ร้อยไหม คืออะไร อันตรายหรือไม่ ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?

0
ร้อยไหม

ร้อยไหม

ร้อยไหม

ร้อยไหม เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่นิยมคือการร้อยไหมดึงหน้า ร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว หลังทำเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที หมอจะใช้เข็มนำเส้นไหมละลาย ปัจจุบันนิยมใช้ไหมก้างปลาที่มีเงี่ยง สอดลงในชั้นผิวหนัง ผิวจะถูกเงี่ยงเกี่ยวขึ้นตามทิศทางที่ร้อยไหมเข้าไป จึงสามารถยกหน้า ยกแก้มที่หย่อนคล้อยได้ทันทีครับ   

ร้อยไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

  • ร้อยไหมหน้าเรียว ช่วยปรับรูปหน้ายกกระชับ 
  • ร้อยไหมจมูก ช่วยยกดั้งโด่ง ดีดปลายพุ่ง 
  • ร้อยไหม Foxy Eyes ช่วยแก้ตาตก ยกหางตาเฉี่ยว 
  • ร้อยไหม ช่วยลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว

การร้อยไหม ช่วยทำให้ใบหน้าที่หย่อนคล้อยมีความกระชับ ริ้วรอยแลดูจางลง ดูอ่อนเยาว์ ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ใบหน้าได้สัดส่วน หลังทำเห็นผลชัดเจนทันทีครับ ถ้าคนไข้มีผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ และไม่อยากผ่าตัด การร้อยไหม เป็นวิธีที่แพทย์แนะนำ

ขั้นตอนการร้อยไหมร้อยไหมยกกระชับหน้าเรียว

เส้นไหมที่ร้อยเข้าไป จะช่วยประคองผิวหรือยกพยุงผิวคล้ายเส้นเอ็นบนใบหน้า และช่วยกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ และยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนัง ทำให้หน้าใสขึ้น 

ล้วยังสามารถร้อยไหมจมูก เสริมจมูกโด่งโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือร้อยไหม Foxy Eyes แก้ปัญหาหนังตาตก ดึงหางตาให้ยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูคมและมีเสน่ห์มากขึ้นได้ด้วยครับ   

การร้อยไหมเหมาะกับใครบ้าง ?

ร้อยไหม จะเหมาะกับผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อย แก้มห้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่มักจะเกิดกับคนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากจำนวนอิลาสตินในชั้นผิวลดน้อยลง หรือผู้ที่ยังมีอายุไม่เยอะ แต่รูปหน้ามีความหย่อนคล้อย ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน ไม่มีมิติ ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น ก็สามารถร้อยไหมได้เช่นกัน

หมอจะต้องประเมินปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ก่อนครับ กรณีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก ๆ และมีการยุบของผิวตามวัย การร้อยไหมเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยลดความหย่อนคล้อยได้ทั้งหมด สามารถร้อยไหมร่วมกับทำหัตถการอื่น ๆ เช่น โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์ หรือ กลุ่มเครื่องยกกระชับ เช่น Hifu Ultraformer lll, Ulthera SPT เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ

หมอประเมินใบหน้าหมอประเมินปัญหาและสภาพผิว

ร้อยไหม อันตรายไหม ?

ร้อยไหมไม่อันตรายครับ หากมีการเตรียมตัวที่ดี หาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกร้อยไหมที่ได้มาตรฐาน ร้อยไหมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งรู้เทคนิคการร้อยไหม จุดดึงไหมที่ถูกต้อง เลือกใช้เข็ม และชนิดเส้นไหม 

ซึ่งต้องเป็นไหมละลายที่ผ่านการรับรองจากอย. ละลายหมด 100% ไม่มีสารตกค้าง ถึงจะมั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย 

ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม ที่ควรรู้ ?

ผลข้างเคียงหลังร้อยไหม เช่น อาการบวม หรือเขียวช้ำ ถือเป็นเรื่องปกติครับ เพราะในขั้นตอนการร้อยไหมหมอจะต้องใช้เข็มนำเส้นไหมแทงเข้าไปใต้ผิวหนัง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการบวมช้ำหลังทำค่อนข้างสูง ทั้งจากการฉีดยาชา และเลือดที่ออกใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจจะบวมมากขึ้นในช่วง 3-4 วันแรก แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองใน 7-14 วัน 

ส่วนผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ไหมทะลุ ไหมขาด เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ติดเชื้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากการร้อยไหมโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้เทคนิค ดึงไหมตึงเกินไป หรือใช้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งพบได้ในเคสที่ร้อยไหมกับหมอเถื่อน คลินิกเถื่อนครับ 

ข้อห้ามในการร้อยไหม มีอะไรบ้าง ?

สำหรับผู้ที่อยากร้อยไหม ควรเช็กความพร้อมของตนเอง เพราะการร้อยไหมมีข้อห้ามในคนบางกลุ่ม ก่อนร้อยไหมหมอจะมีการสอบถามหรือซักประวัติคนไข้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่อยู่ในข้อห้ามเหล่านี้ เช่น  

  • มีภาวะอักเสบติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะร้อยไหม
  • เคยมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัสดุเส้นไหมที่วินิจฉัยว่าแพ้โดยแพทย์, อาการข้างเคียง (Side Effect) อื่น ๆ ไม่ได้ถือว่าเป็นการแพ้ (Allergy)
  • มีประวัติแพ้ยาชา (ถ้าคนไข้ไม่เคยฉีดยาชาทำฟันมาก่อน ควรแจ้งแพทย์เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ยาชา)
  • มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorder) แพทย์จะพิจารณาตามดุลยพินิจ
  • อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (กรณีให้นมบุตรควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ดูแลก่อนทำ) 

ร้อยไหมแล้วหน้าบวม 14 วัน เกิดจากอะไร ?

โดยปกติอาการบวมหลังร้อยไหม จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองใน 7-14 วัน ซึ่งการยุบบวมเร็ว-ช้า ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ แต่ถ้าหากคนไข้มีอาการบวมนาน 14 วัน อาจเกิดได้จากสาเหตุ ดังนี้

  • เนื้อแก้มเยอะ หรือดึงไหมเยอะเกินไป คนที่แก้มเยอะแล้วอยากร้อยไหมให้หน้าเรียวเร็ว ๆ หรือร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ดึงไหมเยอะเกินจนเนื้อแก้มไปกองด้านบนของใบหน้า จะทำให้ดูเหมือนหน้าบวมได้ครับ ในกรณีนี้จะบวมนานเกิน 1 เดือน ต้องรอให้ไหมเริ่มคลาย 2-3 เดือน อาการถึงจะเริ่มดีขึ้น 
  • ดึงไหมผิดแนว ปกติการร้อยไหมจะเน้นแก้ไขความหย่อนของแก้มในบริเวณใกล้ ๆ มุมปาก ร้อยไหมกรอบหน้ามากกว่าครับ ถ้าร้อยไหมเพื่อดึงร่องแก้ม จะทำให้โหนกแก้มเนื้อเยอะขึ้นและทำให้หน้าดูบวมได้ 
  • อักเสบติดเชื้อ ปกติหลังร้อยไหม 3-4 วันแรกจะบวมมากขึ้น จากนั้นอาการบวมจะเริ่มยุบลงจนเข้าที่ใน 14 วัน แต่ถ้าหลังจาก 4 วันแล้วยังบวมแดงมากขึ้น ปวดมากขึ้น ให้รีบกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินและรับยากินเพิ่ม
  • บวมเลือด มีเลือดออกในชั้นผิว (hematoma) และบวมน้ำ มีน้ำคั่งในชั้นผิวจากการอักเสบ (edema) ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะยุบหายไปเองในระยะ 2-3 อาทิตย์ ไม่มีอันตราย หากเลือกใช้เข็มร้อยไหมที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการบวมเลือดและบวมน้ำได้ครับ  

เข็มร้อยไหมแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร ?

ในการร้อยไหม จะมีการใช้เข็มลักษณะต่าง ๆ เพื่อนำเส้นไหมเข้าสู่ชั้นผิว โดยเข็มแต่ละแบบจะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป 

เข็มที่ใช้ร้อยไหม(เข็ม L, เข็มทู่, เข็มตัด, เข็มแหลม)

  • เข็มแหลม จะตัดผ่านเนื้อคล้ายการใช้มีดคม ๆ ตัด เจ็บน้อยกว่า บวมน้ำน้อยกว่าบวมเลือด โดยเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่โดนตัดผ่านจะสมานได้ไวกว่าการใช้เข็มทู่ แต่ถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่ก็มีโอกาสบวมเลือดได้ การใช้เข็มแหลมจึงต้องอาศัยประสบการณ์และความระมัดระวังของแพทย์สูง
  • เข็มทู่ มีโอกาสเกิดการบวมน้ำได้ครับ เข็มจะผ่านเนื้อโดยการฉีกออกคล้ายการใช้มีดทื่อ ๆ ตัด เจ็บมากกว่าเข็มแหลม สามารถหลบเส้นเลือดใหญ่ ๆ ได้ แต่ถ้าโดนเส้นเลือดเล็ก ๆ ก็ยังขาดอยู่ดีครับ เข็มทู่ที่ใช้ร้อยไหมจะใหญ่กว่าเข็มทู่ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ จึงมีอาการบวมช้ำเยอะกว่า
  • เข็มตัด เป็นเข็มกึ่งแหลม กึ่งทู่ ปลายเข็มมีลักษณะคล้ายหลอด มีความคมแต่ไม่ได้แหลมเท่าเข็มแหลม
  • เข็ม L เป็นการพัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้น ส่วนปลายของเข็มจะแหลมกว่าเข็มตัด สามารถช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้

เข็มแต่ละแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หมอจะต้องประเมินว่าเข็มแบบไหนเหมาะกับเคสไหน เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิวหรือมีพังผืดเยอะ ก็จะเหมาะกับเข็มแหลมมากกว่า ที่ V Square Clinic มีเข็มทุกแบบให้หมอเลือกใช้ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนครับ

ทำไมร้อยไหม 3-4 เดือน ก็คลายแล้ว ?

ระยะเวลาที่ไหมสามารถดึงผิวไว้ได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพผิวของแต่ละบุคคล ในเคสที่รู้สึกว่าผิวหน้าเริ่มหย่อน ไม่ตึงเหมือนตอนที่ร้อยไหมในช่วงแรก หลัก ๆ เกิดจาก 3 ปัจจัย 

  • อิลาสตินที่มีอยู่เดิมในผิว เส้นไหมจะมีเงี่ยงคล้ายตะขอเกี่ยวผิวให้ดึงขึ้นตามแนวเส้นไหมที่ร้อยเข้าไป แต่ถ้าหากผิวของคนไข้เสื่อมสภาพ เงี่ยงที่เกี่ยวผิวก็จะเกาะอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่มีหลักให้ยึด เลยทำให้ไหมคลายก่อนที่ไหมจะละลายครับ 
  • อิลาสตินที่สร้างขึ้นมาใหม่ การร้อยไหมช่วยกระตุ้นการสร้างอิลาสตินได้ แม้ว่าเส้นไหมจะละลายไปแล้ว เช่น ในคนที่อายุเยอะ แม้ว่าผิวจะขาดอิลาสติน แต่ถ้าร้อยไหมเพิ่มหลาย ๆ ครั้งก็จะช่วยให้อยู่ได้นานขึ้นตามอิลาสตินใหม่ที่สร้างขึ้น    
  • อายุของเส้นไหม ไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและอายุของเส้นไหมที่แตกต่างกัน ถ้าร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ใช้เส้นไหมที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่เหมาะกับปัญหาของคนไข้ ก็ทำให้ไหมคลายเร็ว ไหมขาดได้ครับ   

ร้อยไหมอะไรดีที่สุด ?

เส้นไหมที่ใช้ร้อยไหมมีให้เลือกหลายชนิด ซึ่งถ้าแยกตามวัสดุไหมละลายที่นิยม คือ PDO (Polydioxanone), PLLA  (Polylactate) และ PCL (Polycaprolactone) ทั้ง 3 ชนิดผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผล แต่ละชนิดจะแตกต่างกันที่ขนาดของเส้นไหม คุณภาพไหม ราคา รวมถึงระยะเวลาอยู่ได้นาน 

ปัจจุบันไหม PCL+PLLA เป็นเส้นไหมที่ดีที่สุดและนิยมใช้มากที่สุดครับ เพราะมีการพัฒนาโดยการนำจุดเด่นของไหม PCL มาผสมกับจุดเด่นของไหม PLLA  ซึ่งที่ V Square Clinic จะเลือกใช้เส้นไหมที่ดีที่สุดเท่านั้นครับ

ร้อยไหมอะไรดีที่สุด ร้อยไหมแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร 

ข้อปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง ร้อยไหม เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

ก่อนร้อยไหม 

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินใบหน้าและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน 
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา วิตามินและยาที่ทานประจำ (ก่อนร้อยไหมควรงดยาและวิตามิน เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ginseng และ Vitamin E)
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมงก่อนร้อยไหม 
  • ทางคลินิกจะมีการฉีดยาชาให้ทุกเคสก่อนร้อยไหม เนื่องจากต้องใช้เข็มแทงลงไปใต้ผิวหนังชั้นลึก จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาครับ

หลังร้อยไหม 

  • 3 ชั่วโมง รอยเข็มที่ร้อยไหมโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ ได้
  • 6 ชั่วโมง ยาชาเริ่มหายบวม ถ้าจุดไหนยังบวมมาก สามารถประคบเย็นเบา ๆ ได้ ไม่ควรกดแรง
  • 24 ชั่วโมง เริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น หากต้องการเห็นผลชัดเจนขึ้น ต้องรอประมาณ 14 วัน ถึงจะยุบบวมเต็มที่ 
  • 48 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง ของดิบ แอลกอฮอล์ หรือของแสลง รวมถึงการสัมผัสความร้อน เช่น เข้าซาวน่า หรือออกแดด จะช่วยให้ยุบบวมได้ไวขึ้น
  • 3 วัน อาการปวดบวมแดงช้ำจะเริ่มดีขึ้นและลดลง หากอาการมีแนวโน้มแย่ลงให้ติดต่อคลินิกเพื่อขอรับยากินเพิ่ม สามารถขยับใบหน้าได้เกือบเท่าปกติ เพราะไหมเข้าที่แล้วประมาณ 90% แต่ยังไม่ควรกดนวดแรง ๆ
  • 7-10 วัน รอยเขียวช้ำอาจจะยังมีอยู่ และจะค่อย ๆ จางลงใน 14 วัน ไม่ควรประคบร้อน
  • 14 วัน อาการบวมหายเกือบ 100% สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ กินอาหารได้ปกติ และพยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
  • 1 เดือน ร้อยไหมดึงหน้า ไม่ควรอ้าปากกว้าง ๆ เช่น อ้าปากทำฟัน หรือแปรงฟันแรง ๆ

ร้อยไหมแต่ละชนิด ราคาเท่าไหร่ ?

ไหมแต่ละชนิด ราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละคลินิก โปรโมชั่นในช่วงนั้น ๆ จำนวนเส้นไหมที่ใช้ รวมถึงเทคนิคการร้อยและประสบการณ์ของแพทย์ 

ที่ V Square Clinic ร้อยไหมราคา เริ่มต้นที่ 8,900 บาท ก่อนร้อยไหม หมอจะทำการประเมินอย่างละเอียดในแต่ละเคสครับว่าไหมชนิดไหนเหมาะกับคนไข้ ต้องใช้ไหมกี่เส้น เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับงบประมาณและความต้องการครับ 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า

รีวิวร้อยไหม แก้ปัญหาแก้มเยอะ หน้ากลม ช่วยยกกระชับให้หน้าเรียว

ร้อยไหมหน้าเรียว ถ่ายรูปท่าไหนก็มั่นใจทุกมุม ใบหน้า V Shape

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

รีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้ารีวิว ร้อยไหมยกกระชับหน้า 

สรุป ร้อยไหม

การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกความงาม ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อย เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ใบหน้าเข้ารูปดูเป็นธรรมชาติ 

การเลือกคลินิก เลือกหมอสำคัญครับ คลินิกต้องได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ช่วยลดอาการบวมช้ำ ใบหน้าเข้าที่เร็วครับ

ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

0
Thermage

Thermage

Thermage

Thermage หรือ เทอมาร์จ เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยสลายไขมันได้ นิยมทำบริเวณแก้มและเหนียง เพื่อยกหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้าครับ 

ในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ การทำ Thermage มาแนะนำอย่างละเอียด เช่น การทำ Thermage คืออะไร ?  ช่วยอะไรบ้าง ? หากต้องการทำ มีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร ? การทำหน้าเทอมาจเหมาะกับใคร รวมถึง ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? ต่างจากการดูดไขมัน – Hifu – Ulthera อย่างไร ? คุ้มค่าหรือไม่ ? กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ? หลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?  และที่สำคัญ คือ Thermage แท้ดูอย่างไร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยครับ


Thermage คืออะไร ?

Thermage คือ เครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับผิว สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจน ด้วยการยิงคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ลงไปในชั้นผิวหนัง โดยสามารถส่งพลังความร้อนจากคลื่นได้ตั้งแต่ผิวชั้นบนหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) จนถึงชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous) ซึ่งอยู่ลึกสุดของโครงสร้างผิว จึงสามารถยกกระชับหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทำหน้าเทอมาจ

โดยความร้อนจะไปทำให้ผิวเกิดการหดตัว ลดเนื้อไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแน่นกระชับขึ้นได้ในระยะยาว 

ที่สำคัญคือ เครื่องThermage ได้ผ่านการรับรองให้เป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีความปลอดภัยสูง โดยเครื่อง Thermage FLX เป็นเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด (2018) ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สามารถปล่อยพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ  มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ ในขณะที่ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก ตัวเครื่องจะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สบายผิว และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิว Burn รวมทั้งมีระบบสั่น Vibration ที่ทำให้รู้สึกสบายมากยิ่งขึ้นขณะทำครับ


Thermage ช่วยอะไรบ้าง ?

Thermage FLX  มีหัวยิงหลายแบบ จึงสามารถช่วยดูแลผิวได้หลายเรื่อง ดังนี้ 

  • ช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง กรอบหน้าชัดขึ้น 
  • ช่วยลดไขมันสะสม บริเวณแก้ม ใต้คาง และลำคอ
  • ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเนียนขึ้น แน่นกระชับ
  • ช่วยลดปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น 

Thermage มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

ข้อดี 

  1. ช่วยให้หน้ากระชับได้รูป ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอย
  2. ช่วยสลายไขมันบริเวณใบหน้า เหนียง
  3. สามารถทำได้ทั้งใบหน้า ลำคอ และลำตัว
  4. หลังทำไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  5. ช่วยให้ผิวตึงกระชับขึ้น เห็นผลชัดเจนตั้งแต่เดือนที่ 2 ขึ้นไป
  6. สามารถคงผลลัพธ์ยาวนาน 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแล)

ข้อเสีย 

  1. หลังทำอาจเกิดมีรอยแดง แต่สามารถหายได้เองใน 1-2 ชั่วโมง 
  2. หากแพทย์ผู้ทำไม่ชำนาญ หรือนำเครื่องปลอมไม่มีคุณภาพมาใช้ อาจเกิดผิวไหม้ เพราะใช้พลังงานสูง หรือ ใบหน้าเบี้ยว เพราะการส่งพลังงานไปกระทบกับเส้นประสาทบนใบหน้า

Thermage เหมาะกับใคร ?

