ชะลูด ใช้เป็นยาสมุนไพรและใช้ทำเครื่องหอม

0
ชะลูด ใช้เป็นยาสมุนไพรและใช้ทำเครื่องหอม เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก เปลือกต้นสีดำ ยางสีขาวขุ่น ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม ผลแห้งแข็งทรงรี
ชะลูด
เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก เปลือกต้นสีดำ ยางสีขาวขุ่น ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม ผลแห้งแข็งทรงรี

ชะลูด

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Alyxia reinwardtii Blume ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Alyxia reinwardtii var. lucida (Wall.) Markgr., Alyxia nitens Kerr หรือ ช่อสั้น Alyxia schlechteri H.Lév.[2] จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)[1]ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ลูด (ปัตตานี), ชะนูด (สุราษฎร์ธานี), ขี้ตุ่น ช้างตุ่น ต้นธูป (ภาคอีสาน), ชะลูด (ตราด, ภาคกลาง), นูด (ภาคใต้), ชะรูด (ไทย)[1],[2]

ลักษณะต้นชะลูด

  • ลักษณะของต้น[1]
    – เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก
    – ลำต้นเกลี้ยง
    – เปลือกต้นเป็นสีดำ
    – ทุกส่วนของต้นนั้นจะมีน้ำยางสีขาว
    – พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นกระจัดกระจายอยู่ในป่าดิบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และทางภาคใต้
  • ลักษณะของเถา[2]
    – เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ขนาดเล็ก
    – เปลือกค่อนข้างดำและเกลี้ยง
    – มียางสีขาวขุ่น
    – เถาที่เก็บมาแล้วจะต้องนำมาทุบเพื่อลอกเอาเปลือกสีดำข้างนอกทิ้ง
    – แล้วลอกเอาแต่เนื้อที่หุ้มแก่นไม้มาใช้เป็นยาโดยนำมาผึ่งให้แห้ง
    – เปลือกไม้ก็จะม้วนเป็นแผ่นบาง ๆ
    – มีสีขาว กลิ่นหอมเย็น
  • ลักษณะของใบ[1]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกอยู่รอบ ๆ ข้อ ข้อละ 3 ใบ
    – ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี
    – ปลายใบแหลมหรือมน
    – โคนใบเป็นครีบ
    – ขอบใบม้วนลง
    – ใบมีความกว้าง 2.5-4 เซนติเมตร และมีความยาว 3.5-9 เซนติเมตร
    – แผ่นใบด้านบนเป็นมัน
    – เนื้อใบหนาและแข็ง
    – มีก้านใบยาว 3-7 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ
    – ช่อละ 4-10 ดอก
    – ดอกมีกลิ่นหอม
    – เป็นสีเหลือง
    – ดอกมีใบประดับเป็นรูปขอบขนาน
    – ปลายใบประดับจะแหลม
    – มีความยาว 1 มิลลิเมตร
    – กลีบรองกลีบดอกจะมีอยู่ 5 กลีบ
    – เมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 มิลลิเมตร
    – โคนกลีบติดกันเป็นท่อยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร
    – ตรงคอท่อจะแคบและมีขน
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน จะติดอยู่ภายในใกล้กับปากท่อดอก
    – ก้านเกสรมีขนาดสั้นมาก
    – ท่อเกสรเพศเมียมีความเรียวยาว
    – รังไข่นั้นจะมีอยู่ 2 ช่อง ซึ่งจะแยกออกจากกัน
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลเป็นรูปทรงรี
    – มีความยาว 1 เซนติเมตร
    – เมื่อผลแห้ง จะมีความแข็ง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชะลูด

  • เปลือกต้นมีสาร alyxialactone, coumarin, irridoid glycoside, saponin[2]
  • จากการศึกษาพบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้และมดลูก[2]
  • การศึกษาทางพิษวิทยา ด้วยการนำมาทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากเปลือกด้วยเอทานอล 50% โดยนำมาให้หนูทดลองกินและให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 1,613 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใช้รักษาในคน ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ[2]

สรรพคุณของชะลูด

  • เถา สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษในเลือดและน้ำเหลือง[2]
  • เถา สามารถใช้เป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการอ่อนเพลีย[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น[2]
  • เนื้อไม้ และเปลือกเถาชั้นใน สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจได้[1],[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน มีกลิ่นหอมและชุ่มชื่น สามารถนำมาใช้เป็นยาบำรุงกำลัง[1],[2]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาพิษไข้ พิษเสมหะ และลม[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการใจสั่นหรืออาการหงุดหงิดได้[1]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาลมและยาขับลม[1]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้ดีพิการ[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้อาการปวดบวม[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยขับผายลม[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยบำรุงครรภ์รักษา[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้อาการปวดในท้อง แก้ปวดมวนท้อง[2]
  • เปลือก ใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้อาการวิงเวียน หน้ามืดตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน ช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง[2]
  • เปลือก มีสรรพคุณเป็นยาแก้สะอึก แก้ดีพิการ แก้ลม ส่วนรากใช้เป็นยาแก้ลม แก้พิษไข้ แก้พิษเสมหะ เนื้อต้นใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยขับผายลม[3]
  • เปลือก สามารถใช้แก้อาการปวดมวนท้องหรือไซ้ท้อง และช่วยขับผายลม[3]
  • ใบและผล สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ร้อนใน แก้สะอึก กระสับกระส่าย แก้ดีพิการ แก้คุดทะราด[3]
  • ลำต้น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ตกขาวแก้เหน็บชา ใช้เข้ายาแก้กระษัยเส้น แก้อาการปวดเมื่อยเนื่องจากการทำงานหนัก[3]
  • รากและเถา สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ[3]

ประโยชน์ของชะลูด

  • นิยมนำมาปลูกไว้เพื่อนำมาใช้ทำเครื่องหอมและใช้เป็นยาสมุนไพร[1]
  • เปลือกชั้นใน สามารถนำมาใช้ปรุงแต่งผ้าให้มีกลิ่นหอม ใช้ปรุงแต่งกลิ่นใบยาสูบหรือใช้อบเสื้อผ้า หรือนำมาใช้ทำเป็นเครื่องหอมได้[1]
  • สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับซุ้มได้ แต่ต้องมีต้นไม้อื่นหรือเสาให้เลื้อยเกาะ เจริญเติบโตได้ดีในดินชื้นที่ระบายน้ำได้ดี (คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้)

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชะ ลูด”. หน้า 251-252.
2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชะ ลูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [12 ก.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชะ ลูดช่อสั้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [12 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://alchetron.com/Alyxia
2.https://powo.science.kew.org/taxon/

จิกนม สรรพคุณใช้ทาแก้ขี้กลาก

0
จิกนม
จิกนม สรรพคุณใช้ทาแก้ขี้กลาก เป็นพรรณไม้ยืนต้น ดอกออกเป็นช่อที่ยอดของต้นห้อยลง มีสีเขียวขอบสีแดง สีแดง สีชมพูเข้ม ผลมนรีสีเขียว
จิกนม
เป็นพรรณไม้ยืนต้น ดอกออกเป็นช่อที่ยอดของต้นห้อยลง มีสีเขียวขอบสีแดง หรือสีแดง หรือสีชมพูเข้ม ผลมนรีสีเขียว

