แสงแดดรักษาดวงตาให้คงทน

0
แสงแดดรักษาดวงตาให้คงทน
ยาหยอดตา เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นการช่วยบำรุงรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีขึ้นเป็นวิธีที่สะดวก
แสงแดดรักษาดวงตาให้คงทน
ดวงตาจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของร่างกาย ค่อนข้างบอบบาง จึงควรหาวิธีในการดูแลและบำรุงดวงตาให้มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงอยู่เสมอ

ดวงตา คือ

ดวงตา ช่วยทำให้เราได้มองเห็น และช่วยทำให้เราได้รับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ดวงตาเป็นจุดเริ่มต้นของการทำกิจกรรมต่างๆเกือบทุกอย่าง เช่น การกินก็ต้องอาศัยดวงตาในการตักอาหารเข้าปาก การเดินก็ต้องอาศัยตาในการนำทาง การทำงานก็ต้องอาศัยดวงตามองเห็นเพื่อให้ทำงานต่างๆที่ได้รับมอบหมายได้ และอื่นๆอีกมากมายที่ต้องใช้ดวง  ตาเป็นองค์ประกอบ เพราะฉะนั้นดวงตาจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของร่างกาย แต่ดวงตาก็เป็นอวัยวะที่ค่อนข้างบอบบางและได้รับการกระทบกระเทือนค่อนข้างง่าย ดังนั้นเพื่อไม่ให้ดวงตาต้องเสื่อมก่อนเวลาอันควร หรือมีปัญหาเกิดขึ้น จึงควรหาวิธีในการดูแลและบำรุงดวงตาให้มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงเสมอ โดยวิธีการบำรุงรักษาดวงตามีมากมายหลายวิธี ทั้งใช้ยาหยอดตา การบริหารดวงตา การทานอาหารบำรุงสายตา และยังรวมถึงการใช้แสงแดดบำรุงสายตาอีกด้วย

โครงสร้างและองค์ประกอบของดวงตา

นอกจากดวงตากลมๆ สีดำขาว 2 ข้าง ที่เราสามารถมองเห็นทางกายภาพจากภายนอกแล้ว ภายในดวงตายังมีโครงสร้างและองค์ประกอบอื่นๆที่สำคัญอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • เปลือกตา ทำหน้าที่เปิดปิดตา เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา ภายในเปลือกตาจะมีต่อมคอยสร้างส่วนประกอบของน้ำตา และกระจายน้ำตาไปยังกระจกตา ช่วยปกป้องเยื่อบุตาและกระจกตาดำไม่ให้แห้ง และช่วยลดอาการระคายเคือง
  • ขนตา ทำหน้าที่คอยกั้นไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอม เช่นฝุ่นละออง สารพิษต่างๆ ตกเข้ามาใส่ดวงตา
  • เยื่อตาขาว ทำหน้าที่เป็น เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มลูกตาเอาไว้เกือบทั้งหมด ยกเว้นช่วงตรงกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของกระจกตา มีสีขาวทึบหนา ยืดหยุ่นได้เล็กน้อย ทางด้านหน้าจะมีเยื่อบุตาบาง ๆ สีขาวใสคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง โดยในเยื่อตาขาว ยังมีเซลล์ทำหน้าที่สร้างส่วนประกอบของน้ำตาชั้นเมือก พบได้มากทางด้านล่างและหัวตา
  • น้ำตา มีลักษณะเป็นของเหลวหรือน้ำ ทำหน้าที่ คอยให้ออกซิเจนและอาหารกับกระจกตา ชะล้างสิ่งแปลกปลอมจากเยื่อบุตาและกระจกตา และช่วยทำให้ผิวกระจกตาเรียบเพื่อเป็นทางเดินของแสงในการมองเห็นภาพมี 3 ชั้นด้วยกันคือ

ชั้นที่ 1 เป็นชั้นไขมันที่อยู่นอกสุด ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำตา

ชั้นที่ 2 เป็นชั้นกลาง ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นกับดวงตา โดยการลำเรียง น้ำ สารอาหาร และออกซิเจน ส่งให้ดวงตา และคอยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับดวงตาด้วย

ชั้นที่ 3 อยู่ชั้นในสุด เป็นชั้นของน้ำเมือก ช่วยทำให้น้ำตากระจายตัวสม่ำเสมอทั่วกระจกตา

– กระจกตา มีลักษณะโปร่งใสอยู่ด้านหน้าของตา มีความไวต่อความรู้สึก ประกอบไปด้วยน้ำ 80% คอลลาเจน 15% และโปรตีน 5% มีหน้าที่ หักเหแสงให้ตกลงบนเรตินา โดยแสงจะส่องผ่านรูม่านตา ( Pupil ) ซึ่งจะรับแสงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการบีบรัดตัวของม่านตา ( Iris ) ในชั้นกระจกตา มี 5 ชั้น ประกอบด้วยสารคอลลาเจนทั้งที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ แต่ส่วนใหญ่ 90% เรียงตัวเป็นระเบียบ มีเซลล์ที่คอยสร้างคอลลาเจนและโปรตีนต่างๆ เป็นชั้นที่ทนต่อการติดเชื้อ ทนต่อการเสียหายต่างๆ เพราะเป็นชั้นที่มองเห็นภาพโดยตรงในชั้นเยื่อบุโพรงกระจกตา เป็นชั้นล่างสุดของกระจกตาทำหน้าที่สูบน้ำออกจากกระจกตา ทำให้กระจกตาใสและแห้ง 

  • แก้วตา ( Lens ) มีลักษณะเป็นสีใสๆอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่โฟกัสหักเหแสงเพิ่มขึ้นต่อจากกระจกตา เพื่อให้แสงตกกระทบบนจุดรับภาพของจอประสาทตา
  • วุ้นตา ( Vitreous Humor ) มีลักษณะคล้ายวุ้นใส แต่มีความหนืดกว่าน้ำ 2 เท่า อยู่ในช่องด้านหลังของลูกตา เป็นแหล่งอาหารของแก้วตา เนื้อเยื่อและจอตา ( Retina ) ประกอบด้วยน้ำ 98% ที่เหลือเป็นสารหลายชนิดเช่น คอลลาเจน ไฮยาลูโรแนน ( Hyaluronan ) และโปรตีน ทำหน้าที่ช่วยให้ลูกตามีรูปร่างคงที่
  • จอตา ( Retina ) มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่ออยู่ด้านในสุดของลูกตา ประกอบด้วยเซลล์ที่รับแสงและเซลล์ประสาท มีความไวต่อแสงมาก ทำหน้าที่รับภาพเหมือนฟิล์มถ่ายรูป ( ภาพกลับหัว ) ตรงกลางเรียกว่ามาคูลา ( Macular ) มีเส้นเลือดดำและแดงมาหล่อเลี้ยง
  • เส้นประสาทตา ( Optic ) เป็นส่วนเชื่อมต่อกันระหว่างลูกตา และเรตินา ทำหน้าที่นำข่าวสาร ( กระแสประสาท ) จากจอตาไปสู่สมอง

วิธีดูบำรุงรักษาดวงตา

ในแต่ละวันเราใช้งานดวงตาตลอดตั้งแต่ ตื่นนอน จนถึงนอนหลับไป ดังนั้น จึงต้องมีวิธีในการดูแลดวงตา เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1. การใช้ยาหยอดตาจากธรรมชาติ การใช้ยาหยอดตา เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นการช่วยบำรุงรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีขึ้น เป็นวิธีที่สะดวก ง่าย ไม่ลำบากต่อผู้ใช้ โดยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์หลายอย่างจากธรรมชาติ มาใช้บำรุงดวงตา ดังนี้

  • น้ำนมจากมารดา นอกจากจะมากไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์และใช้เป็นอาหารสำหรับลูกน้อยที่เกิดมากแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นยาหยอดเพื่อบำรุงสุขภาพดวงตาได้อีกด้วย โดยเมื่อนำไปใช้ในการหยอดตาจะมีอาการพร่ามัวในช่วงแรก แล้วจะค่อยๆใสขึ้นเองในระยะเวลาต่อมา โดยส่วนมากจะใช้กับเด็กที่มีอาการตาแฉะ หรือตาแดง แต่หากมีอาการละคายเคียงให้หยุดและไปพบแพทย์จะดีกว่า   
  • น้ำผึ้ง เป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามิน ที่มีประโยชน์มากมายหลายชนิด และยังประกอบไปด้วยเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอนไซม์พอลเลน ( pollen )และไลโซไซม์ ( lysozyme ) ทำให้น้ำผึ้งมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงรักษาดวงตาได้ดี โดยน้ำผึ้งที่ควรนำมาใช้ให้เลือกเป็นน้ำผึ้งมิ้ม ซึ่งเป็นผึ้งขนาดเล็กจะดีที่สุด
  • น้ำมะพร้าว น้ำมะพร้าวสามารถนำมาใช้เป็นยาหยอดเพื่อบำรุงรักษาดวงตาได้เช่นกัน เนื่องจากในน้ำมะพร้าว ล้วนมากไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น วิตามินต่างๆ เกลือแร่ แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง เหล็ก แคลเซียม เป็นต้นนอกจากนี้ยังมีโกรธฮอร์โมน เอสโตรเจนฮอร์โมน กรดอะมิโน
  • น้ำเปล่า เป็นยาธรรมชาติที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยทำให้ดวงตามีความสะอาด และช่วยล้างฝุ่นละอองออกจากดวงตา

2. การบริหารดวงตา เป็นการบริหารดวงตา เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับดวงตาที่อาจเกิดจากการทำงานที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานานๆติดต่อกัน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี โดยเน้นการเคลื่อนไหวของลูกตาไปมา

3. อาหารบำรุงดวงตา อาหารบางชนิดมีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา ช่วยบำรุงสุขภาพตาให้แข็งได้และดียิ่งขึ้น เช่น ผักใบเขียวทุกชนิด เพราในผักใบเขียวจะมีคลอโรฟิลล์ ที่ช่วยบำรุงสายตาเป็นส่วนประกอบ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการตาเสื่อมด้วย

ตัวอย่างอาหารบำรุงสายตา เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง ปลาทะเล มะม่วงสุก มะละกอ เป็นต้น

4. การมองเพื่อพักสายตา ในบางกิจกรรมที่ต้องใช้การเพ่งสายตามากๆเป็นเวลา ควรจะใช้วิธีการมองไปไกลๆ เช่น มองดูสีเขียวต้นไม้ มองท้องฟ้า เพื่อให้สายตาได้พักและผ่อนคลายบ้าง

5. ใช้แสงแดดบำรุงสายตา นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้ว แสงแดดยังสามารถช่วยบำรุงสายตาได้ด้วยเช่นกัน

แสงแดดรักษาตาได้อย่างไร?

ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความไวต่อแสงสูงมาก สามารถรับแสงได้ทุกชนิดตั้งแต่แสงที่มีระดับต่ำ จนถึงแสงที่มีระดับสูง ดวงตาจึงเป็นจุดรับแสงที่สำคัญขอร่างกาย ซึ่งนอกจากเป็นตัวช่วยผลิตวิตามินดีให้ร่างกายแล้ว หากได้รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสม แสงแดดยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย ดังต่อไปนี้ 

1. แสงแดดเป็นพลังงานที่มีประจุไฟฟ้าอิเล็กตรอน ช่วยขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตาเสื่อม

2. แสงแดดช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดลิมโฟไซต์และฟาโกไซโทซิส ซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันสำหรับร่างกาย จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันดวงตา จากสิ่งแปลกปลอมและสารพิษที่จะเข้ามา ส่งผลให้สุขภาพของดวงตามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

3. แสงแดดช่วยทำให้กล้ามเนื้อภายในตามีความแข็งแรงมากขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของดวงตาให้ดีขึ้น ทำให้การทำงานของทุกอวัยวะย่อยภายในดวงตามีความสมดุลกัน

4. แสงแดดช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น และยังทำสารเฮโมโกลบินสามารถจับตัวรวมกับออกซิเจนได้ดีขึ้นด้วย ส่งผลให้กระจกตาได้รับปริมาณออกซิเจนที่มากขึ้น จึงทำให้ดวงตาแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ

5. วิตามินดี ที่ได้จากแสงแดด เป็นวิตามินที่สำคัญสำหรับชั้นของน้ำตา เพื่อนำไปสร้างคลอลาเจนที่เป็นตัวช่วยทำให้ตามีสุขภาพดีและสมบรูณ์ ดังนั้นหากตาขาดคลอลาเจน จะส่งผลกระทบทำให้ดวงตาเสื่อมสภาพในการมองเห็น

6. แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา หรือแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจสร้างผลเสียกับดวงตาได้ เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะที่อยู่ภายนอกร่างกาย ต้องสัมผัสสิ่งแวดล้อมภายนอกอยู่ตลอดเวลา แสงแดดจึงช่วยลดการติดเชื้อ หรือการอักเสบ และโรคเกี่ยวกับดวงตาได้มากเลยทีเดียว

วิธีการรับแสงแดดเพื่อสุขภาพตาที่ดี

ในการให้ดวงตาได้รับแสงแดด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับแสงแดดคือ ช่วงเช้าก่อน 07.00 น. และ ช่วงบ่ายหลังเวลา 17.00 น.ไปแล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม แสงแดดจะไม่ร้อนเกินไปจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพตา โดยการรับแสงแดดให้กับดวงตามีวิธีดังต่อไปนี้

1. ใช้นิ้วมือประสานเข้าด้วยกัน ให้นิ้วชี้ของมือข้างหนึ่งจรดกับนิ้วหัวแม่มือของมืออีกข้างหนึ่ง เป็นการรับพลังแสงอาทิตย์เข้าหาตัว

2. ทำสมาธิสัก 2-5 นาที ด้วยการหลับตาและลืมตาก็ได้ ให้จิตนิ่งๆเอาจิตไปรับรู้ความรู้สึกของดวงตา 

3. เพ่งมองไปที่ดวงอาทิตย์ตรงๆแบบตาไม่กระพริบ ถ้าเคืองตาจนทนไม่ไหวก็กระพริบ พอให้ผ่อนคลาย โดยและสมาธิจิตยังอยู่ที่ดวงตา

4. ในการทำครั้งแรกนั้น ใช้เวลาเพียง 2-5 นาทีต่อวัน ให้ติดต่อกันประมาณ 10 วัน หลังจากนั้นค่อยๆเวลาให้นานขึ้น ตามความเหมาะสมของร่างกายและสภาพของแสงแดด

โรคที่เกี่ยวกับดวงตา

หากดวงตามีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงแล้ว ก็อาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆกับตาได้ ซึ่งโรคที่เกี่ยวกับดวงตา ที่สามารถพบได้บ่อยๆ เช่น

  • ความผิดปกติจากการอักเสบในชั้นลึกที่หนังตา และตุ่มอักเสบต่างๆที่หนังตา เช่น โรคตากุ้งยิง หรือตาเป็นต้อ
  • ความผิดปกติที่ส่วนหนังตา เช่น หนังตาหย่อน หนังตาตก หนังตาดึงรั้ง หรือสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อตา
  • ความผิดปกติส่วนหน้าของตา เช่น ต้อเนื้อ เยื่อตาเสื่อม เลือดออกที่ส่วนหน้าของตา
  • ความผิดปกติ หรือการอักเสบที่เกิดในดวงตา เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ กระจกตาเสื่อม กระจกตาบวม ตาขาวอักเสบ จอตาอักเสบ โรคตาแดง เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าความสำคัญของดวงตา ไม่ได้ยิ่งหย่อยไปกว่าอวัยวะอื่นๆในร่างกายเลย หากดวงตาเสื่อมหรือเสียไปก็คงทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบากมากขึ้น ดังนั้นจึงควรดูแลสุขภาพของดวงตาให้ดีอยู่เสมอ โดยมีวิธีการดูแลและบำรุงสุขภาพของดวงตาให้ดีได้หลายวิธี เช่น การใช้ยาหยอดตา การบริหารดวงตา การกินการบำรุงสายตา และยังมีวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ แต่มากไปด้วยประโยชน์ต่อดวงตามากมายอย่างการใช้แสงแดดบำรุงสายตาอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5.

แสงแดดช่วยรักษากระดูก

0
แสงแดดช่วยรักษากระดูก
วิตามินดีในแสงแดดสามารช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกได้
แสงแดดช่วยรักษากระดูก
วิตามินดีในแสงแดดสามารช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกได้

รักษากระดูกด้วยแสงแดด

แสงแดด ที่หลากๆ คนอาจยังไม่ทราบว่า โรคที่เกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก สามารถรักษาโดยใช้แสงแดดช่วยรักษากระดูกเป็นตัวช่วยได้ โดยแสงแดดจะไปช่วยสร้างวิตามินดีให้กับร่างกาย ซึ่งวิตามินดี ที่ได้จากแสงแดดถือว่าเป็นวิตามินธรรมชาติ ที่มีคุณภาพสูงก  ว่า การได้รับวิตามินสังเคราะห์จากพวกอาหารเสริม โดยวิตามินดีจะไปช่วยในการควบคุมการดูดแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเพื่อนำไปสร้าง หรือซ่อมแซมกระดูกโดยตรง

กระดูกคืออะไร ?

กระดูก หรือ Bone เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective Tissue ) ที่เป็นโครงร่างที่มีความแข็งแรง มีหน้าที่เกี่ยวกับการค้ำจุนและรักษาโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ ในวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว มนุษย์จะมีกระดูกทั้งหมดประมาณ 206 ชิ้น เชื่อมต่อกันเป็นโครงร่าง โดยมี ข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ เป็นตัวยึดเหนี่ยวกระดูกในแต่ละชิ้นให้เชื่อมติดกัน ยกเว้น กระดูกอ่อนโคนลิ้น ที่เป็นกระดูกที่อยู่ในคอ จะเป็นกระดูกเพียงชิ้นเดียวในร่างกายมนุษย์ที่ไม่เกิดข้อต่อเชื่อมกับกระดูกอื่นๆเลย

ประเภทของโครงสร้างกระดูก

โครงสร้างของกระดูกแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ โครงสร้างกระดูกแกน กับโครงสร้างกระดูกรยางค์ ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. โครงสร้างกระดูกแกน ( Axial Skeleton )

โครงสร้างกระดูกแกน ( Axial Skeleton ) คือ ชุดของกระดูกที่อยู่บริเวณกลางลำตัวและศีรษะของร่างกายมนุษย์ มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยปกป้องอวัยวะสำคัญในร่างกาย ประกอบไปด้วยกระดูกจำนวน 80 ชิ้น เช่น

  • กระดูกกะโหลกศีรษะ ( Skull ) ภายในกะโหลกศีรษะจะมีลักษณะเป็นโพรงสำหรับ บรรจุสมอง โดยมีกระดูกกะโหลกศีรษะและกระดูกย่อยหลายๆ ชิ้นเชื่อมต่อติดกัน กระดูกกะโหลกศีรษะมีหน้าที่ห่อหุ้มและป้องกันสมอง จากการกระทบกระเทือนต่างๆ
  • กระดูกสันหลัง ( Vertebrae ) เป็นแกนกระดูกชิ้นหลัก ที่ช่วยค้ำจุน และช่วยรองรับน้ำหนักภายในร่างกาย เป็นแนวกระดูกที่ทอดอยู่ทางด้านหลังของร่างกาย ประกอบด้วยกระดูกชิ้นเล็กๆ เป็นข้อๆ ติดกันด้วยกล้ามเนื้อและเอ็น โดยระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ จะมีแผ่นกระดูกที่เรียกว่า หมอนรองกระดูก ( Intervertebral Disc ) เป็นกระดูกอ่อน ทำหน้าที่รองและเชื่อมกระดูกสันหลังแต่ละข้อ เพื่อป้องกันการเสียดสีกันของกระดูกแต่ละชิ้น หากหมอนรองกระดูกเสื่อมจะทำให้รู้สึกปวดหลัง และขยับตัวได้ลำบากมากขึ้น 
  • กระดูกซี่โครง ( Ribs ) เป็นกระดูก ที่มีลักษณะเป็นซี่ๆ จำนวน 12 คู่ ทำหน้าที่ป้องกันบริเวณส่วนอก กระดูกซี่ โครงจะเชื่อมกับกระดูกอก ( Sternum ) ด้วยกระดูกอ่อน ระหว่างกระดูกซี่โครง จะมีกล้ามเนื้อที่คอยยึดซี่โครงทั้งแถบนอกและแถบใน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ โดยซี่โครงขยับเปิดช่องให้ปอดขยายตัวรับอากาศเมื่อหายใจเข้า และหดตัวเมื่อปอดหายใจออกเพื่อบีบอากาศเสียออกไป

2. โครงสร้างกระดูกรยางค์ ( Appendicular Skeleton )

โครงสร้างกระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton)เป็นโครงกระดูกที่อยู่รอบนอกของกระดูกแกน ทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหวและปกป้องอวัยวะในระบบ การย่อยอาหาร การขับถ่าย และการสืบพันธุ์ มีทั้งหมด 126 ชิ้น ตัวอย่าง เช่น กระดูกไหล่ ( Shoulder Girdle ) กระดูกต้นแขน ( Humerus ) กระดูกข้อมือ ( Carpal Bone ) กระดูกเชิงกราน ( Hip Bone ) และ กระดูกต้นขา ( Femur ) เป็นต้น

หน้าที่สำคัญของกระดูก

นอกจากเป็นโครงสร้างให้กับร่างกายแล้ว กระดูกยังมีหน้าที่อื่นๆ ที่สำคัญ เช่น

1. ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะต่างๆ กระดูกจะช่วยป้องกันอวัยวะภายในร่างกายที่มีความบอบบาง ไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน หรืออันตรายจากสิ่งภายนอก

2. รักษารูปร่างให้คงที่และทรงตัวได้ กระดูกคอยทำหน้าที่ เป็นโครงร่างให้ร่างกายมนุษย์สามารถรักษารูปทรงอยู่ได้ และช่วยให้มนุษย์สามารถทรงตัวได้ด้วย

3. ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว กระดูกทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกาย หากไม่มีกระดูกมนุษย์ก็คงไม่สามารถขยับ หรือเคลื่อนไหวร่างกายได้ 

4. ช่วยให้เกิดการได้ยิน กระดูกช่วยในการนำคลื่นเสียง และช่วยในการได้ยิน เช่น กระดูกค้อน ทั่ง และ โกลน ซึ่งอยู่ในหูตอนกลาง ทำหน้าที่นำคลื่นเสียงผ่านไปยังหูตอนใน ทำให้เกิดการได้ยินขึ้น

5. เป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดที่สำคัญต่างๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยถูกสร้างขึ้นมาจากไขกระดูก

6. เป็นแหล่งเก็บสะสมแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเก็บแคลเซียมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย

7. เก็บสะสมสารส่งเสริมการเจริญเติบโตบางชนิด เช่น โบน มอร์โฟเจนเนติก โปรตีน ( Bone Morphogenesis Protein หรือ BMPs ) เป็นโปรตีนช่วยในระบบการสร้างกระดูกและกระดูกอ่อน

8. เก็บสะสมไขมันในรูพรุนของกระดูก คือ ไขกระดูกเหลือง

9. รักษาความสมดุลในเลือด ช่วยควบคุมค่าความเป็นกรด ด่างในร่างกายให้คงที่ เมื่อเลือดเป็นด่างมาก กระดูกก็จะดูดซึมสารจำพวกเกลืออัลคาไลน์ ( Alkaline Salts ) เข้ามาเก็บไว้ในกระดูก เมื่อเลือดเป็นกรดมาก กระดูกก็จะปลดปล่อยสารจำพวกเกลืออัลคาไลน์ และแคลเซียมออกสู่กระแสเลือดเพื่อลดความเป็นกรดในเลือด

10. ช่วยสลายพิษในร่างกายพร้อมเนื้อเยื่อ กระดูกสามารถดูดซึม เก็บสะสมโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกายออกมาจากกระแสเลือด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับร่างกาย เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะปกติ กระดูกจะค่อยๆปลดปล่อยโลหะหนักเหล่านี้ออกไปยังม้ามและตับ ให้ขจัดออกทางระบบขับถ่ายต่อไป

