่งได้มีข้อมูลทางวิชาการจาก นายแพทย์ ดร.ปีเตอร์ พี ทอธ แห่งโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐเอมริกา ที่แนะนำการเพิ่ม HDL ให้ร่างกายได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อย่าปล่อยให้ตนเองอ้วนหรือผอมเกินไป ( ตรวจสอบจากค่า BMI ) 2. งดการสูบบุหรี่อย่างถาวร 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4. ควบคุมปริมาณการกินอาหารประเภทแป้งทั้งหลายเช่น น้ำตาล ข้าว ขนมต่างๆ เป็นต้น ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป 5. เน้นการบริโภคเนื้อปลาให้มากขึ้น 6. ปรับเปลี่ยนเมนูอาหารในแต่ละวัน โดยให้ความสำคัญกับอาหารประเภท ผักสด ผลไม้ และข้าวไม่ขัดสี ( ข้าวกล้อง , ขนมปังโฮลวีต ) น้ำมันมะกอก...

ประโยชน์ดี ๆ จากอาร์ติโชค ( Artichoke )

0
อาร์ติโชค เมื่อกล่าวถึง อาร์ติโชค ( Artichoke ) คนไทยหลายคนคงไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินชื่อพืชชนิดนี้มาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพืชชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยเท่าใดนัก แต่ว่าอาร์ติโชคนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศแถบยุโรปที่มีอากาศหนาวหรือหนาวจัดตลอดทั้งปี อย่างประเทศดาลัต ซาปา เป็นต้น  สำหรับประเทศแถบอาเซียนแล้ว มีประเทศเวียดนามที่มีการเพาะปลูกอาร์ติโชคกันมาก เรียกว่าเดินตลาดผักที่ปรเทศเวียดนามแล้วคุณต้องได้เห็นวางขายอยู่ทั่วไปและในราคาพอกับผักพื้ชบ้านชนิดอื่น >> ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมได้อย่างไร มาดูกันในบทความนี้ค่ะ >> มนุษย์สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นมาเองได้หรือไม่ อยากรู้มาดูกันค่ะ ต้นกำเนิด อาร์ติโชค อาร์ติโชค มีชื่อสามัญว่า Globe Artichoke เป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Asteraceae มีต้นกำเนิดอยู่แถบประเทศอียิปต์ กรีก โรมัน เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ในปัจจุบับนี้มีการแพร่ขยายพันธุ์มาเขตหนาวเย็น ซึ่งมีความนิยมปลูกกันมาในแอฟริกาตอนเหนือ เมติเตอร์เรเนียน อเมริกาเหนือและประเทศออสเตเรเลีย ส่วนในประเทศไทยนั้นได้มีกานำเข้ามาปลูกอยู่บนทางตอนเหนือของประเทศ โดยมีการปลูกอาร์ติโชคในโครงการหลวงเป็นแห่งแรกเมี่อปี พ.ศ.2558 ลำต้นเป็นพุ่มเล็กๆ สีเขียว มีใบสีเขียวอ่อน ดอกมีกลีบสีเขียวซ้อนกันเป็นชั้น มีลักษณะคล้ายดอกบัว แต่ที่จริงแล้วส่วนที่เราเห็นว่าเป็นกลีบดอกนั้นเป็นเป็นใบเลี้ยงของดอก ส่วนที่เป็นดอกและเกสรดอกจะอยู่ตรงกลางสุดของดอก และส่วนนี้เมื่อแกะเอาเกสรออกจนกหมดจะเหลือส่วนที่เป็นสีขาวที่สามารถรับประทานได้และจัดว่าเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดของอาร์ติโชคก็ว่าได้ ประโยชน์ของ อาร์ติโชค อาร์ติโชค  คือพืชที่สามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานและนำมาทำยารักษาโรคได้ ส่วนที่นำมารับประทานได้คือส่วนโคนกลีบและใจกลางดอกซึ่งมีรสชาติหวานมันคล้ายกับถั่ว และมีรสชาติเข้มข้นกว่าส่วนโคนกลีบอยู่มาก การรับประทานกลีบอาร์ติโชคให้ใช้การรูดเอาเนื้อส่วนโคนกลีบออมากินโดยที่ไม่ต้องกินเส้นใยเข้าไปด้วย จะต้มกินเล่นหรือจิ้มกับน้ำพริกได้ทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง หรือจะเอาอาร์ติโชคมาต้มกับเนื้อสัตว์ทำเป็นต้มจืดก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง การที่ อาร์ติโชค  มีการรับประทานกันมาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนก็เพราะว่าเป็นผักที่อุดมได้ด้วยสารอาหารทางโภชนาการ นั่นคือ มีวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก วิตามินซีนี้จะเข้าไปช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย โฟเลตและวิตามินบี 6 ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันที่เกี่ยวกับหัวใจ โดยที่ทั้งโฟเลตและวิตามินบี 6 นั้นจะเข้าไปทำลายโฮโมชีสทีนที่มีอยู่ในกระแสเลือดออกไป โฮโมชีสทีนนี้เป็นตัวทำลายผนังหลอดเลือดแดงออกเมื่อไม่มีก็จะทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ โพแทสเซียม ( Potassium ) ในอาร์ติโชคช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ป้องกันเส้นเลือดอุดตันที่มีสาเหตุมาจากไขมันที่สะสมอยู่ตามผนังเส้นเลือด ช่วยลดน้ำตาลในเลือดโดยเปลี่ยนน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นไกลโคเจนที่เป็นแหล่งพลังงานในกล้ามเนื้อ ลดไขมันและคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในกระแสเลือด และยังช่วยบำรุงตับทำให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น กระตุ้นการผลิตน้ำดีของตับ ทำให้มีการหลั่งน้ำดีเข้ามาช่วยในการย่อยอาหารในส่วนของลำไส้ ลำไส้จึงสามารถย่อยไขมันได้ทั้งหมด ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องที่มีสาเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และยังป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง ตับอักเสบ ดีซ่าน และถุงน้ำดีอักเสบ ช่วยให้ระบบการขับปัสสาวะเป็นปกติ  ซิไลมาริน ( Silymarin ) เป็นฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในอาร์ติโชคมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของไขมันดีให้เปลี่ยนเป็นไขมันเลวที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ หรือไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ วิตามินซี ( Vitamin C ) ในอาร์ติโชคมีวิตามินซีช่วนในการเสริมสร้างผิว การมองเห็น รักษาแผลและช่วยเรื่องการดูดซึมธาตุเหล็ก วิตามินเค ( Vitamin K ) วิตามินเคในอาร์ติโชคจะช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือดนอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างกระดูก จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า อาร์ติโชค เป็นพืชที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เหมาะที่จะนำมารับปรุงอาหารรับประทาน แต่ด้วยความที่เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้มีดีในพืชที่ที่มีอากาศหนาวถึงหนาวจัดจึงทำให้ประเทศไทยเพาะปลูกยาก เมื่อปลูกมีการเจริญเติบโตไม่ดี แต่เชื่อว่าในอนาคตมีการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว การปลูกในพื้นที่ทั่วประเทศก็คงไม่ยาก และคงเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์กับคนไทยแน่นอน อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างเอกสารอ้างอิง Rottenberg, A., and D. Zohary, 1996: "The wild ancestry of the cultivated artichoke." Genet. Res. Crop Evol. 43, 53–58. Ceccarelli N., Curadi M., Picciarelli P., Martelloni L., Sbrana C., Giovannetti M. "Globe artichoke as a functional food" Mediterranean Journal...

มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร

0
น้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด หรือ ภาชนะต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน น้ำมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งเข้านอนในตอนกลางคืน น้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริการคือ น้ำประปา สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว น้ำประปามีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ในการผลิตน้ำประปาจะดูแลและควบคุมโดยหน่วยงานของ  รัฐบาล และมีหน่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของน้ำประปาที่ผลิตออกมาว่าได้ผ่านมาตรฐานหรือไม่ และนำผลการตรวจสอบมารายงาน ถ้าประชาชนต้องการตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดของน้ำประปาที่ผลิตออกมาว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ water.epa.gov ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของน้ำประปานั้นจะต้องทำการตรวจสอบพร้อมทั้งรายงานผลทุกวัน >> น้ำมันที่ได้จากพืชมีอะไรบ้าง และมีประโยชน์อย่างไร >> น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ? หน่วยผลิต น้ำประปา หนึ่งแห่งจะมีหน้าที่ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในชุมชนที่มีประมาณหนึ่งแสนครัวเรือน มาตรฐานการผลิตน้ำประปาของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีมาตรฐานที่สูงมาก เพราะว่าน้ำประปาที่ผลิตออกมาเพื่อประชาชนนั้นได้มีการออกกฏหมายกำหนดมาอย่างชัดเจนว่า น้ำประปาต้องทำให้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงจะสามารถปล่อยออกมาสู่ประชาชนได้ ดังนั้นน้ำประปาที่ออกมาประชาชนจึงสามารถดื่มได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปผ่านกระบวนการใดเพิ่มเติมอีก เพราะว่าน้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นถือว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว สำหรับ น้ำดื่มบรรจุขวด ที่มีจำหน่ายอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นผลิตโดยบริษัทเอกชน ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมและการตรวจสอบของหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเหมือน น้ำประปา แต่ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหน่วยงานที่ควบคุมอยู่ เพราะน้ำบรรจุขวดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์การอาหารและยาหรือ FDA ซึ่งองค์กรอาหารและยานี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบน้ำดื่มบรรจุขวดโดยตรง แต่บริษัทนั้นสามารถส่งตรวจสอบคุณภาพสถาบันวิจัยเอกชนได้ ส่วนทางองค์การอาหารและยานั้นจะเข้าไปตรวจสอบเฉพาะในขั้นตอนการบรรจุน้ำดื่มลงขวด เพื่อป้องกันสารปนเบื้อนที่จะเข้ามาในขั้นตอนขณะบรรจุเท่านั้น ด้วยมาตรฐานการผลิตน้ำประปาของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านสุขภาพและอนามัย น้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นมีความบริสุทธิ์สะอาดเทียบเท่ากับน้ำดื่มบรรจุขวดอยู่แล้ว มาตรฐาน น้ำดื่มบรรจุขวด เน้นคุณภาพเป็นหลักเกณฑ์เพื่อบ่งชี้ถึงความสะอาด และความปลอดภัยของน้ำดื่ม นอกจากนั้นจากโฆษณาของบริษัทน้ำดื่มที่กล่าวว่าน้ำที่นำมาทำการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นนำมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งบางคนมีความสงสัยว่าแหล่งน้ำที่ว่าอาจจะเป็นแหล่ง น้ำประปา ก็เป็นได้ แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ออกมา หลายคนจึงมองว่าการบริโภคน้ำจากน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำประปาในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก  ทว่าการบริโภคน้ำดื่มบรรจุนั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน การที่ น้ำดื่มบรรจุขวด เป็นที่ต้องการของประชาชนนั้น เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าคนในปัจจุบันนี้ใส่ใจเรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้น เพราะว่ามีการลดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลและน้ำอัดลมลง และหันมาดื่มน้ำบรรจุขวดทดแทน มีการทำสถิติไว้ว่าขวดน้ำดื่มที่คนสหรัฐอเมริกาบริโภคในหนึ่งวัน เมื่อเอามาเรียงต่อกันจะได้ความยาวเท่ากับเส้นรอบโลกเลยที่ดี คิดดูสิว่าทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติกที่จะนำมาบรรจุน้ำดื่มนั้นต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมเป็นจำนวนเท่าใด ถึงแม้ว่าการบริโภคน้ำดื่มที่ไม่ได้ปรุงแต่งจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่ว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนภาชนะที่ใช้บรรจุแทนที่จะเป็นขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้งแบบเดิม หันมาใช้ขวดพลาสติกที่ไม่มี BPA เป็นส่วนผสมก็จะช่วยลดมลภาวะของโลกให้น้อยลง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด คือการใช้ภาชนะบรรจุน้ำแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทั้งแบบที่เป็นขวดสแตนเลสหรือขวดแก้วก็จะยิ่งดี เพื่อช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ลดลงด้วย เราจะได้อยู่มีธรรมชาติที่สวยงามต่อไปให้ลูกหลาน เชื่อกันว่าในอนาคตแล้วน้ำประปาในทุกประเทศควรที่จะบริโภคได้ไม่ต่างกับ น้ำดื่มบรรจุขวด ตามแบบประเทศสหรัฐอเมริกา และยังการพัฒนาน้ำประปาเพื่อประชาชนให้มีสุขภาพดีแล้ว มีแนวคิดที่จะเพิ่มสารฟลูออไรด์ในน้ำประปาเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับฟันของประชาชน ให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลฟันอีกด้วย อย่างที่เห็นจึงกล่าวได้ว่า น้ำประปา ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสามารถดื่มได้ไม่ต่างจากน้ำดื่มบรรจุขวด อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Van der Leun, Justine (September 2009). "A Closer Look at New Research on Water Safety". AOL Health. Retrieved September 2009. Washington's Gregoire plans 400 million more in budget cuts, Bloomberg Businessweek, December 16, 2010

การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์: ใครควรตรวจ และมีประโยชน์อย่างไร?

