ผักโขมสวน สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์สารพัด

0
ผักโขมสวน
ผักโขมสวน สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์สารพัด ใบรูปรีถึงรูปไข่ ตรงปลายใบมน ส่วนโคนใบสอบ หยักคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อสีเป็นสีเขียวอ่อนหรือมีสีแดง
ผักโขมสวน
ใบรูปรีถึงรูปไข่ ตรงปลายใบมน ส่วนโคนใบสอบ หยักคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อสีเป็นสีเขียวอ่อนหรือมีสีแดง

ผักโขมสวน

ต้นผักโขมสวนนี้สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย[1] ซึ่งเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว ชอบดินร่วน ต้องการความชื้นสูง และชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน ชื่อสามัญ: Joseph’s coat, Chinese spinach, Tampala
ชื่อวิทยาศาสตร์: Amaranthus tricolor L. จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ ผักโขมสี, ผักขมขาว, ผักขมสวน, ผักขมสี, ผักโขมขาว, ผักโหมป๊าง, ผักโหมป๊าว, ผักหมพร้าว, ผักขมจีน, ผักขมใบใหญ่, ผักโขมใบใหญ่, ผักขมเกี้ยว, เงาะถอดรูป, ผักโขมหนาม, ผักโหมหนาม เป็นต้น[1]

ลักษณะของต้นผักโขมสวน

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีขนาดเล็ก
    – มีความสูงอยู่ที่ 1.30 เมตร
    – ตั้งตรง และบริเวณส่วนยอดของลำต้นจะมีขนสั้น ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ด้วย
  • ใบ
    – ใบเดี่ยว โดยจะออกเรียงเวียนสลับกัน
    – ใบรูปรีถึงรูปไข่ ตรงปลายใบมน ส่วนโคนใบสอบ และขอบใบจะเรียบหรืออาจจะเป็นหยักคลื่นเล็กน้อย
    – ใบที่อยู่บริเวณปลายยอดจะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เช่น สีแดงสด สีม่วงแดง หรือสีเหลืองทอง เป็นต้น[1]
    – ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ 6-10 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ 15-20 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ดอกเป็นช่อเชิงลดที่บริเวณปลายกิ่ง
    – ดอกจะมีสีเป็นสีเขียวอ่อนหรือมีสีแดง
    – ช่อดอกหนึ่งช่อจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 4-25 มิลลิเมตร[1]
  • ผล
    ผลมีลักษณะผิวที่แห้ง ผลไม่แตก
  • เมล็ด
    – ผลจะมีเมล็ดสีดำขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก[1],[2]

ข้อมูลเพิ่มเติมของต้นผักโขมสวน

  • ต้นและใบ มีสีเป็นสีม่วงอมดำคล้ำ โดยจะมีสีแบบนี้อยู่ประมาณ 2 เดือนนับตั้งแต่เวลาการเพาะเมล็ด พอหลังจากนั้นก็จะเริ่มเปลี่ยนสีไป
  • ส่วนของยอดลงมาวัดระยะได้ประมาณ 1 ใน 3 ของลำต้นจะมีสีแดงสดสะดุดตา
  • สายพันธุ์ Joseph’s coat โดยตรงยอดจะมีสีเป็นสีเหลืองและมีสีแดงที่โคนของใบ ส่วนใบที่อยู่ด้านล่างนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 โทนสีก็คือ โคนใบเป็นสีแดง กลางใบเป็นสีเหลือง และปลายใบเป็นสีเขียว ส่วนใบที่อยู่ถัดลงไปด้านล่างลงมาจะมีสีเป็นสีเขียว[3]

สรรพคุณและประโยชน์ผักโขมสวน

1. รากนำมาใช้รักษาอาการช้ำในได้ (ราก)[2]
2. รากมีฤทธิ์เป็นยาแก้พิษต่อร่างกายได้ (ราก)[2]
3. รากนำมาใช้แก้อาการแน่นท้องได้ (ราก)[2]
4. รากนำมาใช้ช่วยรักษาอาการไข้ได้ โดยจะมีฤทธิ์ในการระงับความร้อนภายในร่างกาย (ราก)[2]
5. รากนำมาใช้แก้อาการในเด็กที่ลิ้นเป็นฝ้าละอองและเด็กที่มีอาการเบื่ออาหารได้ (ราก)[2]
6. รากนำมาทำเป็นยาแก้ตกเลือดได้ (ราก)[2]
7. รากมีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำนมของสตรี (ราก)[2]
8. รากมีฤทธิ์ในการช่วยรักษาอาการฝี และแก้ขี้กลากได้ (ราก)[2]
9. ใบ มีฤทธิ์ในการบำรุงและรักษาสายตา มีวิตามินเอสูง (ใบ)
10. ยอดอ่อนและใบอ่อน นำมารับประทานได้ โดยจะนำมาทำให้สุกด้วยวิธีการลวก นึ่ง หรือต้มก็ได้ ใช้รับประทานร่วมกันกับน้ำพริก ลาบ หรือแกงเลียง เป็นต้น[2]
11. ปลูกเพื่อปรับภูมิทัศน์ให้ดูดีขึ้นได้ เนื่องจากมีลักษณะของต้นที่เป็นจุดเด่นและใบ มีสีสันที่สวยงามแปลกตา แต่ก็ต้องเปลี่ยนต้นปลูกใหม่ในทุก ๆ 3 เดือน[1]

ข้อควรรู้ของต้นผักโขมสวน

มีรายงานจากประเทศบราซิลว่า ต้นเป็นพิษต่อวัว กระบือ และม้า โดยพิษจะออกฤทธิ์ทำให้สัตว์เหล่านี้มีอาการเบื่ออาหาร[2]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม
โปรตีน 5.2 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
เส้นใยอาหาร 1 กรัม
น้ำ 84.8 กรัม
วิตามินเอ 12,858 หน่วยสากล
วิตามินบี 1 0.01 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.37 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 1.8 มิลลิกรัม
วิตามินซี 120 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 341 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 4.1 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 76 มิลลิกรัม

(แหล่งที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม.)

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารอ้างอิง ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม. ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “เงาะถอดรูป“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [13 พ.ย. 2013].
2. โครงการตาสับปะรด นักสืบเสาะภูมิปัญญาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชุมชนสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. “โขมสวน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pineapple-eyes.snru.ac.th. [13 พ.ย. 2013].
3. ไทยเกษตรศาสตร์. “ไม้ดอกล้มลุก : เงาะถอดรูป“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [13 พ.ย. 2013].