11. ควบคุมกระบวนการเผาผลาญฟอสฟอรัส ( Phosphate Metabolism ) ซึ่ง ฟอสฟอรัสเป็นสารอิเล็กโทรไลต์ หรือสารน้ำเกลือ ที่มีบทบาทต่อทั้งการซ่อมสร้างกระดูก

แนวปฏิบัติเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง

1.ดื่มน้ำมะพร้าวก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง โดยอาจจะดื่มในช่วงเวลาอาหารเช้า อาการกลางวัน หรือช่วงที่ท้องว่างก็ได้ เนื่องจากในน้ำมะพร้าว จะมีกรดฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกระดูก นอกจากนี้ในน้ำมะพร้าวยังมากไปด้วยสารอาหารที่ส่งผลดีต่อกระดูกอย่าง โปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัส โดยการดื่มให้จำกัดปริมาณเพียงครั้งละ 1 ลูกเท่านั้น 

2. เน้นทานอาหารประเภทผักและผลไม้ในมื้อเช้า โดยเลือกผักใบเขียวที่มีแคลเซียมสูง ส่วนผลไม้ให้เลือกตามฤดูกาลเท่านั้น เนื่องจาก จะได้ผลไม้ที่สดใหม่ ไม่ผ่านการอาบรังสี จึงทำให้มีเอนไซม์มาก ซึ่งเอนไซน์เหล่านี้ที่ได้จากผักและผลไม้ จะช่วยในการซ่อมแซมและการสร้างกระดูกได้อย่างดีเลยทีเดียว

3. กินอาหารมังสวิรัติ เช่น ฟองเต้าหู้ ถั่วลันเตา เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ เป็นต้น เพราะเป็นโปรตีนที่ได้จากพืชที่มีแคลเซียมสูง และต้องเป็นอาหารที่ไม่มีรสชาติจัดจ้าน เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดในร่างกาย เพราะหากเกิดภาวะเลือดเป็นกรดแล้ว ปริมาณแคลเซียมในร่างกายจะลดลงตามไปด้วย

4. ควบคุมอาหารมื้อเย็น ในการทานอาหารมื้อเย็น ควรเลือกทานอาหารประเภทผักหรือผลไม้สดให้มาก และไม่ควรทานอาหารให้เยอะจนเกินไป

5.ดื่มน้ำเปล่าให้มาก การดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดในปริมาณมากๆ จะช่วยให้การดูดซึมใบอาหารเข้าสู่ร่างกายทำได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นอาหารของจุลินทรีย์ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น

6. เลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน และเค็ม เนื่องจากอาหารประเภทนี้หากได้รับในปริมาณมาก อาจจะส่งผลเสียกับเลือด ทำให้เลือดเกิดความเป็นกรดได้ หากเลือดเกิดความเป็นกรดแล้ว กลไกทางร่างกายจะไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูก เพื่อนำแคลเซียมเหล่านั้นไปปรับความสมดุลในเลือดให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อยๆปริมาณแคลเซียมในกระดูกจะลดลงและทำให้กระดูกเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ

7. รู้จักบริหารสภาวะอารมณ์ตนเองให้ดีอยู่เสมอ เพราะเนื่องจากการมีสภาวะอารมณ์ที่ไม่ดี หรือมีความเครียดบ่อยๆ จะส่งผลให้เลือดเป็นกรดและข้น ซึ่งเป็นภาวะอ่อนไหวต่อการสร้างกระดูกอย่างมาก

8. ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ ในแต่ละวันควรให้ร่างกายได้รับปริมาณของแสงแดดที่เพียงพอ โดยอาจใช้วิธีการรับแสงแดด เช่น คว่ำหน้าตากแดด 30-40 นาที และ นอนหงายตากแดดอีก 20-30 นาที และควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีอ่อนในการรับแสงแดด เพื่อให้แสงแดดเข้าสู่ผิวหนังได้มากที่สุด โดยเฉพาะสีขาว

9.ระมัดระวังการทานยาแต่ละชนิดโดยเฉพาะยาแก้ปวดหัว เนื่องจากยารักษาโรคแต่ละชนิด หากได้รับในปริมาณที่สูงมากจนเกินไป จะมีผลต่อ กระเพาะอาหาร ตับ และไต และยังส่งผลทำให้สภาวะเลือดเป็นกรดได้ด้วย หากมีอาการปวดหัวอาจใช้วิธีการอื่นในการรักษาเช่น ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กบางชุบน้ำบิดให้หมาดวางบนบริเวณที่ปวดสัก 1 ชั่วโมง เพื่อให้อาการทุเลาลง 

ปัญหาของโรคกระดูกที่หลายคนมักพบเจอ คือการเสื่อมของกระดูกก่อนเวลาอันสมควร ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้กระดูกเสื่อมไปก่อนเวลานี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้ชีวิตและพฤติกรรมที่ผิดๆ ที่บั่นทอนให้สุขภาพกระดูกค่อยๆแย่ลงจนเกิดเป็นภาวะโรคกระดูกเสื่อมขึ้น ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดภาวะโรคกระดูกเสื่อมกับตนเอง ควรรู้จักดูสุขภาพกระดูกให้ดีให้แข็งแรงอยู่เสมอ และต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลเสียทำลายกระดูกด้วย โดยวิธีการดูแลกระดูกที่ง่ายที่สุด คือ การได้รับปริมาณแสงแดดที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายนำไปสร้างวิตามินดีที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงนั้นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5

MacAdam, David L. (1985). Color Measurement: Theme and Variations (Second Revised ed.). Springer. pp. 33–35. ISBN 0-387-15573-2.

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

0
เบาหวานและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
โสมมีสรรพคุณในการช่วยลดระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน
เบาหวานและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
โสม มีสรรพคุณในการช่วยลดระดับน้ำตาล และอินซูลินในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

จากข้อมูลพบว่ามี ผู้เป็นป่วยโรคเบาหวานใช้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ สมุนไพร มากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ มักให้ความสำคัญกับอาหารเสริมชนิดต่างๆ ที่มีการโฆษณาและขายอยู่ในปัจจุบันนี้ มากว่าการปรับพฤติกรรมการกินและใช้ชีวิตตามที่แพทย์สั่งมา  ผู้ป่วยหลายคนมักหา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการอวดอ้างสรรคุณว่าดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยควบคุมโรคเบาหวานได้ ทั้งที่ในปัจจุบัน ความเป็นจริงยังไม่มีอาหารเสริมตัวไหนที่ได้รับรองทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ ล่าสุดในปี ค.ศ.2014 สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำผู้ป่วยเบาหวานว่า หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรต้องเสริมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรใดๆทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมในอาหารเสริมลดลงแต่อย่างใด 

ปัจจัยการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน บางคน ที่อาจจำเป็นจะต้องใช้อาหารเสริมชนิดต่างๆ โดยมักมีสาเหตุและจุดประสงค์ ที่จะต้องนำมาใช้เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้

  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เสมอและควบคุมได้ยาก
  • มีความจำเป็นต้องงดอาหารบางชนิดที่มีสารอาหารที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีการแพ้อาหาร
  • ได้รับปริมาณอาหารต่ำกว่า 1,600 แคลอรีต่อวัน จากการที่ต้องลดน้ำหนัก ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ
  • ได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยายาตีกันกับวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น ยาเมทฟอร์มิน อาจก่อให้เกิดความผิดปกติในการดูดซึมวิตามินบี 12 ซึ่งส่งผลให้ผลให้เกิดโลหิตจางในเวลาต่อมา ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาเมทฟอร์มิน จึงควรได้รับการเสริมวิตามินบี 12 ควบคู่กันไป

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับการวิจัยในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

สำหรับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับการวิจัยในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบันมีดังนี้

1. โครเมียม

การเสริมโครเมียมในผู้ป่วยโรคเบาหวานมีการทดลองใช้กันมานาน โดยผลที่ได้มีทั้งผลในทางบวก และผลในทางที่เป็นลบ ซึ่งผลในทางบวกพบว่าผู้ป่วยที่ทำการเสริมโครเมียมให้กับร่างกายโดยใช้โครเมียมในรูปโครเมียมพิโคลิเนตวันละ 1,000 ไมโครกรัม ร่วมกับยาโรคเบาหวานจะช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน ช่วยให้คุมน้ำตาลได้ดีกว่าการใช้ยาเบาหวานอย่างเดียว และยังช่วยลดน้ำหนักที่มีผลมาจากยาเบาหวานได้อีกด้วย  

ส่วนผลในเชิงลบที่พบคือ การเสริมด้วยโครเมียม ไม่ได้ช่วยในการควบคุมโรคเบาหวานหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแต่อย่างใด แต่กลับให้ผลร้ายตามมาคือ เกิดการปวดท้อง มีอาการผิดปกติเกิดข้นกับกล้ามเนื้อและผิวหนัง นอกจากนี้การเสริมโครเมียมในปริมาณที่สูงมากๆ ยังอาจทำให้ตับและไตวาย เม็ดเลือดแตก ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ อีกด้วย 

2. กิงโกะบิโลบา ( สารสกัดจากใบแปะก๊วย )

กิงโกะบิโลบา เป็นสารที่สามารถสกัดได้จากในใบแปะก๊วย ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยเพิ่มความจำ ช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือกทำงานได้ดีขึ้น โดยมีงานวิจัยที่ได้นำสารชนิดนี้ไปใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และพบว่าสามารถช่วยลดอาการดื้อต่ออินซูลินได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์มารองรับที่ชัดเจน ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาต่อไป หากผู้ป่วยเบาหวานคนไหนจะใช้สารชนิดนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด เพราะอาจมีผลขัดกับยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานอยู่แล้ว

3. โสม

โสมถือว่าเป็นสมุนไพรโบราณอีกหนึ่งชนิด ที่มีสรรพคุณมากมาย ช่วยในการรักษาโรคได้หลายชนิด ส่วนที่เกี่ยวกับโรคเบาหวาน มีงานวิจัยพบว่า โสมชนิดเกาหลีมีสรรคุณที่จะช่วยให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินดีขึ้นได้ และโสมอเมริกัน ( American Ginseng ) มีผลช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ข้อมูลโสมทั้งสองชนิดนี้ก็ยังคงอยู่ในการวิจัยต่อไป

นอกจากนี้ยัง มีข้อควรระวังหากผู้ป่วยโรคเบาหวานจะใช้โสมทั้ง 2 ชนิดนี้คือ เลี่ยงการใช้โสมถ้าต้องใช้ยาแสไพรินและวาร์ฟาริน เพราะโสมจะลดฤทธิ์การทำงานของยาเหล่านั้น หรือควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้จะดีที่สุด

4. แมกนีเซียม

แมกนีเซียม สามารถพบได้มากในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อปลา ผักใบเขียว ไข่ นม ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืชชนิดไม่ขัดสี เป็นต้น โดยแมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด ที่ช่วยในการทำงานของคาร์โบไฮเดรตและควบคุมฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย

นักวิจัยเชื่อว่า หากร่างกายขาดแมกนีเซียมจะจะส่งผลกระทบต่อการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน และทำให้อินซูลินทำงานได้ไม่ดี ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีระดับแมกนีเซียมสะสมในเลือดต่ำ จาการที่ต้องสูญเสียแมกนีเซียมไปกับปัสสาวะมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน จึงอาจส่งผลต่อโรคแทรกซ้อนในเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ดังนั้นความต้องการแมกนีเซียมในร่างกายจะสูงขึ้นในผู้ที่คุมเบาหวานไม่ดีและในผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิตจะทำให้แมกนีเซียมถูกขับออกจากปัสสาวะมากขึ้น
มีผลสรุปจากงานวิจัยจำนวน 9 งานที่เกี่ยวกับแมกนีเซียม ว่า การเสริมแมกนีเซียมประมาณ 4-16 สัปดาห์ อาจส่งผลช่วยให้ลดระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า และยังจะไปช่วยเพิ่มค่า เอชดีแอลคอเลสเตอรอลในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย แต่ผลระยะยาว ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม
โดยปริมาณแมกนีเซียมที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือ ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมสำหรับผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป และ 310-320 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ซึ่งหากได้รับปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติกับร่างกาย เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง กล้ามเนื้ออ่อนแรง การหายใจผิดปกติ และอัตราการเต้นหัวใจลดลง เป็นต้น และหากได้รับในปริมาณมากกว่า 5,000 มิลลิกรัม/วัน ก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ 

5. โอเมก้า-3

โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันชนิดที่พบได้มากในเนื้อปลา โดยเฉพาะในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ซึ่งจากข้อมูลในการวิจัยยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า โอเมก้า-3 มีผลต่อการควบคุมระดับเบาหวานได้ แต่กลับพบข้อมูลว่า อาหารที่มีโอเมก้า-3 เป็นส่วนประกอบมีผลต่อความเสี่ยงการเกิดเบาหวานได้ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยปกติแล้ว กรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่ให้ผลเสียกับร่างกาย แต่อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยต่อระบบการย่อยอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย นอกจากนี้กรดไขมันโอเมก้า-3 ยังทำให้เลือดหยุดช้าเวลาที่เกิดบาดแผลหากต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์

6. วิตามินดีและแคลเซียม

วิตามินดี และ แคลเซียม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และความจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์ ซึ่งการวิจัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน หลายๆที่ ยังไม่พบว่า วิตามินดีและแคลเซียม สามารถช่วยลดระดับของน้ำตาลในเลือดได้จริง ยังเป็นข้อมูลที่อยู่ระหว่างการศึกษาต่อไป ทั้งนี้หากต้องการเสริมวิตามินดีและแคลเซียมให้กับร่างกาย หากได้รับปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลทำให้ การดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสีในร่างกายทำได้แย่ลง นอกจากนี้แคลเซียมอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้

7. วาเนเดียม

วาเนเดียม ( Vanadium ) เป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทั้งในสัตว์และในพืช แต่การพบมีเพียงปริมาณที่เล็กน้อยเท่านั้น มีงานวิจัยพบว่า วาเนเดียม นี้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในสัตว์ ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ส่วนงานวิจัยในคนพบว่า การเสริมวาเนเดียม ทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีความไวต่ออินซูลินดีขึ้นเล็กน้อย และสามารถลดการใช้ยาฉีดอินซูลินลงได้ แต่ข้อมูลดังกล่าวก็ยังคงต้องรอผลการศึกษาที่ชัดเจนต่อไป

การแพทย์ทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

การแพทย์ทางเลือก หมายถึง การรวมหลักการทางการแพทย์แผนปัจจุบันและทางเลือกบางอย่างที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัยและได้ผล โดยจะนำมาใช้ร่วมกัน โดยมีสิ่งที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันได้ทราบว่าตนเองได้ รับการรักษา หรือ ใช้อาหารเสริม หรือยา ชนิดใดมาแล้วบ้าง เพราะสิ่งที่มีการเสริมเข้าไปอาจจะไปทำปฏิกิริยากับยาโรคเบาหวานได้เช่นกัน ยาแผนปัจจุบัน ได้รับการรับรองว่ามีความบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งปนเปื้อนและกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ต่างกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพร หรือวิตามินที่วางขายทั่วๆไป ที่แม้จะมีสรรคุณดีๆมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับรองหรือการยืนยันทางกานแพทย์ว่าได้ผลและมีความปลอดภัยต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน 

ข้อมูลการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า สารอาหารที่คนส่วนใหญ่ได้รับไม่เพียงพอคือแคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินเอ ซี อี และใยอาหาร นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กและผู้ใหญ่ได้รับวิตามินดี ไม่เพียงพออีกด้วย

การแพทย์แบบผสมผสานได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยสำหรับการรักษาโรคเบาหวานนั้นซึ่งนอกจากได้รับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังอาจใช้วิธีการเสริมด้วยสมุนไพรหรืออาหารเสริมชนิดต่างๆ เข้าไปด้วย แม้ว่าหลายๆงานวิจัยจะให้ผลออกมาเป็นบวกในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ออกมารองรับ เพราะต้องรอให้มีข้อมูลการวิจัยให้ชัดเจนมากกว่านี้เสียก่อน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเบาหวานต่างๆ

1. วิตามินและแร่ธาตุรวม เป็นสารอาหารที่อาจช่วยละระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลใดๆยืนยันที่ชัดเจน

2. อินทนิลน้ำ ( Lagerstroemia Speciosa ) เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลด ช่วยลดไขมันและความดันโลหิตสูงได้

3. น้ำมันปลา ( 1,000-4,000 มิลลิกรัม/วัน ) ใช้เพิ่มความไวต่ออินซูลิน ลดคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์

4. แมกนีเซียม ( 200-600 มิลลิกรัม/วัน ) ข้อมูลการวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีระดับแมกนีเซียมลดลง การเสริมอาจช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาลได้ดีขึ้นในผู้ป่วยบางคน

5. วิตามินซีและวิตามินอี ข้อมูลการวิจัยพบว่า ผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดต่ำเชื่อว่าการเสริม วิตามินอี และ วิตามินซี จะช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งส่งผลให้ดระดับต่ำตาลในเลือดลดลงได้

6. โครเมียม (500-1,000 ไมโครกรัม/วัน) เชื่อว่าจะช่วยให้การเผาผลาญน้ำตาลทำดีขึ้น

7. รอยัลเยลลี่ ( Royal Jelly ) รอยัลเยลลี่ หรือเรียกอีกอย่างว่า นมน้ำผึ้ง คือ อาหารเสริม เบาหวานชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหลายๆประเทศ เช่น ฝรั่งเศส , อังกฤษ , อิตาลี , ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยรอยัลเยลลี่นั้น ได้มากจากอาหารของผึ้งนางพญาและตัวอ่อนของผึ้งมีส่วนประกอบของสารอาหารมากมาย ทั้ง โปรตีน ,คาร์โบไฮเดรต,กรดไขมัน ,เกลือแร่ ,วิตามิน และยังรวมไปถึงฮอร์โมนบางชนิด อย่าง เทสทอสเทอโรน เอสโทรเจน โพรเจสเทอโรน และคอร์ติซอลมีรายงายการวิจัยว่ารอยัลเยลลี่นั้น มีสรรพคุณที่หลากหลาย เช่น มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง ,ต้านแบคทีเรีย, ต้านการอักเสบ และอื่นๆ โดยมักจะใช้ได้ดีสำหรับผู้สูงอายุ    

8. วิตามินบีคอมเพล็กซ์อยู่ในส่วนของวิตามินรวม อาจเสริมวิตามินบี6 ( 50-150 มิลลิกรัม/วัน ) และวิตามินบี 12 (1,000-3,000 ไมโครกรัม/วัน) ข้อมูลการวิจัยพบว่าการเสริมจะให้ประโยชน์ในการป้องกันระบบปลายประสาทเสื่อม

9. ไบโอติน ( 2,000-4,000 ไมโครกรัม/วัน ) มีข้อมูลการวิจัยพบว่าการเสริมไบโอตินช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน

10. กรดอัลฟาไลโปอิก ( 300 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์มาก นักวิจัยเชื่อว่าช่วยลดระดับน้ำตาลและให้ผลในการป้องกันระบบปลายประสาทเสื่อมในเบาหวาน แต่ผลการวิจัยที่ผ่านมายังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ากรดอัลฟาไลโปอิกช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนในเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ และในปริมาณสูงๆ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับระบบทางเดินอาหาร

11. อีพีโอหรืออีฟนิ่งพริมโรสออยล์ ( 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ) ข้อมูลการวิจัยพบว่า ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีระดับอีพีโอต่ำ การเสริมจึงอาจช่วยป้องกันการขาดอีพีโอได้

12. ใยอาหารจากบุก ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอล ในเลือดให้ต่ำลงได้

13. เห็ดหลินจือ ( Lingzhi Mushroom ) เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรจีนโบราณชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในแถบประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มีสรรพคุณในการรักษาโรคมากมาย เช่น โรคตับ โรคไต ความดันโลหิต โรคหืด ใช้ลดไขมันในเลือด รักษาโรคมะเร็ง เป็นยาบำรุง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย และสามารถต้านอาการอ่อนเพลียและช่วยรักษาโรคซึมเศร้าได้ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
แต่ในทางการผลวิจัย ยังไม่สามารถที่จะหาหลักฐานมายืนยันได้ว่า เห็ดหลินจือ นั้นสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายมนุษย์ได้จริง ยังคงต้องรอการศึกษาและวิจัยพัฒนาต่อไป

14. อบเชย ( 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ) เชื่อว่าช่วยควบคุมระดับน้ำตาล

15. สมุนไพรอื่นๆ ที่ให้ประโยชน์ ได้แก่ ชาเขียว ขิง มะระ หอม กระเทียม สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่จะต้องใช้ในปริมาณที่มาก

ถึงแม้ว่าอาหารเสริมชนิดต่างๆ จะมีการอวดอ้างสรรคุณที่มากมายเพียงใด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องไม่ละทิ้งการมาพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยวิธีการปกติ เพราะในปัจจุบันยังคงไม่มีผลการรับรองใดๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าอาหารเสริมต่างๆ สามารถรักษาและช่วยลดอาการป่วยของผู้เป็นโรคเบาหวานได้จริง อีกทั้งหากใช้แบบไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน ก็อาจมีความอันตรายต่อผู้ป่วยได้เช่นกัน จงจำไว้เสมอว่าโรคเบาหวานมีวิธีในการรักษาที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองให้มากมายก็คือ การรู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ รู้จักควบคุมอาหารที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด,2557.

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

Parker, Katrina (2008). Living with diabetes. New York: Facts On File. p. 143. ISBN 9781438121086. Archived from the original on 2017-09-06.