0
การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์คืออะไร? การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ เป็นการตรวจวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมเพื่อค้นหาความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงของยีนที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ความสำคัญของการตรวจยีนต่อสุขภาพ การตรวจยีนมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและป้องกันโรคทางพันธุกรรม รวมถึงช่วยในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การตรวจยีนช่วยป้องกันโรคทางพันธุกรรมได้อย่างไร? การตรวจยีนช่วยระบุความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรม ทำให้สามารถวางแผนป้องกันหรือเริ่มการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้ การกลายพันธุ์ของยีนมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร? การกลายพันธุ์ของยีนอาจส่งผลให้เกิดโรคหรือความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น มะเร็งบางชนิด หรือโรคทางระบบประสาท ความแตกต่างระหว่างการกลายพันธุ์ของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเอง การกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ส่วนการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือความผิดพลาดในการแบ่งเซลล์ ใครควรตรวจยีน? การตรวจยีนอาจเหมาะสมสำหรับบุคคลบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคทางพันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมควรตรวจยีนหรือไม่? ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมควรพิจารณาตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงของตนเอง หญิงตั้งครรภ์และคู่สมรสควรตรวจยีนเพื่อป้องกันโรคทางพันธุกรรมของบุตรหรือไม่? การตรวจยีนในหญิงตั้งครรภ์และคู่สมรสอาจช่วยประเมินความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมในทารก ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งจากกรรมพันธุ์ควรตรวจยีนเมื่อใด? ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการตรวจยีนที่เหมาะสม ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่หาสาเหตุไม่ได้สามารถได้รับประโยชน์จากการตรวจยีนหรือไม่? การตรวจยีนอาจช่วยระบุสาเหตุของปัญหาสุขภาพที่ไม่ทราบสาเหตุได้ในบางกรณี ประเภทของการตรวจยีนมีอะไรบ้าง? การตรวจยีนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่แตกต่างกัน การตรวจยีนเพื่อหาความเสี่ยงของโรคมะเร็งทางพันธุกรรม (เช่น BRCA1 และ BRCA2) การตรวจยีน BRCA1 และ BRCA2 ช่วยประเมินความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ การตรวจยีนสำหรับโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมียและฮีโมฟีเลีย การตรวจยีนสำหรับโรคทางพันธุกรรมช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา การตรวจยีนเพื่อประเมินการตอบสนองต่อยา (Pharmacogenomics) Pharmacogenomics ช่วยแพทย์เลือกยาและขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย การตรวจยีนสำหรับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน การตรวจยีนอาจช่วยประเมินความเสี่ยงของโรคทางระบบประสาทบางชนิด การตรวจยีนมีประโยชน์อย่างไร? การตรวจยีนมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่การป้องกันโรคและการวางแผนการรักษา การตรวจยีนสามารถช่วยป้องกันโรคทางพันธุกรรมได้หรือไม่? การตรวจยีนช่วยในการประเมินความเสี่ยง ทำให้สามารถวางแผนป้องกันหรือเฝ้าระวังโรคได้ การตรวจยีนช่วยให้สามารถวางแผนสุขภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างไร? ผลการตรวจยีนช่วยในการวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล การตรวจยีนสามารถช่วยแพทย์เลือกการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างไร? ข้อมูลทางพันธุกรรมช่วยแพทย์เลือกวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลข้างเคียง ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการตรวจยีน การตรวจยีนมีข้อจำกัดและประเด็นทางจริยธรรมที่ควรพิจารณา การตรวจยีนสามารถให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนหรือเป็นเพียงการประเมินความเสี่ยง? การตรวจยีนส่วนใหญ่เป็นการประเมินความเสี่ยง ไม่ใช่การทำนายอนาคตที่แน่นอน การตรวจยีนมีผลกระทบต่อจิตใจและการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพอย่างไร? ผลการตรวจยีนอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ จึงควรมีการให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ ปัจจัยทางกฎหมายและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการตรวจยีนมีอะไรบ้าง? ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเลือกปฏิบัติเป็นข้อกังวลสำคัญในการตรวจยีน ขั้นตอนการตรวจยีนและการเตรียมตัวก่อนตรวจ การเตรียมตัวที่ดีช่วยให้การตรวจยีนมีประสิทธิภาพและได้ผลที่แม่นยำ การตรวจยีนทำได้อย่างไร? การตรวจยีนทำได้โดยการเก็บตัวอย่างเลือดหรือเนื้อเยื่อ แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ควรเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจยีนอย่างไร? ควรปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ก่อนการตรวจ และเตรียมข้อมูลประวัติครอบครัว ระยะเวลาที่ใช้ในการรับผลตรวจยีนเป็นเท่าใด? ระยะเวลาในการรับผลตรวจยีนอาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับการตรวจยีน? ควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม อาการหรือประวัติครอบครัวที่บ่งชี้ว่าควรเข้ารับการตรวจยีน ประวัติครอบครัวที่มีโรคทางพันธุกรรมหรือมะเร็งที่เกิดในอายุน้อยอาจเป็นข้อบ่งชี้ให้ตรวจยีน คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับผลตรวจยีนผิดปกติ ผู้ที่ได้รับผลตรวจยีนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการติดตามและป้องกันโรคอย่างเหมาะสม การตรวจยีนเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและป้องกันโรคทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจตรวจยีนควรผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้น ผู้ที่กำลังพิจารณาการตรวจยีนควรตระหนักว่า ผลการตรวจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมสุขภาพ และไม่ได้กำหนดอนาคตอย่างแน่นอน การดูแลสุขภาพโดยรวม การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือผลการตรวจยีน ควรปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาด้านพันธุศาสตร์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจยีนและการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมควรเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ ความเสี่ยง และผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้น ในท้ายที่สุด การตรวจยีนเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการดูแลสุขภาพ การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและรักษาสุขภาพในระยะยาว ร่วมตอบคำถามกับเรา อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Miller BF, Furano AV (April 2014). "Repair of naturally occurring mismatches can induce mutations in flanking DNA". eLife.  Rodgers K, McVey M (January 2016). "Error-Prone Repair of DNA Double-Strand Breaks". Journal of Cellular Physiology. 231 Sharma S, Javadekar SM, Pandey M, Srivastava M, Kumari R, Raghavan SC (March 2015). "Homology and enzymatic requirements of microhomology-dependent alternative end joining". Cell Death & Disease.

ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช

0
น้ำมันไขจากพืช น้ำมันพืช ที่ใช้สำหรับการปรุงอาหาร ถือว่าเป็นวัตถุดิบหลักอย่างหนึ่งที่ทุกบ้านและทุกครัวต้องมีติดเอาไว้ใช้ในการประกอบอาหารเมนูต่างๆ  ซึ่งน้ำมันไขจากพืชและสัตว์ น้ำมันไขจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู จะเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างน้ำมันที่มาจากพืชต่างๆที่มีมากมายหลายชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว เป็นต้น โดยน้ำมันที่ได้จากพืชแต่ละ ประเภทนั้นก็มีวัตถุประสงค์ในการใช้แตกต่างกันออกไป และยังรวมถึงความแตกต่างทางด้านประโยชน์ที่จะได้รับจากน้ำมันชนิดต่างๆอีกด้วย ซึ่งประเภทของน้ำมันที่ได้จากพืชที่นิยมนำมาใช้บริโภคมีดังต่อไปนี้ >> น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ? >> ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช น้ำมันจากพืชมีอะไรบ้าง 1. น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดของผลมะกอก เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในการนำมาปรุงอาหารเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ  มีด้วยกันหลากหลายชนิด โดยส่วนมากน้ำมันมะกอกที่นำมาใช้จะไม่ได้ทำให้บริสุทธิ์เสียก่อน โดยน้ำมันมะกอกชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุดจะมีกรดโอลีอิกอิสระสูงสุด 1 กรัมต่อน้ำมัน 100 กรัม ส่วนชนิดที่มีเกรดรองลงมาก็จะมีกรดโอลีอิกอิสระเพิ่มมากขึ้นไปตามลำดับในน้ำมันมะกอกจะประกอบไปด้วย ไขมันอิ่มตัว 8-26% กรดโอลีอิก 55-83% และกรดไลโนลีอิก 3.5-21% และยังประกอบไปด้วย สเควลีนในปริมาณที่สูง มีบีต้าแคโรทีน และมีคอเลสเตอรอลในปริมาณต่ำน้ำมันมะกอกสามารถใช้ทอดอาหารต่างๆ ได้จำนวนครั้งมากว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ  เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นที่เป็นน้ำมันทอด มีความอยู่ตัวสูงทั้งในอุณหภูมิห้องและอุณหภูมิขณะทอด แต่การนำมาใช้ซ้ำนั้นควรใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารชนิดที่มีความร้อนสูงไม่มาก เพราะการใช้กับอุณหภูมิที่สูงมากๆ จะต้องคำนึงถึง ปฏิกิริยาการเกิดออกซิเดชัน เนื่องจากน้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไลโนลีอิก 9.2% และคำนึงถึงสภาวะการเกิดไขมันทรานส์อีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก : ข้อมูลจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา พบว่า ในน้ำมันมะกอกมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจได้จึงได้มีข้อแนะนำว่าให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกแทนการใช้น้ำมันชนิดที่มีกรดไขมันอิ่มตัวในการปรุงอาหารต่างๆ กรดโอลีอิกที่อยู่ในน้ำมันมะกอก สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอลได้  จึงช่วยทำให้ลดภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและลดความดันโลหิตได้ 2. น้ำมันงา เป็นน้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันงา คือ น้ำมันที่ได้จากการนำเมล็ดของงามาผ่านกรรมวิธีแปรรูป โดยจะใช้วิธี บีบ อัด ให้ความร้อนเพื่อให้ได้น้ำมันงา โดยส่วนมากจะเป็นชนิดงาดำ แล้วจึงนำมาแยกตะกอนออกอีกครั้ง น้ำมันงาประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว 80% โดยเป็นกรดโอลีอิกและกรดไลโนลีอิก ประมาณ 40% เป็นกรดไขมันอิ่มตัว 20%  นิยมใช้เป็นสารแต่งกลิ่นในอาหาร แต่ในการประกอบอาหารไม่ควรใช้ในอุณหภูมิที่สูงมากเกินไป เพราะจะได้คงสภาพกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ ไม่ให้สูญเสียไปกับความร้อน ประโยชน์ของน้ำมันงา : ทั้งงาและน้ำมันงาล้วนมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายมากมาย ช่วยชะลอความแก่และป้องการโรคต่างๆได้หลายชนิด  ในน้ำมันงาจะมีสารประกอบในกลุ่มของลิกแนน เช่น เซซามีน สเตอรอล เซซาโมลิน และโทโคฟีรอล  ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้เป็นสารที่จะไปช่วยในการต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันหรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และในน้ำมันงายังมี เซซาโมลินที่จะไปยับยั้งการดูดกลืนและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลอีกด้วยน้ำมันงามีความอยู่ตัวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชัน มากกว่าน้ำมันพืชอื่นในชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีสารยับยั้งในปริมาณสูงและออกฤทธิ์ได้ดี แต่สารเหล่านี้อาจจะมีปริมาณลดลงถ้ามีการทำน้ำมันงาให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้นหากใช้น้ำมันงาผสมกับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ที่มีส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง  เช่น น้ำมันรำข้าวและน้ำมันถั่วเหลือง จะช่วยให้อาหารที่ทอดด้วยน้ำมันชนิดนี้ จะช่วยเพิ่มความอยู่ตัวของน้ำมันและอาหารทอดได้ นอกจากนี้ยังนิยมนำน้ำมันงามาผสมกับน้ำมันรำข้าวเพื่อใช้เป็นสารกันหืนสำหรับอาหารที่ใช้นำมันทอด โดยน้ำมันชนิดนี้จะมีฤทธิ์เป็นสารป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในอาหาร   3. น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่ได้สกัดได้มาจากเมล็ดของดอกทานตะวัน โดยนำเมล็ดของดอกทานตะวันมาบีบอัดให้เหลือแต่น้ำมัน มีส่วนประกอบของ กรดไลโนลีอิก 65-75%  กรดโอลีอิก 13-21% และยังมี โทโคฟีรอล ที่พบได้มากโดยเฉพาะชนิดแอลฟา นอกจากนี้ในน้ำมันทานตะวันยังมีสาร ไฟโตสเตอรอลซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารกันหืน ทำให้น้ำมันไขมีความอยู่ตัวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชันน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดี นิยมนำไปใช้เป็นน้ำมันในเมนูสลัด แต่ก็มีข้อจำกัดคือไม่สามารถใช้ประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงได้ โดยเฉพาะเมนูทอด เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย และยังไปลดปริมาณของระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันชนิดไม่ดี) และเอชดีแอล (ไขมันชนิดดี) ลงอีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน : เนื้อในเมล็ดทานตะวันมีสารอาหารที่ช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคอื่น รวมทั้งมีสารชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชันและมีสารอาหารอื่นๆที่เป็นประโยชน์มากมายต่อร่างกาย หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม 4. น้ำมันรำข้าว น้ำมันรำข้าว เป็น น้ำมันพืช ที่ได้มาจากการสกัดรำข้าวดิบ มีส่วนประกอบของเอนไซด์มากมายหลายชนิดซึ่งสามารถทำให้เกิดกรดไขมันอิสระได้ 5-7% ต่อวันดังนั้นหากจะสกัดน้ำมันจากรำข้าวต้องทำทันทีหลังจากขัดสีข้าว และรำข้าวต้องมีกรดไขมันไม่เกิน 5 %ในน้ำมันรำข้าวก่อนทำให้บริสุทธิ์ จะมีส่วนประกอบของกลีเซอไรด์ 85-88% นอกจากนั้นจะเป็นสารประกอบ สเตอรอล โทโคฟีรอล ไฮโดรคาร์บอนและอื่นๆ ประมาณ 4 %ในส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่...