การทำเทอร์มาจ เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณใบหน้าเยอะ  คนที่หน้าอ้วน มีไขมันบริเวณแก้ม หรือคนที่มีเหนียงใต้คาง ต้องให้มีกรอบหน้า รวมถึงผู้ที่มีอายุผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยย่น ผิวขาดคอลลาเจน รวมถึงผู้ที่มีไขมันกองในบริเวณคาง หรือที่เราเรียกกันว่ามีเหนียง ก็เหมาะกับการทำเทอร์มาจ ครับ


Thermage ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Thermage FLX สามารถใช้ได้หลายส่วนในร่างกายทั้งหน้าและลำตัว (ต้นแขน, หลังมือ, หน้าท้อง, สะโพก) ครับ แต่บริเวณที่ได้รับความนิยมและเห็นผลลัพธ์หลังทำชัดเจน คือ 

  • ใบหน้า  : สามารถยกกระชับได้ทั่วหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีแก้มห้อย 
  • คอ : สามารถยกกระชับผิวบริเวณลำคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย 
  • เหนียง : ช่วยลดเหนียง กระชับผิวใต้คางหย่อนคล้อย ให้มีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น และใบหน้าเรียวกระชับ

ตำแหน่งทำ Thermage - ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

นอกจากนี้ยังสามารถ ทำรอบดวงตา หรือ Thermage ตา ได้เช่นกัน ช่วยให้ผิวรอบดวงตาที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ดูดีขึ้น รวมถึงสามารถทำเพื่อยกคิ้วให้ได้รูป แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และผิวเปลือกตาที่มีรอยย่นได้ด้วย โดย Thermage FLX สามารถช่วยลดเนื้อไขมัน ปรับผิวให้ตึงกระชับมากขึ้น กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น เพิ่ม skin quality (ผิวเด็ก) ริ้วรอย และรูขุมขนเล็กลงได้ครับ


Thermage รีวิว

ตัวอย่างรีวิวการทำ Thermage รุ่น FLX

รีวิวการทำ Thermage - ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?


ขั้นตอนการทำ Thermage เป็นอย่างไร ?

การทำ Thermage มีขั้นตอนในการทำง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่มี​รอยแผล เริ่มจาก

  • เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าคนไข้ แปะยาชาก่อนทำประมาณ 30 นาที
  • แพทย์ออกแบบตำแหน่งในการยกกระชับผิว
  • เริ่มการทำ Thermage ใช้ระยะเวลาไม่นาน ประมาณ 40-90 นาที
  • แพทย์ยิงพลังงานความร้อนลงชั้นผิวในบริเวณที่ต้องการ
  • ระหว่างทำจะใช้ระบบสั่นและระบบปล่อยความเย็นที่หัวเครื่องมือ ทำให้คนไข้รู้สึกสบาย ลดความเจ็บปวด
  • ทำจนครบตามจำนวน shot คือ 450 หรือ 900 shot
  • หลังทำเห็นผลทันที 20% 

ทั้งนี้ ในขั้นตอนระหว่างทำ Thermage แพทย์ผู้ทำจะสอบถามความรู้สึกร้อนของคนไข้เป็นระยะ ๆ ครับ เพื่อปรับค่าพลังงานให้เหมาะสม โดยแบ่งระดับความรู้สึกตั้งแต่ 0-4 ระดับ

  • ระดับ 0-1 รู้สึกผิวสั่นอย่างเดียว แต่ไม่อุ่น = การรักษาจะได้ผลที่ต้องการน้อย
  • ระดับ 2-2.5 ร้อนในระดับที่ทนได้ = ให้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่ต้องการ
  • ระดับ 3-4 ร้อนมากเกินไป = ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าระดับอื่น แต่อาจทำให้บาดเจ็บหรือเกิดผลข้างเคียงบ้างในบางรายที่ผิวแพ้ง่าย

Thermage กับ ดูดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน ?

จริงๆ แล้วการทำ Thermage กับ ดูดไขมัน มีเป้าหมายการทำที่ต่างกันครับ 

  • การทำ Thermage คือเน้นเรื่องการยกกระชับ แต่สามารถสลายไขมันได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีไขมันไม่มาก 
  • การดูดไขมัน คือการกำจัดไขมันโดยเฉพาะด้วยการทำให้ไขมันแตกตัวและดูดออก เหมาะกับผู้ที่มีไขมันจำนวนมาก 

หากถามว่า Thermage กับ ดูดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน ก็ต้องกลับไปที่ปัญหาของคนไข้แต่ละรายครับ ถึงจะเลือกหัตถการที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลได้ 


การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Thermage

ก่อนทำ 

  • เตรียมผิวให้พร้อมด้วยการทาครีมบำรุงผิว หรือการทำทรีตเมนต์
  • รับประทานอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้กับผิว
  • นอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
  • 1 สัปดาห์ก่อนทำ งดรับประทานยาและวิตามินที่ทำทำให้เลือดออกง่าย
  • งดการสูบบุหรี่
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ

หลังทำ 

  • หลังทำ Thermage สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
  • สามารถใช้ครีมบำรุง หรือแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • เน้นทาครีมบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
  • เน้นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการโดดแดดจัด ๆ หลังทำประมาณ 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น สตีม ซาวน่า 2 อาทิตย์
  • งดทำทรีทเมนต์/เลเซอร์ร้อน/RF ลงผิวชั้นลึก ประมาณ 1 เดือน

ทำ Thermage กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ?

สำหรับ Thermage รุ่น FLX หลังทำสามารถเห็นผลหลังทำ 20 % และจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ 2-3 เดือน และเห็นผลยาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการบำรุงผิวแต่ละบุคคล


วิธีสังเกต Thermage แท้

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีเครื่องThermage ปลอมเข้ามาในคลินิกความงามครับ เพราะเครื่อง Thermage แท้ราคาค่อนข้างสูง จึงมีการพยายามทำเครื่องปลอมที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นเครื่อง Thermage มาใช้ดูแลคนไข้ หรือ ทำเครื่องปลอมที่มีรูปลักษณ์หน้าตาเหมือนกับเครื่อง Thermage ของจริง แต่คุณภาพไม่ได้และเป็นอันตรายต่อผิว 

สำหรับผู้ที่ต้องการทำ Thermage ก่อนทำต้องมั่นใจว่าเป็นเครื่องแท้ ได้มาตรฐานโดยมี มีข้อสังเกต ดังนี้

  • มีสติกเกอร์เครื่องแท้ติดอยู่หน้าคลินิก
  • มีโล่ และประกาศนียบัตร ที่ออกโดย SOLTA MEDICAL
  • มีสติกเกอร์เครื่องแท้ ติดไว้ด้านหน้าตัวเครื่อง

วิธีสังเกต Thermage แท้ - ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

สาระน่ารู้ : ปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการปลอมในรูปแบบเครื่อง Thermage จริง แต่ใช้หัวปลอม ก็มีครับ โดยในขั้นตอนการทำจริง ๆ หัวยิง Thermage FLX จะใช้แล้วทิ้งครับ คือ 1 หัวจะยิงได้ 900 shot เท่านั้น ดังนั้นทุกหัวยิงมีราคาต้นทุน กรณีที่พบการโฆษณาการทำไม่จำกัดซ็อต หรือยิงแบบบุฟเฟ่ต์ จึงเป็นไปไม่ได้ เสี่ยงเจอเครื่องปลอมแน่นอนครับ


Thermage – Ulthera – Hifu ต่างกันอย่างไร ?

Hifu Ulthera และ Thermage จะส่งพลังงานลงไปในใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน 45-70°C ในช่วงระยะเวลาหนึ่งทั้งหมด โดยแตกต่างกันที่ขนาดของจุดที่ focus ครับ

Hifu Ulthera และ Thermage

  • Hifu macrofocus หรือ Hifu Ultraformer III เป็นจุดขนาด 0.5-1 mm พลังงานคงที่ คล้าย ๆ จุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว ทำให้เกิดการหดของเนื้อเยื่อตามทิศทางของเส้น หมอสามารถจะออกแบบ Vector ในการยิง สามารถยิงเรียงเป็นเส้นตรงเพื่อยกกระชับผิวตามแนวที่ต้องการ
  • Ulthera เป็นจุดขนาด 1 mm ยิงลงลึกถึงใต้ผิวหนังชั้น smas (ชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า) ได้ผลแม่นยำ ตรงจุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ต้องการยกกระชับผิว ให้ดูอ่อนเยาว์ และปรับรูปหน้าให้มีกรอบหน้าชัด และผิวเรียบเนียน
  • Thermage เป็นก้อนความร้อนขนาด 3-16 cm2 พลังงานจะครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าแบบจุด มีจุดเด่นในการลดชั้นไขมันที่ใบหน้า ผิวแน่นกระชับขึ้น และเพิ่ม Skin Quality (ผิวเด็ก) เหมาะสำหรับคนที่ทนความเจ็บได้ในระดับสูงจึงจะคุ้มค่าในการทำ

มีการเปรียบเทียบกันอยู่บ่อย ๆ ครับ สำหรับ 3 เครื่องนี้ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับผิวได้เหมือนกัน แล้วเครื่องไหนดีกว่ากัน? หมอสรุปอย่างนี้ครับว่า เนื่องจากแต่ละเครื่องมือจะมีจุดเด่นพิเศษเฉพาะตัว ที่ให้ผลลัพธ์การรักษาที่แตกต่างกัน

ก่อนอื่นแพทย์จะต้องประเมินปัญหา สภาพผิวหน้า ความต้องการของคนไข้ รวมถึงงบประมาณ ก่อนเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีครับ


Thermage ราคา

Thermage มีหลายราคาครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละเคส ถ้าหากต้องทำหลาย shot ราคาก็จะสูงขึ้นตามจำนวน shot ไปด้วยครับ แต่โดยทั่วไป ในผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ลดแก้มลดเหนียงจะใช้ประมาณ 450 shot ราคาเฉลี่ยอยู่ ประมาณ 30,000.- ครับ


ทำ Thermage ที่ไหนดี ?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • ตรวจสอบว่าเครื่อง Thermage ที่ใช้เป็นของแท้ ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ แพทย์แกะหัวใหม่ให้ดูก่อนทำ

ทำ Thermage ที่ไหนดี - ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เห็นผลเร็วไหน เหมาะกับใคร ? อยู่ได้นานไหม ?

  • ทำ Thermage กับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น ผ่านการอบรมการใช้เครื่องมือ สามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับปัญหาของคนไข้และแก้ไขได้อย่างตรงจุด
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นแพทย์จริง โดยนำชื่อ-นามสกุล เช็กได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา (https://checkmd.tmc.or.th/)
  • คลินิกมีรีวิวทำ Thermage ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ ทั้งแบบรูปภาพและวิดีโอ

สรุป

การทำ Thermage ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในยกกระชับและฟื้นฟูผิว สามารถสลายไขมันได้ เหมาะกับการยกกระชับหน้า ลดแก้มและลดเหนียง ช่วยใบหน้าเข้ารูป มีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น รวมถึงช่วยทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวแน่นกระชับขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ริ้วรอยลดลง และคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี เป็นอีกหนึ่งหัตถการดูแลรูปหน้าและผิวพรรณที่มีความคุ้มค่า และปลอดภัย แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำภายใต้ คลินิกที่ได้มาตรฐาน ทีมแพทย์มีประสบการณ์ และใช้เครื่องมือทันสมัย Thermage เครื่องแท้ เท่านั้น

ฉีดโบท็อก คืออะไร ? ต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ? เหมาะกับใคร ? บทความนี้มีคำตอบ

0
โบท็อก

โบท็อก

การฉีดโบท็อกคือวิธีลดริ้วรอยที่ได้รับความนิยม และเป็นหัตถการความงามที่หลายคนเลือกทำเป็นอันดับแรก ๆ ครับ เราสามารถเริ่มฉีดโบท็อกได้ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือช่วงที่เริ่มมีริ้วรอย จะช่วยให้ผิวเต่งตึง ลดการพับของผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อนาคตได้ครับ

ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า โบท็อกต่างจากฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ช่วยอะไรบ้าง ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?  และต้องใช้กี่ unit ราคาเท่าไร ยี่ห้อไหนดี  ระยะเวลาว่าหลังฉีดแล้วกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม โบท็อกแท้ดูอย่างไร ? 

รวมถึงหากมีแพ้โบท็อก ดื้อโบท็อก ทำอย่างไร  ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ก่อน – หลังฉีดดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อยู่ได้นานที่สุด 


โบท็อก

ริ้วรอยเป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับริ้วรอยบนใบหน้า มักจะเกิดจากการที่เมื่อเราแสดงสีหน้า กล้ามเนื้อจะมีการหดตัวและคลายออก ทำให้เห็นเป็นสีหน้าต่าง ๆ เช่น เวลายิ้ม เวลาโกรธ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ สูญเสียอีลาสติน คอลลาเจน ผิวแห้งและไม่มีความยืดหยุ่น ก็จะส่งผลให้เวลาแสดงสีหน้า ผิวเกิดรอยยับ รอยย่น หากปล่อยทิ้งไว้ริ้วรอยเหล่านี้ก็จะลึกขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

การฉีดโบท็อก ตัวยาจะเข้าไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) โดยจับกับสารสื่อประสาทเพื่อยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณ ลดการหลั่งสารอะเซติลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งจะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกิดการหดตัว ผิวชั้นบนก็จะไม่พับลงตามเวลาเราแสดงสีหน้า ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะจางลงไป ผิวหน้ากลับมาเต่งตึง


โบท็อก คือ การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย จริงไหม ?

โบท็อกไม่ใช่สารพิษครับ Botox เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งจริง ๆ มีหลายชนิด แต่ตัวที่นำมาใช้ในการเสริมความงามคือ Botulinum Toxin Type A ฉีดแล้วมีความปลอดภัย ผ่านการวิจัยพัฒนา ทำให้ได้ตัวยาที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สามารถใช้ได้ทั้งการฉีดเพื่อความงาม และฉีดเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ  

การออกฤทธิ์ของโบท็อก

โบท็อกเป็นโปรตีนในน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ ส่วนที่ 1 จะถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ประสาทและออกฤทธิ์ ส่วนที่ 2 จะไม่ถูกดูดซึมและปลิวออกไปตามกระแสเลือด และขับออกจากร่างกาย


จริง ๆ แล้ว โบท็อก คืออะไร ช่วยอะไรกันแน่ ?

โบท็อกซ์ (Botox) เมื่อฉีดไปแล้วตัวยาจะทำงานกับระบบประสาท มีการออกฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ หมายความว่าสามารถออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อได้ทุกจุดที่ฉีดในร่างกายครับ ไม่จำเป็นต้องใช้กับการลดริ้วรอยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หมอสรุปประโยชน์ของโบท็อกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย
  • ฉีดโบท็อกเพื่อปรับรูปหน้า ลดกราม 
  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดกล้ามแขน น่องขา
  • ฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อ (รวมถึงภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรักแร้)
  • ฉีดโบท็อกเพื่อรักษาโรคทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ เช่น ไมเกรน ปวดต้นคอหรือหลัง (Office  Syndrome) ตากระตุก หน้ากระตุก ปากเบี้ยว คอบิด หรือภาวะการกัดฟัน 

Filler กับ Botox กับความเข้าใจที่ผิด ๆ

หลายคนอาจเข้าใจว่าฟิลเลอร์กับโบท็อก ใช้ลดริ้วรอยได้เหมือน ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้ว ประเภทของริ้วรอยที่เหมาะกับแต่ละหัตถการ และจุดประสงค์ในการฉีดต่างกันครับ

โบท็อก  เหมาะฉีดลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า (Dynamic line) เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยตีนกา ริ้วรอยหางตา และสามารถฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ เช่น ลดกราม ลดกล้ามแขน น่อง

ฟิลเลอร์ : เหมาะฉีดลดริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสีย elastin, collagen, hyaluronic acid (Static line) หรือ ริ้วรอยที่เกิดจากการที่โครงสร้างผิวทรุดตัว ทำให้เกิดเป็นร่องลึก ผิวหนังหย่อนคล้อย เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก และยังนิยมใช้ฉีดปรับรูปหน้า เสริมคาง หน้าผาก ปาก ขมับ 

ทั้งนี้หากต้องการปรับรูปหน้าและลดริ้วรอย ไม่จำเป็นต้องเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถทำทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกร่วมกันได้ จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ


ฉีดโบท็อก อันตรายไหม ? 

การฉีดโบท็อกไม่อันตรายครับ หากฉีดโบท็อกในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ และใช้ตัวยาแท้ นำเข้าอย่างถูกต้อง แต่ก็จะมีข้อห้ามสำหรับคนที่โรคประจำตัวซึ่งส่งผลต่อการฉีดโบท็อก ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อในการกลืน
  • ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ เช่น amyotrophic lateral sclerosis (ALS) /Lou Gehrig’s disease / myasthenia gravis / Lambert-Eaton syndrome
  • ผู้ที่กำลังมีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก

ดังนั้นก่อนฉีดโบท็อก ที่คลินิกก็จะมีการสอบถามประวัติ โรคประจำตัว และยาที่รับประทานประจำ เพื่อประเมินว่าสามารถฉีดโบท็อกได้หรือไม่

ฉีดโบท็อก อันตรายไหม


โบท็อกปลอม ดื้อโบท็อก อันตรายกว่าที่คิด ?