จิกนม

จิกนม พรรณไม้ยืนต้นกลางแจ้งขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง พบขึ้นตามป่าดงดิบทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Barringtonia macrostachya (Jack) Kurz อยู่วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE) ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Stravadium acuminatum (Korth.) Blume, Doxomma macrostachyum (Jack) Miers, Doxomma cochinchinense (Blume) Miers, Careya macrostachya Jack, Barringtonia rosea Wall. ex R.Knuth, Barringtonia olivacea R.Knuth, Barringtonia isabelaensis R.Knuth, Barringtonia cylindrostachya Griff., Barringtonia cochinchinensis (Blume) Merr. ex Gagnep., Barringtonia annamica Gagnep., Baranda angatensis Llanos, Stravadium cochinchinense Blume, Michelia macrostachya (Jack) Kuntze, Doxomma cylindrostachyum (Griff.) Miers, Doxomma acuminatum (Korth.) Miers, Barringtonia wallichiana R.Knuth, Barringtonia pendens R.Knuth, Barringtonia moluccana R.Knuth, Barringtonia fusicarpa Hu, Barringtonia craibiana R.Knuth, Barringtonia balabacensis Merr., Barringtonia acuminata Korth. ชื่อในท้องถิ่นอื่นๆ เช่น จิก (ภาคใต้), นมยาน (หนองคาย), จิกนุ่ม (นครศรีธรรมราช)

ลักษณะจิกนม

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้น มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 4-20 เมตร จะแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น แต่ไม่เยอะนัก เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการใช้เมล็ด พบเจอได้ที่ตามป่าดงดิบที่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคใต้ของประเทศไทย
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกันตามข้อต้น ใบมีลักษณะยาวรี ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบแหลม ขอบใบจะมีจักเล็กทั่วใบ ใบกว้างประมาณ 2.5-3 นิ้ว ยาวประมาณ 6-9 นิ้ว เนื้อใบมีลักษณะบางคล้ายกับกระดาษสีเขียว ก้านใบมีความยาวประมาณ 1-3 นิ้ว
  • ดอก จะออกเป็นช่อที่ยอดของต้น ช่อดอกจะห้อยลง ช่อมีความยาวประมาณ 9-18 นิ้ว ในแต่ละช่อมีเป็นจำนวนมาก ดอกมีลักษณะเป็นสีเขียวขอบสีแดง สีแดง สีชมพูเข้ม มีกลีบ 4 กลีบ กลีบรองดอกจะเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย มีอยู่ 4 กลีบ จะมีเป็นสีม่วง สีแดง สีแดงเข้ม ที่บริเวณฐานดอกมีร่องลึกเป็นวง มีเกสรจำนวนมาก
  • ผล มีลักษณะมนรี มีสันอยู่ 4 สันตามแนวยาว เป็นผลสีเขียว กว้างประมาณ 1-1.5 นิ้ว ยาวประมาณ 2-3.5 นิ้ว มีเมล็ดรูปทรงไข่อยู่ในผล

สรรพคุณของจิกนม

  • สามารถนำใบไปตากแห้ง แล้วเอามาต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคแก้ปวดท้องได้ (ใบ)
  • สามารถนำผงจากรากมาใช้เป็นยาแก้ตาเจ็บได้ (ราก)
  • นำรากมาล้างให้สะอาด แล้วเอาไปตากแห้ง แล้วก็นำมาบดให้เป็นผงสามารถใช้ทาแก้ขี้กลากได้ (ราก)

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “จิกนม”. หน้า 226-227.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://plantlet.org/
2.https://www.biodiversity4all.org/

ฆ้องสามย่าน สรรพคุณดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย

0
ฆ้องสามย่าน สรรพคุณดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย เป็นพรรณไม้ล้มลุก ดอกสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม ผลแห้งออกเป็นพวง
ฆ้องสามย่าน
เป็นพรรณไม้ล้มลุก ดอกสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม ด้านบนมีสีเหลือง ผลแห้งออกเป็นพวง

ฆ้องสามย่าน

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Kalanchoe laciniata (L.) DC. อยู่วงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE)[1],[2] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ฮอมแฮม (จังหวัดแม่ฮ่องสอน), คะซีคู่ซัวะ (กะเหรี่ยง, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), เถาไฟ (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) [1],[2], ทองสามย่าน, ส้นเส้า, ใบทาจีน, มือตะเข้[3]

ลักษณะต้นฆ้องสามย่าน

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 20-100 เซนติเมตร ผิวจะเกลี้ยงหรือจะมีขนนิดหน่อย ที่ปล้องข้างล่างสั้น ที่ปล้องกลางหรือปล้องบนมีความยาวมากขึ้นนิดหน่อย ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ลำต้นกับใบฉ่ำน้ำ เป็นพรรณไม้จำพวกมหากาฬ ใบหูเสือ หรือคว่ำตายหงายเป็น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด ชอบดินร่วน และที่มีความชื้นปานกลาง แสงแดดปานกลาง มักขึ้นที่ตามพื้นที่ลุ่ม กลิ่นคล้ายการบูรกับผิวส้ม[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีหลายรูปร่าง ใบที่บริเวณตรงกลางลำต้นจะเว้าเป็นแฉกลึกแบบขนนกชั้นเดียวหรือสองชั้น คล้ายกับใบประกอบ แต่ละแฉกเป็นรูปขอบขนานแคบ ที่ปลายจะแหลม ที่ขอบจะจักเป็นฟันเลื่อยแกมซี่ฟันหยาบ เป็นสีเขียวและมีไขเคลือบ ใบที่เล็กกว่าขอบใบจะเรียบหรือเกือบเรียบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร มีลักษณะแบน ค่อนข้างที่จะโอบลำต้นเอาไว้ ใบที่บริเวณโคนต้นจะไม่เว้าหรือจะเว้าเป็นแฉกตื้นหรือเป็นรูปไข่ ที่ขอบเป็นจักซี่ฟันแกมเป็นคลื่น ไม่มีก้านใบหรือมีก้านใบที่สั้น ใบเป็นสีเขียวอ่อนอาจจะมีสีม่วงแซม[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อชูขึ้นที่บริเวณปลายกิ่ง ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีใบประดับที่เล็กและแคบ กลีบรองกลีบดอกมีลักษณะเป็นสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม จะตั้งตรง ที่ปลายแยกเป็นกลีบ เป็นรูปหอกแกมรูปไข่ ที่ปลายจะแหลม ส่วนที่โคนจะเชื่อกัน กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงแจกัน มีกลีบอยู่ 4 กลีบ ที่ปลายแยกเป็นกลีบ เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ส่วนที่โคนจะพองออกสามารถเห็นได้ชัด มีสีเขียว ด้านบนมีสีเหลือง มีเกสรเพศผู้อยู่ 8 อัน จะโผล่พ้นกลีบดอกนิดหน่อย ท่อเกสรเพศเมียมีลักษณะเกลี้ยง ยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร รังไข่เป็นรูปหอก มีความยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร มีผิวที่เกลี้ยง เป็นสีเขียว[1],[2]
  • ผล ออกเป็นพวง เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน จะแตกตามตะเข็บเดียว[1],[2]

