มะเร็งระยะสุดท้ายรักษาหายได้ไหม มีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน

0

มะเร็งระยะสุดท้าย หรือที่เรียกกันว่า มะเร็งระยะแพร่กระจาย (Stage IV) คือภาวะที่เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง หรือระบบน้ำเหลือง ซึ่งเป็นการส่งผลให้ระบบสำคัญของร่างกายหยุดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าเป็นแค่ “ก้อนมะเร็ง” ในจุดเดียวเท่านั้น

มะเร็งระยะสุดท้ายคืออะไร?

มะเร็งระยะสุดท้าย หรือ Distant Metastasis (Stage IV) หมายถึงมะเร็งที่ไม่ใช่เฉพาะในท่อน้ำดี ผิวหนัง หรืออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเพียงแห่งเดียว แต่ลุกลามเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดหรือเยื่อหุ้มท่อน้ำเหลือง และถูกลำเลียงไปยังอวัยวะอื่นตั้งแต่หนึ่งแห่งขึ้นไป เช่น

  • ปอด

  • ตับ

  • กระดูก

  • สมอง

  • ไขสันหลัง

เมื่อถึงระยะนี้ เนื้อมะเร็งมีนัยสำคัญต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีเดิม เช่น ผ่าตัด หรือการทำรังสีรักษาแบบที่ใช้ในระยะเริ่มต้น การรักษาที่เหมาะสมจึงเปลี่ยนเป็นการ ควบคุมอาการเพื่อคุณภาพชีวิต (Palliative Care)

อาการเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้าย

ระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายแล้ว มักปรากฏความผิดปกติที่หลากหลายตามอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้:

ระบาดของมะเร็ง อาการที่พบ
ตับ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดท้องด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ปอด ไอเรื้อรัง หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก มีเสมหะหรือเลือดปน
กระดูก ปวดกระดูกรุนแรง เคลื่อนไหวเจ็บ กรณีกระดูกหักจากโรค
สมอง ปวดศีรษะ วิงเวียน พูดลำบาก ร่างกายอ่อนแรง ซึม
ระบบน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองบวม เจ็บหรือคลำก้อน
ทั่วร่างกาย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย ซีด

นอกจากนี้อาจพบปัญหาเรื่อง อารมณ์และจิตใจ ได้แก่ เครียด ซึมเศร้า เพิ่มความกังวลเรื่องความเจ็บปวด การแยกจาก และอนาคตข้างหน้า

มะเร็งระยะสุดท้ายรักษาหายได้หรือไม่?

แพทย์มักยืนยันได้ว่า “ไม่สามารถหายขาดได้” โดยเฉพาะกรณีที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปมากกว่า 1 อวัยวะ

อย่างไรก็ตาม!!
มีชนิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งอัณฑะบางประเภท ที่ตอบสนองต่อการรักษาเคมี ยังคงมีอัตรารักษาได้ หากมาถึงการรักษาที่ถูกวิธีและรวดเร็ว

แต่ในภาพรวม สำหรับมะเร็งระยะ IV จะไม่สามารถ “หายขาด” ได้ แต่ ควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะสงบ (stable disease) หรือ ควบคุมการแพร่กระจายได้อย่างมีนัยสำคัญ ก็ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของการรักษา

ปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์อายุขัย

อายุขัยในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแตกต่างกันตามปัจจัยดังนี้:

ปัจจัยสำคัญส่งผลต่ออายุขัยได้แก่:

  1. ชนิดมะเร็ง

    • บางชนิดตอบสนองต่อเคมีและ Targeted Therapy ได้ดี เช่น มะเร็งเต้านมกับ HER2+ หรือมะเร็งต่อมไทรอยด์

  2. อวัยวะที่มีการแพร่กระจาย

    • สมอง, ตับ, ปอด เป็นอวัยวะสำคัญทำงานร่วมกัน เมื่อมีการสูญเสียการทำงานอาจมีผลรุนแรง

  3. จำนวนแห่งที่แพร่กระจาย

    • แพร่กระจายน้อยแห่ง (oligo-metastasis) อาจควบคุมได้ดีขึ้น

  4. การตอบสนองต่อการรักษา

    • หากตอบดีทั้งการผ่าตัด รังสี หรือยาเฉพาะเจาะจง สามารถยืดเวลาควบคุมโรคได้

  5. สภาพร่างกายทั่วไป (ECOG Performance Status)

    • สุขภาพแข็งแรง ยิ่งส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพ

  6. ความร่วมมือกับทีมรักษา

    • การดูแลเรื่องอาหาร ระดับน้ำตาล ความเครียด การออกกำลังกาย เป็นส่วนสำคัญในการยืดอายุ

ตัวเลขอายุขัยโดยประมาณ

จากงานวิจัยและสถิติทั่วโลก พบว่า:

  • ผู้ใหญ่ สุขภาพดี → มีชีวิตได้อีก 1–2 ปี

  • ผู้สูงอายุ หรือสุขภาพไม่ดี → มีชีวิตได้ประมาณ 3–9 เดือน

ข้อแม้สำคัญ:
ตัวเลขเฉลี่ยขึ้นกับสถานการณ์จริงของผู้ป่วยแต่ละคน และเน้นว่าเป็น “ค่าเฉลี่ย” ไม่ใช่คาดการณ์เฉพาะ

แนวทางการรักษาและควบคุมอาการ

เมื่อไม่สามารถรักษาให้หายขาด แพทย์จะใช้แนวทาง “ประคับประคองอาการ” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

กลยุทธ์ที่ใช้บ่อย:

  1. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

    • ลดก้อนมะเร็ง ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์

    • เลือกใช้ยาที่เหมาะกับชนิดมะเร็งและสุขภาพผู้ป่วย

  2. รังสีรักษา (Radiotherapy)

    • ใช้เพื่อบรรเทาอาการ เช่น ปวดกระดูก หรือสมอง

    • สามารถใช้แบบรักษาเฉพาะจุดไม่ใช่ทั้งร่างกาย

  3. ผ่าตัด (Surgery)

    • ใช้เฉพาะในบางกรณี เช่น ผู้ป่วยมีแหล่งแพร่กระจายน้อย และสุขภาพพร้อม

  4. Targeted Therapy & Immunotherapy

    • รักษาแบบเจาะจงเซลล์มะเร็งเฉพาะชนิด ตามโปรตีนหรือยีน

    • ช่วยลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติ และเพิ่มโอกาสควบคุมโรคได้นานขึ้น

  5. ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)

    • ใช้กับมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น เต้านม ต่อมลูกหมาก

  6. ยาเพื่อลดอาการ (Symptom Management)

    • บรรเทาอาการปวด คลื่นไส้ซึมเศร้า เบื่ออาหาร ฯลฯ เพื่อคุณภาพชีวิต

  7. ดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

    • ทีมนักรพิสัชพยาบาล แพทย์นักจิตนักสังคม ร่วมดูแลความเจ็บปวดและจิตใจ

ตัวอย่างชีวิตกับมะเร็งระยะสุดท้าย

กรณีศึกษา (อ้างอิงจริง):

  • ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแพร่กระจายไปกระดูก ตับ และปอด

    • รับเคมี+Targeted Therapy แล้วมีชีวิตยืดออกไปเกิน 2 ปี

  • บางรายสุขภาพอ่อน พบน้อย อาจได้รับชีวิตเพิ่ม 4–6 เดือน

  • เช่นผู้ป่วยมะเร็งปอด Stage IV เอาตับออก+ใช้ยารักษาเฉพาะ

    • มีชีวิตได้ 1–2 ปีขึ้นกับการตอบสนองต่อยา

คุณภาพชีวิตควบคู่ความยาวของชีวิต

ในมะเร็งระยะนี้ ไม่ได้วัดแค่อายุ แต่ต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นสำคัญ:

  • ควบคุม อาการปวด เช่น ยาพารา โคดีน หรือวิธีการไม่ใช้ยาเช่น TENS

  • แก้ คลื่นไส้และเบื่ออาหาร ด้วยยาและอาหารบำรุง

  • พิจารณา โภชนาการพิเศษ เสริมโปรตีน/วิตามิน

  • ดูแล จิตใจ ผ่านนักจิตวิทยา/จิตแพทย์

  • ส่งเสริม ครอบครัวมีส่วนร่วม รับมือสภาพจิตใจทั้งผู้ป่วยและญาติ

การป้องกันให้มะเร็งไม่ลุกลาม

เพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามถึงระยะ IV ดังนี้:

  1. ตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มต้น: มะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก

  2. สังเกตอาการผิดปกติ: เช่น ไอเรื้อรัง ระคายคอเรื้อรัง ซีด คลำก้อน

  3. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: บุหรี่ เหล้า มลภาวะ

  4. ตรวจสุขภาพประจำปี: ตามแนวทางแพทย์

  5. รักษาสุขภาพโดยรวม: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่

ข้อคิดในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ตอนนี้ไม่ใช่ปัจฉิมถิ่น แต่เป็นบทส่งท้ายที่ได้คุณภาพ:

  • ให้เกียรติความรู้สึกของผู้ป่วย ร่วมวางแผนการรักษาทุกขั้นตอน

  • พ่อแม่หรือผู้ดูแลควรได้รับการดูแลจิตใจไม่แพ้กัน

  • ใช้เวลาที่เหลือคุณค่ากับคนที่รัก

  • สุขภาพจิตดี ช่วยให้การดูแลร่างกายมีประสิทธิภาพขึ้น

  • ร่วมกันสร้างเครือข่ายสนับสนุนระหว่างครอบครัว แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญ

สรุปสาระสำคัญ

  • มะเร็ง Stage IV คือโรคในระยะร้ายที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตสิ้นสุดทันที

  • ไม่หายขาด แต่สามารถ ยืดอายุชีวิตได้หลายเดือนถึงปี ขึ้นกับชนิดมะเร็งและการตอบสนอง

  • การรักษาในระยะนี้เน้นที่ คุณภาพชีวิต มากกว่าการรักษาให้หาย

  • การตรวจโรคตั้งแต่ต้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง คือวิธีป้องกันระยะแพร่กระจาย

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

Q1: มะเร็งระยะสุดท้าย สามารถหายขาดได้ไหม?
A: ตอบตรง ๆ ไม่ได้หายขาด แต่มีกรณีพิเศษบางชนิดหากตอบยาดีอาจควบคุมได้ยาวนานจนดูเหมือนหายขาด (ยกเว้นเช่นเยื่อหุ้มมะเร็งอัณฑะบางชนิด)

Q2: หากเป็นระยะ IV แล้ว ยังต้องรักษาต่อหรือไม่?
A: ใช่ แม้ไม่สามารถหายขาด แพทย์จะให้ การรักษาแบบบรรเทาอาการ (Palliative) เพื่อยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิต ทั้งเคมี รังสี ยาเฉพาะ