ขอแยกเป็น 2 กรณีครับ 1. โบท็อกปลอม อันนี้แปลว่าเป็นตัวยาที่ไม่ใช่ Botulinum Toxin เช่น ฉีดน้ำเกลือให้ แต่หลอกว่าเป็นโบท็อก ซึ่งก็จะไม่เห็นผลครับ หากกรณีร้ายแรงที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของสารที่นำมาฉีด ก็อาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้ เช่น อักเสบ ติดเชื้อ 

กรณีที่ 2. โบท็อกหิ้ว หลายคนยังคิดว่าก็คงเหมือน ๆ กับโบท็อกทั่วไป คือเป็นโบท็อกแท้ แต่ลักลอบนำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะไม่ผ่านการตรวจสอบจากอย. ไม่รู้ที่มาที่ไปของสารประกอบที่อยู่ในตัวยา นอกจากนี้การนำเข้าโดยแอบเอาใส่กระเป๋าเดินทางมาทำให้ไม่ได้เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ตัวยาเสื่อมคุณภาพ เห็นผลไม่เต็มที่หรืออยู่ได้สั้นลง ต้องฉีดบ่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงการดื้อโบท็อกได้ครับ

ผลจากการฉีดโบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว ที่ไม่ได้มาตรฐาน

  • ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เช่น กรามไม่เล็กลง ริ้วรอยไม่หายไป 
  • ตัวยาออกฤทธิ์น้อย หมดฤทธิ์ไว
  • ตัวยากระจายโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ทำให้หนังตาตก ปากเบี้ยว
  • ความไม่บริสุทธิของตัวยา ทำให้เสี่ยงต่อการแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ
  • ต้องฉีดโบท็อกบ่อยขึ้น เสี่ยงต่อการดื้อโบท็อก (อาการดื้อโบท็อก ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา)

ดื้อโบท็อก


วิธีตรวจสอบยาโบท็อกของแท้ แต่ละยี่ห้อ ?

  • โบท็อกแท้ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน หมอต้องแกะกล่องใหม่ผสมยาให้ดูต่อหน้า
  • มีตัวหนังสือภาษาไทยแสดงเลขที่อย. มีวันผลิตและวันหมดอายุที่กล่องกับขวดตรงกัน
  • มีข้อมูลระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใด สามารถตรวจสอบชื่อคลินิกกับบริษัทนำเข้าได้

ฉีดโบท็อก ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

ฉีดโบท็อก ตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ Unit

การฉีดโบท็อกหลัก ๆ ที่นิยมจะเป็นการฉีดลดริ้วรอยบนใบหน้า และปรับรูปหน้าลดกรามครับ ส่วนอื่น ๆ จะเป็นเรื่องของการฉีดเพื่อลดเหงื่อ ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง แขน รวมถึงฤทธิ์ของโบท็อกยังช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน หรือออฟฟิศซินโดรมได้ด้วยครับ


โบท็อก ยี่ห้อไหนดี ?

โบท็อกแต่ละยี่ห้อ จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีการผลิตครับ หมอจะประเมินและแนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละคน 

โบท็อกอเมริกา (Allergan)

มีงานวิจัยรับรองยาวนานที่สุด (3,500 งานวิจัย since 1989) จุดเด่นคือมีการพัฒนามาเพื่อทำให้เกิดโอกาสดื้อโบท็อกน้อยที่สุด และผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ โบท็อกยี่ห้อ Allergan ยาจะกระจายตัวแคบที่สุด หมอสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้แม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีที่สุด

โบท็อกเกาหลี (Nabota/Astox/Neuronox)

Nabota Botox ได้รับความนิยมมากในประเทศไทยครับ เป็นโบท็อกเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจาก อย.อเมริกา (U.S.FDA approved 2018) จุดเด่นคือเน้นพัฒนาให้ตัวยาออกฤทธิ์ไว เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลโบท็อกแบบเร่งด่วน

Aestox เป็นโบท็อกที่พยายามพัฒนาให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์ไว แต่คงผลลัพธ์ได้สั้นกว่าโบท็อกยี่ห้ออื่นเล็กน้อย แต่ราคาไม่สูงเท่า เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลไว และมีงบประมาณจำกัด

Neuronox เป็นโบท็อกที่ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ยากระจายตัวแคบ ฉีดแล้วเห็นผลดี และลดโอกาสของการดื้อยาได้ ถือว่าเป็นโบท็อกเกาหลี ที่แพทย์และคลินิกความงามทั่วประเทศให้การยอมรับถึงประสิทธิภาพ มีงานวิจัยรองรับ ในราคาที่เข้าถึงได้

โบท็อกอังกฤษ (Dysport)

โบท็อก Dysport จุดเด่นคือยากระจายได้อย่างทั่วถึง ไม่กระจุกเป็นจุดแคบ ๆ เหมาะกับการฉีดลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ลดต้นแขน ลดน่อง ที่มีพื้นที่กว้าง และเหมาะกับการฉีดโบท็อกด้วยเทคนิค dermolift เพื่อยกกระชับหน้า 

ในการฉีด Dysport ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีความระมัดระวังสูงในการฉีด เพราะยากระจายตัวกว้าง หากแพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ยากระจายตัวไปโดนกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ ทำให้ตาตก ปากเบี้ยวหรือยิ้มไม่สุด

โบท็อกเยอรมัน (Xeomin)

จะเน้นพัฒนาโดยเอาข้อดีของ Allergan และ Dysport มารวมกัน โดยคุณสมบัติต่าง ๆ จะอยู่กึ่งกลางระหว่างอเมริกากับอังกฤษครับ ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงและไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ฉีดแล้วหน้าไม่ดูแข็งตึง นอกจากนี้คือมีงานวิจัยแสดงว่า Xeomin ได้ผลดีในเคสที่ดื้อโบท็อก ฉีดแล้วได้ผล (โดยที่เคสนั้น ๆ ต้องหยุดการฉีดโบท็อกมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี)


ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ให้เห็นผลและปลอดภัยพิจารณาอะไรบ้าง ?

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐานตาม ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีป้ายชื่อสถานพยาบาล เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และแสดงใบอนุญาตอย่างชัดเจน สังเกตได้ง่าย
  • เป็นแพทย์จริง สามารถนำชื่อ-นามสกุล เข้าไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ของแพทยสภาได้ และมีประสบการณ์ด้านการฉีดโบท็อก 
  • มีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ เช่น Facebook Review, Pantip
  • ใช้โบท็อกแท้ ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้ ก่อนฉีดหมอแกะกล่องใหม่ ผสมยาให้ดูต่อหน้า
  • มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยสามารถปรึกษาหมอได้โดยตรง และมีการแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก

โบท็อก ราคา

โบท็อก ราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อโบท็อกที่เลือกใช้ ปริมาณโบท็อกที่ใช้ และจุดที่ฉีดครับ ถ้าเป็นโบท็อกฝั่งอเมริกา ยุโรป ก็จะมีราคาสูงกว่าโบท็อกเกาหลี 

ส่วนปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขครับ เช่น ลดกรามหน้าเรียว ราคาจะอยู่ที่ 6,999/100 U หรือ ฉีดลดริ้วรอยทั่วหน้า ปรับหน้าเรียว ราคาจะอยู่ที่ 9,000/100 U แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ช่วยประเมินและเลือกยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสมกับปัญหารวมถึงงบประมาณของแต่ละคนครับ


ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม กี่เดือนต้องฉีดซ้ำ ?

ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล

  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 3-4 วัน คนไข้จะรู้สึกตึง ๆ ที่หน้า และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ 
  • หลังฉีดโบลิฟท์กรอบหน้า เหนียง คอ โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 3-4 วัน ผิวจะเริ่มตึงกระชับขึ้น และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์
  • หลังฉีดโบลดกราม โบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ หลังฉีด 14 วัน คนไข้จะรู้สึกว่ากรามเริ่มนิ่ม และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน

โบท็อกจะอยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน (ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคนร่วมด้วย) หากผลของโบท็อกเริ่มคลาย สามารถฉีดเพิ่มได้ครับ แต่ไม่ควรฉีดถี่เกินไป ขั้นต่ำควรเว้น 3 เดือน และไม่เว้นระยะห่างนานเกินไป (เกิน 5-6 เดือน) เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานปกติ และอาจจะต้องใช้ยูนิตของโบท็อกเยอะขึ้นในการฉีดเพื่อให้เห็นผล


สำคัญ ! ห้ามทำหลังฉีดโบท็อก

หลังฉีดโบท็อก

  • หลังฉีดโบท็อกควรงดนอนราบ 3 ชม. งดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่หน้าเยอะขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้โบท็อกย่อยสลายไว คือความร้อน และการไหลเวียนของเลือด (Metabolism)
  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก งดสูบบุหรี่
  • งดอาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า ผลไม้ดอง
  • งดอาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง หรือต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ

ทั้งนี้แนะนำให้งดในช่วง 2 สัปดาห์แรกสำคัญที่สุดครับ เพื่อให้ตัวยาได้ออกฤทธิ์เต็มที่ หลังจากนั้นข้อห้ามเหล่านี้ก็อาจส่งผลบ้าง แต่ไม่มาก คนไข้ที่มีคอร์สทำหน้า นวดหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ร้อนที่ต้องทำเป็นประจำ ควรทำมาก่อนฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดจะต้องงดไป 2 สัปดาห์ จึงจะทำต่อได้ครับ


ผลข้างเคียง ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

  • ปริมาณโบท็อกซ์ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
  • ฉีดโบท็อกไม่ถูกตำแหน่ง อาจทำให้โบท็อกไปโดนกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ ทำให้ตาตก ปากเบี้ยว หน้าไม่เท่ากัน
  • ฉีดโบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว ไม่เห็นผล หรืออยู่ได้สั้นลง เสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกมากขึ้น และอาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายตามมา เช่น แพ้ อักเสบ ติดเชื้อ
  • ฉีดโบท็อกกับหมอกระเป๋า หรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้เพียงพอ ห้องทำหัตถการไม่สะอาด ห้ามฉีดเด็ดขาด

หากฉีดโบท็อกแท้ แล้วมีผลข้างเคียงที่เกิดการเทคนิคการฉีด เช่น ตาตก ปากเบี้ยว จริง ๆ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ตัวยาจะหมดฤทธิ์ ใบหน้าก็จะกลับมาเป็นปกติครับ หรือจะเร่งการสลายด้วยการใช้ความร้อนช่วยก็ได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อให้ประเมินและแก้ไขเป็นรายบุคคล


โบท็อก VS ร้อยไหม VS เมโสแฟต VS เครื่องยกกระชับ เปรียบเทียบกันชัด ๆ

  • โบท็อก VS ร้อยไหม : การร้อยไหมจะช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ แก้มย้อย แก้มห้อย เป็นปัญหามาจากโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อยลงตามอายุที่มากขึ้น โบท็อกจะช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ และกระชับผิวเล็กน้อยเท่านั้นครับ
  • โบท็อก VS เมโสแฟต : ทั้งสองหัตถการมีจุดประสงค์ในการใช้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ โบท็อกช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อ ส่วนเมโสแฟตจะเป็นการฉีดเพื่อลดไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง
  • โบท็อก VS เครื่องยกกระชับ : เครื่องมือยกกระชับ เช่น Hifu Ulthera Thermage จะเป็นการใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุ ส่งพลังงานไปใต้ผิวเพื่อให้เกิดความร้อน เนื้อเยื่อจะหดตัวและยกกระชับขึ้น เป็นการแก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิวจากชั้นลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวคุณภาพดีขึ้น ต่างจากโบท็อกที่แก้ปัญหาริ้วรอยจากกล้ามเนื้อครับ

แต่ละหัตถการจะใช้ลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าจากปัญหาที่ต่างกันครับ แต่จริง ๆ แล้วสามารถทำหัตถการร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ต้องอยู่ในการดูแลและพิจารณาลำดับหัตถการของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยนะครับ


ฉีดโบท็อก คือทางออกสำหรับใครบ้าง ?

การฉีดโบท็อกเป็นทางออกสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย หรือต้องการปรับรูปหน้า โดยที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ถือว่าเป็นหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่าง และเป็นเบสิคในการเสริมความงามที่หลาย ๆ คนเลือกทำเป็นอย่างแรก ๆ มีความปลอดภัยและผลข้างเคียงน้อย หลังฉีดโบท็อกสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ


สรุป

สำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอย การฉีดโบท็อกตั้งแต่อายุน้อย จะช่วยรักษาคุณภาพของผิวไว้ได้ด้วยครับ เพราะเมื่อผิวไม่เกิดการพับบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ในจุดเดิม ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น ช่วยยืดเวลาในการเกิดริ้วรอยออกไปได้ รวมถึงยังเป็นหัตถการที่แก้ปัญหาได้หลากหลาย สามารถปรับรูปหน้าเรียว ลดกราม หรือปรับลดขนาดกล้ามเนื้อในจุดต่าง ๆ ให้เรียวสวยขึ้นได้

ทั้งนี้การฉีดโบท็อก ไม่ใช่ว่าจะฉีดกับใครก็ได้ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อกแท้ และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยมากที่สุดครับ

Hifu คืออะไร ช่วยอะไรบ้าง ? เปรียบเทียบ Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร ?

0
hifu

hifu


Hifu 

หนึ่งในนวัตกรรมยกกระชับผิวที่ทำแล้วเห็นผลลัพธ์ชัดเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด คือการทำ Hifu ครับ เพราะพลังงานของเครื่องที่ยิงลงไป สามารถลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS ที่เป็นผิวหนังชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า หลังทำผิวที่หย่อนคล้อยจะดูยกกระชับ และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้ครับ

สำหรับใครที่ต้องการกระชับผิวพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำการทำ Hifu ครับ Hifu คืออะไร ? ช่วยอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ? นิยมทำตำแหน่งไหน ใช้กี่ช็อต/ไลน์ ? hifu มีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร กี่วันเห็นผล ? เปรียบเทียบ HIfu กับหัตถการอื่น ๆ 


Hifu คืออะไร ?

กระบวนการทำงานของ hifu

Hifu (Hight intensity focus ultrasound) คือเครื่องมือยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงยิงลงไปในชั้นผิวแต่ละชั้นเพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว คล้ายกับการผ่าตัดดึงหน้า หลังทำผิวจะดูยกกระชับ ริ้วรอยลดลง ช่วยลดเหนียง ลดแก้มห้อย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าไม่สามารถทำได้

Hifu/ไฮฟู่  ปัจจุบันมีออกมาจำหน่ายหลายยี่ห้อครับ ยี่ห้อที่ดีและได้รับความนิยมที่สุดคือ Ulthera ซึ่งเป็นเครื่อง Original ของ Hifu รองลงมาคือ Ultraformer III และเครื่อง hifu อื่น ๆ เช่น Exilis Elite, Smazlift, Sygmalift, Lifthera และ Contlex แต่ละยี่ห้อจะมีเทคโนโลยีที่ต่างกันไปตามเกรดของคุณภาพครับ ซึ่งในบทความนี้หมอจะกล่าวถึง Hifu ยี่ห้อ Ultraformer III เป็นหลักครับ


เครื่อง Hifu Ultraformer III คือ ?

Ultraformer III คืออะไร

Hifu Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ระบบ Macrofocus ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถกระตุ้น Collagen ได้ในทุกชั้นผิว มีรอบพลังงานไวที่สุดเมื่อเทียบกับ Hifu ยี่ห้ออื่น ๆ ตามท้องตลาด มีความปลอดภัยสูง สามารถใช้พลังงานได้สูงเต็มที่โดยไม่ทำร้ายผิวหนัง และผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะมีความแน่นขึ้น กระชับขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผิวยกกระชับ   รูขุมขนดีขึ้น ผิวเนียนนุ่มขึ้น หน้าเรียบเนียนใสและอ่อนเยาว์ครับ


Hifu ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิว 
  • ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้คิ้วยกขึ้น 
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก รวมถึงริ้วรอยรอบดวงตา 
  • ช่วยปรับหน้าเรียว V-shape เก็บกรอบหน้า ลดเหนียง ลดคาง 2 ชั้น 
  • ช่วยกระชับต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย 
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว คงความอ่อนเยาว์ ลดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้างในเวลาเดียวกัน

Hifu เหมาะกับใคร ?

  • คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ แก้มตก แก้มห้อย หน้าไม่ได้รูป
  • คนที่มีริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ริ้วรอยมุมปาก ร่องน้ำหมาก 
  • คนที่มีเหนียงใต้คาง มีคางสองชั้น ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย มีกรอบหน้าชัดขึ้น
  • คนที่ต้องการปรับรูปหน้า แต่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น 
  • คนที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว คงความอ่อนเยาว์

Hifu มีข้อดี – ข้อเสีย อย่างไร ?

  • เป็นคลื่นอัลตราซาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก ไม่เกิดผิวไหม้
  • มีหลายหัวยิงให้เลือกใช้ ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว ผลลัพธ์แม่นยำ ตรงจุด
  • มีหัวยิงพิเศษ Cherry Pink ที่เป็นหัวใหม่ล่าสุด สามารถยิงลงลึกถึง 2.0 mm และมีรูปทรงหัวยิงที่เล็ก เรียว บาง ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอยทั่วใบหน้า ยกคิ้ว ยกหนังตาตก แก้ปัญหาร่องแก้ม
  • เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม เพราะไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด สามารถแก้ปัญหาผิว ใบหน้าหย่อนคล้อยได้แม่นยำ ตรงจุด
  • ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ลดแก้ม ลดเหนียงแล้ว Hifu ยังสามารถทำในจุดอื่น ๆ ที่ต้องการให้ยกกระชับ  เช่น แก้ม, เหนียง, กรอบหน้า, ร่องแก้ม, ใต้ตา, เปลือกตาบน, หน้าผาก รวมถึงลำตัว เช่น  ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง และสะโพก 
  • หลังทำสามารถใช้หน้าได้เลย ไม่มีรอยแดง ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และมีขั้นตอนการทำไม่นาน ประมาณ 30-50 นาที
  • เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 20% และเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 5-6 เดือน สามารถมาทำเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพผิว
  • ข้อเสียพบได้น้อย ส่วนมากจะพบในคนที่ใช้เครื่องปลอม เครื่องเกรดต่ำ ทำ Hifu กับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ไม่มีประสบการณ์การใช้เครื่อง

ทำ Hifu ตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ช็อต/ไลน์ ?

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 line
  • แก้ม และ เหนียง ประมาณ 300 line
  • ใต้ตา และ ร่องแก้ม ประมาณ 300 line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 700 line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 line 

การทำ Hifu ถ้าเลือกใช้จำนวนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา ใช้น้อยเกินไป อาจทำให้เห็นผลลัพธ์ไม่ชัดเจนและอยู่ได้สั้นลง หรือในเคสที่มีเนื้อแก้มน้อย แก้มตอบ แต่มีร่องแก้มลึก หากใช้จำนวนช็อตเยอะก็จะยิ่งทำให้แก้มดูตอบกว่าเดิม


Hifu รีวิว

รีวิว ทำ Hifu Ultraformer III ก่อน-หลังทำ

hifu รีวิวhifu รีวิว

รีวิว hifu ยกกระชับผิว ย้อนวัย

รีวิว Hifuยกกระชับหน้าหย่อนคล้อย คงความอ่อนเยาว์


ทำ Hifu กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม อยู่ได้กี่เดือน ?