แคลเซียมแร่ธาตุจำเป็นสำหรับกระดูกและฟัน ( Calcium )

0
แคลเซียม คือ อะไร ? แคลเซียม ( Calcium ) หรือ แคลเซียมคาบอเนต เป็นแร่ธาตุที่จําเป็นต่อร่างกายชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้มากในร่างกาย ตรวจพบแคลเซียมอยู่มากกว่า 1,200 กรัมซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ในกระดูกและฟันในรูปของแคลเซียมฟอสเฟต ( Calcium  Phosphates ) มากที่สุด ทั้งนี้ยังพบแคลเซียมได้ในเลือดจับตัวอยู่กับโปรตีนส่วนแคลเซียมที่เหลือก็จะอยู่ในรูปของ เนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกายนั่นเอง  นอกจากนี้ แคลเซียม ครึ่งหนึ่งก็จะจับเข้ากับโปรตีนในเลือด และอีกครึ่งหนึ่งก็จะลอยอยู่ในน้ำเลือดไม่จับกับอะไรทั้งสิ้น และถูกควบคุมโดยพาราธัยรอยด์ฮอร์โมน ส่วนการทำงานของแคลเซียม มักจะทำงานได้ดีเมื่อทำงานไปพร้อมกับ วิตามินเอ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินดีและวิตามินซี สำหรับอัตราในการดูดซึมของแคลเซียม ในวัยเด็กจะมีการดูดซึมเพื่อนำไปใช้ในการสร้างกระดูกมากกว่าที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเด็กนั่นเอง แต่ในวัยผู้ใหญ่ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีการดูดซึมแคลเซียมจากกระดูกออกมาใช้ประโยชน์มากขึ้น จึงเป็นผลให้กระดูกเปราะบางและเกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกแตกหักง่ายในที่สุด โดยจะพบว่าผู้หญิงเสี่ยงกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า >> วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคข้อและกระดูก ทำได้อย่างไรมาดูกันค่ะ >> การตรวจเลือดหาสัญญาณโรคกระดูก ทำได้อย่างไรมาดูกันค่ะ    วัยสูงอายุควรเน้นการทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงหมั่นออกกำลังกายและเลี่ยงสาเหตุที่เป็นตัวการทำลายกระดูกก็จะช่วยลดปัญหาโรคกระดูกและฟันได้ หน้าที่ของแคลเซียม แคลเซียม มีความสําคัญในการสร้างกระดูกและฟัน เพื่อให้กระดูกและฟันมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยพบว่าในเถ้ากระดูกจะมีแคลเซียมอยู่ร้อยละ 50 ซึ่งพบว่าจะอยู่ในรูปของแคลเซียมไตรฟอสเฟต ( Calcium Triphosphates ) ร้อยละ 85 แคลเซียมคาร์บอเนต ( Calcium Carbonate ) ร้อยละ 12 และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Calcium Hydroxide) ร้อยละ 3 นอกจากนี้สารประกอบของแคลเซียมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตอนปลายของกระดูกเรียกว่า ทราเบคูลาร์ ( Trabecular ) นั้น หากร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอ ทราเบคูลาร์จะเกิดการพัฒนาและทำให้ส่วนปลายของกระดูกมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ระดับของแคลเซียมในเลือดเกิดความสมดุลอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย นอกจากนี้คนเราจะมีความหนาแน่นของกระดูกมากที่สุดโดยผู้หญิงจะอยู่ช่วงอายุ 25 – 30 ปี และผู้ชายจะอยู่ช่วงอายุ 30 – 35 ปี และหลังจากช่วงอายุดังกล่าว เนื้อกระดูก และฟันซึ่งมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไปนั่นก็เพราะในช่วงวัยดังกล่าวจะมีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากกว่าการดึงเอาแคลเซียมเข้าไป ความหนาแน่นของกระดูกและฟันจึงเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะแคลเซียมจำเป็นต่อกระดูกและฟันเมื่อฟันขาดแคลเซียมจะทำให้ฟันโยกหลุดได้ง่ายเมื่อกระดูกขาดแคลเซียมจะทำให้เป็นโรคกระดูกได้ง่าย โดยในวัยสูงอายุจะเห็นได้จากการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเปราะบางหักง่ายนั่นเอง ดังนั้นวัยสูงอายุจึงควรเน้นการทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ และเลี่ยงสาเหตุที่เป็นตัวการทำลายกระดูกก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้ดี 1. แคลเซียมมีความจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท โดยพบว่ากล้ามเนื้อจะมีความไวต่อการกระตุ้นเพื่อมีแคลเซียมต่ำ และหากมีแคลเซียมมากเกินไป ก็อาจจะไปกดการทำงานของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย เช่นทำให้หัวใจหยุดเต้นในท่าบีบตัว และการทำงานของประสาทเกิดการเฉื่อยชาลง เป็นต้น ดังนั้นการได้รับแคลเซียมอย่างพอเหมาะจึงมีความสำคัญมากต่อการเต้นของหัวใจ และทำให้หัวใจแข็งแรงยิ่งขึ้นและเป็นตัวเร่งและช่วยในการยับยั้งการทำงานของน้ำย่อยหลากหลายชนิด  2. แคลเซียมเป็นตัวเร่งการแข็งตัวของลิ่มเลือด ในภาวะที่มีเลือดออก เลือดจึงแข็งตัวเร็วขึ้น จึงช่วยยับยั้งไม่ให้เลือดไหลออกมามากเกินไปได้ดี โดยมีกระบวนการตามภาพดังนี้                   Platelets                                            ↓                 Ca++    Prothrombin            Tromboplastin ...

คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ล ( Apple Benefits )

0
แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล ( Apple ) คือ ผลไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มไม้ผลัดใบในวงศ์ของกุหลาบ โดยมีต้นกำเนิดมาจากแถบเอเชียกลาง ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการรู้จักกันอย่างแพร่หลายและนิยมปลูกทั่วโลกเลยทีเดียว โดยขนาดของต้นแอปเปิ้ลนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะในการนำมาปลูกด้วย กล่าวคือหากนำมาปลูกจากเมล็ดจะมีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ถ้านำมาจากการตัดต่อเนื้อเยื่อเข้ากับราก จะมีขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน แอปเปิ้ลก็มีหลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งพบ มากกว่า 7,500 ชนิดเลยทีเดียว โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรสชาติและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันไปด้วย รวมถึงมีวิธีการนำมาใช้ที่ต่างกันเช่นกัน เช่น นำมาทำเป็นเครื่องดื่ม นำมากินผลสด ประกอบอาหารหรือทำขนมเป็นต้น >> โรคมะเร็ง โรคร้ายที่ใครๆก็เป็นได้ สามารถป้องกันได้อย่างไรมาดูกันค่ะ >> คอเลสเตอรอล คือ อะไร มาดูกันค่ะ คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ลแต่ละสี 1. แอปเปิ้ลสีเขียว ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อผลกรอบ มีน้ำตาลน้อยกว่า ให้พลังงานน้อยที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ล มีปริมาณไฟเบอร์และวิตามินซีมากกว่าสีอื่นเล็กน้อย ช่วยในเรื่องของการป้องกันไข้หวัด และโรคเลือดออกตามไรฟัน 2. แอปเปิ้ลสีเหลือง ให้รสชาติดี หวาน หอม นุ่มละมุน สามารถช่วยในเรื่องล้างสารพิษจากตับ ช่วยบำรุงสายตา และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก 3. แอปเปิ้ลสีชมพู ให้รสชาติหวาน เนื้อไม่กรอบมาก มีวิตามินซีซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการอักเสบ ลดริ้วรอยแห่งวัย ลดอาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำให้ผนังของหลอดเลือดฝอยแข็งแรงมากขึ้น และยังป้องกันโรคมะเร็ง 4. แอปเปิ้ลสีแดงเข้ม ให้รสชาติหวานมาก เปลือกแอปเปิ้ลสีแดงมีสารแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ลดความเครียด ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ สารอาหารที่ได้จากแอปเปิ้ล มีสารฟลาโวนอยด์ ที่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดี และพบได้มากในเปลือก แอปเปิ้ล  มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้ดี และจะให้คุณประโยชน์สูงสุดเมื่อทานทั้งเปลือก ไม่อ้วน เพราะมีพลังงานแค่ 50 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัมเท่านั้น แถมอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่จะทำให้อิ่มเร็วอีกด้วย- ช่วยบำรุงสายตาเนื่องจากมีสารเบต้าแคโรทีนสูง และสามารถบำรุงหัวใจ ลดความดัน ลดระดับคอเลสเตอรอล รวมถึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย มีส่วนช่วยในการฆ่าเชื้อไวรัสบางชนิด แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย เนื้อและเปลือกของแอปเปิ้ลช่วยเพิ่มกากใยในทางเดินอาหาร สายพันธุ์แอปเปิ้ล ที่คนนิยมรับประทานมากที่สุด 1.เรดดีลิเซียส ( Red Delicious )  สายพันธุ์นี้จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแอปเปิ้ลแดง ซึ่งผลของมันจะเป็นทรงคล้ายกับหัวใจและมีสีแดงสด ทั้งยังมีเนื้อกรอบอร่อย รสชาติอาจหวานไม่มากแต่ก็อร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่แอปเปิ้ลชนิดนี้ก็มักจะนำมาใส่ในเมนูสลัดหรือนำมาทานเล่นอีกด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นแอปเปิ้ลที่เหมาะกับการนำมาทานเป็นสลัดและของว่างในช่วงต่างๆ ได้ดีทีเดียว ส่วนแหล่งกำเนิดพบว่า ชุมชนพีรู รัฐไอโอวา และมีต้นกำเนิดไม่ชัดเจน แต่มีระบุว่าพบในสวนของเจสซี่ เฮียทท์ หรือชื่อเดิมคือ ฮอว์กอาย  2.โกลเด้นดีลิเชียส ( Golden Delicious )  แอปเปิ้ล สายพันธุ์นี้จะมีเปลือกเป็นสีเหลืองทอง รสชาติหวานฉ่ำและเนื้อกรอบอร่อย โดยจะหวานกว่าแอปเปิ้ลสายพันธุ์แรกเล็กน้อย โดยจุดเด่นของแอปเปิ้ลชนิดนี้คือ หลังจากหั่นเรียบร้อยแล้ว ผิวแอปเปิ้ลจะยังคงความขาวสวยน่า ทานได้นานกว่าแอปเปิ้ลชนิดอื่นๆ ทั้งยังสามารถนำมาประกอบเมนูต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสลัดและพวกเมนูของว่าง อย่างเช่น ขนมอบ พาย เป็นต้น ส่วนแหล่งกำเนิด พบว่าเคลย์เค้าน์ที้ รัฐเวสต์เจอร์จิเนีย และต้นกำเนิดของแอปเปิ้ลสายพันธุ์นี้ก็ไม่พบแน่ชัดเช่นกัน 3.ฟูจิ ( Fuji )  เป็น แอปเปิ้ล ที่มีผลค่อนข้างกลม มีเปลือกสีแดงอมส้ม รสชาติของมันจะมีความหวานอร่อยและโดดเด่นกว่าทุกสายพันธุ์ แถมยังมีความกรุบกรอบน่าทานอีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว แอปเปิ้ลฟูจิจะนิยมนำมาทานสดๆ หรือเป็นของว่างมากที่สุด รวมถึงนำไปทำเป็นขนม เช่น ซอส ขนมอบและพายเช่นกัน สำหรับแหล่งกำเนิดพบที่ ประเทศญี่ปุ่น และไม่ใช่พันธุ์แท้ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ถูกผสมระหว่างแอปเปิ้ลเรดดีลิเชียส และแรลส์เจเน็ตนั่นเอง 4.กาล่า ( Gala ) เป็น...