เตรียมพร้อมช็อปปิ้งอาหารลดโรคคุมเบาหวาน

0
เลือกซื้อและเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์
ผักสีใบเขียวจัดช่วยต้านโรคและยังมีสารแอนติออกซิแดนต์และเส้นใยอาหาร
เลือกซื้อและเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์
การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ ควรเลือกประเภทของเนื้อที่มีไขมันน้อย และควรเลี่ยงบริเวณเนื้อติดหนังที่มักจะมีปริมาณไขมันที่สูง

 อาหารที่ช่วยลดโรคคุมเบาหวาน

เบาหวาน เกิดได้จากการเลือกกินอาหารตามใจปาก ที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ เป็นสาเหตุหลักสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดโรคชนิดไม่ติดต่อเรื้อรังได้มากมาย เช่น โรคมะเร็ง โรคความดัน โรคไต โรคอ้วน และโรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งมีหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้การกินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ คือ การเน้นความสะดวกรวดเร็ว ว่องไว ในยุคที่ต้องทำงานแข่งกับ  เวลาเช่นนี้ หลายคนมักเลือกกินอาหารปรุงสำเร็จรูป ที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า รวมถึงร้านอาหารฟ้าสฟูดส์ต่างๆ ซึ่งล้วนมากไปด้วยปริมาณของไขมัน โซเดียม และน้ำตาลที่สูงกว่าการทำอาหารกินเอง ดังนั้นหากต้องการลดความเสี่ยงในการเป็นในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่นับวันจะมีปริมาณของผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงควรเลือกซื้อและเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ โดยคุณแม่บ้านที่มีหน้าที่หลักในการซื้อและเตรียมสินค้าเข้าบ้าน ควรเลือกซื้อสินค้า และอาหารที่ดีต่อโภชนาการติดบ้านเอาไว้ โดยให้ยึดหลักในการเลือกซื้ออาหารดังต่อนี้

การเลือกซื้อผักและผลไม้

อาหารประเภทผักและผลไม้ เป็นสารอาหารจำเป็นที่ในแต่ละวันต้องกินให้ได้ปริมาณ 5 ส่วนเป็นอย่างน้อย เป็นสิ่งที่คุณแม่บ้านควรซื้อติดบ้านเอาไว้ เพื่อเตรียมเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร หรือจะใช้ทานสดๆ ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น การเลือกซื้อผักและผลไม้สด ควรเลือกทำเป็นลำดับแรก โดยมีหลักการเลือกซื้อดังนี้

1. เลือกซื้อผักและผลไม้สดที่หลากหลาย ไม่ซื้อเพียงใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

2. เลือกซื้อผักสดและผลไม้ตามฤดูกาลและท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ นอกจากจะได้ผักและผลไม้ที่ราคาถูกแล้ว ยังได้ผักและผลไม้ที่มีความสดอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน จะเป็นช่วงที่จะมีผลไม้มากมาย เช่น แตงโม เมลอน องุ่น ลำไย มะม่วง ซึ่งมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีกว่าในฤดูการอื่นๆ

3. เน้นการเลือกซื้อผักที่มีใบเขียวจัดๆ เช่น ผักสลัด โรเมน ผักสลัดสีแดง หรือผักโขมเนื่องจากผักใบเขียวจัดๆแบบนี้ จะมากไปด้วยสารพฤกษเคมี ( Phytochemicals ) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านโรคและยังมีสารแอนติออกซิแดนต์และเส้นใยอาหารที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่ากายทั้งสิ้น นอกจากผักสีใบเขียวจัดแล้ว ยังมีผักสีอื่นที่มีประโยชน์เช่นเดียวกันนี้ ได้แก่ แครอท พริกหวาน ( เขียว แดง และส้ม ) และดอกกะหล่ำ เป็นต้น

4. เลือกผักผลไม้ชนิดอินทรีย์ ( ออร์แกนิก ) ผักและผลไม้ที่นิยมกินทั้งเปลือง เช่น แอปเปิล องุ่น ควรเลือกเป็นแบบชนิดอินทรีย์หรือแบบออร์แกนิกแทน เพราะเป็นชนิดผักและผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง มีความปลอดภัยมากว่า แต่ก็จะมีราคาที่สูงกว่าชนิดปกติค่อนข้างมากเช่นกัน

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการกินอาหารประเภทผักและผลไม้

  • ผักที่เก็บไว้นาน หรือใกล้จะเริ่มเหี่ยวแล้ว อาจใช้การดัดแปลงเมนูอาหาร เช่นนำต้มเป็นจับฉ่าย เป็นต้น ดีกว่าการนำไปทิ้ง ส่วนการเก็บรักษาที่ควรทำคือนำไปลวกและแช่งแข็งเอาไว้
  • หากมีสมาชิกในครอบครัว ไม่ชอบทานผักหรือผลไม้ ให้ใช้วิธีการ นำผักหรือผลไม้ มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และผสมในอาหารปกติที่กินอยู่เป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่ครบถ้วน 
  • เลี่ยงการทานผักกระป๋อง เพราะส่วนมากจะมีเกลือโซเดียมผสมอยู่ในปริมาณที่สูง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย ส่วนการกินผลไม้กระป๋อง ควรเลือกทานชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย
  • หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารประเภทผักและผลไม้ด้วยเครื่องปรุงรสจัด หรือใช้ปริมาณของน้ำมันที่สูง
  • ควรเลือกซื้อผลไม้ เช่น แอปเปิล กล้วย องุ่น ที่สามารถหาได้ง่าย ล้างให้สะอาดและวางไว้ในบริเวณบ้าน ที่สามารถหยิบกินได้ง่าย เช่น ในตู้เย็น บนโต๊ะอาหาร เพื่อให้คนในครอบครัวได้กินผลไม้บ่อยๆ
  • เลือกดื่มน้ำผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ให้มากจนเกินไป แม้ว่าน้ำผลไม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การดื่มปริมาณที่มากเกินไปอาจได้รับปริมาณพลังงานส่วนเกินที่ร่างกายใช้ไม่หมด ปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรเกิน วันละ 120-240 มิลลิลิตร และควรเลือกแบบชนิดไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม

การเลือกซื้ออาหารประเภทเนื้อสัตว์

อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ถือว่าเป็นสารอาหารประเภทโปรตีนที่สำคัญชนิดหนึ่งของร่างกาย และเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงอาหารแต่ละวัน เนื้อสัตว์ส่วนมากที่คนไทยนิยมกินกัน เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อปลา เป็นต้น ซึ่งมีหลักในการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ดังต่อไปนี้

1. เน้นการซื้อเนื้อสัตว์ประเภทปลา โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเล เนื่องจากมีเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ โปรตีนสูงและมากไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง โอเมก้า 3 ปริมาณที่แนะนำให้กินคือ ควร กินเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และควรกินเนื้อแดงจากสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ เพียงเดือนละ 2-3 ครั้ง เท่านั้น

2. เลือกส่วนเนื้อสัตว์ที่ไขมันน้อย การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ ควรเลือกประเภทของเนื้อที่มีไขมันน้อย เช่น บริเวณเนื้อสะโพก เนื้อช่วงอก และควรเลี่ยงบริเวณเนื้อติดหนังที่มักจะมีปริมาณไขมันที่สูง

3. การเลือกซื้อเนื้อบดสำเร็จรูป หากต้องการซื้อเนื้อบด ควรเลือกซื้อเนื้อแดงและนำไปให้แผนกเนื้อบดให้ใหม่ ไม่ควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่มีการบดสำเร็จรูปไว้แล้ว เนื่องจากมักจะมีส่วนผสมของมันค่อนข้างมาก 

4. หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ เช่น แฮม ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น เนื่องจากอาหารแปรรูปเหล่านี้ จะมากไปด้วยปริมาณของโซเดียมและไขมัน แต่หากต้องการซื้อจริงๆ ควรดูฉลากโภชนาการประกอบ โดยเลือกชนิดที่มีปริมาณของโซเดียมและไขมันต่ำที่สุด

5. รักษาสภาพเนื้อสัตว์ให้สดใหม่เสมอ หากร้านค้าที่ต้องไปซื้อเนื้อสัตว์อยู่ห่างไกลจากบ้านมาก หรือทางที่ไปมีสภาพการจรจรที่ติดขัดเวลาซื้อเนื้อสัตว์ควรจะขอน้ำแข็งถุงใหญ่จากผู้ขาย หรือเตรียมกล่องโฟมสำหรับรักษาความเย็นไปใช้แช่เนื้อสัตว์ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อสัตว์เน่าเสียระหว่างทาง หรือมีแบคทีเรียเกิดขึ้น

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนม

นม เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลายคนมักซื้อติดตู้เย็นติดบ้านเอาไว้ เนื่องจากสามารหยิบมาทานได้ง่าย มีคุณค่าทางอาหารที่หลากหลายทั้ง โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี และแร่ธาตุอีกหลายชนิด บางคนใช้ทานแทนอาหารเช้าในวันที่เร่งด่วนต้องรีบออกจากบ้าน ซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทนม ก็มีมากมายหลายชนิดให้ได้เลือกซื้อ ทั้งนมที่มาจากสัตว์ หรือ นมที่ได้จากพืช โดยการเลือกซื้อให้ยึดหลักการดังต่อไปนี้

1. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์นมชนิดที่เป็นรสจืด พร่องมันเนย นมขาดมันเนย หรือชนิดที่มีไขมันเป็น 0% แทนการเลือกนมที่ไขมันสูง และรสชาติต่างๆ ที่มากไปด้วยน้ำตาล

2. อ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบคุณค่าทางโภชนาการ และควรเน้นชนิดที่มีไขมันต่ำ ปริมาณน้ำตาลที่น้อย

3. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดอื่นๆ หรือ อาหารที่จัดเป็นอาหารทดแทนนม เช่น นมอัลมอนด์ จะมีปริมาณสารอาหารที่น้อยกว่านมปกติ ควรเลือกทานนมแบบปกติจะได้คุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุด 

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แผนกเบเกอรี่

ผลิตภัณฑ์ประเภทเบเกอรี่ ได้แก่ ขนมปัง เค้ก คุ้กกี้ ขนมต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบ ในรสชาติและกลิ่นที่หอมชวนกิน แต่ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นอาหารชนิดที่ให้พลังงานสูง และมักมายไปด้วยแป้งและน้ำตาล ดังนั้นจึงมีหลักในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทเบเกอรี่ ดังต่อไปนี้

1. ก่อนเลือกซื้อขนมปัง หรือ ผลิตภัณฑ์ประเภทเบเกอรี่ชนิดต่างๆ ให้ตรวจสอบข้อมูลโภชนาการ จากฉลากโภชนาการเสียก่อน โดยควรเลือกชนิดที่มีใยอาหารสูง หรือมากกว่า 2 กรัมต่อแผ่น

2. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งชนิดไม่ขัดสี อย่างเช่น แป้งโฮลวีตชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ แทนการกินขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งชนิดขัดสี

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการกินอาหารหมวดเบเกอรี่

– กรณีที่มีสมาชิกในครอบครัวไม่กินขนมปังชนิดโฮลวีต อาจะใช้วิธีการทำเป็นแซนวิชโดยเลือกไส้ที่ชอบ แล้วใช้ขนมปังด้านบนเป็นขนมปังขาว และใช้ขนมปังโฮลวัตอยู่ด้านล่าง เมื่อเริ่มปรับตัวกับการกินได้แล้ว ให้เปลี่ยนเป็นขนมปังโฮลวีตทั้ง 2 แผ่น

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป

ในยุคทีต้องการความรวดเร็ว ทำงานแข่งกับเวลา ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปเป็นตัวเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากมีความสะดวกสบาย และช่วยประหยัดเวลากว่าการปรุงอาหารขึ้นมาเอง แต่ในความสะดวกสบายนี้ อาหารสำเร็จรูปก็มีข้อควรระวังในการเลือกซื้อมากว่าอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งมีข้อแนะนำในการเลือกดังต่อไปนี้

1. เลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ประเภทเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ แฮม เบคอน เป็นต้น

2. เลี่ยงอาหารสำเร็จรูปประเภทอาหารทอด หรืออาหารที่มีไขมันสูง เช่น ไก่ทอด หมูทอด 

3. การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทานคู่กับสลัด เช่น น้ำสลัด มายองเนส ควรเลือกประเภทที่ไขมันต่ำ และมีปริมาณน้ำตาลน้อย เพราะถึงแม้ว่าจะได้ประโยชน์จากผักในสลัดแต่ก็อาจได้รับโทษจากน้ำสลัดได้เช่นกัน

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องเทศ

สมุนไพร และเครื่องเทศ มักเป็นสิ่งที่หลายๆบ้านมีติดไว้เสมอ เพื่อใช้สำหรับการประกอบอาหารชนิดต่างๆ เป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ตลอดปี ราคาไม่แพง และยังเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ในการเลือกซื้อสมุนไพร และเครื่องเทศ มีหลักการง่ายๆคือ ให้เลือก สินค้าที่สดใหม่ และต้องระมัดระวังเรื่องเชื้อราหากเก็บรักษาได้ไม่ดีเพียงพอ

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ลดราคา

ห้างสรรพสินค้า หรือ ร้านค้าต่างๆ มักมีผลิตภัณฑ์ลดราคาต่างๆ มาดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปซื้อสินค้า อาหารก็เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่มักถูกนำมาจัดโปรโมชั่นให้น่าสนใจ เช่น การลดราคาต่ำกว่าปกติ การซื้อแล้วมีของแถม ซึ่งหากมองในแง่ของความคุ่มค่าถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคได้กำไร แต่ในด้านสุขภาพการเลือกซื้อสินค้าชนิดนี้ ควรมีหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อคือ

1. เลือกซื้อสินค้าลดราคาหรือสินค้าโปรโมชั่น เฉพาะอาหารประเภทผักและผลไม้ หรืออาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น และซื้อในปริมาณเท่าที่จำเป็น ไม่ให้มากจนเกินไป

2. ตรวจสอบวันหมดอายุสินค้านั่นๆก่อนซื้อ เนื่องจากหลายๆที่มักนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาจัดโปรโมชั่น

ซุ้มชิมอาหารกับความอันตราย

เรามักได้เห็นซุ้มชิมอาหารต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้า ที่ผู้ประกอบการหลายหลายใช้วิธีนี้ในการโปรโมทผลิตภัณฑ์อาหารของตนเอง ซึ่งมีการจัดอาหารเป็นถ้วยเล็กๆให้ได้ชิมพร้อมกับเสนอขายสินค้านั้นไปในตัว มีข้อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องซุ้มชิมอาหารคือ ไม่ควรชิมอาหารตามซุ้มต่างๆในขณะที่ท้องว่างหรือหิว เนื่องจากช่วงเวลาแบบนี้ทำให้การชิมอาหารแต่ละอย่างได้รสชาติมากยิ่งขึ้น ชิมอะไรก็อร่อย เมื่ออร่อยก็จึงทำการซื้อผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นๆกลับบ้านมา และการชิมอาหารตามซุ้มแบบนี้ แม้จะเป็นอาหารถ้วยเล็กๆ แต่หากชิมพร้อมกันหลายๆผลิตภัณฑ์ ก็อาจทำให้ได้รับสารอาหารที่เกินความจำเป็นต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการชิมอาหารตามซุ้มเอาไว้ด้วย 

การกินอาหารแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย แต่หากไม่ระมัดระวังเรื่องปริมาณและประเภทอาหารก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ซึ่งนอกจากจะต้องจำกัดปริมาณและประเภทอาหารแล้ว สิ่งที่ควรให้ความสำคัญอีกหนึ่งสิ่งคือ การเตรียมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารติดไว้ที่บ้าน เนื่องจากหากเราซื้อผลิตภัณฑ์อาหารชนิดที่มีประโยชน์ติดบ้านเอาไว้ ก็จะส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากการกินอาหารต่างๆนี้ เข้าไปด้วย แต่หากเราเตรียมอาหารที่ไม่ดีติดบ้านไว้ แน่นอนว่าเราเองก็จะได้รับอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า เลือกซื้ออย่างใดร่างกายก็จะได้รับเช่นนั้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้านว 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

วิธีวิ่งหนีโรคแทรกซ้อนเบาหวาน

0
วิธีวิ่งหนีโรคแทรกซ้อนเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนเบาหวาน หมายถึง การเกิดภาวะของโรคชนิดต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยโรคอาจมีความรุนแรงมากหรือน้อยก็ได้
วิธีวิ่งหนีโรคแทรกซ้อนเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนเบาหวาน หมายถึง การเกิดภาวะของโรคชนิดต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยโรคอาจมีความรุนแรงมากหรือน้อยก็ได้

โรคแทรกซ้อนเบาหวาน

โรคเบาหวานอาจดูเหมือนเป็นโรคธรรมดา ที่ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายจนถึงชีวิต เป็นโรคที่มีผู้ป่วยมากมายแต่ยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ เพียงแค่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในค่ามาตรฐานปกติ แต่ทั้งนี้ยัง มีภัยเงียบอีกชนิดหนึ่งที่มักจะมาพร้อมกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็คือ ภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้ บางชนิดของโรคเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่น้อยเลย ดังนั้นสิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องระมัดระวัง นอกจากระดับน้ำตาลไม่เลือดแล้วก็ต้องคอยตรวจสอบร่างกายตนเองไม่ให้เกิดภาวะ โรคแทรกซ้อนเบาหวาน จากโรคแทรกซ้อนต่างๆต่างๆ อีกด้วย 

โรคแทรกซ้อนเบาหวานคืออะไร

โรคแทรกซ้อนเบาหวาน หมายถึง การเกิดภาวะของโรคชนิดต่างๆ เพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว โดยอาจมีทั้งโรคที่มีชนิดความรุนแรงของโรครุนแรงสูง หรือ โรคที่มีชนิดความรุนแรงของโรคต่ำก็ได้ ซึ่งภาวะของโรคแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ มักเกิดจากการที่ผู้ป่วยเบาหวานขาดการควบคุมระดับน้ำตาลตนเองให้ดี และยังขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ป่วยเป็นเบาหวานด้วย หากยิ่งเป็นเบาหวานระยะเวลานานเท่าใด โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนก็จะมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ ชนิด2 มักจะมีโรคแทรกซ้อนในระยะยาว

โรคแทรกซ้อนที่มักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

โรคแทรกซ้อนที่เรามักพบได้บ่อยๆ ในผู้ป่วยเบาหวานมีดังต่อไปนี้

1. โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้มากในผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานได้จำนวนมาก ประมาณ 2 ใน 3

วิธีการป้องกัน : ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ต้องควบคุมระดับความดันโลหิตในอยู่ในค่ามาตรฐาน ไม่ให้เกิน 140 / 90 เพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจไม่ต้องทำงานหนักเกินไป และควรวัดความดันโลหิตทุกครั้งที่ไปพบแพทย์

2. โรคไต การที่ร่างกายมีระดับของน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ จนเกิดเป็นโรคเบาหวาน จะส่งผลให้ไต ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับของเสีย และสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น หลอดเลือดฝอยในไตจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลง เมื่อหลอดเลือดฝอยในไตเสื่อมมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะทำให้การขับถ่ายของเสียลดลง มีของเสียในเลือดคั่งและเกิดภาวะไตวายในที่สุด

วิธีการป้องกัน : ควบคุมระดับน้ำตาลและระดับความดันโลหิตในเลือด ให้อยู่ในค่ามาตรฐาน ไม่ให้สูงหรือต่ำจนเกินไป ซึ่งจะช่วยลดภาระกานทำงานของไตลงได้ นอกจากนี้ควรตรวจค่าการทำงานของไตเพิ่มเติม ได้แก่

  • ครีอะตินิน Creatinine ระดับปกติในชายคือ 0.6 – 1.2 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในหญิง 0.5 – 1.1 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
  • บียูเอ็น ( BUN ) ระดับปกติคือ 10 – 20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และ ควรตรวจสุขภาพไตทุก 1 – 3 ปี โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานเกิน 5 ปีขึ้นไป 
  • ไมโครอัลบูมิน ( โปรตีนชนิดหนึ่งที่รั่วออกมาในปัสสาวะ ) ระดับปกติคือ < 30 ไมโครกรัม / มิลลิกรัม

3. โรคเกี่ยวกับดวงตา โรคเกี่ยวกับดวงตา ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยอาการเกี่ยวกับดวงตามราพบเจอ เช่น อาการเบาหวานขึ้นตา โรคตาเป็นต้อหินหรือต้อกระจก เป็นต้น ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษา อาจมีผลร้ายแรงทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว

วิธีการป้องกัน : ควรตรวจสุขภาพของดวงตาปีละครั้ง หรือทุก 1 – 2 ปี และหมั่นควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในค่าปกติ ไม่ให้มีค่าสูง เนื่องจาก หากค่าน้ำตาลในเลือดสูงจะส่งผลระดับน้ำตาลในตาสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้สารซอร์บิทอล ( Sorbitol ) สะสมในเลนส์แก้วตา จนทำให้เลนส์แก้วตาหนาขึ้น มีลักษณะคล้ายคนสายตาสั้น และเป็นต้นเหตุในการเกิดโรคต่างๆเกี่ยวกับตา

4. โรคหลอดหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมอง ทั้ง 2 โรคนี้ ล้วนมีสาเหตุหลักมาจากการมีระดับปริมาณของไขมันในเลือดสูง ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงในโรคชนิดนี้สูงกว่าคนปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว เป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคสูงมากชนิดหนึ่ง ที่มีผู้เสียชีวิตในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก และมักเกิดขึ้นกับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานมานานแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง

วิธีการป้องกัน : ผู้ป่วยต้องคอยคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมาตรฐาน ให้ได้ตามระดับต่อไปนี้

คอเลสเตอรอลรวม < 200 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
แอลดีแอลคอเลสเตอรอล < 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ( ค่าที่แนะนำคือ <70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร )
เอชดีแอลคอเลสเตอรอล > 40 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ( ผู้ชาย )
>50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ( ผู้หญิง )

 

5. บาดแผลและโรคเกี่ยวกับเท้า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานควรระมัดระวังไม่ให้เกิดแผลตามตัว เพราะแผลที่เกิดขึ้นนั้นจะหายยากและช้ากว่าคนปกติ โดยเฉพาะแผลที่บริเวณเท้า หากเกิดขึ้นแล้วต้องระมัดระวังการติดเชื้อมากเป็นพิเศษ เพราะหากติดเชื้อแล้ว ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะต้องตัดขานั้นทิ้งเลยทีเดียว

วิธีการป้องกัน : ผู้ป่วยควรระวังไม่ให้เกิดแผลขึ้นกับตนเองโดยเฉพาะบริเวณเท้า และควรตรวจสุขภาพเท้าทุก 6 – 12 เดือน เป็นประจำ 

6. โรคอื่นๆ นอกจากดังกล่าวที่ยกตัวอย่างแล้ว ภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆอาจเจอได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น โรคเกี่ยวกับปาก โรคเกี่ยวกับระบบผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เป็นต้น

ข้อแนะนำการเกิดโรคแทรกซ้อนเบาหวาน

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หากไม่อยากให้ภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • หมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในร่างกายอยู่เสมอ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยอาจไปให้แพทย์เจาะเลือดตรวจที่โรงพยาบาล หรือ ใช้วิธีการตรวจสอบด้วยตนเอง จากเครื่องตรวจสอบระดับน้ำตาลที่ปลายนิ้ว หากพบว่าระดับน้ำเริ่มผิดปกติผู้ป่วยจะได้รู้ตัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้ป่วยควรหาเวลาว่างในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ซึ่งในการออกกำลังกายผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ผู้ป่วยควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและสุขภาพช่องปากปีละ 2 ครั้ง เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะมีอาการโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับช่องปากได้บ่อยกว่าคนปกติ
  • ทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยาจากแพทย์ เพื่อใช้ในการควบคุมระดับน้ำตาล ดังนั้นให้ทานให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และไปพบแพทย์อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  • ตรวจสอบสุขภาพเท้าและเล็บให้ดีอยู่เสมอ เนื่องจากเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญชนิดหนึ่งในร่างกาย ผู้ป่วยต้องคอยระมัดระวังการเกิดบาดแผลที่เท่า เพื่อให้ไม่เกิดการติดเชื้อ หากมีบาดแผลหรืออาการผิดปกติใดๆกับเท้าเกิดขึ้น ควรเข้าพบเพื่อปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
  • เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
  • หมั่นตรวจสอบความดันโลหิต ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นสิ่งที่อันตรายกับร่างกายมาก ผู้ป่วยจึงควรตรวจวัดระดับความดันในเลือดอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ หากมีความผิดปกติให้เข้าพบแพทย์โดยทันที

โรคแทรกซ้อนเบาหวาน หมายถึง การเกิดภาวะของโรคชนิดต่างๆ เพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว โดยอาจมีทั้งโรคที่มีชนิดความรุนแรงของโรครุนแรงสูง หรือ โรคที่มีชนิดความรุนแรงของโรคต่ำก็ได้

การตรวจสอบและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

จะเห็นได้ว่า ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน รวมทั้งภาวะ การเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดนั่นเอง ดังนั้นการหมั่นควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี ให้อยู่ในค่าปกติเสมอจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ปัจจุบันเทคโนโลยี การแพทย์ก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถตรวจสอบวัดระน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเองแล้ว จากเครื่องวัดระดับน้ำตาลที่ปลายนิ้ว เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้อย่างง่ายและพกพาติดตัวได้สะดวก ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจสอบระดับน้ำตาลเหมือนในอดีต ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และที่สำคัญช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก เมื่อผู้ป่วยสามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเองแล้ว จึงทำให้สามารถทำการตรวจได้บ่อยตามที่ตนเองต้องการ

นอกจากการตรวจวัดระดับน้ำตาลบ่อยๆ แล้ว สิ่งที่ผู้ป่วยควรทำคือ การวิเคราะห์และตรวจสอบว่า อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานที่บริโภคในแต่ละมื้อมีอะไรบ้าง ปริมาณเท่าไรที่ทำให้ระดับน้ำตาลแปรปรวน จากนั้นจึงจัดการปรับการกินให้ระดับน้ำตาลเข้าสู่ระดับปกติในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายของตนเอง สิ่งนี้จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายเป็นเรื่องที่ไม่ยากอีกต่อไป

เป้าหมายระดับน้ำตาลที่ดีในการควบคุมเบาหวาน
ระยะเวลา สมาคมโรคเบาหวาน แห่งสหรัฐอเมริกา ( ADA ) สมาพันธ์โรคเบาหวาน นานาชาติ ( IDF )

ก่อนอาหาร 90 – 130 < 110
หลังอาหาร 2 ชั่วโมง < 180 < 140
ค่าน้ำตาลเฉลี่ย ( HbA1c ) < 7 % < 6.5 %

ข้อแนะนำในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง

เนื่องจากเบาหวานมีหลายประเภท การตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดจึงอาจแตกต่างกันออกไป จึงมีข้อแนะนำในการตรวจดังต่อไปนี้

