การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง

0
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป

โรคมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัย หรือ วินิจฉัยโรค หมายถึง การตรวจวินิจฉัยทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับ โรคมะเร็ง ซึ่งได้แก่

การตรวจวินิจฉัยว่าเป็น โรคมะเร็ง หรือไม่?
การตรวจประเมินสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี?
การตรวจเพื่อประเมินระยะของอาการป่วยมะเร็ง?
การตรวจประเมินผลในช่วงของการรักษาและภายหลังการรักษา?
การตรวจเพื่อติดตามผลในระยะยาว ค้นหาความเสี่ยงการของป่วยด้วยโรคมะเร็งซ้ำอีก?

สำหรับการพิจารณาว่าวินิจฉัยโรคจะตรวจอะไรบ้าง แพทย์จะทำการวินิจฉัยถึงอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย แล้วจึงเริ่มตรวจในสิ่งที่มีความสอดคล้องกับอาการป่วย เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็น โรคมะเร็ง หรือไม่ โดยหากพบว่าป่วยด้วยมะเร็ง ก็จะแจ้งให้กับผู้ป่วยและญาติทราบทันที จากนั้นจึงทำการตรวจประเมินระยะของโรค สุขภาพผู้ป่วย เพื่อหาแนวทางการรักษาต่อไป โดยการตรวจจะได้รับข้อมูล ดังนี้

1.วินิจฉัยโรคและชนิดของมะเร็งที่ผู้ป่วยกำลังเป็น

2.วินิจฉัยโรคและระยะของโรคมะเร็งในขณะนั้น

3.วินิจฉัยโรคและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

โดยหลังจากได้รับข้อมูลดังนี้แล้ว แพทย์จะทำการพูดคุยและแนะนำถึงวิธีและขั้นตอนในการรักษาแก่ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงอาการแทรกซ้อน ผลข้างเคียงที่อาจต้องระมัดระวัง

ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยมะเร็ง

ก่อนการตรวจวินิจฉัยหรือทำการรักษา แพทย์จำเป็นต้องทราบประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยอาการง่ายขึ้นและเลือกวิธีการตรวจหรือวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยประวัติของผู้ป่วยที่แพทย์ต้องทราบ ได้แก่ อาการสำคัญ อาการอื่นๆ การแพ้ยา โรคประจำตัว หรือประวัติอื่นๆ ทางการแพทย์ เป็นต้น

วินิจฉัยโรคและอาการสำคัญ

อาการสำคัญ คืออาการที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ โดยเป็นอาการสำคัญที่จำเป็นต้องแจ้งกับแพทย์เป็นอันดับแรก เนื่องจากอาการสำคัญจะช่วยชี้ชัดถึงโรคที่กำลังป่วยได้อย่างแม่นยำที่สุดและทำให้แพทย์รักษาได้อย่างถูกทางมากขึ้น โดยทั่วไปอาการสำคัญ ได้แก่ อาการผิดปกติหลักๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนรงมีอากรปวดท้อง คลำพบก้อนเนื้อผิดปกติในบริเวณเต้านม เป็นต้น

วินิจฉัยโรคความกังวลหรือความสงสัยว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือไม่นั้นต้องการให้แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อความสบายใจ และหากพบว่าป่วยด้วยมะเร็งชนิดไหน ก็จะได้ทำการรักษาได้ทัน มีความต้องการที่จะตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เพื่อความมั่นใจและสบายใจ

อาการสำคัญของการตรวจวินิจฉัยโรค เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและอวัยวะที่น่าจะมีความผิดปกติได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การตรวจวินิจฉัยมีวงแคบลงและทราบผลเร็วกว่าเดิม ดังนั้นอาการสำคัญจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ที่ผู้ป่วยหรือญาติควรแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อมาพบแพทย์นั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนเริ่มตรวจวินิจฉัยหรือทำการรักษา แพทย์จะเริ่มพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติเพื่อซักประวัติ และอาจมีการซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการอื่นๆ รวมถึงปัญหาครอบครัวที่อาจนำมาสู่อาการเจ็บป่วยดังกล่าว

วินิจฉัยโรคอาการอื่นๆ

เป็นอาการที่เกิดขึ้นก่อนอาการสำคัญ โดยจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงทำให้ผู้ป่วยยังไม่มาพบแพทย์ก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือเป็นอาการร่วมที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยที่ผู้ป่วยหรือญาติต้องแจ้งแก่แพทย์เช่นกัน เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ มีไข้อ่อนๆ หรืออาการไอ เป็นต้น

วินิจฉัยโรคอาการสำคัญของโรคมะเร็ง

เป็นอาการที่คาดว่าอาจเกิดจาก โรคมะเร็ง และต้องการให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือไม่ เช่น มีอาการอักเสบบ่อย พบก้อนเนื้อที่อาจเป็นมะเร็งโดยทั้งนี้เมื่อแพทย์วินิจฉัยร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆแล้ว ก็จะทำให้ได้ผลการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

อาการสำคัญที่พบได้บ่อยเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เนื่องจาก ” โรคมะเร็ง “ เป็นโรคที่ไม่มีอาการเฉพาะจึงต้องพิจารณาจากหลายๆ กรณีและอาการที่อาจบ่งชี้ว่าป่วยมะเร็ง โดยมีอาการสำคัญที่มักจะพบได้บ่อยๆ เมื่อป่วยด้วย โรคมะเร็ง ดังนี้

1. มีไฝ หูดหรือปานโตฝังลึกลงในผิวหนัง และมีสีที่เปลี่ยนไปจากเดิมพร้อมกับขอบที่ขรุขระขึ้น นอกจากนี้ในบางรายก็อาจมีแผลหรือมีเลือดไหลออกมาอีกด้วย
2. มีก้อนเนื้องอกออกมาและโตเร็วมาก โดยในระยะเริ่มแรกนั้นจะยังไม่มีอาการเจ็บปวด แต่เมื่อปล่อยไว้นานๆ จะเริ่มเกิดเป็นแผลแตกและมีเลือดออกเรื้อรัง พร้อมกับอาการเจ็บปวดที่เกิดถี่ขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของโรคมะเร็งได้
3. มีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายสักที โดยเป็นมานานกว่า 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือแผลในช่องปาก
4. ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ โดยอาจจะคลำเจอเป็นก้อนๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด ซึ่งอาการเจ็บปวดจะเกิดขึ้นเมื่อต่อมน้ำเหลืองเริ่มติดเชื้อนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะคลำเจอบริเวณรักแร้ ขาหนีบและลำคอ ซึ่งหากเกิดจากมะเร็งก็จะพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนใหญ่
5. มีอาการปวดศีรษะแบบเรื้อรังและค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่อาจบอกได้ถึงการป่วยมะเร็งเช่นกัน อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็อาจเกิดจากโรคเนื้องอกหรือเพราะความเครียดก็ได้
6. น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ประมาณร้อยละ 10 ภายในเวลา 6 เดือน ทั้งที่ยังคงทานอาหารตามปกติและแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุนั่นเอง
7. มีอาการหนังตาตก ตาเหล่และอาจเดินเซแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนโดยอาจเป็นผลจากการอักเสบของเส้นประสาทหรือ โรคมะเร็ง ได้
8. มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรืออยู่ดีๆ ก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะมะเร็งสมองและมะเร็งบางชนิดที่มีการแพร่กระจายเข้าสู่สมองหรือไขสันหลัง
9. มีเสมหะ น้ำลายหรือน้ำมูกออกมาเป็นเลือด ซึ่งนอกจากจะเกิดจากการอักเสบภายในช่องปาก คอหอยหรือโพรงจมูกแล้ว ก็อาจเป็นเพราะ โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งโพรงจมูกอีกด้วย
10. เสียงแหบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด เมื่ออาการไข้หวัดหายแล้วแต่เสียงยังแหบอย่างต่อเนื่อง แบบนี้ก็อาจสงสัยได้เลยว่าอาจกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่ก็ได้
11. มีเลือดกำเดาออกแบบเรื้อรัง คือมักจะมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ คาดว่าอาจจะเป็นมะเร็งระบบโลหิตวิทยา มะเร็งจมูกหรือ โรคมะเร็ง หลังโพรงจมูก เป็นต้น
12. มีอาการผิดปกติที่เต้านม โดยคลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หัวนมบุ๋มและแข็ง มีผื่นคันเรื้อรังเกิดขึ้นบริเวณหัวนม เจ็บเต้านมบ่อยๆ หรือในคุณแม่หลังคลอดบุตรก็อาจจะมีน้ำนมเป็นเลือด ซึ่งทุกอาการล้วนเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมทั้งสิ้น จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ
13. ต่อมไทรอยด์โตผิดปกติ โดยเมื่อคลำบริเวณลำคอด้านหน้าทั้งซ้ายขวา พบก้อนเนื้อผิดปกติ อาจบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็งได้เช่นกัน มีอาการอาเจียนหรือไอออกมาเป็นเลือด ซึ่งก็ไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด
14. ปวดท้องเรื้อรังอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้ว่าจะกินยาลดกรดหรือยารักษาโรคกระเพาะ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น โดยอาจเสี่ยงเป็น มะเร็งโรคกระเพาะอาหารได้
15. มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียบ่อยๆ ซึ่งในบางรายอาจมีอุจจาระเป็นเลือดหรือเป็นมูกเลือดด้วย โดยอาการดังกล่าวก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งหรือเป็นเพราะลำไส้ใหญ่เกิดการอักเสบก็ได้
16. ตัวและตาซีดเหลืองผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับและความผิดปกติของโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับตับ
17. ถ่ายปัสสาวะผิดปกติและอาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดได้ รวมถึงมีอาการปวดเบ่ง ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะออกกะปริดกะปรอยหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยอาการดังกล่าวก็อาจบ่งชี้ได้ถึงโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคมะเร็งไต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น 
18. อัณฑะโตผิดปกติจนสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้ ในบางคนก็อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย
19. มีตกขาวผิดปกติ ซึ่งอาจจะออกมาเป็นมูกเลือด มีกลิ่นเหม็นหรือมีอาการคันร่วมด้วย โดยอาการดังกล่าวอาจเกิดจากการติดเชื้อของช่องคลอด หรือเกิดจากโรคมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งช่องคลอดได้เหมือนกัน
20. กระดูกมีความเปราะบาง หักได้ง่าย และอาจมีอาการปวดบริเวณกระดูกและข้อต่อบ่อยๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะภาวะโรคกระดูกพรุนในวัยที่มีอายุมาก หรือเป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งกระดูก และมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่แพร่เข้าสู่กระดูกจนทำให้เกิดอาการดังกล่าว
21. ประจำเดือนมาผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดได้หลายกรณีเช่น ประจำเดือนมามากหรือมาน้อยกว่าปกติ มาไม่สม่ำเสมอ มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน มีเลือดออกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งหมดนี้อาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูกเองหรือเกิดจากผลกระทบของมะเร็งก็ได้
22. มีอาการปวดหลังเรื้อรังและอาจปวดร้าวไปจนถึงขาตามแนวกระดูก คาดว่าอาจเกิดจากการอักเสบของกระดูก เส้นประสาทหรือป่วยด้วยมะเร็งที่แพร่เข้าสู่กระดูกจนทำให้เกิดอาการปวดแบบเรื้อรัง
23. เป็นซีสต์เรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย

วินิจฉัยโรคมะเร็ง อาจมีอาการที่แสดงออกมาอย่างหลากหลายและเกิดได้จากมะเร็งหลายชนิด จึงต้องมีการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดและถูกต้องตามกระบวนการ จึงจะทราบสาเหตุที่แท้จริงและประเมินวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2009). “Cancer”. World Health Organization.

Cancer by tumour type. Journal of Internal Medicine. 

การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณมะเร็ง

0
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง

ตรวจเลือด

ตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง Tumor Marker จึงเป็นเหมือนการสืบสวนเพื่อย้อนรอยหาผู้ก่อการร้าย ซึ่งก็คือมะเร็ง ว่าแอบซ่อนอยู่ตรงไหนของร่างกาย เพื่อจะได้ทำการกำจัดออกไปก่อนจะเข้าสู่ระยะที่สามที่เป็นระยะอันตรายมากที่สุด

Tumor Marker คือ สารชนิดหนึ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งสาร Tumor Marker อาจเกิดจากการที่ โปรตีน สารประกอบชีวเคมี หรือ เอนไซม์ ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเซลล์มะเร็งเองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีปฏิกิริยาตอบโต้การบุกรุกทำลายของเซลล์มะเร็ง จนทำให้สารบ่งชี้ดังกล่าวมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นและค่อยๆ รั่วไหลเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งก็สามารถตรวจพบสารบ่งชี้ได้ด้วย การตรวจเลือด นั่นเอง

Hyperplasia คือ เซลล์ที่เกิดใหม่และทำให้จำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มีผลให้อวัยวะหรือเซลล์ในส่วนนั้นมีขนาดที่บวมใหญ่ขึ้น เซลล์ชนิดนี้มักจะพบได้จาก สภาวะต่อมไทรอยด์โต ( Thyroid Hyperplasia ) และ สภาวะต่อมลูกหมากโต ( Benign Prostate Hyperplasia, BPH ) เป็นต้น
Hypertrophy คือ เซลล์ที่เกิดใหม่โดยไม่ได้ทำให้จำนวนเซลล์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้เซลล์มีขนาดและรูปร่างที่ใหญ่กว่าเดิมแทน ส่งผลให้อวัยวะหรือเซลล์ในส่วนนั้นมีขนาดที่บวมโตขึ้น พบได้จาก สภาวะหัวใจโต (Cardiac Hypertrophy) เป็นต้น
Metaplasia คือ เซลล์เกิดใหม่ที่งอกขึ้นมาแทนตัวเดิม โดยจะมีจำนวนมากแต่ขนาดไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งพบได้ในเซลล์เนื้อเยื่อของผิวหนัง ( Squamous Metaplasia ) ที่มีการงอกขึ้นมาเพื่อแทนที่ผิวหนังเดิมที่ได้ลอกออกไปตามอายุหรือการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
Dyplasia คือ เซลล์เกิดใหม่ในสภาพของวัยที่ยังโตไม่เต็มที่ โดยจะเข้ามาแทนที่เซลล์เก่าที่ได้หลุดลอกออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นเซลล์ผนังด้านในโพรงมดลูก ( Dysplasia of the Cervix Epithelium ) ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโตเต็มที่ 28 วัน แล้วหลุดออกมาเป็นประจำเดือนในที่สุด

ร่องรอยทางกายภาพของมะเร็ง

ร่องรอยทางกายภาพของมะเร็ง มีทั้งชนิดที่มองเห็นได้ง่ายและชนิดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ นั่นคือ

ชนิดที่ไม่มีอาการบวม โดยจะไม่แสดงอาการออกมาทำให้สังเกตได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) ซึ่งจะไหลเวียนในหลอดน้ำเหลืองจึงไม่บวมออกมา
ชนิดที่มีอาการบวม โดยจะมีก้อนเนื้อบวมนูนขึ้นมาทำให้สังเกตเห็นได้โดยง่าย ซึ่งชนิดนี้เรียกว่า Tumor อาจเกิดจากเซลล์มะเร็งหรือไม่ใช่เซลล์มะเร็งก็ได้ กล่าวคือ
Benign Tumor คือก้อนเนื้อที่บวมออกมาแต่ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง เช่น ถุงไขมัน ( Cyst ) เนื้อเยื่อที่บวมในเต้านม เป็นต้น
Malignant Tumor คือก้อนเนื้อที่บวมนูนออกมา โดยเกิดจากเซลล์มะเร็งร้าย ซึ่งก็อาจจะเป็นมะเร็งหลากชนิดกันไป

การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้โรคมะเร็ง

การตรวจเลือด เพื่อหาสารบ่งชี้การป่วยด้วยโรคมะเร็ง เป็นวิทยาการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า ซึ่งสามารถทำการตรวจวิเคราะห์เลือดได้ว่ามีระดับหรือค่าความเสี่ยงมะเร็งมากแค่ไหน และสามารถสรุปได้อีกด้วยว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งชนิดใด เนื่องจากสามารถตรวจวิเคราะห์สารบ่งชี้สัญญาณมะเร็งต่ออวัยวะได้หลายชนิดสัญญาณนั่นเอง

