โภชนาการสำคัญที่ควรรู้

มะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma): สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และการรักษา

0
มะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma หรือ CCA) คือชนิดของมะเร็งที่เกิดจากเยื่อบุผนังภายในของท่อน้ำดี ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการลำเลียงน้ำดีจากตับและถุงน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหาร โดยโรคนี้พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักตรวจพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีการบริโภคปลาน้ำจืดดิบๆ ทำให้เกิดการติดพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคนี้ ทำความเข้าใจกับท่อน้ำดี ท่อน้ำดีมีหน้าที่ลำเลียงน้ำดีจากตับและถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็ก โดยโครงสร้างแบ่งเป็น: ท่อน้ำดีภายในตับ (Intrahepatic bile ducts) – ท่อเล็ก ๆ ภายในเนื้อตับ ท่อน้ำดีภายนอกตับ (Extrahepatic bile ducts) – ท่อใหญ่ที่ออกมาจากตับ เชื่อมกับถุงน้ำดีและลำไส้เล็ก โรคมะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้ที่ทั้งสองตำแหน่งนี้ ชนิดของมะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งท่อน้ำดีแบ่งได้ 2 ชนิดหลัก: มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ (Intrahepatic CCA) พบได้น้อย แต่มักวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดีภายนอกตับ (Extrahepatic CCA) พบได้มากกว่า มีแนวโน้มทำให้ท่อน้ำดีอุดตัน ผู้ป่วยมักมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง สาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในทางการแพทย์เกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้ แต่อาจสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้: การติดพยาธิใบไม้ตับ จากการกินปลาน้ำจืดแบบดิบ ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง นิ่วในท่อน้ำดีหรือตับ โรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับถุงน้ำในทางเดินน้ำดี ภาวะตับแข็ง หรือไวรัสตับอักเสบ B และ C การได้รับสารเคมี เช่น Thorotrast อาการของมะเร็งท่อน้ำดี ผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการ แต่เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น อาการที่พบบ่อย ได้แก่: ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องอืด ปวดใต้ชายโครงด้านขวา เหนื่อยง่าย อ่อนแรง ระยะของมะเร็งท่อน้ำดี โรคมะเร็งท่อน้ำดีแบ่งออกเป็น 4 ระยะ: ระยะที่ 1: มะเร็งจำกัดอยู่ในท่อน้ำดี ระยะที่ 2: เริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 3: ลุกลามไปยังหลอดเลือดหรือถุงน้ำดี ระยะที่ 4: กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด กระดูก หรือสมอง การวินิจฉัย การตรวจวินิจฉัยมีความซับซ้อนและต้องใช้วิธีหลายแบบผสมกัน ได้แก่: ตรวจเลือด: ค่าการทำงานของตับ, ค่า Tumor Marker เช่น CEA และ CA19-9 อัลตราซาวด์ช่องท้อง: ตรวจความผิดปกติของท่อน้ำดี CT Scan / MRI: ตรวจขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง MRCP หรือ ERCP: ตรวจภาพท่อน้ำดีอย่างละเอียด ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): เพื่อตรวจยืนยันชนิดของเซลล์มะเร็ง PET Scan: ค้นหาการแพร่กระจายของโรค แนวทางการรักษา 1. การผ่าตัด หากตรวจพบในระยะแรกเริ่มและสามารถผ่าตัดได้ การผ่าตัดถือเป็นวิธีที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดสูงที่สุด เช่น การตัดท่อน้ำดีหรือการผ่าตัดตับบางส่วนร่วมกับท่อน้ำดี 2. เคมีบำบัด ใช้ในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้ หรือเพื่อควบคุมโรคหลังผ่าตัด ช่วยลดการแพร่กระจายของมะเร็ง 3. รังสีรักษา ใช้ร่วมกับวิธีอื่นเพื่อบรรเทาอาการและลดขนาดก้อนมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะลุกลาม 4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เช่น ใช้ยา Durvalumab หรือยา Imatinib สำหรับผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ตอบสนองต่อยา การพยากรณ์โรคและโอกาสรอดชีวิต หากตรวจพบในระยะต้นและสามารถผ่าตัดได้ โอกาสรอดชีวิต 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 30–40% หากเป็นระยะลุกลามแล้ว โอกาสรอดชีวิตลดลงเหลือประมาณ 5–10% การตรวจพบเร็ว และการเข้ารับการรักษาโดยเร็วมีผลอย่างมากต่อการพยากรณ์โรค การป้องกันมะเร็งท่อน้ำดี แม้จะยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีป้องกันโดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้: หลีกเลี่ยงการบริโภคปลาน้ำจืดแบบดิบๆ ตรวจสุขภาพตับและท่อน้ำดีเป็นประจำ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง รักษาสุขอนามัยในการเตรียมอาหาร ควบคุมการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ...

มะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและมะเร็งชนิดที่ 2: สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

0
มะเร็งเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่สามารถรักษาให้หายได้ในบางกรณี แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence) หรือเกิดเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2 (Second Primary Cancer) ได้อีกครั้งในชีวิตของผู้ป่วย การเข้าใจกลไกการกลับมาเป็นมะเร็ง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำหรือชนิดใหม่ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน ฟื้นฟู และติดตามอาการในระยะยาว มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence) คืออะไร? มะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำ หมายถึง การที่เซลล์มะเร็งชนิดเดิมกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้งหลังจากที่ได้รับการรักษาจนตรวจไม่พบมะเร็งในร่างกายแล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในตำแหน่งเดิม หรือบริเวณใกล้เคียง หรือแม้แต่ในอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลจากจุดเดิม ประเภทของการกลับมาเป็นซ้ำ Local Recurrence – มะเร็งกลับมาในตำแหน่งเดิม Regional Recurrence – กลับมาบริเวณต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง Distant Recurrence (Metastasis) – มะเร็งแพร่ไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก สาเหตุของการกลับมาเป็นซ้ำ เซลล์มะเร็งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างครบถ้วน เช่น การผ่าตัด เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา ดื้อต่อการรักษา เซลล์มะเร็งบางกลุ่มอาจมีความสามารถในการต้านการรักษา พฤติกรรมเสี่ยงเดิมของผู้ป่วย เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อ้วน และขาดการออกกำลังกาย ปัจจัยจากยีนหรือพันธุกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ โรคมะเร็งชนิดที่ 2 (Second Primary Cancer) ต่างจากการกลับมาเป็นซ้ำ มะเร็งชนิดที่ 2 คือ การที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดแรก และสามารถเกิดขึ้นที่อวัยวะใดก็ได้ โดยอาจตรวจพบหลังจากการรักษามะเร็งชนิดแรกเสร็จสิ้น หรืออาจตรวจพบพร้อมกันก็ได้ ตัวอย่าง: ผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งเต้านม อาจมีโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ในภายหลัง ผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงที่สูบบุหรี่จัด อาจเกิดมะเร็งหลอดอาหาร ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดที่ 2 พันธุกรรมบางชนิด เช่น กลุ่มยีน BRCA1/2 ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและรังไข่ ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งครั้งแรก เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีรักษาในระดับสูง อาจกระตุ้นการกลายพันธุ์ในเซลล์อื่น พฤติกรรมเดิมของผู้ป่วย เช่น ไม่เลิกพฤติกรรมเสี่ยง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับยากดภูมิ การวินิจฉัยและติดตามการเป็นซ้ำหรือมะเร็งชนิดใหม่ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การตรวจร่างกาย การตรวจด้วยภาพ เช่น CT, MRI, PET Scan การตรวจเลือดหาค่า Tumor Marker การเจาะหรือเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจ การติดตามผลหลังรักษา เช่น ทุก 3 เดือน – 6 เดือน ในช่วง 2 ปีแรก การเฝ้าระวังระยะยาว ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งมาก่อน ควรมีตารางตรวจสุขภาพและติดตามผลกับแพทย์อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติด้วยตนเอง เช่น คลำเจอก้อนเนื้อใหม่ อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกผิดปกติ เป็นต้น การรักษามะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำหรือชนิดที่ 2 แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สุขภาพทั่วไป และผลกระทบจากการรักษาครั้งก่อน ได้แก่: แนวทางการรักษา: การผ่าตัด: ถ้าก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้และยังไม่แพร่กระจาย เคมีบำบัด (Chemotherapy): ยากดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง รังสีรักษา (Radiation Therapy): ใช้พลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาตรงเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาตรงเป้ายีนกลายพันธุ์ ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดเซลล์มะเร็ง ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์: เฉพาะในกรณีที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผลกระทบทางจิตใจของผู้ป่วย การทราบว่ามะเร็งกลับมาอีกครั้ง หรือเกิดมะเร็งใหม่อาจกระทบต่อจิตใจอย่างมาก เช่น: ความวิตกกังวลว่าจะรักษาได้หรือไม่ กลัวการเจ็บปวดซ้ำอีกครั้ง ความไม่มั่นคงในชีวิตและการงาน แนวทางช่วยเหลือ: ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ให้กำลังใจจากครอบครัว แพทย์...

ความเสี่ยงโรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มะเร็งที่พบบ่อยและการป้องกัน

0
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าประชากรทั่วไปหลายเท่า สาเหตุหลักมาจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคหรือควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า HIV มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอย่างไร มีมะเร็งชนิดใดที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV และแนวทางการรักษาและการป้องกันมีอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจอย่างครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ดูแลตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง HIV คืออะไร? และทำไมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง HIV เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ร่างกายจะอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) ความเชื่อมโยงกับมะเร็ง เกิดขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้: ไม่สามารถทำลายเซลล์ผิดปกติได้ มีไวรัสก่อมะเร็ง (Oncoviruses) เช่น HPV, EBV, HHV-8 เข้ามาซ้ำเติม เพิ่มโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ในระยะยาว มะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV มะเร็งที่พบในผู้ติดเชื้อ HIV สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ (AIDS-defining Cancers) เป็นมะเร็งที่ถือว่าเป็นเกณฑ์วินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ว่าเข้าสู่ระยะเอดส์ ได้แก่: Kaposi’s Sarcoma (KS): มะเร็งของเยื่อบุเส้นเลือดที่เกิดจากไวรัส HHV-8 มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma): โดยเฉพาะชนิด Non-Hodgkin’s lymphoma และ Primary CNS Lymphoma มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม (Invasive Cervical Cancer): พบได้ในผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV ร่วมกับ HIV 2. มะเร็งที่ไม่ได้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยเอดส์ (Non-AIDS-defining Cancers) แต่มีอุบัติการณ์สูงในผู้ติดเชื้อ HIV เช่น: มะเร็งทวารหนัก (Anal cancer) มะเร็งตับ (จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี/ซี) มะเร็งปอด มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมความเสี่ยงมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV การติดเชื้อ HIV เพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้เกิดมะเร็งทันที แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น ๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่: การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การติดเชื้อ HPV หรือไวรัสตับอักเสบ ไม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³ ระยะเวลาการติดเชื้อ HIV นานโดยไม่รักษา การวินิจฉัยมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV การวินิจฉัยใช้หลักการเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป ได้แก่: ตรวจร่างกายและซักประวัติ ตรวจเลือด รวมถึง CD4 และ Viral Load การตรวจเฉพาะทาง เช่น Pap smear, ตรวจคัดกรอง HPV, ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ CT scan การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันเซลล์มะเร็ง แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วย HIV ที่เป็นมะเร็งสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป โดยคำนึงถึง: 1. การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลามมาก เป็นการรักษาระยะเริ่มต้น 2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) จำเป็นต้องพิจารณา CD4 และ Viral Load ก่อนการรักษาอย่างรอบคอบ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง 3. การฉายรังสี (Radiotherapy) ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือศีรษะลำคอ 4. การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy...

มะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer) อาการ การวินิจฉัย และวิธีรักษา

0
มะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นมะเร็งที่เกิดใน ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่บริเวณลำคอด้านหน้า หน้าที่ของต่อมไทรอยด์คือการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ที่ควบคุมอัตราเผาผลาญ พลังงาน และการเจริญเติบโตของร่างกาย เซลล์ของต่อมไทรอยด์ที่เกิดการกลายพันธุ์ อาจนำไปสู่การแบ่งตัวผิดปกติ กลายเป็นเนื้องอก และสุดท้ายพัฒนาเป็นมะเร็ง สาเหตุของมะเร็งต่อมไทรอยด์ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ เช่น: พันธุกรรมผิดปกติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโรคในครอบครัว เช่น MEN2 เพศหญิง มีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายถึง 3–4 เท่า การสัมผัสรังสีในวัยเด็ก เช่น การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคหรือรังสีจากโรงงานนิวเคลียร์ อายุ พบมากในผู้หญิงช่วงอายุ 30–60 ปี ขาดไอโอดีน ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งสัมพันธ์กับความผิดปกติของเนื้อเยื่อไทรอยด์ ชนิดของมะเร็งต่อมไทรอยด์ Papillary Thyroid Carcinoma (PTC) พบมากที่สุด ราว 70–80% ของทั้งหมด เติบโตช้า แพร่กระจายผ่านต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง มักตอบสนองดีต่อการรักษา Follicular Thyroid Carcinoma (FTC) พบประมาณ 10–15% แพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังปอดและกระดูก Medullary Thyroid Carcinoma (MTC) มาจากเซลล์ C ในไทรอยด์ มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ (MEN2 syndrome) Anaplastic Thyroid Carcinoma (ATC) พบน้อย แต่รุนแรงสูง เติบโตเร็ว แพร่กระจายไว มักรักษาได้ยาก อาการของมะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งไทรอยด์ในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการเด่นชัด แต่สามารถสังเกตได้จาก: คลำเจอก้อนบริเวณคอ หน้าไทรอยด์ หรือใต้ลูกกระเดือก เสียงแหบ หรือเปลี่ยนเสียง โดยไม่มีอาการอื่นของคออักเสบ กลืนลำบาก หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดในลำคอ ไอเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตผิดปกติ หากอาการเหล่านี้อยู่ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย การวินิจฉัยมะเร็งต่อมไทรอยด์ แพทย์จะเริ่มจาก: ตรวจร่างกาย คลำก้อนที่คอและต่อมน้ำเหลือง อัลตราซาวนด์ไทรอยด์ ตรวจหาขนาด รูปร่าง และลักษณะของก้อน เจาะเซลล์จากก้อน (FNA: Fine Needle Aspiration) ส่งตรวจทางเซลล์วิทยา ตรวจเลือดหาค่า TSH / FT4 / Tg / Calcitonin ตรวจภาพรังสีเพิ่มเติม เช่น CT scan, PET scan ในกรณีที่สงสัยว่ามีการแพร่กระจาย การแบ่งระยะของมะเร็งไทรอยด์ การแบ่งระยะจะช่วยวางแผนการรักษาและพยากรณ์โรค โดยใช้เกณฑ์ TNM Staging System: กลุ่มผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 55 ปี Stage I: ยังไม่แพร่กระจาย Stage II: มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด กลุ่มผู้ป่วยอายุมากกว่า 55 ปี Stage I: ก้อน <2 ซม. ไม่แพร่กระจาย Stage II: ก้อน 2–4 ซม. Stage III: ก้อนใหญ่ >4 ซม. หรือมีต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโต Stage IV: แพร่ไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง หรืออวัยวะอื่น แนวทางการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ การผ่าตัด (Surgery) ผ่าตัดต่อมไทรอยด์บางส่วนหรือทั้งหมด ถ้ามีต่อมน้ำเหลืองโต อาจต้องผ่าตัดร่วมด้วย การให้แร่รังสีไอโอดีน...

มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer): สาเหตุ อาการ วินิจฉัย และวิธีรักษาครบถ้วน

0
มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer) คือโรคมะเร็งที่พบได้น้อย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านการพูด เคี้ยว และกลืนอาหารอย่างปกติ บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย ระยะของโรค แนวทางการรักษา ตลอดจนผลข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ควรรู้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจโรคได้ครบถ้วนและนำไปสู่การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โครงสร้างของต่อมน้ำลายและหน้าที่ ต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ (Major Salivary Glands) มีทั้งหมด 3 คู่ได้แก่: ต่อมน้ำลายหน้าหู (Parotid gland): ขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าของหู ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร (Submandibular gland): อยู่ใต้กรามล่าง ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual gland): อยู่ใต้พื้นปาก ต่อมน้ำลายขนาดเล็ก (Minor Salivary Glands) กระจายอยู่ทั่วเยื่อบุช่องปาก คอหอย และกล่องเสียง ไม่มีท่อนำส่งน้ำลายโดยตรง แต่จะหลั่งออกมาแบบกระจาย หน้าที่หลัก คือการผลิตน้ำลายเพื่อช่วยย่อยอาหาร หล่อเลี้ยงเยื่อบุช่องปาก และควบคุมสมดุลของแบคทีเรียในช่องปาก สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำลาย แม้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่นักวิจัยพบว่าปัจจัยเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยง: พันธุกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งไม่ได้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ การได้รับรังสี โดยเฉพาะจากการรักษาโรคอื่นมาก่อน ขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน A และ C การสัมผัสสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น สารเคมีจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม อายุ มักพบในผู้ที่มีอายุ 50–70 ปี การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง อาการของมะเร็งต่อมน้ำลาย อาการของโรคไม่เฉพาะเจาะจงมาก แต่สามารถสังเกตความผิดปกติได้ดังนี้: คลำเจอก้อนบริเวณใบหน้า ใต้ขากรรไกร หรือใต้ลิ้น ปวดบริเวณต่อมน้ำลายหรือก้อนที่พบ หน้าเบี้ยว หรือชา บ่งชี้ว่าเนื้อร้ายอาจลุกลามสู่เส้นประสาท กลืนลำบาก น้ำลายเหนียว พูดไม่ชัด ต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโตอย่างผิดปกติ หากมีอาการข้างต้นควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำลาย ซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์หูคอจมูก อัลตราซาวด์/CT Scan/MRI เพื่อประเมินขนาดและตำแหน่งของก้อน การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) หรือการผ่าตัดต่อมน้ำลายออกไปตรวจทางพยาธิวิทยา PET Scan ในกรณีต้องประเมินการแพร่กระจาย ระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Cancer Staging) ระยะ ลักษณะอาการ ระยะที่ 1 ก้อนเนื้อขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่ลุกลาม ระยะที่ 2 ก้อนเนื้อขนาด 2–4 ซม. ยังไม่ลุกลามต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 3 ขนาด > 4 ซม. หรือแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง ≤ 3 ซม. ระยะที่ 4 ลุกลามไปยังกระดูก เส้นประสาท ผิวหนัง หรือต่อมน้ำเหลืองขนาด > 3 ซม. แนวทางการรักษามะเร็งต่อมน้ำลาย 1. การผ่าตัด (Surgery) วิธีการหลักที่ใช้มากที่สุด พิจารณาผ่าตัดเฉพาะก้อน หรือรวมถึงการตัดต่อมน้ำเหลือง 2. การฉายรังสี (Radiotherapy) ใช้หลังการผ่าตัด หรือในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ ผลข้างเคียง: ปากแห้ง กลืนลำบาก ลิ้นชา 3. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้ในผู้ป่วยที่โรคลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำ มักใช้ร่วมกับการฉายรังสี 4. การรักษาแบบตรงเป้า (Targeted Therapy) อยู่ระหว่างการวิจัย อาจใช้ในมะเร็งบางชนิดที่มีตัวรับพิเศษ ผลข้างเคียงจากการฉายแสงที่ต่อมน้ำลาย อาการสำคัญ: น้ำลายแห้ง (Xerostomia) ปวดในช่องปาก เสี่ยงฟันผุสูง พูด กลืน และรับรสลำบาก วิธีลดผลข้างเคียง: ใช้เทคนิค IMRT (Intensity-Modulated Radiation Therapy) กระตุ้นต่อมน้ำลายด้วยยาหรือวิธีธรรมชาติ ...

ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร

0
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ผ่านการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และที่สำคัญคือการใช้ ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด อย่างเหมาะสม ซึ่งการใช้ยาต้องคำนึงถึงชนิดของโรคเบาหวาน ปริมาณอินซูลินที่ตับอ่อนสร้างได้ และลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย ความสำคัญของยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ยารักษาเบาหวานมีบทบาทในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น โรคไต โรคตา และโรคหัวใจ หากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ยารับประทาน (Oral Hypoglycemic Agents) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ยาอินซูลินฉีด (Insulin) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และกรณีรุนแรงของชนิดที่ 2 ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทาน 1. ยากลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides) ยา Metformin เป็นตัวแทนสำคัญของกลุ่มนี้ โดยทำหน้าที่ลดการผลิตกลูโคสจากตับ เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน และช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ชื่อการค้า: Glucophage, Diamet ข้อดี: ไม่ก่อให้เกิดน้ำตาลต่ำ ช่วยลดน้ำหนักเล็กน้อย ลดระดับไขมัน ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มใช้ยา ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมรุนแรง หรือโรคหัวใจรุนแรง เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะกรดแลคติก 2. ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินออกมา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ตับอ่อนยังมีความสามารถในการผลิตอินซูลิน ตัวอย่างยา: Glibenclamide (Daonil) Gliclazide (Diamicron) Glipizide (Minidiab) ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลหลังอาหารได้ดี ผลข้างเคียง: น้ำตาลในเลือดต่ำ (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ), น้ำหนักเพิ่ม ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตขั้นรุนแรง 3. ยาต้านแอลฟากลูโคซิเดส (α-Glucosidase Inhibitors) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตในลำไส้เล็ก จึงลดระดับน้ำตาลหลังอาหาร ชื่อยา: Acarbose (Glucobay), Voglibose (Basen) ผลข้างเคียง: ท้องอืด ลมในท้อง เรอ ท้องเสีย คำแนะนำ: รับประทานก่อนอาหาร พร้อมคำแนะนำเรื่องการเลือกประเภทอาหารอย่างเหมาะสม 4. ยากลุ่มไทแอโซลิดีนไดโอน (Thiazolidinediones - TZDs) เพิ่มความไวของอินซูลินที่ตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน ชื่อยา: Pioglitazone (Actos), Rosiglitazone (Avandia) ข้อดี: ลด HbA1c ได้ดี, เหมาะกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว, เสี่ยงต่อภาวะบวมน้ำ 5. ยากลุ่ม DPP-4 Inhibitors (ยากลุ่มใหม่) เพิ่มการหลั่งอินซูลินและลดการหลั่งกลูคากอน (ฮอร์โมนที่เพิ่มน้ำตาลในเลือด) ตามระดับน้ำตาล ชื่อยา: Sitagliptin (Januvia), Linagliptin (Trajenta), Saxagliptin ข้อดี: ไม่ทำให้น้ำตาลต่ำ น้ำหนักไม่เพิ่ม เหมาะกับ: ผู้สูงอายุ ผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ 6. ยากลุ่ม SGLT2 Inhibitors ลดการดูดซึมน้ำตาลที่ไต ช่วยให้ร่างกายขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ชื่อยา: Dapagliflozin (Forxiga), Empagliflozin (Jardiance) ข้อดี: ลดน้ำตาล ลดน้ำหนัก ลดความดัน และมีประโยชน์ต่อหัวใจ ข้อควรระวัง: ระวังภาวะขาดน้ำ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การฉีดอินซูลิน (Insulin Therapy) ข้อบ่งชี้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ด้วยยาเม็ด ...

เบาหวานลงไต คืออะไร? รู้จัก Diabetic Kidney Disease (DKD) 5 ระยะ + แนวทางรักษา

0
เบาหวานลงไต (Diabetic Kidney Disease; DKD) หรือเรียกว่า diabetic nephropathy เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อการทำงานของไต โดยมักจะเริ่มต้นจาก การกรองเลือดเกินปกติ (hyperfiltration) และมีปริมาณโปรตีนรั่วในปัสสาวะ โดยหากวางใจไม่ตรวจหรือควบคุมระดับน้ำตาลให้เข้มงวดดีเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ภาวะ ไตวายเรื้อรัง (end-stage renal disease; ESRD) ที่ต้องล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในที่สุด สาเหตุของเบาหวานลงไต น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังน้ำตาล (glucose) ที่สูงสะสมในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดขนาดเล็ก (microvasculature) ในไตค่อยๆ เสื่อม จนการกรองการทำงานของไตผิดปกติ ความดันโลหิตสูงร่วมด้วยผู้ป่วยเบาหวานควบคุมความดันไม่ดี ยิ่งเร่งกระบวนการเสื่อมของไต พันธุกรรมและเชื้อชาติมีงานวิจัยระบุว่า กลุ่มเชื้อชาติ เช่น แอฟริกัน-อเมริกัน มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิด DKD ระยะการเกิดโรคเบาหวานลงไต 5 ระยะ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ (เช่น PubMed, NCBI) พบว่า DKD แบ่งได้เป็น 5 ระยะ: ระยะที่ 1 – Hyperfiltration และ Hypertrophy เริ่มตั้งแต่เป็นเบาหวาน ไตกังวลเลือดเร็วขึ้น (GFR สูงเกินปกติ) และขนาดไตใหญ่ขึ้น ยังไม่มีอาการหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ระยะที่ 2 – Silent Morphologic Lesions ผ่านไปหลายปีหลังเริ่มเป็น มีความผิดปกติทางเนื้อเยื่อ แต่ยังไม่มีโปรตีนรั่วหรือแสดงอาการ ระยะที่ 3 – Microalbuminuria หลังเป็นเบาหวาน 10–15 ปี ตรวจพบโปรตีน (เฉพาะ microalbumin) ในปัสสาวะ ความดันเริ่มสูงขึ้น แต่ GFR ยังปกติ ระยะที่ 4 – Macroalbuminuria & Declining GFR ปัสสาวะมีโปรตีนเยอะ (มัก >0.5 g/day) ไตเริ่มเสื่อม GFR ลดลง เกิดอาการ เช่น ซีด คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย ระยะที่ 5 – ESRD (End-Stage Renal Disease) ไตกำลังวายเฉียบพลัน ต้องฟอกเลือดหรือล้างไต (peritoneal or hemodialysis) หากไม่รักษาอาจเสียชีวิตได้ วิธีวินิจฉัย DKD ตรวจปัสสาวะ Albumin-Creatinine Ratio (ACR): เมื่อ >30 mg/g ถือว่ามี microalbuminuria (ระยะ 3) ตรวจเลือด Serum Creatinine + eGFR เพื่อประเมินค่าการกรองของไต ตรวจความดันโลหิต, ตรวจไขมัน (LDL, HDL, TG), ตรวจน้ำตาล (A1C) หากขั้น 3–4 ควรส่งต่อพบผู้เชี่ยวชาญด้านไต (nephrologist) แนวทางป้องกันและรักษา ควบคุมระดับน้ำตาล (Glycemic Control) ตั้งเป้า HbA1C อยู่ระหว่าง 6.5–7%...

เบาหวานขณะตั้งครรภ์: ความเสี่ยง วิธีป้องกัน และการดูแล

0
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus, GDM) เป็นภาวะที่ผู้หญิงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งจากการเป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ หรือเกิดขึ้นเฉพาะช่วงนั้น ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์ได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง 1. ทำความเข้าใจ GDM: มาจากไหนอย่างไร? ผู้ป่วยเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว – ได้แก่ผู้ที่เป็น Type 1 หรือ Type 2 และยังควบคุมได้ไม่ดี เบาหวานเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ – เกิดเมื่อฮอร์โมนจากรกไปขัดขวางอินซูลิน ส่งผลให้การนำกลูโคสเข้าร่างกายไม่เพียงพอ 2. ทำไมต้องคัดกรองในช่วง 24–28 สัปดาห์? เมื่อครรภ์เข้าสัปดาห์ที่ 24–28 ร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนต้านอินซูลิน ทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานเฉพาะช่วงนี้สูง วิธีทดสอบแบบ OGTT: ดื่มน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม ตรวจน้ำตาลเลือดผ่าน 1 ชั่วโมง ถ้าระดับ ≥ 140 มก./ดล → ต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม หากตรวจยืนยันว่าเป็น GDM แพทย์จะติดตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การตั้งครรภ์จนคลอด 3. ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสี่ยงเข้าใกล้ GDM อายุแม่กว่า 30 ปี ประวัติครอบครัวมีเบาหวาน น้ำหนักเกินหรืออ้วน ปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์มาก่อน เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักมาก โรคความดันสูง การติดเชื้อซ้ำบ่อย ประวัติโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก่อนหน้า 4. ยังไงเป็น GDM ส่งผลร้ายต่อตัวแม่-ลูกอย่างไร? 4.1 ผลต่อคุณแม่ น้ำตาลในเลือดแปรปรวน ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น hypoglycemia หรือ ketoacidosis ไต ตา หลอดเลือด ปลายประสาท เสี่ยงถูกทำลายรุนแรง ความดันโลหิตสูง หรือ preeclampsia ติดเชื้อง่าย โดยเฉพาะทางเดินปัสสาวะและผิวหนัง 4.2 ผลต่อลูก in utero ตัวโตน้ำหนักเกิน → เสี่ยงคลอดยาก หรือจำเป็นต้องผ่าคลอด เสี่ยง คลอดก่อนกำหนด เกิดปัญหา น้ำตาลเลือดต่ำหลังคลอด มีโอกาสเป็น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เสี่ยง ตัวเหลือง (Jaundice) หรือ กรดเลือดสูง (acidosis) โอกาสพิการแต่กำเนิด เช่น spina bifida หรือ កុមារស្លាកចិត្ត 5. ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์? หากมีเงื่อนไขเหล่านี้ ควรได้รับคำปรึกษาอย่างละเอียดก่อน: โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรง การเสื่อมของไต เบาหวานขึ้นจอประสาทตาอย่างรุนแรง ความดันสูงอย่างควบคุมไม่ได้ (>140/90) ปัญหาอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง หรือหิวไม่หยุด 6. การเตรียมก่อนไข่ตก – “Pre-pregnancy planning” ระดับน้ำตาลก่อนตั้งครรภ์ต้องใกล้เคียงปกติ ควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม ตรวจสุขภาพรักษาครบทุกระบบ เช่น ตา ไต หัวใจ วางทีมสุขภาพ – รวมสูตินรีแพทย์, นักโภชนาการ, พยาบาล, ทีมเบาหวานเด็กในกรณีต้องการ วางแผนการรักษาแบบมีขั้นตอน กำหนดช่วงหยุดยาบางชนิดหรือปรับเปลี่ยนสูตรยา ให้ความรู้การตั้งครรภ์ – อาการอันตราย วิธีวัดน้ำตาล วิธีดีท็อกซ์ 7. การจัดการโรคระหว่างตั้งครรภ์ 7.1 วิธีควบคุมระดับน้ำตาล โภชนาการ: ลดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ทานโปรตีนคุณภาพสูง และไฟเบอร์ ตรวจน้ำตาล: ทั้ง fasting และ...