กรดอะมิโนจำเป็น สำคัญอย่างไร ? ( Amino Acids )

0
กรดอะมิโน คือ ? ความสำคัญของโปรตีนและกรดอะมิโนอาจกล่าวได้ว่า โปรตีน ก็คือสารประกอบชนิดหนึ่งที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่มาก โดยเกิดขึ้นมาจากการที่กรดอะมิโนมาเชื่อมต่อกันเป็นจำนวนมาก โดยกรดอะมิโน ( Amino Acids ) คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีนนั่นเอง ซึ่งจะอยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีโปรตีนเข้าไป ร่างกายจึงต้องย่อยสลายโปรตีนจนกลายเป็นกรดอะมิโนก่อน จึงจะสามารถนำกรดอะมิโนไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้กรดอะมิโนก็ยังเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือด กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ฮอร์โมนและเอ็นไซม์อีกด้วย รวมถึงในแอนติบอดี ( Antibody ) ที่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง >> โปรตีนมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> ออกซิเจน มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด อยากรู้มาดูกันค่ะ ชนิดของกรดอะมิโน กรดอะมิโนแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. Essential Amino Acids essential amino acid คือ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดอะมิโนจําเป็น หมายถึงกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการแต่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จึงต้องทานเสริมเข้าไปจากอาหารที่มีกรดอะมิโนชนิดนี้ 2. Conditionally Essential Amino Acids เป็นกรดอะมิโนจำเป็นชนิดที่มีเงื่อนไข ก็คือ กรดอะมิโนชนิดนี้ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ตามปกติ แต่ในบางสภาวะ อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงต้องทานอาหารเสริมเข้าไป เช่น ในภาวะที่บาดเจ็บ ไม่สบายหรือเมื่อทำคีโมบำบัด เป็นต้น 3. Non - Essential Amino Acids เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง โดยไม่ต้องทานอาหารเสริมเข้าไป "กรดอะมิโน คือหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีน " ประโยชน์ของกรดอะมิโน สำหรับประโยชน์ของกรดอะมิโน แบ่งได้ตามชนิดของกรดอะมิโน ดังนี้ 1.Essential Amino Acids กรดอะมิโนจำเป็นชนิดนี้จะมีทั้งหมด 8 ชนิด โดยมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ ไอโซลิวซีน ( Isoleucine ) ช่วยให้ร่างกายมีการสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรตเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทได้ดี ลิวซีน ( Leucine ) ช่วยกระตุ้นให้สมอง กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาท สามารถทำงานได้ดีขึ้น ไลซีน ( Lysine ) ช่วยสร้างสารแอนติบอดี้ พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง และกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมให้ดียิ่งขึ้น เมไธโอนีน ( Methionine ) จะทำหน้าที่ในการป้องกันการสะสมของไขมันที่ตับและหลอดเลือด พร้อมเร่งการสลายไขมันอย่างรวดเร็วและสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดี ฟีนิลอะลานีน ( Phenylalanine ) เร่งการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่จะส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ภายในสมอง โดยจะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและลดอาการเวียนศีรษะได้ดี ทรีโอนีน ( Treonine ) ทำหน้าที่ในการลดการสะสมไขมันที่ตับ รักษาระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดี ทริปโตแฟน ( Tryptophan ) เป็นกรดอะมิโนที่จะช่วยสังเคราะห์สารเซโรโทนินขึ้นมา โดยสารตัวนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับได้ดีและสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ดีอีกด้วย รวมถึงช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรนได้เช่นกัน วาลีน ( Valine ) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และรักษาระดับไนโตรเจนในร่างกายให้เกิดความสมดุลมากขึ้นอีกด้วย 2.Conditionally Essential Amino Acids กรดอะมิโนแบบมีเงื่อนไข ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชนิด โดยมีประโยชน์และหน้าที่ดังต่อไปนี้ อาร์จีนีน ( Arginine ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บหรือฉีกขาด ซีสเทอีน ( Cysteine ) ช่วยสังเคราะห์กลูต้าไธโอน ( Glutathione ) ที่จะช่วยในการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดการสะสมของสารพิษหรือโลหะหนักได้ดี ...

น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ?

0
น้ำมันพืช  และ  น้ำมันหมู เป็นเรื่องที่ยังคงสงสัยและมีการถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู นั้น อะไรดีและมีประโยชน์กว่ากัน  และอะไรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่ากัน ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจกับน้ำมันพืชและน้ำมันหมูทั้งสองชนิดนี้ก่อน เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ก่อนจะเปรียบเทียบว่าน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูชนิดไหนดีกว่ากันนั่นเอง >> ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืชมีอะไรบ้าง >> มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร น้ำมันพืช น้ำมันพืช เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยกรดไขมันชนิดนี้เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายและเจอกับอุณหภูมิ 37 องศา จะกลายสภาพมีความเหนียวข้นและเข้าไปยึดเกาะกับลำคอไปจนถึงลำไส้ใหญ่ ซึ่งเมื่อนานไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากที่เดียว โดยสังเกตได้จากน้ำมันพืชที่กระเด็นไปโนข้างฝาขณะกำลังทำกับข้าว ซึ่งน้ำมันพืชก็จะมีลักษณะเหนียวและยึดเกาะเข้ากับฝาผนังทันที แถมน้ำมันพืชยังทำความสะอาดได้ยากอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเราทานเข้าไปในร่างกายก็เช่นกัน น้ำมันพืชชนิดนี้จะเข้าไปติดหนึบอยู่กับระบบทางเดินอาหาร เมื่อนานไปก็จะเกิดปัญหาสุขภาพ อย่างเช่นโรคเกี่ยวกับลำไส้และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารในที่สุด น้ำมันหมู น้ำมันหมู จะไม่เข้าไปเกาะกับระบบทางเดินอาหารเหมือนกับน้ำมันพืช จึงไม่ทำให้มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารตามมาอย่างแน่นอน สังเกตได้จากเมื่อทำกับข้าวแล้วน้ำมันหมูกระเด็นไปโดนกับฝาผนังบ้านจะสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า น้ำมันพืช นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า น้ำมันหมู จะไม่มีข้อเสีย เพราะน้ำมันหมูมีกรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายของคนเราเพิ่มสูงขึ้นและตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไขมันอุดตันเส้นเลือด ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า น้ำมันพืช และ น้ำมันหมู ทั้งสองชนิดต่างก็ไม่ดีทั้งคู่ แต่ความจริงแล้วข้อเสียของน้ำมันพืชและน้ำมันหมูไม่ได้เกิดจากน้ำมันโดยตรง เพราะต่างก็เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติโดยเฉพาะ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากกระบวนการผลิตน้ำมันนั่นเอง ดังตัวอย่างเช่นน้ำมันปาล์ม ซึ่งการผลิตจะมีการฟอกสีให้ใส ใส่สารกันบูดและสารเติมแต่งต่างๆ รวมถึงมีการแต่งกลิ่นลงไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากพอสมควร ส่วนน้ำมันหมูแม้จะไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ แต่ก็เป็นแหล่งไขมันชนิดเลวที่ร่างกายไม่ต้องการ ซึ่งเมื่อทานมากๆ ก็จะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคร้ายต่างๆ แล้วเราควรใช้น้ำมันชนิดไหนดี ? เนื่องจากน้ำมันมีความจำเป็นในการใช้ทำอาหารทั้ง น้ำมันพืช หรือ น้ำมันหมู ก็ดี จึงไม่สามารถเลี่ยงการใช้น้ำมันได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสมอไป เพราะเราสามารถเลือกใช้น้ำมันที่มีการสกัดจากธรรมชาติแทนได้ เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันปลาหรือน้ำมันมะพร้าว เป็นต้น โดยน้ำมันเหล่านี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนและไม่มีสารเคมี จึงปลอดภัยและดีต่อสุขภาพแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็มีราคาสูงพอสมควร เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณมาก ซึ่งเป็นกรด ไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูงอีกด้วย ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ จะช่วยในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีให้ต่ำลงและเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีเข้าไปแทน ผู้ที่ทานน้ำมันเหล่านี้เป็นประจำ จึงมักจะมีภูมิต้านทานโรคสูง และไม่ป่วยด้วยโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ง่ายอีกด้วย น้ำมันมะกอก ที่มีอัลฟาโตโคฟีรอล ( Alpha-Tocopheral ) ผสมอยู่ในรูปของวิตามินอี และมีแคโรทีนในรูปของวิตามินเอสูงมาก จึงทำให้น้ำมันชนิดนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิตและสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยชดลอความแก่ได้อีกด้วย และสำหรับน้ำมันมะพร้าวก็มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงมากถึงร้อยละ 92 โดยจะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งชนิดต่างๆ และมีแร่ธาตุวิตามินที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที อย่างเช่น วิตามินอี ดี อี แค แมกนีเซียม แคลเซียนและเบต้าแคโรทีน เป็นต้น นอกจากนี้ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างสารพิษในร่างกายและทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ส่วนน้ำมันปลา ก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอแมก้า 6 สูงมาก โดยเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมากทีเดียว ทั้งยังสามารถบำรุงผิวพรรณ เล็บผม ให้มีสุขภาพดี รวมถึงช่วยเสริมสร้างความจำและกระตุ้นการเรียนรู้ การใช้ความคิดได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนในด้านของการป้องกันโรค น้ำมันปลาก็สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดความดัน พร้อมลดระดับคอเลสเตอรอลและต้านการเกิดมะเร็งเต้านมได้ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากถามว่าระหว่าง น้ำมันพืช และ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ก็คงต้องบอกว่าควรบริโภคให้น้อยที่สุด และเน้นการบริโภคน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างเอกสารอ้างอิง "Dietary Guidelines for Americans 2005; Key Recommendations for the General Population". US Department of Health and Human Services and Department of Agriculture. 2005. Yanai H, Katsuyama H, Hamasaki H,...

เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจริงหรือ?