วัตถุประสงค์ ในการตรวจเลือดเพื่อหาสัญญาณโรคมะเร็ง

โดยภาพรวม การตรวจเลือด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็ง มีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อคัดกรองสุขภาพของแต่ละบุคคลในการตรวจสุขภาพประจำปี ถึงความเสี่ยงที่อาจเป็นมะเร็ง ซึ่งจะทำให้เตรียมตัวและรับมือกับอาการป่วยได้ทันรวมถึงทราบด้วยว่าเป็นมะเร็งชนิดใดและเกิดขึ้นตรงส่วนไหนของร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลการรักษา โดยหากการรักษาได้ผล สารบ่งชี้มะเร็งก็จะค่อยๆ ลดลงไปสามารถพยากรณ์ความร้ายแรงของโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยดูได้จากค่าของสารบ่งชี้ที่ตรวจพบใช้เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจได้ เช่น มะเร็งเซลล์สมอง โดยสารบ่งชี้จะเป็นตัวบอกว่าเซลล์ผิดปกติที่พบในตำแหน่งนั้นเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่

Tumor Marker คือ สารชนิดหนึ่งที่บ่งชี้ถึงกโรคมะเร็ง ซึ่งอาจเกิดจากการที่ โปรตีน สารประกอบชีวเคมี หรือ เอนไซม์ ที่ถูกผลิตขึ้นจากเซลล์มะเร็ง หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย

วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสัญญาณมะเร็ง หรือสารบ่งชี้มะเร็ง

สำหรับวิธีการตรวจเพื่อหาสัญญาณหรือสารบ่งชี้มะเร็ง สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ

1.ตรวจโดยการระบุชื่อสัญญาณมะเร็ง ( Cancer – Specific Marker ) เป็นการตรวจแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อทราบสัญญาณมะเร็งของชนิดที่ต้องการเท่านั้น โดยมะเร็งแต่ละชนิดก็จะมีการกำหนดไว้ว่าต้องตรวจหาค่าอะไรจึงจะพบ เช่น การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ จะต้องตรวจค่า AFP ซึ่งจะทำให้ทราบอย่างชัดเจนว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งตับหรือไม่ นอกจากนี้การตรวจ AFP ก็มีผลพลอยได้ ทำให้ทราบสารบ่งชี้มะเร็งรังไข่และมะเร็งลูกอัณฑะ
2.ตรวจโดยการระบุอวัยวะ (Tissue – Specific Marker) เป็นการตรวจเฉพาะเจาะจง เพื่อทราบสัญญาณมะเร็งจากอวัยวะภายในร่างกายที่กำลังสงสัยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ โดยจะใช้วิธีการตรวจเฉพาะจุด เช่น ต้องการทราบว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายหรือไม่ จะต้องตรวจสัญญาณบ่งชี้ 3 ตัว คือ CEA, CA 19-9 และ CA 125 โดยการตรวจหาค่าดังกล่าวนอกจากจะทำให้ทราบผลตามต้องการแล้ว ก็ได้ผลพลอยได้ โดยทราบถึงสัญญาณบ่งชี้มะเร็งของอวัยวะอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กันอีกด้วย 

ข้อควรระวังในการใช้ Tumor Markers ตรวจเลือดหามะเร็ง

อย่าสรุปผลตรวจจากค่าที่ได้ตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว เพราะค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การตรวจเลือด หลายๆ ครั้งเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง ควรตรวจจากห้องปฏิบัติการแห่งเดียวกันและต้องใช้อุปกรณ์ น้ำยาวิเคราะห์ต่างๆ ที่เป็นชนิดเดียวกันเสมอ ควรพิจารณาจากสารบ่งชี้มะเร็งหลายๆ ตัวที่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สามารถบ่งชี้มะเร็งแบบเจาะจงในจุดเดียวกันได้เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น สามารถเลือกพิจารณาจากสัญญาณมะเร็งที่ไม่เจาะจงแต่มีคุณสมบัติความไวในการบ่งชี้ได้ดี เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการตรวจ ต้องมีการบันทึกประวัติข้อมูลตัวเลขสารบ่งชี้มะเร็งก่อนการรักษาอย่างชัดเจน เพื่อวิเคราะห์ผลการรักษาได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น
อาจเกิดปรากฎการณ์ “ Hook effect ” ซึ่งเป็นการหลบซ่อนของสัญญาณมะเร็ง ทำให้ไม่ได้ค่าการตรวจที่ชัดเจน จึงต้องระมัดระวังและมีความรอบคอบในการตรวจมากเป็นพิเศษ

การตรวจเลือด หาสารบ่งชี้มะเร็ง เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและทำให้ทราบอาการป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อทำการรักษาได้ทันเวลา แต่เนื่องจากการตรวจด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง 100% เสมอไป ผู้ตรวจจึงต้องมีความรอบคอบและทำตามคำแนะนำในการใช้ Tumor Markers อย่างเคร่งครัด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Cancer causation: association by tumour type”. Journal of Internal Medicine. 

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07.

ตำแหน่งของไตและการรักษาไตวายเรื้อรัง

0
การฟอกเลือดหรือล้างไต จะช่วยลดอาการคั่งของเกลือและของเสียในร่างกาย
ตำแหน่งของไตและการรักษาไตวายเรื้อรัง
การฟอกเลือดหรือล้างไต จะช่วยลดอาการคั่งของเกลือและของเสียในร่างกาย

ไตวายเรื้อรัง

การรักษา ไตวายเรื้อรัง นั้น ขึ้นอยู่กับระยะของโรคไต ส่วนใหญ่เน้นการรักษาแบบประคับประคอง บรรเทาอาการเจ็บป่วย ซึ่งจะช่วยชะลอการดำเนินโรคและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน นอกจากนั้นยังต้องรักษาโรคร่วมที่เป็นสาเหตุของโรคไตวายด้วย เช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติไตไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป ให้ยาควบคุมความดันเลือดสูง ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไตก็จะเสี่ยมช้าลง ให้ยารักษาโรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต เป็นต้น

การรักษาไตวายเรื้อรังแบบประคับประคอง

ควบคุมอาหารและน้ำ เลือกอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ จำกัดโปรตีน เกลือโซเดียม ฟอสเฟต โพแทสเซียม ซึ่งจะเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าคนปกติดูแลตนเองอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ไตเสื่อมกว่าเดิม โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนน้อยลงดังนี้

1.ทุกวันควรพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ระบบฮอร์โมนทำงานเป็นปกติ

2. ควรใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการสำรวจร่างกายและผ่อนคลายด้วยการฝึกโยคะหรือนั่งสมาธิ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3.ออกกำลังกายแบบเเอโรบิคตามสภาพอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิค ลีลาศ ว่ายน้ำ ให้ถึงระดับเหนื่อยพอควร ครั้งละ 30 – 45 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง และควรฝึกกล้ามเนื้อด้วย เช่น ฝึกยกดัมเบลล์ ฝึกกับขวดน้ำ หรือใช้ยางยืดเข้ามาช่วย สัปดาห์ละ 2 – 4 ครั้ง

4.ลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน งดปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคไตวาย งดบุหรี่ สุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้ง ยาต่อไปนี้ด้วย

4.1 ยาแก้ปวด แก้อักเสบ กลุ่มเอนเซ็ด

4.2 ยาปฏิชีวนะในกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์

4.3 การฉีดสารทึบรังสี

4.4 สมุนไพรที่รับประทานอย่างเข้มข้นหรือต่อเนื่อง

ควรรับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยาใช้เอ เพราะยาหลายชนิดที่มีพิษต่อไตระวังและรักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ภาวะโพแทสเซียมสูง ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะบวมและความดันเลือดสูง รวมทั้งระวังและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ไตวายเรื้อรังระยะที่ 4-5 ดูแลรักษาเพิ่มเติม

การฟอกเลือดหรือล้างไต จะช่วยลดอาการคั่งของเกลือ ของเสีย ในร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการบวม หอบ เหนื่อย ชัก กระดุก รวมถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนจะหายไป

5.ศึกษาเรียนรู้เรื่องการบำบัดทดแทนไต

ดูข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี ค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์จากบัตรที่มีอยู่ หรือการช่วยเหลือจากรัฐ หรือจากประกันชีวิต หรือหน่วยงานอื่นๆ ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ในคนที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อหัวไหล่ทั้งสองข้าง ฉีด 3 ครั้ง คือ เดือนที่ 0  1 และ 6 ติดตามตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้นหรือยังที่ 1 เดือนหลังเข็มสุดท้าย ส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทานขึ้นมาป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้
แต่ถ้าฉีดครบแล้วยังไม่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น ต้องทำการฉีดซ้ำและตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดครบ 3 เข็งเหมือนเดิม
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพราะวัคซีนชนิดนี้คุ้มกันได้เพียงปีเดียว ผู้ป่วยโรคไตวายระยะท้าย ควรตรวจอัลบูมินในซีรั่มทุก 3-6 เดือน โดยอัลบูมินไม่ควรต่ำกว่า 3.5 กรัม% การบำบัดทดแทนไต หรือเรียกว่า การฟอกเลือด การล้างไต จะกระทำเมื่อมีของเสียคั่งอย่างมาก รักษาด้วยยาและการควบคุมอาหารแล้วยังไม่ช่วยควบคุมอาการของโรคได้ จึงจำเป็นต้องล้างไต