รูปจาก
https://arit.kpru.ac.th/
https://www.amkhaseed.com/

ผ่าเสี้ยน สรรพคุณแก้อาการท้องเสีย

0
ผ่าเสี้ยน สรรพคุณแก้อาการท้องเสีย เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อแยกแขนงสีม่วงครามอ่อน ผลกลมสุกแล้วจะมีสีเป็นสีเหลืองอมเขียว ผลแห้งสีน้ำตาลจนถึงสีดำ
ผ่าเสี้ยน
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกเป็นช่อแยกแขนงสีม่วงครามอ่อน ผลกลมสุกแล้วจะมีสีเป็นสีเหลืองอมเขียว ผลแห้งสีน้ำตาลจนถึงสีดำ

ผ่าเสี้ยน

ผ่าเสี้ยน สามารถพบเห็นได้ทั่วประเทศของประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศนั้นสามารถพบได้ที่ประเทศอินเดียและประเทศพม่า โดยพืชชนิดนี้สามารถพบเห็นขึ้นได้ในบริเวณตามป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ในระดับความสูงที่ไม่เกิน 800 เมตร วัดจากระดับน้ำทะเล[1],[2] ชื่อสามัญ: Indochinese Milla, Kyetyo[2]
ชื่อวิทยาศาสตร์: Vitex canescens Kurz จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[1]
ชื่ออื่น ๆ จงอาง โจงอางต้น สะคางต้น (เลย), แปะ (นครราชสีมา), พะหวัง (กำแพงเพชร), หมากเล็กหมากน้อย (กาญจนบุรี), สมอตีนเป็ด (ประจวบคีรีขันธ์), กำจัง (พัทลุง), จัง (นครศรีธรรมราช), คำปอน คำปาน ซ้อเสี้ยน (ในภาคเหนือ), สมอกานน (ในภาคตะวันตกเฉียงใต้), กานนหลัว ข้องแลง (ในภาคใต้) เป็นต้น[1]

ลักษณะของผ่าเสี้ยน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีขนาดกลางไปจนถึงมีขนาดใหญ่ มีความสูง 10-25 เมตร แตกกิ่งก้านได้มาก ลักษณะของกิ่งอ่อนจะเป็นเหลี่ยม เมื่อดูไปตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนนั้นก็จะมีขนสีน้ำตาลเล็ก ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ ส่วนในด้านของเปลือก ภายนอกนั้นจะเป็นสีน้ำตาล มีรอยแตกแบบรอยไถอยู่ และมีลักษณะเป็นร่องเอียง ส่วนในด้านของเปลือกด้านในนั้นจะมีสีเป็นสีเหลืองอ่อน ขยายพันธุ์ด้วยการตัดกิ่งปักชำ
  • ใบ เป็นใบประกอบ มีลักษณะเป็นแบบนิ้วมือ มีใบย่อยอยู่ประมาณ 3-5 ใบ โดยใบย่อยเป็นรูปไข่กลับ รูปไข่ หรือเป็นรูปรี บริเวณปลายใบจะแหลม ตรงโคนใบจะมน แผ่นใบผิวบางและมีผิวสัมผัสที่นิ่มมือ มีขนขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน ใบอ่อนจะมีขนมากกว่าใบที่แก่แล้ว และบริเวณท้องใบจะมีขนขึ้นที่มีผิวสัมผัสอ่อนนุ่มมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณตรงเส้นกลางใบและเส้นใบ เส้นแขนงของใบย่อยจะมีอยู่กันประมาณ 6-14 คู่ โดยใบย่อยพวกนี้จะออกใบเรียงตรงข้ามกัน สลับกับการออกใบแบบตั้งฉาก [1],[2] ใบย่อยตรงส่วนยอดจะมีขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนใบย่อยที่บริเวณด้านข้างจะมีขนาดเล็ก ใบที่อยู่ติดกับก้านใบจะเล็กที่สุด กว้าง 3-10 เซนติเมตร และยาวอยู่ที่ประมาณ 5-20 เซนติเมตร ก้านใบย่อยจะยาว 0.4-2.5 เซนติเมตร (ก้านใบย่อยตรงบริเวณส่วนปลายของยอดจะมีความยาวมากกว่าก้านใบย่อยที่อยู่ด้านข้าง) [1],[2] ผลัดใบในช่วงของเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2]
  • ดอก เป็นช่อแยกแขนงหรืออาจจะออกดอกเป็นช่อแบบเชิงลดประกอบ ดอกออกดอกเรียงตัวกันเป็นวงรอบ ๆ ก้านดอก บริเวณปลายกิ่งและบริเวณตามซอกใบที่ใบหลุดร่วงหล่นไปแล้ว ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2] มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ โดยกลีบดอกนั้นจะแยกออกจากกันเป็น 2 ฝา ฝาด้านบนจะมี 2 กลีบ ส่วนฝาด้านล่างจะมี 3 กลีบ บริเวณโคนกลีบดอกจะมีสีเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน แต่ตรงปลายกลีบของดอกนั้นจะเป็นสีม่วงครามอ่อน ๆ ด้านนอกของดอกจะมีขนขึ้นอยู่ ส่วนในด้านของกลีบเลี้ยงจะมีกลีบอยู่ด้วยกัน 5 กลีบ ตรงบริเวณโคนดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ส่วนตรงปลายก็จะแยกเป็นแฉกอยู่ 5 แฉก มีสีน้ำตาล[1],[2]
  • ผล มีลักษณะกลม ผลมีขนาดประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร ผลเมื่อตอนสุกแล้วจะมีสีเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือมีสีเป็นสีเหลือง และเมื่อตอนผลแห้งแล้วก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปจนเป็นสีดำในที่สุด ภายในผลจะมีเมล็ดเดี่ยวหรืออาจจะมีหลายเมล็ด แต่ส่วนใหญ่ผลจะมีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ด ผลแก่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม[1],[2]

สรรพคุณ ประโยชน์ ของผ่าเสี้ยน

  • ต้น ผสมกับขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กแดง และขี้เหล็กขี้กลาก ปรุงเป็นยาใช้แก้โรคติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส โกโนเรียได้[1]
  • เปลือกต้น ตำรายาสมุนไพรของไทยจะนำเปลือกต้นมาทำเป็นยาแก้ไข้ [3]
  • เปลือกต้นมีฤทธิ์เป็นยาสำหรับใช้แก้อาการท้องเสีย [3]
  • เปลือกต้นนำมาใช้เป็นยาแก้อาการบิด และแก้เด็กถ่ายเป็นฟองได้อีกด้วย [3]
  • เปลือกต้นยังสามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ตานขโมยได้อีกด้วย (โรคพยาธิในเด็ก เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ซูบซีด ท้องเดิน พุงโร และก้นป่อง)  )[3]
  • ราก มีฤทธิ์ที่ช่วยทำให้เจริญอาหารได้ [3]
  • ราก มีฤทธิ์เป็นยาสำหรับใช้แก้อาการท้องเสียเช่นเดียวกันกับส่วนของเปลือก [3]

ประโยชน์ของผ่าเสี้ยน

  • เนื้อไม้ มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ สามารถนำเนื้อไม้มาใช้ในงานก่อสร้างได้ นำมาทำที่อยู่อาศัย
  • เนื้อไม้นำมาใช้สร้างเครื่องเรือน เครื่องจักสาน ใช้สร้างเครื่องมือใช้สอย
  • เนื้อไม้นำมาทำเป็นฟืนก่อไฟ ใช้หุงต้มได้อีกด้วย[2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “ผ่ า เ สี้ ย น”. หน้า 138.
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ผ่ า เ สี้ ย น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [14 พ.ย. 2014].
3. ไทยเกษตรศาสตร์. “ลักษณะต้นผ่าเสี้ยน”. อ้างอิงใน : หนังสือวัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [14 พ.ย. 2014].