การออกกำลังกายที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวาน: วิธีดูแลน้ำตาลอย่างยั่งยืน

0
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) คือภาวะที่ร่างกายมีปัญหาในการควบคุมน้ำตาลในเลือด อาจเพราะขาดอินซูลิน (Type 1) หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน (Type 2) ซึ่งกิจกรรมทางกาย เช่น การออกกำลังกาย มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงระดับน้ำตาล ลดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยเบาหวาน ทำไมการออกกำลังกายถึงสำคัญ? ลดระดับน้ำตาลได้โดยตรง– กล้ามเนื้อใช้กลูโคสระหว่างออกกำลังกาย จึงช่วยลดน้ำตาลเลือดได้ เพิ่มความไวต่ออินซูลิน– การออกกำลังกายกระตุ้นตัวรับอินซูลินที่กล้ามเนื้อ ลดไขมันและความดัน– ลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ควบคุมน้ำหนัก– ลดภาระที่ร่างกายต้องพยายามควบคุมน้ำตาล ดูแลสุขภาพจิต– ลดความเครียดซึ่งช่วยควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น ชนิดการออกกำลังกายที่เหมาะกับเบาหวาน ประเภท คำอธิบาย ข้อแนะนำ แอโรบิก (Aerobic) เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ช่วยใช้น้ำตาลได้ดี 150 นาที/สัปดาห์ ฝึกความแข็งแรง (Resistance) ดัมเบล, ยางยืด, สควอทช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ ยืดเหยียด (Stretching) โยคะ พิลาทิส ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด & ลดอาการเท้าชา ทุกวันหลังออกกำลังกาย กิจกรรมชีวิตประจำวัน ทำสวน เดินขึ้น–ลงบันได ช่วยการเผาผลาญ ห่างกันนาน 30 นาทีควรขยับแล้ว ช่วงเวลาแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วงเย็น (15.00–17.00 น.) ร่างกายไม่ร้อนเกินไป และยังไม่กระทบไข่พลังงานมาก ก่อนออกกำลังกาย ทานอาหารว่าง: ขนมปังโฮลวีต + เนยถั่ว ผู้ใช้ยา/อินซูลิน ต้องวัดน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย เริ่มต้นที่ช่วงสั้น ๆ (10–20 นาที) แล้วค่อยเพิ่ม ก่อนเริ่ม– ต้องเช็คอะไรบ้าง? ปรึกษาแพทย์/นักกายภาพบำบัด : ตรวจการเต้นหัวใจ ความดัน และสุขภาพเท้า วัดน้ำตาลก่อนออกกำลังกาย เพื่อความปลอดภัย ตั้งเป้าหมาย SMART: สไตล์ (Specific) เช่น เดินเร็ว 30 นาที, วัดผลซ้ำ, ปรับยืดหยุ่น มีอาหารว่าง + น้ำเพียงพอ ติดตัวเสมอ และใส่เสื้อผ้า/รองเท้าที่ดูดซับเหงื่อได้ดี ตารางออกกำลังกายตัวอย่าง 12 สัปดาห์ สัปดาห์ แอโรบิก (ครั้ง/สัปดาห์) แรงต้าน (ครั้ง/สัปดาห์) 1–2 เดินเร็ว 2 ครั้ง / สัปดาห์ Body weight 2 ครั้ง 3–4 เดินเร็ว 3 ครั้ง เพิ่ม 1 ครั้ง 5–8 วิ่งเบา 2, เดินเร็ว 1 เพิ่ม ดัมเบลเบา 9–12 วิ่ง 3 ครั้ง เพิ่มดัมเบล–ขยับ reps เกณฑ์ความเข้มข้น – RATE OF PERCEIVED EXERTION (RPE) ระดับ 3–4/10 (เล็กน้อยถึงเริ่มหนัก) สำหรับผู้เริ่มต้น เซ็นเซอร์ร่างกาย: หัวใจเต้นเล็กน้อย เหงื่อเล็ด แต่คุยได้ไม่ติดขัด ฝึกความแข็งแรง: กล้ามเนื้อเหนื่อยแต่ยังควบคุมท่าทางได้ เมื่อไรควรหยุดออกกำลังกาย? รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจลำบากมาก เหงื่อเยอะคลื่นไส้ อาการเท้าบวม รู้สึกชา สิ้นสุดสภาพ น้ำตาลต่ำกว่า 70 หรือสูงเกิน 300 mg/dL กังวลใจเรื่องหิวน้ำหรือการตื่นไม่ทัน ประโยชน์ถี่ ๆ ของการออกกำลังกาย ลดน้ำตาล เฉลี่ย 6–12 mg/dL หลัง 12–16 สัปดาห์ ลด LDL ไขมันที่ไม่ดี...

อาการและภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน – รู้ทัน ป้องกัน ได้ชีวิตที่ดี

0
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1), ชนิดที่ 2 (Type 2) และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes) แม้ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่หากไม่ดูแลอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ในบทความนี้ เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับ: อาการเบื้องต้นที่ผู้ป่วยมักรู้สึกเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนแต่ละชนิด วิธีดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ แนวทางป้องกันและควบคุม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น 1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) สาเหตุที่พบบ่อย การฉีดอินซูลินหรือรับประทานยาลดน้ำตาลที่มากเกินไป ออกกำลังกายโดยไม่ทานอาหารรองท้อง กินอาหารน้อยหรือผิดเวลาที่กำหนด อาการแสดง เหงื่อออก ตัวเย็น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว เวียนหัว มึนงง มึนศีรษะ ปากชาหรือปลายนิ้วชาผิดปกติ ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด หรือเกิดอาการชัก / หมดสติ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น รับประทานน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรืออาหารว่างมีน้ำตาล เช่น ขนมปังทาแยม นั่งหรือนอนพักจนระดับน้ำตาลกลับปกติ (10–15 นาที) หลังอาการดีขึ้น ควรทานอาหารมื้อหลักหรือของว่างตามมาตรฐาน วิธีป้องกัน ปฏิบัติตามแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องยา อาหาร และกิจกรรม ตรวจระดับน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย เตรียมของว่างหรือขนมเล็ก ๆ ติดตัวเสมอ ใส่บัตรผู้ป่วยเบาหวาน และแจ้งคนใกล้ชิดวิธีช่วยกรณีฉุกเฉิน 2. ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Postural Hypotension) สาเหตุที่เกี่ยวข้อง ร่างกายปรับความดันไม่ทันเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ การใช้ยาที่อาจลดความดันโลหิต เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาเบาหวานบางชนิด อาการ เวียนศีรษะ หน้ามืดเมื่อลุกจากที่นอนหรือยืน อาจสูญเสียการทรงตัวหรือเป็นลม วิธีป้องกันและดูแล เปลี่ยนท่านั่ง–ยืนช้า ๆ หลีกเลี่ยงการใช้งานยาที่ลดความดันโดยไม่จำเป็น ปรับท่านอนโดยยกหัวเตียงประมาณ 30–45° หากจำเป็น อาจใช้ยาเฉพาะตามคำปรึกษาแพทย์ 3. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Pseudomotor Dysfunction) สาเหตุ โรคเบาหวานอาจทำลายเส้นประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่อการควบคุมเหงื่อ อาการ เหงื่อออกมากผิดปกติทั้งใบหน้า ลำตัว และแขน ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ วิธีดูแล หลีกเลี่ยงบริเวณร้อนหรืออากาศไม่ถ่ายเท สวมเสื้อผ้าระบายอากาศ หลีกเลี่ยงการร้อนเกิน 4. ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชาย (Impotence) สาเหตุร่วม เบาหวานทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท ปัจจัยอื่นร่วม เช่น ความเครียด ความดันสูง และสูบบุหรี่ อาการ อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพียงพอต่อการร่วมเพศ วิธีดูแล ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา (ไวอากร้า, ยาฉีด Cavergject) หรือใช้เครื่องช่วยทางการแพทย์จากแพทย์ หลีกเลี่ยงบุหรี่ และดูแลสุขภาพโดยรวม 5. ภาวะระบบทางเดินอาหารผิดปกติ 5.1 หลอดอาหาร กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก หรืออักเสบ–ติดเชื้อรา 5.2 กระเพาะอาหารช้า คลื่นไส้ แน่นท้อง เรือกรดแกว่ง เสี่ยงต่อการควบคุมน้ำตาลยากขึ้น 5.3 ถุงน้ำดี เสี่ยงนิ่ว แพทย์อาจแนะนำผ่าตัดในรายจำเป็น 5.4 ระบบขับถ่าย ท้องเสีย สลับกับท้องผูก หรือกลั้นไม่อยู่ แนวทางรักษา: ใช้ยาและฝึกกล้ามเนื้อหูรูดตามแพทย์ 5.5 ปวดท้องโดยทั่วไป สาเหตุอาจเกิดจากแผลในกระเพาะ ถุงน้ำดี หรือการอักเสบอื่น ๆ 6. ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ (Bladder Dysfunction) อาการ ปัสสาวะไม่ถี่ หรือเบ่งนาน ปัสสาวะหยุด–เริ่มไม่ได้ หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ วิธีดูแล ฝึกพฤติกรรมการปัสสาวะ รับยาควบคุมตามคำแนะนำแพทย์ ในบางรายอาจต้องสวนปัสสาวะ 7. ภาวะติดเชื้อต่าง ๆ (Infections) ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงติดเชื้อง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานต่ำกว่าคนทั่วไป เช่น 7.1 ติดเชื้อผิวหนัง/เนื้อตาย ...

น้ำตาลคืออะไร? จุดเริ่มต้น! วิธีกินอย่างไรไม่อ้วน ไม่เบาหวานคุมได้

0
น้ำตาลจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใย และเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็ย่อยสลายรวดเร็ว ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อน้ำตาล 1 กรัม — เทียบเท่าแคลอรีเท่าข้าวประมาณครึ่งทัพพี! แต่ไม่มีวิตามิน แร่ธาตุ หรือกากใย จึงมักถูกเรียกว่า “พลังงานเปล่า” ซึ่งหากบริโภคเกินจำเป็น จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายมิติ น้ำตาลประเภทใดมีผลต่อสุขภาพ? น้ำตาลธรรมชาติ (Natural sugar): พบในผลไม้ นม โยเกิร์ต มีทั้งประโยชน์และไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึม น้ำตาลเติม (Added / Free sugar): ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำผลไม้เข้มข้น และน้ำตาลในขนม แปรรูป ซึ่งเพิ่มพลังงานโดยไม่ให้สารอาหารอื่น จึงเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคน้ำตาลเติมรวมไม่เกิน 10% ของพลังงานต่อวัน และถ้ามีน้ำตาลน้อยกว่า 5% หรือประมาณ 25 กรัม (6 ช้อนชา) จะช่วยลดความเสี่ยงดีขึ้น  ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำในสหรัฐฯ และ UK ที่จำกัดน้ำตาลเติมไม่เกิน 10% ของพลังงาน  ทำไมน้ำตาลถึงเป็นศัตรูต่อร่างกาย? เพิ่มความเสี่ยงโรคฟันผุน้ำตาลเติมเป็นสารตั้งต้นให้แบคทีเรียในช่องปากสร้างกรด ทำลายเคลือบฟัน WHO ชี้ว่าการลดน้ำตาล <10% ช่วยลดฟันผุได้ชัดเจน น้ำหนักเกิน / อ้วนเป็นแคลอรีเพิ่มโดยไม่มีประโยชน์ เสี่ยงโยกไปเก็บเป็นไขมัน → น้ำหนักขึ้น เพิ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง (NCDs)มีงานวิจัยเชื่อมโยงกับเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ตับมัน และแม้แต่บางมะเร็ง กระตุ้นการอักเสบและความดันเลือดสูงน้ำตาลกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระ และอาจเพิ่มการอักเสบเรื้อรัง ก่อให้เกิดโรคเบาหวานแม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การกินน้ำตาลเกิน → น้ำหนักขึ้น → โรคเบาหวาน  เบาหวาน (Diabetes): ข้อมูลปัจจุบันที่ควรรู้ โรคเบาหวานเป็นภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก: 1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1) ร่างกายไม่ผลิตอินซูลิน ต้องใช้การฉีดอินซูลินตลอดชีวิต พบในเด็ก/วัยรุ่น ประมาณ 9.5 ล้านคนทั่วโลกในปี 2025 2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2) เป็นมากที่สุดทั่วโลก (>= 90%) ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน หรือผลิตไม่พอ เกิดจากพฤติกรรม อาหาร น้ำหนักเกิน พบในผู้ใช้ชีวิตเมือง การเข้าสู่สังคมแก่ตัวลง ปี 2025: ผู้ใหญ่ทั่วโลกมีโรคเบาหวานถึง 11.1% หรือ 1 ใน 9 คน และมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 1 ใน 8 คน (≈ 853 ล้าน) ในปี 2050  นอกจากนี้ ยังมี 252 ล้านที่ยังไม่ทราบว่าตนเองป่วย ส่งผลต่อความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้น 3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เกิดเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วหายหลังคลอด แต่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต น้ำตาลกับเบาหวาน: เกิดจากน้ำตาลหรือไม่? แม้บริโภคน้ำตาลไม่ใช่สาเหตุตรงของโรคเบาหวาน แต่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการดังนี้: น้ำตาลเกิน → พลังงานสะสม → อ้วน → ต้านอินซูลิน → โรคเบาหวานชนิดที่ 2  ชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่เกี่ยวกับอาหารสุทธิ องค์การชีวอนามัยโลก (WHO) ชี้ หากลดน้ำตาล <10% ของพลังงาน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของเบาหวาน  แนวทางบริโภคน้ำตาลอย่างสมดุล ข้อแนะนำจากองค์กรสุขภาพ WHO: ลดน้ำตาลเติม <10% ของพลังงาน ต่อวัน (5%...