0
การดื่มน้ำ น้ำดื่ม สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักมีข้อปฏิบัติหลายอย่างด้วยกันทีต้องปฏิบัติ ทั้งกินผักและผลไม้ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้งกับน้ำตาล และมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การดื่มน้ำ ให้ได้ 8 แก้วต่อวัน ซึ่งการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วต่อวันแล้วทำให้สามารถลดน้ำหนักได้เนื่องจากน้ำดื่มที่เข้าไปจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานขึ้น และให้ดื่มน้ำก่อนที่จะรับประทานอาหาร เข้าไปเพื่อที่จะได้อิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลงกว่าปกติด้วย การดื่มน้ำยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณผุดผ่องราว แต่สำหรับบางคนแล้วน้ำ 8 แก้วต่อวันกลับทำให้เกิดความลำคาญใจเล็กในเรื่องของการเดินเข้าห้องน้ำ เพราะเมื่อมีน้ำเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้นก็ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยนั่นเอง >> คุณประโยชน์ของน้ำ และองค์ปรกอบของน้ำในร่างกายมีอะไรบ้าง >> มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นอย่างไร น้ำที่เราควรบริโภคเข้าสู่ร่างกายควรเป็นน้ำสะอาด หลายคนเข้าใจผิดว่าจะดื่มน้ำอะไรก็ได้ขอเพียงแค่ดื่มให้ได้ 8 แก้วต่อวันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำที่ดื่มแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดคือน้ำสะอาด ไม่ใช่ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำแต่จริงๆแล้ว การดื่มน้ำ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องดื่มเท่ากันหมดนั่นคือ 8 แก้วต่อวัน เพราะว่าคนแต่ละคนมีลักษณะการกินอาหารที่ต่างกัน บางคนชอบทานผักและผลไม้ บางคนไม่ชอบทานผลไม้ คนที่ชอบทานผักจะร่างกายจะไม่ค่อยขาดน้ำ เนื่องจากในผลไม้นั้นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 80% ส่วนคนที่ชอบทานเนื้อสัตว์ก็จะได้รับน้ำจากเนื้อสัตว์เช่นกัน เพราะเนื้อสัตว์นั้นมีส่วนประกอบของน้ำถึง 60% ทำให้ร่างกายได้รับน้ำจากผลไม้และเนื้อสัตว์ที่รับประทานเข้าไป ต่างจากคนที่ไม่รับประทานผลไม้และเนื้อสัตว์ย่อมไม่ได้รับน้ำส่วนนี้เข้ามาในร่างกาย จึงต้องการน้ำจากส่วนอื่นเข้ามาทดแทนด้วยการดื่มกินเข้ามา ดื่มน้ำน้อยแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าร่างกายเราขาดน้ำหรือไม่? ร่างกายของเราจะมีไตทำหน้าที่ควบคุมและรักษาสมดุลของน้ำกับเกลือในร่างกายให้เหมาะสม ซึ่งช่วงความเข้มข้นของเกลือจะอยู่ในช่วงแคบๆเท่านั้น เมื่อร่างกายได้รับน้ำเข้าไปมากจนความเข้มข้นของเกลือเจือจางมากเกินไป ไตก็ ต้องขับน้ำออกทางปัสสาวะ ทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำบ่อย แต่ว่าถ้าร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไปความเข้มข้นของเกลือสูงมากไตก็จะกักเก็บน้ำไว้ทำให้ปัสสาวะของเรามีสีเหลืองเข้มและมีกลิ่นฉุน ดังนั้น ไม่ว่าร่างกายได้รับน้ำมากหรือน้อย ไตก็จะทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้กับเราอยู่แล้ว เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำมีความเข้มข้นของเกลือสูง เราจะรู้สึกกระหายน้ำต้องการหาน้ำมาดื่ม แต่ถ้าเราไม่รู้สึกกระหายน้ำแสดงว่าน้ำในร่างกายของเราอยู่ในสถาวะสมดุลแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำเข้าไปในปริมาณมาก สาเหตุที่คนเรามีความเชื่อว่าต้องดื่มน้ำถึง 8 แก้วต่อวัน ( แก้วละ 8 ออนซ์ ) เนื่องจากทางคณะกรรมการอาหารและสารอาหารแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา The U.S. Food and Nutrition Board ซึ่งเป็นองค์กรสังกัดสถาบันการแพทย์ ได้มีการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติของการบริโภคที่ดี ว่าควรดื่มน้ำให้มีปริมาณเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในการย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งต่อมาได้มีการคำนวณออกมาเป็นตัวเลข คือผู้หญิงควรดื่มในปริมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน และผู้ชายควรดื่มในปริมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน เมื่อนำมาคำนวณเป็นแก้วขนาด 8 ออนซ์แล้ว ผู้หญิงต้องดื่ม 11 แก้วต่อวันและผู้ชายต้องดื่ม 15 แก้วต่อวัน แต่ผลการวิจัยที่ออกมานี้เป็นการคำนวณสำหรับคนที่อยู่ในสภาวะขาดน้ำ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าขาดน้ำ ก็ต่อเมื่อร่างกายเรารู้สึกกระหายน้ำนั่นเอง แต่สำหรับคนที่ร่างกายปกตินั้นไม่จำเป็นต้องมี การดื่มน้ำ ตามที่คำนวณมานี้ เพราะเราได้รับน้ำบางส่วนจากอาหารที่รับประทานเข้าไปอยู่แล้ว การดื่มน้ำมากขึ้นหรือน้อยลงก็ขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน สภาพแวดล้อม อุณหภูมิและความชื้นของอากาศและสภาพของร่างกายด้วย คนที่ทำงานหรือทำกิจกรรมที่ต้องสูญเสียเหงื่อ คุณจะรู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าร่างกายต้องการน้ำเข้าไปทดแทนน้ำที่สูญเสียไปนั้นเอง ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไข้ตัวร้อน หายใจหอบ คุณหมอจะแนะนำให้ดื่มน้ำเข้าไปมากๆ เพื่อช่วยลดความร้อนภายในร่างกายทำให้หายไข้เร็วขึ้น แต่ก็มีผลการวิจัยบางจากนิตยสารทางการแพทย์ The British Medical Journal ที่ได้วิจัยว่า การดื่มน้ำ มาก เวลาที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้วอาจจะเป็นอันตรายได้ แต่ว่างานวิจัยนี้ยังไม่มีการสนับสนุนอย่างชัดเจน แต่จากสถิติพบว่าผู้ป่วยที่เป็นไข้เมื่อดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น อาการไข้ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าสำหรับบางคนที่ได้รับน้ำมากเกินไป หรือที่เรียกว่า “เมาน้ำ” ( Water Intoxication ) จะเป็นอาการที่กระหายน้ำมากผิดปกติ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยทางจิตหรือผู้ป่วยที่ได้รับน้ำทางสายน้ำเกลือมากเกินไป ทำให้ร่างกายได้รับน้ำมากความข้มข้นของเกลือลดต่ำลงผิดปกติ ร่างกายขับน้ำออกมาไม่หันก็จะทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด แต่กรณีนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก การดื่มน้ำ สะอาดเป็นสิ่งที่ดีเพราะน้ำสะอาดไม่มีแคลอรี เมื่อเราดื่มน้ำแทนการกินอาหารที่มีแคลอรีสูง อย่าง ขนมกินเล่น ขนมขบเคี้ยว ก็จะช่วยควบคุมและลดน้ำหนักที่สูงเกินไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความพอดีในตัวของมัน การดื่มน้ำก็เช่นกัน เราต้องดื่มตามความต้องการของร่างกาย คือเมื่อรู้สึกกระหายน้ำก็ให้หาน้ำมาดื่มหรือจิบน้ำบ่อยแทนการดื่มน้ำครั้งละหลายแก้ว ไม่จำเป็นต้องดื่มให้เท่ากับที่ทฤษฏีบอกไว้เสมอไป เพราะร่างกายของคนเราแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน เราซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายย่อมรู้จักร่างกายดีว่าต้องการน้ำมากน้อยเพียงใด อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Exposure Factors Handbook: 2011 Edition (PDF). National Center for Environmental...

อัลบูมิน คืออะไร ? ( Albumin )

0
อัลบูมิน คือ อะไร ? อัลบูมิน ( อาบูมิน, Albumin ) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่ในกระแสเลือด ถูกผลิตขึ้นจากตับและมีปริมาณมากกว่าโปรตีนชนิดอื่น มีความสำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็ง โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความแข็งแรง สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราจะพบอัลบูมินเป็นส่วนประกอบหนึ่งประมาณ 50% ของโปรตีนที่พบในเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้อัลบูมินยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายเพื่อต่อต้านการติดเชื้อต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย >> ไขมันมีกี่ประเภท และมีโทษหรือประโยชน์อย่างไร มาดูกันค่ะ >> คอเลสเตอรอล มีโทษหรือประโยชน์มากกว่ากัน อยากรู้มาดูกันค่ะ อัลบูมินถูกสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนที่ตับ ดังนั้นหากร่างกายได้รับกรดอะมิโนน้อยเกินไปหรือได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอก็จะทำให้ระดับของอัลบูมินลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นผลให้ภูมิต้านทานต่ำและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายขึ้นอีกด้วย อัลบูมิน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งพบสารอัลบูมินได้มากที่สุดคือใน "ไข่ " ซึ่งภายในไข่ก็ยังอุดมไปด้วยอัลบูมินสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสีหรือวิตามินและสารอาหารอื่นๆ แถมยังสามารถนำมาทำอาหารได้อย่างหลากหลายเมนูเลยทีเดียว และสำหรับใครที่กังวลว่าการทานไข่บ่อยๆ จะทำให้คอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น ก็หมดกังวลไปได้เลย เพราะเราสามารถเลือกทานเฉพาะไข่ขาวได้ ซึ่งพบว่าโปรตีนจากไข่ขาวก็มีอัลบูมินอยู่มากถึง 50% เช่นกัน และนอกจาก albumin จะเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว การทานอัลบูมินก็สามารถบรรเทาอาการของโรคตับและโรคมะเร็งตับได้อย่างดีเยี่ยม จึงถือเป็นโปรตีนที่มีความจำเป็นต่อผู้ที่ป่วยด้วยมะเร็งตับและโรคตับเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการรักษาอาการบวมน้ำของผู้ป่วยให้ดีขึ้น นั่นก็เพราะโปรตีนอัลบูมินมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำนั่นเอง อัลบูมินจากไข่ในผู้ป่วยที่ทานไข่ แนะนำให้ทานเฉพาะไข่ขาววันละ 2 ฟอง เท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการป่วยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรดอะมิโนและอัลบูมินที่พบในไข่ขาว ก็สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอภายในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ป่วยได้ดีเช่นกัน แถมยังมีกรดอะมิโนซิสตีน ที่จะช่วยลดการเกิดอาการข้างเคียงจากการฉายแสงและการทำคีโมในผู้ป่วยมะเร็งได้อีกด้วย กรดอะมิโนที่พบในไข่ขาว ไลซีน ( Lysine ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างเอ็นไซม์ต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น ทริพโตเฟน ( Tryptophan ) ช่วยแก้ปัญหาในคนที่นอนไม่หลับได้อย่างดีเยี่ยม โดยจะช่วยให้ร่างกายมีการปรับตัวเข้ากับเวลานอนได้ดียิ่งขึ้น ฮิสทิดีน ( Histidine ) ตัวช่วยที่จะเสริมการทำงานของระบบประสาทให้ดียิ่งขึ้น ฟีนิลแอลานีน ( Phenylalanine ) ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียดและสร้างความสุขได้ดี ลิวซีน ( Leucine ) กระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone และช่วยให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ไอโซลิวซีน ( Isoleucine ) ทำหน้าที่ในการรักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะเมื่อกล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บ ทรีโอนีน ( Threonine ) ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และทำให้ระบบการทำงานของลำไส้ การดูดซึมสารอาหารและระบบการย่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมไทโอนีน ( Methionine ) จะทำหน้าที่ในการลดการสะสมของไขมันตับ ซิสตีน ( Cystine ) จะทำหน้าที่ในการลดการเกิดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสีและทำคีโม รวมถึงลดการสะสมขอจุดด่างดำ พร้อมทั้งดูแลสุขภาพผลให้แข็งแรงไม่หลุดร่วงได้ง่าย วาลีน ( Valine ) ทำหน้าที่ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ พร้อมช่วยรักษาสมดุลของไนโตรเจนในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  การตรวจ อัลบูมิน การทำการตรวจต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งวัตถุประสงค์คือตรวจเพื่อทราบค่าโปรตีนในกระแสเลือดชนิด “ อัลบูมิน ” ในกรณีปนออกมากับน้ำปัสสาวะว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และจะมีผลชี้ไปถึงสภาวะการทำงานของตับและไต ตรวจสอบว่าร่างกายได้รับโปรตีนจากอาหารในแต่ละวันที่บริโภคเพียงพอหรือไม่ หรือมีกลไกการดูดซึมอาหารผิดปกติอย่างไรบ้างหรือไม่ ค่าปกติของ Albumin อยู่ที่เท่าไหร่? ปกติจะตรวจ 2 ค่าคือ ค่าปกติของอัลบูมิน ( Albumin ) และ โกลบูลิน ( Globulin ) ค่าปกติทั่วไป อัลบูมิน Albumin...

การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่?