6.เมื่อถึงระยะสุดท้ายของโรคไตวาย

ไตทำงานน้อยกว่าร้อยละ 10 เมื่ออัตรากรองของไต ( จีเอฟอาร์ ) น้อยกว่า 6 แม้ว่าจะไม่มีภาวะทุพโภชนาการก็ตาม ของเสียคั่งในเลือด มีบียูเอ็นมากกว่า 100 มิลลิกรัม% ระดับครีเอตินีนมากกว่า 10 มิลลิกรัม% แต่ถ้าผู้ป่วยขาดสารอาหารอย่างมากด้วย จะใช้ค่าบียูเอ็นมากกว่า 70 มิลลิกรัม% ครีเอตินีนสูงกว่า 7 มิลลิกรัม% ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงมาก ให้ยารักษาแล้วยังไม่ได้ผลจนอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนอาจเสียชีวิตได้ ภาวะน้ำและโซเดียมเกินให้ยาขับปัสสาวะขนาดสูงแล้วไม่ได้ผลโดยเฉพาะเมื่อร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลวและน้ำท่วมปอด ภาวะเลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง ค่าคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำกว่า 15 มิลลิโมลต่อลิตร ซึ่งใช้ยาไบคาร์บอเนตแล้วยังไม่ดี ยังมีผลทำให้หอบ และมีอาการทางสมอง โดยเฉพาะถ้าพบร่วมกับภาวะน้ำเกิน มีอาการขั้นรุนแรงอื่นๆ เช่น ระบบอาหาร ( คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ) หรือมีเยื่อบุหัวใจอักเสบ เลือดซีดจาง ซึ่งแพทย์มักจะเริ่มให้ทำการฟอกเลือดได้ตั้งแต่เริ่มซีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่รุนแรง ร่วมกับให้ยาธาตุเหล็ก และกรดโฟลิด

7.การปลูกถ่ายไตใหม่

ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตหรือเรียกว่า เปลี่ยนไต ( รีนัลทราสพลานเตชั่น ) ซึ่งเป็นการรักษาที่ดี ทำให้ไตทำงานได้เป็นปกติไม่มีของเสียคั่งค้างให้ต้องล้างไต หรือจำกัดอาหารมากจนเกินไป แต่ถ้าไตใหม่ทำงานไม่ดี ก็สามารถกลับมาทำการฟอกเลือดหรือล้างไตต่อไป แล้วยังมีโอกาสรอรับการปลูกถ่ายไตใหม่ได้อีกครั้งในอนาคต อย่างไรก็ตาม มีค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งในตอนที่ผ่าตัด และค่ายากดภูมิต้านทานทุกวันไปตลอดชีวิต เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่ ซึ่งแพงมากเช่นกัน

ติดตามตรวจไตวายเรื้อรังบ่อยไหม เป้าหมายอย่างไร?

ความถี่ในการติดตามโรคไตเรื้อรัง ขึ้นกับระยะของโรคดังนี้

เมื่อเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1 – 2 ควรได้รับการตรวจติดตามทุก 12 เดือน ( ทุก 6 เดือน ถ้าตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ) โรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ติดตามอย่างน้อยทุก 6 เดือน (ทุก 12 เดือน ถ้าระดับการทำงานของไตคงที่ ) โรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ขึ้นไป ที่จีเอฟอาร์เสื่อมลงเร็วกว่าปีละ 7 มล/นาที หากยังไม่ได้พบแพทย์เฉพาะทาง ก็ควรพบและรับการตรวจประเมินจากอายุรแพทย์โรคไตได้แล้ว

รับการตรวจประเมินจากอายุรแพทย์โรคไตได้แล้ว

โรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 4 ติดตามอย่างน้อยทุก 3 เดือน ( ทุก 6 เดือน ถ้าระดับการทำงานของไตคงที่ ) โรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 5 พบแพทย์โรคไต ( เนฟโรโลจิสต์ ) อย่างน้อง ทุก 3 เดือน เพื่อติดตามดูตัวชี้วัดต่างๆ แพทย์จะนัดสอบถามอาการ และตรวจร่างกาย ตามความจำเป็น ซึ่งสัมพันธ์กับการคงระดับ เป้าหมายตัวชีวัดสุขภาพ ให้อยู่ในเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1.เจาะเลือดดูค่าอัตราการกรองของไต ( จีเอฟอาร์ )
2.ตรวจดูโปรตีนในปัสสาวะ และระดับอัลบูมินในเลือด ( ซึ่งบ่งบอกภาวะทุพโภชนาการ ) ไม่ควรต่ำกว่า 3.5 กรัม%
3.ความดันเลือดต้องไม่เกิน 130/80 ( หลังฟอกเลือด ) หรือ 140/80 มิลลิเมตรปรอท ( ก่อนฟอกเลือด )
4.ไขมันเลว ( แอลดีแอล ) ในเลือดต้องต่ำกว่า 100 มก.% ถ้าไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจร่วม หรือต่ำกว่า 70 มก.% 5.ถ้ามีโรคหลอดเลือดหัวใจร่วมด้วย
6.ควรรักษาน้ำหนักตัว ให้ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18.5 – 23 หน่วย ( ดัชนีมวลกายคำนวณจากการเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้ง แล้วหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรสองครั้ง )
7.กรณีเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร ( FBS ) ควรอยู่ระหว่าง 90 – 130 หรือระดับน้ำตาลสะสม ( ฮีโมโกลบินเอวันซี / HbA1C ) น้อยกว่า 7.0%)
8.ระดับฮีโมโกลบิน ( ซึ่งบ่งบอกภาวะเลือดซีดจาง ) ไม่ควรต่ำกว่า 10 กรัม%

ผู้ป่วยที่ต้องบำบัดทดแทนไต มักจะมีอาการผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน อันเนื่องมาจากของเสียคั่ง หรือเรียกว่า ภาวะยูรีเมีย ซึ่งมีสารยูเรียที่ได้จากขบวนการสลายโปรตีน ยูเรียจะเปลี่ยนรูปเป็นแอมโมเนียซึ่งระเหยออกทางลมหายใจ

อาการผิดปกติในระยะนี้ คือ

เบื่ออาหาร สะอึก คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลในปาก ท้องเดิน
เกลือโซเดียมและน้ำคั่งมาก จนตัวบวม ความดันเลือดสูงที่ควบคุมได้ยาก และอาจมีน้ำท่วมปอด
ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายแอมโมเนีย
มึนงง สับสน พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผล จำวัน เวลาสถานที่ไม่ได้
อาการกระตุก ซึมหมดสติ และอาจมีอาการชัก
อาจมีหัวใจล้มเหลว ทำให้หอบ เหนื่อย แน่นหน้าอกนอนราบไม่ได้

ไตวายเฉียบพลัน อาจจะฟอกเลือดหรือล้างไต สัปดาห์ละ2-3 ครั้งนาน 1-2 สัปดาห์ ( แต่บางรายอาจนานถึง 6 เดือน ) ไตจะกลับมาทำงานตามปกติ ก็สามารถหยุดการฟอกได้ เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของไตของแต่ละคน

ผู้ป่วยที่ห้ามล้างไตหรือฟอกเลือด

ผู้ป่วยโรคไตวายเฉียบพลันที่พบร่วมกับโรคมะเร็งหรือโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย ความดันเลือดต่ำ และมีเลือดออก ( เช่น มีประจำเดือน เลือดออกในช่องท้อง )

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง 

เอกสารอ้างอิง

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07

National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (2011).

การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา และปลูกถ่ายไต

0
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา และปลูกถ่ายไต
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา ปลูกถ่ายไต ปัจจุบันผู้ป่วยไตวายที่ถือบัตรทอง สามารถรับบริการล้างไตทางหน้าท้องได้ฟรี ผู้ป่วยรายใหม่ ไม่เกิน 15000 บาทต่อเดือน
การใช้สิทธิ์บำบัดทดแทนไตค่ายา และปลูกถ่ายไต
การใช้สิทธิบำบัดทดแทนไตค่ายา ปลูกถ่ายไต ปัจจุบันผู้ป่วยไตวายที่ถือบัตรทอง สามารถรับบริการล้างไตทางหน้าท้องได้ฟรี ผู้ป่วยรายใหม่ ไม่เกิน 15000 บาทต่อเดือน

ประกันสุขภาพ

พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 กำหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ โดยจัดตั้งกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สนันสนุนและส่งเสริมการตัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ ส่งเสริมให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นสิทธิตามกฎหมายที่รัฐบาลจัดให้คนไทยทุกคนตั้งแต่แรกเกิดและตลอดชีวิต หรือที่เรียกว่าสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิ 30 บาท

ข้าราชการใช้สิทธิเบิกได้ตามระเบียบข้าราชการ ส่วนคนที่ใช้บัตรทอง หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้รับสิทธ์ในการล้างไตทางหน้าท้อง รวมทั้งการผ่าตัดปลูกถ่ายไต แต่ถ้าต้องการฟอกเลือดจะเบิกไม่ได้ ต้องจ่ายเอง หากเป็นผู้ประกันตน สามารถเบิกได้ทั้งการฟอกเลือด การล้างไตทางหน้าท้อง และการปลูกถ่ายไต

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือ

1. เป็นบุคคลที่มีสัญชาตไทย
2. มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
3. ไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ ได้แก่ ประกันสังคม สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ หรือสวัสดิการรักษาพยาบาลของหน่วยงานอื่นๆ

สามารถตรวจสิทธิและการลงทะเบียนปรักันสุขภาพภาครัฐตามกฎหมาย
1. ติดต่อด้วยตนเอง ในวันเวลาราชการ
2. สายด่วน สปสช. โทร. 1330 กด2 ตามด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก กด # กดโทรออก
3. ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต www.nhso.go.th หรือ app สปสช. หรือ http://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

บัตรทอง / บัตรประกันสุขภาพ ( ใช้สิทธิกับ รพ.ที่เข้าร่วม )

กรณีปลูกถ่ายไต

1.1 ช่วงเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เบิกเหมาจ่าย (ได้ใกล้เคียงกับประกันสังคม)

กรณีผู้ให้ไตถือบัตรทอง ส่วนผู้รับไตที่เป็นญาตินั้นมีสิทธิประกันสังคมผู้ให้ไตจะได้รับคุ้มครองจากสิทธิประกันสังคม คือ เบิกค่าผ่าตัดไต ค่าตรวจเนื้อเยื่อ ตรวจโรค ในราคาเหมาจ่าย ได้ 40,000 บาทต่อราย

1.2 ช่วงผ่าตัดปลูกถ่ายไต เหมาจ่าย

1.3 หลังผ่าตัดปลูกถ่ายไต ค่าใช้จ่าย ครอบคลุมการตรวจรักษา ยากดภูมิคุ้มกัน ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เหมาจ่ายตามระยะเวลา

ปีที่ 1 เดือน  1-6    30,000 บาท
เดือน 7-12           25,000 บาท
ปีที่ 2                  20,000 บาท
ปีที่ 3                  15,000 บาท

กรณีล้างไตทางช่องท้อง

ปัจจุบันผู้ป่วยไตวายที่ถือบัตรทอง สามารถรับบริการล้างไตทาง

หน้าท้องได้ฟรี ผู้ป่วยรายใหม่ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน

แต่ไม่อาจเบิกค่าใช้จ่ายในการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้ ถ้าอยากฟอกเลือดเองโดยไม่มีข้อบ่งชี้ว่าต้องฟอกเลือด จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

กรณีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

ได้เฉพาะผู้ป่วยรายเก่าที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมก่อน 1 ตุลาคม 2551 จ่ายให้ 2 ใน 3 ของค่าบริการไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง คือ ผู้ป่วยร่วมจ่ายด้วย 500 บาทต่อครั้ง
ผู้ป่วยหลัง 1 ต.ค.51 ให้สิทธิ์ฟอกเลือกกับผู้ป่วยบัตรทองที่มีข้อห้ามล้างไตทางช่องท้องเท่านั้น โดยจ่ายรัฐค่าฟอกเลือดให้ 1,500-1,700 บาท/ครั้ง

ขั้นตอนรับบริการล้างไต ของผู้มีสิทธิบัตรทอง

ผู้ป่วยยื่นบัตรทอง พร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน แจ้งความจำนงที่โรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง
รายชื่อของผู้ป่วยจะถูกส่งไปยังคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด
ผู้ป่วยที่ได้รับการอนุมัติ จะได้รับการลงทะเบียน และได้รับการแจ้งกลับจากโรงพยาบาล

ค่ายา จ่ายให้ผู้ประกันตน บัตรทอง ข้าราชการ ตามระดับความเข้มขนของเลือดในแต่ละเดือน ดังต่อไปนี้

ความเข้มข้นของเลือด ( ฮีมาโตคริต ) เท่ากับหรือต่ำกว่า 36% จ่ายไม่เกินสัปดาห์ละ 1,125 บาท
ความเข้มข้นของเลือด ( ฮีมาโตคริต ) สูงกว่า 36%-39% จ่ายเท่าที่จ่ายจริง เข็มละ 50 บาทต่อครั้ง ไม่เกินสัปดาห์ละ 750 บาท
หากฮีมาโตคริตสูงกว่า 39% ไม่มีสิทธิเบิกค่ายานี้
สำนักงานประกันสังคม ( ใช้สิทธิกับ รพ.ที่เข้าร่วม )

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องได้รับอนุมัติให้มีสิทธิก่อนการปลูกถ่ายไต และจะต้องปลูกถ่ายไต ณ สถานพยาบาลที่ทำข้อตกลงกับสำนักงานประกันสังคม

กรณีปลูกถ่ายไต

ค่าเตรียมผู้บริจาคในอัตราไม่เกิน 40,000 บาทต่อราย
ค่าเตรียมผู้รับบริจาคไม่เกินอัตรา 40,000 บาทต่อราย
ค่าตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือน ครั้งละ 1,800 บาท
ช่วงผ่าตัดปลูกถ่ายไต ในภาวะปกติในอัตราไม่เกิน 292,000 บาทต่อราย
หลังผ่าตัดปลูกถ่ายไต ดังนี้

ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 เดือนละ 30,000 บาท
ปีที่ 1 เดือนที่ 7-12 เดือนละ 25,000 บาท
ปีที่ 2 เดือนละ 20,000 บาท
ปีที่ 3 เดือนละ 15,000 บาท
  • หากมีภาวะแทรกซ้อน จ่ายอัตราไม่เกิน 493,000 บาทต่อรายโดยครอบคลุมผู้ประกันตนและผู้บริจาคไต เป็นเวลา 60 วัน นับจากวันปลูกถ่ายไต
  • รักษาภาวะสลัดไตอย่างเฉียบพลัน เป็นเวลา 2 ปีนับจากวันปลูกถ่ายไต

การล้างไตทางช่องท้อง

ค่าตรวจรักษาและค่าน้ำยาล้างช่องท้อง ในอัตราไม่เกิน 20,000 บาท
ค่าวางท่อรับส่งน้ำยาเข้าออกช่องท้อง ในอัตราไม่เกิน 20,000 บาท ต่อ 2 ปี
ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนการเป็นผู้ประกันตน จะมีสิทธิ์ดังนี้
3.1 กรณีล้างไตทางช่องท้อง ค่าวางท่อรับส่งน้ำยาเข้าออกช่องท้องพร้อมอุปกรณ์ และค่ายาฉีดเพิ่มเม็ดเลือดแดง ตามหลักเกณฑ์

3.2 กรณีล้างไตทางช่องท้อง ล้มเหลว ให้สิทธิเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้ ไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง และไม่เกิน 3,000 บาทต่อสัปดาห์

3.3 ค่าเตรียมเส้นเลือด และค่ายาฉีดเพิ่มเม็ดเลือดแดง จะได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

ถ้าฟอกเลือดหลังเป็นผู้ประกันตน เบิกได้ 1,500 บาทต่อครั้ง ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ค่าบริการส่วนเกินต้องจ่ายเอง
ถ้าฟอกเลือดก่อนเป็นผู้ประกันตน เบิกได้ค่า 1,000 บาทต่อครั้ง ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ค่าบริการส่วนเกินต้องจ่ายเอง
ค่าเตรียมเส้นเลือดสำหรับการฟอกเลือด ในอัตรา 20,000 บาท/ราย/2 ปี ถ้ามีส่วนเกินก็ต้องจ่ายเอง