มะเร็งช่องปากคืออะไร? สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาโรคมะเร็งในช่องปาก

0
มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) คือโรคเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของช่องปาก ไม่ว่าจะเป็น ริมฝีปาก ลิ้น เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม พื้นปาก หรือบริเวณคอหอย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีการติดเชื้อ HPV จะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แม้มะเร็งช่องปากจะพบได้น้อยกว่ามะเร็งในอวัยวะอื่น แต่ความร้ายแรงของมันก็ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหากตรวจพบในระยะลุกลาม ทำความเข้าใจกับมะเร็งช่องปาก ช่องปากประกอบด้วยหลายเนื้อเยื่อที่มีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ เช่น ริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก และเนื้อเยื่อใกล้เคียง รวมไปถึงฐานลิ้นและต่อมทอนซิล หากเซลล์ในจุดใดจุดหนึ่งมีการแบ่งตัวผิดปกติและไม่หยุดยั้ง จะก่อให้เกิด “ก้อนเนื้อร้าย” หรือมะเร็งในที่สุด สาเหตุของมะเร็งช่องปาก การเกิดมะเร็งช่องปากมักไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของปัจจัยต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่และยาสูบ: ทั้งบุหรี่ซอง บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบมวน การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก: เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ การเคี้ยวหมาก ยาฉุน: ทำให้เยื่อบุช่องปากระคายเคืองเรื้อรัง การติดเชื้อไวรัส HPV ชนิด 16: โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี: เช่น ฟันผุเรื้อรัง เหงือกอักเสบ การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน: กรณีที่มะเร็งเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปาก กลุ่มเสี่ยงของโรคมะเร็งช่องปาก ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า คนที่ไม่พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ อาการของมะเร็งช่องปาก มะเร็งช่องปากมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม อาจพบอาการดังต่อไปนี้: แผลในช่องปากที่หายช้า (นานเกิน 2 สัปดาห์) ก้อนแข็งหรือเนื้อแปลกปลอมในปากหรือคอ เจ็บคอ กลืนลำบาก ชาหรือรู้สึกไม่ปกติที่ลิ้นหรือริมฝีปาก มีเลือดออกในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ มีกลิ่นปากเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตผิดปกติ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ การวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก การวินิจฉัยทำโดยแพทย์หู คอ จมูก หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง มีขั้นตอนดังนี้: การตรวจร่างกายและซักประวัติ ตรวจดูแผลหรือก้อนผิดปกติในช่องปาก การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อส่งตรวจพยาธิวิทยา อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น CT scan หรือ MRI เพื่อดูการลุกลาม ระยะของมะเร็งช่องปาก ระยะ ลักษณะของโรค ระยะที่ 1 ก้อนขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 2 ก้อนขนาด 2–4 ซม. ยังไม่มีการแพร่กระจาย ระยะที่ 3 ก้อน > 4 ซม. หรือแพร่ไปต่อมน้ำเหลือง 1 ต่อม ระยะที่ 4 ลุกลามเข้าสู่อวัยวะใกล้เคียง ต่อมน้ำเหลืองหลายจุด หรือแพร่ไปอวัยวะไกล การรักษามะเร็งช่องปาก แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพผู้ป่วย ได้แก่: 1. การผ่าตัด (Surgery) ใช้ตัดก้อนมะเร็งออก เหมาะสำหรับระยะต้น หรือเป็นก้อนที่ไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง 2. การฉายรังสี (Radiation Therapy) มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด หรือใช้เดี่ยวในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ 3. เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลาม หรือมีการแพร่กระจายสู่ร่างกาย 4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ในบางกรณีอาจพิจารณายารักษาเฉพาะเจาะจง เช่น Cetuximab ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การกลืนลำบาก การพูดลำบาก การสูญเสียความสามารถในการรับรส ความเจ็บปวดเรื้อรัง ความเสียหายของโครงสร้างใบหน้า แนวทางการป้องกันมะเร็งช่องปาก หยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ รักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ หมั่นสังเกตแผลหรือก้อนในปาก รับวัคซีน HPV ในช่วงอายุที่เหมาะสม พบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เมื่อไรควรพบแพทย์? ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้: แผลในปากไม่หายเกิน 2 สัปดาห์ มีก้อนแข็งหรือบวมในช่องปาก กลืนอาหารลำบาก ...

มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) – สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

0
1. รู้จักมะเร็งผิวหนัง คืออะไร? มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) คือภาวะที่เซลล์ผิวหนังกลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ จนกลายเป็นเนื้องอก ซึ่งอาจอยู่เฉพาะที่หรือแพร่กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่ออื่นได้ โดยมะเร็งผิวหนังมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่: Basal Cell Carcinoma (BCC) – เริ่มต้นจากเซลล์ฐานผิวหนัง มักเกิดบริเวณที่โดนแดดมาก เช่น หน้า ใบหู คอ Squamous Cell Carcinoma (SCC) – เกิดจากเซลล์ผิวนอก มักพบบริเวณริมฝีปาก หรือผิวหนังที่โดนแดด Malignant Melanoma (เมลาโนมา) – มะเร็งชนิดร้ายแรงที่สุด เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี พบได้ที่ไฝปรากฎอาการผิดปกติ มะเร็งผิวหนังเกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบมากในคนผิวขาว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแสงแดดจัด หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคผิวหนัง 2. บทบาทของผิวหนังและความเสี่ยงจากแดด ผิวหนังเป็นอวัยวะปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมและช่วยรักษาอุณหภูมิ โดยเฉพาะเม็ดสีเมลานินช่วยกรองแสง UV แต่หากได้รับแสง UVA/UVB มากเกินจำเป็น จะทำให้เซลล์เสียหายและกลายพันธุ์ จนเกิดมะเร็งได้ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ: โดนแดดจัดนาน (10.00–16.00 น.) ไม่มีผิวสีคล้ำ หรือเป็นคนเชื้อชาติยุโรป มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง เคยมีแผลเรื้อรัง หรือได้รับรังสีชนิดอื่น (X-ray) มีภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน 3. สัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนัง มะเร็งผิวหนังระยะแรกอาจไม่มีอาการชัด แต่หากเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที: ก้อนเนื้อหรือแผลที่ผิวหนังเปลี่ยนแปลงเรื้อรัง ไฝหรือปานที่มีขอบไม่ชัด สีไม่สม่ำเสมอ โตเร็ว หรือเลือดออก รอยแดงหรือปื้นขรุขระตามที่โดนแดด ติดแผลและหายยาก ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโตขึ้นแต่ไม่เจ็บ ลักษณะน่ากังวลสำหรับเมลาโนมา (ชื่อย่อ ABCDE): Asymmetry: ไม่สมมาตร Border: ขอบไม่ชัดหรือหยัก Color: สีไม่ uniform Diameter: ขนาด > 6 มม. Evolving: มีการเปลี่ยนแปลง 4. การวินิจฉัยและการจัดระยะของโรค แพทย์จะติดตามอาการ และตรวจเพิ่มเติมดังนี้: ตรวจร่างกาย ซักประวัติ แผลที่ผ่านมา และตรวจเซลล์ผิว ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ส่งตรวจพยาธิวิทยา CT / MRI / Ultrasound / PET scan ใช้ในกรณีสงสัยว่าแพร่กระจาย การแบ่งระยะ (TNM staging): ระยะ 0: หัวเร็ว การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ผิวชั้นบน ระยะ I–II: ขนาดก้อนเพิ่มขึ้น <2–4 ซม. ระยะ III: เริ่มแพร่เข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง ระยะ IV: แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง สำหรับเมลาโนมา ใช้เกณฑ์ Breslow Depth และการแพร่กระจายเพื่อประเมินความรุนแรง 5. การรักษามะเร็งผิวหนัง 5.1 ผ่าตัด (Surgery) Excision: ตัดผิวหนังแผลกว้างเพื่อกำจัดเชื้อ Mohs micrographic surgery: เหมาะกับผิวหนังใบหน้า แผลน้อย ฟื้นตัวดี 5.2 การใช้รังสีรักษา (Radiotherapy) ใช้ในกรณีผ่าตัดไปได้ไม่หมด หรือผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้ 5.3 เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้หลังก้อนใหญ่ แพร่กระจาย หรือร่วมกับการรักษาอื่น 5.4...

มะเร็งโพรงไซนัส หรือมะเร็งโพรงจมูก: สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย และการรักษา

0
มะเร็งโพรงไซนัส และโพรงจมูก คืออะไร? มะเร็งโพรงไซนัส (Sinonasal Cancer) และ มะเร็งโพรงจมูก (Nasal Cavity Cancer) คือโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อภายในโพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้าและภายในจมูก โดยโพรงไซนัสมีหน้าที่สร้างน้ำเมือกหล่อเลี้ยงทางเดินหายใจ ขณะที่โพรงจมูกทำหน้าที่กรองและให้ความชื้นกับอากาศก่อนเข้าสู่ปอด แม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่หากตรวจพบล่าช้าหรือรักษาไม่ทันท่วงที โรคอาจลุกลามเข้าสู่สมอง ดวงตา หรือโพรงฐานกะโหลกได้ ความสำคัญของโพรงไซนัสและโพรงจมูกในระบบทางเดินหายใจ โพรงไซนัส (Sinuses) ประกอบด้วย: โหนกแก้ม (Maxillary sinuses) หน้าผาก (Frontal sinuses) ข้างจมูก (Ethmoid sinuses) ฐานกะโหลก (Sphenoid sinuses) โพรงเหล่านี้ช่วยให้น้ำหนักของกะโหลกศีรษะเบาลง กรองฝุ่น เสริมความกังวานของเสียง และสร้างเมือกเพื่อดักจับสิ่งสกปรก หากเซลล์เยื่อบุภายในผิดปกติ อาจกลายพันธุ์และพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้ สาเหตุของมะเร็งโพรงไซนัสและมะเร็งโพรงจมูก ถึงปัจจุบันยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่: 1. การสัมผัสมลพิษและฝุ่นในที่ทำงาน คนที่ทำงานกับไม้ ขี้เลื่อย แร่ใยหิน หรือฟอร์มาลดีไฮด์มีความเสี่ยงสูง การสูดฝุ่นในโรงงาน หรืองานก่อสร้างในระยะยาว 2. การติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ Epstein-Barr Virus (EBV) มีความสัมพันธ์กับมะเร็งโพรงจมูกบางชนิด 3. พันธุกรรมและความผิดปกติของเซลล์ มีรายงานว่าเซลล์ที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติสามารถก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งได้ 4. การรับประทานอาหารหมักดองหรือสารก่อมะเร็งสะสม ไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็งจากอาหารหมัก) เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นสำคัญ มะเร็งชนิดต่างๆ ที่พบบ่อยในโพรงจมูกและไซนัส Squamous cell carcinoma: พบมากที่สุด รุนแรงปานกลาง Adenocarcinoma: เกิดจากเซลล์เยื่อบุของต่อม Melanoma, Sarcoma, Lymphoma: พบได้น้อยแต่รุนแรงมาก กลุ่มเสี่ยง ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป คนที่ทำงานในโรงงานไม้ เหมืองแร่ โรงงานเคมี ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งในกลุ่มศีรษะและลำคอ อาการของมะเร็งโพรงไซนัสและโพรงจมูก เนื่องจากอาการในระยะแรกคล้ายโรคภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบ จึงมักถูกมองข้าม อาการสำคัญที่ควรสังเกต: คัดจมูกเรื้อรังข้างเดียว เลือดกำเดาไหลบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ น้ำมูกมีเลือดปน กลิ่นปากเรื้อรัง ปวดใบหน้า หน้าบวม คลำเจอก้อนที่ลำคอหรือใต้คาง มองเห็นภาพซ้อน ปวดฟันหรือเหงือกโดยไม่ทราบสาเหตุ วิธีวินิจฉัยมะเร็งโพรงไซนัส การซักประวัติและตรวจร่างกาย การส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy): ดูก้อนเนื้อโดยตรง การตรวจ CT Scan หรือ MRI: วัดขนาดและการลุกลามของก้อน การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): ตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็งโพรงไซนัส ระยะ รายละเอียด ระยะที่ 1 มะเร็งยังอยู่เฉพาะในโพรงเดียว ระยะที่ 2 ลุกลามไปมากกว่า 1 โพรง หรือเริ่มกระทบกระดูก ระยะที่ 3 กระจายสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น ดวงตา หรือผิวหนัง ระยะที่ 4 ลุกลามไปยังสมอง ฐานกะโหลก หรือแพร่กระจายไกล (metastasis)   วิธีการรักษามะเร็งโพรงไซนัส 1. การผ่าตัด (Surgery) ใช้ในกรณีที่ก้อนยังไม่ลุกลามหรือสามารถเข้าถึงได้ 2. รังสีรักษา (Radiotherapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งหรือใช้เสริมหลังการผ่าตัด 3. เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้ร่วมกับรังสีในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้หรือเพื่อลดขนาดก้อนก่อนการผ่าตัด 4. การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) ในระยะท้ายเพื่อควบคุมอาการและคุณภาพชีวิต การป้องกันมะเร็งโพรงไซนัสและโพรงจมูก สวมหน้ากากกรองฝุ่น N95 ในที่ทำงานที่มีฝุ่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารสด สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ความหวังในการรักษาและพยากรณ์โรค หากตรวจพบในระยะแรก มะเร็งโพรงไซนัสสามารถรักษาให้หายได้ และอัตรารอดชีวิตจะสูงกว่า 70% แต่หากพบในระยะลุกลาม โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย อย่าละเลยอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะหากเกิดซ้ำข้างเดียว ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก ยึดตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด เสริมสร้างสุขภาพจิตใจให้เข้มแข็ง มีญาติหรือเพื่อนร่วมให้กำลังใจระหว่างการรักษา คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q: มะเร็งโพรงไซนัสพบได้บ่อยหรือไม่? A: พบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น...

มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal Cancer): สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

0
มะเร็งหลังโพรงจมูก หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Nasopharyngeal Cancer คือมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหลังของโพรงจมูก ซึ่งเป็นบริเวณเชื่อมต่อระหว่างจมูกและลำคอ โดยทั่วไปแล้วโรคนี้พบได้มากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเพศชายที่มีอายุระหว่าง 40–60 ปี การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้อย่างมีนัยสำคัญ มะเร็งหลังโพรงจมูกคืออะไร? มะเร็งหลังโพรงจมูก เป็นเนื้อร้ายที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์บริเวณเยื่อบุด้านในของโพรงจมูกด้านหลัง ซึ่งสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น ลำคอ เส้นประสาท สมอง และต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ โดยเฉพาะหากปล่อยไว้นานโดยไม่รับการรักษา ตำแหน่งของโพรงหลังจมูก หรือ "Nasopharynx" อยู่ด้านหลังโพรงจมูก เหนือช่องคอ และใต้ฐานสมอง การวินิจฉัยจึงอาศัยวิธีเฉพาะ เช่น การส่องกล้อง หรือการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูก 1. พันธุกรรม มีหลักฐานว่าพันธุกรรม โดยเฉพาะยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์ เช่น p53 อาจมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดนี้ 2. การติดเชื้อไวรัส Epstein–Barr Virus (EBV) ไวรัส EBV เป็นปัจจัยที่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของเซลล์ในโพรงจมูก โดยเฉพาะในประชากรเอเชียและชาวจีนตอนใต้ 3. สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต การได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น ไนโตรซามีน (จากอาหารหมักดองหรืออาหารรมควัน) การสูบบุหรี่ หรือการสัมผัสกับฝุ่นควัน อากาศที่มีมลพิษในระดับสูง 4. อาหารการกิน อาหารที่มีสารก่อมะเร็งสูง เช่น ปลาเค็ม หมูดิบ อาหารแปรรูป เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ในโพรงจมูกได้ อาการของมะเร็งหลังโพรงจมูก โรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามจะพบอาการหลากหลาย ดังนี้: คัดจมูกเรื้อรังข้างเดียว มีเลือดปนในน้ำมูกหรือเลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะเรื้อรังหรืออาการไมเกรนแบบเฉียบพลัน หูอื้อ หรือสูญเสียการได้ยินข้างเดียว ปวดใบหน้า หรือใบหน้าชา ตาเหล่หรือเห็นภาพซ้อน มีก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ กลืนลำบาก เสียงเปลี่ยน การที่ผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกแสดงอาการในตำแหน่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับทิศทางที่ก้อนเนื้อลุกลามไป วิธีการวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก การวินิจฉัยโรคจะประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้: 1. การตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก การส่องกล้องโพรงจมูกเพื่อหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติ 2. การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อตรวจยืนยันทางพยาธิวิทยาว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ 3. การตรวจทางรังสีวิทยา CT Scan หรือ MRI เพื่อตรวจการลุกลามของก้อนมะเร็ง  PET Scan เพื่อค้นหาการกระจายของโรคไปยังอวัยวะอื่น ระยะของมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งชนิดนี้แบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ดังนี้: ระยะ ลักษณะ ระยะที่ 1 มะเร็งจำกัดเฉพาะในโพรงหลังจมูก ระยะที่ 2 ลุกลามเข้าสู่โพรงคอหอย หรือต่อมน้ำเหลืองขนาดไม่เกิน 6 ซม. ระยะที่ 3 ลุกลามถึงฐานกระโหลกหรือกล้ามเนื้อลึก ระยะที่ 4 ลุกลามไปยังสมอง ตา หรืออวัยวะอื่นที่ห่างไกล เช่น ปอด วิธีการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก 1. การฉายรังสี (Radiotherapy) เป็นการรักษาหลัก โดยใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งเฉพาะ มีความแม่นยำสูง เช่น IMRT (Intensity-Modulated Radiotherapy) 2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) มักใช้ร่วมกับรังสี โดยเฉพาะในระยะที่ลุกลาม การให้ยาเคมีจะช่วยควบคุมการกระจายของเซลล์มะเร็ง 3. การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่มีเนื้องอกตกค้างหรือมีการกลับเป็นซ้ำเฉพาะที่ แม้จะไม่ใช่วิธีหลักในการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก 4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) สำหรับผู้ป่วยระยะลุกลามที่ไม่สามารถรับเคมีบำบัด อาจใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับเซลล์มะเร็ง เช่น cetuximab การป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูก หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารแปรรูปที่มีสารไนโตรซามีน หยุดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ตรวจสุขภาพและพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ความหวังของผู้ป่วย อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกในระยะเริ่มต้นอยู่ที่ราว 70–90% ขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมและการตอบสนองต่อการรักษา หากตรวจพบตั้งแต่ระยะ 1–2 โอกาสหายขาดมีสูงมาก คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q1: มะเร็งหลังโพรงจมูกตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือไม่? A1: โดยทั่วไปมักไม่สามารถตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี ต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทาง เช่น การส่องกล้องจมูกหรือการตัดชิ้นเนื้อ Q2: มะเร็งโพรงหลังจมูกรักษาหายได้หรือไม่? A2: หากตรวจพบในระยะแรก มีโอกาสรักษาหายได้สูงโดยใช้การฉายรังสีร่วมกับเคมีบำบัด Q3: การติดเชื้อ EBV ทำให้เป็นมะเร็งโพรงหลังจมูกจริงหรือ? A3: ใช่ EBV...