โดยทั่วไปการทำ Hifu จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน และสามารถมีระยะเวลาถึง 1 ปี ถ้าใช้ค่าพลังงานที่สูง ขึ้นอยู่กับคนไข้สามารถทนเจ็บได้หรือไม่ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังทำ หากดูแลตามคำแนะนำของหมอ ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานขึ้นครับ


ทำ Hifu เจ็บไหม  มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

การทำ Hifu เจ็บครับ แต่อยู่ในระดับที่ทนได้ เครื่อง Hifu เกรดดี จะต้องทำแล้วเจ็บ หลังทำจึงอาจมีอาการบวมได้เป็นเรื่องปกติ แต่ได้ผลดี ผิวยกกระชับและอยู่ได้นานขึ้น เพราะหลักการทำงานของ Hifu คือจะต้องยิงคลื่นเสียงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ  SMAS เพื่อให้ผิวยกกระชับ เต่งตึงขึ้น

หากคนไข้กลัวเจ็บมาก ๆ ไม่สามารถทนเจ็บได้ก็เลือกระดับที่ทนไหว แล้วใช้ความถี่ในการทำไฮฟู่แทนก็จะได้ผลเหมือนกันครับ


การดูแลตัวเองก่อน – หลังทำ Hifu

การดูแลตัวเอง ก่อนทำ Hifu 

การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer III ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนครับ เหมือนกับการทำทรีทเมนต์ผิวทั่วไป คนไข้สามารถปฏิบัติได้ดังนี้

  • หากทำเลเซอร์เป็นประจำ ควรเว้นระยะก่อนทำ Hifu ประมาณ 2 สัปดาห์
  • หากคนไข้ฉีดโบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม มาก่อน ควรเว้นระยะก่อนทำ Hifu อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ผิวฟื้นฟูเต็มที่
  • สามารถทำทรีทเม้นท์บำรุงผิวก่อนการทำ Hifu ได้
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ 3-7 วัน
  • สำหรับผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโรคเริม หรือมีปัญหาติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการทำ

การดูแลตัวเอง หลังทำ Hifu 

  • สามารถทาครีมบำรุงได้ตามปกติ และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า spf สูง เพื่อป้องกันแสงแดดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • หากคนไข้มีอาการผิวตึง ปวดบริเวณใบหน้า สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงการออกแดด 1-2 สัปดาห์ เพื่อฟื้นฟูให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
  • ไม่ควรนวด กด หรือถูกบริเวณใบหน้าแรง ๆ 
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เพราะอาจทำให้กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจน ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อันไหนดีกว่ากัน ?

Hifu กับ Botox ทั้งคู่เป็นหัตถการที่หวังผลในเรื่องลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียวได้เหมือนกันครับ แต่มีข้อแตกต่างกันในเรื่องหลักการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย รวมไปถึงระยะเวลาเห็นผล

  • Hifu จะทำงานด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ส่งลงไปในชั้นผิวหนัง โดยคลื่นจะมีลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง ซึ่งคลื่นนี้จะไปทำให้ชั้นไขมันและชั้น SMAS เกิดการหดตัวด้วยความร้อน 60°C-70°C โดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้ หลักการคล้าย ๆ กับเนื้อที่เราวางลงบนกระทะร้อน ๆ เนื้อจะหดครับ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง และช่วยปรับรูปหน้าเรียววีเชฟได้
  • โบท็อกซ์ (Botox) จะเป็นการฉีดตัวยา “Botulinum Toxin A” เข้าไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์จับกับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว ผิวบริเวณนั้นจึงขยับได้น้อยลง และไม่เกิดการพับ จึงช่วยลดริ้วรอยได้ ในคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อก็สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้กรามเล็กลง หน้าดูเรียวขึ้นครับ 

สรุปแล้ว Hifu กับ Botox อันไหนดีกว่ากัน ? คำตอบ คือดีทั้งคู่ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้มีปัญหาอะไรและต้องการแก้อย่างไร เช่น คนไข้มีปัญหาริ้วรอยที่ไม่ลึกมากตรงบริเวณหน้าผาก หางตา การฉีดโบท็อกอย่างเดียวก็เพียงพอครับ แต่ในเคสที่ดื้อโบท็อก ก็สามารถใช้ Hifu เพื่อช่วยในการลดริ้วรอยได้

ทั้งนี้รวมไปถึงความคุ้มค่าอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย เช่น งบประมาณ จำนวนครั้งที่ต้องทำ ระยะเวลาเห็นผลซึ่งต้องวิเคราะห์เป็นรายบุคคลครับ


เปรียบเทียบ Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี ?

Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร

Hifu Thermage และ Ulthera เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิวเหมือนกันครับ แต่จะมีความต่างกันที่หลักการทำงาน ขนาดของจุดที่ focus และระดับพลังงานที่ลงลึกในชั้นผิว ซึ่งจะมีผลต่อผลลัพธ์หลังทำ หมอจะอธิบายความแตกต่างของทั้ง 3 เครื่องแบบเข้าใจง่าย ดังนี้ครับ

Hifu กับ Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับที่มีหลักการทำงานเหมือนกันครับ ทั้งการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ระดับพลังงานที่ลงลึกได้ถึงผิวชั้น smas และเด่นเรื่องยกกระชับ ยกแก้ม ลดความหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน แต่มีความต่างกันเล็กน้อยตรงที่ Ulthera มีขนาดจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ 1 mm. ในขณะที่ Hifu มีขนาดจุดโฟกัส 0.5-1 mm. และ Ulthera จะมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงผ่านหน้าจอเครื่องแบบ Real Time 

ส่วน Thermage จะเป็นเครื่องยกกระชับที่ทำงานด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) มีขนาดจุดโฟกัสที่ 3-4 cm2 ลงลึกจากผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน พลังงานที่ปล่อยออกมาจะส่งผ่านความร้อนแบบ Column ทำให้สามารถสร้างความร้อนใต้ผิวหนังได้ลึกและทั่วถึงมากกว่าเครื่องมืออื่น ๆ จึงเด่นในการช่วยสลายไขมันสะสม 

สรุป Hifu VS Thermage VS Ulthera ต่างกันอย่างไร ? ความต่างในด้านผลลัพธ์การยกกระชับ ทำให้หน้ายก แก้มยก Hifu กับ Ulthera จะทำได้ดีกว่า Thermage ครับ เพราะพลังงานที่ยิงจะเป็นเส้นตรงเรียงกัน จึงสามารถยกกระชับผิวในทิศทางของเส้นที่ยิงได้ แต่ Thermage พลังงานเป็นวงกว้าง ครอบคลุมทั้งชั้นผิว ทิศทางพลังงานไม่ชัดเจน จึงเด่นในเรื่องลดไขมัน และช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม แต่การยกกระชับทำได้ไม่ดีเท่า Hifu กับ Ulthera 

สรุป Ultraformer III vs Ulthera vs Thermage เครื่องไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? ถ้าคนไข้มีงบประมาณปานกลาง ทนเจ็บได้ระดับปานกลาง หมอแนะนำเป็น Hifu แต่ถ้ามีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกหน่อย และอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นเป็นปี ทนเจ็บได้มากกว่า หมอจะแนะนำ Ulthera ส่วนใครที่สามารถทนเจ็บไหว การทำ Thermage เหมาะสมครับ ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำด้วยครับ


Hifu ราคาเท่าไหร ?

Hifu ราคาเริ่มต้นที่ 3,999.-/100 ไลน์ครับ นอกจากนี้ราคายังขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์ร่วมด้วยครับ

คนไข้ที่เจอโปรโมชั่น Hifu ราคาถูก หรือเป็นแบบไฮฟู่บุฟเฟ่ต์ ไม่จำกัดจำนวนซ็อตแล้วรู้สึกคุ้มค่า แต่บางทีไฮฟู่ราคาถูกก็อาจไม่ได้ดีเสมอไปครับ เพราะหัวที่ใช้ยิง hifu ย่อมมีต้นทุนตามจำนวน line ที่ใช้ยิง เช่น ต้องทิ้งแล้วเปลี่ยนหัวใหม่เมื่อยิงครบ 20,000 line ดังนั้น หากเป็นหัวยิงคุณภาพดี เป็นไม่ได้เลยที่จะมีราคาถูกมากครับ


ทำ Hifu ที่ไหนดี ?

ทำ Hifu ที่ไหนดี

  • เลือกคลินิกได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบการให้ประกอบการจากกระทรวงสาธารณสุข ติดไว้ในบริเวณที่ที่เปิดเผยและเห็นได้ชัดเจน 
  • ใช้เครื่อง Ultraformer III แท้ มีคุณภาพ 
  • ควรทำ Hifu กับแพทย์มีประสบการณ์ สามารถวางแผนและแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมตรงจุด มีความรู้และเทคนิคในการใช้เครื่อง hifu 
  • มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลคนไข้ในภายหลัง และมีการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวทั้ง ก่อน – หลังทำไฮฟู่ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คนไข้เข้าใจเป็นอย่างดี 
  • คลินิกควรมีช่องทางไว้สำหรับติดต่อได้สะดวก โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line@ คนไข้จะได้สามารถสอบถามข้อสงสัยกับคุณหมอที่ทำเคสของตนเองได้โดยตรงอย่างทันการณ์

สรุป

Hifu Ultraformer III เป็นนวัตกรรมความงามที่ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว ลดริ้วรอยแห่งวัย และเพิ่มความกระชับให้กับบริเวณผิวหน้าได้อย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ ชะลอการเกิดริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับ

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? รู้ข้อดี-ข้อเสียก่อนฉีดปรับรูปหน้า

0
ฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีลดร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกเสริมความงาม 

เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์มากขึ้น ฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงไหม ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? เจ็บไหม ? ใช้กี่ CC ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ต่างจากฉีดไขมันอย่างไร ? ฟิลเลอร์แท้-ปลอม ดูอย่างไร ? ยี่ห้อไหนดี ? หมอตอบทุกข้อสงสัยในบทความนี้ครับ 


ฟิลเลอร์ คืออะไร ? 

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA Filler ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทดแทนคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเกิดร่องลึก ริ้วรอย รวมทั้งความหย่อนคล้อย โดยฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ

Filler คืออะไร ? ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกควรรู้


ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก จากการที่กระดูกยุบตัว เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก 
  • ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น ขมับตอบ ปากไม่เท่ากัน 
  • ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง 
  • ผู้ที่มีหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ช่วยรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น โดยไม่ทิ้งรอยแผล 

ฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ช่วยลดริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้สวยงามสมส่วน โดย Filler จะเข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต   

ฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง

หลังฉีดฟิลเลอร์ เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที

ฟิลเลอร์ ข้อดี 

  • เห็นผลเร็ว หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 
  • ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น 
  • สามารถใช้หน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 
  • ขั้นตอนสะดวก ใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที 
  • ฟิลเลอร์สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง
  • หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถฉีดสลายออกได้ และเติมใหม่ได้   

ฟิลเลอร์ ข้อเสีย

  • หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจได้ผลลัพธ์ไม่สวยงาม เช่น ฉีดฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน   
  • ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร (แต่สามารถฉีดซ้ำหรือเติมใหม่ได้เพื่อคงผลลัพธ์)

ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน 

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการความงามที่ช่วยเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับฉีดปรับรูปหน้าด้วยวิธีอื่น เช่น ฉีดไขมันหน้าเด็ก VS ฉีดฟิลเลอร์ เลือกวิธีไหนดี ? หมอเปรียบเทียบขั้นตอนการทำ ระยะเวลาเห็นผล ระยะเวลาคงผลลัพธ์ และความคุ้มค่า เพื่อประกอบการตัดสินใจ     

  • ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA Filler ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ หลังจากแพทย์ประเมินปัญหาและสภาพผิว แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ ปริมาณ CC ที่เหมาะสม ก่อนฉีดจะมีการแปะยาชา ทำให้ขณะฉีดเจ็บน้อยหรือแทบไม่รู้สึกเจ็บ หลังฉีดครั้งแรกเห็นผลลัพธ์ทันที อาจมีอาการบวม เป็นอาการปกติ ยุบบวมและเห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน ระยะเวลาอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้   
  • ฉีดไขมัน เป็นการใช้ไขมันของตัวเองมาฉีด ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ โดยจะดูดไขมันจากหน้าท้องหรือต้นขา นำมาตรวจเช็กและปั่นแยกเป็นของเหลวก่อนฉีด ทำให้มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน ทำครั้งแรกผลลัพธ์อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก ต้องทำซ้ำหลายครั้ง เจ็บตัวหลายครั้ง และอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียนเสมอกันได้      

ฟิลเลอร์ ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? 

การฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะฉีดบริเวณที่มีปัญหาร่องลึก ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า มี 7 จุด ที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน  

ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์เติมเติมเต็มขมับยุบ ขมับตอบ

  1. ฟิลเลอร์ใต้ตา เติมเต็มร่องลึก ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูเด็กลง  
  2. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม  แก้ปัญหาร่องแก้มลึก เติมเต็มร่องริ้วรอย ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  3. ฟิลเลอร์แก้มส้ม เติมเต็มแก้มส่วนบนให้ยกกระชับ ดูมีมิติ หน้าดูเด็กลง 
  4. ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน เสริมโหงวเฮ้ง 
  5. ฟิลเลอร์ขมับ แก้ปัญหาขมับลึก ขมับตอบ เติมเต็มใบหน้าให้มีมิติ 
  6. ฟิลเลอร์ปาก ปรับรูปทรงปาก ช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น 
  7. ฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย วีเชฟ แก้คางสั้น คางตัด คางถอย 

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังสามารถฉีดในตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ยกหน้า ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก ฟิลเลอร์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกมุมปาก ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว (Skinbooster) ฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์มือ ฟิลเลอร์หลุมสิว ได้ด้วยครับ 


ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละตำแหน่ง ใช้กี่ CC ? 

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 3-5 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 2-4 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก 1-2 CC 
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง 1-2 CC

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่งจะใช้ปริมาณ CC ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ หมอจะต้องประเมินก่อน โดยดูจากความลึกของผิวที่ต้องการเติมเต็ม ลักษณะโครงสร้างใบหน้า กรณีปัญหาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูก ปริมาณ CC ที่เหมาะสม ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยครับ


รีวิว ฉีดฟิลเลอร์ 

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์(2)

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์คาง

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์(1)

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

แก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา ร่องแก้มลึก หน้าหย่อนคล้อย ด้วยฟิลเลอร์

 ฉีดฟิลเลอร์ แก้ไขใต้ตาดำ หน้าผากยุบ


ฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? อยู่ได้กี่เดือน ? 

หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ เห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน (2 อาทิตย์) ต้องรอให้ฟิลเลอร์ยุบบวมก่อนครับ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 

ฟิลเลอร์จะไม่อยู่ถาวรครับ สามารถสลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมทั้งการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ตามคำแนะนำของแพทย์ หลังฟิลเลอร์สลายสามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ครับ  


การดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง ฉีดฟิลเลอร์

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 

  • ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกหมอที่มีประสบการณ์ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้ 
  • งดยาและวิตามินบางชนิด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. John’s Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng และ Vitamin E
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว ดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้รับประทานยาห้ามเลือด หรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ

หลังฉีดฟิลเลอร์ 

  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา และกดนวดในตำแหน่งที่ฉีด 
  • อาจมีอาการบวมเป็นปกติ จะค่อย ๆ ยุบบวมใน 5-7 วัน (คลินิกจะจ่ายยาแก้ปวดลดบวมให้)
  • หากก่อนฉีดฟิลเลอร์ ไม่ได้รับประทานยาฆ่าเชื้อ หลังฉีดฟิลเลอร์ควรรีบรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
  • อยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง 
  • งดเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 1 เดือน
  • งดรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อการอักเสบ และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ ปิ้งย่าง ชาบู อาหารหมักดอง อาหารรสจัด อาหารดิบหรือปรุงไม่สุก 
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า และส่งผลการรักษาอยู่ได้สั้นลง 

ฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ จะมีในเรื่องของอาการบวม ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย เป็นปกติครับที่หลังฉีด-3 วัน จะมีอาการบวมมากขึ้น แต่จะค่อย ๆ ยุบบวมลงใน 5-7 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 14 วัน 

นอกจากฟิลเลอร์ที่ใช้ ประสบการณ์ เทคนิคของแพทย์ รวมทั้งยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก็สำคัญครับ กรณีฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมเป็นก้อน เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ โดยตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม  


อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม และการฉีดสลายฟิลเลอร์ 

การฉีดฟิลเลอร์ปลอม จำพวกซิลิโคนเหลว พาราฟิน จะไม่สลายตามธรรมชาติ และส่งผลเสียในระยะยาวครับ รวมถึงการใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมประสิทธิภาพ ฉีดแล้วไม่เห็นผล หรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น ฟิลเลอร์เน่า อักเสบติดเชื้อ ฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ไหลย้อยผิดทิศทาง หรือเกิดการอุดตันในเส้นเลือด เสี่ยงเนื้อตายและตาบอด  

ฟิลเลอร์ปลอม ไม่สามารถฉีดสลายได้ครับ ต้องขูดฟิลเลอร์ออก ถ้าโดนเส้นประสาทอาจให้ใบหน้าผิดรูปได้ หรือในกรณีฟิลเลอร์ปลอมเป็นก้อนขนาดใหญ่ และแข็ง ต้องผ่าตัดออก ซึ่งต้องทำโดยศัลยแพทย์เท่านั้น ถ้าฉีดฟิลเลอร์มานานจนเป็นพังผืดเกาะ ก็จะไม่สามารถเอาออกได้ทั้งหมด


วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์จึงต้องมั่นใจก่อนว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นฟิลเลอร์แท้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่ต้องมาควบคู่กัน โดยสามารถตรวจสอบฟิลเลอร์ก่อนฉีด ดังนี้  

  • ฟิลเลอร์แท้ ต้องมีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาไทย
  • เลข lot ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์หรือหลอด ตรงกัน
  • สามารถนำเลข lot โทรเช็กกับบริษัทนำเข้าได้ 

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ เช็กให้ชัวร์ก่อนฉีด


ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ? 

ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมีหลายยี่ห้อครับ ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดียว ไม่สามารถฉีดได้ทุกตำแหน่ง แก้ได้ทุกปัญหา แต่ละยี่ห้อจึงมีแยกย่อยออกเป็นรุ่นต่าง ๆ ให้แพทย์เลือกใช้ โดยปัจจุบันมีฟิลเลอร์ แบรนด์ระดับโลกที่แพทย์ความงามทั่วโลกให้ความไว้วางใจหลายยี่ห้อครับ เช่น 

  • Juvederm (ฟิลเลอร์อเมริกา)
  • Restylane (ฟิลเลอร์สวีเดน) 
  • Belotero (ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์)
  • Definisse (ฟิลเลอร์อิตาลี)
  • Flore Max (ฟิลเลอร์เกาหลี)

แต่ละตำแหน่งบนใบหน้า ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ?  

แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด ผลลัพธ์ดีครับ


ฉีดฟิลเลอร์ ราคา

ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเริ่มต้น 9,900 บาท/CC สำหรับแบรนด์ฟิลเลอร์ฝั่งยุโรป แต่ถ้าคนไข้มีงบประมาณไม่มาก ก็สามารถเลือกใช้แบรนด์ฟิลเลอร์เกาหลี ซึ่งจะมีราคาที่ถูกลงครับ โดยคลินิกส่วนใหญ่จะมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อ หลายรุ่น ให้แพทย์เลือกใช้ และคนไข้ได้เลือกตามงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีการจัดโปรโมชัน ส่วนลด หรือรูดผ่อน 0% กับบัตรเครดิต ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ราคาคุ้มค่ามากขึ้น  


ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? 

เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? ไม่ควรเลือกจากราคาเพียงอย่างเดียวครับ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา เช่น มาตรฐานของคลินิก ประสบการณ์แพทย์ ฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมทั้งรีวิวจากคนไข้ที่ใช้บริการ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มั่นใจทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการครับ  

คลินิกฉีดฟิลเลอร์

คลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน


สรุป

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีแก้ปัญหาผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุครับ ซึ่งจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนตามธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้เกิดการยุบตัวเป็นร่องหรือเกิดริ้วรอย การฉีด Filler จะเข้าไปเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เต่งตีง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ 

สำหรับใครที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถส่งรูปหน้ามาให้แพทย์ประเมินปัญหาก่อนได้ทางออนไลน์ หรือสอบถามข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิลเลอร์ได้ หมอตอบเอง ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

รวมข้อควรรู้ก่อน ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีอย่างไร ? มีผลข้างเคียงไหม ?

0
ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง

สำหรับคนที่ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้น แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์มาก ๆ ครับ เพราะสามารถปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นแบบเห็นผลชัดเจน ช่วยให้คนที่มีปัญหาคางสั้น หน้ากลม หรือมีปัญหาคางตัด คางบุ๋ม คางสองข้างไม่เท่ากัน มีรูปหน้าที่สมมาตรมากขึ้น เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน และยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนไข้ไม่ต้องการเสี่ยงกับการผ่าตัดเสริมคาง

ใครที่วางแผนปรับรูปหน้า ต้องการแก้ปัญหาคางสั้น หน้ากลม แต่ยังไม่มั่นใจว่าฉีดฟิลเลอร์คางดีไหม ? ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ? ฉีดฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี ใช้ filer กี่ cc ? หมอได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจไว้ให้แล้วในบทความนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การเสริมคางให้ยาวขึ้นด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid (HA) เข้าไปบริเวณคาง และทำการปรับตกแต่งรูปคางให้รับกับใบหน้า เป็นหนึ่งในวิธีปรับหน้าเรียววีเชฟที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ช่วยแก้ปัญหาคางต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เมื่อเวลาผ่านไปฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเรื่องอะไรบ้าง

  • แก้ปัญหาคางสั้น หน้ากลมที่เกิดจากลักษณะโครงหน้าสั้นโดยกำเนิด หรือมีกระดูกส่วนล่างของใบหน้าถอยหลุบเข้าไปด้านใน ทำให้ดูปากอูม ฟันยื่น ฟันไม่สบกัน
  • แก้ปัญหาคางตัดที่มีลักษณะคางทู่ที่มักพบในคนเอเชียที่ส่วนใหญ่จะมีกระดูกกรามใหญ่ ทำให้ใบหน้าส่วนล่างดูกว้าง 
  • แก้ปัญหาคางไม่เท่ากัน ที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีคางผิดรูป หลังฉีดคางจะสมมาตรยิ่งขึ้น
  • แก้ปัญหาคางถอยที่ใบหน้าส่วนล่างถอยเข้าไปด้านใน ทำให้สัดส่วนของใบหน้าดูไม่มีมิติ
  • แก้ปัญหาคางบุ๋มที่มีร่องตรงกลางบุ๋มลงไป ดูเป็นคลื่น ทำให้หน้าดูแข็ง 
  • ช่วยปรับโหงวเฮ้งในทางที่ดีขึ้น

ข้อดี-ข้อเสียของฟิลเลอร์คางมีอะไรบ้าง ?

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยแบบเร่งด่วน 
  • หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • ไม่มีรอยแผล รอยบวมช้ำเหมือนการผ่าตัดเสริมคาง
  • สามารถฉีดได้เรื่อย ๆ โดยไม่ทำให้เนื้อคางผิดรูป
  • หลังฉีดหากไม่ถูกใจกับผลลัพธ์ ยาวหรือสั้นเกินไปก็สามารถฉีดสลาย และฉีดเติมคางได้ปรับแก้ได้ตามความเหมาะสม
  • มีราคาถูกกว่าการผ่าตัดเสริมคาง
  • หากแพทย์ฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ฟิลเลอร์จะไม่เป็นก้อน ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น 

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง

  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ต่อการฉีด 1 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองของแต่ละคน)
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นมาก ๆ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ ไม่สามารถเสริมคางให้ยาวมากได้เท่ากับการผ่าตัด ถ้าเติมเยอะเกินไปอาจทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้

ลักษณะคางที่ดีเป็นอย่างไร ?

ลักษณะคางที่ดีเป็นอย่างไร

โหงวเฮ้งคาง (ตี่เก๊าะ) จะบ่งบอกถึง ความรู้ ความสามารถ 

ลักษณะคางที่ดี คือ คางจะต้องมีความกลมมน มีรูปคางนูนที่ไม่ใช่นูนด้วยกระดูก แต่นูนด้วยเนื้อ เป็นเครื่องหมายแสดงว่า เป็นคนมีวาสนามั่งมีทรัพย์เชื่อตัวเองมากกว่าจะเชื่อผู้อื่น สติปัญญาสูง

ลักษณะด้อย

  • คางสองชั้น : อาจจะดูเป็นคนเกียจคร้าน นิยมวัตถุมากกว่าความรับผิดชอบของตน จึงดูเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย
  • คางแหลม : ไม่ค่อยประนีประนอม มีทางเลือกหลายทางในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย
  • คางหลบ คางสั้น : ไม่ค่อยเน้นสังคม ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ มีลับลมคมใน มักขี้กังวล ลูกน้องบริวารไม่จริงใจ ทำงานรวดเร็ว ขาดความอดทน ขี้เกรงใจ

เปรียบเทียบฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง แบบไหนดีกว่ากัน ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ผ่าตัดเสริมคาง
เป็นการใช้สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปยังบริเวณคาง เพื่อเสริมคางให้ยาวขึ้น เป็นการผ่าตัดใส่ซิลิโคนสังเคราะห์เข้าไปใต้เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อเสริมคางให้ยาวขึ้น
เหมาะกับผู้ที่มีคางสั้นแต่ไม่มากเกินไป มีคางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน ใบหน้าไม่สมมาตร หรือผู้ที่อยากปรับแต่งรูปหน้า เสริมให้หน้าเรียว  เหมาะกับผู้ที่มีคางสั้นมาก ๆ ต้องการปรับรูปทรงคางให้ยาวมากกว่า 1 cm.   
หลังฉีด 3 วันอาจมีอาการบวมเล็กน้อย แต่จะยุบบวมเข้าที่ใน 7-14 วัน มีอาการบวมได้ 3-4 สัปดาห์ เข้าที่ใน 1-3 เดือน
เห็นผลทันทีหลังทำ ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เห็นผลใน 3 เดือน และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน หากดูแลแผลไม่ดี อาจเสี่ยงแผลติดเชื้อ เป็นหนอง อักเสบ
หากฉีดด้วยตัวยาแท้ สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือสามารถฉีดสลายได้ในกรณีที่ต้องการแก้ไขผลลัพธ์ และยังฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ   หากต้องการแก้ไข จะต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง และหากใช้ซิลิโคนไม่มีเกรด อาจทำให้คางเสียรูป ใบหน้าไม่เท่ากันได้

สรุปฉีดฟิลเลอร์คาง VS ผ่าตัดเสริมคาง แบบไหนดีกว่ากัน ? หากคนไข้ที่ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้นแบบเห็นผลเร่งด่วน ไม่มีเวลาพักฟื้น และมีรูปคางที่ไม่สั้นมาก การฉีดฟิลเลอร์จะตอบโจทย์มากกว่าครับ แต่สำหรับคนไข้ที่มีเวลาพักฟื้น และมีรูปคางที่สั้นมาก ต้องการเสริมคางให้ยาวขึ้นมากกว่า 1 cm. จะเหมาะกับการผ่าตัดเสริมคางครับ 

ทั้งนี้ควรพิจารณาจากปัญหาของแต่ละคน ก่อนตัดสินใจหมอแนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหาและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางอันตรายไหม ?

กล้ามเนื้อ mentalis บริเวณคาง

การฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่อันตรายครับ หากฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง แต่หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ก็จะส่งผลเสียได้ เพราะบริเวณคางจะมีกล้ามเนื้อ mentalis ซึ่งเป็นจุดที่แพทย์ต้องระวัง ถ้าฉีดฟิลเลอร์ไปโดนกล้ามเนื้อมัดนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อดึงฟิลเลอร์ให้มากองรวมกัน ทำให้คางเสียรูป ยิ้มแล้วฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์คางเจ็บไหม ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เจ็บครับ เพราะในเนื้อฟิลเลอร์บางรุ่นจะมีการผสมยาชาไว้อยู่แล้ว ส่วนใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ ก็สามารถให้หมอแปะยาชาก่อนฉีดได้ รวมไปถึงตอนฉีดก็จะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดอาการเจ็บอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเจ็บจนทนไม่ไหวครับ

ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์คาง ?

  • คนที่มีผิวติดเชื้อ ผิวอักเสบในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สารไฮยาลูรอนิกแอซิด รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • สตรีมีครรภ์ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนฉีด
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย โดยเฉพาะผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (ASA), ยาแก้อักเสบปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (NSAIDS), ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Warfarin), วิตามินอี (Vitamin E), สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba) เป็นต้น แต่สามารถฉีดได้ในบางกรณี จึงจำเป็นต้องหยุดยาก่อนฉีด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการหยุดยา
  • กรณีที่เป็นเริม หรืองูสวัดอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้นได้ครับ

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 อาทิตย์

  • งดยาก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ibuprofen, diclofenac, ponstan เนื่องจากขณะฉีดอาจโดนเส้นเลือดได้ ส่งผลให้เลือดหยุดไหลช้าหรือช้ำง่ายกว่าปกติ 
  • งดวิตามิน St. John’s Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E 
  • งดการใช้ยาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น tretinoin, (เรตินเอ), retinols(เรตินอล), retinoids (เรตินอยด์) BHA, AHA ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน
  • งดดึงขน โกนขน หรือแวกซ์ขนในบริเวณดังกล่าวก่อนฉีด filler อย่างน้อย 3 วัน  
  • งดเลเซอร์หน้า นวดหน้า อย่างน้อย 3 วัน
  • หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ อบซาวน่า
  • ในกรณีที่คนไข้มียาที่ต้องกินประจำ แพทย์จะพิจารณาให้ทานยาห้ามเลือดหรือยาลดบวมตามความเหมาะสมในแต่ละเคส เพื่อลดการบวมช้ำจากรอยเข็ม 
  • สามารถแต่งหน้า ทาครีมบำรุงได้ตามปกติ 
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์จะมีการคลีนหน้า เพื่อแปะยาชา และรอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที

คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที สามารถยิ้มได้ปกติครับ แต่ควรงดสัมผัสบริเวณที่ฉีด เช่น กด นวด บีบ หรือขยับผิวในจุดนั้นมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ตัวฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนไปยังจุดอื่นได้
  • ห้ามเท้าคาง นอนคว่ำ นอนตะแคง และหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณคาง
  • ในช่วง 1 เดือนแรก ควรงดการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น การทำซาวน่า ตากแดด ออกกำลังกายหนัก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้เกิดการยุบบวมช้าหรืออักเสบได้
  • 2-3 คืนแรก ควรนอนหมอนสูงกว่าระดับหน้าอก งดนอนตะแคง
  • งดการทานอาหารที่ส่งผลต่อการยุบบวมของฟิลเลอร์ เป็นเวลา 14 วัน

ฉีดฟิลเลอร์คาง ใช้ยี่ห้อไหนดี กี่ CC ?

การฉีดฟิลเลอร์คางด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะต้องฉีดเสริมที่กระดูก ไม่ใช่เสริมที่เนื้อคาง ดังนั้นควรเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง เพื่อให้ปั้นเป็นทรงสวย ขึ้นรูปได้ง่าย สำหรับยี่ห้อที่เหมาะสม ได้แก่

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane Perlane Lyft เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน 
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งและฟูปานกลาง อุ้มน้ำได้มาก มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm Volux เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาออกมาล่าสุด เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จึงมีความยืดหยุ่นสูง ปั้นทรงสวย และคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง มีจุดเด่นในการใช้แก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติม mid-face คาง กรอบหน้า อยู่ได้นาน 18 เดือน 
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore Max เป็นฟิลเลอร์แน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดแก้ปัญหาในไขมันชั้นลึก คาง/ขมับ อยู่ได้นาน 9-12 เดือน 

สำหรับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางจะอยู่ที่ 1-2 CC โดยปกติหากไม่ได้มีปัญหาคางสั้นมาก หลังฉีด 1 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนแล้วครับ

ฉีดฟิลเลอร์คาง อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-24 เดือนครับ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงหากดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์คาง ราคาเท่าไร ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง ราคาเริ่มต้นที่ 7,900.-/1 cc ครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ซึ่งหากเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน มักจะมีราคาฉีดฟิลเลอร์คางที่ไม่ต่างกันมาก เพราะมีราคาต้นทุนที่ใกล้เคียงกัน อาจจะมีความต่างกันที่โปรโมชั่น ณ เวลานั้น ๆ รวมไปถึงค่าฝีมือแพทย์ 

กรณีคนไข้เจอฟิลเลอร์คางราคาถูกมาก ๆ  เบื้องต้นให้สอบถามกับทางคลินิกว่าใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร ผลิตจากประเทศใด หากทางคลินิกบ่ายเบี่ยงเป็นไปได้ว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือหมอที่ฉีดเป็นหมอกระเป๋า ไม่มีประสบการณ์ หมอแนะนำให้เลี่ยงจะดีที่สุดครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางกี่วันถึงจะเห็นผล ? 

หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 70-80% และจะเห็นผลชัดเจน ฟิลเลอร์เข้าที่ใน 14 วัน ซึ่งถ้าเทียบกับวิธีเสริมคางแบบอื่นอย่างการผ่าตัดหรือฉีดไขมัน การฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่ามากครับ

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี ?

ฉีดฟิลเลอร์คางที่ไหนดี

    1. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง มีป้ายชื่อสถานพยาบาลชัดเจน ตั้งอยู่ในทำเลที่น่าเชื่อถือ ไม่อับทึบ
    2. แพทย์ที่มีประสบการณ์ ในการฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถวิเคราะห์ ประเมิน และแก้ปัญหาของคนไข้ได้ตรงจุด เลือกรุ่นฟิลเลอร์ และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง (ตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/  )
    3. ใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่นำมาฉีดเป็นฟิลเลอร์แท้ คนไข้ควรศึกษาจุดสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ และควรให้แพทย์ที่ฉีดเปิดกล่องให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง
    4. ดูรีวิวที่น่าเชื่อถือ จากแหล่งที่เป็นกลาง คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง เช่น Facebook ,Pantip โดยควรดูรีวิวที่เป็นวิดีโอประกอบ ไม่ควรดูรูปภาพเพียงอย่างเดียวครับ 
    5. มีการติดตามผลและช่องทางการติดต่อที่สะดวก หลังฉีดฟิลเลอร์คาง มีการติดตามผล ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง และมีช่องทางติดต่อแพทย์เจ้าของเคสโดยตรง หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์คาง

หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ จะมีอาการบวมประมาณ 3-7 วัน ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ครับ จะค่อย ๆ ยุบบวม ฟิลเลอร์จะเข้าที่ใน 2 สัปดาห์

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์คาง

รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง แก้ไขปัญหาคางสั้น  l มั่นใจไปกับ V Square Clinic

รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง 1 CC ที่ V Square Clinic รีวิวฉีดฟิลเลอร์คาง 1 CC ที่ V Square Clinic - รวมข้อควรรู้ก่อน ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีอย่างไร ? มีผลข้างเคียงไหม ?

สรุป

การฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นวิธีเสริมคางยาว ปรับรูปหน้าให้เรียววีเชฟที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนครับ ซึ่งถ้าหากฉีดด้วยเทคนิคการเสริมกระดูก จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดเสริมคาง แต่มีข้อดีกว่า คือ สามารถปรับแต่งทรงคางได้ตามต้องการ และเมื่อสลายไปก็สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่ทำให้เนื้อคางผิดรูปครับ

Ulthera SPT ดีอย่างไร ? ยกกระชับผิวส่วนไหนได้บ้าง กี่ครั้งเห็นผล ?

0
Ulthera SPT

Ulthera SPT

Ulthera SPT

Ulthera SPT หนึ่งในหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้ต้องการคงความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าอยู่ได้อย่างยาวนาน 

การทำ Ulthera SPT คืออะไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง ? หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับการทำอัลเทอร่า SPT มาแนะนำอย่างละเอียดในบทความนี้ อาทิ เหมาะกับใคร ? ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? หลังทำกี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ?  รวมไปถึงข้อมูลเปรียบเทียบ Ulthera SPT  ต่างจาก Thermage และ Hifu อย่างไร ?   ก่อน – หลังทำ ควรรู้อะไรบ้าง ?  และวิธีดูเครื่อง Ulthera SPT แท้ดูอย่างไร ? สุดท้ายควรเลือกทำที่ไหนดี ถึงไม่เสี่ยงถูกหลอกครับ   

Ulthera SPT ช่วยยกกระชับได้อย่างไร ? 

เครื่อง Ulthera SPT เป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีหลักการทำงานด้วยการอาศัยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงเข้าสู่ใต้ผิว ลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดแก้ไขในการยกกระกระชับ ดึงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ 

การทำงาน Ulthera SPT

โดยพลังงานที่ยิงลงไปจะทำเกิดความร้อน 60-70°C ทำให้ผิวหดตัวและช่วยยกกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน จึงสามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ผิวยกกระชับขึ้นได้ ม่ต้องเจ็บตัว

ทำ Ulthera SPT ดีกว่า Ulthera แบบเดิมอย่างไร ? 