1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ที่ต้องฉีดอินซูลิน ควรตรวจระดับน้ำตาลวันละ 4 ครั้ง คือ ก่อนอาหารแต่ละมือ เช้า กลางวัน เย็น และเวลาก่อนนอน โดยในช่วงแรกอาจทำติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อให้เรียนรู้ระดับน้ำตาลปกติของตนเองก่อน จากนั้นจึงค่อยลดการตรวจลงเหลือวันละ 1-2 ครั้ง

2. สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้การรักษาด้วยวิธีการกินยาและใช้การออกกำลังกายร่วม ความถี่การตรวจวัดระดับน้ำตาลอาจทำเพียงแค่ 1 -2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว 

3. ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน เช่น วิตามินซี อาจมีผลต่อค่าระดับน้ำตาลที่อ่านได้ โดยวิตามินซีปริมาณสูงมากๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติได้

4. ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน ก็อาจมีผลต่อค่าระดับน้ำตาลที่อ่านได้เช่นกัน โดยแอสไพรินอาจทำให้ระดับน้ำตาลต่ำลงได้ เป็นต้น

ค่าความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด

ค่าความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด สามารถเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ ก็คือ สภาวะน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ และสภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุหลักในการเกิดก็คือ การควบคุมระดับน้ำตาลที่ไม่ดีเพียงพอของผู้ป่วย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ

หมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานปกติ

อาการของผู้มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

ผู้ที่มีภาวะของระดำน้ำตาลต่ำกว่าปกติ โดยทั่วไปจะมีอาการที่พบได้ดังต่อไปนี้

  • มีอาการปวดและมึนศีรษะบ่อยๆ
  • ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน
  • ตัวเย็น เหงื่อออก หัวใจเต้นแรงและเร็ว
  • ชาบริเวณปลายนิ้วมือและรอบปาก
  • มีภาวะอารมณ์หงุดหงิดง่าย
  • หากมีอาการรุนแรง อาจชักและหมดสติได้ 

สาเหตุของภาวะน้ำตาลต่ำ

  • กินอาหารมื้อหลักหรืออาหารว่างๆไม่ตรงเวลา รวมถึงการงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
  • ได้รับสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าปกติในมื้อล่าสุดก่อนตรวจระดับน้ำตาล
  • ออกกำลังกายมากกว่าปกติ นานเกินไป หรืออกแบบหักโหม
  •  ฉีดอินซูลินเกินขนาด ทำให้น้ำตาลต่ำกว่าปกติ
  • ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะท้องว่าง
  • ตับหรือไตทำงานมีการทำงานที่ผิดปกติ
  • กินวิตามินหรือ ยาในกลุ่มของแอสไพรินก่อนหน้าการตรวจเลือด

วิธีแก้ไขเมื่อเกิดเหตุน้ำตาลต่ำ

หากทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแล้วพบว่า ตนเองมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้แก้ไขในเบื้องต้น แต่หากทำตามแล้วยังไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด

  • หากระดับน้ำตาลที่วัดได้มีค่าต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้ทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตปริมาณ 15 กรัม เพื่อช่วยปรับระดับน้ำตาลให้สูงขึ้น
  • หากระยะเวลาผ่านไปเกิน 15 นาที แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ผลการตรวจวัดระดับน้ำตาลยังคงต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ให้เพิ่มการทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตปริมาณเข้าไปอีก 15 กรัม
  • ทำการตรวจสอบนะดับน้ำตาลอีกครั้ง หากยังไม่ดีขึ้นให้ทำต่อไป จนระดับน้ำตาลกลับเข้าสู่ค่ามาตรฐาน
  • ในอาหารมื้อถัดไป ให้ทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นจากปกติอีก 15 กรัม
  • ตัวอย่างอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน ประเภทคาร์โบไฮเดรตปริมาณ 15 กรัม เช่น น้ำอัดลมชนิดปกติ 120-180 มิลลิลิตร , ลูกเกด 2 ช้อนโต๊ะ,นมพร่องไขมันหรือนมขาดมันเนย 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร , น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง 3 ช้อนชา , น้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ½ ถ้วยตวง หรือ 120 มิลลิลิตร เป็นต้น
  • ไม่ควรใช้น้ำตาลเทียม เนื่องจาก จะไม่ช่วยในการเพิ่มระดับน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นช้า

การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ

  • กินอาหารให้ตรงเวลาสม่ำเสมอ   
  • หากต้องเดินทางไปข้างนอก ควรเตรียมอาหารปะเภทคาร์โบไฮเดรตติดตัวไว้เสมอ
  • หมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน
  • ศึกษาข้อมูลทางด้านโภชนาการอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานแต่ละชนิด เพื่อให้ทราบปริมาณของน้ำตาลในอาหารนั้นๆ
  • ฉีดอินซูลินตามเวลาที่ควรฉีด หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่หักโหมเกินไป และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการออกกำลังกาย

2. ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ

หมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์มาตาฐานปกติ

อาการของผู้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ผู้ที่มีภาวะของระดำน้ำตาลสูงกว่าปกติ โดยทั่วไปจะมีอาการที่พบได้ดังต่อไปนี้

  • รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียง่ายกว่าปกติ ปวดศีรษะ
  • ตาพร่ามัว การมองเห็นไม่ชัดเจน
  • มีอาการกระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อยๆ
  • อารมณ์แปรปรวนง่าย

สาเหตุของภาวะน้ำตาลสูง

  • กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินปกติ จากมื้ออาหารล่าสุด
  • ขาดการกินยาหรือฉีดอินซูลิน หรือใช้ปริมาณที่ผิดปกติ จากตามที่แพทย์สั่ง
  • มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับร่างกาย หรือ เกิดภาวะเครียดขึ้นทางจิตใจ
  • เกิดจากการพักผ่อนน้อย นอนหลับไม่เพียงพอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. 

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์ม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้านว 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

เตรียมพร้อมโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ สำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร

0
โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร
พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้มีลูกยากรวมทั้งต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย
โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร
พฤติกรรมการกินอาหารส่งผลต่อการตั้งครรภ์ รวมทั้งต้องออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสร้างความแข็งแรง

โภชนาการก่อนตั้งครรภ์

โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร คนเราเมื่ออายุเริ่มมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง หลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็คงอยากจะมีลูกตัวน้อยๆ ไว้คอยสืบทายาทสกุลสักคน หรือไว้คอยเป็นผู้ดูแลเมื่อตัวเราแก่เถ้า หลายคู่ก็มีลูกได้สมใจหวัง แต่ขณะที่อีกหลายคู่จำนวนไม่น้อย ที่ต้องพบเจอปัญหาภาวะการมีบุตรยาก บางคู่อาจะต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีถึงจะมีบุตรได้ โดยปัญหาภาวะการมีบุตรยากสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุมากมาย ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมการกินอาหารและเลือกโภชนาการที่ไม่ถูกต้องของคุณแม่ด้วย หลายคนมักยังมีความเข้าใจที่ผิดๆว่า หากอยากมีลูก อยากท้อง ต้องกินอาหารเยอะๆเข้าไว้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ความเชื่อนี้ผิดมหันต์เลย นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้มีลูกง่ายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อร่างกายและอาจส่งผลกระทบต่อการมีลูกยากขึ้นอีกด้วย

กินอาหารอย่างไร ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้

ปัญหาหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีบุตร ก็คือ ภาวะการเป็นหมัน ซึ่งแน่นอนว่าหากเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ก็ไม่มีทางได้เลยที่จะทำให้มีลูกเกิดขึ้นมาได้ แต่ทั้งนี้หลายคู่ที่ไม่มีลูกก็อาจจะไม่ได้เกิดจากภาวะการเป็นหมันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอไป แต่อาจเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกหลักโภชนาการโดยเฉพาะฝ่ายหญิงเอง

น้ำหนักตัวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะการมีบุตรยากได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยอาจจะผอมไปหรืออ้วนเกินไป ก็ล้วนแต่ส่งผลให้มีลูกยากด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากจะส่งผลทำให้ภาวะการตกไข่ผิดปกติไปจากเดิม โดยฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวและการตกไข่คือ เอสโทรเจน ซึ่งผลิตจากรังไข่และเซลล์ไขมัน

1. เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินค่ามาตรฐาน ( อ้วนเกินไป )

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือ เป็นโรคอ้วน จะทำให้ระดับเอสโทรเจนในร่างกาย มีค่าสูงกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ประจำเดือน และการตกไข่ ผิดปกติไปจากเดิม จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรได้ยากนั้นเอง วิธีการแนะนำในการแก้ปัญหามีลูกยากนี้จากผู้เชี่ยวชาญก็คือ ให้ทำการลดน้ำหนักตัวลง โดยการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาระบบการตกไข่ให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ ทำให้มีโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น

2. เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าค่ามาตรฐาน ( ผอมเกินไป )

ผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวน้อยเกินเกณฑ์ หรือผอมจนเกินไป ก็มักจะพบกับภาวะการมีบุตรยากได้เช่นเดียวกัน เนื่องจาก ผู้ที่ผอมมากเกินไป จะมีปริมาณเซลล์ไขมันในตัวต่ำ ทำให้มีระดับเอสโทรเจนในร่างกายลดต่ำลงไปด้วย ส่งผลทำให้ตกไข่ยากกว่าเดิม และรอบเดือนมักจะมาไม่เป็นปกติ ก็จะทำให้ระบบรอบเดือนแปรปรวน มีลูกได้ยากขึ้น หรือหากมีลูกได้ก็จะมีความเสี่ยงกับเด็กที่เกิดมาอาจจะไม่แข็งแรง มีการแท้ง หรือพิการได้เช่นกัน ทางที่ดี หากคิดจะมีลูก ควรทำการปรับน้ำหนักของตนเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกที่จะเกิดมา 

วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์

การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง จากการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบรูณ์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำก่อนการตั้งครรภ์ ดังนั้นว่าที่คุณแม่จะต้องรู้จักดูแล ควบคุมอาหารการกินที่ดี มีสารอาหารที่ครบถ้วน และหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ โดยโภชนาการหรือสารอาหารที่ช่วยในการตั้งครรภ์ได้มีผลดียิ่งขึ้น มีดังต่อไปนี้

  • กรดไลโนเลอิก สามารถพบได้มากในผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมัน เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น กรดชนิดนี้เป็นกรดไขมันจำเป็น ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากได้รับกรดชนิดนี้ ในปริมาณไม่เพียงพอ จะส่งผลให้เกิดภาวะการมีบุตรยากได้เช่นกัน มีข้อแนะนำในการบริโภคกรดชนิดนี้ คือ ควรใช้น้ำมันประเภทต่างๆเหล่านี้ในการปรุงอาหาร ประมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันที่เพียงพอแล้ว
  • วิตามินซี เป็นสารอาหารสำคัญชนิดหนึ่ง ที่ช่วยสงเสริมการตั้งครรภ์ ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้การตั้งครรภ์เกิดได้ยากขึ้นเช่นกัน อาหารที่มากไปด้วยวิตามินซี ที่สามารถหาทานได้ง่าย ในปัจจุบัน เช่น ส้ม มะเขือเทศ สับปะรด มะละกอสุก เป็นต้น
  • วิตามินเอ มีสรรพคุณที่ช่วยให้ เซลล์เยื่อบุผิวชั้นในและผิวชั้นนอก รวมทั้งเยื่อบุผนังมดลูกและช่องคลอด มีความแข็งแรง ในทางกลับกัน หากขาดสารอาหารประเภทนี้อาจจะส่งผลทำให้ประจำเดือนผิดปกติไปจากเดิมได้ ซึ่งเราสามารถได้รับวิตามินเอ จากในอาหารหลากหลายอย่าง เช่น ไข่ ฟักทอง ตำลึง แครอท เป็นต้น
  • วิตามินดีและแคลเซียม แคลเซียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยให้กระดูกในร่างกายแข็งแรง โดยมีวิตามินดี จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งกระดูกที่มีส่วนในการตั้งครรภ์ คือ กระดูกเชิงกราน จะเป็นตัวคอยรับน้ำหนักของทารกที่จะกำลังจะเกิด ดังนั้นผู้ที่คิดจะมีลูกต้องให้ร่างกาย ได้รับปริมาณของวิตามินดีและแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้กระดูกอุ้งเชิงกรานขยายตัวได้ดีและมีความแข็งแรง จะมีผลดีช่วยให้สามารถคลอดลูกได้ง่ายขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยต่อเด็กและผู้เป็นแม่มากขึ้น อาหารที่มากไปด้วยวิตามินดีและแคลเซียมได้แก่ นมถั่วเหลือง เต้าหู้ น้ำส้ม เป็นต้น
  • แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญกับร่างกาย ผู้ที่อยู่ในช่วงการตั้งครรภ์จะต้องได้รับ แมกนีเซียมมากเป็นพิเศษ เนื่องจาก ร่างกายจะดึงแมกนีเซียมจากกระดูก ไปให้ทารกสร้างกระดูก ทำให้ปริมาณของแมกนีเซียมในร่างกายจะลดต่ำลง โดยอาหารที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมมาก ได้แก่ ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง เมล็ดฟักทอง ปลาทู เป็นต้น 
  • วิตามินบี 6 และวิตามินอี มีสรรพคุณช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 และ วิตามินอี แล้วจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ และยังมีประโยชน์ช่วยลดความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อีกด้วย อาหารที่พบสารอาหารชนิดนี้มากได้แก่ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต เป็นต้น
  • วิตามินบี ( โดยเฉพาะกรดโฟลิก ) มีความสำคัญกับการตั้งครรภ์คือ ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันความพิการในทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ดังนั้น จึงมีการแนะนำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ ควรเสริมการทานวิตามินรวมที่มีกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัม วันละเม็ดก่อนและระหว่างตั้งท้อง 3 เดือนแรก นอกจากนี้ยังพบว่าการขาดกรดโฟลิกอาจทำให้เป็นหมันได้ ซึ่งอาหารที่มากไปด้วยกรดโฟลิก เช่น ผักใบเขียวต่างๆ ตับ ถั่วต่างๆ ธัญพืชไม่ขัดสี ส้ม สตรอว์เบอรี่ เป็นต้น
  • เกลือแร่ชนิดต่างๆ เช่น แมงกานีส โพแทสเซียม สังกะสี  แมงกานีส โพแทสเซียม สังกะสี มีความสำคัญในการตั้งครรภ์ คือ หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอ จะช่วยให้การตั้งครรภ์เป็นผลดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก โดยอาหารประเภทเกลือแร่นี้ สามารถหาได้ง่ายจาก ผักโขม ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ถั่วต่างๆ ที่มีแมงกานีสสูง ส่วนอาหารที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม อกไก่ จมูกข้าวสาลี มีประโยชน์ คือจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหมัน ความผิดปกติ พิการแต่กำเนิดในเด็ก และช่วยป้องกันระบบสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติได้ด้วย

ข้อควรระวังในการรับสารอาหาร

สำหรับผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ และมีความตั้งใจว่าจะบริโภคอาหารและโภชนาการตามหลักประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมาเพิ่มเข้าไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนในปริมาณมากๆ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและไม่ควรทำ เพราะนอกจากจะไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์ง่ายแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้อีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า หากมีโครงการที่จะมีลูกจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เกี่ยวกับเรื่องปริมาณและสารอาหารที่จะทานเข้าไปก่อนจะดีที่สุด

เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและมีความสมดุลกับร่างกาย นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ทานอาหารประเภทมังสวิรัติ ควรวางแผนการบริโภคเพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานเพียงพอ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีน เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่อาจจะส่งผลให้การตกไข่เกิดความผิดปกติ

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่วางแผนจะมีบุตร

สำหรับผู้ที่มีโครงการเตรียมตัวจะวางแผนในการมีบุตรแล้วละก็ คุณผู้หญิงที่เตรียมตัวเป็นว่าที่คุณแม่จะต้องมีการปฏิบัติตนเพิ่มจากการใช้ชีวิตปกติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทานอาหาร จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ซึ่งมีข้อแนะนำที่คุณผู้หญิงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังต่อไปนี้

1. เน้นทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 8 – 10 ส่วน ควรให้ผู้ที่กำลังเตรียมตัวจะตั้งครรภ์ เน้นทานอาหารประเภทผักและผลไม้ให้มากว่าเดิมปกติ โดยให้มีสัดส่วนคือ ทานผักสีเขียว ในปริมาณ 2 ส่วน และทานผักสีส้ม เช่น แครอท ในปริมาณ ส่วน 1 ส่วน นอกจากนี้ให้เลือกทานผลไม้ให้ครบตามสัดส่วนที่กำหนด โดยให้เลือกทานผลไม้หลายหลายชนิด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย

2. เลือกดื่มนมพร่องมันเลยหรือนมขาดมันเนย หากต้องการดื่มนมควรเลือกประเภทและชนิดของนมเป็นแบบที่มีไขมันต่ำ ทดแทนการดื่มนมที่มีไขมันสูง เช่น นมถั่วเหลืองชนิดเสริมแคลเซียมและวิตามินดี โดยควรดื่มให้ได้ปริมาณวันละ 3 แก้ว (แก้วละ 240 ซีซี)

3. เลือกกินธัญพืชชนิดไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง โดยให้ทานให้ได้วันละประมาณ 600 ส่วน หรือประมาณ 6 ทัพพี ขึ้นไป

4. เลือกกินไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง หรือเต้าหู้ แทนการทานเนื้อสัตว์ในบางมื้อ

5. กินปลาให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เนื่องจากเนื้อปลาอาหาร เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ที่ให้เป็นโปรตีนสูง และมีไขมันที่ต่ำ มีกรดไขมันชนิดดีอย่างโอเมก้า 3 มาก โดยเฉพาะในปลาทะเล ซึ่งให้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองและตาของทารก รวมทั้งอาจลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ แต่ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงบริโภคปลาที่อาจมีสารปรอทปนเปื้อนสูงอย่างเช่น ปลาฉลาม ปลาดาบหรือปลาฉนาก เป็นต้น โดยปริมาณที่เหมาะที่ควรทานปลาหรืออาหารทะเล คือ สัปดาห์ละประมาณ 360 กรัม (หรือเท่ากับประมาณสองมื้ออาหาร หากทานอาหารมื้อละ 180 กรัม)

6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากสารเคมีเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก หากได้รับเข้าไปประจำติดต่อกัน โดยยังส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ดด้วย นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หากได้รับสารชนิดนี้ จะส่งผลอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ระบบประสาทของเด็กกำลังพัฒนา จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

7. สารกำจัดศัตรูพืชในอาหาร ผักหรือผลไม้ที่ซื้อมาจากสถานที่ต่างๆ ก่อนทานควรทำการล้างให้สะอาดเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารเคมีตกค้าง หากทานผักและผลไม้ชิ้นนั้นๆเข้าไป

8. ลดหรือเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาแฟอีน เช่น กาแฟ โกโก้ ชา และน้ำอัดลม ควรทานในปริมาณที่น้อย หรือหากเลี่ยงได้ก็จะดีที่สุด

9. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ในแต่ละวันควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดให้ได้อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบย่อยและระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องสารปนเปื้อนที่อาจมากับน้ำได้ เช่น สารตะกั่วจากรอยรั่วของท่อน้ำที่เก่าหรือชำรุด เพราะหากดื่มระหว่างตั้งท้องแล้ว อาจทำให้แท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้

10. เลี่ยงน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล เนื่องจากในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะมากไปด้วยน้ำตาล ในระดับที่ค่อนข้างสูง หากบริโภคเข้าไปบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้

11. เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยา เนื่องจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ มีแต่ให้โทษแก่ร่างกาย ผู้ที่จะเตรียมตัวมีลูก ควรงดให้เด็ดขาดไม่ใช่เพียงแค่การลดปริมาณลงเท่านั้น

12. ออกกำลังกายให้เหมาะสม นอกจากเรื่องการปรับพฤติกรรมการบริโภคแล้ว ควรหาเวลาว่างในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรง โดยควรออกกำลังเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 -5 วัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้น และในการออกกำลังกายต้องไม่ควรหักโหมเกินไป ทั้งนี้การออกกำลังกายควรทำทั้งฝ่ายหญิงและชาย เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีให้พร้อมในการมีลูก 

หากมีความตั้งใจอย่างเต็มที่แล้วว่า อยากจะมีลูกสักคน เราต้องพร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบกับหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมา ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมร่างกายของทั้งว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณแม่ให้มีความพร้อมและแข็งแรง และเมื่อตั้งครรภ์แล้วจะต้องคอยดูแลลูกในครรภ์ให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กน้อยที่กำลังจะเกิดขึ้นมา มีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ส่วนในผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก ให้ลองวิเคราะห์ถึงสาเหตุและปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน ว่ามาจากการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง การทานอาหารที่ผิดหลักโภชนาการหรือไม่ หากใช่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดี เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีลูกแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

อาหารการกินช่วยถนอมเต้า

0
อาหารการกินช่วยถนอมเต้า
อาหารจำพวกผักและผลไม้ชนิดต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โยเกิร์ต
อาหารการกินช่วยถนอมเต้า
อาหารการกินสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โยเกิร์ต

กินอาหารช่วยถนอมเต้านม

หากพูดถึงอวัยวะที่เป็นสิ่งสำคัญชนิดหนึ่งของเพศหญิงก็คือ เต้านม นอกจากจะเป็นอวัยวะที่ช่วยให้ผู้หญิงดูมีรูปร่างรูปทรงที่ดีแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สุดสำคัญในผู้ที่เพิ่งเป็นแม่คน ที่จะใช้เป็นช่องทางในการให้นมกับลูกน้อยอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมของตนเอง ที่เพิ่งเกิดลืมตาดูโลกขึ้นมาอีกด้วย แต่ทั้งนี้ สิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับคุณผู้หญิงทั้งหลายเกี่ยวกับเต้านมก็คือ โรคอันตรายร้ายแรงอย่าง “ มะเร็งเต้านม ” นั้นเอง โรคมะเร็งเต้านม ถือว่าเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคน ที่ต้องพบต้องเจอกับโรคชนิดนี้ เพราะนั่นหมายถึง เมื่อป่วยเป็นโรคชนิดนี้แล้ว ก็มีโอกาสที่จะต้องสูญเสียเต้านม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นหญิงไปเลยทีเดียว หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลาจากแพทย์

จากข้อมูลจะพบว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่ผู้หญิงป่วยเป็นอันดับต้นๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนได้ว่า ในผู้หญิง 8 คนจะมี 1 คนที่ป่วยเป็นมะเร็งชนิดนี้

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม ได้แก่ อายุ เชื้อชาติ ลักษณะทางพันธุกรรม หรือ การมีประวัติที่คนในครอบครัวเคยเป็นป่วยโรคมะเร็งมาก่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะพบว่า สิ่งที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงก็คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผิดๆ เช่น การทานอาหารที่มีไขมันสูง ผิดหลักโภชนาการ รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถที่จะควบคุมได้เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น รวมทั้งอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมของคุณผู้หญิง ดังวิธีการต่อไปนี้

1. ควบคุมน้ำหนักตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ความอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดการกระตุ้นโรคมะเร็งเต้านมขึ้นได้ หลายคนมักทานอาหารที่ตามใจปาก ยึดถือความอร่อยของอาหารเป็นหลัก จนลืมคิดถึงการมีโภชนาการที่ดีไป รวมกับการที่ไม่มีการออกกำลังกายเลย เมื่อเกิดการสะสมนานเข้าก็จะกลายเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานจนกลายเป็นโรคอ้วนนั้นเอง เมื่อร่างกายอ้วนขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยหมด  ประจำเดือนแล้ว การวิจัยพบว่าน้ำหนักตัวทุก 5 กิโลกรัม ที่เพิ่มขึ้นในวัยผู้ใหญ่ สามารถเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