ขั้นตอนทำเรื่องเบิกของผู้ประกันตน

ผู้ประกันตน จะต้องยื่นเอกสารคำขอต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ที่ตนต้องการใช้สิทธ์ค่ารักษา ค่ายาอีโป้ การบำบัดทดแทนไต การปลูกถ่ายไต โดยใช้เอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

แบบคำขอรับค่าบำบัดทดแทนไต (สปส. 2-18)
สำเนาเวชระเบียนและผลตรวจบียูเอ็น และครีเอตินีน หรืออัตราการกรองของไต และขนาดของไต
หนังสือรับรองการเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จากอายุรแพทย์ผู้รักษา
รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 1 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
หนังสือรับรองการขอรับยาอิโป้ เฉพาะผู้ป่วยที่ขอรับยานี้
การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาอย่างถาวร ต้องได้รับการตรวจรักษาจากอายุรแพทย์ผู้รักษา ไม่น้อยกว่า เดือนละ 1 ครั้ง

สิทธิข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานท้องถิ่น

ใช้สิทธิ์ในการเบิกค่าปลูกถ่ายไตและการบำบัดทดแทนไตได้ตามสิทธิ์ ถ้าฟอกเลือดที่ศูนย์ไตเทียมเอกชน เบิกได้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน แล้วค่อยนำใบเสร็จมาทำเรื่องเบิกเงินทีหลัง

ค่าตรวจเลือดและเนื้อเยื่อประมาณ 15,000 บาท
ในกรณีที่ผู้บริจาคญาติที่มีชีวิต มีค่าตรวจประมาณ 20,000 บาท
ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต ค่าโรงพยาบาล ค่ายา
ประมาณ 200,000 บาท ในโรงพยาบาลของรัฐบาล
ประมาณ 300,000 บาท ในโรงพยาบาลของเอกชน
สอบถามรายละเอียดได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. คือ
www.sso.go.th   และ   www.nhso.go.th

โทรถามสายด่วนบัตรทอง 1330 หรือที่ สปสช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หรือดูเว็บไซต์ของชมรมโรคไต คือ www.thaikidneyclub.org
หรือดูเว็บไซต์กองทุนโรคไตวาย http://Kdf.nhso.go.th

สาเหตุของมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม และพันธุกรรม

0
โรคมะเร็งปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม
ผู้ที่มีพันธุกรรมดีอาจเป็นโรคมะเร็งได้ ถ้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม
โรคมะเร็งปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม
ผู้ที่มีพันธุกรรมดีอาจเป็นโรคมะเร็งได้ ถ้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม

สาเหตุของมะเร็ง

สาเหตุของโรคมะเร็ง หากจะกล่าวถึงสาเหตุได้ 2 ปัจจัยหลักๆ คือ ปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งในปี ค.ศ. 2008 ศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส ได้ศึกษาสาเหตุของโรคมะเร็งและรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยโรคมะเร็งจำนวนมากกว่า 100 ชิ้นจนได้ข้อสรุปว่า สาเหตุของโรคมะเร็งส่วนมากจะเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมากถึง 90 – 95%  และสาเหตุของโรคมะเร็งเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรมเพียงแค่ 5 -10 % เท่านั้น ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมยอดของผู้ป่วยโรคมะเร็งในปัจจุบันจึงมีมากมายและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าตกใจเช่นนี้

หากเมื่อเทียบกับข้อมูลในศตวรรษที่แล้ว สาเหตุของโรคมะเร็ง เกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากในอดีตเป็นอย่างมาก สาเหตุของโรคมะเร็งมาจากพฤติกรรมต่างๆมากมาย การกินอาการ การใช้ชีวิตประจำวัน  มักจะมีเรื่องของปริมาณสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ  และยังร่วมไปถึง การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้คนเรามีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับการที่มีสุขภาพแย่ลง เนื่องจากการเคลื่อนไหวหรือการออกกำลังกายที่น้อยลงตามไปด้วย

สาเหตุของมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต

สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตเป็นปัจจัยหลักสูงสุดที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในปัจจุบัน  โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จะมีอัตราสูงถึง ( 90-95% ) เลยทีเดียว หากมองให้ลึกลงไปอีก จะพบว่า สาเหตุของมะเร็ง มีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 คือ เรื่องของพฤติกรรมการบริโภคอาหารนั้นเอง ( 30-35% ) ส่วนปัจจัยที่รองลงมา คือเรื่องของบุหรี่ ( 25-30% ), การติดเชื้อเช่นไวรัส HPV และแบคทีเรีย Helicobacter Pylori ( 15-20% ), โรคอ้วน ( 10-20% ), และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ( 4-6% ) และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่นความเครียด มลพิษต่างๆ การอยู่กลางแดดจัด และการไม่ออกกำลังกาย ( 10-15% )

โดยจากการวิเคราะห์ พฤติกรรมการบริโภคอาหารพบว่ามีสารพิษต่างๆมากมาย ที่อาจเป็น สาเหตุของมะเร็ง จะปนเปื้อนมาในอาหารและก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้  เช่น สารไนเทรต ( Nitrate ) และสารไนโตรซามีน ( Nitrosamine ) ที่จะถูกนำไปใช้เป็นส่วนของวัตถุกันเสียในเนื้อสัตว์แปรรูปเช่นไส้กรอก กุนเชียง แหนม ของหมักดอง หรือการที่ได้รับสารจำพวกยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในพืชหรือผักผลไม้ต่างๆ หรือจะเป็นสารไดออกซิน ( Dioxin ) ที่ปนเปื้อนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์เช่น ฟาร์มเลี้ยงหมู ไก่ การผลิตน้ำนม เป็นต้น

สาเหตุของมะเร็ง ยังมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารสุ่มเสี่ยงทำให้มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากสูงเป็นอันดับหนึ่งถึง 75% เลยทีเดียว รองลงมาคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ในอัตรา 70% นอกจากนี้ก็จะเป็นมะเร็งอื่นๆ เช่น ตับอ่อน – 50% ถุงน้ำดี – 50% เต้านม – 50% เยื่อบุโพรงมดลูก – 50% กระเพาะอาหาร – 35% ปาก – 20% คอหอย – 20% กล่องเสียง – 20% หลอดอาหาร – 20% ปอด – 20% กระเพาะปัสสาวะ – 20% อื่นๆ – 10%

สาเหตุของมะเร็ง จากปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม

ปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรมเป็นในส่วนของกลุ่มน้อยที่มีอัตราแค่  ( 5-10% ) เท่านั้นและเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ดังนั้นผู้ที่มีเกิดมาในครอบครัวที่ได้รับการถ่ายทอดยีนในกลุ่มทำหน้าที่ควบคุมการเจริญของเซลล์มะเร็ง ( Tumor Suppressor Gene ) ที่ผิดปกติออกไปนั้น ก็อาจจะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้สูงได้มากกว่าผู้อื่น แต่ในที่นี้ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้รับปัจจัยทางพันธุกรรมมา จะต้องเป็นมะเร็งในทุกคน เพราะมีโอกาสที่ยีนผิดปกติเหล่านี้ จะไม่แสดงผลเสียใดๆ ต่อบุคคลนั้นออกมาก็ได้

สำหรับผู้ที่มีพันธุกรรมที่ดีในเรื่องของเซลล์มะเร็งก็สามารถเป็นโรคมะเร็งต่างๆได้เช่นกัน ถ้าใช้ชีวิตหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์และมีสารก่อมะเร็ง เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อเพิ่มโอกาสตรวจเจอมะเร็งในระยะต้นๆ  จะได้รักษาได้ทันเวลา ตามสถิติแล้วผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 1 มีโอกาสหายจากโรคสูงถึง 70-90% เลยทีเดียว

สาเหตุของโรคมะเร็ง ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งโดยส่วนใหญ่มาจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการบริโภคอาหาร การดื่มเหล้า การสูบบุรี่ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าสาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย ก็จะสามารถช่วยให้ป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Complementary and alternative therapies for cancer”. Oncologist  (1): 80–9.

“Cancer”. National Cancer Institute. 11 August 2016.

“Screening for Prostate Cancer”. U.S. Preventive Services Task Force. 2008. Archived from the original on 31 December 2010.