Q3: มะเร็งระยะสุดท้ายอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ทั่วไปอายุขัยเฉลี่ยคือ:

  • สุขภาพแข็งแรง: 1–2 ปี

  • สุขภาพอ่อน: 3–9 เดือน
    ตัวเลขเป็นเพียงเฉลี่ยเท่านั้น

Q4: ควรดูแลจิตใจอย่างไรสำหรับผู้ป่วยระยะนี้?
A: สำคัญมาก! ควร:

  • สร้างพื้นที่ปลอดภัย เปิดใจพูดคุยความรู้สึก

  • ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใจ

  • ช่วยผู้ป่วยไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว

Q5: วิธีคุ้มครองผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อคุณภาพชีวิต?
A: เน้นที่:

  • ดูแลโภชนาการดี

  • ควบคุมอาการทุกชนิดให้ต่ำสุด

  • ออกกำลังระดับเบาและพักผ่อนให้เพียงพอ

  • เปิดพื้นที่ในครอบครัวให้เต็มไปด้วยความเข้าใจและความรัก

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

อิ่มใจ ชิตาพนารักษ์. ผลกระทบจากการรักษาโรคมะเร็ง. เชียงใหม่: ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2557

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

[/vc_column][/vc_row]

ชนิดของโรคเบาหวานและวิธีป้องกันเบาหวาน: เข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางดูแลสุขภาพ

0
ชนิดของเบาหวานและการป้องกันเบาหวาน
โรคเบาหวาน คือ โรคภัยไข้เจ็บที่คนสมัยนี้ตรวจพบและเป็นกันมากขึ้น เนื่องจากสภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา จนลืมเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง

โรคเบาหวานคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ ภาวะเรื้อรังที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้อย่างเหมาะสม โดยอาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการนำน้ำตาลจากอาหารเข้าสู่เซลล์เพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง ระดับน้ำตาลจึงค้างอยู่ในกระแสเลือดและก่อให้เกิดโรคเบาหวาน

ความสำคัญของอินซูลินกับโรคเบาหวาน

ฮอร์โมนอินซูลินถูกผลิตจากเซลล์เบต้าในตับอ่อน มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการช่วยให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน หากอินซูลินไม่เพียงพอหรือไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ ส่งผลให้น้ำตาลสะสมในเลือดและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ เบาหวานขึ้นตา และไตวาย

ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่:

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)

เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย มักพบในเด็กและวัยรุ่น เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน อาการที่พบบ่อยได้แก่ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย และอาจหมดสติหากไม่ได้รับการรักษา วิธีรักษาหลักคือ การฉีดอินซูลินร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ร่างกายยังผลิตอินซูลินได้แต่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) สาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม และโรคอ้วน การควบคุมโรคเน้นที่การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาเม็ดลดน้ำตาลในเลือดตามดุลยพินิจของแพทย์

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)

เกิดเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ โดยมักตรวจพบในช่วงสัปดาห์ที่ 24–28 ของการตั้งครรภ์ สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่รบกวนการทำงานของอินซูลิน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติหลังคลอด แต่บางรายอาจมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเบาหวาน

พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  • การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำ
  • การไม่ออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

พันธุกรรมและเชื้อชาติ

  • คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานจะมีโอกาสสูงกว่า
  • คนเชื้อสายเอเชียมักมีภาวะไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก ทำให้ดื้อต่ออินซูลินได้ง่าย

ภาวะเบาหวานแฝง: สัญญาณเตือนก่อนเบาหวานเต็มขั้น

เบาหวานแฝง (Prediabetes) คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวานเต็มรูปแบบ หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะมีโอกาสสูงในการพัฒนาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายในไม่กี่ปี การตรวจ OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) สามารถใช้วินิจฉัยภาวะนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ระดับน้ำตาลในเลือดที่ใช้ในการวินิจฉัยเบาหวาน

ประเภทการตรวจ ค่าในเลือด (มก./ดล.) ความหมาย
ก่อนอาหาร ≥126 เป็นเบาหวาน
ก่อนอาหาร 100–125 เสี่ยงเบาหวาน
หลังอาหาร 2 ชม. ≥200 เป็นเบาหวาน
หลังอาหาร 2 ชม. 140–199 ควรตรวจเพิ่มเติม

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน

การควบคุมน้ำหนัก

ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะไขมันหน้าท้องซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเบาหวานชนิดที่ 2 การลดน้ำหนักลง 5–7% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเลือกอาหารที่เหมาะสม

อาหารเพื่อสุขภาพควรมีไฟเบอร์สูง ดัชนีน้ำตาลต่ำ และมีไขมันดี เช่น:

  • ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์
  • ผักหลากสีและผลไม้สด
  • ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัต
  • ปลาและไขมันไม่อิ่มตัว

ควรหลีกเลี่ยง:

  • น้ำตาลทรายขาว และของหวาน
  • น้ำอัดลมและเครื่องดื่มรสหวาน
  • อาหารทอดและไขมันอิ่มตัวจากสัตว์

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน

การควบคุมอาหาร (โภชนาบำบัด)

อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรมีการจัดสรรพลังงานที่เหมาะสม ได้แก่:

  • คาร์โบไฮเดรต 50% (เน้นธัญพืชไม่ขัดสี)
  • โปรตีน 15–20% (เช่น เต้าหู้ ปลา ไข่ขาว)
  • ไขมัน 30% (หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว)

ผู้ป่วยที่ต้องการลดน้ำหนักควรได้รับพลังงานวันละ 15–20 kcal/กก.

การใช้ยาและการติดตามแพทย์

  • กลุ่มยาลดระดับน้ำตาล เช่น Metformin, Sulfonylureas
  • อินซูลิน (กรณีควบคุมด้วยยาไม่ได้)
  • ต้องตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ทุก 3 เดือน และตรวจตา ไต เท้าอย่างสม่ำเสมอ

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  1. รับประทานอาหารเป็นเวลา ควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
  2. หลีกเลี่ยงอาหารแป้ง น้ำตาล และไขมันทรานส์
  3. ออกกำลังกายประจำวัน เช่น เดินเร็ว โยคะ
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  5. หมั่นตรวจสุขภาพและพบแพทย์ตามนัด
  6. ไม่หยุดยาเองหรือลดขนาดยาโดยพลการ

สรุป: การจัดการโรคเบาหวานให้ยั่งยืน

แม้โรคเบาหวานจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้ป่วยมีวินัยในการดูแลตัวเอง ทั้งด้านอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาอย่างเหมาะสม และการติดตามอาการร่วมกับแพทย์อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานก็ควรปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันไว้ก่อน เพราะการดูแลสุขภาพแต่เนิ่นๆ คือการป้องกันโรคที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน (FAQ)

Q1: โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

A: โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q2: ความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 คืออะไร?

A: เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย ส่วนชนิดที่ 2 เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินได้แต่ใช้งานได้ไม่เต็มที่ เบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น ขณะที่ชนิดที่ 2 พบบ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนหรือมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม

Q3: เบาหวานแฝงอันตรายหรือไม่?

A: เบาหวานแฝงถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า ผู้ที่มีภาวะนี้ยังไม่เป็นเบาหวานเต็มขั้น แต่หากไม่ปรับพฤติกรรมก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายในไม่กี่ปี จึงควรเริ่มควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

Q4: อาหารอะไรที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง?

A: ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น เครื่องดื่มหวาน ขนมหวาน ของทอดที่ใช้น้ำมันซ้ำ ไขมันจากสัตว์ และอาหารแปรรูปที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดภาวะแทรกซ้อน

Q5: หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานจะมีผลต่อทารกหรือไม่?

A: เบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลให้ทารกตัวใหญ่เกินเกณฑ์ เสี่ยงต่อภาวะคลอดยาก และเพิ่มโอกาสเกิดเบาหวานในแม่และลูกในอนาคต ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์ม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้านว 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

[/vc_column][/vc_row]

จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็ง? อาการเบื้องต้นที่ควรรู้ พร้อมวิธีตรวจคัดกรองที่ทันสมัย

0
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง

จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็ง? อาการเบื้องต้น วิธีสังเกต & การคัดกรอง

หลายคนสงสัยว่า “จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็ง?” โดยเฉพาะเมื่อหลายรายมาพบแพทย์ช้า ทำให้ก้อนมะเร็งลุกลามแล้ว บทความนี้จึงรวบรวม อาการเบื้องต้นของมะเร็งในอวัยวะต่างๆ, วิธีสังเกตด้วยตัวเอง และแนวทางการคัดกรองทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้เราตรวจพบมะเร็งได้เร็วขึ้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาหายขาด

ทำไมต้องรู้ตัวตั้งแต่ระยะแรก?

  • มะเร็งในระยะแรกยังไม่ลุกลาม ทำให้รักษาโอกาสหายสูงขึ้น

  • การตรวจพบเร็วช่วยให้สามารถใช้วิธีรักษาแบบจำเพาะเจาะจง ลดการรักษารุนแรง เช่น คีโม ขณะเดียวกันก็ลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา

  • การสูญเสียอวัยวะและคุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก

วิธีคัดกรองมะเร็ง: รู้เร็ว ดียิ่งกว่า

1. การตรวจสุขภาพประจำปี

– ตรวจเลือด CBC, ตับ ไต มะเร็งบางชนิด (Tumor markers)
– ตรวจปัสสาวะ อุจจาระ (FOBT)
– ตรวจร่างกายทั่วร่าง เช่น คลำก้อนในเต้านม รักแร้ ลำคอ ท้อง

2. ตรวจเซลล์ & เนื้อเยื่อ

– Pap smear, HPV DNA สำหรับมะเร็งปากมดลูก
– ตรวจชิ้นเนื้อต่างๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เต้านม ลำไส้ใหญ่

3. ภาพถ่ายทางการแพทย์

– เอ็กซเรย์ / แมมโมแกรม / อัลตราซาวนด์
– CT scan / MRI / PET scan สำหรับอวัยวะลึกและเผชิญเชื้อโรคหมดตัว

4. การส่องกล้องตรวจภายใน

– Gastroscopy สำหรับกระเพาะอาหาร
– Colonoscopy สำหรับลำไส้ใหญ่
– Transvaginal ultrasound หรือ TRUS สำหรับมดลูกตั้งครรภ์หรือแพทย์เฉพาะทาง

อาการเบื้องต้นของมะเร็งแต่ละอวัยวะ

1. เต้านม

  • พบก้อนแข็ง มักไม่เจ็บเมื่อกด

  • รูปร่างหรือขนาดเปลี่ยน

  • หัวนมบุ๋ม, มีน้ำเหลวหรือเลือดซึม

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจแมมโมแกรมทุก 1–2 ปีเมื่ออายุ ≥ 40 ปี และตรวจด้วยตัวเองเดือนละครั้ง