รูปจาก
https://www.matichonweekly.com/
http://www.qsbg.org/

ตะบูนขาว สมุนไพรแก้ท้องร่วง แก้อหิวาตกโรค

0
ตะบูนขาว
ตะบูนขาว สมุนไพรแก้ท้องร่วง แก้อหิวาตกโรค เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กจนถึงต้นที่มีขนาดกลาง ดอกมีสีขาวอมเหลือง ผลทรงกลม ผิวเปลือกแข็งสีน้ำตาล น้ำหนัก1-2 กิโลกรัม
ตะบูนขาว
เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กจนถึงต้นที่มีขนาดกลาง ดอกมีสีขาวอมเหลือง ผลทรงกลม ผิวเปลือกแข็งสีน้ำตาล น้ำหนัก1-2 กิโลกรัม

ตะบูนขาว

ต้นตะบูนขาวได้ที่ตามชายฝั่งของทะเลในพื้นที่ภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ตั้งแต่ทวีปแอฟริกา เอเชีย ไปจนถึงทวีปออสเตรเลีย[2] เป็นต้นไม้ที่มีการเจริญเติบโตได้ดีในน้ำกร่อย ส่วนใหญ่มักจะขึ้นปะปนอยู่กับพันธุ์ไม้ป่าชายเลนนานาพรรณ เช่น ต้นหัวสุมดอกขาว ต้นไม้พังกา ต้นถั่วดำตาตุ่มทะเล และต้นโกงกางใบเล็ก[1],[3] ชื่อวิทยาศาสตร์: Xylocarpus granatum J. Koenig[1] จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์กระท้อน (MELIACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ กระบูน กระบูนขาว (ในภาคกลาง, ภาคใต้), หยี่เหร่ (ในภาคใต้) เป็นต้น[1],[2],[3],[4]

ลักษณะของตะบูนขาว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กจนถึงต้นที่มีขนาดกลาง มีความสูง 10-15 เมตร ลำต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้าง ซึ่งจะมีรูปร่างที่ไม่ค่อยแน่นอนนัก เนื่องจากลำต้นมักจะคดงอ เปลือกต้นนั้นจะมีสีเป็นสีเทาหรืออาจจะมีสีเป็นสีเทาอมขาว หรือบ้างก็พบเห็นเป็นสีน้ำตาลแดง เปลือกภายนอกจะลักษณะเป็นรอยแตกล่อนเป็นแผ่นบาง ๆ คล้ายคลึงกันกับเปลือกของต้นตะแบก ส่วนที่โคนต้นจะมีลักษณะเป็นแบบพูพอน จุดเด่นจะอยู่ที่เป็นไม้ที่ผลัดใบแต่สามารถผลิใบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว[1],[3]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่อยู่เรียงสลับกัน มีใบย่อยเรียงอยู่ตรงข้ามกันมีด้วยกันอยู่ 2 คู่ ซึ่งใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ บริเวณปลายใบมน บริเวณตรงโคนของใบจะเรียวสอบ แผ่นใบผิวสัมผัสที่ค่อนข้างจะหนาแต่ตัวใบนั้นเปราะได้ง่าย ส่วนบริเวณตรงขอบใบนั้นจะโค้งลงและผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย เส้นแขนงของใบมีอยู่ข้างละ 6-9 เส้น ก้านใบสั้นมีสีเป็นสีน้ำตาลตัดกับสีเขียวของใบ[1] ใบกว้างประมาณ 4.5-5 เซนติเมตร และยาวอยู่ที่ประมาณ 6-12 เซนติเมตร ก้านใบ 3-5 มิลลิเมตร[1]
  • ดอก มีสีขาวอมเหลือง โดยการออกดอกนั้นจะออกดอกรวมเป็นช่อและแตกแขนงไปตามซอกใบอีกทีหนึ่ง กลีบเลี้ยงเป็นรูปสามเหลี่ยมสั้น ๆ มีอยู่ด้วยกัน 4 กลีบ ส่วนกลีบดอกก็มี 4 กลีบเช่นเดียวกัน ดอกบานได้เต็มที่จะกว้างประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร และดอกตะบูนจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในเวลาช่วงบ่ายถึงเวลาโพล้เพล้ไปจนถึงช่วงค่ำมืด ดอกจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน อยู่ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย[1]
  • ผล เป็นผลแบบแห้งแตก ผลจะมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ผิวเปลือกแข็งเป็นสีน้ำตาล เส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ก้านผลมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร ผลมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1-2 กิโลกรัม ผิวจะมีลักษณะเป็นร่องตามยาวของผลอยู่ 4 แนว หรือก็คือผลสามารถแบ่งได้เป็น 4 พูในลักษณะที่เท่า ๆ กัน มีเมล็ดอยู่ที่ประมาณ 4-17 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นรูปเหลี่ยมโค้งจะนูนที่ตรงปลายแล้วค่อยประสานเข้าหากันเป็นรูปทรงกลม โดยหนึ่งด้านของเมล็ดจะกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร

สรรพคุณของตะบูนขาว

  • ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (เปลือก, เมล็ด)[2]
  • เปลือกและผล ช่วยแก้อหิวาตกโรค (ผล)[2]
  • เปลือกและเมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการไอ [2]
  • ช่วยแก้อาการท้องร่วง (เปลือก, เมล็ด)[1],[2]
  • ใช้เป็นยาแก้บิด (เปลือก, เมล็ด)[1]
  • เปลือกและเมล็ดใช้ต้มเพื่อใช้ชะล้างแผล (เปลือก, เมล็ด)[1]

ประโยชน์ ของตะบูนขาว

1. สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงร่างกายได้ (เปลือก, เมล็ด)[2]
2. นำมาใช้เป็นยาแก้อาการบิดได้ (เปลือก, เมล็ด)[1]
3. นำมาต้มเอาแต่น้ำเพื่อใช้ชะล้างบาดแผลภายนอกร่างกายได้ (เปลือก, เมล็ด)[1]
4. เปลือกและเมล็ด มีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการไอ (เปลือก, เมล็ด)[2]
5. สามารถช่วยแก้อาการท้องร่วงได้ (เปลือก, เมล็ด)[1],[2]
6. เปลือก สามารถนำมาช่วยรักษาโรคอหิวาต์ได้ (เปลือก)[1]
7. ผล นำมาใช้รักษาโรคอหิวาต์ได้เช่นเดียวกันกับส่วนเปลือก (ผล)[1],[2]
8. ต้นมีเนื้อไม้ที่เป็นสีขาว สามารถนำมาใช้สร้างเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับการตกแต่งบ้านเรือน อาคาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ได้[2]
9. เปลือก ให้น้ำฝาด สำหรับการนำมาใช้ย้อมสีผ้า[1],[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ต ะ บู น ข า ว“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [15 พ.ย. 2013].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะ บูน ขาว“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [15 พ.ย. 2013].
3. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “ต ะ บู น ข า ว“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [15 พ.ย. 2013].
4. ทัศนศึกษาออนไลน์. “พืชและสัตว์ที่พบในป่าชายเลน“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: fieldtrip.ipst.ac.th. [15 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://uforest.org/plants/species?q=Xylocarpus_granatum
2.https://www.flickr.com/photos/adaduitokla/10854375893

ทองพันชั่ง สมุนไพรแก้โรค 108 ประการ

0
ทองพันชั่ง สมุนไพรแก้โรค 108 ประการ เป็นพุ่มขนาดเล็ก ใบเดี่ยวเป็นรูปไข่ด้านในและโคนใบแหลม ดอกช่อขนาดเล็กสีขาว ผลเป็นฝัก
ทองพันชั่ง
เป็นพุ่มขนาดเล็ก ใบเดี่ยวเป็นรูปไข่ด้านในและโคนใบแหลม ดอกช่อขนาดเล็กสีขาว ผลเป็นฝัก