0
คอเลสเตอรอลในไข่ คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) สูงหลังการกิน ไข่ เป็นความจริงหรือไม่? ไข่วันละฟอง กินไข่วันละฟอง เป็นสโลแกนที่ร้านสะดวกซื้อใช้ในการโฆษณาขายไข่ที่มีจำหน่ายอยู่ในร้าน ทำไมบางคนบอกว่าการกินไข่จะทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น แล้ว การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่ เราสามารถกินไข่ได้โดยที่คอเลสเตอรอลไม่ขึ้นจริงหรือ เป็นคำถามที่คาใจใครหลายคนแน่นอน สาเหตุที่มีคนกล่าวว่าเมื่อกินไข่แล้วจะทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงเวลาหนึ่งเรานิยมบริโภค ไข่ เป็นอาหารเช้าโดยการรับ ประทานคู่กับเบคอนและไส้กรอก ซึ่งหลังจากช่วงนั้นไม่นาน ผู้คนส่วนใหญ่ก็ตรวจพบว่ามีคอเรสเตอรอลสูง ทำให้เกิดความเข้าใจว่าการรับประทานไข่ทุกวันนั้น ทำให้เกิดคอเรสเตอรอลสูงนั้นเอง ก่อนที่เราจะมาสรุปกันว่า การกินไข่ทำให้ คอเลสเตอรอล สูงใช่หรือไม่นั้น เรามาทราบถึงการเกิดคอเลสเตอรอลในร่างกายกันก่อน>> อัลบูมิน เป็นอย่างไร และจำเป็นต่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างไร มาดูกันค่ะ >> ไขมันมีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง อยากรู้มาดูได้จากบทความนี้ค่ะ คอเลสเตอรอล สูงจากการกินไข่ไม่จริง คอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในร่างกายคนเรานั้นเป็นคอเลสเตอรอลที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาเองเกือบทั้งหมด ส่วนคอเลสเตอรอลที่มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับที่ร่างกายสร้างขึ้นมา คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามกลไกตามธรรมชาติ เพราะว่าคอเลสเตอรอลนั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ร่างกาย เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนและยังเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินบางชนิดเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย จะเห็นว่า คอเลสเตอรอล นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกายมาก ร่างกายจึงต้องทำการสังเคราะห์ขึ้นมาเอง เพราะว่าถ้าต้องนำมาจากภายนอกนั้นก็คงไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นแน่ แต่ว่าการที่มีคนบอกว่าการกินไข่นั้นทำให้คอเลสเตอรอลสูง ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของคนแต่ละคนด้วย  คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามกลไกตามธรรมชาติ เนื่องจาก ไข่ 1 ฟองมีปริมาณ คอเลสเตอรอล ประมาณ 185 มิลลิกรัม ร่างกายคนเราในสภาวะปกติสามารถรับคอเลสเตอรอลจากอาหารได้วันละ 300 มิลลิกรัม เมื่อเทียบดูแล้วจะเห็นว่าต้องรับประทานไข่ 2 ฟองระดับคอเลสเตอรอลที่ได้รับจึงจะเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการกินไข่วันละฟองย่อมไม่ผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือผู้ป่วยที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้สามารถบริโภคอาหารที่มีคอเรสเตอรอลได้ไม่เกิน  200 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น แต่อย่าลืมว่านี่เป็นผลรวมของ คอเลสเตอรอล สูงไม่ได้มาจาก ไข่ แต่มาจากการที่รับประทานเข้าไปทั้งหมด แล้วในหนึ่งวันคุณรับประทานอาหารกี่อย่าง อาหารแต่ละอย่างมีคอเลสเตอรอลเท่าไหร่? เวลาที่คิดปริมาณคอเลสเตอรอลที่รับประทานเข้าไปคุณต้องคิดรวมทุกอย่างด้วย ไม่ใช่ว่าคอเลสเตอรอลจะมาจากไข่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ในหนึ่งวันเรารับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลรวมเท่ากับที่ร่างกายต้องการแล้ว แต่ยังรับประทานไข่เพิ่มเข้าไปอีก แสดงว่าคอเลสเตอรอลจากไข่นั้นเป็นคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ร่างกายจึงได้รับคอเลสเตอรอลสูงกว่าที่กำหนดไว้ ดังนั้นการคำนวณคอเลสเตรอลที่เรารับประทานเข้าไปก็ต้องรวมคอเลสเตอรอลจากทุกแหล่งที่ได้รับด้วย เราจึงได้ข้อคิดว่าการกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพและปริมาณที่บริโภคต่อหนึ่งวันนั้นเอง https://www.youtube.com/watch?v=VDZZ-NUD8eg&t=24s สำหรับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักแล้ว การรับประทาน ไข่ เป็นอาหารหลักทดแทนการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง อย่าง แป้ง ขนมปัง ข้าวขาว ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะว่าในไข่นอกจากจะมี คอเลสเตอรอล แล้ว ยังให้พลังงานต่อร่างกาย ไข่หนึ่งฟองให้พลังงานเพียง 70 กิโลแคลอรี  ดังนั้นในหนึ่งมื้อเราทานไข่เพียงหนึ่งฟองกับผักและผลไม้แล้ว เราได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่พลังงานที่ได้รับน้อยลง เมื่อร่างกายต้องการใช้พลังงานก็ต้องดึงไขมันในร่างกายมาใช้ทำให้น้ำหนักเราลดลงได้ นอกจากนั้นไข่ยังประกอบด้วยโปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างกรดโฟลิคและโคลีน ( Choline ) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นไข่ยังมีแคโรทีนอยด์ในปริมาณที่สูง แคโรทีนอยด์เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา จากที่กล่าวมาจะพบว่าไข่จัดเป็นอาหารที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่การรับประทานไข่นั้นก็ข้อปฏิบัติดังนี้ 1.รับประทานไข่ได้วันละไม่เกิน 1 ฟอง รวมแล้วสัปดาห์ละไม่เกิน 5 ฟองเท่านั้น 2.อย่าคิดว่าคอเลลสเตอรอลที่ได้รับมาจากไข่ทั้งหมด ต้องนับรวมคอเลสเตอรอลจากอาหารอย่างอื่นด้วย โดยนับรวมแล้วคอเลสเตอรอลต้องไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับคนปกติ และไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด 3.ถ้าคุณเป็นคนที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับ คอเลสเตอรอล แล้ว สามารถรับประทานไข่ขาวได้ แต่ไม่ควรกินไข่แดง 4.ถ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับการกินไข่ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนการกิน ไข่ อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างเอกสารอ้างอิง Hardisty, M. W., and Potter, I. C. (1971). The Biology of Lampreys 1st ed. (Academic Press Inc.). Leonard J. V. Compagno (1984). Sharks of the World: An annotated...

อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเลือดจาง

0
ผู้ป่วยเลือดจาง สำหรับ ผู้ป่วยเลือดจาง หรือภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงงน้อยกว่าปกติ สามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นได้ไม่ยาก โดยการเสริมด้วยอาหารเพิ่มเกล็ดเลือด เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือดได้ดีนั่นเอง โดยภาวะเลือดจางนี้ในทางการแพทย์จะเรียกว่า ระดับค่าฮีโมโกลบินต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ชายจะต้องมีฮีโมโกลบินไม่ต่ำกว่า 13  กรัมต่อเดซิลิตรและผู้หญิงจะต้องมีฮีโมโกลบินไม่ต่ำกว่า 12 กรัมต่อเดซิลิตรนั่นเอง ดังนั้นหากพบความผิดปกติจึงต้องรีบทำการรักษาโดยด่วน โดยฮีโมโกลบิน เป็นสารสำคัญในเม็ดเลือดแดง ที่ประกอบไปด้วยโปรตีนที่เรียกว่าโลกบิน ( Globin ) 94% และฮีม ( Heme)  6% ซึ่งหากลองวัดค่าความเข้มข้นดูจะพบว่า ผู้ชายที่เป็น โรคโลหิตจาง จะต้องมีค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39% และผู้หญิงจะต้องมีค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 36% ฮีโมโกลบิน เกิดจากอะไร? ฮีโมโกลบิน เกิดจากการสร้างขึ้นโดยไขกระดูก ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบ 97% และน้ำ 3% โดยหน้าที่ของฮีโมโกลบินก็จะทำการจับออกซิเจนและนำออกซิเจนเหล่านี้ผ่านไปยังอวัยวะและเซลล์ กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงใช้เพื่อทำปฏิกิริยาเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย ดังนั้นเมื่อร่างกายอยู่ใน ภาวะเลือดจาง หรือมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ จึงมักจะส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายแย่ลงไปด้วย โดยสังเกตได้จาก ผิวที่ซีดเหลืองกว่าปกติ ร่างกายมีความอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและรู้สึกไม่ค่อยมีแรง มักจะหน้ามืดวิงเวียนศีรษะบ่อยๆ และในบางคนที่เข้าขั้นรุนแรงก็อาจเป็นลมหมดสติได้ การเกิดโรคโลหิตจางนั้น มักจะเกิดจากการที่ร่างกายต้องสูญเสียเลือดมากเกินไป เช่น ที่ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย โดยภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการทานยาบางชนิดที่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร เช่นกัน >> การประเมินคุณภาพโปรตีนของอาหาร  >> ทำไมร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งพืชได้น้อย   นอกจากนี้ก็อาจรวมถึงการมีพยาธิภายในร่างกายที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ภายในได้อีกด้วย และนอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว โรคเลือดจาง ก็อาจจะเกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิดได้อีกด้วย โดยเฉพาะกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก ซึ่งสาเหตุดังกล่าวมักจะพบได้จากผู้ที่ทานอาหารไม่เหมาะสม ไม่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และที่พบได้มากที่สุดก็คือในผู้สูงอายุนั่นเอง เนื่องจากวัยนี้มักจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง และชอบเลือกทานอาหารบางชนิดเท่านั้น จึงทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่สำคัญไปจนทำให้เกิดภาวะเลือดจางได้นั่นเอง ผู้เป็นโลหิตจางเกิดจากร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ การรักษาอาการของ โรคเลือดจาง สำหรับการรักษาและบรรเทาอาการของผู้ป่วยเลือดจางให้ดีขึ้น จะต้องใช้วิธีการโภชนาการบำบัด คือทานอาหารที่เพิ่มเกล็ดเลือดหรือสร้างเม็ดเลือดเป็นหลักนั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็น โรคเลือดจาง จากการป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางชนิด เช่นโรคไต โรคตับ ข้ออักเสบและบุคคลที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ มักจะมีอาการของโรคเลือดจางที่รุนแรงมากกว่าคนทั่วไป แถมยังมีระดับของเม็ดเลือดแดงที่ลดต่ำอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะร่างกายได้ขาดฮอร์โมนที่ชื่อว่าอีริโทรโพอิติน ( Erythropoietin หรือ EPO ) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ไขสันหลังสร้างเม็ดเลือดแดงออกมามากขึ้น ซึ่งเมื่อฮอร์โมนต่ำลงหรือขาดไป ก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงถูกสร้างออกมาน้อยกว่าปกตินั่นเอง ส่วนผู้ที่ป่วยด้วย โรคโลหิตจาง หรือเรียกง่ายๆ ว่า โรคเลือดจาง นั่นเอง จากเม็ดเลือดแดงแตก เป็นเพราะเม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ และไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงเข้ามาแทนที่ได้ทัน จึงทำให้เม็ดเลือดไม่พอและมีภาวะโลหิตจางได้ โดยสำหรับสาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายนั้นก็อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ และผลจากโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกเสื่อมและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น สำหรับอาหารที่จะช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดงให้สูงขึ้นได้ ก็คืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูงนั่นเอง เช่น ตับ เนื้อสัตว์ เลือด โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของสารประกอบฮีม เพราะร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย เช่น ธัญพืช ผักใบเขียวเข้ม ผักบุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ แป้ง เป็นต้น และสำหรับธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม แนะนำให้ทานร่วมกับวิตามินซี เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมได้ดีกว่านั่นเอง เช่น ฝรั่ง ส้ม เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะมีพวกข้าวเสริมธาตุเหล็ก เช่น ข้าวสายพันธุ์ 313 และข้าวหอมนิลอีกด้วย โดยเป็นข้าวที่ประกอบไปด้วยธาตุเหล็กและโฟลิกสูง จึงสามารถเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีทีเดียว อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Burka, Edward (1969). "Characteristics of RNA degradation...