2. ปากมดลูก

  • เลือดออกผิดปกติ นอกช่วงมีประจำเดือน

  • มีตกขาวผิดปกติ

  • ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจปาปสเมียร์ทุกปีเมื่ออายุ ≥ 35 ปี พร้อมฉีดวัคซีน HPV หากยังไม่เกิด

3. รังไข่

  • “มะเร็งเงียบ” ที่พบในระยะลุกลาม

  • หน่วงท้องน้อย, ท้องอืด, คลำก้อน

  • มีเลือดออกผิดปกตินอกประจำเดือน

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดเมื่อมีอาการหรืออายุ ≥ 40 ปี

4. ตับ

  • ปวดใต้ชายโครงขวา

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • ตับโต เกิดท้องมานเบื้องต้น

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องและ AFP ในร่างกายโดยเฉพาะเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับอักเสบ

5. ปอด

  • ไอเรื้อรัง ไอมีเลือด

  • เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก เสียงแหบ

  • น้ำหนักตกผิดปกติ

สิ่งที่ควรทำ: ถ้ายังสูบบุหรี่อยู่อายุมากกว่า 50 ปี ควร X‑ray หรือ Low‑dose CT scan ทุกปี

6. กระเพาะอาหาร

  • ปวดท้องส่วนบนบ่อย

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนเป็นเลือด

  • อุจจาระดำ น้ำหนักลด

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจGastroscopy และติดตามอาการจากการติดเชื้อ H.pylori

7. กระเพาะปัสสาวะ

  • ปัสสาวะเป็นเลือดหรือปวดแสบ

  • ปัสสาวะลำบาก รู้สึกตึงในกระเพาะปัสสาวะ

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจปัสสาวะบ่อย เจาะเนื้อเยื่อเยื่อกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) ถ้ามีความเสี่ยงสูง

8. ลำไส้ใหญ่–ทวารหนัก

  • ท้องผูกสลับท้องเสีย

  • เจ็บบริเวณใกล้ก้อน

  • อุจจาระมีเลือดหรือเมือก

สิ่งที่ควรทำ: Colonoscopy เป็นประจำทุก 5–10 ปี เมื่ออายุ ≥ 50 ปี

9. ต่อมลูกหมาก

  • ปัสสาวะอ่อนแรง ขัด กลั้นไม่ได้

  • เลือดปนในปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ

  • อวัยวะเพศผิดปกติ

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจ PSA เลือดและอัลตราซาวนด์ทางทวารหนักเมื่อมีอายุ ≥ 50 ปี หรือมีความเสี่ยง

10. ลูคีเมีย (Leukemia)

  • ซีดง่าย จ้ำเพราะเลือดออกง่าย

  • ติดเชื้อเจ็บป่วยบ่อย

  • เป็นไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจ CBC เมื่อมีอาการผิดปกติ เลือดในไขกระดูกหากสงสัย

11. ลิมโฟมา (มะเร็งต่อมน้ำเหลือง)

  • ต่อมน้ำเหลืองโตไม่เจ็บที่คอ รักแร้ ขาหนีบ

  • น้ำหนักลด เหงื่อไหลตอนกลางคืน

สิ่งที่ควรทำ: ตรวจอัลตราซาวนด์ ต่อมน้ำเหลือง และเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy)

12. มะเร็งสมอง

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง อาเจียน

  • ปัญหาทางสายตา: ตาพร่าเห็นแสงจ้า

  • ชา ชาครึ่งตัว พูดไม่ชัด ทรงตัวไม่ได้

สิ่งที่ควรทำ: MRI สมอง และพบแพทย์ทันทีเมื่อตั้งแต่เริ่มมีอาการ

แนวทางป้องกันตัวเองและเพิ่มโอกาสตรวจเจอเร็ว

  1. ตรวจสุขภาพประจำปี

  2. ตรวจภาพทางการแพทย์ตามอายุ: แมมโมแกรม, เอ็กซเรย์ปอด, อัลตราซาวนด์ช่องท้อง, PSA, Pap smear

  3. ปรับพฤติกรรมเสี่ยง: เลิกบุหรี่, งดสุรา, ออกกำลังกาย

  4. ฉีดวัคซีนที่ป้องกันมะเร็งได้: HPV, ตับอักเสบ B

  5. ป้องกันการติดเชื้อ: ทำลายเชื้อ H.pylori, หลีกเลี่ยงอาหารปนเปื้อน

  6. สังเกตอาการผิดปกติ แล้วรีบพบแพทย์ทันที

สรุปได้ว่า… จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็ง?

  • ต้องฝึกหมั่นสังเกต “อาการเบื้องต้น” และเปลี่ยนแปลงร่างกาย

  • พร้อมกับตรวจคัดกรองตามช่วงอายุและความเสี่ยง

  • ตรวจพบเร็ว = โอกาสรักษาหายขาดสูงขึ้น

  • ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง = ลดโอกาสเกิดโรคได้จริง

“สุขภาพต้องรีบเช็ก และไม่ปล่อยให้สายเกินไป”

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ต้องตรวจคัดกรองทุกปีจริงหรือไม่?
– แม้ไม่มีอาการ ควรตรวจประจำปีตามที่แพทย์แนะนำตามอายุ เพราะโรคร้ายส่วนมากไม่มีสัญญาณชัดเจนตั้งแต่ระยะแรก

2. อาการทั่วไปเหมือนเป็นมะเร็งจริงๆ หรือเปล่า?
– ไม่เสมอไป เพราะอาการคล้ายมักเกิดจากโรคปกติ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2–4 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ตรวจเจาะลึก

3. เครื่องมือคัดกรองแบบไหนเหมาะกับฉัน?
– ตรวจตามคำแนะนำแพทย์ตามเพศ – อายุ – กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิงอายุ 40+ ตรวจแมมโมแกรม ส่วนผู้ชาย 50+ ตรวจ PSA

4. ถ้าค้นพบสิ่งผิดปกติ ต้องทำอะไรต่อ?
– แพทย์จะแนะนำเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy), ส่งเลือดตรวจเพิ่มเติม และนัดพบแพทย์เฉพาะทาง

5. ตรวจเจอมะเร็งในระยะต้น แปลว่าหายขาดได้หรือไม่?
– มะเร็งในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่ลุกลาม มีโอกาสรักษาหายขาดสูง (90–100%) เมื่อรักษาแบบครบถ้วน

บทส่งท้าย

“จะรู้ได้ไงว่าเป็นมะเร็ง?” ก็ต้องเริ่มที่การตรวจตัวเองเป็นประจำ ควบคู่กับการตรวจเชิงรุกตามช่วงอายุและความเสี่ยง และไม่เมินเฉยเมื่อเกิดอาการผิดปกติเล็กน้อย เพราะถ้าเจอตั้งแต่ต้น ก็มีโอกาสรักษาหายขาดและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างยาวนานและมีคุณภาพครับ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Winor Sirrile, Hugo FG . Cancer in young women. Cancer Med. 2016;495: 4585-4599.

[/vc_column][/vc_row]

ระยะของโรคมะเร็ง (Stage of Cancer) คืออะไร? อธิบายครบระยะ 0–4 พร้อมโอกาสรอดชีวิต

0
ระยะของโรคมะเร็ง
ระยะของโรคมะเร็ง

มะเร็ง (Cancer) เป็นโรคร้ายที่ผู้คนทั่วโลกหวาดกลัวมากที่สุด ไม่เพียงเพราะการรักษาที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน แต่ยังรวมถึงการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งที่รวดเร็วเกินคาด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ระยะของโรคมะเร็ง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะระยะของมะเร็งนั้นบ่งบอกถึง “ระดับความรุนแรงของโรค” และเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการวางแผนการรักษา โอกาสหาย และการประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ระยะของมะเร็งคืออะไร?

ระยะของมะเร็ง (Stage of Cancer) หมายถึงการแบ่งระดับของมะเร็งตามลักษณะการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นขนาดก้อน ตำแหน่ง ความลึกของการบุกรุก หรือการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 0, 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:

มะเร็งระยะที่ 0 — ระยะเริ่มต้นก่อนลุกลาม

มะเร็งระยะที่ 0 เป็นระยะที่พบเซลล์มะเร็งเฉพาะบริเวณเยื่อบุผิวของอวัยวะ ยังไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง และไม่กระจายไปส่วนอื่น

ตัวอย่างมะเร็งที่ตรวจพบในระยะที่ 0

  • มะเร็งเต้านมชนิด DCIS (Ductal Carcinoma In Situ)

  • มะเร็งปากมดลูกระยะ CIN3

  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดโพลิปผิดปกติ

วิธีตรวจที่ช่วยพบในระยะนี้

  • แมมโมแกรม (Mammogram)

  • แปปสเมียร์ (Pap smear)

  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่

โอกาสรอดชีวิต:

มากกว่า 95% เมื่อรักษาในระยะนี้

มะเร็งระยะที่ 1 และ 2 — มะเร็งระยะต้น

ระยะนี้คือช่วงที่เซลล์มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อโดยรอบแล้ว แต่ยังจำกัดอยู่เฉพาะอวัยวะที่เป็นต้นกำเนิด ยังไม่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น

ลักษณะทั่วไป:

  • ระยะที่ 1: ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 2–5 ซม.

  • ระยะที่ 2: ก้อนใหญ่ขึ้น อาจเริ่มลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง

การรักษา:

  • ผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออก

  • อาจร่วมกับรังสีรักษาหรือคีโมบางกรณี

โอกาสรอดชีวิต:

อยู่ที่ 70–95% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง

มะเร็งระยะที่ 3 — ลุกลามเฉพาะที่

ในระยะนี้ มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง และ/หรือ แพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น

ลักษณะสำคัญ:

  • ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ซม.)