สรรพคุณของใบฆ้องสามย่าน

1. นำใบสด 5 กรัม มาผสมต้นสดฟ้าทะลายโจร 15 กรัม (Andrographis paniculate Nees) แล้วนำไปตำชงด้วยเหล้าที่หมักจากข้าว แล้วก็นำมาทานแบบครั้งเดียวหมด สามารถแก้งูพิษกัดได้(ใบ)[4]
2. นำใบมาตำ สามารถใช้พอกกันแผลเรื้อรัง แผลฟกช้ำ แผลฝีมีหนอง แผลไหม้ได้ (ใบ)[2],[3]
3. ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำใบมาตำ ใช้พอกรักษาบาดแผลที่โดนมีดบาด น้ำที่คั้นได้จากใบสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดในแผลสดได้ (ใบ)[1],[2]
4. สามารถทานใบเป็นยารักษาอาการท้องร่วง แก้บิดได้ (ใบ)[2],[3]
5. นำใบมาตากแดดให้แห้งแล้วเอาไปบดให้เป็นผง สามารถใช้ทาลิ้นเด็กอ่อนเป็นยาแก้ละอองซางได้ (ใบ)[1],[2]
6. นำใบมาผสมดอกบัวหลวงขาว ดีปลี จันทน์ทั้งสอง ใบน้ำเต้า ละลายน้ำดอกพิกุล ดอกมะลิ น้ำตำลึง ดอกบุนนาค ดอกแคแดง สามารถทำให้ตัวเย็นได้ และสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้เพื่อเสมหะ ไข้เพื่อลม ไข้เพื่อโลหิตได้(ใบ)[1]
7. เอาใบมาคั้นเอาน้ำผสมปรุงกับน้ำมันมะพร้าว สามารถใช้เป็นยาทาถูนวดรักษาโรคอวัยวะโตที่เรียกว่าโรคเท้าช้างให้ทุเลาได้ (ใบ)[2],[3]
8. เอาใบมาตำใช้พอกฝีจะช่วยทำให้เย็นเป็นยาถอนพิษ พิษตะขาบ รักษาอาการเจ็บปวด แมงป่องต่อย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้พิษอักเสบปวดบวมได้ (ใบ)[1],[2],[3]
9. สามารถใช้ใบเป็นยาพอกบาดแผล บรรเทาอาการระคายเคือง ทำให้แผลหายด้วยการที่มีเนื้องอกมาปิดแทนได้ เป็นยาสมานแผล ฆ่าเชื้อบาดแผล (ใบ)[1],[2]
10. นำใบมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะได้ (ใบ)[1],[2]
11. สามารถนำใบมาตำใช้พอกหน้าอกรักษาอาการไอ เจ็บหน้าอกได้ (ใบ)[2]
12. ในตำรายาไทยจะนำใบมาใช้เป็นยาเย็นแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน (ใบ)[1],[2]
13. นำใบมาต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย และช่วยบำรุงร่างกายได้ (ใบ)[1]

ประโยชน์ฆ้องสามย่าน

  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกระถาง ปลูกตามบ้านหมอ ตามสวนยาจีน

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ฆ้องสามย่าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [10 ม.ค. 2015].
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ฆ้องสามย่าน”. หน้า 135.
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 9 คอลัมน์ : สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “ฟ้าทะลายโจร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [10 ม.ค. 2015].
4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “คะซีคู่ซัวะ”. หน้า 175-176.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://succulentsnetwork.com/kalanchoe-laciniata-christmas-tree-plant2.https://paudhshala.com/kalanchoe-laciniata-kalanchoe-plant.html
3.https://toptropicals.com/catalog/uid/kalanchoe_laciniata.htm

โคลงเคลงขน สรรพคุณช่วยดับพิษไข้

0
โคลงเคลงขน
โคลงเคลงขน สรรพคุณช่วยดับพิษไข้ เป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ดอกสีม่วง ขนสีขาว ผลเป็นรูปไข่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง
โคลงเคลงขน
เป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ดอกสีม่วง ขนสีขาว ผลเป็นรูปไข่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง

โคลงเคลงขน

โคลงเคลงขน เป็นสกุลในตระกูลโคลงเคลง Melastomataceae มีประมาณ 50 ชนิดกระจายอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อินเดียและออสเตรเลีย เป็นพรรณไม้ดอกที่ได้รับความนิยมปลูกเพื่อชมความสวยงามของดอกสีม่วง ตามลำต้นมีขนสีขาวปกคลุมทั่วทั้งลำต้นและกิ่ง นอกจากนั้นสามารถนำรากมาใช้เป็นยาดับพิษไข้ สามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Desmoscelis villosa (Aubl.) Naudin (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melastoma villosum Aubl.) (MELASTOMATACEAE)[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เบร้ (ภาคใต้), มะเร (ภาคใต้), พญารากขาว (ภาคกลาง), ม่ายะ (จังหวัดตราด), โคลงเคลง, เหมร (ภาคใต้), สาเหร่ (ภาคใต้), กะเร (ภาคใต้), เอ็นอ้า (จังหวัดอุบลราชธานี) [1],[2],[3]

ลักษณะต้นโคลงเคลงขน

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่ม ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 2-4 เมตร จะแตกกิ่งเยอะ เป็นพุ่มทรงพุ่มแน่นทึบ มีเปลือกลำต้นที่บางและเรียบ ยอดอ่อนกับกิ่งก้านจะเป็นสีน้ำตาลแดง จะมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนยาวขึ้นอยู่ สามารถพบเจอขึ้นทั่วไปได้ที่บริเวณป่าชายเลนที่เป็นที่ดอนหรือในป่าชายเลนที่ถูกทำลาย[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปวงรีแกมรูปใบหอก รูปไข่แกมรูปใบหอก ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะสอบ ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 1.2-2.3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร มีแผ่นใบที่มีขนนุ่มละเอียดขึ้นอยู่ทั้งสองด้าน แผ่นใบมีผิวสัมผัสที่สาก ผิวใบด้านบนนั้นมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้มและมีขนขึ้นบาง ๆ ที่ท้องใบสีจะซีด มีเส้นใบอยู่ 3 หรือ 5 เส้น จะแตกจากที่โคนใบจรดที่ปลายใบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร มีขนขึ้น[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุกสั้น มีความยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ออกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-6 เซนติเมตร ช่อนึงมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3-6 ดอก ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร วงกลีบเลี้ยงมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร เป็นสีม่วงแดง จะมีขนปุยขึ้นอยู่ กลีบมีลักษณะเป็นสีม่วงอมสีชมพูหรือเป็นสีชมพู มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบจะไม่ติดกัน กลีบมีขนาดประมาณ 1.5-2.3 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้อยู่ 10 อัน มีขนาดใหญ่ 5 อัน จะมีก้านเป็นสีเหลืองกับสีม่วง ที่ส่วนบนจะโค้ง และมีขนาดเล็ก 5 อัน จะเป็นสีเหลือง มีลักษณะตรง[3]
  • ผล เป็นผลสด ผลเป็นรูปไข่ ผิวผลจะมีขนอยู่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง ผลแก่จะแตกตามขวางไม่เป็นระเบียบ มีเมล็ดอยู่ในผลเป็นเมล็ดจำนวนมาก ออกดอกประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม และออกผลประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของโคลงเคลงขน

1. นำรากมาต้มน้ำผสมกับรากตับเต่าต้น หญ้าชันกาดทั้งต้น ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือดได้ (ราก)[1]
2. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาบำรุงดีและตับ ไตได้ (ราก)[2]
3. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาดับพิษไข้ สามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด (ราก)[1],[2]
4. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำได้ (ราก)[1]
5. รากมีรสขม มีสรรพคุณที่เป็นยาบำรุงธาตุ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร เพิ่มภูมิต้านทานโรค บำรุงกำลัง (ราก)[2]
6. ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำต้นกับราก มาต้มกับข้าวสารเจ้า ใช้ทานครั้งเดียวในคืนวันเดือนดับ สามารถช่วยแก้คอพอกได้ (ต้นและราก)[1]
7. สามารถนำดอกมาใช้เป็นยาห้ามเลือดในคนที่เป็นริดสีดวงทวารได้ (ดอก)[2]
8. สามารถนำดอกมาใช้เป็นยาระงับประสาทได้ (ดอก)[2]
9.  ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำต้นกับราก มาต้มกับข้าวสารเจ้า ใช้ทานครั้งเดียวในคืนวันเดือนดับ สามารถช่วยแก้คอพอกได้ (ต้นและราก)[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 4 (สุราษฎร์ธานี). “ต้นโคลงเคลงขน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dmcr.go.th. [10 ม.ค. 2015].
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “โ ค ล ง เ ค ล ง ข น”. หน้า 151.
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “โคลงเคลง (Klong Khleng)”. หน้า 87.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.earth.com/plant-encyclopedia/angiosperms/melastomataceae/desmoscelis-villosa/th/
2.https://colombia.inaturalist.org/taxa/1432222-Rhynchanthera-serrulata