จริง ๆ แล้ว Ulthera และ  Ulthera SPT คือเครื่องเดียวกันครับ เพียงแค่ก่อนหน้านี้ไม่ได้หยิบยกเทคนิค SPT หรือ See Plan Treat  ขึ้นมาชูจุดเด่น ซึ่งเป็นการรักษาแบบ Customize ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล มีความละเอียด แพทย์สามารถมองเห็นปัญหาแต่ละบุคคลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ

  • S-See : มีหน้าจอแสดงผลแบบ Real-time ด้วยเทคโนโลยี MFU-V ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นปัญหาในทุกชั้นผิวอย่างชัดเจน วางแผนการยิงพลังงานแม่นยำ เจ็บน้อย   
  • P-Plan : เมื่อแพทย์มองเห็นโครงสร้างและปัญหาผิว ก็สามารถประเมิน วิเคราะห์ วางแผนการรักษาด้วยเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละคน    
  • T-Treat : ออกแบบการยิงพลังงานเฉพาะบุคคล ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ตรงจุด ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์ชัดเจน      

Ulthera เทคนิค SPT

นอกจากนี้เครื่อง Ulthera SPT ยังประกอบไปด้วยหัวยิงลงลึกถึงชั้นผิวหลายระดับ จึงสามารถแก้ปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ   

  • หัวยิงลึก 1.5 mm ลดริ้วรอยผิวชั้นบน ในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้
  • หัวยิงลึก 3 mm กระชับชั้นไขมัน กระตุ้นคอลลาเจน ลดความหย่อนคล้อยของผิว
  • หัวยิงลึก 4.5 mm ยิงชั้นผิว SMAS ชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า 

หัวยิง Ulthera SPT

Ulthera SPT มีข้อดี – ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 

การทำ Ulthera SPT มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย หมอเปรียบเทียบเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 

ข้อดีของการทำ UltheraSPT

  • เป็นหัตถการที่ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด 
  • เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน มีงานวิจัยรับรอง และผ่านการรับรองมาตรฐานสากลทั้งจาก U.S. FDA ของสหรัฐอเมริกา และอย.ของไทย มีการใช้ใน 75 ประเทศทั่วโลก และมีการใช้มากกว่า 1.5 ล้านครั้ง
  • หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 30% ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยเข็ม
  • ทำเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 1 ปี

ข้อเสียของการทำ Ulthera SPT

  • มีความเจ็บระหว่างที่ยิงพลังงาน เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ (แล้วแต่บุคคล)
  • หลังทำ Ulthera SPT อาจจะมีอาการบวมหรือระบม 1-2 สัปดาห์แล้วแต่สภาพผิวของแต่ละคน
  • การทำ Ulthera SPT ค่อนข้างเจ็บ แต่ยังอยู่ในระดับที่ทนได้
  • บางรายอาจมีรอยแดงเกิดขึ้น สามารถหายได้เอง ภายใน 1 ชั่วโมง

Ulthera SPT เหมาะกับใคร ?

การทำ Ulthera SPT เหมาะกับผู้ที่ต้องให้ผิวหน้าเต่งตึง ยกกระชับ โดยในผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 30 ปี ขึ้นไป รวมถึงผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเหล่านี้ 

  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีร่องแก้ม ร่องมุมปาก มีเหนียง คางสองชั้น มีริ้วรอยบริเวณลำคอ
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียว ยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ยกคิ้ว หางตา และลดถุงใต้ตา
  • ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูผิวจากชั้นลึกให้แน่นกระชับ
  • ผู้ที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน
  • เหมาะกับผู้ที่มีเวลาไม่มาก ไม่มีเวลาดูแลผิวหรือเข้าคลินิกความงามบ่อย ๆ เพราะทำ Ulthera 1 ครั้ง อยู่ได้ถึง 1 ปี

Ulthera SPT ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง แต่ละตำแหน่งใช้กี่ Shot / Line

การทำ Ulthera SPT สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัวครับ

  • รอบดวงตา : ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดถุงใต้ตา  200 line 
  • บริเวณแก้ม  : ช่วยยกกระชับผิวหน้า ยกแก้มที่หย่อนคล้อย  ประมาณ 300 line
  • บริเวณแก้มและเหนียง : ช่วยลดเหนียง เก็บคางสองชั้น กระชับผิว ประมาณ 500 line
  • ทั่วหน้า  ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยเล็ก  ประมาณ 700 line
  • ทั่วหน้าและคอ : ช่วยปรับรูปหน้าเรียว กรอบหน้าชัด ประมาณ 1,000 line

ตำแหน่งทำ Ulthera SPT

ทำ Ulthera SPT กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ทำซ้ำได้ไหม ? 

หลังทำ Ulthera SPT จะสามารถสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการยกกระชับได้ทันทีหลังทำประมาณ 30% ในครั้งแรก จากนั้น ประมาณ 1-2 เดือนจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อผ่านไป 2-3 เดือนจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ เเละเรียบเนียนมากขึ้น โดยคงผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล หมอแนะนำให้ทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าอยากรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน สามารถกลับมาทำซ้ำได้เรื่อย ๆ  

ข้อควรทราบ และการปฏิบัติตัวก่อน – หลังทำ Ulthera SPT

  • ก่อนทำ Ulthera SPT

การทำ Ulthera SPT เป็นหัตถการที่ทำได้สะดวกรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนทำมากครับ คนไข้สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับ โรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด หรือเคยมีการทำหัตการอื่น ๆ บนใบหน้า อย่างชัดเจน เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินว่าคนไข้เหมาะกับการทำ Ulthera หรือไม่ เมื่อประเมินแล้วเห็นสมควรก็สามารถทำ Ulthera SPT ได้ทันที 

  • ขั้นตอนการทำ Ulthera SPT

ก่อนทำจะมีการความสะอาดผิวหน้า และแปะยาชา โดยจะทิ้งไว้ให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที และใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 45-60 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำครับ

  • หลังทำ Ulthera SPT
  • แนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือความร้อน เช่น สตรีม ซาวน่า หลังทำ 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึก 1 เดือน เนื่องจากจะทำให้ผิวสะสมความร้อนมากเกินไป
  • ก่อนออกแดด หรือกลางแจ้งควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการนวด กด ใบหน้าแรง ๆ เพื่อลดการระบมและการบวมหลังทำ
  • ในกรณีที่มีอาการบวม สามารถประคบเย็นได้

Ulthera SPT VS Thermage FLX VS Hifu Ultraformer III

เครื่อง Ulthera SPT, Thermage  FLX และเครื่อง Hifu Ultraformer III  ต่างก็เป็นวิธียกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดและไม่ใช้เข็ม (Non-Invasive Skin Tightening & Lifting Treatment)  และมีหลักการทำงานโดยการยิงคลื่นพลังงานลงไปยังชั้นผิวระดับต่าง ๆ เพื่อช่วยในการยกกระชับ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวที่พลังงานยิงไปถึงคล้ายกัน แต่  Ulthera SPT และHifu Ultraformer III จะใช้พลังงานคนละรูปแบบกับ Thermage FLX ครับ   

เปรียบเทียบ Ulthera VS THermage VS Hifu

  •  Ulthera SPT  และ HIFU  ใช้หลักการทำงานด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Hight intensity focus Ultrasound) และส่งพลังงานแบบ dot เช่นเดียวกัน แต่จุดพลังงานของ Hifu จะเป็นจุดขนาดเล็กกว่า Ulthera SPT ส่งผลให้อยู่ได้นานน้อยกว่าคืออยู่ได้ 6 เดือน ส่วน Ulthera SPTจะอยู่ได้นาน 1 ปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงขึ้น มีไขมันน้อย สามารถช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ยกคิ้ว และกระชับกรอบหน้าได้ดี 
  •  Thermage  FLX  ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF)   ในการยิง 1 ครั้ง ส่งพลังงานได้ตั้งแต่ผิวชั้นหนังกำพร้าจนถึงชั้นไขมัน มีจุดเด่นเรื่องการลดไขมัน และเพิ่ม skin quality ให้ผิวดูสุขภาพดีอ่อนวัยขึ้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันเยอะ ผิวย้วย ไม่กระชับ ช่วยเกลียวเส้นใยคอลลาเจนให้แข็งแรงและทำให้ผิวแน่นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น

Ulthera SPT เจ็บไหม อันตรายไหม ?

ในระหว่างขั้นตอนการทำ Ulthera SPT จะรู้สึกเจ็บครับ แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้ครับ  สามารถทายาชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บก่อนทำได้ โดยจะรู้สึกร้อนบริเวณที่ยิง เจ็บ จี๊ด ๆ และปวด ๆ หน่วง ๆ ที่ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบกับเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงครับ    

ทำ Ulthera SPT แล้วหน้าบวม เป็นอาการปกติไหม แก้ไขอย่างไร ?

หลังทำอัลเทอร่า SPT แล้วมีอาการหน้าบวม สามารถเกิดขึ้นได้ และเป็นอาการปกติครับ โดยอาการบวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น อยู่ภายใน 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการบวมได้โดยการประคบเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนครับ

Ulthera SPT ราคาเท่าไร ?

การทำ Ulthera SPT ราคาจะเพิ่มไปตามจำนวน Line ที่ใช้และบริเวณที่ทำครับ ส่วนใหญ่แล้วจะราคาใกล้เคียงกันทุกคลินิกครับ หากพบ Ulthera SPT ที่ราคาถูกมาก ๆ ให้สงสัยว่าอาจเป็นเครื่องปลอม ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนครับ ว่าคลินิกดังกล่าวใช้เครื่องของแท้หรือไม่ เพราะราคาต้นทุนการทำ Ulthera SPT ค่อนข้างสูงครับ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ราคาไลน์ละ 100 บาทครับ โดยทั่วไปทำลดแก้ม ลดเหนียง จะอยู่ที่ 300 Line  ราคาเฉลี่ยในคลินิกที่ได้มาตรฐาน จะอยู่ที่ 30,000.- 

ทำ Ulthera SPT ที่ไหนดี พิจารณาอะไรบ้าง ? 

การทำ Ulthera SPT ให้ได้ผลดีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจทำ Ulthera ที่ไหนดี ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ และตรวจสอบให้แน่ชัดว่าว่าใช้ตัวเครื่องแท้ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองหรือไม่ โดยพิจารณาดังนี้ 

  1. คลินิกได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีการจดทะเบียนและแสดงเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน มีรีวิวที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ และมีช่องทางการติดต่อที่สามารถสอบถามหรือนัดหมายล่วงหน้าได้ 
  2. แพทย์มีประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ใบหน้าของคนไข้และแนะนำการรักษาได้ ซึ่งแต่ละคนมีโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกัน จำนวนพลังงานที่ใช้ยิงจะไม่เท่ากันครับ
  3. เครื่องแท้มีคุณภาพ สำหรับเครื่อง Ulthera SPT ของแท้ จะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งของไทย (อย.) และ สหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) แล้วเท่านั้น สามารถเช็กคลินิกที่ใช้เครื่อง Ulthera SPT แท้ ได้ที่ http://www.merzclubthailand.com 

Ulthera SPT ที่ V Square Clinic

โดยที่ V Square Clinic ใช้เครื่องแท้ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถตรวจสอบได้ มีแพทย์มีประสบการณ์ในการดูแลเรื่องการปรับรูปหน้ามาอย่างยาวนาน  หลังทำมีการตรวจติดตามผลหลังทำ สามารถปรึกษาแพทย์ทางช่องทางออนไลน์ได้ทั้งก่อนและหลังทำ เพื่อตอบข้อกังวลใจได้ทันที

สรุป

การทำ Ulthera SPT เป็นทางเลือกที่ดี ในการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึงได้อย่างเห็นผล และมีความปลอดภัยสูง สามารถยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด ไม่เกิดแผล และไม้ต้องเสียเวลาพักฟื้น 

สำหรับใครที่สนใจทำ Ulthera  SPT แนะนำให้ตรวจเช็คข้อมูลอย่างละเอียด คำนึงถึงความพร้อมของคลินิก ประสบการณ์ของแพทย์ เครื่องที่ใช้เป็นเครื่องแท้ได้มาตรฐานหรือไม่ และราคาไม่ถูกหรือแพงเกินไปครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? เหมาะกับใคร หลังฉีดเต็มแค่ไหน 2023

0
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ครที่มีปัญหาใต้ตา เช่น ริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีปัญหาขอบตาดำ รวมไปถึงปัญหาเบ้าตาลึก ตาโหล มีถุงใต้ตา และกำลังมองหาวิธีแก้ไข หมอแนะนำฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีการแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว และมีความปลอดภัยสูง เมื่อฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน สำหรับผู้ที่สนใจ  ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หมอรวบรวมมาให้แล้วในบทความนี้

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดฟิลเลอร์หรือสารไฮยาลูรอนิค แอซิด  (Hyaluronic acid) เข้าไปบริเวณใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ ปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ถุงใต้ตา ฉีดเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ฉีดใต้ตาคล้ำ ช่วยให้ใต้ตาและภาพรวมของใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์อีกครั้งครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ? ดีไหม ?
ปัญหาใต้ตาเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ?

ปัญหาใต้ตา เกิดจากสาเหตุใด ?

ปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นโดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีอายุ เริ่มมีปัญหาการยุบตัวของกระดูก รวมถึงเนื้อเยื่อและไขมันฝ่อตัวลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย จึงเกิดเป็นร่องใต้ตาชัดเจน ใต้ตาลึก ดูอ่อนล้า ดูโทรม  ไม่สดใส 

ปัญหาใต้ตา Tear Through

ร่องใต้ตาสาเหตุหลักเกิดจากส่วน Tear Through ที่อยู่ใกล้ร่องน้ำตา
และ Hollow Under Eye ตรงเบ้าตา เกิดการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น

นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ปัญหาใต้ตายังสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่อายุน้อย ๆ ได้เช่นกันครับ โดยสาเหตุมาจาก 

  • พันธุกรรม 
  • ภูมิแพ้ 
  • การเจริญเติบโตของกระดูกช่วงเบ้าตาและใต้ตาไม่ดี ทำให้เกิดถุงใต้ตา ร่องใต้ตา
  • การใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหย่อนยานและมีริ้วรอยก่อนวัย

วิธีแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอย

ปัจจุบันมีวิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ริ้วรอยใต้ตา รวมถึงถุงใต้ตาหลายวิธี อาทิ 

1.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการแก้ปัญหาใต้ตาที่ตรงจุดที่สุดครับ สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ขอบตาดำ มีถุงใต้ตา รวมถึงช่วยเติมเต็มร่องลึกรอบดวงตา ในผู้ที่ปัญหาตาลึก ตาโหล ได้ด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

หลังฉีด Filler ใต้ตา สามารถเห็นผลได้ทันที เป็นหัตถการที่ไม่มีแผลและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมาก ช่วยให้หน้าเด็กลง ผิวชุ่มชื้น ดูสดใสขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ 

2.การฉีดเติมไขมัน 

การฉีดเติมไขมันใต้ตา เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้ โดยเฉพาะปัญหาขอบตาดำ คล้ำจากสาเหตุร่องตาลึก ตาโหล เบ้าตาลึก วิธีการรักษาจะต้อง ดูดไขมันดูดออกมาจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน อย่างหน้าท้องหรือต้นขาของตัวคนไข้เอง จากนั้นนำไปเข้ากระบวนการปั่นแยกสกัดเอาสเต็มเซลล์ออกมาใช้ ผสมกับเนื้อเยื่อไขมัน แล้วนำไปฉีดเติมเบ้าตาในส่วนที่ลึกลงไป ให้เต็มและตื้นขึ้น 

วิธีนี้ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากครับ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1ปี  แต่อาจไม่ได้ผล 100% ตั้งแต่ครั้งแรก รวมถึงไม่สามารถแก้ปัญหาตาโหลได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ครับ  

  1. ฉีดวิตามินกลุ่ม HA  

การฉีดวิตามินกลุ่ม HA บริเวณใต้ตา หรือการฉีดเมโสใต้ตา เป็นอีกทางเลือกในการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำได้ โดยการฉีดวิตามินกลุ่ม HA ผิวเข้าไปที่บริเวณใต้ตา จะช่วยลดรอยหมองคล้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยเติมเต็มผิวที่บริเวณใต้ตาให้อิ่มฟูขึ้นได้ โดยตัวเมโสที่ได้รับความนิยมคือ เมโสฟิลอก้า (Filorga)  หลังฉีดสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่คงผลลัพธ์ได้ไม่ได้นานครับ 

4.เลเซอร์ใต้ตา

ในผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตา การเลเซอร์ตัดถุงใต้ตา สามารถช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาได้ครับ โดยจะใช้เทคนิคตัดถุงไขมันส่วนเกินจากด้านในเปลือกตา ด้วยไมโครเลเซอร์ วิธีนี้จะไม่มีแผลที่ด้านนอก เหมาะกับคนที่อายุน้อย มีถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันครับ 

5.การบำรุงผิวใต้ตาด้วยครีมหรือมาสก์ 

การดูแลบำรุงผิวใต้ตาเป็นวิธีการแก้ไข ตัวแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนทำ วิธีนี้สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวรอบดวงตาได้ ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอย แต่ในกรณีที่มีปัญหาแล้ว เกิดริ้วรอย หรือมีปัญหาใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา วิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ตรงจุดครับ แต่สามารถทำควบคู่กับหัตถการที่กล่าวมาได้ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ้งขึ้น 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

ปัญหาใต้ตาที่ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยแก้ไขได้ เช่น 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไร - ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? เหมาะกับใคร หลังฉีดเต็มแค่ไหน 2023

  • ช่วยแก้ปัญหา ริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา  : มีลักษณะเป็นรอยเหี่ยวย่นใต้ตา และรอบ ๆ ดวงตา ทำให้หน้าดูมีอายุ
  • ช่วยแก้ปัญหา ขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ :  เป็นวงคล้ำรอบดวงตาและจะเห็นชัดบริเวณใต้ตา ทำให้หน้าดูอ่อนล้า
  • ช่วยแก้ปัญหา ถุงใต้ตา ใต้ตาหย่อนคล้อย : การมีถุงใต้ตาจะทำให้ปัญหาริ้วรอยและร่องใต้ตาเห็นชัดขึ้น
  • ช่วยแก้ปัญหา เบ้าตาลึก ตาโหล : เกิดจากการยุบตัวของกระดูกใต้ตา และการสลายตัวของเนื้อเยื่อ

ถุงใต้ตาแบบไหนไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?