โรคอ้วน หากเป็นแล้ว จะกลายเป็นตัวนำโรคชนิดอื่นเข้ามาสู่ร่างกายได้มากมายอีกหลายโรคเลยทีเดียว โดยมะเร็งเต้านมก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากการคนที่อ้วนจะมีไขมันสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ โดยไขมันเหล่านี้ จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากปกติแล้วเซลล์ไขมันจะเป็นผู้ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย เมื่อไขมันในร่างกายมากขึ้นก็จะทำให้มีการฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นตามไปด้วย เปรียบเสมือนเป็นตัวเร่งให้เกิดมะเร็งนั่นเอง
ทั้งนี้บริเวณที่ไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย ก็สามารที่จะเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน เช่น หากเป็นผู้ที่อ้วนลงพุง มีปริมาณไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้องมาก จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มากว่าผู้ที่มีไขมันไปสะสมในส่วนอื่นๆของร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว และมีการสะสมของไขมันที่หน้าท้องมาก จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่อ้วนแต่มีไขมันสะสมที่ส่วนอื่นของร่างกายแทน มากถึง 43 เปอร์เซ็นต์ และยังรวมถึงผู้ที่ขาดการออกกำลังกายด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า หากผู้ที่เคยอ้วน และป่วยเป็นมะเร็ง เมื่อมีการรักษาให้หายแล้ว ทำการลดหนักหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งซ้ำไดถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

2. เลือกบริโภคชนิดไขมันอย่างเหมาะสม

จากข้อมูลทางการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่นิยมทานอาหารประเภทที่มีไขมันจากเนื้อสัตว์สูง เช่น เนื้อแดง และนม จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม มากว่าผู้ที่ทานไขมันจากสัตว์น้อย คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า อาหารที่ดูเหมือนเป็นอันตรายอย่าง น้ำมันพืช น้ำมันปลา หรือ อาหารที่มีส่วนประกอบอย่าง กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ไขมันทรานส์ และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ไม่ได้มีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านมเลย

จึงมีการสรุปได้ว่า ชนิดของไขมันมีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากว่าปริมาณไขมันที่ได้รับเข้าไป โดยไขมันที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เนื้อแดงและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวมีองค์ประกอบอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม เช่น อาหารประเภทเนื้อแดงที่ปรุงสุกโดยใช้ความร้อนสูงๆ โดยเฉพาะการปิ้งย่าง จะส่งผลให้มีสารก่อมะเร็งเกิดขึ้นได้ และผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงที่มีฮอร์โมนที่ละลายในไขมัน หรือสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจก่อมะเร็งขึ้นได้ เช่นกัน
ทั้งนี้ได้มีข้อแนะนำในการบริโภคอาหารในกลุ่มของเนื้อแดงจากสัตว์ นมจากสัตว์ หรืออาหารที่มีไขมันจากสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสมคือ ไม่ควรบริโภคเกิน ครึ่งกิโลกรัม ภายในหนึ่งสัปดาห์

3. เพิ่มการทานผักและผลไม้

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญไว้ว่า อาหารจำพวกผักและผลไม้ชนิดต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เนื่องจาก ผักและ ผลไม้ จะประกอบไปด้วยพฤกษเคมี สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน และมีวิตามินซีปริมาณที่สูง ทำให้ดีเอ็นเอไม่ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันและให้พลังงานที่ต่ำ ดังนั้นผู้ที่ทานผักและผลไม้อย่างเป็นประจำ สม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์

โดยผักและผลไม้ที่นิยมให้ทาน เพื่อช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้แก่ ผักที่มีสีส้ม เช่น แครอท ที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง และผักที่มี สีเขียวจัด อย่าง ผักในตระกูลครูซิเฟอรัส เช่น กะหล่ำปลี บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ คะน้า กวางตุ้ง เป็นต้น ผักในตระกูลครูซิเฟอรัส ยังมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า “สารอินโดล” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมได้เป็นอย่างดี   
ข้อแนะนำในการบริโภคผักและผลไม้อย่างเหมาะสมในการป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็ง ได้แนะนำไว้คือ ควรบริโภคผักและผลไม้รวมกันให้ได้ปริมาณวันละ 5 – 9 ส่วน ซึ่งให้ทานผักและผลไม้หลากหลายชนิดร่วมกัน ไม่ทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แบ่งออกเป็นสัดส่วนคือ ผลไม้ 2 -4 ส่วน และผัก 4-7 ส่วน โดยอัตรา 1 ส่วน มีปริมาณเท่ากับ ผักสุกประมาณครึ่งถ้วยตวง หรือผักสด 1 ถ้วยตวง

4. กินถั่วเหลืองช่วยลดความเสี่ยง

อาหารประเภทถั่วเหลือง นอกจากจะหาทานได้ง่ายและราคาถูกแล้ว ถั่วเหลืองยังมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมได้อีก โดยในถั่วเหลืองจะมีสารประกอบที่ชื่อว่า สารไอโซฟลาโวนหรือฮอร์โมนพืช ซึ่งเป็นสารที่มีความคล้ายกับสารต่อต้านอนุมูลอิสละ ที่เป็นตัวยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า สารไอโซฟลาโวน จะเข้าไปช่วยยับยั้ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ให้เข้าไปในเซลล์เต้านม เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้อาจจะไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ แม้ว่าข้อมูลบางวิจัยบางส่วนจะแย้งว่าการบริโภคถั่วเหลืองมากๆจะยิ่งทำให้เกิดการกระตุ้นเชื้อมะเร็ง แต่ก็เป็นข้อมูลในทางส่วนน้อยเท่านั้น โดยยังเชื่อว่าผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นการทานถั่วเหลืองในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมในอนาคตได้

สำหรับปริมาณการบริโภคถั่วเหลืองที่เหมาะสมนั้น ได้มีการแนะนำไว้ว่าควรทานถั่วเหลือง ไม่ให้เกินวันละ 2 ส่วน สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม หรือเป็นผู้มีความเสี่ยงน้อย แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงควรทานถั่วเหลืองไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ส่วน และงดการเสริมสารไอโซฟลาโวนซึ่งมีปริมาณมากกว่าในถั่วเหลืองหลายเท่า จะดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายห่างจากมะเร็งมากที่สุด ทั้งนี้ประมาณของถั่วเหลือง 1 ส่วนจะเท่ากับ

  • แป้งถั่วเหลือง ½ ถ้วยตวง
  • นมถั่วเหลือง 240 มิลลิลิตร
  • เต้าหู้ ½ ถ้วยตวง
  • โปรตีนเกษตรหรือถั่วเหลืองสุก ½ ถ้วยตวง

5. งดและหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวแล้ว ผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้มากขึ้นด้วย มีข้อมูลทางการวิจัยพบว่า หากมีการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ ปริมาณ 1 ดริ๊ง ต่อ วันก็อาจจะทำให้เกิดปัจจัยในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ แต่อาจไม่มากนัก แต่ถ้าเมื่อไหร่มีการเพิ่มปริมาณของจำนวน ดริ๊ง ต่อวันมากขึ้น เช่น หากดื่มวัน  ละ 2 ดริ๊ง ก็สามารถช่วยเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเพิ่มจำนวนเป็นดริ๊งที่ 3 เข้าไป ความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขึ้นไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว ทั้งนี้ปริมาณของแอลกอฮอล์ 1 ดริ๊ง จะเท่ากับ

  • เบียร์ 1 กระป๋อง หรือ 1 แก้ว ขนาด 360 ซีซี
  • วิสกี้ 45 ซีซี
  • ไวน์ 1 แก้ว 150 ซีซี

นอกจากผลกระทบต่อโรคมะเร็งเต้านมแล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังส่งผลทำให้เกิดภาวะกระดูกบาง ในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงหมดประจำเดือนแล้ว อีกด้วย ดังนั้นควรเลือกดื่มในบางโอกาสที่จำเป็นเท่านั้น เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือ หากเป็นไปได้ไม่ควรดื่มเลยจะมีผลดีต่อร่างกายมากที่สุด แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ชอบดื่มควรจะกินอาหารที่มีโฟเลตสูงๆ เพื่อให้ไปช่วยลดความเสี่ยงจากผลของแอลกอฮอล์ได้ สำหรับอาหารที่มีโฟเลตสูงได้แก่ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว น้ำส้มคั้น เป็นต้น และควรทานให้ได้วันละ ปริมาณวันละ 600 ไมโครกรัม

6. ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านมได้ด้วย โดยจากข้อมูลพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประและสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งเต้านมได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ส่วนผู้หญิงวับหมดประจำเดือนแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ ให้ในหนึ่งสัปดาห์คิดเวลารวมแล้วได้ประมาณ 4 ชั่วโมง จะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ การออกกำลังกายที่ดี ควรทำอย่างเป็นประจำและมีความสม่ำเสมอ ควรทำให้ได้ 3 – 5 ครั้ง ต่อ หนึ่งสัปดาห์ และ ครั้งละประมาณ 30 – 45 นาที ตามความเหมาสมของร่างกาย และไม่หักโหมจนเกินไป

ตัวอย่างอาหารที่มีสารต้านมะเร็งที่ควรเลือกบริโภคเป็นประจำ

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปในทางทีดี ทั้ง 6 ข้อด้านบนที่กล่าวมาแล้วนั้น ควรเลือกทานอาหารที่มีสารต่อต้านมะเร็งเป็นประจำ โดยอาหารที่ควรทานมีดังต่อไปนี้   

1. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มโอ ส้มเขียวหวาน เป็นต้น เนื่องจากผลไม้ตระกูลส้มจะ มีสารลิโมนอยด์ ที่มีฤทธิ์คอยช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง หากเป็นไปได้ควรทานผลไม้ชนิดนี้ให้เป็นประจำ

2. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เนื่องจากในผลไม้ประเภทนี้จะมีสารที่ชื่อว่า สารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นพิกเมนต์สีน้ำเงิน มีใยอาหารสูงเกือบ 4 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง มีปริมาณของวิตามินซีสูง มีกรดเอลลาจิก ( Ellagic Acid ) และสารแทนนิน ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็ง และการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

3. ผักตระกูลครูซิเฟอรัส เช่น ผักคะน้า กะหล่ำปลี บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ เป็นต้น ผักในตระกูลนี้ จะมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า สารอินโดล และ สารซัลโฟราเฟน ที่มีฤทธ์สูงช่วยในการยับยั้งการเกิดเชื้อมะเร็งในร่างกาย โดยการไปทำให้ เอสโตรเจนในร่างกายมีความอันตรายน้อยลง

4. ถั่วเหลือง เนื่องจากในถั่วเหลืองจะมีสารที่ชื่อว่า สารไอโซฟลาโวน จะเข้าไปช่วยยับยั้ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ให้เข้าไปในเซลล์เต้านม เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้อาจจะไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งได้

5. ถั่วบราซิล ถั่วบราซิลเป็นแหล่งของซิลีเนียมซึ่งเป็นแร่ธาตุต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ช่วยในการป้องกันและยับยั้งการเกิดเชื้อมะเร็ง และยังมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

6. มะเขือเทศ นอกจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่หากินได้ง่ายแล้ว ยังมากไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ในมะเขือเทศจะมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ จะได้ผลเป็นอย่างยิ่งเมื่อนำมาปรุงทำให้เกิดความร้อน เพราะความร้อนจะช่วยให้สารไลโคปีนออกมามากการทานแบบผลสดๆ

7. ปลาทะเล ในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาซาดีน ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาบะ เป็นต้นจะมีสารที่ชื่อว่า กรดโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง

8. ชา สำหรับการดื่มชา จะมีสารที่ชื่อว่า สารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดสารอนุมูลอิสระ เช่น ชาเขียว ชาจีน เป็นส่วน ส่วนชาในรูปแบบขวด ชาสำเร็จรูป จะมีปริมาณของสารฟลาโวนอยด์ ที่น้อยกว่าการดื่มชาชง

9. สมุนไพรเครื่องเทศต่างๆ เป็นสิ่งที่ทานหาได้ง่าย เช่น กระเทียม พริก ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด โดยสมุนไพรเหล่านี้ จะมีสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี 

10. โยเกิร์ต เป็นอาหารที่มากไปด้วยโปรตีนละแคลเซียม นอกจากช่วยในเรื่องของการขับถ่ายแล้ว โยเกิร์ต ยังมีประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็งคือ จะไปจับตัวกับน้ำดีเพื่อช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีแบคทีเรียชนิดดีต่อร่างกายอีกด้วย ที่จะช่วยในเรื่องการย่อยอาหารและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคแก่ร่างกาย

แน่นอนว่าสำหรับโรคมะเร็งเต้านมแล้ว คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่เกรงกลัวโรคนี้ แต่หากเรามองให้ลึกลงไปให้ดีก็จะพบว่า สาเหตุหลักๆ ในการเกิดมะเร็งเต้านมนั้น ส่วนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนมาก มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องเอง หลายคนมักละเลยการทานอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมนมที่ดี ผิดหลักโภชนาการ แต่กลับไปเลือกทานอาหารที่รสชาติอร่อยถูกปาก แต่มากไปด้วยไขมันและน้ำตาล รวมถึงยังขาดการออกกำลังกายด้วย ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยตัวเราเองให้ห่างไกลจากมะเร็งเต้านมได้มากที่สุดก็คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นเอง แม้ว่าโรคชนิดนี้อาจจะไม่ได้อันตรายจนถึงชีวิต แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครที่อยากต้องพบต้องเจอกับโรคร้ายชนิดนี้แน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เป็นโรคเบาหวานต้องเลือกกินอาหารนอกบ้านอย่างไร

0
เมื่อคนเป็นเบาหวานต้องกินอาหารนอกบ้าน
ควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี กินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง
เมื่อคนเป็นเบาหวานต้องกินอาหารนอกบ้าน
คนเป็นโรคเบาหวาน ควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี กินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน อาจคิดว่าจะหากินได้ยากกว่าอาหารคนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานและเป็นเมนูซ้ำแบเดิมๆ แต่ในปัจจุบันการกินอาหารนอกบ้านไม่ใช่สิ่งต้องห้ามอีกแล้วสำหรับคนเป็นเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนฝูง การไปหาร้านอาหารอร่อย ๆ กินร่วมกันกับครอบครัว หรือจะเลือกซื้ออาหารตามริมถนนกลับมากินที่บ้าน เข้าร้านฟาสต์ฟู้ด หรือจะเลือกใช้บริการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ส่งมาให้กินโดยไม่ต้องออกไปไหน เพียงแต่ต้องเลือกเมนู ที่เหมาะสมและไม่เป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนยุคปัจจุบันไปแล้ว แม้ส่วนใหญ่ของผู้ที่ออกไปกินอาหารนอกบ้านนั้น มักจะคิดถึงเรื่องความสะดวก รวดเร็ว และรสชาติที่อร่อยถูกปากมากกว่าจะมาคิดว่าอาหารที่กินนั้นจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือเปล่า? 

แต่การออกไปกินอาหารนอกบ้านอาจดีต่อสุขภาพได้เช่นกัน หากคุณมีการวางแผนในการเลือกบริโภคอาหารเช่นเดียวกับการวางแผนสำหรับเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการทำงานหรือวางแผนการใช้ชีวิต โดยสามารถเริ่มต้นได้จากการรู้จักเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งในปัจจุบันร้านอาหารมากมายหลายร้านก็อยากที่จะเอาใจลูกค้า ด้วยการทำอาหารที่ครบทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะคนเป็นโรคเบาหวานไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ต้องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่เพียงจะอยากกินอาหารรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ก็ยังต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะกินเพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค กินเพื่อดูแลตัวเองจากโรคที่เป็นอยู่ไม่ให้กลับมาแสดงอาการอีก หรือกินเพื่อลดน้ำหนักลดคอเลสเตอรอล

ไม่ว่าคุณจะมีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ก็จำเป็นที่จะต้องกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั่นเอง

เวลาที่คุณเข้าไปใช้บริการตามภัตตาคารหรือจะเป็นร้านอาหารประเภทตามสั่งก็ตาม คุณสามารถแจ้งให้ทางร้านทราบได้เลยว่าคุณต้องการอะไรไม่ว่าจะเป็น “ ไม่เอาเค็มนะ ” ใส่น้ำตาลนิดเดียวนะ ” “ ไม่ใส่ผงชูรส ” “ ใส่เส้นนิดเดียวเน้นผักเยอะ ๆ ” “ ขอเนื้อ ๆ ไม่เอามันนะ ” ฯลฯ ไม่ยากเลยที่คุณจะระบุหรือกำชับทางร้าน เพื่อที่จะได้อาหารที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการและดีสำหรับสุขภาพของตัวคุณ หากคุณกินอาหารนอกบ้านอยู่เป็นประจำ จำเป็นที่คุณจะต้องควบคุมอาหารให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยคุณจะสามารถเลือกอาหารได้ง่ายขึ้น หากเป็นร้านที่มีเมนูให้เลือกเยอะ

หลังจากที่ได้อ่านเมนูแล้วควรจะสั่งอะไร

  • หากเป็นเมนูที่คุณไม่รู้จัก คุณอาจจะถามพนักงานเอาก็ได้ว่าเมนูนั้นมีส่วนผสมสำคัญอะไรบ้าง
  • ถามถึงภาชนะที่ใส่ว่ามีขนาดแค่ไหน สำหรับกี่คนกิน
  • เลือกเมนูที่ใส่น้ำมันน้อย เช่น อาหารประเภทอบ ต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง หรือยำ แกงที่ไม่มีกะทิเป็นส่วนผสม หรือใส่จนข้นคลั่ก ส่วนเมนูผัด ก็ไม่ควรใส่น้ำมันมากไปจนเยิ้ม พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารจำพวกของทอดหรือของชุบแป้งทอด ถ้าจะกินให้กินแต่น้อย
  • ถ้าเป็นสลัดควรแยกน้ำสลัด และถ้าน้ำสลัดเป็นแบบน้ำข้นหรือครีม ควรใช้ส้อมจิ้มผักหรือผลไม้จุ่มน้ำสลัดกินทีละชิ้น หากเป็นน้ำสลัดแบบน้ำใสเวลากินให้ใส่น้ำสลัดทีละช้อนชา 
  • เลือกเมนูที่มีความหลากหลาย ครบถ้วนทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผัก
  • หากคุณคิดจะกินขนมหวานลองเปลี่ยนเป็นผลไม้แทน แต่ถ้าอยากกินจริง ๆ ก็ควรลดแป้งและน้ำตาลลง
  • เครื่องดื่มควรเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำชา หรือเป็นเครื่องดื่มชนิดไม่ใส่น้ำตาล
  • แอลกอฮอล์เป็นอีกหนึ่งตัวการที่จะเพิ่มแคลอรี่ให้มากขึ้น และอาจมีผลให้การดูดซึมวิตามินและเกลือแร่ถูกยับยั้ง เพราะฉะนั้นคุณจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ควรพยายามจำกัดปริมาณการกินในแต่ละมื้อ หากอาหารที่คุณสั่งมีปริมาณเยอะเกินไป ควรหาคนช่วยกินหรือให้ห่อส่วนที่เหลือกลับไปกินในมื้ออื่นแทน
  • เคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด แต่ใช้เวลาใกล้เคียงกับการทานอาหารปกติ
  • จัดเวลากินตามช่วงเวลาการกินอาหารปกติ
  • หากคุณจำเป็นต้องกินยาเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน ก็ต้องจัดตารางเวลาว่าเวลาไหนจะต้องเป็นเวลากิน
  • จัดเวลากินตามช่วงเวลาการกินอาหารปกติที่คุณกิน
  • ไม่ควรจัดเวลาให้ตรงกับช่วงที่ร้านอาหารมีลูกค้าเยอะ เพราะคุณอาจจะต้องรอนานจนเกินเวลา แต่สำหรับบางร้านคุณอาจจะโทรไปสั่งจองโต๊ะและสั่งอาหารรอไว้ล่วงหน้าได้
  • ถามถึงอาหารที่คุณสั่งด้วยว่าจะต้องใช้เวลารอนานแค่ไหน
  • หากคุณรอที่จะกินอาหารจนเลยเวลาที่จะต้องกินไป คุณก็ควรจะหาผลไม้กินรองท้องแทนไปก่อน

วิธีกินฟาสต์ฟู้ดให้ปลอดภัยสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในรสชาติของฟาสต์ฟู้ด และต้องการกินอาหารแบบมีประโยชน์ต่อสุขภาพไปด้วยพร้อม ๆ กันละก็ สามารถทำได้ดังนี้

หลักสำคัญที่คุณควรจะจดจำให้ได้ก็คือ “ โภชนาการที่ดี ” คือคุณควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี การกินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง และสำหรับอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้วจัดเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าทั้งมันจัดและเค็มจัด ฟาสต์ฟู้ดเพียงหนึ่งมื้อก็พอ ๆ กับสิ่งที่คุณต้องจำกัดตลอดวันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดีเราก็ยังสามารถลดโทษภัยจากฟาสต์ฟู้ดให้น้อยลงได้ หากรู้จักฟาสต์ฟู้ดให้ดีขึ้น 

  • คุณอาจได้รับพลังงานจากฟาสต์ฟู้ด 1 มื้อสูงถึง 1,000 แคลอรี่เป็นอย่างน้อย และมีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อคุณกินเข้าไปในสองชั่วโมงแรก ระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะยังไม่พุ่งสูงขึ้นมากนัก เนื่องจากร่างกายจะย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้ค่อนข้างช้า
  • หากคุณคิดจะสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน สิ่งหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือข้อมูลทางโภชนาการ โดยคุณสามารถที่จะดาวน์โหลดข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของร้านฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ มาอ่านได้ เช่น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี หรือเบอร์เกอร์คิงส์ ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณรู้สึกตกใจไม่น้อยกับตัวเลขที่แจ้งในข้อมูลโภชนาการ แต่เดี๋ยวนี้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น เพราะฟาสต์ฟู้ดบางร้านมีเมนูแคลอรี่ต่ำไว้คอยบริการ จึงทำให้คนเป็นโรคเบาหวานมีทางเลือกมากขึ้นไปด้วย
  • หากวันไหนที่คุณกินฟาสต์ฟู้ดเพียงมื้อเดียว คุณก็ควรที่จะกินผักผลไม้ให้มากขึ้นในมื้ออื่น ๆ กินแป้งและไขมันให้น้อยลง
  • ร้านฟาสต์ฟู้ดจะมีกลยุทธ์ในการดึงดูดใจลูกค้า เช่น ถ้าคุณเพิ่มเงินอีก 10 บาท คุณก็จะได้รับเฟรนช์ฟรายส์หรือน้ำอัดลมขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งคุณอาจจะรู้สึกยินดีที่ได้ซื้อของในราคาที่ถูกลงกว่าปกติ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่คุณได้รับไม่เพียงแต่ปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้น แต่ แคลอรี เกลือ โซเดียม น้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย กลายเป็นว่าคุณต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อสุขภาพที่ย่ำแย่มากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงเบอร์เกอร์ชนิดที่มีขนมปังสามแผ่น ขอมายองเนสต่างหากและเพิ่มผักสลัด หรือหากคุณไม่ได้ขอมายองเนสแยกต่างหาก ก่อนที่คุณจะกินเบอร์เกอร์ควรปาดมายองเนสออกซักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วเติมรสด้วยมัสตาร์ดแทน หรืออาจจะปรุงแต่งรสด้วยมะเขือเทศ 1 ซองก็ได้ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณลดแคลอรี่ได้แล้ว
  • หากคุณซื้อแซนด์วิช ขนมปังจำพวกครัวซองต์ถือเป็นอาหารที่พึงหลีกเลี่ยงหากอยากมีสุขภาพที่ดี
  • แค่คุณเลี่ยงการเติมชีสเพียง 1 แผ่น คุณก็ลดพลังงานได้แล้ว 100 แคลอรี่
  • หากเป็นพิซซ่า ควรเลือกแบบขอบบางและเพิ่มหน้าผัก ไม่ควรกินเกิน 1 – 2 ชิ้น (ถ้าเป็นหน้าไส้กรอก เปปเปอโรนี หรือเพิ่มชีส คุณก็จะได้รับแคลอรี ไขมัน และโซเดียมเพิ่มขึ้น นี่ยังไม่นับพิซซ่าขอบชีสขอบไส้กรอกอีกนะ ซึ่งหากคุณชอบกินก็ระวังโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดหลอดเลือดอุดตันให้ดีละกัน) จะให้ดีเมื่อคุณกินพิซซ่าก็ควรจะกินสลัดควบคู่ไปด้วยเพราะจะช่วยให้คุณอิ่ม มากขึ้น ส่วนเครื่องดื่มควรจะเป็นน้ำอัดลมชนิดไดเอตหรือจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำเปล่า
  • แม้สลัดบาร์จะเป็นอาหารที่ดีต่อการบริโภค แต่ก็ควรระวังสลัดที่มีมายองเนสผสมให้มากไม่ว่าจะเป็นโคลสลอว์ สลัดมันฝรั่ง หรือสลัดมะกะโรนี ซึ่งถ้าเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง แต่ถ้าจะกินก็ควรจำกัดปริมาณในการกิน 
  • หากคุณจะตามหลังฟาสต์ฟู้ดด้วยไอศกรีม ควรเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อยหรือเลือกกินเซอร์เบ็ต และกินแค่โคนเล็ก ๆ โคนเดียวพอ
  • ขนมหรืออาหารที่ปราศจากไขมันไม่ได้แปลว่าจะไม่มีแคลอรี่ ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่สูงก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าคุณอดใจไม่ไหวก็เอาแต่พอหอมปากหอมคอ การปล่อยให้ตัวเองได้ตามใจปากบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไปนัก ตราบใดที่คุณยังควบคุมน้ำหนัก น้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดได้อยู่
  • มีผลการวิจัยพบว่าขนมจะทำให้คุณรู้สึกอร่อยได้แค่ 2 – 3 คำแรกเท่านั้น เพราะคำต่อ ๆ ไปความอร่อยจะเริ่มลดน้อยลง