แกแล สรรพคุณบำรุงโลหิต บำรุงกำลัง

0
แกแล สรรพคุณบำรุงโลหิต บำรุงกำลัง เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็ง ดอกเป็นช่อกระจุกแน่น ผลกลมผิวมีลักษณะขรุขระ มียางสีขาว
แกแล
เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็ง ดอกเป็นช่อกระจุกแน่น ผลกลมผิวมีลักษณะขรุขระ มียางสีขาว

แกแล

แกแล Cockspur thorn เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็งลำต้นโค้งยาวพบขึ้นตามป่าดงดิบเขตร้อน และตามป่าที่มีแหล่งน้ำ ผลไม้สีเหลืองส้มกินได้เนื้อฉ่ำไม้เถาเนื้อแข็ง จัดอยู่วงศ์ขนุน (MORACEAE) มีถิ่นกำเนิดและพบการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา ญี่ปุ่น จีน ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอขึ้นได้ทั่วทุกภาค ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Maclura cochinchinensis (Lour.) Corner (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cudrania javanensis Trécul) ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น แหร (ภาคใต้), สักขี (ภาคกลาง), หนามเข (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), ช้างงาต้อก (จังหวัดลำปาง), กะเลอะเซอะ (กะเหรี่ยง, จังหวัดกาญจนบุรี), แกก้อง (จังหวัดแพร่), แกล (ภาคใต้), เหลือง (ภาคกลาง), น้ำเคี่ยวโซ่ (ปัตตานี), เข (นครศรีธรรมราช) [1]

ลักษณะต้นแกแล

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก บ้างก็ว่าเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม้เถาเนื้อแข็ง จะมียางสีขาวถึงสีเหลืองอ่อน ต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตร จะมีหนามที่แข็งและแหลม มีความยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร อยู่ที่ตามต้น กิ่ง ตามง่ามใบ ต้นมีเนื้อไม้แข็ง มักจะขึ้นที่ตามป่าดิบ ป่าละเมาะ ป่าเบญจพรรณ ในพื้นที่มีระดับต่ำถึงพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง การปักชำ เติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ มีแสงแดดจัด [1],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงเวียนสลับ ใบเป็นรูปรี ที่ปลายใบจะแหลมหรือมน ส่วนที่โคนใบจะแหลม ใบกว้างประมาณ 1-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-11 เซนติเมตร จะมีหนามแหลมออกที่ตรงซอกใบ 1 อัน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ผิวใบด้านบนมีลักษณะเรียบเป็นสีเขียวและเป็นมัน จะมีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 6-9 เส้น ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.3-1-5 เซนติเมตร มีหูใบที่ร่วงง่ายและมีขนาดเล็ก[1],[2],[6]
  • ดอก เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อที่ตามซอกใบ เป็นสีขาวนวลมีขนาดเล็ก มีกลีบดอกอยู่ 4 กลีบ กลีบเป็นรูปไข่กลีบ มีใบประดับที่มีขนาดเล็กมากมีลักษณะเป็นรูปช้อนที่โคนดอก ที่ด้านนอกกลีบดอกจะมีขนสั้น มีเกสรเพศผู้อยู่ 4 ก้าน จะมีที่ขนาดเล็กมาก ๆ ช่อดอกเพศผู้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ดอกเพศเมียออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่น จะออกดอกที่ตามง่ามใบเป็นคู่หรืออยู่เดี่ยว ๆ มีกลีบดอกรวมอยู่ 4 กลีบ ที่ปลายจะแยก ส่วนที่โคนกลีบจะติดกัน ช่อดอกเพศเมียมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร รังไข่อยู่ในฐานรองดอก มีก้านเกสรเพศเมียที่เรียวยาวกว่ากลีบรวมนิดหน่อย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.3-1 เซนติเมตร[1],[2],[6],[7]
  • ผล เป็นผลรวม ผลกลม ผิวผลมีลักษณะขรุขระ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร จะมียางสีขาวอยู่ มีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ในผล [1],[5],[6]

สรรพคุณแกแล

1. แก่นสามารถใช้แก้คุดทะราดได้ (แก่น)[3]
2. สารที่สกัดด้วยเฮกเซนกับคลอโรฟอร์มจากราก มีฤทธิ์ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (ข้อมูลจาก: สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์)
3. แก่นสามารถช่วยแก้กาฬสิงคลีได้ (แก่น)[3],[5]
4. แก่นสามารถใช้เป็นยาสำหรับสตรีที่คลอดบุตรได้ (แก่น)[1],[6]
5. แก่นสามารถช่วยแก้อาการท้องร่วงได้ (แก่น)[2],[3]
6. แก่นสามารถช่วยกล่อมเสมหะโลหิตได้ (แก่น)[3]
7. สามารถใช้แก่นเป็นยาภายนอกเพื่อลดไข้ได้ (แก่น)[6]
8. สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้รากสาด และช่วยรักษาไข้รากสาดหลบเข้าลำไส้ได้ (แก่น)[2],[3]
9. สามารถใช้เป็นยาบำรุงโลหิตในร่างกายได้ (ต้น, แก่น)[3]
10. มีรสปร่า สามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลังได้ (แก่น)[1],[2],[3],[5]
11. แก่นสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ (แก่น)[1],[3],[5]
12. แก่นสามารถช่วยแก้พุพองได้ (แก่น)[1],[3],[5]
13. ช่วยบำรุงน้ำเหลืองให้เป็นปกติได้ (แก่น)[1],[2],[3],[5]
14. สามารถใช้แก่นแก้มุตกิดระดูขาวของสตรีได้ (แก่น)[5]
15. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ (แก่น)[3]
16. ดอกกับแก่นสามารถช่วยขับเสมหะได้ (ดอก, แก่น)[3]
17. แก่นสามารถช่วยแก้ไข้พิษได้ (แก่น)[3]
18. ดอกเป็นยาแก้โลหิต และวาโยกำเริบได้ (ดอก)[3]
19. แก่นสามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกายได้ (แก่น)[3]

ประโยชน์แกแล

  • สามารถนำแก่นหรือเนื้อไม้มาทำสีสำหรับย้อมผ้า ฝ้าย ผ้าไหม จีวรพระ ไหมพรมได้ ซึ่งแก่นหรือเนื้อไม้นั้นจะให้สีเหลือง [4]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [07 ก.พ. 2014].
2. คมชัดลึกออนไลน์, คอลัมน์ ไม้ดีมีประโยชน์. “แกแล แก่นเป็นยา”. (นายสวีสอง). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [07 ก.พ. 2014].
3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “แกแล”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 94.
4. สมุนไพรในร้านยาโบราณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [07 ก.พ. 2014].
5. หนังสืออนุกรมวิธานพืช อักษร ก. ราชบัณฑิตยสถาน.
6. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [07 ก.พ. 2014].
7. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “แกแล”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 135.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/50615476@N03/8331204309
2.https://sown.com.au/maclura-cochinchinensis-moraceae-cockspur-thorn/

กำจัดดอย ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน

0
กำจัดดอย
กำจัดดอยกำจัดดอย ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมสีแดง ดอกเป็นช่อกระจุก ผลทรงกลมแห้ง และแตกได้
กำจัดดอย
ม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมสีแดง ดอกเป็นช่อกระจุก ผลทรงกลมแห้ง และแตกได้