อาการมะเร็ง เบื้องต้น ฉบับล่าสุด 2020

0
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง
อาการของโรคมะเร็งจะแสดงออกมาจากกันตามตำแหน่งที่เกิดก้อนเนื้อ
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง
อาการของโรคมะเร็งจะแสดงออกมาจากกันตามตำแหน่งที่เกิดก้อนเนื้อ

อาการมะเร็ง

มะเร็ง ถือเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แต่มะเร็งนี้หากผู้ป่วยทราบว่าตัวเองเป็นและไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานก็อาจจะอันตรายจนถึงชีวิตได้ ซึ่งทั้งนี้มะเร็งก็เหมือนโรคอื่นๆ ที่จะแสดงอาการมะเร็งเบื้องต้นออกมาให้ได้รับรู้ หากเราเองรู้จักสังเกตอาการป่วยต่างๆที่เกิดขึ้น จากความผิดปกติในร่างกาย ก็จะ สามารถไปรักษานี้ได้ทันเวลาปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมากมีเทคนิคต่างๆที่ใช้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งได้หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้

การตรวจหามะเร็ง

1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือดปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ
2. การตรวจทางพยาธิวิทยาและเนื้อเยื่อ เช่น การขูดเซลล์จากเยื่อบุปากมดลูก เยื่อบุช่องปาก
3. การตรวจด้วยเครื่องมือเอ็กซเรย์ แมมโมแกรม อัลตร้าซาวด์ เช่นการเอกซเรย์ปอดการทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ที่เต้านม
4. การตรวจด้วยอุปกรณ์พิเศษ เช่น การส่องกล้องเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
5. การตรวจด้วยเครื่องมือ MRI, CT Scan, PET Scan เพื่อดูอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระดูกสันหลัง มดลูก กะโหลกศีรษะ ต่อมลูกหมาก เป็นต้น

อาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ ที่จะแสดงออกมาให้เห็นก็แตกต่างกันไป ซึ่งตัวของเราเองก็สามารถสังเกตอาการของมะเร็งได้ด้วยตัวเราเอง เช่น คลำพบก้อนเนื้อในเต้านม เป็นต้น

อาการมะเร็ง สังเกตได้ ดังนี้

1. อาการปวดท้อง มีความเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย เช่น อุจจาระเป็นสีดำ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย หรือปัสสาวะออกมาเป็นเลือด อาจเป็น อาการมะเร็ง ลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก
2. อาการปวดท้อง กลืนอาหารได้ลำบากมากขึ้น หรือมีอาการเสียดแน่นท้องเป็นเวลานาน อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้
3. มีอาการไอเรื้อรัง และมีเสียงแหบ อาการมะเร็งปอด
4. อาการมะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือตกขาวมีกลิ่นเหม็น
5. เป็นแผลเรื้อรัง รักษาไม่หาย
6. หูดหรือไฝตามร่างกายมีขนาดเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
7. อาการมะเร็งเต้านมมีก้อนเนื้อแปลกๆขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณเต้านม
8. อาการมะเร็งโพรงไซนัส มีเลือดกำเดาไหล หรือมีอาการหูอื้อบ่อยๆ
9. อาการมะเร็ง น้ำหนักตัวลดลงแบบไม่ทราบสาเหตุ

อาการมะเร็ง เบื้องต้น ฉบับล่าสุด 2019
อาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย อย่าคิดแค่ว่าเป็นการเจ็บป่วยธรรมดาเท่านั้น

อาการเบื้องต้นที่มักพบในผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง

1. มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย หากคุณเริ่มรู้สึกว่าตนเอง มีอาการท้องผูกแบบเรื้อรัง มีอุจาระเป็นสีดำ มีปัสสาวะเป็นเลือดปนออกมา หรืออาหารไม่ย่อยบ่อยๆ คุณควรจะรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวที่ แสดงออกมา เป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจจะเป็นโรคมะเร็งสำไส้ใหญ่ มะเร็งในไต มะเร็งในกระเพราะปัสสาวะ หรือ มะเร็งต่อมลูกหมากได้นั้นเอง

2. แผลหายช้า หรือเรื้อรัง ลองสังเกตตัวเองว่า มีแผลในจุดใดของร่างกายหรือไม่ ที่เป็นนานกว่าปกติ ไม่หายสักที เช่นหากมีแผลที่ปาก แล้วไม่หายสักทีกินเวลานานเกิน 2 อาทิตย์แล้ว คุณเองอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ของการเป็นมะเร็งในช่องปาก หรือถ้าเป็นแผลเรื้อรังที่ผิวหนัง ก็อาจจะเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ ส่วนใครที่มีอาการปวดท้องบ่อยๆ ก็อาจจะมีแผลในกระเพาะ และมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

3. มีก้อนตุ่มขึ้นในส่วนต่างๆ ลองสำรวจร่างกายตัวเองว่า มีตุ่ม ก้อนเนื้อ ไฝ หูด อะไรแปลกๆขึ้นตามเนื้อตามตัวหรือไม่ เช่นในบริเวณคอ รักแร้ขาหนีบ เพราะอาจจะเป็น สัญญาณเตือนโรคมะเร็ง ต่อมน้ำเหลือง หรือหากพบว่าในช่องปาก มีตุ่มหรือก้อนอะไรขึ้นมาตาม โคนลิ้น เหงือก หรือกราม ก็อาจจะมีภาวะเสี่ยงของโรคมะเร็งในช่องปากได้

4. กลืนอาหารลำบาก มีอาการเสียดท้อง แน่นท้อง เป็นเวลานาน ถ้าคุณเองอยู่ดีๆแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีอาการกลืนอาหารได้ลำบากขึ้น กลืนแล้วติดๆขัด  แม้จะเป็นอาหารที่นิ่มๆ หรือย่อยง่ายๆก็ตาม ก็อาจจะเป็น สัญญาณเตือนโรคมะเร็ง ที่แจ้งว่าคุณกำลังเป็นมะเร็งในหลอดอาหารได้ หรือถ้ามีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือมีอาการทองอืด รู้สึกเสียดท้อง เป็นระยะเวลานานติดๆกัน  ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจจะเป็นอาการของโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

5. มีเลือดออกผิดปกติ จากทวารต่างๆ โดยปกติเลือดมักจะไม่ออกมาทางทวารต่างๆ  แต่ถ้าหากมีความปกติเกิดขึ้น เช่น มีอาการไอ แล้วมีเลือดออกตามมา อาการนี้เป็นการส่ง สัญญาณเตือนโรคมะเร็ง หรือ ถ้าตอนปัสสาวะหรืออุจจาระแล้วมีเลือดผสมออกมา คุณเองก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในระบบขับถ่ายได้  ส่วนคุณผู้หญิงถ้าอยู่ดีๆมีเลือกออกมาจากช่องคลอดโดยไร้สาเหตุ และก็ไม่ได้อยู่ในช่วงประจำเดือน  อาการแบบนี้คุณอาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ แต่ทั้งนี้หากพบความผิดปกติอะไร ควรไปพบแพทย์เป็นการด่วนจะดีที่สุด 

6. น้ำหนักลดลงโดยไร้สาเหตุ ปกติน้ำหนักของคนเรา มักจะไม่ลดลงแบบมากๆที่ละหลายๆกิโลกรัม  แบบไร้สาเหตุ นอกจากว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ หรือมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น  ดังนั้นหากใครที่มีอาการน้ำหนักลดลงแบบไม่มีเหตุผล ต่อเนื่องมากกว่า 5 กิโลกรัมติดต่อกัน ทั้งๆที่กินเท่าเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ควรรีบไปพบแพทย์ให้ตรวจโดยด่วน เพราะ อาการแบบนี้เป็นการส่ง สัญญาณเตือนมะเร็ง อันดับต้นๆของโรคมะเร็งหลายชนิดเลยทีเดียว เช่น มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งกระเพราะอาหาร เป็นต้น

7. เสียงแหบ ไอ และเจ็บคอเรื้อรัง บางคนที่มีอาการ ไอ มีเสียงแหบ หรือเจ็บคอ อาจจะเข้าใจและคิดไปเองว่า ตนเองคงเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา ไปซื้อยากินแล้วพักผ่อน เดี่ยวก็คงหายเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื้อรังมาหลายๆวันแล้ว ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น  ตัวคุณเองอาจจะไม่ได้เป็นไข้หวัดแบบที่เข้าใจแล้ว เพราะอาการแบบนี้ อาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนว่า คุณเองมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปอด หรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก็เป็นได้ ควรไปพบแพทย์ตรวจให้แน่ใจจะดีที่สุด