ทองพันชั่ง

สมุนไพรทองพันชั่ง หรือ ท่องคันชั่ง หญ้ามันไก่ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และมาดากัสการ์เป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เชื้อราบนผิวหนังเป็นหลักชื่อสามัญ White crane flower ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhinacanthus nasutus (L.) Kurz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Rhinacanthus communis Nees) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)

ลักษณะของทองพันชั่ง

  • ต้น มีลักษณะเป็นพุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-2 เมตร โดยโคนต้นมีเนื้อไม้แกนแข็ง กิ่งอ่อนเป็น 4 เลี่ยม
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวเป็นรูปไข่ด้านในและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบออกตรงข้ามกันเป็นคู่
  • ดอก เป็นดอกช่อขนาดเล็ก มีสีขาวออกเป็นช่อสั้นๆ ตรงซอกมุมใบ มองดูดอกมีลักษณะเหมือน นกกระยางกำลังบิน กลีบรองดอกมี 5 กลีบ และมีขน กลีบดอกสีขาวติดกันตรงโคนเป็นหลอด ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 2 กลีบ กลีบขนยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตร กว้าง 0.1 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 2 แฉกแหลมสั้นๆ กลีบล่างแผ่กว้าง 1.5 เซนติเมตร แยกเป็น 3 แฉก โคนกลีบมีจุดประสีม่วงแดง เกสรตัวผู้สีน้ำตาลอ่อน มีสองอันยื่นพ้นปากหลอดออกมาเล็กน้อย รังไข่มี 1 อัน รูปยาวรี มีหลอดท่อรังไข่คล้ายเส้นด้าย ยาวเสมอปากหลอดดอก ก้านเกสรสั้นติดอยู่ที่ปากท่อดอก
  • ผล มีลักษณะเป็นฝัก กลมยาว และมีขนภายใน มี 4 เมล็ดเมื่อแห้งสามารถแตกได้

สรรพคุณของทองพันชั่ง

  • ใบ รักษาโรคความดันโลหิตสูง ไอเป็นเลือด ทำให้ระบบกระเพาะอาหารทำงานได้ดี รักษาริดสีดวงทวาร แก้อาการปวดฝี
    แก้โรคมุตกิดระดูขาวของสตรี ฆ่าพยาธิ ถอนพิษ แก้อาการอักเสบ รักษาโรคไขข้ออักเสบ รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เรื้อน ผดผื่นคันเรื้อรัง
  • ต้น ช่วยแก้โรค 108 ประการ แก้ไส้เลื่อน ไส้ลาม ช่วยแก้ปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย ช่วยรักษาโรคนิ่ว รักษาคุดทะราดผู้ป่วยโรคเอดส์ใช้ต้นนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม ช่วยทำให้อาการของโรคดีขึ้น ช่วยทำให้น้ำเหลืองดีขึ้น เม็ดตุ่มตามตัวน้อยลง รับประทานข้าวได้มากขึ้น
  • ราก-ต้น บำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย และใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้น้ำเหลืองเสีย
  • ราก-ใบ รสเบื่อเมาช่วยดับพิษไข้ หรือจะใช้รากนำมาต้มรับประทานแก้พิษไข้ ช่วยแก้พิษงู
  • ใบ รักษาโรคเบาหวาน ช่วยแก้โรคไต โรคมะเร็ง แก้อาการใจระส่ำระสาย แก้อาการคลุ้มคลั่ง แก้อาการปวดหัวตัวร้อน ช่วยแก้หิดมะตอย
  • ราก ช่วยแก้กระษัย แก้อาการไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด รักษาโรครูมาติซึม รักษาโรคตับพิการ รักษาโรคไขข้อพิการ แก้ลมเข้าข้อที่ทำให้มีอาการปวดบวม ทำให้ผมดกดำ แก้ผมหงอก ผมร่วง

ข้อควรระวัง : สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคหืด โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งในเลือด โรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรรับประทาน

ประโยชน์ของทองพันชั่ง

  • นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่ว ๆไป

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, รองศาสตราจารย์ ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ (นักวิจัยภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์), สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, การแยกและการพิสูจน์เอกลักษณ์สารกลุ่มควิโนนที่มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ จากใบของต้นทองพันชั่ง (ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์), www.thaigoodview.com

รูปจาก :
https://www.pinterest.com/
https://www.samunpri.com/

ต้นพลองขี้ควาย หรือพลองใบเล็ก สมุนไพรแก้ไข้ป่า บำรุงร่างกาย

0
ต้นพลองขี้ควาย
ต้นพลองขี้ควาย หรือพลองใบเล็ก สมุนไพรแก้ไข้ป่า บำรุงร่างกาย ไม้พุ่มยืนต้นที่มีขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อกระจุกสั้น สีม่วงแกมน้ำเงิน ผลอ่อนสีเขียวอมชมพู ผลสุกสีม่วงเข้มหรือสีม่วงดำ
ต้นพลองขี้ควาย
ไม้พุ่มยืนต้นที่มีขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อกระจุกสั้น สีม่วงแกมน้ำเงิน ผลอ่อนสีเขียวอมชมพู ผลสุกสีม่วงเข้มหรือสีม่วงดำ

ต้นพลองขี้ควาย หรือพลองใบเล็ก

ต้นพลองขี้ควาย หรือพลองใบเล็ก เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่มหรือไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก พบได้ในประเทศจีนตอนใต้ ในภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค และพบได้มากในทางภาคใต้ ชื่อสามัญ Nipis Kulik, Blue Strawberry Flowers, Javanese Nipis, Api-api Hutan, Delek-delek Jambu, Delek Jamu Putih ชื่อวิทยาศาสตร์ Memecylon caeruleum Jack จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์โคลงเคลง (MELASTOMATACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ พลองขี้นก (จังหวัดลำปาง), พรม พลองขี้ไต้ (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), พลองใบเล็ก เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของต้นพลองขี้ควาย