กำจัดดอย

ต้นกำจัดดอย เป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก มีความสูงได้ถึง 5 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมสีแดงเข้ม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Zanthoxylum acanthopodium DC. จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ หมักก้ากดอยสุเทพ (ภาคเหนือ), มะเคะ พะเคะ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ลำข่วง (ลั้วะ), มะข่วง

  • ลักษณะของใบ [1]
    – เป็นใบประกอบแบบขนนก
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบย่อยเป็นรูปใบหอกหรือรูปวงรีแกมใบหอก
    – ขอบใบหยักโค้ง
    – ใบมีความกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาว 5-7 เซนติเมตร
    – ก้านใบเป็นสีแดง มีขน
  • ลักษณะของดอก [1]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจุก
    – ออกดอกตามซอกใบ
    – ดอกย่อยมีหลายดอก
    – ก้านดอกสั้น
    – กลีบดอกเป็นสีแดงเข้ม
  • ลักษณะของผล [1]
    – เป็นผลแห้ง และแตกได้
    – ผลเป็นรูปทรงกลม

สรรพคุณของกำจัดดอย

  • เปลือกต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ปวดฟันได้[1]
  • เมล็ด เมื่อนำมาตำ แล้วต้มหรือตุ๋นกับไก่ สามารถใช้เป็นยาแก้อีสุกอีใสได้[1]
  • ใช้รักษาโรคเริมและงูสวัดได้(วงศ์สถิตย์และคณะ, 2539)

ประโยชน์ของกำจัดดอย

  • ผล สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบอาหารได้ และจะมีรสชาติคล้ายมะแขว่น[2]
  • เนื้อไม้ สามารถนำไปเผาถ่าน และผสมกับดินปืนได้[2]
  • เมล็ด ใช้ประมาณ 2 กิโลกรัม นำมาตำคลุกกับขี้เถ้า สามารถนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลาให้เมาได้ และเนื้อปลาจะไม่มีพิษ[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “กำจัดดอย”. หน้า 228.
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “หมักก้ากดอยสุเทพ , มะข่วง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [16 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/helicongus/8255741594
2.https://www.boca-plantes.fr/catalogue/Poivrier-du-Timut-Zanthoxylum-armatum-p489495391

กาฬพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้พิษไข้

0
กาฬพฤกษ์
กาฬพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้พิษไข้ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อคล้ายกับดอกเชอร์รี่ มีกลิ่นหอม ฝักแก่จะแห้งแล้วไม่แตก เนื้อในฝักสีขาวและแห้ง
กาฬพฤกษ์
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อคล้ายกับดอกเชอร์รี่ สีชมพูอมส้มมีกลิ่นหอม ฝักแก่จะแห้งแล้วไม่แตก เนื้อในฝักสีขาวและแห้ง

กาฬพฤกษ์

กาฬพฤกษ์ Horse cassia, Pink Shower เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงได้ถึง 20 เมตร ดอกมักจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม พืชสมุนไพรมีสรรพคุณและประโยชน์ของเนื้อในฝักใช้ปรุงเป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้พิษไข้ สามารถพบการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE) ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cassia grandis L.f. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือเปลือกขม (ปราจีนบุรี), กัลปพฤกษ์ (กรุงเทพมหานคร), กาลพฤกษ์ ไชยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ (ภาคกลาง), กานล์ กาลส์ (เขมร), กาฬพฤกษ์ยอดแดง[1],[2],[4] คำว่า “กาฬ” และคำว่า “พฤกษ์” นั้น แปลตรง ๆ จะได้ว่า “ต้นไม้สีดำ”

ลักษณะต้นกาฬพฤกษ์

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[3]
    – ลำต้นมีความคล้ายกับต้นคูนหรือต้นราชพฤกษ์
    – เรือนยอดเป็นพุ่มหรือแผ่กว้าง
    – โคนต้นมีพูพอน
    – เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
    – แตกเป็นร่องลึก ตามกิ่งอ่อน ใบอ่อน
    – ช่อดอกมีขนนุ่มสีน้ำตาลขึ้นหนาแน่น
    – ยอดอ่อนเป็นสีแดง
    – มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเขตร้อน
    – มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไป
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการตอนกิ่ง
    – เป็นพรรณไม้ที่มีปลูกกันทั่วไปตามบ้านและวัด
  • ลักษณะของใบ[1],[2],[3]
    – ใบมีขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายใบแคฝรั่งหรือใบขี้เหล็ก
    – เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่
    – ออกเรียงสลับกัน
    – แกนกลางใบประกอบยาว 15-30 เซนติเมตร
    – ก้านใบประกอบยาว 2-3 เซนติเมตร
    – มีใบย่อยประมาณ 10-20 คู่ เรียงจากเล็กไปหาใหญ่
    – ใบย่อยเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน
    – ปลายใบมนมีติ่งหรือหยักเว้าอยู่เล็กน้อย
    – โคนใบเบี้ยว มีความกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยาว 3-5 เซนติเมตร
    – แผ่นใบบางเรียบ
    – แผ่นใบด้านบนเกลี้ยงเป็นมันหรือมีขนประปราย
    – แผ่นใบด้านล่างมีขนขึ้นหนาแน่น
    – ใบอ่อนหรือยอดอ่อนเป็นสีแดง
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ช่อดอกเป็นช่อกระจะ
    – ออกตามกิ่งพร้อมกับผลิใบอ่อน มีความยาว 10-20 เซนติเมตร
    – ก้านดอกยาว 1-2 เซนติเมตร
    – ใบประดับเป็นรูปไข่ ปลายแหลม กว้าง 3 มิลลิเมตร และยาว 5 มิลลิเมตร
    – ดอกจะร่วงได้ง่าย
    – ดอกมีลักษณะที่คล้ายกับดอกเชอร์รี่ มีกลิ่นหอม
    – ดอกกลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ ค่อนข้างกลม กว้าง 5 มิลลิเมตร และยาว 5-8 มิลลิเมตร มีขนนุ่ม
    – กลีบดอกมี 5 กลีบ เมื่อเริ่มบานจะเป็นสีแดงคล้ำ จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้มตามลำดับ เป็นรูปไข่กลับ มีความกว้าง 8-10 มิลลิเมตร และยาว 1.2-1.5 เซนติเมตร
    – มีเกสรเพศผู้ 10 อัน มีความยาวไม่เท่ากัน
    – แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
    – กลุ่มแรกจะมี 3 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
    – กลุ่มที่ 2 มี 5 อัน ก้านชูอับเรณูจะสั้น
    – กลุ่มที่ 3 จะมี 2 อัน ก้านชูอับเรณูสั้นมากและอับเรณูจะฝ่อ
    – รังไข่มีลักษณะเรียวโค้ง มีขนหนานุ่ม
    – เกสรดอกเป็นสีเหลือง
  • ลักษณะของผล[1],[2],[3]
    – ผลเป็นฝัก ค่อนข้างกลม
    – เป็นแท่งหรือรูปทรงกระบอกยาว
    – โคนและปลายสอบ
    – เปลือกฝักทั้งหนาและแข็ง เป็นสีดำ ผิวขรุขระ และมีรอยแตก
    – ฝักมีความกว้าง 3-4 เซนติเมตร และยาว 20-40 เซนติเมตร
    – ที่ขอบฝักเป็นสันตามแนวยาวทั้งสองข้าง
    – ผิวฝักมีรอยแตก
    – ฝักแก่จะแห้งแล้วไม่แตก
    – เนื้อในของฝักเป็นสีขาวและแห้ง
    – จะซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
    – มีเมล็ดประมาณ 20-40 เมล็ด