ปัญหาถุงใต้ตา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ 

  1. ปัญหาถุงใต้ตาเทียม เกิดจากพฤติกรรมที่ทำให้ถุงใต้ตาบวมขึ้น เช่น การขยี้ตา การร้องไห้ ใช้สายตามากเกินไป หรือมีความเครียดสูง
  2. ปัญหาถุงใต้ตาแท้ เกิดจากผนังกั้นเปลือกตาล่างอ่อนแอลง ทำให้ไขมันใต้ตาหย่อนเป็นถุงใต้ตา และการเสื่อมสภาพของผิว เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตายุบตัว เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังใต้ตายืดออกมาก ทำให้เป็นลักษณะของถุงใต้ตาที่เป็นผิวหย่อนคล้อย

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับปัญหาถุงใต้ตาแท้ ที่มีการยุบตัวของกระดูก เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังใต้ตายืดออกมาก ฟิลเลอร์จะช่วยทดแทนกระดูกและเนื้อเยื่อที่ยุบตัว ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดครับ ถ้าเป็นปัญหาถุงใต้ตาที่เกิดจากพฤติกรรม รักษาได้ด้วยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมนั้น ๆ ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาหย่อนคล้อย มีถุงใต้ตา ขอบตาดำ ตาลึก ตาโหล ที่มีความต้องการเหล่านี้ 

  • ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากผ่าตัด
  • ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น
  • แก้ปัญหาใต้ตาจากการยุบตัวของกระดูกและเนื้อ
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาจากลักษณะทางพันธุกรรม

ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC ถึงเห็นผล ?

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หมอจะเป็นคนประเมินว่าแต่ละเคสต้องเติมฟิลเลอร์ใต้ตา กี่ CC ครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งใช้ปริมาณ CC มาก-น้อย ไม่เท่ากัน

ในคนที่มีปัญหากระดูกใต้ตามีการยุบตัวมาก ๆ ใต้ตาลึก เช่น คนไข้อายุเยอะมาก ๆ หมออาจพิจารณาใช้ฟิลเลอร์มากขึ้นโดยดูเป็นเคส ๆ ไป อาจจะใช้ข้างละ 2-3 CC แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นปัญหาทั่วไปจะใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาข้างละ 1-2 CC ในการรักษา ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนแล้วครับ

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ดูแลตัวเองอย่างไร? กี่วันเห็นผล?

เรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ? เลือกยี่ห้ออย่างไร ?

บริเวณใต้ตาเป็นส่วนที่หลายคนกังวลเพราะเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย การ ฉีด filler ใต้ตา หากแพทย์มีประสบการณ์ ใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง และที่สำคัญคือต้องใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น สามารถสลายได้หมด 100% ไม่มีสารตกค้าง ก็มีความปลอดภัยแน่นอน ไม่เป็นอันตรายครับ

ที่อันตรายคือในสมัยก่อนฟิลเลอร์ของแท้ราคาจะค่อนข้างสูง เทียบกับราคาต้นทุนของซิลิโคนเหลวหนึ่งซีซีไม่ถึงร้อย ทำให้บางที่เลือกใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบซิลิโคนเหลว แบบที่เป็นฟิลเลอร์แต่ว่าไม่บริสุทธิ์ และฟิลเลอร์ของปลอมละลายออกได้ไม่ 100% สารเหล่านี้ห้ามฉีดเด็ดขาดครับ

ฟิลเลอร์แท้ที่เราฉีดเข้าไปจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เหมือนมีน้ำมาหล่อเลี้ยงผิวบริเวณนั้น หลังจากฟิลเลอร์สลายหมด จะเหลือเป็นคอลลาเจนและอีลาสตินที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา ทำให้แม้ฟิลเลอร์จะสลายไปแล้ว แต่ผิวก็จะดีกว่าตอนก่อนฉีดครับ เสมือนกับช่วยชะลออายุผิว ช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นานขึ้นครับ

ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ?

การ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นบริเวณที่ต้องพิถีพิถันในการฉีด แบ่งเป็นผิวชั้นลึกและชั้นตื้น โดยเฉพาะการฉีดใต้ชั้นตื้น เนื่องจากผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบางจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วไม่ฟูมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติครับ

แบรนด์ฟิลเลอร์ที่แนะนำสำหรับฉีดใต้ตา คือ Restylane, Juvederm และ Belotero ฉีดแล้วคงรูปไม่ฟูเยอะ แต่ละรุ่นจะอยู่ได้นานแตกต่างกัน หากจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หมอก็แนะนำ 3 ยี่ห้อนี้ครับ

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หมอแนะนำยี่ห้อและรุ่น ตามนี้ครับ

  1. Juvederm Voluma เนื้อแน่น ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำและให้ความเป็นธรรมชาติ
  2. Juvederm Volite เนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป
  3. Juvederm Volux เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นและคงตัว สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก
  4. Restylane Defyne เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี
  5. Restylane Vital Light เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง
  6. Restylane Vital เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลเรียบเนียน เป็นธรรมชาติ
  7. Restylane Perlane Lyft เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด
  8. Restylane Classic เนื้อแน่น เก็บรายละเอียดใต้ตาในผิวชั้นลึก สำหรับคนผิวบาง
  9. Belotero Volume เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก
  10. Belotero Revive เนื้อละเอียด มีส่วนประกอบของกลีเซอรอล ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ในผิวชั้นตื้น

ฟิลเลอร์ทั้ง 10 รุ่นนี้ เหมาะกับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ปัญหา ถุงใต้ตา ขอบตาคล้ำ ซึ่งหมอจะเป็นคนแนะนำยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคนครับ

ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน

หากยังไม่รู้ว่าจะเลือก ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่อยากผิดหวังจากการฉีดฟิลเลอร์เนื่องจากผลออกมาไม่ธรรมชาติหรือมีอาการบวมย้อย คนไข้ควรเลือกคลินิกได้มาตรฐาน เชื่อถือได้และพิจารณาจากปัจจัย ดังนี้ครับ

  • คลินิกได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้

แพทย์มีประสบการณ์ มีความชำนาญในการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา และสามารถนำชื่อ-นามสกุลไปตรวจสอบได้ว่าเป็นแพทย์จริง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี - ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? เหมาะกับใคร หลังฉีดเต็มแค่ไหน 2023

  • ใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น สามารถศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ได้ในบทความ วิธีดูฟิลเลอร์แท้แต่ละชนิด
  • มีรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เช่น Facebook Fanpage หรือรีวิวในแหล่งที่คลินิกไม่สามารถลบได้
  • คลินิกมีการติดตามผล และแนะนำข้อปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก เช่น เบอร์โทร, Line@, Facebook Messenger หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย สามารถติดต่อแพทย์เจ้าของเคสได้

ข้อสงสัยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล บวม เป็นก้อนเกิดจากอะไร ?

ในส่วนของข้อสงสัยหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แล้วจะมีอาการบวม หรือเป็นก้อนหรือไม่ รวมถึงกี่วันเห็นผล หมอขออธิบายเป็นข้อ ๆ ดังนี้  

ฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล ?

หลาย ๆ คนคงอยากทราบว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเข้าที่ ? จริง ๆ แล้วการเติมฟิลเลอร์จะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีดครับ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้วประมาณ 4-5 วันจะค่อย ๆ เข้าที่และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นหมอจะนัดมาดูผลอีกครั้งครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วัน ?

อาการบวมหลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติครับ หากใช้ฟิลเลอร์แท้ ฉีดกับหมอในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ไม่มีอาการเจ็บแสบบวมแดง โดยสาเหตุมาจากการที่เข็มเข้าไปในผิว และเนื้อฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่ดี ควรดูแลตัวเองหลังฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ อาการบวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น เข้าที่เต็มที่ใช้เวลา 2 สัปดาห์

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นก้อนเกิดจากอะไร ? 

ปัญหาการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนบวม เกิดได้หลายปัจจัย เช่น 

  • ยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ 
  • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ 
  • เทคนิคการฉีด 

โดยทั้ง 3 ปัจจัยที่กล่าวมา มีความเกี่ยวข้องกับแพทย์ผู้ฉีดเป็นสำคัญครับ เพราะหากแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละชนิดที่นำมาฉีด รวมถึงโครงสร้างสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์ ศิลปะด้านการปรับรูปหน้า (Fine Art of Filler) ก็จะช่วยให้คนไข้ได้รับผลที่พึงพอใจ สวยงาม ปลอดภัยและคุ้มค่าครับ

การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    2. เลือกคลินิก ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อย่างละเอียด
    3. ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงในคลินิกนั้น ๆ
    4. ควรงดยา แอสไพริน, NSAIDs งดวิตามิน และยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว รวมถึง งดการแว็ก
    5. งดแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
    6. งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    1. มีอาการบวมแดงได้ในจุดที่ฉีด ก่อนจะหายไปเองใน 2-3 วัน
    2. ทางคลินิกจะจ่ายยาแก้ปวด ลดบวม รับประทานได้ตามอาการ
    3. อยู่แต่ในที่อากาศเย็นและหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
    4. หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรงดเลเซอร์ร้อนลงชั้นผิว 1 เดือน
    5. ดื่มน้ำมาก ๆ ให้เพียงพอกับร่างกาย จะทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น

ข้อห้าม หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้นและรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้นครับ

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่ควรแตะ แกะ เกา ในบริเวณที่ทำ
  • อยู่ในที่อากาศเย็น และหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การซาวน่า เลเซอร์ร้อน ตากแดด ออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 3 วันแรกหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่เผ็ดมากจนหน้าแดง อาหารหมักดอง อาหารดิบจากร้านที่ไม่สะอาด
  • งดสูบบุหรี่
  • หลังจาก ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา พยายามอย่าขยับใบหน้าเยอะ ๆ ในช่วง 3 วันหลังทำ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้
  • 1 ชม.หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแกะพลาสเตอร์ออกได้

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นต้น ๆ และจะขึ้นอยู่กับปริมาณและยี่ห้อที่เลือกใช้ในแต่ละเคสครับ  

ฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว

รีวิวแก้ไข ใต้ตาคล้ำ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน

ใต้ตาคล้ำ ใต้ตาลึก ถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา ทุกปัญหาแก้ไขได้!

ฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 CC

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 cc

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 cc1 - ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? เหมาะกับใคร หลังฉีดเต็มแค่ไหน 2023

ข้อดี ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • การฉีดใต้ตา เหมาะกับคนที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้นนาน
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่มีแผล หลังฉีดเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • ช่วยแก้ไขริ้วรอย ความหย่อนคล้อยใต้ตา ได้อย่างเห็นผล
  • ฉีดเติมเต็มใต้ตาคล้ำ ในคนที่มีขอบตาดำมาก ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง จากภูมิแพ้และการพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • หากเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์แท้ หมอมีประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าปลอดภัย 100%

ข้อเสีย ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เนื้อฟิลเลอร์จะสลายไปตามระยะเวลาของแต่ละยี่ห้อ ไม่มีสารตกค้าง
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา จำเป็นต้องฉีดซ้ำถ้าอยากรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน
  • หลังฟิลเลอร์ใต้ตา จะมีอาการบวมแดง หรือรอยเข็มในจุดที่ทำ แต่จะหายไปเองใน 2-3 วัน
  • หากไม่ระวังเจอคลินิกเถื่อนที่ใช้ฟิลเลอร์ปลอมมาฉีด อาจเกิดอันตรายได้ เช่น เนื้อตาย ตาบอด (เมื่อฉีดโดนเส้นเลือดสำคัญ)
  • หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีประสบการณ์ เลือกเนื้อฟิลเลอร์และฉีดด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผลออกมาไม่เป็นธรรมชาติหรือเป็นก้อนได้

สรุป

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย ถุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ตาคล้ำ ได้อย่างเห็นผล และตรงจุด ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทำได้อย่างขัดเจน มีความปลอดภัยสูงเมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐานครับ 

Ultraformer III คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? เจ็บไหม ? อยู่ได้นานแค่ไหน ?

0
Ultraformer III

Ultraformer III

Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับ ปรับหน้าเรียว ที่ได้รับความนิยมในคลินิกความงาม มีรีวิวเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนทำ-หลังทำชัดเจน และยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับราคาแล้วคุ้มค่า ทำ 1 ครั้งอยู่ได้นาน 5-6 เดือน ถ้าดูแลตัวเองตามที่หมอแนะนำ ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 1 ปี  

สำหรับใครที่ทำ Ultraformer III ครั้งแรก ยังไม่มีคลินิกประจำ ควรหาข้อมูลก่อนครับ เพื่อให้มั่นใจทั้งผลลัพธ์และความปลอดภัย Ultraformer III คืออะไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง ? เหมาะกับใคร ? ขั้นตอนการทำ เจ็บไหม ? ต่างจากเครื่องยกกระชับ Ultraformer III / Ulthera / Thermage อย่างไร ? ทำ Ultraformer 3 ดีไหม ? ราคาเท่าไหร่ ? หมอรวบรวมข้อมูลไว้ในบทความนี้

Ultraformer III คืออะไร ?

Ultraformer III คือ เครื่องยกกระชับผิวด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focus Ultrasound) ชื่อเต็ม ๆ คือ Hifu Ultraformer III ใช้เทคโนโลยี MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ปล่อยพลังงานเข้าใต้ชั้นผิวในแต่ละชั้น ทำให้ผิวเกิดการหดตัว กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ และกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว เป็นเครื่องรุ่นที่ดีที่สุดรองจาก Ulthera (อัลเทอร่า)

เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจาก FDA ของยุโรป, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี และไทย มีจุดเด่นหลัก ๆ คือ สามารถยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ยกกระชับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม และไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น เป็นเครื่องมือที่ดาราและ CeLebrity นิยมทำ เพราะหลังทำสามารถใช้หน้าได้ตามปกติ 

นอกจากประสิทธิภาพของตัวเครื่องแล้ว Ultraformer III ยังมีหลายหัวยิงให้แพทย์เลือกใช้ สามารถปรับระดับความลึก ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้ตรงจุด

  • 1.5-2.0 mm ใช้กับผิวชั้นบน ช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องลึกในระดับที่ไม่ลึกมาก
  • 2.0 mm Cherry Pink ใช้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอยร่องแก้ม ยกคิ้ว ยกหนังตาตก 
  • 3.0 mm ใช้กับผิวชั้นกลาง ช่วยลดไขมันและเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
  • 4.5 mm ใช้กับผิวชั้น smas ที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ สามารถยกแก้ม เหนียง และลำคอ
  • 9-13 mm ใช้ยกกระชับสัดส่วน ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

Ultraformer 3

แพทย์ประเมินใบหน้าก่อนทำ

Ultraformer III ช่วยอะไรได้บ้าง ?

  • ยกผิวหย่อนคล้อย   
  • ลดริ้วรอยทั่วหน้า รอบดวงตา 
  • ยกหนังตาตก ยกคิ้ว 
  • ลดเหนียง กรอบหน้าชัด
  • ยกกระชับสัดส่วน ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

ทำไม ? Ultraformer III ยิ่งทำต่อเนื่องยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

–  Ultraformer III ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี –

เมื่ออายุประมาณ 20+ ผิวหน้าจะเริ่มหย่อนลง เพราะอิลาสตินในผิวเริ่มยืดออก การทำ Ultraformer III สามารถป้องกันความหย่อนคล้อยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ครับ หากเริ่มทำ Ultraformer III ตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย จะช่วยรักษาระดับความหนาแน่นของคอลลาเจนให้คงที่ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผิวหน้าดูเด็กกว่า เมื่อเทียบกับคนอายุเท่ากัน ที่ไม่เคยทำ Ultraformer III มาก่อน

ทำ Ultraformer III

ทำ Ultraformer III ช่วยป้องกันผิวหย่อนคล้อย

Ultraformer III เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวใบหน้าหย่อนคล้อย แก้มหย่อน คิ้วตก หนังตาตก มีถุงใต้ตา
  • ผู้ที่มีผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก 
  • ผู้ที่ต้องการกรอบหน้าชัด ลดเหนียง
  • ผู้ที่ต้องการกระชับสัดส่วนและสลายไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง สะโพก

Ultraformer III / Ulthera / Thermage ต่างกันอย่างไร ?

ปัจจุบันเครื่องยกกระชับ นอกจาก Ultraformer III ยังมี Ulthera / Thermage ที่ถึงแม้ว่าจะมีจุดเด่นในเรื่องยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ด้วยพลังงานที่ใช้ ค่าพลังงาน ขนาดจุดโฟกัสที่ลงลึกในชั้นผิวของแต่ละเครื่องมีความแตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ ระยะเวลาอยู่ได้นาน และราคาแตกต่างกันไปด้วย หมอจะประเมินปัญหา สภาพผิว และแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสม ตรงกับงบประมาณของคนไข้ให้ครับ   

  • Ultraformer III ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ยิงลงไปในผิวชั้น SMAS ขนาดจุดโฟกัส 0.5-1 mm คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-6 เดือน ราคาถูกกว่า Ulthera / Thermage 
  • Ulthera ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ยิงลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS ขนาดจุดโฟกัส 1 mm ตัวเครื่องมีหน้าจอแสดงระดับความลึก ทำให้แพทย์ยิงพลังงานได้แม่นยำ คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี 
  • Thermage ใช้คลื่นวิทยุ ยิงลงลึกถึงขั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว  ขนาดจุดโฟกัส 3-4 cm2 กระจายครอบคลุมเป็นวงกว้าง นอกจากยกกระชับยังช่วยสลายไขมัน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี 

Ultraformer III / Ulthera / Thermage

Ultraformer III / Ulthera / Thermage

ขั้นตอนการทำ Ultraformer III

  • ก่อนทำ Ultraformer III จะมีการแปะยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ช่วยลดความเจ็บขณะทำ
  • ขณะทำ Ultraformer III จะรู้สึกอุ่น ๆ ปวด ๆ ใต้ผิวบริเวณที่ทำ บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บ เพราะพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิว
  • ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 30-50 นาที (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำ)

ขั้นตอนการทำ Ultraformer III

ขณะทำ Ultraformer III

Ultraformer III เจ็บไหม ?

ทำ Ultraformer III ให้ได้ผลลัพธ์ดี จะรู้สึกอุ่น ๆ ปวด ๆ ใต้ผิว ก่อนทำจะมีการแปะยาชา ทำให้ขณะทำคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย บางคนผิวไวต่อความรู้สึก รู้สึกเจ็บ เนื่องจากมีการยิงคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ SMAS เพื่อยกกระชับผิว แต่เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ 

Ultraformer III อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Ultraformer 3 เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที 20% เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์และป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 6 เดือน

หลังทำ Ultraformer III ดูแลตนเองอย่างไร ?

หลังทำ Ultraformer III ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง เพื่อให้ผิวหลังทำ Ultraformer III ได้รับการฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

  • ทาครีมบำรุงผิวหน้า และครีมกันแดด SPF สูง ๆ  
  • งดออกแดดแรง ๆ หรืออยู่กลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์ 
  • หากมีอาการเมื่อยหรือรู้สึกตึง ๆ ผิว รับประทานยาแก้ปวดได้
  • งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ดื่มน้ำเปล่า 8-10 แก้ว/วัน (1.5-2 ลิตร) 

Ultraformer III ที่ไหนดี ?