  • ต้น
    – มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างขวาง โดยสามารถพบได้ในประเทศจีนตอนใต้ ในภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย
    – ภายในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค แต่จะพบได้มากในทางภาคใต้
    – เจริญเติบโตในพื้นที่ระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร วัดจากระดับน้ำทะเล[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่มหรือไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก
    – มีความสูงของลำต้นอยู่ที่ประมาณ 3-12 เมตร
    – แตกแขนงแผ่กิ่งก้านโปร่งออกมาจากลำต้น ซึ่งกิ่งก้านมีขนาดที่เล็กและมีสีเป็นสีน้ำตาล
  • ใบ
    – เป็นใบเดี่ยว โดยจะออกใบเรียงตรงข้ามกัน
    – ลักษณะรูปรี ปลายใบแหลมหรือเป็นมน ตรงโคนใบเป็นรูปลิ่มหรือรูปกลม ส่วนขอบใบจะเรียบ
    – แผ่นใบจะมีความหนาที่ค่อนข้างหนาพอสมควร ผิวใบจะเรียบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ตรงผิวใบด้านบนมีสีเป็นสีเขียวเข้มและใบเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างหรือท้องใบจะมีสีที่อ่อนกว่าใบด้านบน
    – ใบยาวประมาณ 8-16 เซนติเมตร และส่วนของก้านใบจะยาวอยู่ที่ประมาณ 0.2-1 เซนติเมตร[1],[2]
  • ดอก
    – ดอก ออกเป็นช่อกระจุกสั้น ๆ โดยจะออกดอกตามบริเวณซอกใบ
    – ก้านช่อจะยาวประมาณ 0.5-1.2 เซนติเมตร
    -ดอกมีสีเป็นสีม่วงแกมสีน้ำเงิน มีใบประดับขนาดเล็กที่มีความยาวอยู่ที่ประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หลุดร่วงง่าย
    -ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ตรงฐานรองดอกมีรูปร่างเป็นรูปถ้วยตื้น ๆ มีขนาดความยาวอยู่ที่ประมาณ 1.5-3 มิลลิเมตร และมีผิวเกลี้ยง
    -กลีบเลี้ยงนั้นจะมีลักษณะที่เป็นรอยจักตื้น ๆ อยู่ 4 กลีบ ส่วนกลีบดอกจะมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ ปลายแหลม มีขนาดความยาวอยู่ที่ประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบดอกมีผิวที่ย่นและเป็นสีม่วง โดยดอกจะมีอยู่ด้วยกัน 4 กลีบ
    -บริเวณโคนกลีบจะเชื่อมติดกัน ดอกมีเกสรเพศผู้ 8 อันเป็นสีม่วง มีขนาดความยาวอยู่ที่ประมาณ 2.5 มิลลิเมตร รวมอับเรณู โดยอับเรณูมีขนาดความยาวอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร ที่ตรงปลายมีรยางค์ห้อยลง มี บริเวณที่โคนมีต่อมขึ้น
    -รังไข่นั้นจะอยู่ใต้วงกลีบ มีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ และมียอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม[1],[2]
  • ผล
    – ผล เป็นรูปไข่รี ๆ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และผลมีผิวผลที่เกลี้ยงเกลา ไม่มีขนขึ้นปกคลุม
    – ผลอ่อนจะมีสีเป็นสีเขียวหรือสีชมพูอมม่วง แต่เมื่อผลสุกแล้วผลก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงเข้มหรือสีม่วงดำ
    – ผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด โดยเมล็ดจะมีลักษณะเป็นทรงกลม และมีเปลือกที่แข็ง[1],[2]3.

สรรพคุณของต้นพลองขี้ควาย

  • รากพลองใบเล็กนำผสมกับรากของต้นพลองเหมือด นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาที่มีสรรพคุณในการช่วยแก้อาการผิดสำแดงหรืออาหารเป็นพิษได้ (ราก)[1],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “พลองขี้ควาย”. หน้า 140.
2. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “พลองขี้ควาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [09 พ.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พลองใบเล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [31 ส.ค. 2015].

ที่มาของภาพ

Homepage


https://www.nparks.gov.sg/

ต้นพันงูน้อย กับสรรพคุณวัชพืชที่น่ารู้ก่อนถอนทิ้ง

0
ต้นพันงูน้อย
ต้นพันงูน้อย กับสรรพคุณวัชพืชที่น่ารู้ก่อนถอนทิ้ง ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ปลายใบและโคนใบแหลม ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง
ต้นพันงูน้อย
ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ปลายใบและโคนใบแหลม ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง

ต้นพันงูน้อย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Achyranthes bidentata Blume ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Achyranthes bidentata var. longifolia Makino)[2] จัดอยู่ในวงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)[1] ชื่อตามท้องถิ่นอื่น ๆ หญ้าพันงูน้อย พันธุ์งูเล็ก พันงูเล็ก หญ้าพันงูเล็ก ควยงูน้อย (ไทย), หงู่ฉิก (จีนแต้จิ๋ว), หนิวชี (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะต้นพันงูน้อย

  • ลักษณะของต้น [1]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก
    – มีความสูง 30-100 เซนติเมตร
    – มีรากอยู่ใต้ดินยาวเล็ก
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-1 เซนติเมตร
    – ลักษณะของลำต้นจะคล้ายกับหญ้าพันงูขาว
    – ก้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลเหลือง
  • ลักษณะของใบ [1]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงเป็นคู่
    – ใบเป็นรูปไข่กว้าง
    – ปลายใบและโคนใบแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1-5 เซนติเมตร และยาว 2-10 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
    – ผิวใบเรียบ
    – ใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย
    – ก้านใบยาว 5-20 มิลลิเมตร
  • ลักษณะของดอก [1]
    – ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง
    – จะออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง
    – มีกาบใบช่อดอก 1 ใบ
    – ก้านช่อดอกกลมและตั้งตรง ยาว 15-20 เซนติเมตร
    – กลีบดอกยาว 3-5 มิลลิเมตร
    – มีกลีบ 5 กลีบ
    – กลีบเลี้ยง 2 กลีบ เป็นรูปแหลม
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีรังไข่ 2 อัน
  • ลักษณะของผล [1]
    – ผลเป็นรูปทรงกลมรี
    – ยาวประมาณ 2-5 มิลลิเมตร
    – ผิวผลเรียบมัน
    – มีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของพันงูน้อย

  • ราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ[1]
  • ราก ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด[1]
  • ราก ใช้เป็นยาแก้ฝีบวม[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการฟกช้ำ[1]
  • ราก ใช้เป็นยาบำรุงตับ บำรุงไต[1]
  • ราก มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง [1]
  • ราก ช่วยแก้อาการมือเท้าเป็นเหน็บชา[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการปวดตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดเอว[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการปวดท้องน้อยหลังการคลอดบุตรของสตรี[1]
  • ราก มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นยาสุขุมไม่มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อตับและไต สามารถใช้เป็นยากระจายโลหิตได้[1]
  • ราก สามารถใช้แก้สตรีที่มีประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ หรือมีเลือดคั่งในมดลูก หรือเลือดอุดตันในมดลูก[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้แก้อาการปวดขาและหัวเข่า [1]

ข้อห้ามในการใช้สมุนไพรพันงูน้อย

  • ผู้ที่มีพลังหย่อนหรือพร่อง หรือสตรีมีครรภ์ หรือมีประจำเดือนมามากเกินควร ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารที่พบ ได้แก่โพแทสเซียม และสารจำพวก Alkaloid เช่น Oleanolic acid, ส่วนรากและเมล็ดพบสาร Ecdysterone, Innokosterone เป็นต้น[1]
  • สารที่สกัดได้จากหญ้าพันงูน้อยมีผลต่อการหดเกร็งตัวของมดลูกของกระต่าย ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ก็ตาม และมีผลต่อการหดเกร็งตัวของมดลูกที่อยู่นอกตัวของหนูทดลองอีกด้วย แต่จะมีฤทธิ์กระตุ้นการหดเกร็งตัวของมดลูกของแมวน้อยกว่า แสดงว่าหญ้าพันงูน้อยจะออกฤทธิ์ต่อมดลูกของสัตว์ทดลองแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป[1]
  • เมื่อนำสารที่สกัดได้จากหญ้าพันงูน้อยหรือน้ำที่ต้มกับหญ้าพันงูน้อยมาฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำของสัตว์ทดลอง พบว่าสามารถทำให้ความดันโลหิตลดลง และทำให้การหายใจถี่ขึ้น[1]
  • เมื่อนำน้ำที่ต้มกับหญ้าพันงูน้อย มาฉีดเข้าทางท้องน้อยของสัตว์ทดลอง พบว่าสามารถแก้ปวดได้ แต่จะมีฤทธิ์น้อยกว่ามอร์ฟีนมาก[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้าพันงูน้อย”. หน้า 598.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พันธุ์งูเล็ก”. หน้า 31.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ครอบฟันสี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [09 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofsrilanka.com/genus/204
2.https://eol.org/pages/585500