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร? ตรวจหามะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วยปัสสาวะ

0
Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร? Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การตรวจวัดสารนี้ในปัสสาวะถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการคัดกรองมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว และไม่รุกล้ำร่างกาย จึงเหมาะสำหรับการเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ความสำคัญของ Urine BTA ในการตรวจหามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การตรวจ Urine BTA มีความสำคัญในด้านการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น เนื่องจากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก หากไม่ได้รับการตรวจเชิงรุก อาจทำให้โรคลุกลามโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง Urine BTA สามารถช่วยคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่สัมผัสสารเคมี หรือมีอาการปัสสาวะผิดปกติ การทำงานของ Bladder Tumor Antigen (BTA) สาร BTA จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์มะเร็งที่อยู่บริเวณเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นจะถูกขับออกมากับปัสสาวะ การตรวจหาค่านี้จึงสามารถทำได้ง่ายโดยไม่ต้องเจาะเลือดหรือส่องกล้อง ซึ่งทำให้สะดวกและลดความไม่สบายตัวของผู้ป่วยลงได้มาก วิธีการตรวจ Urine BTA ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ผู้ป่วยควรเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (midstream urine) ลงในภาชนะที่สะอาดและปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงการปัสสาวะครั้งแรกในตอนเช้า เพราะอาจมีความเข้มข้นของสารต่างๆ มากเกินไป นำตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสลายตัวของโปรตีน การเตรียมตัวก่อนตรวจ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงก่อนตรวจ งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำตามปกติ ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าผลตรวจ Urine BTA แม้ค่า Urine BTA จะสามารถช่วยคัดกรองมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ แต่ก็มีปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อน เช่น: การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ภาวะอักเสบเรื้อรัง เลือดปนในปัสสาวะ ค่าปกติและเกณฑ์การแปลผล BTA ค่า ปกติของ Urine BTA มักอยู่ที่ < 14 U/mL หากพบค่าสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติที่ควรตรวจซ้ำหรือทำการส่องกล้อง (Cystoscopy) เพื่อยืนยันผล ความแม่นยำของการตรวจ Urine BTA เทียบกับวิธีอื่น วิธีการตรวจ ความแม่นยำ ความรุกล้ำ เหมาะสำหรับ Urine BTA ปานกลาง ต่ำ คัดกรองเบื้องต้น Cystoscopy สูง สูง วินิจฉัยเฉพาะเจาะจง CT Urogram / MRI สูง ปานกลาง ประเมินระยะโรค Urine Cytology ปานกลาง ต่ำ คัดกรองเซลล์ผิดปกติ Urine BTA กับการติดตามการกลับเป็นซ้ำของโรค หลังการผ่าตัดหรือการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด การตรวจ Urine BTA เป็นระยะสามารถช่วยเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีแรกหลังการรักษา ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การสูบบุหรี่ (ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 3-4 เท่า) การสัมผัสสารเคมีในที่ทำงาน เช่น อะนิลีน หรืออุตสาหกรรมสี การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกรานในอดีต อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศชายอายุเกิน 60 ปี อาการที่ควรเฝ้าระวัง เลือดปนในปัสสาวะ (Hematuria) ปัสสาวะขัด ปวด หรือปัสสาวะบ่อยโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน ปวดหลังหรืออุ้งเชิงกรานโดยไม่ทราบสาเหตุ หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับค่า Urine BTA ที่สูง แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะทันที BTA เทียบกับ Tumor Markers อื่นๆ ตัวบ่งชี้ โรคหลักที่ใช้ตรวจ จุดเด่น Urine BTA มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ใช้ปัสสาวะ ตรวจง่าย NMP22 มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ใช้ร่วมกับ BTA ได้ดี CEA มะเร็งลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ ความแม่นยำเฉพาะโรคสูง CA 19-9 มะเร็งตับอ่อน, ท่อน้ำดี ใช้คู่กับภาพถ่ายรังสี ประโยชน์ของการตรวจ Urine BTA ร่วมกับการดูแลเชิงป้องกัน การตรวจ Urine BTA ร่วมกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น: ดื่มน้ำมากเพียงพอ (อย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน) รับประทานผัก...

โรคอ้วนกับโรคหลอดเลือดหัวใจ: ความเสี่ยงที่คุณควรรู้ พร้อมแนวทางป้องกัน

0
โรคอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคร้ายแรงหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนและภาวะหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนแนวทางการป้องกันที่สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง โรคอ้วน: ภัยเงียบที่สะสมโดยไม่รู้ตัว โรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยดัชนีมวลกาย (BMI) ที่มากกว่า 25 จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำหนักเกิน” และหากเกิน 30 จะเข้าสู่ระดับ “โรคอ้วน” โรคอ้วนเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการ พฤติกรรมเนือยนิ่ง ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ พันธุกรรม ฮอร์โมนในร่างกายที่ผิดปกติ เช่น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ “หัวใจ” โดยตรง ความเกี่ยวพันระหว่างโรคอ้วนและโรคหลอดเลือดหัวใจ การที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินสะสมมาก โดยเฉพาะที่ “รอบเอว” หรือ “อวัยวะภายใน” จะทำให้ร่างกายมีภาวะอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่กระบวนการพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่: หลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดจะเกาะตามผนังหลอดเลือด เกิดเป็นคราบพลัค (plaque) ทำให้เส้นเลือดตีบลงเรื่อย ๆ หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเนื่องจากน้ำหนักตัวมาก หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเกิดภาวะหัวใจโต หัวใจล้มเหลว ภาวะดื้อต่ออินซูลินผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีภาวะดื้อต่ออินซูลินสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง กระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน และเร่งกระบวนการเสื่อมของหลอดเลือด ไขมันในเลือดผิดปกติคนอ้วนมักมีคอเลสเตอรอล LDL สูง และ HDL ต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงร่วม: โรคเบาหวานกับโรคหัวใจ งานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 2–4 เท่า ซึ่งความเสี่ยงจะสูงขึ้นอีกหากมี “โรคอ้วน” ร่วมด้วย เพราะเบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินอันเป็นผลจากไขมันสะสมภายในร่างกายจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ปัจจัย รายละเอียด ความดันโลหิตสูง น้ำหนักตัวที่มากขึ้นมีผลให้หลอดเลือดต้องรับแรงดันมากกว่าปกติ ไขมันในเลือดสูง ไขมันทรานส์ และไขมันอิ่มตัวในอาหารจานด่วน เร่งให้หลอดเลือดอุดตันเร็วขึ้น ไม่ออกกำลังกาย ส่งผลให้ระบบเผาผลาญแย่ลง และกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ความเครียดและการนอนน้อย ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มเกิดภาวะหัวใจวาย พฤติกรรมการกินผิดสุขลักษณะ เช่น ทานมื้อดึก ทานหวาน-มันจัด หรือทานจุกจิกระหว่างวัน งานวิจัยยืนยัน: ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยงหัวใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ “Dr. Dean Ornish” เคยทำการทดลองปรับพฤติกรรมกับผู้ป่วยโรคหัวใจ และพบว่า หากมีการควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง หลอดเลือดที่เคยตีบตันสามารถกลับมาเปิดโล่งได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยให้ผู้ป่วย: รับประทานอาหารที่ไขมันต่ำ (<10% ของพลังงานรวม) เน้นพืชผัก ธัญพืช ถั่ว ผลไม้ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยวันละ 30 นาที ฝึกโยคะ ทำสมาธิ คลายความเครียด เลิกบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แนวทางการป้องกันโรคหัวใจในผู้ป่วยอ้วน การลดน้ำหนักแม้เพียง 5–10% ของน้ำหนักตัว จะสามารถลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีแนวทางที่แนะนำได้แก่: 1. ปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารมัน อาหารทอด อาหารแปรรูป หลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำอัดลม เพิ่มผักสด ผลไม้ไม่หวานจัด เลือกโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แนะนำวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ เน้นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ 3. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ วัดความดัน ตรวจระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด เช็กค่า BMI และรอบเอวเป็นประจำ 4. นอนหลับให้เพียงพอ ไม่นอนน้อยกว่า 6–8 ชั่วโมง/วัน หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน ตัวอย่างอาหารที่ควรกิน –...

ตรวจค่าเลือดเฟอร์ริติน สำคัญแค่ไหนต่อสุขภาพของเรา?

0
เฟอร์ริติน (Ferritin) คืออะไร? เฟอร์ริติน (Ferritin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บสะสมธาตุเหล็ก (Iron) ภายในร่างกาย พบมากในตับ ม้าม ไขกระดูก และเซลล์ต่างๆ รวมถึงในกระแสเลือด แม้ว่าเฟอร์ริตินจะไม่ใช่ธาตุเหล็กโดยตรง แต่เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดของปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย ความสำคัญของเฟอร์ริตินต่อระบบร่างกาย เฟอร์ริตินช่วยควบคุมระดับเหล็กให้พอดี ไม่ต่ำหรือสูงจนเป็นอันตราย ธาตุเหล็กจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและการขนส่งออกซิเจน หากมีเฟอร์ริตินต่ำ อาจหมายถึงภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia) หากมีเฟอร์ริตินสูง อาจเป็นสัญญาณของการสะสมเหล็กมากเกินไป (Iron Overload) ซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ตับ หัวใจ สมอง การตรวจค่าเฟอร์ริตินในเลือดคืออะไร? การตรวจ Ferritin เป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดปริมาณโปรตีนเฟอร์ริตินที่หมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ค่านี้สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับธาตุเหล็กสะสมในร่างกายได้โดยอ้อม วัตถุประสงค์ของการตรวจ ตรวจหาภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency) ตรวจภาวะธาตุเหล็กเกิน (Hemochromatosis) ประเมินโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง, โรคตับ, ภาวะอักเสบเรื้อรัง เป็น Tumor Marker ร่วมกับการวิเคราะห์มะเร็งบางชนิด ค่าปกติของเฟอร์ริติน เพศ ช่วงอ้างอิงค่าปกติ ผู้ชาย 12–300 ng/mL ผู้หญิง 10–150 ng/mL หมายเหตุ: ค่านี้อาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามห้องปฏิบัติการ ค่าเฟอร์ริตินต่ำหมายถึงอะไร? หากค่าเฟอร์ริตินต่ำกว่าค่ามาตรฐาน บ่งบอกได้ว่า: กำลังอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็ก มีเลือดออกภายใน เช่น ทางเดินอาหาร, ประจำเดือนมามาก ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ไม่ดี โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia) ค่าเฟอร์ริตินสูงหมายถึงอะไร? ค่าเฟอร์ริตินที่สูงกว่าปกติอาจบ่งชี้ว่า: มีการสะสมเหล็กในตับหรืออวัยวะอื่น (Hemochromatosis) มีภาวะอักเสบเรื้อรัง หรือการติดเชื้อ ป่วยเป็นโรคตับ (Cirrhosis, Hepatitis) มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น: มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma) มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) ความเชื่อมโยงระหว่างเฟอร์ริตินกับโรคมะเร็ง เฟอร์ริตินที่สูงผิดปกติ อาจเป็นผลจากภาวะร่างกายตอบสนองต่อการอักเสบหรือการลุกลามของเนื้อร้าย โดยเฟอร์ริตินอาจถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ “Tumor Marker” โดยเฉพาะในมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบเม็ดเลือด ตับ และระบบน้ำเหลือง กลไกการเกิดอนุมูลอิสระจากธาตุเหล็ก เฟอร์ริตินที่มากเกินไปสามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) โดยเฉพาะ Hydroxyl Radical (OH•) ซึ่งทำลาย DNA และอาจก่อให้เกิดเซลล์กลายพันธุ์และมะเร็งในระยะยาว Ferritin และระบบภูมิคุ้มกัน ภาวะเฟอร์ริตินสูงไม่ได้ส่งผลแค่ต่อมะเร็งเท่านั้น แต่ยังสามารถ: ลดภูมิต้านทาน: รบกวนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมการติดเชื้อ: จุลชีพบางชนิดใช้เหล็กเป็นสารอาหารในการเจริญเติบโต ทำให้ติดเชื้อรุนแรงขึ้นได้ Ferritin กับภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย โรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะเหล็กเกิน: Hemochromatosis – โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กมากเกิน Chronic Liver Disease – โรคตับเรื้อรังจากแอลกอฮอล์หรือไวรัส Thalassemia – โรคเลือดที่มีการสะสมเหล็กจากการให้เลือดซ้ำ Myelodysplastic Syndrome – ภาวะผิดปกติของไขกระดูกที่พบในมะเร็งเม็ดเลือด Ferritin ต่ำ และผลเสียต่อสุขภาพ ภาวะขาดธาตุเหล็กอาจก่อให้เกิดอาการ: เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ผิวซีด ใจสั่น หายใจลำบากระหว่างออกแรง สมาธิสั้นในเด็ก เล็บเปราะ ผมร่วง Ferritin ต่ำจึงเป็นตัวเตือนที่สำคัญสำหรับสุขภาพโดยเฉพาะในเพศหญิงที่มีประจำเดือน วิธีควบคุมระดับเฟอร์ริตินให้เหมาะสม 1. ปรับอาหาร สำหรับเฟอร์ริตินต่ำ: เพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ไข่แดง เนื้อแดง รับประทานอาหารร่วมกับวิตามิน C เพื่อเพิ่มการดูดซึม สำหรับเฟอร์ริตินสูง: ลดการบริโภคเนื้อแดง อาหารเสริมธาตุเหล็ก หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ 2. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัวหรือโรคเลือด 3. การรักษาภาวะธาตุเหล็กเกิน การบริจาคเลือด (Therapeutic Phlebotomy) ...