การทำ Ultraformer III ไม่ควรเลือกทำ  Ultraformer III จากราคาเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ผลิตโดย  Classys Inc. ประเทศเกาหลี นำเข้าโดยบริษัท ควอนตั้ม เฮล์ทเเคร์ (ไทยเเลนด์) จำกัด คนไข้สามารถเช็กรายชื่อคลินิกที่ใช้เครื่องแท้ได้ที่เว็บไซต์ https://qhtaesthetics.com/search.php 

นอกจากนี้แพทย์ที่ทำต้องมีประสบการณ์ ใช้เครื่อง Ultraformer III ประเมินใบหน้าและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด สามารถดูรีวิวของคลินิกนั้น ๆ ประกอบการตัดสินใจได้ครับ จะได้มั่นใจทั้งผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ

Ultraformer III ราคาเท่าไหร่ ?

Ultraformer III ราคาเริ่มต้น 100 Line 3,999 บาท มีความคุ้มค่าเมื่อเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ หากใช้จำนวนไลน์มากขึ้น ราคาก็จะเพิ่มขึ้นครับ หมอจะต้องประเมินปัญหาของคนไข้ ตำแหน่งที่ทำ และกำหนดจำนวนไลน์ (Line) ที่เหมาะสม และตรงกับงบประมาณ 

หมอจะแนะนำจำนวนไลน์โดยประมาณ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัว ดังนี้

  • แก้ม หรือ เหนียง ประมาณ 100 Line
  • แก้ม + เหนียง ประมาณ 300 Line
  • ใต้ตา + ร่องแก้ม ประมาณ 300 Line
  • ทั่วหน้า หรือ ต้นแขน ประมาณ 600 Line
  • ทั่วหน้า + คอ หรือ ต้นขา ประมาณ 1,000 Line 

ไม่ควรเลือกที่ราคาถูกมาก ๆ หรือทำโปรโมชันยิงบุฟเฟต์ ยิงไม่จำกัดจำนวนไลน์ เพราะเสี่ยงเป็นเครื่องปลอม อาจเกิดผลข้างเคียง หน้าไหม้จากเครื่องปลอมที่ปล่อยพลังงานออกมาไม่สม่ำเสมอ จนเกิดความร้อนสะสมใต้ผิวที่มากเกินไป    

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III  กับนิโคลเทริโอ  

รีวิว Ultraformer III กับแอนดี้ เขมพิมุก 

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

รีวิว Ultraformer III

Ultraformer 3 ดีไหม ?

ทำ Ultraformer 3 มีข้อดีหลายข้อครับ หลัก ๆ คือ ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ถ้าคนไข้ไม่อยากผ่าตัด เพราะกลัวเจ็บ และไม่อยากฉีดหน้า การใช้เครื่องยกกระชับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยครับ ที่สามารถยกกระชับผิว ยกแก้มห้อยย้อย ลดเหนียง ปรับรูปหน้าเรียว ลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่อง  ช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ดูอ่อนเยาว์ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีราคาที่คุ้มค่าครับ     

สรุป Ultraformer III

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับผิว ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าเรียวที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลลัพธ์ดี มีความปลอดภัย และคุ้มค่าคุ้มราคาครับ แต่ก่อนทำ Ultraformer III ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนครับว่าคลินิกได้มาตรฐานหรือไม่ ใช้เครื่องแท้ที่มีคุณภาพหรือไม่ แพทย์มีประสบการณ์ ประเมินปัญหาและจำนวนไลน์เหมาะสมหรือไม่ 

V Square Clinic เป็นคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ ใช้เครื่อง Ultraformer III ของแท้ ตรวจสอบได้ มีบริการปรึกษาออนไลน์ คนไข้สามารถส่งรูปหน้ามาให้หมอประเมินก่อนได้ในเบื้องต้น ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือนัดคิวเข้ามาปรึกษาได้ที่คลินิกทั้ง 24 สาขาครับ

เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร ข้อดีข้อเสีย ทำไมราคาสูง ต่างกับ Close ยังไง ?

0
เสริมจมูกopen

เสริมจมูกopen

การเสริมจมูก เป็นการศัลยกรรมที่หลายคนมองว่า สามารถเปลี่ยนให้จมูกโด่งเหมือนชาวต่างชาติได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การเสริมจมูกยังมีอีกหลายแนวทาง หลายแขนง ที่เมื่อเปลี่ยนแล้วยังสามารถเปลี่ยนใบหน้าของเราให้ดูดีขึ้นได้ โดยวิธีการ เสริมจมูกแบบโอเพ่น ก็เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นการปรับแต่งโครงสร้างจมูก อีกทั้งยังเป็นวิธีการแก้จมูกที่มีปัญหาได้ เราจึงต้องมาดูกันว่า เสริมจมูกโอเพ่น แท้จริงคืออะไร

เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร

เสริมจมูกแบบโอเพ่น ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ คือการศัลยกรรมผ่าตัดจมูกแบบเปิด ซึ่งเป็นการเสริมจมูกปรับโครงสร้างพื้นฐานทรงจมูกที่แม่นยำและตรงจุด เป็นวิธีการที่แก้ไขรูปทรงจมูกที่ละเอียดที่สุด โดยวิธีการจะเป็นการเปิดแผลตำแหน่งปลายจมูกออกมาทั้งสองด้าน ด้วยวิธีการเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี ซึ่งภาพรวมของการรับบริการเสริมจมูกopen หลายคนชอบที่ทำให้ทรงจมูกดูเป็นธรรมชาติ

เสริมจมูกแบบโอเพ่น VS เสริมจมูกแบบปิด ต่างกันยังไง ?

ข้อแตกต่างระหว่างการเสริมจมูกแบบปิดและการเสริมจมูกแบบโอเพ่น นั้น สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้ตามตาราง ดังนี้

การเสริมจมูกแบบปิด การเสริมจมูกแบบโอเพ่น
  • ใช้การผ่าตัดภายในรูจมูก ไม่มีแผลภายนอก
  • ใช้การผ่าตัดบริเวณใต้จมูก ช่วงระหว่างรูจมูกทั้งสองข้าง มีแผลภายนอกแต่อยู่ในตำแหน่งที่สังเกตยาก
  • สามารถทำได้เพียงแค่เสริมความโด่งของดั้ง ไม่สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้
  • สามารถแก้ไขรูปทรงจมูกได้หลากหลาย เช่น แก้ไขรูปกระดูก หรือแก้จมูกที่เคยศัลยกรรมไปแล้ว เป็นต้น
  • มีโอกาสทะลุจากการเสริมซิลิโคนจมูก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกหนา
  • เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างจึงมีโอกาสเกิดการทะลุน้อยกว่า
  • ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 1-2 ชั่วโมง
  • ใช้เวลาผ่าตัด 3-5 ชั่วโมง
  • ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องใช้ยาสลบและซับซ้อนน้อย
  • ค่าใช้จ่ายสูงกว่า เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ยาสลบและมีขั้นตอนในการทำหัตถการซับซ้อนมากกว่า

ข้อดีของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น

เสริมจมูกโอเพ่น

ข้อดีของการทำจมูกแบบโอเพ่นคือการเข้าไปปรับรูปจมูกไปถึงโครงสร้าง ซึ่งเป็นข้อดีของการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ที่วิธีอื่นอาจจะทำได้ไม่ละเอียดเท่า อีกทั้งยังเป็นวิธีการสำหรับการแก้หรือปรับปัญหาจมูกได้ทุกแบบ ไม่ว่ารูปจมูกเราจะ

เป็นแบบไหน ก็ตกแต่งให้ได้ตามใจ ทั้งทรงจมูกสายฝอ, ทรงจมูกบาร์บี้, ทรงจมูกเกาหลี หรือทรงหยดน้ำก็ทำได้ โดยวิธีการทำจมูกโอเพ่น จะให้ความปลอดภัยในระยะยาว เพราะปรับโครงสร้างเสริมด้วยวัสดุที่ตรงจุด

ข้อจำกัดของเทคนิคเสริมจมูกแบบโอเพ่น

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น มีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นขั้นตอนการเสริมที่ต้องใช้แพทย์ผู้ชำนาญการสูงมาก ดังนั้นจึงต้องปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีเทคนิคเฉพาะทาง

เสริมจมูกแบบโอเพ่นเหมาะกับใคร

ทำจมูกopen

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น เป็นวิธีการที่ค่อนข้างเหมาะกับทุกคนที่ต้องการปรับรูปจมูก ไม่ว่าเราจะมีเนื้อจมูกน้อย หรือต้องการแก้ทรงจมูก ขั้นตอนของการทำจมูกโอเพ่นคือขั้นตอนการผ่าตัดที่ปรับเข้าไปถึงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจมูกสั้น, จมูกหมู, จมูกผิดรูป, จมูกเบี้ยว หรือจมูกที่ประสบปัญหาเช่นรูปจมูกที่เกิดจากอุบัติเหตุ การเสริมจมูกopen ก็จะช่วยให้จมูกกลับมาเป็นรูปทรงเดิมได้ ตามที่เราและแพทย์ให้คำปรึกษา

ศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่น กี่เดือนเข้าที่ ?

หลังจากเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกแบบโอเพ่นแล้ว เบื้องต้นเราจะมีอาการบวม ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการดูแลหลังการผ่าตัดให้เคร่งครัด หากทำตามอย่างถูกต้องอาการบวมจะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นดูอาการต่ออีก 14 วันหลังช่วงบวมจากการเสริมจมูกโอเพ่น ซึ่งภายใน 14 วัน จมูกก็จะยุบลง หลังจากนั้น ก็จะอยู่ในช่วงรอให้จมูกเข้าที่ อย่าลืมไปพบแพทย์ตามที่นัดหมาย เพื่อติดตามผลเพิ่มเติม

หลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น ต้องดูแลตัวเองยังไง

  • หลังจากที่เราไปทำจมูกแบบโอเพ่น ในช่วงแรกให้เน้นการประคบเย็น จะช่วยลดอาการบวม
  • งดการแตะ สัมผัส บริเวณจมูกที่เราได้ทำการเสริมจมูกแบบโอเพ่น รวมไปถึงการนอนให้นอนในท่าที่ไม่กระทบกับจมูก
  • สามารถประคบอุ่นได้ เน้นการลดรอยช้ำ เมื่อแผลปิดสนิทแล้ว
  • ห้ามการกระทำกับจมูกที่รุนแรงเกินไป เช่นการสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรือสวมแว่นบนสันจมูก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, บุหรี่ และอาหารร้อน

หลังเสริมจมูกห้ามกิน และ ควรกินอะไรได้บ้าง

แม้แต่อาหารการกินภายหลังเสริมจมูกก็มีความสำคัญไม่น้อยเลย เพราะอาหารบางชนิดก็ช่วยให้แผลหลังเสริมจมูกหายสนิทเร็วยิ่งขึ้น ส่วนอาหารบางชนิดก็ส่งผลให้อาการบวมหลังเสริมจมูกรุนแรงมากกว่าเดิม นอกจากนี้อาหารบางหลังเสริมจมูกควรกินอะไร และห้ามกินอะไรชนิดยังอาจทำให้แผลหลังเสริมจมูกเกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงจะมาแนะนำอาหารที่ควรกินและไม่ควรกินหลังเสริมจมูกให้อ่านกันว่ามีอะไรบ้าง

  1. ปลาร้า ของหมักดอง – ปลาร้านับเป็นหนึ่งในเมนูหมักดอง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อ และการรับประทานอาหารประเภทนี้มักทำให้บวม มีน้ำมูก คัดจมูก ซึ่งทำให้แผลติดเชื้อหรืออักเสบได้
  2. อาหารทะเล – อาทิ กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก เป็นต้น เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการบวม หรือแพ้ได้
  3. บุหรี่ / แอลกอฮอล์ – แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเดือนแรกแอลกอฮอล์จะไปทำลายเซลล์ที่จะมาช่วยในการรักษาแผล ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
  4. อาหารดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ – อาหารประเภทนี้มีพยาธิ หรือสิ่งเจือปนที่ทำให้แผลหลังจากทำศัลยกรรมเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังอาจก่อให้เกิดอาการท้องร่วงได้อีกด้วยครับ

เลือกคลินิกเสริมจมูกแบบโอเพ่นที่ไหนดี

1.คลินิกที่มีใบอนุญาตและใบรับรองมาตรฐาน

สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย จะต้องมีการออกใบรับรอง เพราะคลินิกต้องมีมาตรฐานทั้งเครื่องมือทางการแพทย์ ยา และความสะอาดปลอดเชื้อในตัวสถานที่ โดยเฉพาะห้องที่ทำการผ่าตัดเสริมจมูกแบบโอเพ่น  เครื่องมือ-อุปกรณ์ที่ใช้นั้นต้องมีความสะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งป้องกันการติดเชื้อที่อาจจะเข้าปะปนจากภายนอกได้ พร้อมทั้งมีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย มีอุปกรณ์ที่เตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เครื่องวัดความดันโลหิต เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัดได้นั้นเอง

ซึ่งเรามีสิทธิที่จะตรวจสอบหรือสอบถามคลินิกที่เราไปทำศัลยกรรมได้ ว่ามีการรับรองหรือไม่

2.ศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ได้รับใบอนุญาต

weclinic-facilities

ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูกแบบโอเพ่น หรือการแก้จมูกแบบโอเพ่น ก็ต้องผ่านศัลยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวแพทย์ต้องมีใบอนุญาตในการทำบริการศัลยกรรม เพราะหากเราไม่ได้เสริมจมูกกับแพทย์เฉพาะทาง อาจจะเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก เบื้องต้นให้เราตรวจสอบชื่อของแพทย์ผู้ให้บริการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกopenได้จากเว็บไซต์ แพทยสภา อย่างแรกที่เราควรพิจารณาคือความสามารถของทีมแพทย์หรือคลินิกนั้นๆ สามารถแก้ไข เสริมหรือปรับแต่งจมูกในแบบที่เราชอบได้หรือไม่ แก้แล้วออกมาเป็นอย่างไร ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ ที่สำคัญคือฝีมือของแพทย์ได้รับการยอมรับมากน้อยเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น ในการพูดคุยให้คำปรึกษานั้นทีมแพทย์สามารถทำได้อย่างตรงจุด อธิบายขั้นตอนการปรับแต่งและผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และตอบคำถามของเราได้ชัดเจนหรือไม่ เพราะอย่างไรจมูกของเราก็มีเพียงหนึ่งเดียว จะปรับแต่งหลายรอบคงไม่ดี จึงควรศึกษาส่วนนี้ให้มากเข้าไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดซึ่งหมอจาก We Clinic เราจะพูดคุยปรึกษาและปรับแก้ไขจมูกตามที่คนไข้คาดหวังได้ด้วยแทคนิคการผ่าตัดแบบ Open ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถปรับแก้ทรงจมูกทั้งหมดได้ในการผ่าตัดครั้งเดียว การันตีด้วยผลงานมากมาย สามารถเข้าชมได้ทาง www.facebook.com/weclinicclub

3.การดูแลหลังทำศัลยกรรม

โดยพื้นฐานแล้ว คลินิกต้องมีการติดตามผลของผู้เข้ารับการศัลยกรรม โดยคลินิกต้องมีการนัดเราเพื่อดูผลลัพธ์หลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น และนำมาปรับปรุงแก้ไขในส่วนของการรักษาตัว สำคัญคือบริการหลังทำศัลยกรรมจะเป็นการนัดให้คำปรึกษาเพิ่มเติม พร้อมให้แนวทางที่ถูกต้องสำหรับลูกค้าเป็นบุคคลไป

4.รีวิวจากผู้รับบริการ

ถือเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันแล้ว สำหรับการรีวิวจมูกโอเพ่นก็เช่นกัน เราจะต้องลองศึกษารีวิวจากผู้รับบริการจริง ว่าคลินิกมีบริการอย่างไร ผลลัพธ์ของการทำศัลยกรรม เป็นไปตามที่ผู้รีวิวต้องการหรือไม่

ก่อนหลังเสริมจมูกแบบโอเพ่น

รีวิวเสริมจมูกแบบโอเพ่น

จมูก open recon จมูก open ยืดผนั้งกั้นจมูก

5.ราคาที่สมเหตุสมผล

เป็นปัจจัยขั้นสุดท้าย หากคลินิกที่เราต้องการไปเสริมจมูกแบบโอเพ่น ผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อก่อนหน้านี้แล้ว การมองหาคลินิกที่มีราคาสมน้ำสมเนื้อ เพื่อการเสริมจมูกแบบโอเพ่นราคาดี ๆ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องตรวจสอบ ซึ่งในการผ่าตัดแบบโอเพ่นนี้ นับเป็นการช่วยแก้ไขปรับทรงจมูกอย่างครบเครื่องเรียกว่าปัญหาตั้งสันจมูก ปลายจมูกไปจนถึงปีกจมูก สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว ไม่จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีก เรียกว่า ผ่าตัดครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวและจ่ายเพียงครั้งเดียว ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าอย่างแน่นอน ซึ่งในบางที อาจจะมาด้วยโปรโมชั่นเพิ่มเติมที่ทำให้การเสริมจมูกแบบโอเพ่นถูกลงอีกด้วย

ทำไมแก้จมูกแบบโอเพ่นถึงราคาสูงกว่า การเสริมจมูกแบบโอเพ่นครั้งแรก

แก้จมูกแบบโอเพ่น

สาเหตุที่การแก้จมูกโอเพ่น มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่า ผู้ที่เริ่มเสริมจมูกแบบโอเพ่นอันเนื่องมาจาก ขั้นตอนการผ่าตัดและการแก้จมูก มีความซับซ้อน และทำยากกว่า และมีราคาที่แรงมากขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาของการแก้ไขจมูกเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการแก้ไขปรับโครงสร้างจมูกด้วยเทคนิค Open ยืดผนังกั้นจมูกนั้น จะได้รับความนิยมสูงกว่าการเสริมจมูกด้วยเทคนิดปิด แม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่าแต่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาโครงสร้างจมูกได้ดีกว่า แพทย์สามารถเปิดเข้าไปแก้ไขโครงสร้าง ปรับฐาน ตอกฐาน ตั้งแกน ยืดผนังกัน รวมถึงสามารถเปิดเข้าไปเคลียร์ปัญหาข้างในได้หมด ไม่ว่าคนไข้จะมีปัญหาจมูกงุ้มตก ฮัพม์สูง จมูกใหญ่ หรือการลดขนาดจมูก ในการผ่าตัดแก้จมูกโอเพ่นก็สามารถแก้ให้จบ แก้ให้ตรงจุดได้

สรุป

การเสริมจมูก เป็นการศัลยกรรมที่ต้องการความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่เพียบพร้อม โดยเฉพาะการเสริมจมูกแบบโอเพ่น ที่เป็นการปรับโครงสร้างจมูก มีรายละเอียดเยอะ ต้องการคำปรึกษา และการดูแลหลังเข้ารับการผ่าตัด ดังนั้น คลินิกที่ให้บริการเสริมจมูกโอเพ่นจึงควรผ่านเกณฑ์ตามที่เราได้กล่าวมาทุกข้อเสมอ