สรรพคุณของกาฬพฤกษ์

  • เนื้อในฝัก สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้พิษไข้ได้[1]
  • เนื้อในฝัก สามารถนำมาใช้ปรุงรับประทานเป็นยาระบายอ่อน ๆ ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรดึกไม่ไซ้ท้อง และระบายท้องเด็กได้ดี[1],[3],[4]
  • เปลือกและเมล็ด สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นยาทำให้อาเจียน และเป็นยาถ่ายพิษไข้ได้[1],[3]

ประโยชน์ของกาฬพฤกษ์

  • คนสมัยก่อนจะนำเนื้อในฝัก มาใช้กินกับหมาก[4]
  • เนื้อไม้และเปลือก สามารถนำมาใช้ในการฟอกหนังได้[4]
  • นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[2]
  • ถูกจัดให้เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดบุรีรัมย์[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กาลพฤกษ์”. หน้า 62.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กาฬพฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [17 มิ.ย. 2015].
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กาฬพฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [17 มิ.ย. 2015].
4. สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน, มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. “กาฬพฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rbru.ac.th/db_arts/rbruflower/pdf/Grandis.pdf. [17 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/adaduitokla/8585196208
2.https://indiabiodiversity.org/observation/show/383329

ก้ามปูหลุด พรรณไม้ประดับใบลายสะดุดตา

0
ก้ามปูหลุด พรรณไม้ประดับใบลายสะดุดตา เป็นพรรณไม้ล้มลุกมีดอกสีม่วงอ่อน ชมพู ใบลายม่วงสลับขาว มีขนยาวสีม่วง ผลขนาดเล็กรูปยาวรี
ก้ามปูหลุด
เป็นพรรณไม้ล้มลุกมีดอกสีม่วงอ่อน ชมพู ใบลายม่วงสลับขาว มีขนยาวสีม่วง ผลขนาดเล็กรูปยาวรี

ก้ามปูหลุด

ก้ามปูหลุด ชื่อสามัญ คือ Inch plant, Wandering jew เป็นพรรณไม้ล้มลุกมีดอกสีม่วงอ่อน ชมพู บานตลอดปี ซึ่งเป็นไม้ประดับใบลายม่วงสลับขาวสามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้ง่าย โดยจัดอยู่ในวงศ์ผักปลาบ (COMMELINACEAE) มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก อเมริกากลาง และโคลอมเบีย ไม้ประดับชนิดนี้ชอบแสงแดดส่องถึงและชอบดินร่วน ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Tradescantia zebrina var. zebrina (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Tradescantia pendula (Schnizl.) D.R.Hunt, Zebrina pendula Schnizl.)
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ปีกแมลงสาบ (ทั่วไป), ก้ามปู ก้ามปูหลุด (กรุงเทพฯ), จุยเต็กเช่า (จีนแต้จิ๋ว), เตี้ยวจู๋เหมย (จีนกลาง)

ลักษณะต้นก้ามปูหลุด

  • ลักษณะของต้น
    – แตกแขนงมาก
    – ลำต้นทอดเลื้อยคลุมดินและชูยอดขึ้นสูงประมาณ 10-30 เซนติเมตร
    – ลำต้นมีความอวบ เป็นสีเขียวหรือเขียวประม่วงจนถึงม่วงลายเขียว
    – มีข้อและปล้องชัดเจน
    – ในปัจจุบันแพร่กระจายพันธุ์ปลูกไปทั่ว
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการแยกลำต้น
    – เติบโตได้เร็ว ชอบดินร่วน ชอบที่ชื้นมาก และชอบแสงแดดปานกลาง
  • ลักษณะของใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปไข่ หรือรูปรีขอบขนาน
    – ปลายใบแหลมเรียว
    – โคนใบมนเบี้ยว
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1.5-3 เซนติเมตร และยาว 3-8 เซนติเมตร
    – หลังใบเป็นสีเขียวอ่อนสลับกับสีเทาควันบุหรี่ลายทาง
    – ท้องใบเป็นสีม่วงอมแดง
    – ไม่มีก้านใบ
    – กาบใบสั้นเป็นปลอกหุ้มรอบข้อสูง 1 เซนติเมตร
    – ที่กาบใบมีลายเส้นสีม่วงเป็นแนวตามความยาวและมีขนขึ้นเล็กน้อย
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3]
    – ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ
    – จะออกดอกเป็นกระจุกที่ปลายยอด
    – มีใบประดับใหญ่ 2 ใบ จะมีขนาดไม่เท่ากันและหุ้มช่อดอกอ่อนเอาไว้
    – ดอกมีสีขาวอมชมพูเล็กน้อย
    – กลีบรองดอกเป็นสีขาว บาง
    – โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ ยาว 7-10 มิลลิเมตร
    – ปลายแยกเป็นกลีบรูปไข่ 3 กลีบ
    – มีความกว้าง 4-5 มิลลิเมตร และยาว 6-8 มิลลิเมตร
    – กลีบด้านบนเป็นสีม่วง
    – ด้านล่างเป็นสีขาว
    – กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน
    – ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาว
    – มีขนยาวสีม่วง
    – อับเรณูสีนวล
    – รังไข่เล็ก
    – ก้านเกสรเพศเมีย มีความเรียว
    – ยอดเกสรเพศเมียมี 3 แฉก
    – ดอกจะทยอยบานโผล่เหนือใบประดับ
    – ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีความกว้าง 1 เซนติเมตร
    – ก้านดอกสั้นมาก
  • ลักษณะของผล[1],[2],[3]
    – ผลเป็นรูปยาวรี
    – มีขนาดเล็ก
    – ผลเมื่อแก่แล้วจะแตกออกไปตามความยาวของผลระหว่างช่อง
    – ผลมีเมล็ด 2-3 เมล็ด

สรรพคุณของก้ามปูหลุด

  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาขับฝีในท้อง[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ คอบวม คออักเสบได้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้ตกขาวของสตรีได้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้ไตอักเสบ บวมน้ำได้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้พิษงูกัด ใช้พอกฝี ดูดพิษฝี แก้ฝีอักเสบ[1],[2],[3]
  • ทั้งต้น มีรสขมหวานเล็กน้อย เป็นยาเย็น มีพิษเล็กน้อย[1]
  • ทั้งต้น ออกฤทธิ์ต่อปอดและลำไส้ ใช้เป็นยาทำให้เลือดเย็น ช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้บิด แก้บิดเรื้อรัง อันเนื่องมาจากการติดเชื้อ ตำรับยาแก้บิดจะใช้ต้นสด 50-100 กรัม นำมาต้มกับน้ำข้าว[1]
  • ทั้งต้น สามารถช่วยแก้อาการไอเป็นเลือด ตำรับยาแก้ไอเป็นเลือดจะใช้ต้นสด 50-100 กรัม นำมาต้มกับปอดหมู รับประทานวันละ 2 ครั้ง[1]
  • ใบ สามารถนำมาใช้ต้มกินน้ำเป็นยาช่วยลดอาการบวม[2]
  • ตำรายาแผนจีน ไต้หวัน จะใช้ใบนำมาตำให้พอละเอียด แล้วนำไปพอกแก้อาการบวมตามข้อได้ดีมาก[4]
  • ลำต้นและใบ สามารถนำมาใช้ต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้กระหายน้ำ[2]
  • ต้นสด สามารถนำมาใช้แก้โรคหนองในได้ จะใช้ต้นสดประมาณ 60-120 กรัม นำมาใส่น้ำแล้วต้มให้เหลือ 1 ถ้วย[3]
  • ลำต้น สามารถใช้เป็นยารักษาแผลไฟไหม้[2]
  • กาบหุ้มดอกสด สามารถนำมาใช้แก้บิดเรื้อรังได้ โดยจะใช้กาบหุ้มดอกสดหนัก 150 กรัม และข้าวสารคั่วจนเกรียม (เริ่มไหม้) 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำ ใช้แบ่งดื่มเป็น 3 ครั้ง[3]