คนเป็นโรคเบาหวานกับการกินอาหารจีน

แม้ว่าส่วนประกอบในอาหารจีนจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็อาจพ่วงมาด้วยไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล ผงชูรส และเกลือในปริมาณที่สูง โดยเฉพาะอาหารจีนซึ่งไม่มีการดัดแปลงในการประกอบอาหาร จะมีผลต่อผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ ทำให้ควบคุมโรคได้ยากมากขึ้น การจัดเลี้ยงโต๊ะจีนเป็นที่นิยมในโอกาสต่าง ๆ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในโอกาสงานแต่งงาน ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด หรืองานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ คนเป็นโรคเบาหวานที่กินโต๊ะจีนเป็นประจำ จึงต้องรู้ว่าจะเลือกกินโต๊ะจีนอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมโรคของตนเองได้

1.โดยโต๊ะจีน 1 ชุดจะประกอบไปด้วยอาหารทั้งคาวทั้งหวานราว ๆ 8 – 12 อย่าง แล้วแต่ว่าจะเป็นชุดใหญ่หรือชุดเล็ก อาหารส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารจำพวกไขมันซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยตามตามตำราจีน เนื่องจากไขมันจะช่วยขับเน้นรสชาติอาหารให้เด่นชัดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารประเภท เช่น หมูหัน เป็ดย่าง ขาหมู ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่ติดมัน และถือเป็นอาหารประจำโต๊ะจีนที่ต้องมีเสมอเลยก็ว่าได้ แม้ว่าซุปของจีนมักจะมีเครื่องเทศสมุนไพรจีนซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ เช่น เก๋ากี้ ซึ่งอาจจะช่วยให้พิษภัยจากไขมันลดน้อยลง แต่ก็ไม่อาจจัดการกับไขมันและคอเลสเตอรอลทั้งหมดที่เข้ามาสู่ร่างกายได้

2.สำหรับการเลือกอาหารจีน หลัก ๆ เลยก็คือเมนูประเภทผัก ต้ม นึ่ง อบ และอาหารที่มีผักเป็นส่วนผสม เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งถ้าหากน้ำซุปและน้ำผัดมีความมันมาก ให้เลือกตักแต่ตรงส่วนที่กิน ส่วนของหวานก็กินพอเป็นพิธีหรือจะไม่กินก็ได้

3. ต้องเน้นปริมาณและสัดส่วนอาหารที่กินให้สมดุลกัน ในอาหารจีนชุดหนึ่ง หากคุณใช้ช้อนเสิร์ฟตักอาหารให้ครบทุกจานคุณก็จะได้อาหารจานใหญ่พอสำหรับหนึ่งมื้อ ควรระวังคาร์โบไฮเดรตไม่ให้เกินความต้องการ เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าโปรตีนและไขมัน โดยเฉพาะอาหารที่มากไปด้วยแป้งและน้ำตาลอย่างขนมหวาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยกเลิกอาหารจีนมื้อนั้นไปเลย เพียงแต่ให้เพิ่มความระมัดระวังในปริมาณการกินให้มากขึ้น ส่วนเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับอาหารจีนก็คือน้ำเปล่าและน้ำชาเพราะปราศจากแคลอรี่ จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะช่วยให้คุณอร่อยกับโต๊ะจีนได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด   

ข้อแนะนำสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เมื่อต้องออกไปกินอาหารนอกบ้าน

1.ให้สั่งเมนูที่ไม่ต้องใช้เวลารอนาน

2.กินอาหารตามเวลาปกติ งดการสั่งเมนูที่ต้องใช้เวลารอนานซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น

3.หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแล้ว ให้กินผลไม้หรืออาหารจำพวกแป้งได้ 1 คาร์บ โดยยืมมาจากมื้ออาหารปกติ

4.ถ้าเลยเวลากินมื้อเย็นไปมาก ควรหาอาหารว่างกินรองท้องไปก่อน หรือไม่ก็อาจจะกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 1 คาร์บรองท้องแทนก็ได้

5.สำหรับผู้ที่ต้องได้รับการฉีดอินซูลิน ควรพิจารณาปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่จะกินแล้วปรับปริมาณอินซูลินให้เหมาะสม แต่ควรปรึกษาแพทย์และนักกำหนดอาหารก่อนที่จะเปลี่ยนขนาดยาที่ฉีด

การกินอาหารบุฟเฟต์ของคนเป็นโรคเบาหวาน

สำหรับอาหารบุฟเฟต์แล้วถือได้ว่าเป็นอาหารที่พึงหลีกเลี่ยง เนื่องจากบุฟเฟต์เป็นอาหารที่มีสารพัดเมนูให้เลือก เรียกว่าหากคุณกินทุกอย่างเข้าไปเพียงมื้อเดียวเท่านั้น ก็มีแคลอรี่เพิ่มมากขึ้นหลายพันแคลอรี่เลยทีเดียว แถมส่วนใหญ่ที่กินมักถือคติกินอาหารบุฟเฟต์ทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม เพราะเขาให้กินเท่าไหร่ก็ ได้ไม่อั้น ถึงคุณจะคิดว่าสามารถควบคุมตนเองได้ก็เถอะยังไงก็ต้องกินเข้าไปมากกว่ากินที่บ้านแน่นอน
แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการกินบุฟเฟต์ก็คือการที่จะได้กินอาหารที่แปลกใหม่ไปจากที่กินในชีวิตประจำวัน และที่ไม่ควรลืมก็คือผักสลัดที่มีให้เลือกมากมายรวมทั้งน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพ สลัดผักจะช่วยให้คุณไม่ต้องกินมากจนเกินไป แต่อาหารที่คุณควรเลือกกินก็คืออาหารทะเลต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อปลาอย่างปลาแซลมอน หรือหากอยากจะลิ้มรสไอศกรีมบ้างก็เอาแค่ 2 – 3 คำพอให้ลิ้นได้สัมผัสรส ซึ่งหลังจากบุฟเฟต์มื้อนั้นผ่านไป คุณก็จะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอย่างคิดไม่ถึง และหากคุณไปเจาะเลือดตรวจน้ำตาลในเลือดดู ค่าที่ได้ก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณได้กินเข้าไปมากน้อยแค่ไหน

คนเป็นโรคเบาหวานดื่มอะไรดี?

ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้ แต่ก็มีเครื่องดื่มบางชนิดที่คนเป็นโรคเบาหวานสามารทานได้โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็คือเครื่องดื่มที่ไม่มีพลังงานนั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องไปกินข้าวนอกบ้านหรือไปงานเลี้ยงต่างๆ ก็ควรเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่น้อยหรือไม่มีแคลอรี่จะดีที่สุด

เครื่องดื่มที่ไม่

เพิ่มระดับน้ำตาล

เครื่องดื่มที่เพิ่ม

ระดับน้ำตาลเล็กน้อย

เครื่องดื่มที่เพิ่ม

ระดับน้ำตาลมาก 

น้ำเปล่า เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาชนิดน้ำตาลน้อย ชามะนาวเติมน้ำตาล
น้ำอัดลมไดเอต น้ำผัก เช่น น้ำมะเขือเทศ น้ำสมุนไพรเติมน้ำตาล
เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เครื่องดื่มน้ำผลไม้ชนิดไลท์ น้ำอัดลม
ในรูปใดๆ เป็นส่วนผสม
น้ำมะตูมธรรมชาติ นมสดรสจืด ชานมไข่มุก
น้ำกระเจี๊ยบธรรมชาติ กาแฟเติมน้ำตาล
ชาจีน ชาเขียว ชาสมุนไพร เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา
กาแฟดำ พั้นช์
โซดา น้ำผลไม้
นมสดรสหวาน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น
เบียร์ ไวน์ วิสกี้
ผสมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

แคลอรีสูงๆ ที่ทำให้เครื่องดื่มแพงและสุขภาพแพง

ในปัจจุบันสิ่งที่เติมลงในเครื่องดื่มรสชาติอร่อยที่มีราคาแพง ล้วนเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไขมัน น้ำตาลหรือแคลอรี่ที่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้อย่างไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว ซึ่งเครื่องดื่มบางชนิดก็อาจให้พลังงานสูงถึงแก้วละ 570 แคลอรี่เลยทีเดียว ดังที่แสดงในตารางต่อไปนี้

ชนิดเครื่องปรุงรส ปริมาณ       ไขมัน / น้ำตาล         ( กรัม ) พลังงาน ( แคลอรี )
ครีมเทียมแต่งรสชนิดน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 4 กรัม 80
ครีมเทียมชนิดน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม 25
ครีม 50/50 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม 20
ครีม 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 6 กรัม 50
วิปครีม 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 9 กรัม 90
น้ำเชื่อมคาราเมลสตาร์บัคส์ 1 เหยาะ น้ำตาล 6 กรัม 25
น้ำเชื่อมปรุงแต่งรส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 20 กรัม 80
น้ำเชื่อมปรุงแต่งรสไม่เติมน้ำตาล 2 ปั๊ม ไม่มี 0
มอลต์ 2 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม

น้ำตาล 18 กรัม

90
น้ำเชื่อมมอคค่า 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 0.5 กรัม

น้ำตาล 5 กรัม

25
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 4 กรัม 15

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน

0
น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน
น้ำตาลมีรสหวาน นิยมใช้ประกอบอาหาร ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน
น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน
น้ำตาลมีรสหวาน นิยมใช้ประกอบอาหาร ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ผลิตมาจากอ้อย

น้ำตาล

เมี่อพูดถึงสารที่ให้ความหวาน หลายคนก็คงจะนึกถึง น้ำตาล เป็นอันดับแรก เพราะเป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่ประจำจนเคยชิน แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้ว สารที่ให้ความหวานได้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดประมาณ 26 ชนิดด้วยกัน แต่บางชนิดยังอยู่ในขั้น ตอนการรออนุมัติจาก FDA อยู่ ทั้งนี้เมื่อสรุปโดยรวมแล้วก็สามารถแบ่งสารให้ความหวานออกได้เป็น 3 ชนิดคือ

1. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย

2. สารให้ความหวานที่ใช้ทดแทนความหวานได้ แต่ไม่ให้พลังงาน ส่วนใหญ่จะเรียกว่าน้ำตาลเทียม

3. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานต่ำมาก เรียกว่าน้ำตาลแอลกอฮอล์

ตัวอย่างสารให้ความหวาน
สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน  น้ำตาลเทียม  น้ำตาลแอลกอฮอล์
เดกซ์โทรส แซ็กคาริน ซอร์บิทอล
น้ำเชื่อมกลูโคส ซูคราโลส แมนนิทอล
ฟรักโทสชนิดเกล็ด แอสปาร์แทม ไซลิทอล
ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป (น้ำเชื่อมฟรักโทสเข้มข้น) นีโอแทม ไอโซมอลต์
น้ำผึ้ง มอลทิทอล
น้ำตาล กลีเซอรอล
มอลโทเดกซ์ทริน พอลิเดกซ์โทรส
ทรีฮาโลส
สตีเวีย
น้ำผลไม้เข้มข้น

[adinserter name=”เบาหวาน”]

น้ำตาลเทียม

เป็นน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานและไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด จึงสามารถใช้กับคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานได้ อย่างเช่น ขนมหรือของหวานที่ผลิตจากต่างประเทศและส่งเข้ามาขายในไทย โดยจะมีข้อความระบุว่า Sugar Free ซึ่งหมายความว่าไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม แต่ทั้งนี้ก็อาจจะมีการใช้สารให้ความหวานแทน อย่างไรก็ตามในขนมและของหวานเหล่านี้ แม้ว่าจะได้มีการใช้น้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานแทน แต่ก็อาจมีส่วนผสมที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ดังนั้นจึงอาจให้พลังงานสูงและเสี่ยงอ้วนได้ไม่แพ้ขนมที่ใช้น้ำตาลจริงเลยทีเดียว

คาร์โบไฮเดรตและสารให้ความหวาน

น้ำตาล เป็นสารให้ความหวานที่ให้พลังงานสูงและจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร ทำให้ขนมอบกรอบหรือขนมเชื่อมมีสีสันที่สวยงามและน่าทานมากขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มรสชาติให้มีความอร่อยมากขึ้นด้วย โดยทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวานนั้น ได้กล่าวว่าพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละคนนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับนิสัยการบริโภคเป็นหลัก ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลที่ให้พลังงานสูงเกินไป เพราะจะยิ่ง เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น เช่น น้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บและน้ำตาลฟรักโทสสกัด เป็นต้น
โดยจากความเชื่อดังกล่าวนี้เกิดจากการที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่เมื่อทานเข้าสู่ร่างกายแล้วจะสามารถย่อยและดูดซึมได้เร็วกว่าแป้ง เป็นผลให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้มากนัก นอกจากนี้จากการทำการวิจัยก็พบอีกว่า น้ำตาลที่ได้จากผลไม้และนมนั้นจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าแป้งเป็นอย่างมาก จึงสามารถทานได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลนั่นเอง

น้ำตาลและเบาหวาน

ความเชื่อที่ว่าน้ำตาลเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานและควรให้ผู้ป่วยงดการทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาดนั้น มีรายงานไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ซึ่งในยุคนั้นนายแพทย์เฟรเดอริก อัลเลน Frederick Allen ได้เป็นผู้กล่าวไว้ แต่เนื่องจากในยุคสมัยนั้นไม่มีเครื่องมือทันสมัยที่จะสามารถหาเหตุผลมาสรุปข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ เป็นผลให้ความคิดดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนและยังไม่มีผู้ทำตามมากนัก ซึ่งในเวลาต่อมา ยุคสมัยหลังจากนั้นก็มีนักวิจัยให้คำแนะนำเช่นเดียวกับนายแพทย์ เฟรเดอริก อัลเลน ว่าน้ำตาลเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานและไม่ควรทานเด็ดขาด ด้วยการยกเหตุผลขึ้นมาว่า น้ำตาลนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ซึ่งโดยปกติร่างกายของคนเราจะสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารในรูปของโมเลกุลเชิงเดี่ยวได้ง่ายและรวดเร็วมาก การทานน้ำตาลจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบหลายๆ อย่างนั่นเอง

และจากข้อสรุปดังกล่าวนี้ก็ได้เกิดการแนะนำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานหลีกเลี่ยงการทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาด แต่ในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตาลมากนัก จนเมื่อปี ค.ศ.1970 นักวิจัยหลายๆ คนไม่มั่นใจกับข้อสรุปดังกล่าว จึงได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับน้ำตาลและผู้ป่วยเบาหวานอีกครั้ง จนได้ข้อสรุปที่มีความละเอียดมากขึ้นในปี ค.ศ. 1993 กล่าวว่า

การกินน้ำตาลโดยคิดเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ได้เพิ่มคาร์โบไฮเดรตเข้าไปในมื้ออาหารอีก จะไม่ส่งผลให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 แต่อย่างใด

ดังนั้นจึงสรุปว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่จำเป็นต้องงดการทานน้ำตาล นั่นก็เพราะว่าน้ำตาลถือเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อทานน้ำตาลเข้าไป ร่างกายจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากอะไร แต่จะคิดรวมเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับในวันนั้นๆ เลยนั่นเอง รวมถึงคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผลไม้ ข้าวและแป้งด้วย ดังนั้นน้ำตาลที่ทานเข้าไปจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดที่ทานในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นหากทานน้ำตาลและอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ รวมกันไม่เกินจากค่าที่กำหนดในแต่ละวัน ก็จะไม่มีผลเสียต่อผู้ป่วยเบาหวานแน่นอน  [adinserter name=”เบาหวาน”]

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากของหวานที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบนั้นมักจะมีไขมันอยู่ด้วย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มพลังงานและแคลอรีในอาหารให้สูงขึ้นไปอีกและเนื่องจากน้ำตาลนั้นให้แต่พลังงาน แต่ไม่ได้ให้สารอาหารจำเป็นด้วย จึงไม่แนะนำให้กินน้ำตาลมากเกินไป โดยควรเน้นการกินคารโบไฮเดรตจากอาหารชนิดอื่นมากกว่าน้ำตาล ในปัจจุบันนี้จึงเห็นได้ว่ามีการแนะนำให้นับคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละวันเสมอ

น้ำตาลถูกลืมว่าเป็นคาร์โบไฮเดรต

คาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน ทำให้เผลอทานอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตจนเพลิน เป็นผลให้ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นในที่สุด โดยน้ำตาลนั้นถูกจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใยอาหารและประกอบไปด้วยกลูโคส 50% ฟรักโทส 50% ซึ่งการให้พลังงานของน้ำตาลนั้นก็จะเท่ากับการให้พลังงานของคาร์โบไฮเดรตในข้าวและแป้ง คือ 1 กรัม ต่อพลังงาน 4 แคลอรี เพียงแต่ว่าพลังงานที่ได้จากน้ำตาลจะถูกดูดซึมไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วกว่านั่นเอง ดังนั้นจึงได้มีการจำกัดปริมาณของน้ำตาลที่ควรทานในแต่ละวันไว้ที่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดที่ควรได้รับในแต่ละวัน และต้องคิดรวมเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละวันด้วย ซึ่งกองโภชนาการก็ได้แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชานั่นเอง

และจากรายงานการสำรวจการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี พ.ศ. 2558 ก็พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลสูงขึ้นมากโดยเฉลี่ยมากถึงวันละ 16.7 ช้อนชาเลยทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยมีปัญหาอ้วนเยอะ และมีภาวการณ์ดื้ออินซูลินจนทำให้เป็นเบาหวานอีกด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะคนไทยได้ลืมไปแล้วว่าน้ำตาลก็เป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบเดรต และไม่ได้ใส่ใจโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพมากนัก โดยหากเทียบระหว่างน้ำตาลกับข้าวแล้ว จะพบว่าน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานมากเท่ากับข้าวครึ่งทัพพีเลยทีเดียว หรือให้พลังงานประมาณ 48 แคลอรีนั่นเอง ดังนั้นหากปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินกับการทานน้ำตาลมากเกินไปก็จะส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพตามมาแน่นอน โดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานอยู่แล้ว

นอกจากนี้สารให้ความหวานที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับน้ำตาลก็มีหลายชนิดเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น น้ำเชื่อมฟรักโทส น้ำผึ้ง น้ำตาลโตนด มอลโส กากน้ำตาลและเดกซ์โทส เป็นต้น ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการทานน้ำตาลเหล่านี้มากที่สุด เพราะหากทานมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดผลเสียได้ นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่ต้องระวังเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าน้ำตาลชนิดนี้จะมีผลต่อระดับน้ำตาลน้ำกว่าน้ำตาลทรายแต่ก็ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตเช่นกัน ดังนั้นหากเมื่อรวมๆ แล้วในวันหนึ่งได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ เกินค่าที่กำหนด ก็จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้ และที่สำคัญเมื่อทานมากเกินไปก็จะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายท้องและอาจท้องเสียได้อีกด้วย

ฟรักโทสและเบาหวาน

ฟรักโทสเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะได้จากผักผลไม้ น้ำผึ้งและกากน้ำตาล รวมถึงน้ำตาลที่อยู่ในรูปของน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลปาล์มด้วย ส่วนในทางการค้านั้น ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำตาลจากข้าวโพดมากที่สุด ซึ่งก็จะใช้เป็นสารให้ความหวานในเครื่องดื่มต่างๆแทนน้ำตาลทราย นั่นก็เพราะว่าน้ำตาลชนิดนี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.2 เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามน้ำตาลชนิดนี้ก็อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เหมือนกัน เพียงแต่จะน้อยกว่าน้ำตาลซูโครส ทั้งยังมีดัชนีน้ำตาลที่ต่ำแค่ประมาณ 20 จึงนิยมนำมาใช้เป็นสารเพิ่มความหวานในอาหารของผู้ที่ป่วยเบาหวานนั่นเอง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าฟรักโทสจะสามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานได้ ก็ต้องระมัดระวังในปริมาณที่ทานด้วย เพราะหากได้รับมากเกินไปก็จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลรวม ไตรกลีเซอไรด์และแอลดีแอลคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลแต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถทานน้ำตาลฟรักโทสได้แต่ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะ ส่วนผู้ที่มีค่าไขมันผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยงการทานฟรักโทสในปริมาณมากอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการทานน้ำตาลฟรักโทส ก็แนะนำให้ทานจากที่มีอยู่ในธรรมชาติ คือในผักและผลไม้จะดีที่สุด

และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือข้อเสียของฟรักโทสนั่นเอง โดยน้ำตาลฟรักโทส หากทานในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะ จนทำให้รู้สึกแน่นท้อง ปวดท้องได้ ดังนั้นจึงต้องจำกัดอาหารที่มีฟรักโทสในปริมาณที่พอเหมาะเช่นกัน หรือควรเลือกทานอาหารที่มีฟรักโทสน้อยๆ เช่น บลูเบอร์รี่ ถั่วแขก แครอท กล้วยและอะโวคาโด เป็นต้น

ปริมาณฟรักโทสในอาหารทั่วไป
ชนิดอาหาร ปริมาณ ฟรักโทส (กรัม) คาร์โบไฮเดรต (กรัม)
น้ำอัดลม (ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป) 325 มล. 22 40.0*
ผลไม้
แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) 1 ผลกลาง 8.1 19.1
กล้วยหอม 1 ผลกลาง 5.7 27.0
สตรอว์เบอร์รี่ (หั่นสไลซ์) ½ ถ้วยตวง 4.2 12.7
แคนตาลูป (หั่น) 1 ถ้วยตวง 3.0 13.1
พีช (สด) 1 ผลกลาง 1.5 9.3
สับปะรด (ชนิดบรรจุกระป๋องในน้ำเชื่อม) 1 ผลกลาง 8.1 19.5
องุ่น (แดง/เขียว) ½ ถ้วยตวง 6.3 13.9
น้ำส้มคั้น (เข้มข้น) 120 มล. 3.2 13.4
ผัก
มะเขือเทศสด 1 ผลกลาง 1.7 4.8
หน่อไม้ฝรั่ง (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.7 3.7
มันฝรั่งอบบด ½ ถ้วยตวง 0.7 29.1
มันฝรั่งอบ 1 ผลกลาง 0.6 36.6
บรอกโคลี (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.6 5.6
พริกหวานสีเขียว (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.5 2.3
ข้าวโพดสีเหลือง (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.4 20.6

[adinserter name=”เบาหวาน”]

ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป ( High Fructose Corn Syrup )