Free PSA คืออะไร? ค่าที่ช่วยประเมินมะเร็งต่อมลูกหมากแม่นยำขึ้น

0
Free PSA คืออะไร? Free PSA หรือ Free Prostate-Specific Antigen คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์ต่อมลูกหมากและพบได้ในเลือดในรูปแบบ "อิสระ" หรือไม่ได้จับกับโปรตีนอื่น การตรวจวัดระดับ Free PSA นี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกแยะภาวะที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, ต่อมลูกหมากโต (BPH) หรือ การอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis) ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ความสำคัญของ Free PSA ต่อการคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก Free PSA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการคัดกรองโรค โดยเฉพาะเมื่อระดับ อยู่ในช่วง "เทา" คือระหว่าง 4.0 - 10.0 ng/mL ซึ่งไม่สามารถฟันธงได้ชัดเจนว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งหรือไม่ การตรวจอัตราส่วนระหว่าง Free PSA ต่อ Total PSA ช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงได้ดีกว่า ลดโอกาสในการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) โดยไม่จำเป็น Free PSA แตกต่างจาก Total PSA อย่างไร? ประเภท รายละเอียด Total PSA รวมทั้ง Free PSA และ PSA ที่จับกับโปรตีนอื่น Free PSA เฉพาะส่วนที่ลอยอยู่ในเลือดแบบอิสระ ค่าที่มีความหมาย สัดส่วน Free PSA/Total PSA มีบทบาทมากเมื่อ Total PSA อยู่ในช่วง 4–10 ng/mL หากสัดส่วน Free PSA ต่ำ (<10%) อาจหมายถึงความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากสูง ในขณะที่ Free PSA สูงกว่า 25% บ่งชี้ว่าความเสี่ยงต่ำ ขั้นตอนการตรวจ Free PSA เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน ส่งเลือดไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวัดค่าทั้ง Total และ Free PSA คำนวณอัตราส่วน Free PSA/Total PSA เพื่อประเมินความเสี่ยง การเตรียมตัวก่อนตรวจ งดการขี่จักรยาน การมีเพศสัมพันธ์ และกิจกรรมที่กดทับต่อมลูกหมากภายใน 48 ชั่วโมง แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาและโรคประจำตัว ปัจจัยที่มีผลต่อค่าผลตรวจ Free PSA ปัจจัย ผลกระทบต่อค่า การอักเสบของต่อมลูกหมาก อาจทำให้ค่า Free และ Total PSA สูงขึ้นชั่วคราว การออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะกิจกรรมกดทับ เช่น ปั่นจักรยาน การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เพิ่มระดับ PSA โดยไม่เกี่ยวกับมะเร็ง การมีเพศสัมพันธ์ อาจเพิ่มค่า PSA ชั่วคราว การแปลผลค่า Free PSA อย่างแม่นยำ Free PSA >25% → ความเสี่ยงต่ำ Free PSA 10–25% → ความเสี่ยงปานกลาง Free PSA <10% → ความเสี่ยงสูง ควรพิจารณา biopsy เพิ่มเติม หมายเหตุ: การแปลผลควรพิจารณาร่วมกับอาการ เช่น ปัสสาวะผิดปกติ, ปวดในอุ้งเชิงกราน, ประวัติครอบครัว Free PSA ในบริบทของโรคต่างๆ มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer): ค่า Free PSA มักต่ำกว่าปกติ ต่อมลูกหมากโต (BPH):...

Total PSA คืออะไร? ตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากและดูแลสุขภาพชายอย่างรอบด้าน

0
Total PSA คืออะไร? Total PSA (Prostate-Specific Antigen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างโดย ต่อมลูกหมาก ซึ่งพบได้ในเลือดของเพศชายในระดับต่ำตามปกติ การตรวจวัดระดับ Total PSA ในเลือดจึงเป็นวิธีการสำคัญที่ใช้คัดกรอง วินิจฉัย และติดตามอาการของ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะต่อมลูกหมากโต และการอักเสบของต่อมลูกหมาก การเปลี่ยนแปลงของระดับ PSA อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในต่อมลูกหมาก แม้ไม่ได้เป็นมะเร็งก็ตาม จึงมีความสำคัญในการเฝ้าระวังและประเมินสุขภาพผู้ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป บทบาทของ Total PSA ในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก PSA ตรวจหาอะไรได้บ้าง? มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer) ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) อย่างไรก็ตาม ค่า PSA เพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ จำเป็นต้องใช้ร่วมกับข้อมูลจากประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น การตรวจ Free PSA, MRI หรือ การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย วิธีการตรวจ Total PSA และการเตรียมตัว ขั้นตอนการตรวจ PSA เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ ที่แขนของผู้ป่วย ส่งตัวอย่างเลือดไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ผลลัพธ์จะแสดงระดับ PSA ในหน่วย นาโนกรัม/มิลลิลิตร (ng/mL) การเตรียมตัวก่อนตรวจ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ 24-48 ชั่วโมงก่อนการตรวจ หลีกเลี่ยงการขี่จักรยานหรือกิจกรรมที่กระทบกระเทือนต่อมลูกหมาก แจ้งแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะหรือยาฮอร์โมน การแปลผล Total PSA ค่าปกติของ Total PSA ช่วงอายุ ค่า PSA โดยประมาณ < 50 ปี < 2.5 ng/mL 50-59 ปี < 3.5 ng/mL 60-69 ปี < 4.5 ng/mL ≥ 70 ปี < 6.5 ng/mL ค่าที่สูงกว่าเกณฑ์อาจเป็นสัญญาณของ: มะเร็งต่อมลูกหมาก การติดเชื้อหรืออักเสบของต่อมลูกหมาก ภาวะต่อมลูกหมากโต ค่าผิดปกติหมายถึงอะไร? PSA > 4.0 ng/mL: ต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น Free PSA หรือ MRI PSA > 10.0 ng/mL: เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ PSA Velocity: ถ้าเพิ่มเร็วกว่า 0.75 ng/mL ต่อปี ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด Total PSA vs. Free PSA Free PSA หมายถึงค่า PSA ที่ไม่จับกับโปรตีนในเลือด การเปรียบเทียบสัดส่วนของ Free PSA ต่อ Total PSA สามารถช่วยแยกระหว่างมะเร็งกับภาวะอื่น ๆ ได้: สัดส่วน Free PSA (%) ความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก > 25% ต่ำ 10–25% ปานกลาง < 10% สูง ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า PSA ปัจจัยที่ทำให้ PSA สูงชั่วคราว มีเพศสัมพันธ์ใกล้วันตรวจ ...

CA 15-3 คืออะไร? การตรวจค่า CA 15-3 กับมะเร็งเต้านม และการแปลผล

0
CA 15-3 คืออะไร? CA 15-3 หรือ Cancer Antigen 15-3 คือโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะจากมะเร็งเต้านมชนิดเยื่อบุ (epithelial breast cancer) การตรวจวัดระดับ CA 15-3 ในเลือดใช้เพื่อติดตามผลการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยเบื้องต้น บทบาทของ CA 15-3 ในมะเร็งเต้านม ทำไมต้องตรวจ CA 15-3? เพื่อติดตามผลการรักษามะเร็งเต้านม ประเมินการตอบสนองต่อการรักษา เช่น เคมีบำบัด หรือฮอร์โมนบำบัด ตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ใช้ร่วมกับ Tumor Marker อื่น เช่น หรือ HER2 ไม่เหมาะสำหรับอะไร? ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัย มะเร็งเต้านมในระยะแรก มีโอกาสแสดงค่า "สูงผิดปกติ" จากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่น การอักเสบหรือการตั้งครรภ์ การตรวจ CA 15-3 ทำอย่างไร? เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน ส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ รอผลวิเคราะห์ซึ่งแสดงค่าในหน่วย U/mL ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจไหม? โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร แจ้งแพทย์หากใช้ยาฮอร์โมน หรือมีภาวะตั้งครรภ์ หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักก่อนการตรวจ 24 ชั่วโมง การแปลผลค่าผลตรวจ CA 15-3 ค่า CA 15-3 (U/mL) ความหมายเบื้องต้น < 30 ปกติ 30 – 100 อาจมีความผิดปกติ ต้องตรวจซ้ำ > 100 เสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือแพร่กระจาย หมายเหตุ: ค่าอาจแปรเปลี่ยนได้ตามห้องปฏิบัติการ ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าผลตรวจ CA 15-3 โรคหรือภาวะที่ทำให้ค่า CA 15-3 สูง: มะเร็งเต้านม (ระยะลุกลาม) มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ ภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง: โรคตับ (ตับอักเสบ, ตับแข็ง) การตั้งครรภ์ ซีสต์ในเต้านม การอักเสบของเต้านม CA 15-3 vs แมมโมแกรม / อัลตราซาวด์ ด้านการใช้งาน CA 15-3 แมมโมแกรม / อัลตราซาวด์ คัดกรองเบื้องต้น ❌ ✅ ตรวจวินิจฉัยโรค ❌ ✅ ติดตามผลการรักษา ✅ ✅ ตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ ✅ ✅ เมื่อไรควรตรวจ CA 15-3? หลังการผ่าตัดหรือทำเคมีบำบัด เพื่อประเมินประสิทธิภาพ ผู้ที่เป็น มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม มีอาการสงสัยว่ามะเร็งกลับมา เช่น น้ำหนักลด ปวดกระดูก เหนื่อยง่าย คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่า CA 15-3 สูง อย่าตกใจทันที ต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน อาจต้องทำแมมโมแกรม อัลตราซาวด์ หรือ CT scan เพิ่มเติม ปรึกษาแพทย์ด้านมะเร็งวิทยาโดยตรง วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม พฤติกรรมแนะนำ: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ ผักผลไม้ จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัว และอาหารแปรรูป หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ การตรวจสุขภาพประจำปี: ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน ทำแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ตรวจสารบ่งชี้ CA 15-3 สำหรับผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือแพทย์แนะนำ สรุป การตรวจ CA 15-3 เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษามะเร็งเต้านมและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยและรักษาแล้ว อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่เหมาะสำหรับใช้คัดกรองโรคในระยะแรก และต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่นเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและครอบคลุมที่สุด การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ร่วมกับการตรวจเต้านมอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ FAQ – คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ CA 15-3 Q: ค่า CA 15-3 ปกติแปลว่าไม่เป็นมะเร็งใช่ไหม? A: ไม่แน่เสมอไป มะเร็งบางระยะอาจไม่ทำให้ค่า...

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คืออะไร? ค่าตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งทางเดินอาหาร

0
CA 19-9 คืออะไร? Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งบางชนิดและเซลล์ปกติในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะตับอ่อน ทางเดินน้ำดี และกระเพาะอาหาร ในทางการแพทย์ CA 19-9 ถือเป็น Tumor Marker หรือสารบ่งชี้มะเร็งที่สามารถใช้ตรวจวัดระดับในเลือด เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภท โดยเฉพาะ: มะเร็งตับอ่อน มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ ความสำคัญของ CA 19-9 ต่อการแพทย์ จุดประสงค์หลักของการตรวจ CA 19-9 ติดตามผลการรักษามะเร็ง: ช่วยประเมินว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาได้ดีหรือไม่ ตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ: ช่วยจับสัญญาณว่ามะเร็งอาจกลับมาอีกครั้ง ประกอบการวินิจฉัยมะเร็ง: ร่วมกับการตรวจภาพ เช่น CT scan, MRI อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้ CA 19-9 เป็นเครื่องมือคัดกรองมะเร็งในคนทั่วไป เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความจำเพาะเจาะจง วิธีตรวจ CA 19-9 การตรวจ CA 19-9 ทำได้โดย การเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ แล้วส่งตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ใช้เวลาประมาณ 1–3 วันในการรายงานผล ข้อควรรู้ก่อนตรวจ: ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แจ้งแพทย์เรื่องการใช้ยา โรคตับ หรือประวัติอักเสบของระบบย่อยอาหาร การแปลผลค่าของ CA 19-9 ค่า CA 19-9 (U/mL) ความหมาย < 37 ปกติ 37–100 อาจเกิดจากภาวะอักเสบหรือโรคตับ > 100 มีแนวโน้มสัมพันธ์กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อนหรือทางเดินน้ำดี หมายเหตุ: ค่าที่สูงขึ้นไม่ได้ยืนยันการเป็นมะเร็ง 100% ต้องประเมินร่วมกับการตรวจอื่นและอาการของผู้ป่วย ปัจจัยที่อาจทำให้ค่า CA 19-9 สูงโดยไม่ใช่มะเร็ง โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับอ่อนอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอักเสบหรืออุดตัน ภาวะติดเชื้อทางเดินอาหาร การสูบบุหรี่ CA 19-9 และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร 1. มะเร็งตับอ่อน CA 19-9 ถือเป็นตัวบ่งชี้หลัก เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้มักผลิตสารนี้ในปริมาณสูง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม 2. มะเร็งทางเดินน้ำดี ผู้ป่วยมักมีค่า CA 19-9 สูงอย่างมีนัยสำคัญ ร่วมกับอาการดีซ่าน ตับโต หรือท่อน้ำดีอุดตัน 3. มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ พบค่าที่สูงขึ้นได้ในบางราย โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งมีการแพร่กระจาย จุดแข็งและข้อจำกัดของ CA 19-9 จุดแข็ง ข้อจำกัด ใช้ติดตามผลการรักษาได้ดี ไม่เหมาะกับการวินิจฉัยระยะเริ่มต้น ตอบสนองต่อการรักษาไว ค่าสูงจากโรคอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งได้ ใช้ร่วมกับ Tumor Marker อื่นเพิ่มความแม่นยำ ประมาณ 5–10% ของประชากรไม่มีแอนติเจน CA 19-9 จึงให้ผลเป็นลบแม้มีมะเร็ง แนวทางปฏิบัติหากพบค่า CA 19-9 สูง ไม่ควรตื่นตระหนก ค่า CA 19-9 สูงไม่ได้หมายถึงเป็นมะเร็งแน่นอน ควรเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม เช่น CT, MRI, PET/CT หรือการส่องกล้อง ติดตามค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแนวโน้มว่าค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงหลังการรักษา แนวทางป้องกันมะเร็งระบบทางเดินอาหาร 1. โภชนาการที่ดี รับประทานผักผลไม้ให้เพียงพอ ลดเนื้อแดงและอาหารปิ้งย่าง หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง 2. พฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 3. ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ Tumor Marker เช่น CEA, CA 19-9, AFP ร่วมด้วย เมื่อไรควรพบแพทย์ หากคุณมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง: ปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ เบื่ออาหาร คลื่นไส้เรื้อรัง อุจจาระมีลักษณะผิดปกติ เช่น สีซีด...