  • ต่อมน้ำเหลืองขยายโต

  • บางรายอาจพบก้อนที่คลำได้ชัด เช่น รักแร้ คอ หรือขาหนีบ

การรักษา:

  • ผ่าตัดใหญ่

  • รังสีรักษา

  • เคมีบำบัดแบบเต็มรูปแบบ

  • อาจพิจารณาการให้ยาต้านฮอร์โมนหรือภูมิต้านทานร่วมด้วย

โอกาสรอดชีวิต:

ประมาณ 40–70% ขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง

หมายเหตุ:

กว่า 50% ของผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยถูกวินิจฉัยในระยะที่ 3 ซึ่งทำให้การรักษาซับซ้อนและใช้เวลานาน

มะเร็งระยะที่ 4 — ระยะแพร่กระจาย

ถือเป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของโรคมะเร็ง เนื่องจากเซลล์มะเร็งได้ลุกลามจากอวัยวะต้นกำเนิดไปยังอวัยวะอื่น เช่น สมอง ปอด กระดูก ตับ ฯลฯ

ลักษณะอาการ:

  • ปวดเรื้อรังเฉพาะจุด เช่น กระดูก ปอด สมอง

  • มีอาการเฉพาะตำแหน่งที่แพร่กระจาย เช่น อัมพาต หายใจลำบาก ท้องมาน

  • ภาวะร่างกายทรุดโทรม เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว

เป้าหมายการรักษา:

  • ไม่สามารถหายขาดได้ในกรณีส่วนใหญ่

  • รักษาเพื่อยืดอายุและบรรเทาอาการ (Palliative care)

  • อาจใช้:

    • คีโม

    • ยาภูมิต้านทาน (Immunotherapy)

    • รังสีเฉพาะจุด

    • การดูแลแบบประคับประคอง (Hospice)

โอกาสรอดชีวิต:

5–30% แล้วแต่ชนิดของมะเร็งและความแข็งแรงของร่างกาย

ตารางสรุประยะของมะเร็ง

ระยะมะเร็ง ลักษณะสำคัญ การลุกลาม วิธีรักษาหลัก โอกาสรอดชีวิต (5 ปี)
ระยะที่ 0 เซลล์ยังไม่ลุกลาม ยังไม่ลุกลาม ผ่าตัด ≥ 95%
ระยะที่ 1–2 เริ่มลุกลามเฉพาะที่ เฉพาะอวัยวะเดิม ผ่าตัด + รังสี/คีโม 70–95%
ระยะที่ 3 ลุกลามเฉพาะที่และต่อมน้ำเหลือง มากขึ้น ผ่าตัด + รังสี + คีโม 40–70%
ระยะที่ 4 แพร่กระจายสู่ระบบต่างๆ ไกลมาก Palliative care 5–30%

การตรวจวินิจฉัยเพื่อประเมินระยะของมะเร็ง

  1. CT scan / MRI / PET scan
    → เพื่อดูการลุกลามและตำแหน่งแพร่กระจาย

  2. การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy)
    → ยืนยันชนิดของมะเร็งและความรุนแรงของเซลล์

  3. การตรวจเลือดหาสารมะเร็ง (Tumor markers)
    → ใช้ติดตามผลการรักษาและความรุนแรงของโรค

  4. ส่องกล้อง (Endoscopy)
    → ตรวจภายในลำไส้ กระเพาะอาหาร หรือโพรงมดลูก

สรุปส่งท้าย

การรู้จักระยะของโรคมะเร็งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนการรักษา ไม่เพียงแต่ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้แม่นยำ แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีความหวัง เห็นทิศทางการรักษา และเตรียมใจได้อย่างมีเป้าหมาย หากตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสหายขาดมีสูงมาก ขอเพียงไม่ละเลยสัญญาณเตือนจากร่างกาย และหมั่นตรวจสุขภาพตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ

“ระยะของมะเร็ง ไม่ใช่คำตัดสินชีวิต แต่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อหายขาดและมีชีวิตที่มีคุณภาพ”

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: หากเป็นมะเร็งระยะ 0–1 ต้องรักษาไหม?

A: จำเป็นต้องรักษาเพื่อป้องกันการลุกลาม เพราะแม้ยังไม่รุนแรงแต่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งระยะลุกลามได้

Q2: มะเร็งระยะที่ 4 หายขาดได้หรือไม่?

A: โอกาสหายขาดมีน้อยมาก เป้าหมายหลักคือการยืดอายุและลดความทรมาน

Q3: ถ้าเป็นระยะเดียวกัน การรักษาของผู้ป่วยแต่ละคนเหมือนกันไหม?

A: ไม่เหมือนกัน 100% เพราะต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพ โรคร่วม และความพร้อมของโรงพยาบาล

Q4: ตรวจพบเร็ว แต่ไม่ใช่มะเร็ง ทำอย่างไร?

A: ผู้ป่วยที่มีเซลล์ผิดปกติระดับก่อนเป็นมะเร็งสามารถเฝ้าระวังหรือตัดก้อนออกได้ เพื่อป้องกันการกลายเป็นมะเร็งในอนาคต

สรุปส่งท้าย

การรู้จักระยะของโรคมะเร็งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนการรักษา ไม่เพียงแต่ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้แม่นยำ แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีความหวัง เห็นทิศทางการรักษา และเตรียมใจได้อย่างมีเป้าหมาย หากตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสหายขาดมีสูงมาก ขอเพียงไม่ละเลยสัญญาณเตือนจากร่างกาย และหมั่นตรวจสุขภาพตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ

“ระยะของมะเร็ง ไม่ใช่คำตัดสินชีวิต แต่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อหายขาดและมีชีวิตที่มีคุณภาพ”

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Incidence of cancer cervix and vagina in women. Cancer Causes Control. 2011

[/vc_column][/vc_row]

ชนิดของมะเร็งที่พบบ่อย: มะเร็งในผู้ชาย–ผู้หญิง สถิติ สาเหตุ และวิธีป้องกัน

0
มะเร็งที่พบบ่อยในชายและหญิง
มะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชายคือมะเร็งตับ ในผู้หญิงคือมะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี บทความนี้จะพาคุณสำรวจชนิดของมะเร็งที่พบบ่อย โดยแบ่งตามเพศชายและหญิง พร้อมแนวทางป้องกันเบื้องต้นอย่างครอบคลุม

สถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย

จากข้อมูลของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าคนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งกว่า 120,000 คนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตกว่า 60,000 คนต่อปี โดยเฉพาะในเพศหญิง มะเร็งเต้านม ครองอันดับ 1 ส่วนเพศชาย มะเร็งตับ พบมากที่สุด

สถิติระบุว่าในประชากร 100,000 คน จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากกว่า 100 คน
และทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่า 8 ล้านคนต่อปี

ช่วงอายุเสี่ยงโรคมะเร็ง

แม้โดยทั่วไปมะเร็งจะพบมากในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีผู้ป่วยวัยทำงานอายุเพียง 30 ปีต้นๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ พฤติกรรมการดำเนินชีวิต ความเครียด อาหาร และมลพิษ

มะเร็งที่พบบ่อยในเพศชาย

มะเร็งในเพศชายมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีสะสม ดังนี้

1. มะเร็งตับ

เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย มักมีสาเหตุจาก

  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C

  • ภาวะตับแข็งจากพฤติกรรมกินอาหารไขมันสูง

อาการ: ปวดใต้ชายโครงขวา ตาเหลือง ตัวเหลือง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

2. มะเร็งปอด

พบมากในกลุ่มชายสูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่ตั้งแต่วัยหนุ่ม

สาเหตุ:

  • ควันบุหรี่ (ทั้งมือหนึ่งและมือสอง)

  • มลภาวะทางอากาศ

อาการ: ไอเรื้อรัง ไอมีเลือด เสียงแหบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด

3. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

เกิดจากพฤติกรรมกินอาหารไขมันสูง ขาดไฟเบอร์ และไม่ออกกำลังกาย

อาการ: ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระมีเลือดปน ปวดท้องเรื้อรัง น้ำหนักลด

4. มะเร็งต่อมลูกหมาก

พบในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป มีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมและฮอร์โมน

อาการ: ปัสสาวะลำบาก กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีเลือดปนในปัสสาวะหรืออสุจิ

มะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิง

ในเพศหญิง ปัจจัยเสี่ยงรวมถึงฮอร์โมนเพศ การใช้ยาคุมกำเนิด อายุ การตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร

1. มะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในหญิงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป

ปัจจัยเสี่ยง:

  • ไม่มีลูกหรือมีลูกช้า

  • ใช้ยาคุมกำเนิดต่อเนื่องนาน

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง

การป้องกัน:

  • ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน

  • ตรวจแมมโมแกรมปีละครั้งตั้งแต่อายุ 40 ขึ้นไป

2. มะเร็งปากมดลูก

เกิดจากการติดเชื้อ HPV จากเพศสัมพันธ์ พบในหญิงอายุ 35–50 ปี

แนวทางป้องกัน:

  • ฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่เด็ก

  • ตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) ปีละครั้งเมื่ออายุเกิน 35 ปี

อาการ: มีเลือดออกผิดปกติ ตกขาวกลิ่นแรง ปวดท้องน้อย

3. มะเร็งรังไข่

ถือเป็น “มะเร็งเงียบ” ไม่มีอาการชัดเจนในระยะต้น

อาการ: ท้องอืด ปวดท้องน้อย หน่วงท้อง มีเลือดออกผิดปกติ

4. มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ใหญ่

พบในหญิงได้เช่นกัน โดยมีปัจจัยคล้ายเพศชาย

แนวทางป้องกัน: ลดอาหารมัน แอลกอฮอล์ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพประจำปี

ตารางเปรียบเทียบมะเร็งที่พบบ่อยในชาย-หญิง

อวัยวะ/ชนิดมะเร็ง พบมากในผู้ชาย พบมากในผู้หญิง
มะเร็งตับ
มะเร็งปอด
มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งเต้านม
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งรังไข่

ปัจจัยร่วมเสี่ยงโรคมะเร็ง

  • พฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

  • ขาดการออกกำลังกาย

  • รับประทานอาหารไขมันสูงและมีสารก่อมะเร็ง

  • ความเครียดเรื้อรัง

  • นอนหลับไม่เพียงพอ

  • สัมผัสสารพิษหรือรังสี

แนวทางป้องกันโรคมะเร็ง

  1. ตรวจสุขภาพประจำปี

    • ผู้หญิง: ตรวจเต้านม ปากมดลูก

    • ผู้ชาย: ตรวจตับ ต่อมลูกหมาก

  2. ควบคุมอาหาร

    • ลดเนื้อแดง แปรรูป ของทอด

    • เพิ่มผักผลไม้ กากใย ธัญพืช

  3. เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

    • งดบุหรี่ งดสุรา

    • ลดความเครียด

    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  4. ฉีดวัคซีนป้องกัน

    • HPV (หญิงและชาย)

    • ไวรัสตับอักเสบบี

สรุป

แม้มะเร็งจะเป็นโรคที่อันตราย แต่การรู้เท่าทันชนิดของมะเร็งที่พบบ่อย และตรวจพบเร็วจะช่วยให้มีโอกาสรักษาหายมากขึ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน เช่น การเลือกอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ผู้ชายควรตรวจมะเร็งอะไรบ่อยที่สุด?

A: มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์และตรวจเลือดทุกปี

Q2: มะเร็งในผู้หญิงที่ป้องกันได้ดีที่สุดคือ?