พรมมิแดง ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน

0
พรมมิแดง
พรมมิแดง ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน เป็นไม้ล้มลุก ขึ้นตามที่ดินปนทราย ใบเรียงตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น ดอกเป็นช่อกระจุก
พรมมิแดง
เป็นไม้ล้มลุก ขึ้นตามที่ดินปนทราย ใบเรียงตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น ดอกเป็นช่อกระจุก

พรมมิแดง

เมื่อกล่าวถึงพืชสมุนไพรแล้วนั้น พืชสมุนไพรก็ต่างมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ มีสรรพคุณและประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป หรืออาจจะเหมือนกันแต่การนำมาใช้ก็ย่อมจะแตกต่างกันไป ชื่อวิทยาศาสตร์: Trianthema triquetra Rottler & Willd.  จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์ผักเบี้ยทะเล (AIZOACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ ผักเบี้ย (จังหวัดราชบุรี, ชลบุรี และในภาคกลาง), พรมมิ (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), อือลังไฉ่ อุยลักก๊วยโชะ (ในประเทศจีน) เป็นต้น[1]

ลักษณะของพรมมิแดง

  • ต้น
    – จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก มักจะขึ้นตามดินปนทราย[1]
    – ประเทศไทยสามารถพบได้ที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    – ต่างประเทศสามารถพบได้ในแอฟริกา ปากีสถาน อินเดีย พม่า มาเลเซีย และออสเตรเลีย (Phuphathanaphong, 2005)
    – มีขนาดความสูงที่ไม่สูงมากนักดูแล้วค่อนข้างเตี้ย โดยลำต้นนี้จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปที่บริเวณโคนต้น และกิ่งก้านที่แผ่ออกมานั้นจะทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบ
    – ใบออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ลักษณะรูปร่างของใบจะเป็นรูปเรียวแคบ และตรงโคนก้านใบจะแผ่ออกเป็นกาบ
    – ก้านใบสั้น[1]
    – ใบมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.05-0.2 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 0.15-0.7 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ดอกออกเป็นช่อ ๆ กระจุกตัวกันอยู่ โดยดอกจะออกที่บริเวณซอกใบ
    – มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ
    – ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน โดยเกสรเพศผู้นี้จะอยู่สลับกันกับกลีบดอก[1]
  • ผล
    – ผลเป็นแบบฝัก
    – ฝักมีขนาดที่เล็ก โดยฝักจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร
  • เมล็ด
    – โดยภายในฝักนั้นจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 2 เมล็ด
    – เมล็ดจะมีสีเป็นสีดำ และเมล็ดมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไต[1]

สรรพคุณ ประโยชน์ ของต้นพรมมิแดง

1. ลำต้นรสชาติเย็น และมีความขมเล็กน้อย ใช้ทำเป็นยาดับพิษไข้หัว เช่น รักษาอาการไข้ รักษาโรคฝีดาษ แก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน เป็นต้น แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะนำส่วนของลำต้นนำมาปรุงเป็นยาเขียว มีฤทธิ์ในการดับพิษร้อนทั้งปวง (ต้น)[1]
2. ลำต้นนำมาใช้ทานเป็นยาขับเลือดได้ (ต้น)[1]
3. บางข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้อาการร้อนใน และแก้อาการกระหายน้ำได้แล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษตานซาง และแก้อาการอักเสบบวมได้อีกด้วย (ข้อมูลจาก : www.songkhlaportal.com by เวสท์สงขลา)
4. ใบนำมาใช้ทานเป็นยาขับเสมหะได้ (ใบ)[1]
5. ดอกสามารถนำมาใช้ทำเป็นยารักษาโรคประจำเดือนที่จางใสได้ (ดอก)[1]
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “พรม มิ แดง”.  หน้า 532-533.
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/guide_taxa/1183369
2.https://www.picturethisai.com/wiki/Trianthema.html

ต้นทองกวาว สรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการตาแดง

0
ต้นทองกวาว
ต้นทองกวาว สรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการตาแดง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ดอกมีสีแดงส้มหรือแสดคล้ายดอกทองหลาง ฝักแบนสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน
ต้นทองกวาว
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ดอกมีสีแดงส้มหรือแสดคล้ายดอกทองหลาง ฝักแบนสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน

ต้นทองกวาว

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางพบในเขตร้อนพบได้ทั่วไปทั้งในอินเดีย บังคลาเทศ เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ดอกสีส้มแสดจะเริ่มบานตั้งแต่เดือนเมษายนและจะออกผลช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ชื่อสามัญ คือ Bastard teak, Bengal kino, Kino tree, Flame of the forest ต้นทองกวาวมีสรรพคุณทางอายุรเวทลำต้นอุดมไปด้วยกรดแกลลิกและกรดแทนนิก ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Butea monosperma (Lam.) Taub. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ จาน (อุบลราชธานี), จ้า (สุรินทร์), ทองต้น (ราชบุรี), ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ (ภาคกลาง), กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ), ดอกจาน (ภาคอีสาน), จอมทอง (ภาคใต้), กวาวต้น

ลักษณะต้นทองกวาว

  • ลักษณะของต้น
    – ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียใต้ เช่น ประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย
    – เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง
    – มีความสูง 12-18 เมตร
    – กิ่งอ่อนมีขนละเอียด สีน้ำตาลหนา
    – การแตกกิ่งก้านจะไปในทิศทางที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
    – เปลือกต้นจะเป็นปุ่มปม
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการใช้กิ่งปักชำ
  • ลักษณะของใบ
    – เป็นใบประกอบแบบขนนก
    – มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับกัน
    – ใบย่อยที่ปลายรูปไข่
    – กลีบแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
    – ใบย่อยด้านข้างจะเป็นรูปไม่เบี้ยว
    – มีความกว้าง 8-15 เซนติเมตร มีความยาว 17 เซนติเมตร
    – ขอบใบเรียบ
  • ลักษณะของดอก
    – ออกดอกเป็นช่อคล้ายกับดอกทองหลาง
    – ดอกมีสีแดงส้มหรือแสด
    – มีความยาว 6-15 เซนติเมตร
    – มีดอกย่อยเกาะกันเป็นกลุ่ม
    – เมื่อดอกบานจะมีกลีบ 5 กลีบ
    – จะออกดอกมากในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
  • ลักษณะของผล
    – ผลเป็นฝักแบน
    – ฝักมีสีเขียวอ่อน
    – เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง
    – ที่ฝักมีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน
    – ฝักโค้งงอเล็กน้อย
    – ไม่แตก
    – ด้านบนหนาแตกเป็น 2 ซีก
    – ในฝักมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ 1 เมล็ด
    – ฝักมีความยาว 10-14 เซนติเมตร และกว้าง 2-3.5 เซนติเมตร