สารให้รสหวานแทนน้ำตาล

0
สารให้ความหวาน ถ้าพูดถึงโรคเบาหวานในปัจจุบันทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหลายๆ คนต่างให้ความสนในเรื่องของการดูแลสุขภาพตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการบริโภคน้ำตาล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป และไม่ได้ใช้พลังงานที่ได้รับออกไปให้หมด  น้ำตาลนั้นก็จะทำการเปลี่ยนตัวเองเป็นรูปของไขมันไปสะสมอยู่ในร่างกาย จนเป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่างๆ ได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ และรวมถึงโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดอีกด้วย หลายคนจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงการบริโภคน้ำตาล โดยหันมาบริโภค สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลจริงอย่าง น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลซูโครส เนื่องจากน้ำตาลจริงจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วมาก ซึ่งน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานจะมีการดูดซึมเข้าร่างกายโดยใช้เวลานานกว่านั้นเอง สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียม สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยใช้เวลานาน >> น้ำตาลธรรมชาติ ใช้ได้มากน้อยแค่ไหนถึงดีต่อสุขภาพ >> น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารควรเป็นแบบใด สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ น้ำตาลเทียม เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยจะให้รสหวานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ก่อให้เกิดพลังงานนิยมนำมาใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานน้ำตาลจริงไม่ได้เป็นสารที่นิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารสำหรับผู้เป็นโรคอ้วนหรือต้องการควบคุมปริมาณน้ำหนักและยังใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เพื่อลดต้นทุนการผลิต หรือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้อีกด้วย สารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมมีด้วยกันมากมายหลากหลายชนิด ดังต่อไปนี้ 1.ขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน แซ็กคาริน หรือที่คนไทยมักรู้จักกันในชื่อของ ขัณฑสกร เป็นสารสังเคราะห์ ที่ ให้ความหวานแทนน้ำตาล ชนิดหนึ่ง ถูกสังเคราะห์ขึ้นในปี ค.ศ. 1879 เป็นผงผลึกสีขาว ทนต่อความร้อนและละลายในน้ำได้ดีไม่มีพลังงาน  นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมานานหลายปีแล้ว มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 500 เท่า แต่ที่มีขายจะอยู่ในรูปของแซ็กคารินโซเดียม จะให้รสหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 375 เท่า เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ขัณฑสกรหรือแซ็กคารินจะค่อยๆถูกดูดซึมเข้าร่างกายอย่างช้าๆ และหลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ โดยจะมีสภาพเดิมประมาณ 95% ภายในระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง  แต่จากการทดลอง สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน ที่ใช้ทดสอบกับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า สัตว์ทดลองเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะจากการให้ทานสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้าไป แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลใดๆที่บ่งบอกว่าพบได้ในคนจากข้อมูลดังกล่าว หลายฝ่ายก็เกิดความวิตกกังวลที่จะนำ แซ็กคารินมาใช้ในการบริโภค แต่ทั้งนี้สมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงสนับสนุนการใช้แซ็กคารินต่อไปโดยให้เหตุผลว่าจนถึงปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าแซ็กคารินจะเพิ่มโอกาสของการเกิดมะเร็งในคนได้ แต่การใช้ แซ็กคาริน ก็มีข้อที่ควรระมัดระวังคือ สำหรับสตรีมีครรภ์หรือในเด็ก ไม่ควรใช้สารแซ็กคาริน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ เมื่อนำมาใช้กับคนนั้นเองเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง สำหรับในประเทศไทย มีการนำสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้ามาใช้กันอย่างมากมาย แต่ก็มีการควบคุมไม่ให้ใช้กับผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น อาหารเด็ก น้ำหวาน น้ำอัดลม แต่สามารถใช้ได้กับอาหารบางชนิดที่ผลิตขึ้นสำหรับคนบางกลุ่ม  เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โดยอาหารชนิดนั้นต้องมีรายละเอียดและคำเตือนระบุไว้ที่ฉลากให้ผู้บริโภคทราบด้วย 2.ไซคลาเมต ไซลาเมต ( Cyclamate ) คือเกลือของกรดไซคลามิกมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว คุณสมบัติทนความร้อนได้ เก็บได้ในระยะเวลานาน เป็นสารที่ให้ความหวานที่ได้รับความนิยมรองมาจาก สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน แต่ก็มีความอันตรายมากกว่าไซลาเมตมีความมากว่าน้ำตาลจริงประมาณ 30 เท่า เป็น สารให้ความหวาน ชนิดที่ได้รับความนิยม อย่างมากในอดีต แต่ก็ถูกยังบังคบให้เลิกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1970 จาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เนื่องจากพบข้อมูลจากการทดสอบว่า ทำให้หนูที่นำไปทดลองกับการให้ไซลาเมต แล้วพบว่าเกิดมะเร็งขึ้นในหนูที่ทดลองนั้นเอง 3.แอสพาร์เทม แอสพาร์เทม เป็น สารให้ความหวาน อีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ละเอียด ไม่มีกลิ่น มีชื่อเรียกในการค้ามากมาย เช่น อิควลฟิทเนสพอลสวิทสลิมม่า เป็นต้นแอสพาร์เทมถูกนำมาวางจำหน่ายในตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1965 ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 2 ตัวจับกัน คือ กรดแอสพาร์ติก และกรดเฟนิลอะลานีน ให้พลังงานเท่ากับ 4 กิโลแคลอรี/กรัม เท่ากับพลังงานที่ได้จากน้ำตาลทราย แต่จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ช้ากว่าแอสพาร์เทมมีความหวานเป็น 200 เท่าของน้ำตาลทราย ปริมาณในการใช้แต่ละครั้งจึงน้อยกว่าน้ำตาลทรายจึงทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่น้อยกว่าการใช้น้ำตาลทราย โดย แอสพาร์เทม 1 ซอง ( ประมาณ 38 มิลลิกรัม ) จะให้ความหวานเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ข้อดีอีกอย่างของแอสพาร์เทม คือ รสหวานของสารมีความใกล้เคียงกับน้ำตาลจริงมาก และไม่มีรสขมซึ่งต่างจากแซ็กคาริน...

วิตามินบี 12 ( Cobalamin ) คืออะไร มีคุณสมบัติและหน้าที่อะไรบ้าง

0
วิตามินบี 12 คืออะไร ทำไมต้องกินวิตามิน B12 วิตามินบี 12 ( Vitamin B12 ) หรือ Cobalamin คือ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติในอาหารบางชนิด แล้วทำไมต้องกินวิตามิน B12 เนื่องจากวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง สร้างDNA ผลิตพลังงานเร่งการเผาผลาญ และช่วยในทำงานของเส้นประสาทอย่างมาก >> ธาตุเหล็กมีความสำคัญกับระบบเลือดอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> วิตามินเอ มีประโยชน์ด้านร่างกายอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ ร่างกายควรได้รับวิตามินบี 12 ปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน ปริมาณวิตามินบี 12 ที่แนะนำต่อวันมีความแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ และความต้องการอาหารโดยเฉพาะผู้ขาดวิตามินบี 12 ดังนี้ ปริมาณวิตามินบี 12 สำหรับเด็ก คือ 0.5 - 1.2 ไมโครกรัม/วัน สำหรับวัยรุ่น วัยทำงาน ผู้ใหญ่ รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรต้องการปริมาณที่สูงขึ้น ควรได้รับวิตามินบี 12 ประมาณ 1.8-2.4 ไมโครกรัม/วัน คุณสมบัติของวิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน เป็นผลึกสีแดงเข้ม วิตามินบี 12 สามารถละลายได้ในน้ำและแอลกอฮอล์ ไม่ทนกรด ด่างและแสง โดยวิตตามินบี12 มีสูตรโครงสร้างสลับซับซ้อนคล้ายกับเฮโมโกลบิน จะแตกต่างกันเพียง วิตามินบี12 มีโคบอลท์อยู่ที่ 1 อะตอม แต่เฮโมโกลบินมีธาตุเหล็กอยู่ ทั้งนี้วิตามินบี12 จะแตกต่างจาก วิตามินบีตัวอื่นๆตรงที่พืชไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ วิตามินบี 12 เมื่ออยู่ในร่างกายจะมีหลายแบบ แต่จะเรียกรวมๆกัน ว่า “ โคบาลามิน ” สำหรับตัวที่มีฤทธิ์มากจะเป็นผลึกสีแดงเข้ม ส่วนตัวที่วางขายกันในท้องตลาดและมีฤทธิ์สูงกว่าในทางยา ก็คือ  “ ไฮดรอกโซโคบาลามิน ” ( Hydroxocobalamin ) บี12 หรือ Cyanocobalamine เมื่อใช้ร่วมกับยา Chloramphenical จะทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาภาวะโรคโลหิตจางด้วย Cyanocobalamine ด้อยลงไป ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน กินวิตามินบี 12 ช่วยอะไรบ้าง วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ของร่างกายรวมถึง มีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองและระบบประสาทเป็นปกติ การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง การป้องกันภาวะโลหิตจาง ช่วยสร้างและควบคุมดีเอ็นเอ (DNA) ช่วยปกป้องดวงตาจากการเสื่อมสภาพของเม็ดสี การสร้างพลังงานในร่างกาย ผลข้างเคียงหลังได้รับวิตามินบี 12 ในปริมาณสูงเกินไป หลังร่างกายได้รับวิตามินบี 12 มากเกินไป อาจทำให้รู้สึกปวดศึรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย และมีอาการชาที่มือและเท้าได้ ผลของการขาดวิตามินบี 12 ส่วนใหญ่สาเหตุของการขาดวิตามินบี12 ( Vitamin B12 ) มาจากการได้รับวิตามินไม่เพียงพอจากการทานอาหาร หรืออาจมีปัญหาในการดูดซึม หรือรับประทานยาบางชนิดที่มีผลต่อการปิดกั้นการดูซึมวิตามิน 1. การได้รับจากอาหารไม่พอ ทำให้เกิดการขาดขาดวิตามินบี12 เช่น คนที่ทานอาหารมังสวิรัติ 2. คนที่มีความผิดปกติของการดูดซึม เช่น การขาด IF การเป็นโรคท้องเสียเรื้อรัง การตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออก หรือเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้เสื่อมทำให้มีการดูดซึมผิดปกติและถ้าขาดวิตามินบี 12 ไขกระดูกจะไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดแดงให้เจริญเต็มที่ได้ เม็ดเลือดแดงนี้ก็จะไม่ถูกแบ่งตัว จะมีลักษณะใหญ่ที่เรียกว่าเมกกะ โลบลาสท์ Megalobladst และจะถูกปล่อยเข้ามาสู่กระแสโลหิต ก็จะทำให้ความสามารถในการนำเฮโมโกลบินไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง เป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจางชนิดเพอร์นิเซียสได้ง่าย ซึ่งโรคนี้จะมีอาการที่แสดงให้เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ...