A: มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน HPV และตรวจแปปสเมียร์

Q3: กินอาหารแบบไหนลดความเสี่ยงมะเร็ง?

A: เลี่ยงของทอด แปรรูป เพิ่มผักผลไม้สด อาหารไฟเบอร์สูง และอาหารต้านอนุมูลอิสระ

Q4: ถ้าในครอบครัวมีคนเป็นมะเร็ง จะมีโอกาสมากขึ้นไหม?

A: ใช่ มะเร็งบางชนิด เช่น เต้านม รังไข่ ตับ มีพันธุกรรมเป็นปัจจัยร่วม ควรตรวจเชิงรุก

Q5: อายุยังน้อย (ต่ำกว่า 35 ปี) จำเป็นต้องตรวจมะเร็งหรือไม่?

A: หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจ โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Herb HANS. Incidence of cancer cervix and vagina in women. Cancer Causes Control. 2012.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer): อาการ สาเหตุ ชนิด ระยะ วิธีรักษา และการป้องกันแบบละเอียด

0
มะเร็งเต้านม ( Breast Cancer ) อาการ สาเหตุ และการป้องกัน
การรักษามะเร็งเต้านม มี 5 วิธี คือ ผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด ภูมิต้านทานบำบัด

มะเร็งเต้านมคืออะไร?

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) คือโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ในเนื้อเยื่อเต้านม โดยเฉพาะบริเวณท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะเจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง หากไม่ได้รับการรักษา เซลล์เหล่านี้จะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น เช่น ปอด กระดูก สมอง และตับ

แม้ว่ามะเร็งเต้านมจะพบได้ในผู้ชาย แต่สถิติโดยรวมพบในผู้หญิงมากกว่าอย่างชัดเจน โดยในประเทศไทย มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งอันดับ 1 ในเพศหญิง

กระบวนการเกิดมะเร็งเต้านม

การเกิดมะเร็งเต้านมเริ่มต้นจากเซลล์ปกติที่เต้านมมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้:

  1. เซลล์ปกติ (Normal) – ทำหน้าที่ตามปกติ ยังไม่มีความผิดปกติใด

  2. Hyperplasia – เซลล์เริ่มแบ่งตัวมากขึ้นกว่าปกติ

  3. Atypical Hyperplasia – เซลล์เริ่มมีลักษณะผิดปกติ บางส่วนเริ่มกลายพันธุ์

  4. Non-Invasive Cancer – เป็นมะเร็งระยะเริ่มต้นที่ยังไม่ลุกลาม (in situ)

  5. Invasive Cancer – มะเร็งเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง และอาจแพร่กระจายไกล

อาการของมะเร็งเต้านม

อาการที่ควรระวัง ได้แก่:

  • คลำเจอก้อนเนื้อแข็งที่เต้านมหรือรักแร้

  • หัวนมบอดหรือเปลี่ยนรูป

  • มีของเหลวหรือเลือดซึมจากหัวนม

  • ผิวหนังเต้านมหนาหรือมีรอยบุ๋ม

  • รู้สึกปวดหรือไม่สบายบริเวณเต้านม

  • เต้านมมีขนาดหรือรูปร่างเปลี่ยนไป

หากพบอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

  • พันธุกรรม (BRCA1/BRCA2): มีความผิดปกติทางยีน

  • อายุ: พบมากในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป

  • ประวัติครอบครัว: มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม

  • ประจำเดือนมาเร็ว/หมดช้า: ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในร่างกายนาน

  • ไม่เคยมีบุตร หรือมีลูกช้า

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อเนื่องโดยไม่มีแพทย์ควบคุม

  • การสัมผัสรังสีในวัยเด็ก

  • พฤติกรรมเสี่ยง: ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ รับประทานอาหารไขมันสูง ไม่ออกกำลังกาย

ชนิดของมะเร็งเต้านม

  1. มะเร็งไม่ลุกลาม (Non-Invasive)

    • พบในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม ยังไม่ลุกลาม

  2. มะเร็งลุกลาม

    • Ductal Carcinoma: พบมากที่สุด (~80–90%)

    • Lobular Carcinoma: พบประมาณ 10%

    • Inflammatory Breast Cancer: เต้านมบวมแดง หนาผิวคล้ายเปลือกส้ม

    • Paget’s Disease: มะเร็งบริเวณหัวนมและลานนม

    • มะเร็งชนิดมีมูก / เซลล์พิเศษ: พบได้น้อย แต่มีพยากรณ์โรคดีกว่า

ระยะของมะเร็งเต้านม

ระยะ ลักษณะ โอกาสรอด 5 ปี
ระยะ 0 พบเซลล์ผิดปกติ แต่ยังไม่ลุกลาม ≈ 100%
ระยะ 1 ก้อนขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่กระจาย ≈ 100%
ระยะ 2 แบ่งเป็น 2A/2B ขนาดก้อนเพิ่มขึ้น หรือลามต่อมน้ำเหลือง 81–92%
ระยะ 3 เริ่มทะลุผิวหนังหรือลามต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น 54–67%
ระยะ 4 แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น (ตับ ปอด สมอง) ≈ 20%

ยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายขาดยิ่งสูง

การป้องกันมะเร็งเต้านม

  • ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน

  • ตรวจแมมโมแกรมเมื่ออายุ ≥ 40 ปี ทุก 1–2 ปี

  • เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ≥ 6 เดือน

  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อาหารไขมันสูง และความเครียด

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงการรับฮอร์โมนโดยไม่จำเป็น

  • ปรึกษาแพทย์หากมียีน BRCA1/2 ในครอบครัว

  • เข้านอนตรงเวลาในที่มืดสนิท เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนเมลาโทนิน

การรักษามะเร็งเต้านม

1. การผ่าตัด (Surgery)

  • ผ่าตัดเต้านมบางส่วน: สำหรับผู้ป่วยที่พบเร็ว

  • ตัดเต้านมทั้งหมด: เมื่อมะเร็งแพร่กระจาย

2. รังสีรักษา (Radiation Therapy)

  • มักใช้หลังผ่าตัด เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่

3. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

  • ใช้ในกรณีลุกลาม หรือมีความเสี่ยงสูงในการกลับมาเป็นซ้ำ

4. ฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy)

  • ใช้ในกรณีที่มะเร็งตอบสนองต่อฮอร์โมน เช่น Tamoxifen

  • ผู้มีตัวรับฮอร์โมนมีโอกาสรักษาหายสูงกว่า

5. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

  • ใช้ในกรณีที่มียีนผิดปกติ หรือไม่ตอบสนองต่อคีโม

การติดตามผลหลังรักษา

  • ปีที่ 1: พบแพทย์ทุก 3 เดือน

  • ปีที่ 2–3: ทุก 4–6 เดือน

  • ปีที่ 4–5: ทุก 6 เดือน

  • ปีที่ 6 เป็นต้นไป: ปีละ 1 ครั้ง

การตรวจติดตาม อาจรวมถึงการแมมโมแกรม ตรวจเลือด ตรวจตับ ตรวจกระดูก และการสังเกตอาการผิดปกติใหม่ๆ

สรุป: มะเร็งเต้านมตรวจพบเร็ว รักษาหายได้

มะเร็งเต้านมอาจเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมสุขภาพ ผู้หญิงสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้อย่างมาก

ให้เต้านมของคุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุด เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่คือเรื่องของชีวิต

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านมได้ไหม?
A: ได้ แม้พบได้น้อยมาก (<1%) แต่หากพบก้อนที่เต้านมในผู้ชาย ควรตรวจทันที

Q: มะเร็งเต้านมเกิดกับเต้านมข้างใดมากกว่ากัน?
A: พบในเต้านมซ้ายมากกว่าขวาเล็กน้อย

Q: การให้นมบุตรช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมไหม?
A: ใช่ โดยเฉพาะหากให้นานกว่า 6 เดือน

Q: ถ้าไม่มีอาการ ยังต้องตรวจแมมโมแกรมหรือไม่?
A: ควรตรวจแม้ไม่มีอาการ โดยเฉพาะหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณคลิปความรู้จาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Cowell, Sakr, R.A., et al. (2013). Progression from ductal carcinoma in situ to invasive breast cancer: revisited. Molecular Oncology.

[/vc_column][/vc_row]

อาหารเพิ่มเลือดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง: โภชนาการก่อน–หลังคีโมเพื่อเพิ่มเม็ดเลือดและฟื้นร่างกาย

0
อาหารสำหรับผู้ป่วยระยะให้คีโม
อาหารสำหรับผู้ป่วยระยะให้คีโม

ทำไมผู้ป่วยมะเร็งที่รับคีโมต้องใส่ใจเรื่องอาหารเพิ่มเลือด?

การรับ คีโม (Chemotherapy) เป็นกระบวนการรักษาที่ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็กระทบกับเซลล์ปกติ โดยเฉพาะ เซลล์เม็ดเลือด ที่ผลิตจากไขกระดูก ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะ เม็ดเลือดแดงต่ำ (โลหิตจาง) และ เม็ดเลือดขาวต่ำ (ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ) ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อ่อนเพลีย และการเลื่อนคิวคีโมออกไป

อาหารจึงเป็น “ยาฟื้นฟู” สำคัญที่จะช่วยผู้ป่วยฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของคีโมได้รวดเร็ว ป้องกันไม่ให้ระดับเม็ดเลือดตกต่ำจนไม่สามารถรักษาต่อเนื่องได้

การวางแผนโภชนาการสำหรับผู้ป่วยคีโม: ก่อน–ระหว่าง–หลัง

การดูแลโภชนาการควรแบ่งออกเป็น 3 ช่วงสำคัญ:

1. ช่วงก่อนให้คีโม (เตรียมร่างกายให้พร้อม)

  • เน้นอาหารที่ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดแดง

  • เสริมโปรตีนและพลังงานเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงรับยา

  • ควบคุมการติดเชื้อโดยรับประทานอาหารสุก สะอาด

2. ระหว่างให้คีโม (ลดผลข้างเคียง)

  • รับมือกับอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องเสีย

  • ควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยวง่าย ไม่มีรสจัด

  • รับประทานบ่อยครั้งในปริมาณน้อยๆ (6 มื้อต่อวัน)

3. หลังให้คีโม (ฟื้นฟูร่างกายและภูมิคุ้มกัน)

  • เพิ่มปริมาณโปรตีน ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก

  • กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแดง

  • ดื่มน้ำสะอาดมากขึ้นเพื่อช่วยขับยาออกจากร่างกาย

สารอาหารหลักที่ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด

1. โปรตีนคุณภาพดี

จำเป็นต่อการซ่อมแซมเซลล์และการสร้างเม็ดเลือด

  • แหล่งจากสัตว์: เนื้อปลาไม่ติดมัน เนื้อไก่ ไข่ขาว

  • แหล่งจากพืช: เต้าหู้ ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง

2. ธาตุเหล็ก

เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง

  • เนื้อแดง ตับ ม้าม

  • ผักเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม

  • ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต งาดำ

3. วิตามินซี

ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

  • ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ มะเขือเทศ พริกหวาน

4. กรดโฟลิก (Folate)

จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือด

  • ผักใบเขียว: ปวยเล้ง คะน้า ผักโขม

  • หน่อไม้ฝรั่ง บร็อกโคลี ฟักทอง

5. วิตามินบี 12

เสริมการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์

  • ไข่ นม ตับ ปลา แซลมอน ปลาทูน่า

6. Zinc และ Magnesium

ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สร้างเม็ดเลือดขาว

  • อาหารทะเล เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ ข้าวกล้อง

อาหารเพิ่มเลือดที่แนะนำในแต่ละช่วง

ช่วง 14–20 วันก่อนให้คีโม

กลุ่มอาหาร รายการแนะนำ
โปรตีน ไข่ขาว, นม, เต้าหู้, เนื้อปลา
ธาตุเหล็ก ตับ, ผักโขม, ถั่วดำ, ข้าวโอ๊ต
วิตามินซี ฝรั่ง, ส้ม, แคนตาลูป
โฟลิก ผักคะน้า, หน่อไม้ฝรั่ง, ฟักทอง

งดอาหารดิบ, งดชา-กาแฟเข้ม, ลดอาหารแปรรูป และน้ำตาลสูง

อาหารสำหรับฟื้นฟูหลังรับคีโม

  • ซุปไก่ตุ๋นยาจีน / ซุปกระดูกปลา

  • ข้าวต้มปลาทะเล

  • น้ำผลไม้สด (ไม่ใส่น้ำตาล)

  • ข้าวกล้อง ผักนึ่ง

  • นมถั่วเหลืองไม่หวาน / นมพาสเจอร์ไรซ์

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยคีโม

  • อาหารดิบ เช่น ปลาดิบ ส้มตำ ก้อย

  • อาหารไขมันสูง เช่น ของทอด หนังสัตว์

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • ชา กาแฟแบบเข้ม

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน

กลยุทธ์เพิ่มเม็ดเลือดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่มีค่าเลือดต่ำ

หากหลังรับคีโมมีระดับเม็ดเลือดต่ำ แพทย์อาจพิจารณาให้:

  • อาหารเสริมธาตุเหล็กหรือกรดโฟลิก

  • ฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว (G-CSF)

  • พักการให้คีโมชั่วคราว เพื่อให้ร่างกายฟื้น

ในระหว่างนี้ผู้ป่วยควร:

  • รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการเพิ่มเลือด

  • ดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตร/วัน

  • พักผ่อนให้เพียงพอ (หลีกเลี่ยงที่แออัด)

ตัวอย่างเมนูอาหารเพิ่มเลือด (1 วัน)

มื้อ เมนู
เช้า ข้าวต้มปลา + ฝรั่ง
ว่าง ถั่วแดงต้ม + น้ำส้ม
กลางวัน ข้าวกล้อง + ผัดผักรวมใส่ตับ
ว่างบ่าย ไข่ต้ม + กล้วยน้ำว้า
เย็น ซุปฟักทอง + ไข่ตุ๋น
ก่อนนอน นมถั่วเหลืองไม่หวาน

สรุป: อาหารเพิ่มเลือดคือพลังฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยคีโม

  • เลือกอาหารที่มีธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และโปรตีนคุณภาพ

  • รับประทานให้ครบหมู่ เลี่ยงของแปรรูปและอาหารดิบ

  • วางแผนโภชนาการล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนคีโม

  • ปรึกษาแพทย์หรือโภชนากรทุกครั้งก่อนปรับอาหารเสริม

เพราะอาหารที่ถูกต้อง คือ “กุญแจ” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งผ่านการรักษาด้วยคีโมได้อย่างมั่นคง แข็งแรง และเพิ่มโอกาสหายขาด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ผู้ป่วยคีโมต้องกินธาตุเหล็กเพิ่มไหม?
A: ถ้าระดับเม็ดเลือดต่ำ แพทย์อาจให้เสริมธาตุเหล็ก แต่ควรกินร่วมกับวิตามินซี และภายใต้คำแนะนำแพทย์เท่านั้น

Q: อาหารเสริมเพิ่มเม็ดเลือดจำเป็นหรือไม่?
A: ในบางกรณีจำเป็น โดยเฉพาะหากอาหารที่รับประทานยังไม่เพียงพอ หรือมีผลข้างเคียงจากคีโมรุนแรง

Q: ดื่มนมวัวได้ไหม?
A: ดื่มได้ถ้าไม่มีอาการแพ้ ควรเลือกชนิดพาสเจอร์ไรซ์ ไม่มีน้ำตาล หรือเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม

Q: ควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรระหว่างให้คีโม?
A: อาหารดิบ อาหารหมักดอง แอลกอฮอล์ ชา-กาแฟ และอาหารรสจัด

[/vc_column_text]

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Principles of chemotherapy”. Clinical Techniques in Small Animal Practice.

“Successful application of targeted electrochemotherapy using novel flexible electrodes and low dose bleomycin to solid tumours”. Cancer Letters. 232 (2): 300–310.

[/vc_column][/vc_row]

อัลตร้าซาวด์มะเร็ง: ตรวจพบก้อนมะเร็งได้ไหม? ใช้เมื่อไร และมีข้อจำกัดอย่างไร

0
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็งหรือไม่

อัลตร้าซาวด์กับการตรวจคัดกรองมะเร็ง: รู้ก่อน รักษาได้

แม้ว่ามะเร็งจะเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย แต่ความจริงที่ไม่ควรมองข้ามคือ ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามแล้ว ทำให้การรักษายากขึ้น และโอกาสหายขาดน้อยลง ด้วยเหตุนี้ การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะด้วยเทคโนโลยี “อัลตร้าซาวด์” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจหาความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ

อัลตร้าซาวด์คืออะไร? ใช้ตรวจมะเร็งได้อย่างไร

อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) เป็นเทคนิคถ่ายภาพโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ใช้รังสี จึงปลอดภัยต่อร่างกาย สามารถใช้ตรวจความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต รังไข่ มดลูก เต้านม และต่อมลูกหมาก โดยภาพที่ได้สามารถแสดงตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของก้อนเนื้อหรือถุงน้ำ ซึ่งมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยเบื้องต้น

ถึงแม้ว่าอัลตร้าซาวด์ไม่สามารถบอกได้ว่า “เป็นมะเร็งแน่นอนหรือไม่” แต่ สามารถชี้เป้าความผิดปกติที่น่าสงสัย เพื่อส่งต่อให้วินิจฉัยต่อด้วยการเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy), CT scan หรือ MRI ต่อไปได้ทันเวลา

มะเร็งที่สามารถตรวจพบได้ด้วยอัลตร้าซาวด์

การใช้เทคนิคอัลตร้าซาวด์มีประโยชน์อย่างยิ่งในมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านหน้าท้องหรือทางช่องคลอด เช่น:

1. มะเร็งเต้านม

  • ตรวจได้โดยการ อัลตร้าซาวด์เต้านม ควบคู่กับแมมโมแกรม

  • ใช้แยกความแตกต่างระหว่างก้อนเนื้อธรรมดา ถุงน้ำ และก้อนที่น่าสงสัย

  • เหมาะกับผู้หญิงอายุน้อยที่เต้านมมีความหนาแน่นสูง

2. มะเร็งรังไข่

  • อัลตร้าซาวด์ผ่านช่องคลอดสามารถเห็นรังไข่และสังเกตลักษณะของซีสต์หรือก้อนผิดปกติ

  • หากพบก้อนที่มีผนังหนา ผนังไม่เรียบ หรือมีเลือดปน อาจสงสัยว่าเป็นมะเร็ง

3. มะเร็งตับ

  • ใช้ตรวจหาก้อนในตับ ร่วมกับค่า AFP (Alpha-Fetoprotein) ในเลือด

  • เหมาะกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B หรือ C และผู้มีภาวะไขมันพอกตับ

4. มะเร็งมดลูกและปากมดลูก

  • อัลตร้าซาวด์สามารถตรวจหาความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกหรือมดลูกโตผิดปกติ

  • ใช้ร่วมกับการตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) และ HPV DNA test

5. มะเร็งต่อมลูกหมาก

  • ใช้อัลตร้าซาวด์ผ่านทางทวารหนัก (TRUS) ร่วมกับค่า PSA ในเลือด

  • ช่วยวางแนวทางการเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก

อัลตร้าซาวด์สามารถตรวจมะเร็งได้ทั้งหมดหรือไม่?

ไม่สามารถตรวจพบมะเร็งได้ทุกชนิด

แม้อัลตร้าซาวด์จะมีประโยชน์ในการตรวจเบื้องต้น แต่ไม่สามารถตรวจอวัยวะทุกตำแหน่งได้ครบถ้วน เช่น:

  • มะเร็งสมอง: ต้องใช้ MRI

  • มะเร็งปอด: ต้องใช้ X-ray หรือ CT Scan

  • มะเร็งกระดูกหรือกระดูกสันหลัง: ใช้ MRI หรือ PET Scan

ดังนั้นการวินิจฉัยที่แม่นยำต้องอาศัยการตรวจหลายรูปแบบร่วมกันเสมอ

สัญญาณเตือนภัย: อาการมะเร็งที่ต้องสังเกต

แม้ไม่ใช่ทุกอาการจะเป็นมะเร็ง แต่หากพบความผิดปกติต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม:

  • คลำพบก้อนเนื้อบริเวณใดก็ตาม

  • น้ำหนักลดผิดปกติ

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง

  • ไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด

  • มีเลือดออกจากอวัยวะภายใน เช่น ช่องคลอด อุจจาระ ปัสสาวะ

  • เจ็บปวดโดยไม่มีสาเหตุ เช่น เจ็บท้อง เจ็บกระดูก

การตรวจคัดกรองมะเร็ง: ทำอย่างไรให้ครบ

1. อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound)

ใช้ตรวจเต้านม ช่องท้อง รังไข่ มดลูก ตับ ต่อมลูกหมาก ฯลฯ

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • เลือด: ตรวจ CBC, ค่าไต/ตับ, น้ำตาล, ไขมัน, Tumor Marker

  • ปัสสาวะ/อุจจาระ: ตรวจหาผิดปกติ เช่น เลือดแฝงในอุจจาระ (FOBT)

3. การตรวจทางพยาธิวิทยา

  • แปปสเมียร์

  • การขูดเซลล์เยื่อบุ

4. การถ่ายภาพทางการแพทย์

  • X-ray / CT scan / MRI

  • Mammogram

  • PET scan

5. การตรวจด้วยอุปกรณ์พิเศษ

  • ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)

  • ส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy)

ตรวจมะเร็งกับใคร? โรงพยาบาล หรือคลินิกดี?