สรรพคุณของทองกวาว

  • ดอก ช่วยแก้พิษฝี
  • ดอก ช่วยลดกำหนัด
  • ดอก ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • ดอก ช่วยสมานแผลปากเปื่อย
  • ดอกใช้ต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ
  • ดอก สามารถใช้ต้มดื่มช่วยถอนพิษไข้ได้
  • ดอก สามารถใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง
  • ดอก สามารถใช้แก้อาการเจ็บตา ปวดตา ระคายเคืองตา ตามัว ตาแฉะ ตาฟาง
  • ใบ สามารถช่วยรักษาริดสีดวง
  • ใบ สามารถใช้ตำพอกฝีและสิว แก้อาการปวด และช่วยถอนพิษได้
  • ใบ สามารถใช้แก้อาการท้องอืดเพราะลมในกระเพาะอาหารเฟ้อขึ้นได้
  • ราก มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ
  • ราก สามารถใช้ต้มรักษาโรคประสาทได้
  • ราก สามารถนำมาใช้ประคบบริเวณที่เป็นตะคริวได้
  • เมล็ด สามารถใช้บำบัดพยาธิภายในได้
  • เมล็ด สามารถนำมาบดผสมกับมะนาว นำมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่นแดง อักเสบ คันได้
  • เปลือก สามารถช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นได้ แต่จะทำให้จำนวนอสุจิลดลง
  • แก่น สามารถใช้ทาแก้อาการปวดฟันได้
  • ยาว สามารถใช้ช่วยแก้อาการท้องร่วง
  • ฝัก ใบ หรือเมล็ด สามารถนำมาต้มเอาแต่น้ำใช้เป็นยาขับพยาธิหรือพยาธิตัวกลม

ประโยชน์ของทองกวาว

  • ดอกใช้ย้อมสีผ้า ซึ่งจะให้สีแดง
  • ใบสด สามารถนำมาใช้ห่อของได้
  • ใบ สามารถใช้ตากมะม่วงกวนได้
  • ใบ สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับช้างและวัวควายได้
  • ในอินเดีย จะนำมาปั้นเป็นถ้วยไว้ใส่อาหารและขนมแทนการใช้พลาสติก
  • ลำต้น เมื่อนำมาสับเป็นแผลจะมียางไหลออกมา สามารถนำมาใช้แทน Kimo ได้ หรือที่เรียกว่า Bengal kino
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเรือนและเครื่องมือทางการเกษตรได้
  • เนื้อไม้ สามารถใช้ทำกระดานกรุบ่อน้ำ ทำเรือขุดหรือเรือโปงใช้ชั่วคราว หรือใช้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ และกังหันน้ำได้
  • ทองกวาว เป็นไม้มงคลนาม คนไทยสมัยก่อนเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นทองกวาวไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองมาก
  • ดอกทองกวาว มีความสวยงามเรืองรองเหมือนทองธรรมชาติอีกด้วย โดยตำแหน่งที่ปลูกก็คือทิศใต้ และถ้าปลูกในวันเสาร์ก็จะยิ่งเป็นมงคลขึ้นไปอีก

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, รายการสาระความรู้ทางการเกษตร สถานีวิทยุ มอ. เอฟเอ็ม แปดสิบแปด เมกะเฮิร์ตซ์, หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.bimbima.com/herbs/butea-monosperma/4539/
2.https://www.plantslive.in/product/buy-palash-butea-plants-online-india/

ต้นติ้วเกลี้ยง ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น

0
ต้นติ้วเกลี้ยง ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นกระจุกสีชมพูอมแดงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลแก่สีดำ
ต้นติ้วเกลี้ยง
เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นกระจุกสีชมพูอมแดงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลแก่สีดำ

ต้นติ้วเกลี้ยง

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cratoxylum cochinchinense (Lour.) Blume[1] ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ต้นติ้วเกลี้ยง มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ลำติ้ว (ลั้วะ), ติ้วใบเลื่อม (ภาคเหนือ), ติ้วแดง (จังหวัดสุรินทร์), ติ้วส้ม (คนเมือง), ตุ๊ดจรึ่ม (ขมุ), ติ้วหม่น, ขี้ติ้ว (ภาคเหนือ), กุ่ยฉ่องบ้าง (กะเหรี่ยง, จังหวัดลำปาง) [1],[2],[4]

ลักษณะต้นติ้วเกลี้ยง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกต้นจะเรียบหรือสะเก็ด เปลือกเป็นสีเทาอมสีน้ำตาล เปลือกต้นด้านในมีลักษณะเป็นสีเหลืองอ่อน จะมีน้ำยางเหนียวเป็นสีเหลืองออกสีแดงซึมออกเวลาที่ถูกตัด ลำต้นจะมีหนามแหลมยาวและแข็งเป็นเนื้อไม้ออกที่ตามลำต้น พบเจอขึ้นได้ในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ที่มีความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลถึงที่มีความสูงประมาณ 700 เมตร ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะกล้า[1],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่กลับ ที่ปลายใบมักจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะสอบหรือมน ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร แผ่นใบบางคล้ายกับกระดาษถึงกึ่งหนาคล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบมีลักษณะเกลี้ยงทั้งสองด้าน ที่ด้านล่างมักจะมีนวล มีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 10-18 เส้น ที่ปลายจะเชื่อมกันก่อนจะถึงขอบใบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร[1]
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยวหรือจะออกเป็นกระจุกประมาณ 2-5 ดอก ดอกจะออกที่ตามซอกใบ ที่ตามปลายกิ่ง เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ จะมีใบประดับขนาดเล็ก ร่วงง่าย ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงอยู่ 5 กลีบ แยกเป็น 2 วง ก็คือ มีกลีบเลี้ยงวงนอก 3 กลีบ ที่ส่วนตรงกลางของกลีบวงนอกจะมีลักษณะเป็นสีม่วงแดง ขอบเป็นสีเขียว กลีบจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบเลี้ยงวงในนิดหน่อย และมีกลีบเลี้ยงวงใน 2 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นสีเขียว เป็นรูปไข่ รูปไข่กลับ กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ จะแยกจากกัน มีลักษณะเป็นสีส้มหรือสีส้มแดง กลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีความยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร ผิวกลีบมีลักษณะเกลี้ยง จะมีเส้นสีม่วงแดงจนถึงสีดำตามแนวยาว มีเกสรตัวผู้จำนวนเป็นมากเชื่อมติดเป็น 3 กลุ่ม สลับกับกลุ่มเกสรตัวผู้ที่ไม่สมบูรณ์ 3 ก้าน จะเป็นก้อน อวบน้ำ มีสีเหลือง รังไข่อยู่ที่เหนือวงกลีบเลี้ยง มีช่อง 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุลอยู่เป็นจำนวนมาก มีก้านเกสรตัวเมียอยู่ 3 ก้าน จะแยกจากกัน[1]
  • ผล เป็นผลแห้งแตก ผลเป็นรูปวงรี ผลมีลักษณะแข็งและเกลี้ยงเป็นมัน กว้างประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงที่ติดทนหุ้มประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวผล ผลแก่จะแตกตามรอยประสานออกเป็นพู 3 พู มีเมล็ดอยู่ในผลประมาณ 6-8 เมล็ดต่อพู เมล็ดมีปีกแบนและบางใส ออกดอกช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม ส่วนผลก็จะออกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม[1]