เป็นสารให้ความหวานชนิดที่นิยมใช้กับเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่สุด โดยสารให้ความหวานชนิดนี้จะประกอบไปด้วยฟรักโทส 50% และกลูโคส 45% ซึ่งสารเพิ่มความหวานชนิดนี้ก็ทำมาจากข้าวโพดนั่นเอง แต่ได้มีการเติมเอนไซม์ลงไปในขั้นตอนที่เป็นน้ำเชื่อมด้วย นั่นก็เพื่อเปลี่ยนกลูโคสครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นฟรักโทสที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาล แล้วจึงนำมาใช้ใส่ในน้ำอัดลมเพื่อเพิ่มความหวานลงไป นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล HFCS หรือน้ำตาลซูโครส และน้ำผึ้งก็ล้วนมีส่วนผสมของน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคสใกล้เคียงกันทั้งสิ้น เพียงแต่การดูดซึมของน้ำตาลแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน และที่สำคัญเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและกระบวนการเผาผลาญแล้ว ร่างกายของคนเราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นน้ำตาลชนิดไหนนั่นเอง

และเนื่องจากน้ำตาลทั้ง 3 ชนิดนี้เมื่อทานเข้าไปจะได้น้ำตาลที่เป็นชนิดเดียวกันเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกกินน้ำตาลชนิดไหนก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะฮอร์โมนควบคุมความอิ่มจะทำงานเหมือนกัน แต่น้ำตาล HFCS ก็มีข้อดีอยู่บ้างคือสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น โดยสามารถคงความชื้นได้ดีและไม่ทำให้อาหารแห้งอีกด้วย จึงนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุด
ทั้งนี้ก็สรุปได้ว่าน้ำตาล HFCS ก็เหมือนกับน้ำตาลทั่วไปที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ดังนั้นหากทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ก็ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นและไม่ทำให้อ้วนแน่นอน

น้ำผึ้ง

แม้ว่าน้ำผึ้งจะเป็นสารให้ความหวานที่ได้จากธรรมชาติ แต่ก็มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคสอยูในส่วนประกอบมากถึง 70% รวมถึงมีซูโครสอยู่ 10% ด้วย และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน หรือหากต้องการให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอก็จะต้องทานน้ำผึ้งในปริมาณมากนั่นเอง เช่น ต้องการธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะต้องทานน้ำผึ้ง 11 ถ้วยตวงหรือต้องการแคลเซียมเท่ากับนมขาดไขมัน 1 ถ้วยตวง จะต้องทานน้ำผึ้งทั้งหมด 19 ถ้วยตวง และด้วยปริมาณดังกล่าวนั้นก็อาจทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนเป็นผลเสียได้
อย่างไรก็ตาม ฟรักโทสเป็นน้ำตาลที่ไม่มีผลต่อการกระตุ้นการหลั่งอินซูนลิน จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเหมือนกับกลูโคสและไม่ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีดัชนีน้ำตาลต่ำแค่ 20 เท่านั้น ซึ่งต่างจากกลูโคสที่มีดัชนีน้ำตาลสูงถึง 100 แต่เนื่องจากในน้ำผึ้งนั้นมีน้ำตาลทั้งสองชนิดรวมกัน จึงพบว่าน้ำผึ้งมีดัชนีน้ำตาลสูงถึง 87 เลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นระดับที่สูงกว่าธัญพืชและผักผลไม้หลายชนิด ดังนั้นการทานน้ำผึ้งจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเช่นกัน

ส่วนการดูดซึมของน้ำตาลฟรักโทสจะสามารถดูดซึมได้ช้ากว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ และต้องผ่านเข้าสู่ตับ ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหลั่งอินซูลินออกมาอย่างช้าๆ จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและทานอาหารในมื้อต่อไปได้น้อยลง อีกทั้งเมื่อทานฟรักโทสอย่างเดียวหรือทานร่วมกับอาหารก็จะกระตุ้นการหลั่งอินซูนลินช้ากว่าน้ำตาลอีกด้วย
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการทานฟรักโทสในรูปของน้ำผึ้งนั้นไม่สามารถแทนการทานฟรักโทสรูปของผักผลไม้ได้ เพราะฟรักโทสในน้ำผึ้งรวมอยู่กับกลูโคสครึ่งต่อครึ่ง จึงทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งยังไม่มีใยอาหารที่จะช่วยชะลอการดูดซึมได้ ในขณะที่ผักผลไม้นั้น อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เส้นใยอาหารและสาระสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย จึงทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมช้าลงและยังมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้น้ำผึ้งก็มีข้อเสียอีกด้วย คือจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะและมีอาการปวดท้องได้ ทั้งยังให้พลังงานสูง โดยน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะจะให้พลังงานมากถึง 64 แคลอรี จึงมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวานได้

10 วิธีลดน้ำตามและความหวาน

และเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลเบาหวาน ควรลดปริมาณน้ำตาลและความหวานลงบ้าง โดยมี 10 วิธีในการลดน้ำตาลและความหวานให้ได้ผลดังนี้

1.หยุดเติมน้ำตาล เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาลลงในเครื่องดื่มหรืออาหารต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้ในแต่ละวันได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไปจึงเป็นผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นการลดปริมาณน้ำตาลลง ด้วยการหยุดเติมน้ำตาลลงในเครื่องดื่มหรืออาหารต่างๆ ก็จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละวันได้ดี หรือหากสามารถลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวานลงได้ก็จะดีมาก อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ชอบรสชาติหวานก็อาจใช้น้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานที่มีแคลอรีต่ำใส่ลงไปแทนด็ได้เหมือนกัน

2.หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะลูกอม ขนมหวาน ช็อกโกแลตหรือขนมจุบจิบต่างๆ แม้ว่าจะมีคำโฆษณาว่าใส่น้ำตาลเพื่อสุขภาพก็ตาม เพราะไม่ว่าน้ำตาลชนิดใดก็ล้วนให้พลังงานด้วยกันทั้งสิ้น

3.เลือกทานผลไม้เป็นหลักแทนการทานขนมหวาน เพราะในผลไม้นั้นนอกจากจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังมีเส้นใยอาหารและวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายหลายชนิดอีกด้วย ซึ่งก็จะช่วยต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี พร้อมกับชะลอการดูดซึมน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน แต่ทั้งนี้การทานผลไม้ก็ควรจำกัดปริมาณให้มีความเหมาะสมที่สุด เพราะในผลไม้มีฟรักโทสที่หากได้รับมากเกินก็ส่งผลเสียเช่นกัน

4.พยายามอย่าดื่มน้ำผลไม้มากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ และเนื่องจากในน้ำผลไม้ไม่มีใยอาหารเช่นเดียวกันในผลไม้สด จึงไม่มีตัวช่วยในการชะลอการดูดซึมนั่นเอง  [adinserter name=”เบาหวาน”]

5.ลดปริมาณอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแปรรูปให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้ทำมาจากแป้งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลและเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วพอๆ กับการทานกลูโคสเลยทีเดียว แถมคาร์โบไฮเดรตที่เหลือเป็นส่วนเกินก็จะถูกเก็บไว้เป็นไขมันในร่างกาย ทำให้มีปัญหาโรคอ้วนและไขมันในเลือดสูงตามมาอีกด้วย ดังนั้นควรทานในปริมาณที่น้อยลงหน่อยจะดีกว่า

6.ระมัดระวังในการเลือกของว่าง โดยเฉพาะของว่างไร้ไขมัน เพราะถึงแม้ว่าจะปราศจากไขมันแต่ในของว่างเหล่านั้นก็อาจมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นตัวการหนึ่งในการทำร้ายสุขภาพอยู่ดี เพราะฉะนั้นก่อนทานก็ควรดูให้ดีก่อนเสมอฃ

7.อ่านฉลากโภชนาการก่อนทานทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องควบคุมการทานน้ำตาลและพลังงานในแต่ละวันมากเป็นพิเศษ แต่หากแพทย์ห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ผู้ป่วยทานน้ำตาลก็อาจใช้สารเพิ่มความหวานที่มีพลังงานต่ำมากใส่ลงไปแทนก็ได้ ซึ่งสารเพิ่มความหวานบางชนิดก็อาจมีความหวานมากกว่าน้ำตาลหลายเท่าเลยทีเดียว หรือในกรณีที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่ม ก็ควรเลือกที่ระบุไว้ว่าปราศจากน้ำตาลนั่นเอง

8.ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้สารให้ความหวานอื่นๆ แทนน้ำตาลได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ใช้มากเกินไปเช่นกัน เพราะสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากของหวานและคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ทำให้อดใจไม่ไหวจนเผลอทานอาหารอื่นๆที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูงในที่สุด นอกจากนี้การใช้สารให้ความหวานในปริมาณมาก ก็อาจส่งผลต่อการลดระดับโครเมียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำหน้าที่ในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

9.คำนวณปริมาณน้ำตาลที่ทานอยู่เสมอ เพื่อระมัดระวังไม่ให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนเป็นผลเสียได้นั่นเอง และควรคำควณรวมกับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับในแต่ละวันด้วย

การใช้น้ำตาลเทียมอาจช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการชดเชยความหวานที่ขาดไปได้และมีความสุขกับการทานอาหารที่มีพลังงานต่ำกว่ามากขึ้น แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำตาลเทียมบ่อยเกินไป และอย่าเพิ่มปริมาณอาหารชนิดนั้นเพราะรู้ว่าอาหารอาจไม่มีพลังงานจากน้ำตาลแล้ว เพราะจริงๆ แล้วในอาหารแต่ละชนิดยังจะมีพลังงานที่ได้จากสารอาหารชนิดอื่นๆ อยู่ด้วยนั่นเอง

น้ำตาลเทียมและเบาหวาน

น้ำตาลเทียมทุกวันนี้มีมากมายหลายชนิดหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มีทั้งที่ผ่านการอนุมัติแล้วและยังไม่ได้รับการอนุมัติ ยกตัวอย่างเช่น แซ็กคาริน แอสปาร์แทม แอดวานแทม สตีวีออลไกลโคไซด์ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ซูคราโลส  นีโอแทม และสารสกัดจากหญ้าหวาน เป็นต้น ซึ่งคำแนะนำที่ให้ผู้ป่วยเบาหวานใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลทั่วไปนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยอดีต ด้วยความคิดที่ว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาดนนั่นเอง ส่วนสารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมที่ได้รับการอนุมัตินั้น ก็ได้รับการรับรองแล้วว่าสามารถทานในผู้ป่วยเบาหวานและหญิงตั้งครรภ์ได้ เพียงทานในปริมาณที่กำหนด ก็ไม่เป็นอันตรายแน่นอน

ระดับความปลอดภัย Acceptable Daily Intake หรือ ADI คือ ปริมาณสูงสุดที่จะบริโภคได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย หรือไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายตลอดชีวิต

ตารางเปรียบเทียบระดับความปลอดภัย (ADI) 
ของสารให้ความหวานชนิดที่ไม่ให้พลังงานงาน
ผลิตภัณฑ์ ระดับ ADI  มก./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน ปริมาณเฉลี่ย (มก.)
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง ชนิดผง 1 ซอง
แอสปาร์แทม 50 200 35
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม 15 40 50
ซูคราโลส 5 70 5
แซ็กคาริน 5 14 40

[adinserter name=”เบาหวาน”]

ความปลอดภัยจากการใช้น้ำตาลเทียมในหญิงตั้งครรภ์

จากการวิจัยพบว่าสารให้ความหวานไม่มีผลเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และหญิงตั้งครรภ์แต่อย่างใด เช่น สารแอสปาร์แทม สามารถทานได้ในระดับสามเท่าของระดับความปลอดภัยโดยไม่มีผลใดๆ และสารแซ็กคาริน พบว่าสามารถผ่านรกเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้ แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์เช่นกัน แต่ทั้งนี้ในประเทศแคนาดา ประเทศในยุโรปและประเทศไทย ไม่อนุญาติให้ใช้แซ็กคารินในหญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด

แอสปาร์แทม

แอสปาร์แทม มีชื่อทางการค้าแบบเต็ม ๆ ว่า “ NUTRASWEET / EQUAL / SUGAR TWIN ” โดยสารนี้สำหรับคนไทยเรานั้นก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่มหรือขนมหวานหลายประเภท สารนี้เป็นโปรตีนที่สามารถเกิดได้เองที่บริเวณของระบบทางเดินอาหารคนเรา เป็นสิ่งที่มีรสชาติหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดาทั่วไปหลายเท่า (หวานมากกว่าถึง 200 เท่า) หากคิดเรื่องของแคลอรีสารตัวนี้หากทานเข้าไปหนึ่งกรัมคุณจะได้รับแคลอรีจำนวน 4 แคลอรีเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่านั่นเป้นอะไรที่น้อยมากน้อยกว่าการทานน้ำตาลทั่วไปอยู่แล้ว (ปรียบเทียบโดยวัดจากปริมาณที่เท่ากันเท่านั้น)

ปริมาณเฉลี่ยของแอสปาร์แทมในอาหารทั่วไปมีดังนี้
ชนิดอาหาร ปริมาณ  แอสปาร์แทม (มิลลิกรัม)
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (325 มล.) 225
โยเกิร์ต 8 ออนซ์ (240 กรัม) 80
เจลาติน 4 ออนซ์ (120 กรัม) 80
ซีเรียล ½ ถ้วยตวง 32
ของหวานแช่แข็ง 1 หน่ายบริโภค 47
น้ำตาลเทียม 1 ซอง 37

แอสปาร์แทม เป็นสารที่ได้รับการยอมรับจากทางด้านองค์การอาหารและยาของประเทศอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าสามารถนำมาใช้ทดแทนการทานน้ำตาลได้ เนื่องจาก เป็นสิ่งที่สามารถให้รสหวานได้เช่นเดียวกัน สำหรับใครที่กำลังอยากที่จะนำเอาแอสปาร์แทมมาใช้อยู่ละก็เราอยากจะบอกว่าจรงนี้เลยว่าสิ่งนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดเล็กน้อย นั่นคือ

1.จะต้องไม่ใช้ในการประกอบอาหารที่ต้องตั้งบนกระทะหรือเตาไฟแบบร้อนๆ เป็นอันขาด เพราะ สารตัวนี้มีความสามารถอย่างหนึ่งที่อันตรายหากเจอความร้อน คือ กรดอะมิโนที่อยู่ภายในสามารถที่จะรวมตัวเข้าหากันได้ กรดตัวนี้คือหน่วยย่อยอย่างหนึ่งของโปรตีนสองประเภท ( กรดแอสปาร์ติกกับฟีนิลอะลานีน ) เมื่อใดก็ตามที่สารตัวนี้เกิดได้รับความร้อนที่มีลักษณะสูงมากและรับความร้อนเป็นเวลานานเมื่อนั้นก็จะทำให้เกิดการแตกตัวและเมื่อใดที่การแตกตัว เกิดเมื่อนั้นความหวานที่เคยมีก็จะค่อย ๆ ลดลงและกลายเป็นมีรสชาติแบบเฝื่อนแทน ดังนั้นหากคิดที่จะนำเอาสารนี้ไปใช้จริงๆ ควรใช้เมื่ออาหารได้ถูกปรุงเสร็จแล้วจะดีกว่าและควรปรุงเมื่อได้ทำการยกอาหารลงมาจากกระทะหรือเตาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น เติมทีหลังไม่ได้เสียหายอะไร เติมทีหลังรสหวานนั่นจะยังคงอยู่ จริง ๆ แล้วสารตัวนี้สามารถที่จะถูกละลายได้เป็นอย่างดีหากอยู่ในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ( โดยประมาณ ) สามารถละลายในกรดหรือสิ่งที่รสชาติเปรี้ยวได้ดีมากที่สุด

2.โรคหนึ่งที่หากใครป่วยอยู่ต้องห้ามทานสารตัวนี้เป็นอันขาด คือ โรคฟีนิคคีโทนยูเรีย ( PKU ) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเรื่องของพันธุกรรม ใครที่ป่วยเป็นโรคนี้สาเหตุเกิดจากการขาดตัวเอนไซม์ที่มีความสามารถในการเข้าไปสลายกรดแอมิโนที่จำเป็นอย่างฟีนิลอะลานีนโดยกรดตัวนี้เป็นกรดที่มีอยู่ในแอสปาร์แทมอยู่แล้ว สำหรับเป็นโรคนี้ค่อนข้างพบได้น้อยมากในโลก ( พบได้ประมาณหนึ่งใน 15,000 จนถึง 1,000,000 คน ) และยังขึ้นอยู่กับเรื่องของเชื้อชาติร่วมด้วย ส่วนใหญ่ในเด็กแรกเกิดจึงมักที่จะได้รับการตรวจหาโรคนี้แล้ว

สารอะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ( Ace-K )

สารตัวนี้เป็นสารที่มีความหวานสูงมาก หวานมากกว่าน้ำตาลถึงสองร้อยเท่า มีระดับของ ADI อยู่ที่ 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม ( ต่อหนึ่งวัน ) หากใครที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 60 กิโลกรัมสามารถทานสารตัวนี้ได้เพียงแค่ 900 กรัมเท่านั้นซึ่ง 900 กรัมนี้หากจะเทียบกับน้ำตาลก็เท่ากับทานน้ำตาลไปแล้ว 150 กรัม ( ประมาณ 36 ช้อนชาหรือดื่มน้ำอัดลม 4 กระป๋อง ) ตามปกติคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็มักจะทานน้ำตาลเทียมน้อยมาก เฉลี่ยจะอยู่ที่ 40 มิลลิกรัมต่อการดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง ( แบบขนาด 325 ซีซี ) และประเภทเติมเพื่อใช้แทนน้ำตาลจะอยู่ที่ 50 มิลลิกรัมต่อซอง สารตัวนี้จะค่อนข้างทนความร้อนได้ดีมากกว่าแอสปาร์แทมมาก เมื่อทนได้ดีจึงไม่เกิดการสูญเสียรสชาติความหวานแต่อย่างใดทำให้ในภาคของอุตสาหกรรมนิยมใช้สารตัวนี้มากกว่าสารแอสปาร์แทมไปโดยปริยาย    [adinserter name=”เบาหวาน”]

แซ็กคาริน

สารหนึ่งที่ค่อนข้างมีความน่าสนใจมากและเป็นหนึ่งในประเภทของน้ำตาลเทียม นั่นคือ สารแซ็กคาริน เป็นน้ำตาลเทียมตัวแรกที่ได้เป็นที่ยอมรับค่อนข้างมากในอดีตและยังได้รับอนุญาตให้ออกมาวางขายตามท้องตลาดทั่วไปได้อีกด้วยแต่ในช่วงเวลาต่อมาก็ต้องถูกระงับการขายไป เนื่องจาก มีงานวิจัยพบว่าสารตัวนี้หากทานไปแล้วสามารถที่จะก่อให้เกิดมะเร็งที่บริเวณของกระเพาะอาหารได้ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่อันตรายมากจึงทำให้ต้องยุติการขายลง แต่เมื่อไม่นาน มานี้กลับมีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง ๆ แล้วสารตัวนี้ไม่ได้เป็นสารที่ไม่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้แต่อย่างใดทำให้สารตัวนี้กลับมาได้รับอนุญาตให้วางขายได้ใหม่อีกรอบที่สหรัฐอเมริกา สารตัวนี้เป็นสารที่ให้ความหวานสูงเรียกว่า สูงกว่าน้ำตาลทั่วไปถึง 200-700 เท่าเลยก็ว่าได้และที่สำคัญไม่ได้เป็นตัวที่ให้พลังงาน สามารถนำไปใช้ในน้ำดื่มหรือน้ำผลไม้ได้สบาย ๆ สำหรับในสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีการกำหนดไว้แต่อย่างใดว่าจะต้องมีระดับความปลอดภัยเท่าไรของสารนี้ เนื่องจากสารแซ็กคารินไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสารเจือปนที่อยู่ภายในอาหารแบบ Food Additive แต่ทางองค์การอนามัยโลกก็ได้ออกมาให้คำแนะนำไว้ว่าระดับความปลอดภัยที่ควรมีอยู่ที่ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกายหนึ่งกิโลกรัม

ส่วนในประเทศไทยของเรานั้นทางด้านกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมากำหนดไว้ว่าสารตัวนี้เป็นวัตถุที่สามารถให้ความหวานแทนการใช้น้ำตาล ( อยู่ภายในเครื่องดื่มประเภทเครื่องดื่มไดเอต ) ดังนั้นสำหรับบุคคลที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน โรคอ้วนควรต้องมีการกำหนดปริมาณของสารตัวนี้และไม่แนะนำให้นำสารนี้ไปใช้ในอาหารทั่วไป นอกจากนี้ยังไม่แนะนำให้เด็กหรือหญิงตั้งครรภ์ทานสารตัวนี้

สารซูคราโลส

สารนี้จริง ๆ แล้วชื่อทางการค้าก็คือ สเปลนดา ( D-et ) เป็นน้ำตาลเทียมประเภทหนึ่งที่เพิ่งถูกนำมาจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสารที่เกิดการจากผลิตน้ำตาลโดยการอาศัยวิธีเปลี่ยนโครงสร้างของน้ำตาลแทน คือ เลือกนำเอาคลอรีนจำนวน 3 โมเลกุลมาใช้ทดแทนส่วนของไฮดอกซิลที่เดิมอยู่ในโครงสร้างของน้ำตาล นั่นจึงทำให้หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วคอลรีนนั้นสามารถส่งผลเป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเราหรือไม่? ทางด้านของนักวิจัยเองก็ได้ออกมาให้เหตุผลในส่วนนี้ว่า คลอรีนมีแบบที่สามารถพบในธรรมชาติได้โดยส่วนใหญ่คลอรีนประเภทนี้จะอยู่ในพวกผัก ผลไม้ ถั่ว เกลือ ฯลฯ หากมีการเติมน้ำประปาในปริมาณที่เหมาะสมต่อการบริโภคก็เชื่อว่าจะยังคงมีความปลอดภัยอยู่

ส่วนของสเปนดาเป็นส่วนที่เกิดจากการผสมระหว่างมอสโตเดกซ์จรินรวมกับซูคราโลส สามารถให้พลังงาน 12 แคลอรีต่อ 1 ช้อนโต้ะ ซูคราโลสเป็นสิ่งที่สามารถให้รสชาติหวานได้สูงมากกว่าน้ำตาลถึง 600 เท่า สามารถที่จะทนต่อความร้อนได้เป็นอย่างดีจึงทำให้มักได้รับความนิยมในการนำไปใช้ในการทำเบเกอรี่ เป็นสารที่บอกเลยว่าไม่มีพลังงานแถมยังไม่มีผลต่อระดับของอินซูลินอีกด้วย ในปัจจุบันสารซูคราโลสได้รับอนุญาตให้สามารถนำไปใช้ในอาหารได้เพียง 15 ประเภทเท่านั้น

คำถามยอดฮิตในใจของหลายๆ คน คือ ทานซูคราโลสแล้วปลอดภัยแน่หรือ? ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยหลายชิ้นได้ออกมาแสดงให้เห็นว่าสารสเปนดานั้นส่งผลอันตรายต่ออวัยวะของสัตว์บางส่วนแต่ในปัจจุบันนี้ก็มีข้อมูลทางด้านวิชาการมากมายนับกว่าร้อยชิ้นที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าสารสเปนดาไม่ได้ทำให้เกิดพิษสะสมภายในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ไม่สามารถส่งผลต่อส่วนของระบบประสาทและระบบการสืบพันธุ์ของคนเราได้ (บวกกับทางองค์การอาหารและยาของทางสหรัฐอเมริกาก็ได้สรุปออกมาในลักษณะเชิงเดียวกัน) ทำให้เราจึงสามารถพบเห็นได้ว่าซูคราโลสมีขายและนำมาใช้มากมายในหลายประเทศ (อนุมัติและใช้มากกว่า 80 ประเทศด้วยซ้ำไป) แถมยังนำมาใช้ในพวกอาหารต่าง ๆมากกว่า 400 ชนิดอีกด้วย

สรุปคือทานแล้วไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ไม่ก่อให้เกิดพิษแบบสะสม ไม่ทำให้เกิดปลกระทบต่อส่วนของยีน ไม่ได้เป็นสารที่สามารถก่อมะเร็ง ไม่มีผลต่อระดับของอินซูลินในร่างกายและที่สำคัญยังไม่มีผลต่อตัวทารกหากคุณแม่จะทานเข้าไป เพราะ สารนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปในบริเวณน้ำนม