  • โรงพยาบาลใหญ่: มีเครื่องมือครบ ทั้งอัลตร้าซาวด์ MRI CT และแพทย์เฉพาะทาง

  • คลินิกหรือศูนย์ตรวจสุขภาพ: เหมาะสำหรับการตรวจเบื้องต้น เช่น ตรวจเลือด + อัลตร้าซาวด์ช่องท้อง

หากพบสิ่งผิดปกติ แนะนำส่งต่อเข้าระบบโรงพยาบาลทันที

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอัลตร้าซาวด์มะเร็ง

ความเชื่อผิด ความจริง
อัลตร้าซาวด์บอกได้เลยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ไม่ถูกต้อง – อัลตร้าซาวด์ระบุ “ลักษณะ” ของก้อน แต่ไม่สามารถยืนยันว่าเป็นมะเร็ง ต้องตรวจชิ้นเนื้อเสมอ
ไม่พบก้อนแปลว่าไม่เป็นมะเร็ง ผิด – มะเร็งบางชนิดไม่มีลักษณะเป็นก้อน หรือยังเล็กจนตรวจไม่พบ
อัลตร้าซาวด์ปลอดภัย ใช้บ่อยได้ ถูกต้อง – เพราะไม่ใช้รังสีเหมือน X-ray หรือ CT

อัลตร้าซาวด์เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจมะเร็งเบื้องต้น โดยเฉพาะในอวัยวะที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความละเอียดสูง หากใช้ร่วมกับการตรวจเลือดและการประเมินอาการของผู้ป่วย จะช่วยให้แพทย์วางแผนการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที

การตรวจสุขภาพประจำปี และการเฝ้าระวังความผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ คือทางเลือกที่ชาญฉลาดในการเพิ่มโอกาสรักษามะเร็งให้หายขาด


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: อัลตร้าซาวด์สามารถตรวจเจอมะเร็งทุกชนิดได้ไหม?
A: ไม่ได้ อัลตร้าซาวด์ตรวจได้เฉพาะบางอวัยวะ เช่น เต้านม ตับ มดลูก รังไข่ ส่วนอวัยวะลึก เช่น สมองหรือกระดูก ต้องใช้ MRI หรือ CT

Q: ถ้าพบก้อนจากอัลตร้าซาวด์ หมายถึงเป็นมะเร็งใช่หรือไม่?
A: ไม่จำเป็น ก้อนบางชนิดเป็นถุงน้ำหรือก้อนธรรมดา ต้องส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การเจาะชิ้นเนื้อเพื่อยืนยัน

Q: ตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง ควรทำเมื่อใด?
A: แนะนำทุก 1–2 ปี โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี หรือมีประวัติมะเร็งในครอบครัว

Q: อัลตร้าซาวด์เจ็บไหม? อันตรายหรือไม่?
A: ไม่เจ็บและไม่อันตราย เพราะใช้คลื่นเสียง ไม่ใช่รังสี จึงเหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่ตรวจซ้ำบ่อย

[/vc_column_text]

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Symptoms in 400 patients referred to palliative care services: prevalence and patterns. Palliat Med. 321

[/vc_column][/vc_row]

การตรวจสุขภาพประจำปี: รายการตรวจเลือด ค่าผลปกติ และความหมายที่ควรรู้

0
วิํธีอ่านผลตรวจสุขภาพ
วิํธีอ่านผลตรวจสุขภาพ

ความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปี

การตรวจสุขภาพประจำปีถือเป็นรากฐานของการดูแลสุขภาพเชิงรุก (Preventive Health) เพราะการรู้จักร่างกายของตนเองเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนชีวิต การตรวจสุขภาพไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือค้นหาโรค แต่ยังช่วยประเมินแนวโน้มสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคที่ร้ายแรงอย่างมะเร็ง การตรวจสุขภาพช่วยให้เรารู้ทันโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมักไม่มีอาการ จึงสามารถป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงที

ตรวจเลือดคืออะไร และมีความหมายอย่างไร

ในบรรดาการตรวจสุขภาพที่ใช้กันทั่วไป การตรวจเลือดเป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และให้ข้อมูลที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ภาวะโลหิตจาง การอักเสบ การติดเชื้อ ภาวะขาดสารอาหาร ไปจนถึงโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับฮอร์โมน ผลตรวจเลือดสามารถเปรียบได้กับ “กระจกสะท้อนสุขภาพภายในร่างกาย” ที่แพทย์ใช้วิเคราะห์ภาวะผิดปกติได้อย่างละเอียดและแม่นยำ

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)

การตรวจ Complete Blood Count (CBC) เป็นการประเมินเซลล์หลักในเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เป็นการตรวจเบื้องต้นที่มักใช้ในทุกโปรแกรมตรวจสุขภาพ

เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell: RBC)

RBC ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ หากค่า RBC ต่ำกว่าปกติอาจแสดงถึงภาวะโลหิตจาง (Anemia) ที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก วิตามิน B12 หรือโรคเรื้อรังบางชนิด หากสูงเกินไปอาจบ่งถึงภาวะขาดน้ำหรือโรคไขกระดูก

เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell: WBC)

WBC มีบทบาทหลักในระบบภูมิคุ้มกัน ค่า WBC ที่สูงผิดปกติอาจแสดงถึงการติดเชื้อ หรือมะเร็งเม็ดเลือด เช่น ลิวคีเมีย ในทางกลับกัน หากต่ำเกินไปอาจบ่งถึงการกดภูมิคุ้มกันจากการใช้ยา หรือโรคไวรัสเรื้อรัง

เกล็ดเลือด (Platelet)

เกล็ดเลือดช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล หากมีค่าต่ำ อาจเสี่ยงต่อการเลือดออกผิดปกติ หากสูงผิดปกติอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือด

การตรวจหาสารชีวเคมีในเลือด (Biochemical Tests)

นอกจากการประเมินเซลล์ในเลือด การตรวจค่าชีวเคมีในเลือดก็เป็นอีกส่วนสำคัญ เพราะแสดงค่าการทำงานของอวัยวะหลักในร่างกาย

ค่าน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar, HbA1c)

การวัดระดับน้ำตาลขณะอดอาหารช่วยคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน หากค่าระหว่าง 100–125 mg/dL จัดเป็นภาวะ “เสี่ยงเบาหวาน” ส่วน HbA1c แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2–3 เดือน หากมากกว่า 6.5% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เบาหวาน

ไขมันในเลือด (Lipid Profile)

ประกอบด้วย LDL, HDL, Triglyceride และ Total Cholesterol ค่าที่ผิดปกติสัมพันธ์โดยตรงกับโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง การควบคุมระดับไขมันในเลือดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน และผู้สูบบุหรี่

การทำงานของตับ (Liver Function Test)

ค่าที่ใช้ประเมิน ได้แก่ SGOT (AST), SGPT (ALT), ALP และ Bilirubin หากค่าสูงเกินปกติ อาจเป็นสัญญาณของไขมันพอกตับ ตับอักเสบ หรือโรคตับอื่นๆ การตรวจนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย หรือมีน้ำหนักเกิน

การทำงานของไต (Kidney Function Test)

ดูได้จากค่า BUN, Creatinine และอัตราการกรองของไต (eGFR) ค่าที่ผิดปกติอาจแสดงถึงภาวะไตเสื่อมในระยะต้น ซึ่งหากไม่ปรับพฤติกรรม อาจพัฒนาเป็นไตวายเรื้อรังในอนาคต

การตรวจฮอร์โมนและสารชีวเคมีเฉพาะทาง

ฮอร์โมนไทรอยด์

เช่น TSH, Free T3 และ Free T4 ใช้ประเมินภาวะไทรอยด์ต่ำหรือไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งพบมากในผู้หญิงวัยทำงาน

ฮอร์โมนเพศชาย-หญิง

เช่น Testosterone, Estrogen, Progesterone ใช้ในการประเมินภาวะมีบุตรยาก วัยทอง หรือปัญหาทางเพศ

สารแร่ธาตุในเลือด

เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม ช่วยในการวิเคราะห์ภาวะขาดสมดุลของระบบไฟฟ้าในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจ และสมอง

การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers)

แม้ว่าการเจาะเลือดไม่สามารถวินิจฉัยมะเร็งได้ 100% แต่สารบางชนิดในเลือดจะสูงขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด ซึ่งเรียกว่า Tumor Marker

ตัวอย่างสารบ่งชี้มะเร็งที่พบบ่อย

  • CEA: มะเร็งลำไส้ใหญ่

  • AFP: มะเร็งตับ

  • CA-125: มะเร็งรังไข่

  • PSA: มะเร็งต่อมลูกหมาก

  • CA 19-9: มะเร็งตับอ่อนหรือท่อน้ำดี

แพทย์จะสั่งตรวจสารเหล่านี้ในผู้ที่มีอาการผิดปกติ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง เพื่อใช้ประกอบกับการตรวจวินิจฉัยอื่น เช่น CT Scan หรือ MRI

ค่าผลตรวจเลือดและช่วงค่าปกติ

รายการตรวจ ช่วงค่าปกติ (ผู้ใหญ่)
RBC 4.2 – 5.9 ล้านเซลล์/µL
WBC 4,000 – 11,000 เซลล์/µL
Platelet 150,000 – 450,000 เซลล์/µL
FBS < 100 mg/dL
HbA1c < 5.7%
LDL < 100 mg/dL (หากมีโรคประจำตัว)
HDL > 40 mg/dL (ชาย), > 50 mg/dL (หญิง)
Triglyceride < 150 mg/dL
Creatinine 0.6 – 1.2 mg/dL

ตรวจสุขภาพตามช่วงวัย ควรเริ่มเมื่อไร?

  • อายุ 20–30 ปี: ตรวจพื้นฐาน เช่น CBC, น้ำตาล, ไขมัน, ตับ, ไต

  • อายุ 30–40 ปี: เพิ่มการตรวจมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก

  • อายุ 40–50 ปี: ตรวจ PSA, สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ ตับ

  • อายุ 50 ปีขึ้นไป: ตรวจความหนาแน่นของกระดูก, ตรวจสมรรถภาพหัวใจเพิ่มเติม

สรุป: ตรวจสุขภาพ = ดูแลอนาคตของคุณ

การตรวจสุขภาพไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน การรู้เท่าทันร่างกายของตนเองตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญสู่การป้องกันโรคร้ายที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้ตลอดกาล

หากคุณไม่แน่ใจว่าควรตรวจอะไร หรืออ่านผลเลือดไม่เข้าใจ อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะสุขภาพของคุณมีค่าเกินกว่าการมองข้าม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ควรเริ่มตรวจสุขภาพประจำปีเมื่ออายุเท่าไร?