ผักเซเลอรี่ ( Celery ) คืออะไร

0
ผักเซเลอรี่ คือ ผักเซเลอรี่ ( Celery ) หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ คือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ขึ้นฉ่ายของฝรั่งจะมีขนาดลำต้นและก้านใบอวบใหญ่กว่าขึ้นฉ่ายจีนแต่มีลำต้นสั้นสีเขียวเหมือนกัน ในตัวก้านนั้นฉ่ำไปด้วยน้ำปริมาณสูงมีกลิ่นฉุนน้อยกว่าขึ้นฉ่ายจีน มีลักษณะใบเป็นแบบ Pinnate ในหนึ่งก้านจะมีใบประมาณ 5 -7 ใบ ก้านที่อยู่ด้านในมีขนาดเล็กและมีความกรอบ เรียกว่า “ The Heat ” ผักเซเลอรี่ หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง มีลักษณะเฉพาะของคือก้านใบมีสันกว้าง โคนของก้านใบกว้าง จัดเป็นพืชที่มีแป้งและสารอาหารประเภทแป้งที่สูงมากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการเรียกชื่อส่วนต่างๆของต้น ดังนี้ ใบเรียกว่า Riba, Shanks ก้านใบ มีชื่อเรียกว่า Bunches, Head หรือ Stalks ส่วนที่นิยมนำมาประกอบอาหารคือส่วนที่เป็นก้านใบ และ ใบ เพราะว่า ก้านใบนี้เป็นส่วนที่มีความหนากรอบน่ารับประทานที่สุดเมื่อนำมาปรุงอาหาร ส่วนใบของคื่นฉ่ายฝรั่งนั้นมีสาร Apiin ( Apigenin 7-Apiosylglucoside ) ซึ่งเป็นสารที่เป็นต้นกำเนิดของการเกิดกลิ่นและรสชาติในขึ้นฉ่ายฝรั่ง ผักเซเลอรี่ ( Celery )หรือขึ้นฉ่ายฝรั่งเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ ส่วนก้านใบยังมีน้ำและเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นเส้นใยหลัก ซึ่งน้ำที่มีอยู่ในก้านใบนี้จะทำเรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้นเมื่อรับประทานเข้าไปก่อนที่จะกินอาหารมือหลักหรือรับประทานเล่นแทนขนมและของหวาน และขึ้นฉ่ายฝรั่ง 100 กรัมนั้นให้พลังงานเพียงแค่ 13 กิโลแคลอรีเท่านั้น ผู้ที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักสามารถรับประทานอาหารขึ้นฉ่ายฝรั่งได้ และเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจะเข้าไปเพิ่มปริมาณกากใยอาหารในลำไส้ ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้นลดอาการหิวได้เป็นอย่างดี >> ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ หาคำตอบได้จากบทความนี้ค่ะ >> ผักเคลมีกี่ชนิด และมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูบทความนี้กันค่ะ สรรพคุณและประโยชน์ของเซเลอรี่ ผักเซเลอรี่ ยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้  แคลเซียม แคลเซียมที่ได้รับจากคื่นฉ่ายฝรั่งนั้น เป็นแคลเซียมที่เหมาะสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กที่อยู่ในภาวะเป็นโรคกระดูกอ่อน โพแทสเซียม ผักเซเลอรี่ นั้นมีปริมาณโพแทสเซียมสูง ที่มีฤทธิ์อ่อนในการขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำและช่วยในให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างได้ดี โดยเฉพาะหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวขาดเลือด ช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่สมดุล โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โดยการรับประทานขึ้นฉ่ายนี้วันละอย่างน้อย 4 ก้าน โดยการกินดิบหรือนำมาคั้นทำเป็นน้ำผักเซเลอรี่ ดื่มก็ได้เช่นกัน เมื่อรับประทานอย่างนี้ต่อเนื่องกันเป็นทุกวัน ความดันโลหิตสูงก็จะลดลงอยู่ในระดับปกติและยังช่วยในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะกรดยูริกที่สะสมอยู่ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคเกาต์ เซเลอรี่เป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และมีเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำเป็นส่วนประกอบหลักๆ จึงทำให้รู้สึกอิ่มได้นานยิ่งขึ้น โซเดียม ที่พบในขึ้นฉ่ายหรือผักเซเลอรี่ จัดเป็นโซเดียมอินทรีย์ทีสามารถช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดและความเป็นด่างในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายรักษาสมดุลของกรดและด่างได้ ป้องกันการเกิดโรคไต วิตามินซี ขึ้นฉ่ายฝรั่งหรือผักเซเลอรี่ จะมีวิตามินซีสูงมากเมื่อรับประทานแบบสดๆ วิตามินซีนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกาย เบต้าแคโรทีน เบต้าแคโรทีนในขึ้นฉ่ายฝรั่งหรือ ผักเซเลอรี่ จะมีมากเมื่อนำขึ้นฉ่ายฝรั่งไปผัดกับน้ำมัน เพราะว่าน้ำมันจะเป็นกระตุ้นให้เบต้าแคโรทีนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น สารเบต้าแคโรทีนนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่ สารโพลิฟีนอล ที่มีหน้าที่ในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ที่เป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของ DNA ที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งในร่างกาย และยังช่วยในการลดการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วย สารฟลาโวนอยด์ ที่ชื่อว่า เอพิจินิน ( Epigenin ) สารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการลดปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในเลือด ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานน้อยลง เมื่อนำขึ้นฉ่ายหรือ ผักเซเลอรี่ มาสกัดเป็นน้ำพบว่าน้ำขึ้นฉ่าย หรือ น้ำเซเลอรี่นั้นออกฤทธิ์คล้ายกับยากล่อมประสาทที่มาจากธรรมชาติจึงไม่มีอันตรายต่อร่างกาย ทำให้นอนหลับลึกและรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจเพราะว่าน้ำขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณในการบำรุงเลือดและหัวใจได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันการเกิดโรคหอบหืด ช่วยล้างสารพิษตกค้างในเลือดและระบบลำไส้ ช่วยป้องกันโรคซิลิโคซิส ( Silicosis ) หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากการสูดดมฝุ่นที่มีสารซิลิกาเข้าไปเป็นเวลานาน นอกจากนี้ผักเซเลอรี่หรือขึ้นฉ่ายฝรั่งยังเป็นผักที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลชนิดไตรกลีเซอไรด์และไขมันที่สะสมอยู่ในเส้นเลือดได้อีกด้วย และผู้สูงอายุบางคนได้กล่าวว่า เวลาที่มีอาการร้อนในให้รับประทานขึ้นฉ่ายเข้าไป จะช่วยลดอาการร้อนในได้ หรือถ้ามีอาการท้องเสีย ท้องร่วง จุกท้อง กรดไหลย้อนหรือกรดเกินในกระเพาะอาหารแล้ว ให้รับประทานขึ้นฉ่ายเป็นประจำ อาการที่กล่าวมาทั้งหมดจะค่อยหายไป จะพบว่า ผักเซเลอรี่ หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง นั้น อุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุหลายชนิด แต่ วิธีรับประทานที่ดีที่สุดก็คือการกินดิบหรือว่านำมาปั่นทำเป็นน้ำผักจะปั่นเพียงชนิดเดียว...

ประโยชน์ของแอปริคอต ( Apricot )

0
แอปริคอต แอปริคอต ( Apricot ) มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Prunus Armeniaca L. คือ ไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนและได้แพร่พันธุ์ไปยังประเทศอิตาลีและประเทศอังกฤษในเวลาต่อมา ผลเป็นทรงกลมมีร่องตรงกลางผลคล้ายผลลูกท้อแต่ว่ามีขนาดเล็กกว่าลูกท้อ ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อนผลแก่มีสีส้มอมเหลืองมีขนอ่อนลักษณะคล้ายกำมะยี่รอบลูก เปลือกบาง เนื้อแน่นแห้ง มีเมล็ดภายในสีน้ำตาลเข้มถึงดำ เนื้อมีรสเปรี้ยว ผลสุกทานสดๆหรือจะนำมาตาก แห้งก็ได้ แอปลิคอตเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น แหล่งเพาะปลุกและส่งออกแอปริคอตที่สำคัญในปัจจุบันคือประเทศจีน อแฟริกา นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ออสเตเรีย >> ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ตามมาดูกันบทความนี้ค่ะ >> โปแตสเซียมในร่างกายมีหน้าที่อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ    แอปริคอต คือ ผลไม้ที่มีคนนิยมนำมาตากแห้งแล้วรับประทานกัน เพราะสามารถเก็บไว้ได้นานและสารอาหารก็ยังคงอยู่เหมือนตอนที่เป็นผลสดเกือบทั้งหมด การรับประทานแอปริคอตนั้นสามารถรับประทานได้หลายแบบขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน จะแทนแบบผลแก่จัดจากต้นเลยก็ได้ แต่เวลารับประทานก็จะมีรสเปรี้ยวมากหรือจะนำไปปั่นเป็นน้ำแอปริคอตก็ได้เช่นเดียวกัน แอปริคอตยังได้นำมาแปรรูปเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น เช่น น้ำเชื่อมแอปริคอต โยเกิร์ตผสมเนื้อแอปริคอต เบเกอรี่ต่างๆ แยม ขนมปัง เค้ก ไอศกรีม น้ำผลไม้ และที่นิยมรับประทานกันมากก็คือ แอปริคอตอบแห้งนั่นเอง นอกจากการรับประทานในรูปแบบต่างๆแล้ว แอปริคอตยังสามารถนำมาประทินโฉมด้วยการนำสารสกัดของแอปริคอตมาผสมในเครื่องสำอางค์ เช่น สบู่ มาร์กผอกหน้า เจลขัดผิว เป็นต้น สารสกัดที่ได้ช่วยบำรุงผิวและจัดการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิว สำหรับคนที่มีผลแอปริคอตสุกแบบสดนั้น ให้นำเนื้อมาปั่นให้ละเอียดและนำมาพอกหน้าจนทั่วทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีแล้วทำการล้างออกให้สะอาด วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนในเนื้อจะซึมเข้าผิวช่วยให้ผ่องดูเยาว์วัย การซื้อ แอปริคอต สดเราควรที่จะเลือกซื้อในช่วงฤดูร้อนจะมีที่สุด เพราะผลผลิตที่ออกมาในท้องตลาดจะมีรสชาติและสารอาหารที่ดีกว่าในฤดูอื่น ควรเลือกผลที่จับแล้วมีเนื้อแน่น สีส้มอมเหลืองสดใสหรือสีส้มอมเขียว ไม่มีรอยช้ำดำบนผิว การเก็บรักษาถ้ายังรับประทานไม่หมดและไม่ต้องการให้สุกมากเกินไป ควรเก็บไว้ให้อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียลหรือเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ ประโยชน์ของแอปริคอต การที่ แอปริคอต ได้รับความนิยมทานกันก็เพราะว่าแอปริคอตเป็นผลไม้ที่ให้แคลอรี่ต่ำและมีเส้นใยสูงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก เส้นใยจากแอปริคอตจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานและพลังงานที่ได้ไม่เหลือสะสมเป็นไขมันในร่างกาย ทำให้ไขมันไม่ดีในเส้นเลือดมีอัตราการเกิดขึ้นน้อยลง ป้องกันการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด หลอดเลือดอุดตันที่เป็นสาเหตุให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจในปริมาณที่เพียงพอมีอัตราการเต้นที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และเส้นใยที่ได้จากแอปริคอตทั้งแบบสดและอบแห้งจะเข้าไปช่วยระบบขับถ่ายทำการขับของเสียและสิ่งตกค้างภายในลำไส้ออกมาเป็นอย่างดี  ป้องกันอาการท้องผูกและสารพิษตกค้างในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงเนื้อของแอปริคอตมีสีเหลืองที่อุดมไปด้วยสารเบตาแคโรทีนที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดีช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ลดริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้น เบตาแคโรทีนยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอที่ช่วยบำรุงระบบเซลล์ของระบบการมองเห็น ป้องกันการเสื่อมของเลนส์ดวงตา ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก สำหรับผู้ที่เป็นอยู่แล้วสามารถชะลอการโตของต้อกระจกได้ วิตามินซี ที่มีอยู่แอปริคอตเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถต่อต้านการทำงานของอนุมูลอิสระในการทำลายเซลล์ และยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้ทำงานได้ดี ป้องกันการเกิดโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคหวัด และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หลอดลมอักเสบ เป็นต้น โพแทสเซียมและโซเดียม มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ที่อยู่ในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะถ้าสมดุลอิเล็กโทรไลท์ในร่างกายไม่สมดุลแล้วระบบการทำงานของจะเกิดความผิดปกติไปด้วย  และเข้าไปช่วยในการรักษาสมดุลของเกลืออีกด้วย ป้องกันอาการร่างกายบวมน้ำ และยังช่วยควบคุมการขยายของหลอดเลือดให้เป็นปกติ ป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงด้วย วิตามินบี 17 ( Amygdalin ) เป็นวิตามินที่มีอยู่ในเมล็ดของ แอปริคอต วิตามินบี 17 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันการทำลายยีนส์ในเซลล์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้ สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลามมากขึ้นเมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น และยังช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมเมื่อสูงวัยได้อีกด้วย เมื่อเราทราบถึงสารที่มีประโยชน์ใน แอปริคอต กันแล้ว หลายคนคงสงสัยว่าต้องทานเป็นจำนวนเท่าไหร่ถึงจะสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือเพียงพอต่อการป้องกันโรคได้ แอปริคอตสด 3 ผลขนาดกลางนั้นจะให้ปริมาณโพแทสเซียมอยู่ทีประมาณ 300 มิลลิกรัม ซึ่งร่างกายคนเราต้องการโพแทสเซียมอยู่ที่ 3,000 มิลลิกรัม เพราะฉะนั้นโพแทสเซียมที่ได้รับจากแอปริคอตสด 30 ผลขนาดกลางนั้นมีปริมาณมากถึง 30% ทีเดียว ส่วนพลังงานที่ได้รับอยู่ที่ 50 แคลอรี แต่สำหรับแอปริคอตแห้งแบบผ่าซีกมาแล้วนั้นหรือประมาณ 5 ลูก ให้เบต้าแคโรทีนอยู่ที่ 6  มิลลิกรัมและโพแทสเซียมถึง 500 มิลลิกรัม ส่วนพลังงานที่ได้รับอยู่ที่ 80 แคลอรีเท่านั้น เรามาดูกันตารางเทียบปริมาณเบต้าเคโรทีนในแอปริคอตกับผลไม้ชนิดอื่นกันว่ามีปริมาณมากน้อยต่างกันอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ตัดสินในการเลือกรับประทานในครั้งต่อไป ปริมาณสารเบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene Count ) ตารางปริมาณสารเบต้าแคโนทีนในผลไม้แต่ละชนิด ชนิดผลไม้  ปริมาณผลไม้ ปริมาณแคลอรี...