สรรพคุณต้นติ้วเกลี้ยง

1. สามารถช่วยรักษาอาการที่เกี่ยวกับลำไส้ อาการเสียดท้องได้ (เปลือกต้น)[1]
2. นำต้นกับรากมาต้มน้ำผสมกับลำต้นกำแพงเจ็ดชั้น ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น เป็นยาระบายได้ [1],[2],[3]
3. น้ำยางที่เปลี่ยนเป็นสีแดงที่ได้จากเปลือกสามารถใช้เป็นยารักษาโรคหิดได้ [1]
4. ใบจะมีฤทธิ์ที่เป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถทานใบอ่อนกับยอดอ่อนได้ [3]

ประโยชน์ต้นติ้วเกลี้ยง

1. ชาวมาเลเซียจะนำเปลือกต้นกับใบมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว สามารถใช้ช่วยบำรุงผิวพรรณได้[1]
2. มีบางข้อมูลระบุไว้ว่ามีการนำต้น มาใช้ทำเครื่องสำอาง (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด และใช้ทำเครื่องสำอางใด)[5]
3. ยอดอ่อนกับใบอ่อนจะมีรสชาติเปรี้ยวค่อนข้างฝาด ทานกับอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถทานเป็นผักสด ทานกับลาบหรือน้ำพริกได้[1],[3],[4]
4. สามารถนำเนื้อไม้มาใช้ทำเสา ถ่าน สร้างบ้าน ฟืน ทำกระดาน [3],[4]
5. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาได้ดี[3]
6. สามารถนำเนื้อไม้มาใช้ทำเชื้อเพลิงและฟืนไว้ใช้สำหรับจุดไฟต้มยาให้สตรีหลังคลอดบุตรที่อยู่ไฟได้ เนื่องจากมีควันที่ไม่เหม็น และเนื้อไม้ก็ยังติดไฟได้ดีมาก[1],[4]
7. สามารถนำเปลือกต้นมาใช้สกัดทำสีย้อมผ้าได้[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ติ้วเกลี้ยง”. (เอกภพ พิมเสน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [15 ม.ค. 2014].
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ติ้วเกลี้ยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [15 ม.ค. 2014].
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ติ้วเกลี้ยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [15 ม.ค. 2014].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “”ติ้วเกลี้ยง“”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [15 ม.ค. 2014].
5. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติ ภาคเหนือ. “ติ้วเกลี้ยง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้าที่ 116.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย

0
ชัยพฤกษ์
ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดสีชมพู ฝักอ่อนสีเขียวรูปทรงกระบอก ฝักแก่แห้งสีดำ
ชัยพฤกษ์
ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดสีชมพู ฝักอ่อนสีเขียวรูปทรงกระบอก ฝักแก่แห้งสีดำ

ชัยพฤกษ์

ชื่อสามัญ คือ Javanese Cassia, Rainbow Shower, Pink and white shower, Common pink cassia[2],[3] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cassia javanica L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia javanica subsp. javanica)[2] จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[1],[2] มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ขี้เหล็กยะวา, เหล็กยะวา เป็นต้น[1] เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดชัยนาท[2] และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพอีกด้วย[3]

ลักษณะต้นชัยพฤกษ์

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่
    – มีความสูงได้ 15-25 เมตร
    – ทรงพุ่มเป็นรูปร่ม แผ่กว้างออกไป
    – ทรงพุ่มมีขนาด 6-8 เมตร
    – เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล
    – ต้นเล็กจะมีหนาม
    – ต้นใหญ่จะมีรอยแผลปนหนามตามแนวขวาง
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
    – ชอบดินทราย และชอบแสงแดดจัด
    – มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    – พบขึ้นได้ตามป่าทุ่ง ป่าโปร่ง และปลูกเลี้ยงอยู่ทั่วไป
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับกัน
    – มีใบย่อยประมาณ 7-12 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – แกนกลางใบประกอบยาวได้ 15-30 เซนติเมตร
    – ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบกลม
    – ขอบใบเรียบ มีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 3.5-5 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียวสด
    – ผิวใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
    – เนื้อใบบางเกลี้ยงแต่ค่อนข้างเหนียว
    – ก้านใบยาวประมาณ 1.5-4 เซนติเมตร
    – ก้านใบย่อยมีขนาดสั้นมาก
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด
    – ก้านช่อดอกใหญ่และแข็ง
    – ไม่มีการแตกแขนง
    – ช่อดอกตั้ง ยาวได้ 5-16 เซนติเมตร
    – ดอกเป็นสีชมพู
    – ดอกย่อยเป็นรูปดอกหางนกยูงจำนวนมาก
    – ดอกย่อยมีก้านดอกเรียว ยาว 3-5 เซนติเมตร
    – กลีบเลี้ยงดอกมี 4 กลีบ เป็นรูปไข่ ปลายแหลม สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล ยาว 7-10 มิลลิเมตร
    – กลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ มีขนาดกว้าง 7-8 มิลลิเมตร และยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร
    – โคนกลีบคอดเป็นก้าน ยาว 3 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 9-10 อัน สีเหลือง 3 อัน มีลักษณะยาวโค้ง
    – ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร
    – รังไข่เรียว มีขนปกคลุมบาง ๆ
    – ดอกเมื่อเริ่มบานแล้วจะเป็นสีชมพู
    – แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
    – เมื่อดอกใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
    – ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม
  • ลักษณะของฝัก [1]
    – เป็นผลแห้ง
    – เป็นฝักรูปทรงกระบอก
    – ผิวฝักเรียบ ไม่มีขน
    – ฝักมีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 30-60 เซนติเมตร
    – ฝักอ่อนเป็นสีเขียว
    – เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
    – ฝักแก่จะไม่แตก
    – มีเมล็ดประมาณ 40-50 เมล็ด มีความกลมแบน มีสีน้ำตาลเป็นมัน
    – จะออกผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของชัยพฤกษ์

  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ[1]
  • ฝัก มีสรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย[1]
  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาระบายพิษไข้ ใช้ถ่ายเสมหะ[1]
  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาแก้พรรดึกหรืออาการท้องผูก เป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนในท้องหรือไซ้ท้อง[1],[5]
  • เปลือกฝักและเมล็ด มีสรรพคุณทำให้อาเจียนและเป็นยาลดไข้[4]

ประโยชน์ของชัยพฤกษ์

  • สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้[2]
  • สามารถใช้ประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ เพื่อเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่แก่กวีและนักดนตรีในสมัยโบราณ[3]
  • ใช้เป็นช่อประดับมงคลหลายที่ เช่น บนอินทรธนูข้าราชการ ประดับประกอบดาวบนอินทรธนู และในหมวกของทหารและตำรวจ[3]
  • เป็นพรรณไม้มงคล เป็นต้นไม้แห่งชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง ๆ[3],[5]
  • เป็นหนึ่งในเก้าไม้มงคลที่นำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์และใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน[3],[5]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [17 เม.ย. 2014].
2. ฐานข้อมูลท้องถิ่น จังหวัดชัยนาท. “ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอก ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : aritc.nsru.ac.th. [17 มิ.ย. 2015].
3. ภิรมย์วรุณ. “ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : piromwaroon.blogspot.com. [17 มิ.ย. 2015].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กัลปพฤกษ์, ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [17 มิ.ย. 2015].
5. จุลสารเขาเขียว ฉบับเดือนพฤษภาคม 2557, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี. “ชัยพฤกษ์ ดอกไม้ประจำวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rbcat.ac.th. [17 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/36517976@N06/33278115878
2.https://eol.org/pages/704202