นีโอแทมและสารแอดวานแทม

สองสารนี้เป็นสารให้ความหวานที่สามารถใช้แทนน้ำตาลได้เช่นกัน ได้รับการอนุญาตจากทางองค์การอาหารและยาของทางประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสารนีโอแทมจะเป็นสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกันกับสารแอสปาร์แทมมาก มีความหวานอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 13,000 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำตาล ไม่นิยมใช้ในพวกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อสัตว์ สามารถที่จะทนความร้อนได้ค่อนข้างมาก นิยมนำมาใช้ในขนมเบเกอรี่เป็นหลัก ส่วนสารแอดวานแทมเกิดจากสารสองสารคือสารแอสปาร์แทมกับสารแวนิลลินซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวานสูงเช่นกัน ( อยู่ที่ 20,000 เท่าของน้ำตาล ) มีโครงสร้างที่คล้ายกันกับสารแอสปาร์แทม หากจะนำไปใช้ควรใช้ในปริมาณที่น้อย ๆ เข้าไว้จะดีกว่า  [adinserter name=”เบาหวาน”]

สติวิออลไกลโคไซด์

สาร “ สติวิออลไกลโคไซด์ ” เป็นสารตามธรรมชาติประเภทหนึ่งที่สามารถพบได้ตามสตีเวียหรือที่รู้จักกันดีในชื่อของหญ้าหวาน หญ้าหวานนั้นเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่เรียกว่าอยู่ในตระกูลเดียวกับกับพวกทานตะวัน มีชื่อแบบเต็มว่า “ STEVIA REBAUDIANNABERTONI ” เป็นพืชที่สามารถพบได้มากในโซนอเมริกากลางและใต้ ในอดีตชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศปาราวัยและประเทศบราซิลมักจะเลือกใช้หญ้าหวานในการนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานนานกว่าหลายร้อยปีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในช่วงปี 1931 ได้มีนักเคมีสัญญาติฝรั่งเศสได้ทดลองทำการสกัดเอาสารที่มีชื่อว่า “ สารสตีวีโอไซด์ ” ออกมาจากส่วนของใบหญ้าหวานเป็นครั้งแรกและพวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จซึ่งตอนนั้นเมื่อทำสำเร็จกลับพบว่าสารตัวนี้เป็นสารที่ให้ความหวานได้สูงกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่าเลยทีเดียว นอกจากจะได้สารตัวนี้แล้วยังโชคดีพบสารให้วามหวานแบบอื่นอีกถึง 8 ประเภทด้วยกัน แต่ที่พบในปริมาณที่มากที่สุด นั่นคือ REBAUDIOSIDE A ( REB A ) ตัวนี้สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่าแถมยังไม่เป็นตัวที่เข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย เมื่อปี 1980 มีการวิจัยพบว่าหญ้าหวานสามารถก่อให้เกิดภาวะการเป็นหมันและอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์เกิดขึ้นได้ แต่ต่อมาในปี 2008 ทางบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง TRUVIA และ PEREVIA ได้ทำการยื่นผลการวิจัยให้กับทางด้านองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาและหน่วยงาน  JOINT FAO/JECFA เกี่ยวกับประเด็นนี้เพื่อที่จะทำการพิสูจน์ว่า REB A นั้นสามารถที่จะทานได้ ปลอดภัยจริง ไม่ได้อันตรายอย่างที่ก่อนหน้านี้ค้นพบ ต่อมาในปี 2009 ก็ได้มีงานวิจัยเพิ่มเติมว่าสารสกัดที่ได้จากหญ้าหวานไม่ได้มีพิษ ไม่ให้พลังงานและไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้พลัคที่อยู่ในส่วนของปากเกิดการเจริญเติบโตมากขึ้นและที่สำคัญทานแล้วสามารถต้านสารก่อมะเร็ง ควบคุมน้ำหนัก ลดระดับความดันเลือดได้ดีเยี่ยมอีกด้วย

น้ำตาลแอลกอฮอล์

ตัวนี้เป็นอีกหนึ่งตัวที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ตระกูลพวกเบอร์รี่ยิ่งพบได้มาก น้ำตาลตัวนี้ชื่อที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในชื่อ “ ซอร์บิทอล / แมนนิทอล / ไซลิทอล ” เป็นน้ำตาลที่มีผลต่อตัวระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลซูโครสพอสมควร มีพลังงานที่ค่อนข้างต่ำโดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 2 แคลอรีต่อกรัม หากทานมากถึง 50 กรัมอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียตามมาได้ ( แต่สำหรับบางคนอาจท้องเสียได้ตั้งแต่ทานเข้าไป 20 กรัมก็ได้เช่นกันแล้วแต่สุขภาพของแต่ละบุคคล ) หากใครที่เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการทานหมากฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจโดยเฉพาะหมากฝรั่งประเภทซูการ์ฟรี ( มีน้ำตาลประเภทนี้อยู่แทน ) หากทานมากไปท้องเสียได้เช่นกัน บางคนอาจน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากเป็นผลจากการถ่ายมากเกินไป สำหรับหมากฝรั่งแบบนี้หากทานเข้าไป 1 ชิ้นจะให้พลังงานอยู่ที่ 5 แคลอรี ภายในมีปริมาณของซอร์บิทอลประมาณ 1.25 กรัม หากทานปริมาณ 5 ถึง 20 กรัมอาจส่งผลทำให้ท้องอืดเหมือนกัน ดังนั้นหากคิดจะเคี้ยวหมากฝรั่งอย่าทานเกินที่ฉลากกำหนดไว้จะดีที่สุด

สารให้ความหวานที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในอาหาร
ชนิด ความหวาน X เท่าของน้ำตาล ระดับ ADI (มก./กก./วัน)
Acesulfame K
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม
200 15
Advantame
แอดวานแทม
20, 000 32.8
Aspartame
แอสปาร์แทม
200 50
Monk Fruit
หล่อฮังก้วย
100-250 ปลอดภัยทุกปริมาณ
Neotame
นีโอแทม
7,000-13,000 0.3
Saccharin
แซ็กคาริน
200-700 15
Stevia Reb
สตีเวีย
 200-400 4
Sucralose
ซูคราโลส
600  5

ดังนั้นเราขอสรุปว่า น้ำตาลเทียมนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่เราจะไฟเขียวให้คุณทานเพื่อช่วยทำให้คุณทานอาหารอะไรตามใจปากได้มากยิ่งขึ้น เพียงเพราะคุณคิดว่าทานแล้วจะไม่ได้ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่ม ไม่ได้ทำให้น้ำหนักของร่างกายเพิ่ม คุณควรทานแค่พอดีควรปรับเรื่องของการทานหวานควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน หรือรอมฎอน

0
เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน
เดือนเราะมะฏอน คือทุกคนจะต้องทำการงดสิ่งที่เป็นข้อห้าม เช่น การงดรับประทานอาหารและการไม่ดื่มสิ่งใดในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า
เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน
ผลไม้อบแห้ง มีปริมาณน้ำตาลสูง แคลอรีสูงอุดมไปด้วยใยอาหารหรือไฟเบอร์ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและไม่มีไขมันสะสม

เดือนเราะมะฎอน ( รอมฎอน )

สำหรับในช่วง เดือนเราะมะฏอน นั้นเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งว่าเดือนรอมฎอน ที่มีความสำคัญมากต่อชาวมุสลิมทั่วโลก เป็นเดือนที่นับว่าเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่วงที่ตรงกับเดือนเก้าตามจันทรคติ (ในรูปแบบของปฏิทินอิสลาม) ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่กินระยะเวลายาวนานเกือบถึงหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงนี้ชาวมุสลิมจะมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในทิศทางเดียวกันนั่นคือทุกคนจะต้องทำการงดสิ่งที่เป็นข้อห้ามตามที่ทางศาสนาอิสลามได้บัญญัติเอาไว้  อาทิเช่น การงดรับประทานอาหารและการไม่ดื่มสิ่งใดในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า เป็นต้น นั่นจึงยิ่งทำให้ในช่วงเดือนนี้กลายเป็นช่วงเวลาที่อาหารเช้ากลับต้องถูกปรับตัวให้เร็วมากขึ้นพอสมควร เพราะ อาหารเช้าถูกจำกัดให้ต้องทานในช่วงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าเท่านั้นและจะสามารถทานอีกครั้งได้ก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว สำหรับผู้ป่วยเบาหวานก็ควรมีการเตรียมตัวเช่นกันก่อนการถือศีลอด หรือเราะมะฎอนที่เรารู้จักกันนั่นเอง

การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ( รอมฎอน ) มีผลต่อผู้เป็นเบาหวานอย่างไร?

เราะมะฎอนจริง ๆ แล้วการถือศีลอดไม่ได้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวของสุขภาพคนเราแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอนกลับกลายเป็นสิ่งที่ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจด้วยซ้ำไปแต่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวานแล้วละก็อาจต้องอาศัยความระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ในช่วงของการถือศีลอดนั้นสามารถเกิดภาวะสำคัญ ๆ ได้หลายอย่าง เช่น

ภาวะน้ำตาลสูง เป็นภาวะที่อาจเกิดจากการที่ตัวบุคคลที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งต้องผ่านการฉีดอินซูลินคิดที่จะหยุดการฉีดอินซูลินแบบทันทีทันใดแต่ในความเป็นจริงควรที่จะต้องทำการฉีดอินซูลินต่อไปเรื่อย ๆ ดังเดิมจะดีกว่า และยิ่งหากใครที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 แล้วละก็ยิ่งควรต้องฉีดอยู่ที่สุด เนื่องจาก กลุ่มนี้ส่วนของตับจะค่อย ๆ มีการปล่อยกลูโคสออกมาในระหว่างที่กำลังอดอาหารและที่สำคัญอินซูลินได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของตอนหลังพระอาทิตย์ตกดิน (ช่วงที่สามารถทานอาหารได้แล้ว)
ภาวะขาดน้ำ เมื่อมีการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอนเกิดขึ้นเมื่อนั้นก็ย่อมต้องมีการละเว้นเรื่องของการดื่มน้ำตามมาด้วยอยู่แล้ว เป็นของควบคู่กัน ยิ่งหากวันใดที่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดนั่นย่อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีกและหากใครที่ต้องออกแรงมาก ๆ ในช่วงระหว่างวันจะยิ่งทำให้เกิดการเสียเหงื่อได้ง่าย เมื่อเกิดการเสียเหงื่อระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือดก็จะค่อย ๆ สูงตาม เมื่อเกิดการขาดน้ำทีนี้สิ่งที่จะตามมาก็คือระดับความดันจะค่อย ๆ ลดต่ำลง เมื่อลดมากเข้านั่นย่อมทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้มากนั่นเอง เช่น การเกิดภาวะหมดสติ อาจเกิดการหมดเรี่ยงแรง อาจเกิดการบาดเจ็บหรือเกิดการกระดูกหัก ฯลฯ
การเกิดลิ่มเลือด ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นจะค่อนข้างมีความเสี่ยงมากต่อการเกิดการแข็งตัวของเลือดกว่าคนปกติ ยิ่งหากเกิดลิ่มเลือดพร้อมกับเกิดภาวะขาดน้ำแล้วละก็นั่นจะยิ่งกลายเป็นอะไรที่เลวร้ายแบบสองเท่าไปเลย หากรุนแรงมากกว่านี้อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงอย่างเช่นการเกิดภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองเกิดการตีบตันได้
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงรายละเอียดบางส่วนที่เราได้ทำการคัดเลือกมาเสนอให้กับคุณเพราะเราคิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับคุณไม่มากก็น้อย อาจพอทำให้คุณเกิดความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างถูกต้อง
“จงระลึกไว้เสมอว่า…เรื่องของโรคเบาหวานอย่ามองข้ามหากคิดจะถือศีลอดแบบจริงจัง…อันตรายอยู่ใกล้ตัวทุกเมื่อ”

ประโยชน์ดี ๆ ที่คุณจะได้รับหากคุณทำการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน

สำหรับเรื่องของการอดอาหารเป็นสิ่งที่ค่อนข้างที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากพอสมควร กล่าวคือ เป็นสิ่งที่สามารถทำให้ระดับน้ำตาล ระดับคอเลสเตอรอลและระดับของความดันเลือดค่อย ๆ ลดลงได้ ทางแพทย์ซึ่งเป็นชาวมุสลิมหลายท่านได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าการที่ชาวมุสลิมทำการถือศีลอดช่วงเดือนเราะมะฎอนเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะกับบุคคลที่กำลังรักษาตัวจากโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เป็นอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งสารอินซูลิน มีระดับความรุนแรงของตัวโรคไม่สูงมากและยังเป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่งอีกทั้งยังเหมาะกับบุคคลที่มีลักษณะน้ำตัวมาก เป็นโรคอ้วน มีความดันโลหิตที่ค่อนข้างสูงได้อีกด้วย

ในปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าการอดอาหารจริง ๆ แล้วก็สามารถช่วยส่งเสริมให้ร่างกายยังคงมีสุขภาพที่ดีได้ ไม่ได้เป็นการทำร้ายหรือส่งผลในเชิงลบต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่สำหรับบุคคลใดที่อยู่ในภาวะของการป่วยด้วยโรคที่เป็นในระดับรุนแรงมาก อาทิเช่น โรคเบาหวานขั้นสุดท้าย โรคหัวใจ โรคนิ่วภายในใต ฯลฯ แบบนี้ควรละเว้นการถือศีลอดจะดีกว่า ไม่ควรดื้อฝืนทำต่อไป เพราะหากทำลงไปแล้วนั่นอาจนำพาคุณไปสู่การพบเจอกับอันตรายที่คุณอาจคาดไม่ถึงก็ได้ นอกจากนี้บุคคลที่ป่วยในระดับรุนแรงจะค่อนข้างมีสภาวะทางด้านจิตใจที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เนื่องจาก เมื่อร่างกายเกิดการเจ็บป่วยเกิดขึ้นเมื่อนั้นตัวผู้ป่วยเองก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของญาติและทีมแพทย์ตลอดเวลา จำเป็นต้องปฏิบัติตนตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและอาจทำให้เกิดความเครียดตามมาได้ เมื่อใดที่เกิดความเครียดเข้าครอบงำภายในจิตใจหากยิ่งเครียดมากก็จะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลสูงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการอดอาหารที่ดีคือการอดแบบไม่เครียด นอกจากนี้การถือศีลอดยังสามารถช่วยทำให้ตัวบุคคลที่เจ็บป่วยเกิดภาวะทางด้านจิตใจสงบลง มีสมาธิมากขึ้น ทำให้ได้พบเจอกับความสุขสงบอย่างแท้จริงภายในจิตใจ เป็นการช่วยขจัดพฤติกรรมหรือนิสัยไม่ดีของตนเองได้อย่างชัดเจน ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับการถือศีลอดมากเป็นพิเศษและเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าหากทำแล้วย่อมต้องดีต่อตนเองอย่างแน่นอน

อยากถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน แต่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะทำอย่างไรดี?

สำหรับชาวมุสลิมท่านใดที่กำลังป่วยเป็นโรคเบาหวานและมีความต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะถือศีลอดให้ได้ เราอยากจะแนะนำคุณว่าหากคุณมีความแน่วแน่ที่จะทำจริงคุณควรต้องมีการเตรียมตัวก่อนอย่างน้อยเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งหรือสองเดือนก่อนถึงวันจริง ต้องปรับเรื่องของยาประจำตัวและการออกกำลังกายให้เป็นไปในเชิงที่ปลอดภัยมากที่สุด ส่วนเรื่องของอาหารสำหรับคนที่อยู่ในช่วงระหว่างการถือศีลอดหรือเราเรียกว่า “เราะมะฎอน” ควรต้องเป็นอาหารที่ดูแล้วไม่ได้จะมีความแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพแต่อย่างใด ดูแล้วน่าทาน ต้องเป็นอาหารที่เน้นเรื่องของความสมดุลของสารอาหารเป็นหลัก และด้วยระยะเวลาของช่วงอดอาหารนั้นค่อนข้างที่จะยาวนานมากกว่า 10 ชั่วโมงการทานอาหารจึงควรเป็นการเลือกทานอาหารที่จะค่อย ๆ ปล่อยสิ่งสำคัญอย่าง “พลังงาน” ออกมาแบบทีละน้อยบวกกับต้องเป็นอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงมากอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ควรเลือกทานอาหารที่ภายในมีระดับระดับไกลซีมิกและระดับน้ำตาลที่ค่อนข้างต่ำ (แบบนี้ให้เลือกมาเป็นอาหารเช้าแทน) อาหารแบบนี้ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผลไม้ โยเกิร์ต ถั่ว ฯลฯ และที่สำคัญในช่วงนี้ควรยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ พยายามทานอาหารประเภทที่เป็นของมันของทอดให้น้อย ๆ ในช่วงอาหารรอบดึก 

ในเรื่องของปริมาณอาหารสำหรับคนที่ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องทานอะไรมากมายจนเกินเหตุไม่ใช่เห็นว่าตนเองอดอาหารมาทั้งวันแล้วพอถึงช่วงเวลาของการทานอาหารก็ทานเข้าไปเยอะ ๆ ตุนอาหารไว้ในกระเพาะมาก ๆ เข้าไว้ก่อน คุณควรทานแค่พออิ่มพอดี ยิ่งหากเป็นคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอาจเลือกทานแบบสามมื้อก็ได้ การทำในลักษณะนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยกระจายปริมาณของคาร์โบไฮเดรต ช่วงที่ร่างกายคนเรามีการอดอาหารร่างกายก็จะเริ่มเรียนรู้ที่จะกระตุ้นให้เกิดการดึงเอาไขมันออกมาใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และต่อให้ร่างกายจะทานอาหารเข้าไปในปริมาณที่ไม่มากมายอะไรแต่หากปริมาณนั้นเป็นปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วนั่นย่อมไม่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเกิดขึ้น ทำให้ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงได้เหมือนคนที่ทานอาหารตามปกติทั่วไปได้

เดือนเราะมะฎอนคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหากกำลังถือศีลอดอยู่แล้วพบว่าตัวเองนั้นเกิดพบว่ามีระดับน้ำตาลที่ลดต่ำลงมาก ( น้อยกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ) ควรรีบหยุดการถือศีลอดทันที ต้องรู้จักที่จะสังเกตอาการของตนเองดูบ้างดูว่าตนเองนั้นเริ่มมีการอ่อนเพลียเกิดขึ้นหรือไม่ มีอาการเหงื่อแตกใจเต้นแบบเร็วมากผิดปกติหรือตามัวบ้างหรือไม่ หากมีคุณควรหยุดถือศีลอดแล้วรีบไปพบแพทย์ประจำตัวของคุณหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้เร็วที่สุด นอกจากนี้เรายังมีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับคนที่อยากจะถือศีลอดเพิ่มเติมด้วย ได้แก่ พยายามนอนหลับให้ได้ชั่วโมงที่เพียงพอ เลือกทานผลไม้และผักให้มากในแต่ละมื้อ ควรพยายามงดการทานอาหารรสจัด

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้เราจะขอสรุปว่า สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นจริง ๆ แล้วสามารถถือศีลอดแบบปลอดภัยได้แต่นั่นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อยู่ตลอดเวลาแต่หากใครที่กำลังเป็นเบาหวานประเภท 2 แบบนี้ควรที่จะต้องหมั่นตรวจน้ำตาลในช่วงของแต่ละวันให้ถี่มากยิ่งขึ้นการทำเช่นนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโอกาสมีภาวะน้ำตาลลดต่ำลง (มักเกิดในช่วงกลางวัน) และการเกิดน้ำตาลสูง (ในช่วงของกลางคืน) และที่สำคัญจะต้องควบคุมคาร์โบไฮเดรตที่ทานเข้าไปให้อยู่ในปริมาณที่เพียงพอ การทำให้ได้ตามนี้จะสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลไม่เกิดความแปรปรวนนั่นเอง

อาหารที่รับประทานในช่วงเดือนเราะมะฎอน

รายการอาหารแลกเปลี่ยน – ตัวอย่างเมนูในเดือนเราะมะฎอน ( 1,000 แคลอรี/วัน )
ปริมาณหมวดอาหารแลกเปลี่ยน อาหารอเมริกัน อาหารไทย อาหารปากีสถาน อาหารตะวันออกกลาง
อาหารเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ผลไม้ 1 ผล น้ำส้มคั้น ½ ถ้วยตวง แก้วมังกร ½ ผล ส้ม 1 ผลกลาง ส้ม 1 ผลกลาง
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 3 ถ้วยตวง ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น ข้าวโอ๊ต ½ ถ้วยตวง ข้าว 1 ถ้วยตวง ขนมปังพิต้า 1 แผ่น มันฝรั่งอบ ½ หัว ขนมปังพิต้า 1 แผ่น สลัดถั่ว 1/3 ถ้วยตวง
ผัก 1-2 ถ้วยตวง ซุปผัก ½ ถ้วยตวง หรือผักสลัด แกงจืดผักรวม เต้าหู้ 1 ถ้วยตวง ผักสลัด 1 ถ้วยตวง ผักสลัด 1 ถ้วยตวง
เนื้อสัตว์ 2 ถ้วยตวง คอตเทจชีส ¼ ถ้วยตวง สะโพกไก่ 1 ชิ้น ออมเล็ตชีส (ไข่ขาว
2 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง) เฟต้าชีส 30 กรัม
เนื้อไก่ 1 น่อง
ไขมัน 1 ช้อนชา เนย 1 ช้อนชา หอมเจียว 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา มะกอกดำ 2 ลูก
นมไขมัน 0%1 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. นมถั่วเหลือง (จืด)1 กล่อง (240 มล.) นมขาดไขมัน 240 มล. โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง
อาหารไม่เข้มงวด ชา/กาแฟ/แยมเบาหวาน 2 ช้อนชา ชา/กาแฟ ชา ชา
อาหารว่างหลังพระอาทิตย์ตกทันที
ผลไม้ 1 ผล อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 1 ถ้วยตวง แครกเกอร์ 6 แผ่นเล็ก ข้าวโพดต้ม ½ ฝักใหญ่ สลัดใส่ถั่ว 1/3 ถ้วยตวง สลัดใส่ถั่ว 1/3 ถ้วยตวง
นมไขมัน 0% 1 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง
อาหารเย็น
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง เนื้อย่าง 90 กรัม ปลาทูต้มยำ 1 ตัวใหญ่ เนื้อแกะย่าง 90 กรัม เนื้อย่าง 90 กรัม
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง มันฝรั่งอบ 1 หัวเล็ก ข้าว 2/3 ถ้วยตวง ถั่วดัล (Daal) 1/3 ถ้วยตวง ซุปถั่วเลนทิล 1/3 ถ้วยตวง
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง ขนมปังดินเนอร์โรล 1 ก้อน โรตีย่าง 1 แผ่นเล็ก ขนมปังพิต้า 1 แผ่นเล็ก
ผัก 2 ถ้วยตวง  สลัด 1 ถ้วยตวง (แครอต แตงกวา มะเขือเทศ แรดิช) ผัดผักรวม 1 ถ้วยตวง ใส่กุ้ง 30 กรัม สลัด 1 ถ้วยตวง (แตงกวา มะเขือเทศ  ราดซอสมะเขือเทศ บรอกโคลี 18/2 ถ้วยตวง ดอกกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ 1/2
หอมหัวใหญ่ ถ้วยตวง รับประทาน
ผักลวก ½ ถ้วยตวง กับเนื้อย่าง)
ไขมัน 1 ช้อนโต๊ะ ครีมเปรี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมัน 2 ช้อนชา น้ำมัน 1 ช้อนชา น้ำมัน 1 ช้อนชา
ผลไม้ 1 ผล แอปเปิล 1 ผล สาลี่หอม 1 ผล องุ่น 15 ผลเล็ก แอปเปิล 1 ผล
อาหารไม่เข้มงวด
ผักกาดแก้ว เท่าที่ต้องการ น้ำสลัดลดแคลอรี 2  ช้อนโต๊ะ กาแฟ/ชา กาแฟ/ชา ชาหรือน้ำเปล่า น้ำสมุนไพร

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เบาหวาน [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; (ม.ป.ท.)