ข้อควรระวัง

  • ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอและสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1],[3]

ประโยชน์ของก้ามปูหลุด

  • นิยมนำมาปลูกไว้เป็นไม้ประดับทั่วไป เพราะว่าใบมีสีสันสวยงาม[2],[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารที่พบได้แก่ Calcium oxalate, Hydrocolloid, Gum[1],[3]
  • น้ำต้มที่ได้ หรือที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ สามารถกระตุ้นลำไส้ที่แยกออกจากตัวของหนูตะเภาได้ แต่จะไม่มีผลต่อมดลูกและหัวใจ[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ก้ามปูหลุด”. หน้า 70.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ก้ามปูหลุด”. หน้า 59-60.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ปีกแมลงสาบ หรือ ก้ามปูหลุด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [18 เม.ย. 2014].
4. ไทยรัฐออนไลน์. “ก้ามปูหลุด รักษาแผลไหม้ลดบวม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thairath.co.th. [18 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://archivo.infojardin.com/tema/ficha-de-tradescantia-zebrina-var-zebrina.373975/
2.https://bigboyplants.com/tradescantia-zebrina-care/

กากหมากตาฤๅษี สมุนไพรป่าใช้ทำยาแก้โรคหอบหืด

0
กากหมากตาฤๅษี สมุนไพรป่าใช้ทำยาแก้โรคหอบหืด เป็นพืชเกาะอาศัยประเภทเบียนหรือกาฝากที่คอยดูดกินอาหารจากรากพืชชนิดอื่น ดอกสีแดงอมน้ำตาลกลิ่นหอมเอียน
กากหมากตาฤๅษี
เป็นพืชเกาะอาศัยประเภทเบียนหรือกาฝากที่คอยดูดกินอาหารจากรากพืชชนิดอื่น ดอกสีแดงอมน้ำตาลกลิ่นหอมเอียน

กากหมากตาฤๅษี

กากหมากตาฤๅษี เป็นพืชเกาะอาศัยประเภทเบียนหรือกาฝากที่คอยดูดกินอาหารจากรากพืชชนิดอื่น ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Balanophora fungosa J.R.Forst. & G.Forst. จัดอยู่ในวงศ์ขนุนดิน (BALANOPHORACEAE)[1],[2] มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ เห็ดหิน (เลย), ว่านดอกดิน (สระบุรี), บัวผุด (ชุมพร), ดอกกฤษณารากไม้ (ประจวบคีรีขันธ์), กกหมากพาสี (ภาคเหนือ), ขนุนดิน (ภาคกลาง)[1],[2]

ลักษณะกากหมากตาฤๅษี

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพืชเบียน
    – เกาะอาศัยแย่งอาหารจากรากพืชอื่น
    – มีความสูงได้ 10-25 เซนติเมตร
    – ลำต้นอยู่รวมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน
    – ลำต้นจะมีอยู่หลากหลายสี เช่น สีน้ำตาล สีแดง สีแดงปนน้ำตาล สีเหลือง
    – มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย และทวีปออสเตรเลีย
    – ในประเทศไทยจะสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
    – จะพบขึ้นในป่าดิบชื้นทั่วไป บนเขาสูง ที่ความสูง 500-2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
    – มักเกาะพืชในวงศ์ LEGUMINOSAE และพืชในวงศ์ VITACEAE หรือ VITIDACEAE
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – เรียบเวียนรอบลำต้น
    – ใบมีขนาดเล็ก
    – มีประมาณ 10-20 ใบ
    – ใบเป็นสีเหลืองอมส้ม สีเหลืองอมแดง หรือสีน้ำตาล
    – ปลายใบแหลม
    – มีความกว้างมากที่สุด 2 เซนติเมตร และยาว 3 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ดอกเป็นสีแดงอมน้ำตาล
    – มีกลิ่นหอมเอียน
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่คนละต้น
    – ช่อแก่จะชูก้านขึ้นพ้นผิวดินเป็นกลุ่มหรือเป็นกระจุก
    – กลุ่มหนึ่งอาจมีดอกถึง 10 ดอก
    – โดยช่อดอกเพศผู้ เป็นรูปไข่แกมรี
    – มีความกว้าง 2-6 เซนติเมตร และยาว 4-15 เซนติเมตร
    – ก้านดอกยาว 0.7-1 เซนติเมตร
    – กาบรองดอกเป็นรูปเหลี่ยมหรือมน ยาว 5 มิลลิเมตร
    – ดอกมีจำนวนมาก
    – กลีบดอกมีประมาณ 4-5 กลีบ สีเหลืองอมเขียวอ่อน มีขนาดเล็ก
    – ดอกเรียงชิดกัน ไม่เบี้ยว
    – มีเกสรเพศผู้ 4-5 อัน เชื่อมติดกันเป็นก้อนแบนแคบ ๆ ยาว 2.5-5 มิลลิเมตร
    – ตุ่มเกสรเป็นรูปเกือกม้า
    – ช่อดอกเพศเมียจะเป็นสีน้ำตาลอมแดง ค่อนข้างกลมหรือรี มีขนาด 2-10 เซนติเมตร
    – ดอกเล็ก มีจำนวนมากอยู่ชิดกันแน่น
    – ออกดอกในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนกุมภาพันธ์

สรรพคุณของกากหมากตาฤๅษี

  • ทั้งต้น มีรสฝาด แพทย์ตามชนบทจะเอาผลตากแห้ง นำมาฝนกับน้ำฝนบนฝาละมีหม้อดิน สามารถใช้เป็นยาแก้หูเป็นน้ำหนวก แก้แผลเน่าเรื้อรังได้[1]
  • ชาวบ้านในแถบตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จะนำหัวไปผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ทำเป็นยาแก้หอบหืดมานมนาน นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าทึ่ง[3]
  • มีรายงานทางการแพทย์ว่า ลำต้นที่มีลักษณะเป็นหัวที่ฝังอยู่ใต้ดินนำมาสกัดได้สารโคนิเฟอริน (coniferin) สามารถใช้ทำยาแก้โรคหอบหืดได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กาก หมาก ตา ฤา ษี”. หน้า 72.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กาก หมาก ตา ฤา ษี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [18 มิ.ย. 2015].
3. กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม. “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ขนุนดิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.siamensis.org. [18 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:103250-1
2.http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in/herbsheet.php?id=1806&cat=7

กัลปพฤกษ์ พรรณไม้ดอกไม้มงคล

0
กัลปพฤกษ์
กัลปพฤกษ์ พรรณไม้ดอกไม้มงคล เป็นพรรณไม้ดอกไม้ประดับผลัดใบ ดอกสีขาวอมชมพู ฝักมีขนนุ่ม เนื้อในฝักเป็นสีขาวปนเขียว เมล็ดค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเป็นมัน
กัลปพฤกษ์
ป็นพรรณไม้ดอกไม้ประดับผลัดใบ ดอกสีขาวอมชมพู ฝักมีขนนุ่ม เนื้อในฝักเป็นสีขาวปนเขียว เมล็ดค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเป็นมัน

กัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์ Cassia bakeriana เป็นพรรณไม้ดอกไม้ประดับผลัดใบ ดอกสีขาวอมชมพูคล้ายกล้วยไม้สวยงาม ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนพบได้ในแถบประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ในประเทศไทยพบขึ้นได้ตามป่าแดง ป่าโคก ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป (บางครั้งพบอยู่บนเทือกเขาหินปูนที่แห้งแล้ง) ที่ระดับความสูงประมาณ 300-1,000 เมตร ชื่อสามัญ คือ Wishing Tree, Pink Shower, Pink cassia, Pink and White Shower Tree[
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cassia bakeriana Craib ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cassia bakerana Craib) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[1],[3] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ เปลือกขม (ปราจีนบุรี), แก่นร้าง (จันทบุรี), กานล์ (เขมร-สุรินทร์), กาลพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง), กัลปพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ)[1],[2],[3],[4],[5]
และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น[4]