A: คนทั่วไปควรเริ่มตรวจสุขภาพประจำปีตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยเน้นการตรวจพื้นฐาน เช่น ความดัน น้ำตาล ไขมัน และเม็ดเลือด หากอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง แพทย์จะพิจารณาเพิ่มการตรวจเฉพาะทาง เช่น ตรวจตับ ไต ฮอร์โมน หรือสารบ่งชี้มะเร็ง

Q: การตรวจเลือดสามารถบอกโรคได้ทั้งหมดหรือไม่?

A: การตรวจเลือดให้ข้อมูลได้หลายระบบในร่างกาย เช่น ภาวะโลหิตจาง ตับอักเสบ เบาหวาน และบางชนิดของมะเร็ง แต่ไม่สามารถวินิจฉัยโรคทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะโรคที่ซับซ้อนยังต้องตรวจด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ภาพถ่ายรังสี หรือการส่องกล้อง

Q: Tumor Marker ตรวจมะเร็งได้ทุกชนิดหรือไม่?

A: ไม่สามารถตรวจมะเร็งได้ทุกชนิด Tumor Marker เป็นเพียง “ตัวบ่งชี้” ที่อาจเพิ่มขึ้นในบางชนิดของมะเร็ง เช่น CEA, AFP, PSA, CA-125 เป็นต้น ทั้งนี้ การตรวจต้องร่วมกับวิธีอื่น เช่น CT Scan, MRI หรือการตรวจชิ้นเนื้อ จึงจะยืนยันได้แน่ชัด

Q: การตรวจ CBC ใช้บอกอะไรได้บ้าง?

A: การตรวจ CBC ใช้วิเคราะห์จำนวนและลักษณะของเซลล์ในเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ช่วยบอกภาวะโลหิตจาง ติดเชื้อ ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือโรคเกี่ยวกับไขกระดูกได้ในเบื้องต้น

Q: ต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพหรือไม่?

A: ใช่ โดยเฉพาะการตรวจน้ำตาลในเลือดและไขมัน ควรงดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ หากมีรายการตรวจเฉพาะอื่น ควรปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Health Check approval misleading consumers, Canadian doctor alleges”. Global News. Corus Entertainment. Retrieved 18 November 2016.

[/vc_column][/vc_row]

มะเร็ง (Cancer): สาเหตุ อาการ ระยะ วิธีตรวจ และแนวทางรักษาโรคมะเร็งแบบละเอียด

0
มะเร็งคืออะไร
เซลล์มะเร็งที่กระจายอยู่ภายในร่างกาย

มะเร็งคืออะไร?

มะเร็ง (Cancer) คือโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ร่างกาย ทำให้เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตผิดปกติและแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์มะเร็งสามารถรุกล้ำเนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นผ่านทางกระแสเลือดและระบบน้ำเหลืองได้ในที่สุด

เมื่อเซลล์มะเร็งเติบโต พวกมันจะสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อดึงสารอาหารจากร่างกายมาเลี้ยงตัวเอง ส่งผลให้เซลล์ปกติในบริเวณใกล้เคียงขาดสารอาหารและตายในที่สุด หากกระจายไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน การสร้างเม็ดเลือด และการควบคุมสมดุลเคมีในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต

มะเร็งเกิดจากอะไร?

แม้มะเร็งอาจดูเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่แท้จริงแล้วมีปัจจัยเสี่ยงชัดเจนหลายประการ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม พฤติกรรม และพันธุกรรม โดยมีรายละเอียดที่ควรรู้ดังนี้:

อายุ

เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ในร่างกายมีโอกาสเสื่อมสภาพมากขึ้น การซ่อมแซมเซลล์ผิดพลาดบ่อย ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่การเกิดมะเร็งได้

พฤติกรรมการบริโภคอาหาร

การบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ ซึ่งมักใส่สารกันบูดประเภทไนไตรท์ (Nitrite) และไนเตรต (Nitrate) เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก รวมถึงอาหารทอดน้ำมันซ้ำ อาหารไขมันสูง และอาหารที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง

บุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด และยังเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งกล่องเสียง ช่องปาก หลอดลม ไต และเม็ดเลือดขาว ควันบุหรี่มีสารพิษกว่า 60 ชนิดที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยตรง

การติดเชื้อและพยาธิ

  • ไวรัส HPV: เป็นปัจจัยหลักของมะเร็งปากมดลูก

  • เชื้อ H.Pylori: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • พยาธิใบไม้ในตับ (Opisthorchis viverrini): เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งท่อน้ำดี

ความเครียด

ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถตรวจจับและทำลายเซลล์ผิดปกติได้ทันท่วงที เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

โรคอ้วน

รายงานของ WHO ในปี 2016 ระบุว่าโรคอ้วนเชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ตับอ่อน รังไข่ ไทรอยด์ และไขกระดูก โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม

พันธุกรรม

แม้มีเพียง 5–10% ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจากพันธุกรรม แต่หากมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็น ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะหากเริ่มแสดงอาการตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว

ระยะของโรคมะเร็งและการแพร่กระจาย

แพทย์จะประเมินระยะของมะเร็งตามขนาดก้อนเนื้อ การแพร่กระจาย และลักษณะทางพยาธิวิทยา โดยทั่วไปแบ่งเป็น 5 ระยะ:

ระยะ ลักษณะของมะเร็ง อัตรารอดชีวิต (5 ปี)
ระยะ 0 เซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลามออกจากตำแหน่งกำเนิด 90–99%
ระยะ 1 ก้อนมะเร็งขนาดเล็ก ยังไม่กระจาย 70–90%
ระยะ 2 ขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเนื้อเยื่อข้างเคียง 70–80%
ระยะ 3 ลุกลามมากขึ้นรวมถึงต่อมน้ำเหลือง 20–60%
ระยะ 4 กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง 0–15%

สรุป: การตรวจพบในระยะเริ่มต้นสำคัญมาก เนื่องจากโอกาสรักษาหายยังสูงกว่าระยะลุกลาม

อาการของโรคมะเร็ง

อาการทั่วไปของมะเร็งทุกชนิด

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ง่วงบ่อย

  • น้ำหนักลด เบื่ออาหาร

  • ไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ปวดเรื้อรังในบริเวณเฉพาะจุด

  • มีแผลที่ไม่หายหรือก้อนเนื้อผิดปกติ

อาการเฉพาะจุด (ตามอวัยวะ)

  • มะเร็งเต้านม: คลำเจอก้อนเนื้อที่เต้านม

  • มะเร็งลำไส้: ท้องผูก ท้องเสียสลับกัน มีเลือดในอุจจาระ

  • มะเร็งตับ: ปวดใต้ชายโครงขวา

  • มะเร็งรังไข่: จุกเสียด ท้องอืด คล้ายโรคระบบทางเดินอาหาร

จากการสำรวจผู้ป่วยมะเร็ง 400 ราย พบอาการบ่อยดังนี้:

  1. ปวดเรื้อรัง (64%)

  2. เบื่ออาหาร (34%)

  3. ท้องผูก (32%)

  4. เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง (32%)

  5. หายใจลำบาก (31%)

วิธีการตรวจหามะเร็ง

การตรวจคัดกรองมะเร็งมี 3 ประเภทหลัก:

1. การตรวจร่างกาย

แพทย์จะตรวจด้วยมือ เช่น คลำก้อน ตรวจช่องปาก ลำคอ เต้านม ทวารหนัก ฯลฯ พร้อมสอบถามประวัติครอบครัวและพฤติกรรมเสี่ยง

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

เช่น ตรวจเลือด, ปัสสาวะ, อุจจาระ, ชิ้นเนื้อ เพื่อตรวจหาสารบ่งชี้ (Tumor Marker) หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม

3. การถ่ายภาพทางการแพทย์

  • X-ray

  • CT scan

  • MRI

  • Ultrasound

แนวทางการรักษาโรคมะเร็ง

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดมะเร็ง ระยะโรค และสุขภาพของผู้ป่วย

1. การผ่าตัด

เหมาะกับระยะเริ่มต้น เช่น มะเร็งเต้านม ระยะ 1–2 โดยอาจตัดเฉพาะก้อน หรือทั้งอวัยวะ พร้อมต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้ยาเพื่อทำลายหรือยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย ข้อเสียคือเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วก็ถูกทำลายด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น

  • เม็ดเลือดต่ำ

  • ผมร่วง

  • คลื่นไส้ อาเจียน

  • ปัญหาทางเดินอาหาร

  • ภาวะมีบุตรยากชั่วคราว

ผลข้างเคียงมักดีขึ้นหลังหยุดยา 1–3 เดือน

3. รังสีรักษา (Radiation Therapy)

ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะจุด เช่น มะเร็งศีรษะและลำคอ ฉายรังสีวันละ 5–15 นาทีต่อครั้ง ทำต่อเนื่องวันเว้นวันจนครบ 20–40 ครั้ง

สรุป: สิ่งสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง

  • มะเร็งสามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรก

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การกิน การสูบบุหรี่ และความเครียด เป็นตัวแปรสำคัญ

  • ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสหายสูง

  • การรักษามีหลากหลายแนวทางและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการน่าสงสัย อย่ารอช้า! ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: มะเร็งสามารถรักษาหายขาดได้ไหม?
A: หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น ระยะ 0–1 โอกาสหายขาดสูงถึง 90–99% โดยเฉพาะในมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก

Q: เคมีบำบัดต้องทำกี่ครั้ง?
A: โดยทั่วไปอยู่ที่ 5–12 ครั้ง ห่างกันประมาณ 3–4 สัปดาห์ ใช้เวลารวมหลายเดือน ขึ้นกับชนิดและระยะของมะเร็ง

Q: มะเร็งถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้จริงหรือไม่?
A: ใช่ แต่ในสัดส่วนเพียง 5–10% เท่านั้น เช่น มะเร็งเต้านมจากยีน BRCA1/2

Q: อาหารอะไรที่ควรเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง?
A: อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง อาหารไขมันสูง ย่างไหม้เกรียม น้ำอัดลม และอาหารที่ใส่สารกันบูด

Q: วัคซีน HPV ช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่?
A: ได้ โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง และมะเร็งทวารในผู้ชาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Loomis, D; Grosse, Y; Bianchini, F; Straif, K (2016) . “Body Fatness and Cancer — Viewpoint of the IARC Working Group”. N Engl J Med. 375:794-798. doi:10.1056/NEJMsr1606602. 

[/vc_column][/vc_row]