Carcinoembryonic Antigen (CEA) คืออะไร? ตรวจค่าสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ควรรู้

0
Carcinoembryonic Antigen (CEA) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในระดับที่สูงในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในระยะที่โรคเริ่มลุกลามหรือแพร่กระจาย การตรวจหา CEA จึงถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญเพื่อ ติดตามผลการรักษา และประเมินความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำของโรค นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในมะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย แม้จะมีความจำเพาะไม่สูงเท่ากับมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยตรง CEA คืออะไร? CEA (Carcinoembryonic Antigen) เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติบางชนิด โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ในคนทั่วไประดับ CEA จะต่ำมาก แต่เมื่อมีมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม และ มะเร็งปอด ระดับของ CEA จะเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถตรวจพบได้ในเลือด การใช้ CEA กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ จุดประสงค์ของการตรวจ CEA ติดตามผลการรักษา: หากค่าลดลง แสดงว่าร่างกายตอบสนองต่อการรักษา ติดตามการกลับมาเป็นซ้ำ: ค่าที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งชี้ถึงการกลับมาเป็นมะเร็ง ใช้พยากรณ์โรค: ค่าที่สูงมักสัมพันธ์กับมะเร็งระยะลุกลาม ไม่ใช้สำหรับคัดกรองเบื้องต้น เนื่องจากไม่สามารถวินิจฉัยมะเร็งระยะแรกได้อย่างแม่นยำ วิธีการตรวจ CEA เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน ส่งตัวอย่างเลือดไปยังห้องปฏิบัติการ รอผลประมาณ 1–2 วัน แล้วนำผลไปให้แพทย์แปลผลร่วมกับการตรวจอื่นๆ การแปลผลค่า CEA กลุ่มผู้ตรวจ ค่า CEA ปกติ (ng/mL) ผู้ไม่สูบบุหรี่ < 2.5 ผู้สูบบุหรี่ < 5.0 หมายเหตุ: ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มมีค่า CEA สูงโดยไม่มีมะเร็ง ค่าสูงแค่ไหนจึงผิดปกติ? >10 ng/mL: มีความเสี่ยงมะเร็งสูง ต้องตรวจเพิ่มเติมทันที 5–10 ng/mL: อยู่ในช่วงที่ต้องติดตามซ้ำ <5 ng/mL: หากไม่สูบบุหรี่ ถือว่าปกติ ปัจจัยที่ทำให้ CEA สูงได้โดยไม่ใช่มะเร็ง การสูบบุหรี่ ภาวะอักเสบในร่างกาย โรคตับ (ตับแข็ง, ไวรัสตับอักเสบ) โรคลำไส้อักเสบ เช่น Crohn's disease หรือ Ulcerative colitis การตั้งครรภ์ในบางกรณี CEA กับมะเร็งชนิดอื่น แม้ จะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่มากที่สุด แต่ก็สามารถพบระดับที่สูงขึ้นในมะเร็งเหล่านี้ได้: มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร CEA vs. การตรวจอื่น วิธีตรวจ จุดประสงค์ ความแม่นยำ ใช้ร่วมกับ CEA ติดตามผลการรักษา ปานกลาง CT Scan, Colonoscopy Colonoscopy คัดกรอง + วินิจฉัย สูง ใช้คู่กับ CEA FIT Test คัดกรองเลือดในอุจจาระ ปานกลาง สำหรับประชาชนทั่วไป แนวทางปฏิบัติเมื่อตรวจพบ CEA สูง ไม่ควรตื่นตระหนกทันที ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินซ้ำ อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น CT scan, PET/CT หรือ Colonoscopy ตรวจซ้ำทุก 1–3 เดือน หากอยู่ในช่วงติดตามผลการรักษา การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาหาร เลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันสูง เพิ่มผัก ผลไม้ และใยอาหาร ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ พฤติกรรม หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q: ค่า CEA เท่าไรถึงเรียกว่าสูง? A: หากเกิน 5.0 ng/mL (ผู้สูบบุหรี่) หรือ 2.5 ng/mL (ผู้ไม่สูบบุหรี่) ถือว่าเริ่มผิดปกติ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด Q: CEA ใช้ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 100% ไหม? A: ไม่สามารถยืนยันมะเร็งได้ 100% จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่น เช่น colonoscopy Q: ถ้าค่า CEA...

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง: ขั้นตอน ประเมินอาการ และแนวทางตรวจพบโรคระยะเริ่มต้น

0
โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก การตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำจึงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การหาว่ามีโรคอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่รวมถึงการวิเคราะห์ความรุนแรง ระยะของโรค การประเมินผลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และการวางแผนการรักษาอย่างครอบคลุม การตรวจวินิจฉัยคืออะไร? “การวินิจฉัย” หมายถึงกระบวนการทางการแพทย์ที่ทำเพื่อให้ทราบว่า ผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคอะไร ซึ่งในกรณีของโรคมะเร็ง หมายถึงการยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ถ้าเป็น จะต้องประเมินชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ภาวะแทรกซ้อน และผลกระทบทางสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เป้าหมายของการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง ตรวจสอบว่ามีโรคมะเร็งหรือไม่ ระบุชนิดของมะเร็ง ประเมินระยะของโรค ประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ใช้เป็นแนวทางเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ใช้ติดตามผลลัพธ์ของการรักษา ค้นหาความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ ขั้นตอนการวินิจฉัย: ตั้งแต่ซักประวัติถึงการติดตามผล 1. ซักประวัติและอาการเบื้องต้น อาการหลักที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ เช่น ปวดท้อง คลำพบก้อนเนื้อ อาการรอง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง พฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ 2. การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูอวัยวะภายนอกที่ผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังเปลี่ยนสี 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจเลือดทั่วไป (CBC, Chemistry) ตรวจหา Tumor Marker เช่น AFP, CEA, CA 19-9, PSA 4. การตรวจภาพรังสี X-ray CT Scan MRI PET Scan 5. การส่องกล้องและเก็บตัวอย่าง ส่องกล้องทางเดินอาหาร ส่องกล้องมดลูก การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) อาการสำคัญที่ควรสังเกต อาการ โรคที่อาจเกี่ยวข้อง ก้อนเนื้อโตเร็วผิดปกติ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน เสียงแหบเรื้อรัง มะเร็งกล่องเสียง ไฝเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูป มะเร็งผิวหนัง อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้ วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งแต่ละประเภท มะเร็งปอด ตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) CT Scan ปอด ตรวจเสมหะ ส่องกล้องทางเดินหายใจ (Bronchoscopy) มะเร็งตับ ตรวจเลือดหา AFP อัลตราซาวด์ช่องท้อง MRI ตับ เจาะชิ้นเนื้อจากตับ มะเร็งเต้านม คลำก้อนเต้านม แมมโมแกรม (Mammogram) Ultrasound เต้านม เจาะชิ้นเนื้อ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) ตรวจอุจจาระ ตรวจ CEA, CA 19-9 CT abdomen มะเร็งปากมดลูก ตรวจ Pap smear ตรวจ HPV DNA ส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy) เจาะเนื้อเยื่อปากมดลูก การแปลผลและจัดกลุ่มระยะของโรค การวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้จบเพียงแค่ทราบว่าเป็นหรือไม่ แต่ยังต้องประเมินว่าอยู่ใน “ระยะ” ใด ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่ ระยะ รายละเอียด ระยะที่ 0 มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามเล็กน้อย ระยะที่ 2-3 มะเร็งลุกลามถึงเนื้อเยื่อใกล้เคียง ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย Next-Generation Sequencing (NGS): ตรวจ DNA เพื่อดูการกลายพันธุ์ของยีน PET/CT Scan: ตรวจการเผาผลาญของเนื้อเยื่อมะเร็งในร่างกาย Liquid Biopsy: ตรวจ DNA มะเร็งจากเลือด AI Diagnostic Imaging: ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพทางรังสี การติดตามผลหลังการรักษา หลังการรักษาแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องติดตามผลเป็นระยะ เช่น ตรวจเลือดซ้ำเพื่อดูค่า Tumor Marker ...

ตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Marker): แนวทางวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น

0
ความสำคัญของการตรวจเลือดเพื่อหามะเร็ง โรคมะเร็งในยุคปัจจุบันมักแฝงตัวอยู่โดยไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก การวินิจฉัยที่ล่าช้ามักส่งผลให้การรักษาได้ผลน้อยลง การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง หรือ Tumor Marker จึงเป็นหนึ่งในแนวทางการตรวจคัดกรองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ Tumor Marker คืออะไร? Tumor Marker คือสารประกอบชีวเคมี โปรตีน หรือเอนไซม์ที่ผลิตจากเซลล์มะเร็ง หรือเกิดจากปฏิกิริยาของอวัยวะที่ถูกเซลล์มะเร็งรุกล้ำ ทำให้เกิดการหลั่งสารเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสามารถนำมาตรวจวิเคราะห์ได้ผ่านการเจาะเลือด สารเหล่านี้จะ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้โดยตรง แต่จะช่วย บ่งชี้แนวโน้ม หรือใช้ ติดตามผลการรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากใช้อย่างถูกต้อง ชนิดของ Tumor Marker ที่พบบ่อย ชื่อสาร Tumor Marker บ่งชี้มะเร็ง ค่าปกติ ความหมายเมื่อสูงผิดปกติ AFP (Alpha-Fetoprotein) มะเร็งตับ, มะเร็งอัณฑะ < 10 ng/mL มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับหรือเนื้องอกชนิดอื่น CEA (Carcinoembryonic Antigen) มะเร็งลำไส้ใหญ่, ปอด, เต้านม < 5 ng/mL มีความเสี่ยงมะเร็งระบบทางเดินอาหาร CA-125 มะเร็งรังไข่ < 35 U/mL มักใช้วินิจฉัยและติดตามมะเร็งรังไข่ CA 19-9 มะเร็งตับอ่อน, ลำไส้ < 37 U/mL ใช้ร่วมกับ CEA เพื่อวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน PSA (Prostate Specific Antigen) มะเร็งต่อมลูกหมาก < 4 ng/mL มีความเสี่ยงต่อภาวะโตผิดปกติหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก β-hCG มะเร็งอัณฑะ, มะเร็งปอด < 5 IU/L ใช้ร่วมกับ AFP ในการติดตามมะเร็งอัณฑะ กลไกการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เพื่อเข้าใจ Tumor Marker ได้ดีขึ้น เราควรรู้จักพฤติกรรมของเซลล์ที่ผิดปกติต่าง ๆ: Hyperplasia: เซลล์เพิ่มจำนวน → อวัยวะขยายใหญ่ (เช่น ต่อมลูกหมากโต) Hypertrophy: เซลล์ใหญ่ขึ้น → ขนาดอวัยวะโต (เช่น หัวใจโต) Metaplasia: เซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เดิม (เช่น ผิวหนังที่ลอก) Dysplasia: เซลล์โตไม่เต็มที่ → สัญญาณก่อนมะเร็ง (พบในปากมดลูกบ่อย) ประเภทของมะเร็งและร่องรอยที่ตรวจพบได้ 1. มะเร็งแบบไม่มีก้อนบวม ตัวอย่าง: มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) – ไม่มีก้อน ไม่มีอาการบวม 2. มะเร็งที่มีลักษณะเป็นก้อน (Tumor) Benign Tumor (ไม่ร้ายแรง): เช่น ถุงไขมัน Malignant Tumor (ร้ายแรง): เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ ฯลฯ วัตถุประสงค์ของการตรวจ Tumor Marker คัดกรองผู้มีความเสี่ยงมะเร็ง ใช้เป็นข้อมูลวินิจฉัยร่วมกับภาพถ่ายทางการแพทย์ ติดตามผลการรักษา พยากรณ์โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ ใช้ตรวจโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อได้ (เช่น มะเร็งสมอง) วิธีการตรวจ Tumor Marker 1. การตรวจเฉพาะเจาะจง (Cancer-Specific Marker) เช่น: ตรวจค่า AFP → มะเร็งตับ ตรวจ CA-125 → มะเร็งรังไข่ 2. การตรวจจากอวัยวะเป้าหมาย (Tissue-Specific Marker) เช่น: มะเร็งลำไส้ → ตรวจ CEA + CA19-9 + CA125 มะเร็งตับอ่อน → ตรวจ CA19-9 + AFP ข้อควรระวังในการแปลผล Tumor...

แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง: เข้าใจอาการ ป้องกัน และฟื้นฟูอย่างครบวงจร

0
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับถ่ายออกทางปัสสาวะ หากไตทำงานผิดปกติจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า "ไตวายเรื้อรัง" ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่ตำแหน่งของไต หน้าที่ของไต อาการของโรคไตวาย ไปจนถึงแนวทางการดูแลรักษาทั้งเชิงป้องกันและบำบัด ตำแหน่งของไตและหน้าที่สำคัญในร่างกาย ตำแหน่งของไต: ไตทั้งสองข้างตั้งอยู่บริเวณหลังช่องท้อง ส่วนบนของไตจะอยู่ระดับเดียวกับกระดูกซี่โครงที่ 11–12 โดยไตขวาจะอยู่ต่ำกว่าไตซ้ายเล็กน้อยเนื่องจากการวางตำแหน่งของตับ หน้าที่ของไตหลักๆ ได้แก่: กรองของเสียออกจากเลือด ควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ ผลิตฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิตและกระตุ้นไขกระดูก รักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย หากไตเสื่อมหรือทำงานผิดปกติ ร่างกายจะคั่งของเสีย ส่งผลต่อหลายระบบ อาการต่างๆ จึงเริ่มแสดงชัดเจน อาการและระยะของไตวายเรื้อรัง ไตวายเรื้อรังมีการแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยวัดจากค่าการกรองของไต (GFR) ระยะโรค GFR (มล./นาที) ลักษณะโรค ระยะที่ 1 > 90 ไตเริ่มผิดปกติ ไม่มีอาการ ระยะที่ 2 60–89 อาจเริ่มมีโปรตีนในปัสสาวะ ระยะที่ 3 30–59 มีของเสียคั่ง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ระยะที่ 4 15–29 ต้องเตรียมเข้าสู่การบำบัดไต ระยะที่ 5 <15 ไตล้มเหลว ต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย สาเหตุของไตวายเรื้อรัง โรคเรื้อรัง: เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ การติดเชื้อเรื้อรัง: ทางเดินปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต: อุดตันทางเดินปัสสาวะนานๆ การใช้ยาบางชนิด: NSAIDs, ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม, สมุนไพรเข้มข้น พันธุกรรม: เช่น โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease) การวินิจฉัยโรคไตวาย ตรวจเลือดหาค่า BUN, Creatinine ตรวจ GFR (อัตราการกรองของไต) ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ (Urine Albumin-Creatinine Ratio) อัลตราซาวด์หรือ CT Scan ดูขนาดและรูปร่างไต แนวทางการรักษาไตวายเรื้อรัง 1. การรักษาแบบประคับประคอง (Conservative) ควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ ปรับอาหาร ลดโซเดียม โพแทสเซียม ฟอสเฟต โปรตีน หลีกเลี่ยงยาและสารที่มีพิษต่อไต ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3–6 เดือน 2. การบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy) หากผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 4–5 และการรักษาประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได้ แพทย์จะพิจารณาวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 3 วิธี: ▪ การฟอกเลือด (Hemodialysis) ใช้เครื่องกรองเลือดเพื่อลดของเสีย ปกติทำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ▪ การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) ล้างของเสียผ่านเยื่อบุช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ ▪ การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) เป็นการเปลี่ยนไตใหม่เพื่อให้ไตทำงานปกติ แต่ต้องใช้ยากดภูมิต้านทานตลอดชีวิต การดูแลตัวเองเพื่อชะลอไตวาย เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง แต่ไม่มากเกินไป ลดการกินเค็ม งดอาหารหมักดอง ไขมันสูง ของทอด เลี่ยงสมุนไพรที่ไม่มีการรับรองความปลอดภัย ดื่มน้ำให้พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป หมั่นตรวจสุขภาพไตทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว วัคซีนที่ควรฉีดในผู้ป่วยไตวาย วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (3 เข็ม) วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ปีละครั้ง) วัคซีนป้องกันปอดบวมในบางรายที่มีความเสี่ยง การติดตามอาการโรคไตเรื้อรัง ระยะโรค ความถี่ในการตรวจ หมายเหตุ ระยะ 1–2 ทุก 6–12 เดือน ตรวจ GFR, ความดัน ระยะ 3 ทุก 6 เดือน ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ, ไขมัน ระยะ 4 ทุก 3 เดือน เตรียมการล้างไต ระยะ 5 ทุกเดือน พบแพทย์เฉพาะทางไต (Nephrologist) คำแนะนำเรื่องค่าใช้จ่ายและสิทธิรักษา ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการในการรักษาได้ โดยมีสิทธิเบิกค่ายา ค่าล้างไต และค่าปลูกถ่ายไตตามเกณฑ์ที่แต่ละระบบประกันกำหนดไว้ ผู้ป่วยควรศึกษาสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q1: ไตวายเรื้อรังเกิดจากอะไรเป็นหลัก?A: สาเหตุหลักมาจากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ รวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตและอาหารที่มีสารตกค้าง Q2: ไตวายต้องล้างไตตลอดชีวิตหรือไม่?A:...