ลักษณะของกัลปพฤกษ์

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[3],[5]
    จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ประมาณ 5-15 เมตร มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 12 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง แต่ไม่หนาแน่นทึบ แตกกิ่งต่ำและทอดกิ่งยาวขึ้นสู่ด้านบน เปลือกต้นด้านนอกเรียบเป็นสีเทา ส่วนเนื้อไม้เป็นสีเหลืองถึงสีน้ำตาล บริเวณยอดและกิ่งอ่อนมีขนอ่อนขึ้นปกคลุมหนาแน่น นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะเป็นต้นกล้า ขึ้นได้ในดินทั่วไป สามารถขึ้นได้ในพื้นที่ที่ดินไม่ค่อยสมบูรณ์ ชอบความชื้นปานกลาง แสงแดดแบบเต็มวัน
  • ลักษณะของใบ[1],[2],[5]
    – เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่
    – ออกเรียงสลับกัน
    – เป็นช่อยาว 15-40 เซนติเมตร
    – ก้านช่อใบยาว 2-4 เซนติเมตร มีใบย่อย 5-8 คู่
    – เรียงจากเล็กไปหาใหญ่
    – ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานถึงรูปใบหอก
    – ปลายใบกลม
    – โคนใบมนและเบี้ยวเล็กน้อย
    – ขอบใบเรียบ
    – มีความกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาว 4-9 เซนติเมตร
    – แผ่นใบบาง
    – เส้นแขนงใบมีข้างละ 7-9 เส้น
    – เนื้อใบมีขนละเอียดนุ่มขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน
    – ด้านท้องใบจะมีขนขึ้นหนาแน่นมากกว่าด้านหลังใบ
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3],[5]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะตามกิ่งพร้อมกับแตกใบอ่อน
    – ช่อดอกไม่แตกแขนง
    – มีความยาว 5-10 เซนติเมตร
    – มีขนสีเหลืองขึ้นปกคลุม
    – ช่อดอกจะออกแน่นเป็นกลุ่มตลอดกิ่ง
    – ก้านดอกยาวได้ 4-6 เซนติเมตร
    – ดอกมีใบประดับเป็นรูปใบหอกชัดเจน มีความกว้าง 7 มิลลิเมตร และยาว 0.7-1.2 เซนติเมตร
    – ดอกเมื่อเริ่มบานแล้วจะเป็นสีชมพู
    – จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ จนถึงสีขาวเมื่อใกล้ร่วงโรย
    – กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่
    – ปลายกลีบแหลม มีความกว้าง 2-3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 9-12 มิลลิเมตร
    – มีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน
    – กลีบดอกมี 5 กลีบเช่นกัน เป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่ ปลายมน โคนเรียวแคบ มีขนาดกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร และยาว 4-5.5 เซนติเมตร
    – โคนกลีบดอกจะคอดเข้าหากันเป็นก้านแคบ ๆ ยาวได้ 5 มิลลิเมตร
    – กลางดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลือง
    – เกสรเพศผู้มี 10 อัน มีขนาดไม่เท่ากัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
    – กลุ่มแรกมี 3 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร
    – กลุ่มที่ 2 จะมี 4 อัน ก้านชูอับเรณูยาวเพียงครึ่งหนึ่งของกลุ่มแรก
    – กลุ่มที่ 3 มี 3 อัน อับเรณูมีขนาดเล็กมาก
    – ก้านชูอับเรณูยาวได้ 1-1.5 เซนติเมตร
    – มีรังไข่เรียวโค้งยาว 4 เซนติเมตร มีขนสีขาวขึ้นปกคลุมบาง ๆ
    – รังไข่ติดอยู่บนก้านส่ง
    – เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีความกว้าง 3-5 เซนติเมตร
  • ลักษณะของฝัก[1],[2],[3],[5]
    – ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาวแคบ เป็นสีน้ำตาล
    – แขวนลงมาจากกิ่ง
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร และยาว 30-40 เซนติเมตร
    – ฝักมีขนนุ่มสีเทาปกคลุม
    – ภายในฝักแบ่งออกเป็นช่อง ๆ ตามขวาง
    – เนื้อในฝักเป็นสีขาวปนเขียว
    – มีเมล็ด 30-40 เมล็ด
    – ผลจะออกในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระยะเดียวกับการทิ้งใบ
  • ลักษณะของเมล็ด[5]
    – เมล็ด ค่อนข้างกลม เป็นรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน
    – มีสีน้ำตาลเป็นมัน
    – มีความกว้างประมาณ 6-7 มิลลิเมตร และยาว 0.8-1.1 เซนติเมตร

สรรพคุณของกัลปพฤกษ์

  • เปลือกฝักและเมล็ด ช่วยทำให้อาเจียน[2],[3],[4]
  • เนื้อในฝัก สามารถนำมาใช้แก้คูถ แก้เสมหะ[3]
  • เปลือกฝักและเมล็ด มีรสขมเอียน สามารถนำมาใช้เป็นยาลด ถ่ายพิษไข้ได้ดี[2],[3],[4]
  • เนื้อในฝัก มีรสหวานเอียนขม สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาระบายอ่อน ๆ ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรดึกได้โดยไม่ไซ้ท้อง ช่วยระบายท้องเด็กได้ดี[2],[3],[4]

ประโยชน์ของกัลปพฤกษ์

  •  คนแก่ในสมัยก่อน จะใช้เนื้อในฝักกินคู่กับหมาก[4]
  • เนื้อไม้ มีความละเอียดและให้น้ำฝาด สามารถนำไปใช้ฟอกหนังได้[1]
  • ในสมัยก่อนคนไทยจะถือว่า เป็นไม้มงคล เหมาะสำหรับการนำไปทำด้ามธง ถือว่าทำให้เกิดสิริมงคลดีนัก[3]
  • คนไทยในอดีตเชื่อกันว่า มีอยู่ในแดนสวรรค์ เปรียบเหมือนแก้วสารพัดนึก หากปรารถนาสิ่งใด จะไปขอเอาจากต้นไม้นี้
  • เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ มีโชคมีชัย เชื่อกันว่าหากบ้านใดปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้าน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นสิริมงคล ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต พบแต่ความสุขสมหวังทุกประการ[3]
  • เป็นไม้มงคลที่มีรูปทรงสวยงาม ให้ดอกสวย ออกดอกดกเต็มต้น มีสีชมพูอ่อนสดใสดูงดงาม
  • ในปัจจุบันนิยมจึงนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะปลูกไว้ประดับอาคารบ้านเรือน ปลูกในสวนสาธารณะ และริมถนนทั่วไป และสามารถทนดินเลวและอากาศแห้งได้เป็นอย่างดี[1],[2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ไม้โตเร็วอเนกประสงค์, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กั ล ป พ ฤ ก ษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [17 มิ.ย. 2015].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กัลปพฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : agkc.lib.ku.ac.th. [17 มิ.ย. 2015].
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 320 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า. (เดชา ศิริภัทร). “กาลพฤกษ์ : ดอกไม้แห่งกาลเวลาของชาวไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [17 มิ.ย. 2015].
4. หนังสือวัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย.
5. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กัลปพฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [17 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.richardlyonsnursery.com/pink-shower-tree-cassia-bakeriana/#page-content