สาเหตุของมะเร็ง: ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และพันธุกรรมที่ควรรู้

0
มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถตรวจพบและป้องกันโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “สาเหตุของมะเร็ง” และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่: ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors) ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Factors) ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต (Environmental & Lifestyle Factors) จากงานวิจัยขนาดใหญ่โดยศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2008 พบว่า: มากกว่า 90–95% ของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก เกิดจาก “ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม” ขณะที่ “พันธุกรรม” มีบทบาทเพียง 5–10% เท่านั้น 1. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร (30–35%) อาหารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นหรือยับยั้งการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง หรือผ่านกระบวนการแปรรูปมากเกินไป เช่น: ไนไตรต์/ไนโตรซามีน: พบในเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แหนม เบคอน อะฟลาท็อกซิน: พบบ่อยในถั่วลิสง พริกป่น ข้าวโพดขึ้นรา ไดออกซิน: สารปนเปื้อนจากฟาร์มสัตว์ เช่น หมู นม ไก่ อาหารปิ้งย่าง/ไหม้เกรียม: สะสมสารพีเอเอช (PAHs) ซึ่งก่อกลายพันธุ์ในระดับดีเอ็นเอ 2. การสูบบุหรี่ (25–30%) บุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตจากมะเร็ง โดยเฉพาะ: มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องปาก สารเคมีในบุหรี่กว่า 70 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) โดยตรง เช่น Benzopyrene และ Formaldehyde 3. การติดเชื้อ (15–20%) ไวรัส HPV: ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก ทวารหนัก คอหอย ฯลฯ ไวรัสตับอักเสบ B/C: มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งตับ แบคทีเรีย Helicobacter Pylori: เพิ่มโอกาสมะเร็งกระเพาะอาหาร 4. โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน (10–20%) ไขมันส่วนเกินจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน เช่น อินซูลิน และเอสโตรเจนในระดับสูง ซึ่งอาจเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็ง 5. แอลกอฮอล์ (4–6%) การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเร่งในมะเร็งหลายชนิด เช่น: มะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก มะเร็งเต้านม (ในเพศหญิง) 6. ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ (10–15%) มลพิษทางอากาศ (PM2.5) รังสี UV จากแสงแดดจัด ความเครียดสะสม การไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลยมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 30% จากค่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic Risk Factors) แม้จะพบเพียง 5–10% ของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย ยีนควบคุมการแบ่งเซลล์มะเร็ง (Tumor Suppressor Genes) ยีนกลุ่มนี้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ อาจทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง ตัวอย่างเช่น: BRCA1/BRCA2: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและรังไข่ TP53: เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด มะเร็งที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม ได้แก่: มะเร็งเต้านมชนิดกรรมพันธุ์ มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด FAP หรือ...

ประกันสุขภาพรักษาโรคไต: สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ ครบจบในที่เดียว

0
ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้นตาม พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่มีอุปสรรคทางด้านการเงิน โดยมีกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ สิทธิประกันสุขภาพที่ประชาชนไทยพึงมี ประเภทของสิทธิที่ให้บริการ สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง / สิทธิ 30 บาท) สิทธิประกันสังคม (สำหรับผู้ประกันตน) สิทธิข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ / พนักงานท้องถิ่น คุณสมบัติผู้มีสิทธิบัตรทอง มีสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ไม่อยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพอื่น ๆ เช่น ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ช่องทางตรวจสอบสิทธิ ติดต่อหน่วยบริการด้วยตนเอง โทรสายด่วน สปสช. 1330 เว็บไซต์: www.nhso.go.th แอปพลิเคชัน สปสช. สิทธิในการรักษาไตวายและปลูกถ่ายไต 1. การล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) บัตรทอง: ครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน สิทธิข้าราชการ / ประกันสังคม: ครอบคลุมตามระดับฮีมาโตคริต 2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) บัตรทอง: ได้เฉพาะผู้ป่วยเก่าก่อน 1 ต.ค. 2551 และผู้มีข้อห้ามล้างไตทางช่องท้อง ค่ารักษา: รัฐจ่าย 1,500–1,700 บาท/ครั้ง, ผู้ป่วยร่วมจ่าย 500 บาท/ครั้ง 3. การปลูกถ่ายไต ค่าบริการแบ่งเป็น: ค่าตรวจเตรียมผู้ให้ / ผู้รับไต: ไม่เกิน 40,000 บาท/ราย ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต: ไม่เกิน 292,000 บาท/ราย (ภาวะปกติ) ค่าดูแลหลังผ่าตัด: เดือนที่ 1–6: เดือนละ 30,000 บาท เดือนที่ 7–12: เดือนละ 25,000 บาท ปีที่ 2: เดือนละ 20,000 บาท ปีที่ 3: เดือนละ 15,000 บาท ภาวะแทรกซ้อน: เบิกได้สูงสุดไม่เกิน 493,000 บาทภายใน 60 วัน ค่ายาและค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวาย ค่ายากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (EPO) ระดับฮีมาโตคริต ค่ารักษาที่เบิกได้ ≤ 36% สูงสุด 1,125 บาท/สัปดาห์ 36–39% เข็มละ 50 บาท ไม่เกิน 750 บาท/สัปดาห์ > 39% ไม่มีสิทธิเบิก ขั้นตอนการใช้สิทธิ์ สำหรับบัตรทอง ยื่นบัตรประชาชนและบัตรทองที่โรงพยาบาลตามสิทธิ โรงพยาบาลส่งรายชื่อไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัด หากอนุมัติ จะได้รับการลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบการรักษา สำหรับผู้ประกันตน (ประกันสังคม) เอกสารประกอบการยื่นเบิกค่ารักษา: แบบคำขอ สปส. 2-18 สำเนาผลตรวจ BUN, Creatinine ใบรับรองแพทย์ว่าเป็นไตวายระยะสุดท้าย รูปถ่าย และสำเนาบัตรประชาชน สิทธิข้าราชการและหน่วยงานรัฐอื่น เบิกค่าฟอกเลือดในศูนย์ไตเทียมเอกชน: ไม่เกิน 2,000 บาท/ครั้ง (จ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิก) ค่าตรวจเลือดและเนื้อเยื่อ: 15,000 – 20,000 บาท ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต: รพ.รัฐบาล: ประมาณ 200,000 บาท รพ.เอกชน: ประมาณ 300,000 บาท คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q: สิทธิบัตรทองสามารถล้างไตทางช่องท้องได้ฟรีจริงหรือไม่? A: ได้จริง...

อาการมะเร็งเบื้องต้นที่คุณควรรู้: วิธีสังเกต สาเหตุ และสัญญาณเตือนมะเร็งชนิดต่าง ๆ

0
มะเร็ง (Cancer) เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกทุกปี แต่หากสามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น การรู้จักสังเกต อาการมะเร็งเบื้องต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากมีความผิดปกติเรื้อรังและต่อเนื่อง ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว ทำไมต้องรู้จักอาการมะเร็งเบื้องต้น? เพราะการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้สูงขึ้นมากถึง 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การรักษาในระยะเริ่มต้นยังส่งผลข้างเคียงน้อย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในระยะลุกลาม วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น การตรวจหาโรคมะเร็งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโดยตรง และที่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่: การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ การตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การขูดเซลล์จากปากมดลูก ตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี เช่น X-ray, อัลตร้าซาวด์, แมมโมแกรม การส่องกล้อง เช่น ตรวจลำไส้ใหญ่, กระเพาะอาหาร, ช่องคลอด การใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น CT scan, MRI, PET scan 10 อาการเตือนภัยมะเร็งที่ควรใส่ใจ แม้บางอาการอาจเป็นเพียงความผิดปกติเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือผิดปกติกว่าปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น: แผลเรื้อรังไม่หาย โดยเฉพาะในช่องปาก ลิ้น หรือผิวหนัง ก้อนเนื้อผิดปกติ บริเวณเต้านม รักแร้ หรือท้องน้อย ไฝเปลี่ยนลักษณะ ขนาด สี หรือขอบไม่เรียบ ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่ น้ำหนักลดรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ มากกว่า 5 กก. ในเวลาอันสั้น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง หรือมีเลือดปนในอุจจาระ เลือดออกผิดปกติจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ หรือช่องคลอด กลืนอาหารลำบาก เสียดท้องเรื้อรัง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ ต่อมน้ำเหลืองโตแบบไม่เจ็บ โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ อาการมะเร็งตามอวัยวะ: สังเกตอย่างไร? มะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อบริเวณเต้านมหรือรักแร้ หัวนมบอดหรือมีเลือดไหล มะเร็งปากมดลูก เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นแรง สีคล้ำ มะเร็งรังไข่ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง คลำเจอก้อนบริเวณท้องน้อย มะเร็งตับ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดชายโครงขวา น้ำหนักลด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ถ่ายมีเลือดปน ปวดท้องเรื้อรัง รู้สึกถ่ายไม่สุด มะเร็งกระเพาะอาหาร ท้องอืด แน่นท้อง เบื่ออาหาร อาเจียนหรือถ่ายดำ มะเร็งปอด ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หายใจมีเสียงดังหรือเหนื่อยง่าย มะเร็งผิวหนัง แผลเรื้อรัง แผลไหม้ที่ไม่หาย ไฝเปลี่ยนสี ขนาด รูปร่าง มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) ซีด ฟกช้ำง่าย ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีก้อนที่คอหรือรักแร้ ไม่เจ็บ แต่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคมะเร็ง การเกิดมะเร็งมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ได้แก่: ปัจจัยเสี่ยงภายนอก การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อาหารปิ้งย่าง หมักดอง หรือมีสารกันบูดไนไตรท์ การสัมผัสสารเคมีหรือรังสี การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HCV ปัจจัยภายใน พันธุกรรม (เช่น มะเร็งเต้านมในครอบครัว) ฮอร์โมนหรือภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ อายุที่เพิ่มขึ้น การป้องกันโรคมะเร็ง: เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ รับประทานอาหารที่ดี: ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดเนื้อแดง งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 150 นาทีขึ้นไป พักผ่อนเพียงพอ ลดความเครียด ...

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง: เลือกกินอย่างไรให้ได้สารอาหารครบ ลดผลข้างเคียง เพิ่มโอกาสฟื้นตัว

0
การดูแลสุขภาพเริ่มต้นได้จากอาหารที่เรากินทุกวัน การเลือกอาหารที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การปรับพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง จึงเป็นวิธีง่ายที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที สารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง: พลังธรรมชาติที่เราควรรู้จัก อาหารหลายชนิดอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง เช่น: ไฟโตนิวเทรียนท์ จากผักใบเขียว, หัวกะหล่ำ, บร็อกโคลี ไลโคปีน จากมะเขือเทศและแตงโม ไอโซฟลาโวน จากถั่วเหลือง โพลีฟีนอล จากชาเขียว หลักการเลือกกินอาหารเพื่อต้านมะเร็ง ลดการบริโภคเนื้อสัตว์สีแดงและแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก กินผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระครบถ้วน เลี่ยงอาหารทอดหรือไหม้เกรียม ซึ่งก่อสารพิษประเภทไนโตรซามีน เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต จำกัดการบริโภคน้ำตาล เพราะน้ำตาลสูงสัมพันธ์กับภาวะอ้วนและมะเร็ง อาหารที่ควรเลี่ยง: เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม อาหารดองเค็มหรือรมควัน เช่น กุนเชียง ปลาร้า อาหารที่มีสารกันเสียหรือสีสังเคราะห์มากเกินไป อาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน เช่น ถั่วลิสงเก่า พริกป่นที่เก็บไว้นาน อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะลาบเลือด ก้อยปลา ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ในตับ การกินอย่างมีสติ: เพื่อผู้ป่วยมะเร็งและผู้ที่ต้องการป้องกัน กินครบ 5 หมู่ แต่เน้นโปรตีนไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี ปรุงอาหารให้สะอาด ปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ มีอาหารว่างที่ดีไว้ใกล้ตัว เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ เลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกกับอาหารร้อนหรืออุ่นไมโครเวฟ หลักโภชนาการ 12 ข้อเพื่อต้านมะเร็ง 5 ข้อเพื่อป้องกัน: เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: ธัญพืช ผัก ผลไม้ เน้นผักและผลไม้สีจัด: เบต้าแคโรทีน วิตามินซีสูง เลือกโปรตีนคุณภาพ: ถั่ว ปลา ไข่ไก่ ลดไขมันและควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 7 ข้อลดความเสี่ยง: เลี่ยงอาหารไขมันสูง หลีกเลี่ยงเชื้อราในอาหารแห้ง เช่น ถั่ว พริก งดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ งดอาหารกึ่งสุกดิบ เช่น ลาบเลือด ก้อยปลา งดบุหรี่และควันพิษ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน สรุป อาหารมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่เสี่ยง รวมถึงการดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น ออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียด จะช่วยให้ห่างไกลโรคร้ายได้มากขึ้น จงเริ่มต้นดูแลตนเองวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารที่ดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคต คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q1: ผู้ป่วยมะเร็งสามารถกินโปรตีนได้หรือไม่? A1: ได้แน่นอน ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโปรตีนมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากร่างกายต้องการซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายและสร้างภูมิคุ้มกัน โปรตีนจากแหล่งคุณภาพสูง เช่น ไข่ขาว ซอยย์โปรตีน หรือเวย์โปรตีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ Q2: ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดเมื่อป่วยเป็นมะเร็ง? A2: ควรเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม อาหารหมักดอง หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบที่อาจมีการปนเปื้อนของพยาธิหรือแบคทีเรีย Q3: ผู้ป่วยที่เบื่ออาหารควรทำอย่างไร? A3: ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ บ่อยครั้ง และเลือกอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูง เช่น โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ หรือผลไม้สด เพื่อเสริมพลังงานและสารอาหารโดยไม่สร้างภาระต่อการย่อยมากเกินไป Q4: อาหารแบบใดที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยมะเร็ง? A4: อาหารเย็นและอาหารแห้ง เช่น แครกเกอร์ น้ำแข็ง โยเกิร์ต หรือผลไม้เย็น ๆ ช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี ควรเลี่ยงอาหารรสจัดหรือกลิ่นแรง Q5:...