สัญญาณเตือนของมะเร็งชนิดต่าง ๆ

1. อาการของมะเร็งเต้านม

ลองสำรวจตนเองง่ายๆ โดยเอามือคลำไปที่เต้านม บริเวณรักแร้ หากพบก้อนเนื้ออะไร หรือคลำแล้วรู้สึกเจ็บ มีขนาดของทรงเต้านมเปลี่ยนไปจากเดิม หัวนมบอด มีเลือดหรือของเหลวไหลมาจากเต้านม หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที

2. อาการของมะเร็งปากมดลูก

อาการที่จะเจอคือ ประจำเดือนมาไม่ปกติในลักษณะมากหรือน้อยเกินไป มีเลือดไหลจากช่องคลอดในเวลาที่ไม่มีประจำเดือนหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีอาการปวดช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็นเป็นสีน้ำตาล

3. อาการของมะเร็งรังไข่

เป็นมะเร็งชนิดที่ตรวจสอบด้วยตนเองได้ค่อนข้างยาก เพราะไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองที่ชัดเจนเหมือนมะเร็งปากมดลูก โดยอาการเบื้องต้นทั่วไปจะคล้ายกับโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก จุกเสียด ปวดหน่วงๆบริเวณท้องน้อยซ้ายหรือขวา หรือคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณท้องน้อย ผู้ป่วยบางคนมีอาการคล้ายมะเร็งปากมดลูก ประจำเดือนมาผิดปกติ มีเลือดออกทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ดังนั้นทำให้ผู้ป่วยโรคนี้จะรู้ตนเองว่าเป็นก็อยู่ในช่วงอาการหนักแล้ว ถือว่าเป็น มะเร็งเงียบชนิดหนึ่ง ทางทีดีควรปรึกษาแพทย์ขอตรวจอัลตร้าซาวด์ผ่านช่องคลอดเพื่อดูรูปร่างและขนาดของรังไข่ จะดีที่สุด 

4. อาการของมะเร็งตับ

อาการเบื้องต้นที่จะเจอคือ มีอาการตัวเหลือง ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ปวดท้องบริเวณข้างขวาและส่วนบนและอาจปวดร้าวไปที่หลังหรือไหล่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดเร็วอย่างสาเหตุ หรือตับโตขึ้นจนท้องเปลี่ยนรูปร่างไป

5. อาการของมะเร็งปอด

ผู้ป่วยมักจะมีอาการเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น หายใจมีเสียงหวีดๆ หายใจสั้นๆถี่ๆ รู้สึกเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ไอบ่อยๆและมีเลือดออกมา น้ำหนักลดลงอย่างเร็ว และมีเสียงแหบ

6. อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร

อาการเบื้องต้นที่จะเจอ คือ รู้สึกเบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอืด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน มีเลือดปนออกมาจากการไอหรือในอุจจาระ และน้ำหนักลดอย่างไร้สาเหตุ

7. อาการของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการเบื้องต้นที่จะเจอคือกระเพาะปัสสาวะอักเสบปัสสาวะติดขัดและปวดแสบหลังจากปัสสาวะแล้วบางครั้งมีเลือดปนออกมา ร่างกายอ่อนเพลียปวดหลังตอนล่างตัวซีด

8. อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก

มะเร็งลำไส้ ชนิดนี้จะพบมากกับผู้สูงอายุ ที่มีอายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป อาการที่จะพบคือ มีความผิดปกติทางระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ปวดหน่วงๆที่บริเวณลำไส้ฝั่งที่เป็นมะเร็ง มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน เบื่ออาหาร ส่วนอาการในมะเร็งทวารหนัก จะมีอาการปวดท้องรุนแรง อุจจาระมีเลือดปนรู้สึกเหมือนถ่ายอุจจาระไม่สุด

9. อาการของมะเร็งต่อมลูกหมาก

ผู้ป่วยที่เป็นจะมีอาการ ปัสสาวะติดขัดปัสสาวะไม่พุ่งแรงมีเลือดปนในปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวยากและรู้สึกเจ็บตอนหลั่งน้ำอสุจิหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว

10. อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia )

จะพบมากสำหรับผู้ที่มีอายุน้อยเรียกอีกอย่างว่า ลูคิวเมีย ( Leukemia ) โดยจะมีอาการเบื้องต้นคือ เลือกออกหรือฟกช้ำง่าย เนื้อตัวเป็นจ้ำๆมีเลือกอกตามไรฟัน ประจำเดือนมามากผิดปกติเลือดจาง ตัวซีด เป็นไข้ เหนื่อยง่ายน้ำนักลดแบบไร้สาเหตุติดเชื้อและอักเสบได้ง่าย

11. อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma )

จะมีก้อนเนื้อแปลกๆ ขึ้นตามร่างกาย เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือบริเวณคอ โดยก้อนเนื้อที่ขึ้นอาจจะไม่เจ็บแต่จะมีอาการโตผิดปกติ มีเหงื่ออกในตอนกลางคืน เบื่ออาหาร มีไข้ต่อมทอนซิลโตขึ้น

12. อาการของมะเร็งสมอง

อาการป่วยเบื้องต้นคือ มีอาการปวดศรีษะจนบางครั้งไม่สามารถนอนได้ คลื่นไส้อาเจียน มีปัญหาทางด้านการมองเห็น ตาพร่า มีอาการชาที่แขนขา หรือ ปลายนิ้ว การพูดสื่อสารการรับรู้ ไม่เหมือนเดิมสูญเสียการทรงตัว มีอาการชาที่ใบหน้า

13. อาการของมะเร็งในช่องปาก

จะมีอาการของมะเร็งช่องปากที่มักแสดงออกมาคือ มีแผลเปื่อยบริเวณปาก มีก้อนเนื้อบวมขึ้นอยู่ในช่องปากและลำคอ เสียงแหบแห้ง รู้สึกเจ็บหรือมีความลำบากในการกลืนอาหาร การเคี้ยวอาหาร หรือการพูด ต่อมในลำคอขยายตัวโตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้  

มะเร็ง ถึงแม้จะเป็นโรคร้ายและน่ากลัวเพียงใด แต่ถ้าหากเราเองรู้จักสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเรา หากพบความผิดปกติอะไร ตามข้อมูลมะเร็ง ที่กล่าวไปข้างต้น ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อที่จะสามารถรักษาได้ทันเวลา หรือในทางที่ดี ควรหาเวลาไปตรวจสุขภาพตนเองอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะหากป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคอะไรก็แล้วแต่ จะทำให้สามารถรักษาได้ง่าย ดีกว่าปล่อยให้โรคนั้นๆเป็นมากหรือมีอาการหนักแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหากถึงเวลานั้นจะสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

14. อาการของมะเร็งผิวหนัง

ผู้ที่ป่วยอาการมะเร็งผิวหนังมักมีอาการ เป็นแผล มีตุ่ม หรือก้อนเนื้อ หรือแผลเปื่อยพุพอง เกิดขึ้นตามผิวหนัง สามารถพบได้ในทุกบริเวณของร่างกาย อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนมา ( Melanoma ) หรือเนื้องอกอันประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่าง หรือไฝ ยิ่งกับคนที่มีไฝเกินกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมาก่อน จะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆมากขึ้นไปด้วย

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง

ในแต่ละปีมะเร็งมีจำนวนของผู้ป่วยและเสียชีวิต เพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี ทั้งนี้ก็มีคาดการณ์จากองค์การอนามัยโลก ( WHO ) ว่าจะมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากถึง 11 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงและน่าตกใจเป็นอย่างมาก โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มของประเทศที่กำลังพัฒนามากกว่า 7 ล้านคน เนื่องจากในประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหลายๆอย่าง ทำให้เกิดผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งสูงกว่าในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกลุ่มประเทศที่ยังไม่พัฒนา

ในปัจจุบันสภาพแวดล้อต่างๆ ล้วนแต่เป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้เป็นโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น เช่น สภาพสังคมที่กำลังเจริญเติบโต ปัญหามลพิษของการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ การคมนาคมที่จำนวนรถมากขึ้นในทุกๆวัน นอกจากนี้ก็จะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การทานอาหารที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นการควบคุมและปรับพฤติกรรมตนเองให้ไกลจากความเสี่ยงของโรคมะเร็ง จึงมีความสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้นั้นเอง

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเราซึ่งเป็นเจ้าของร่างกาย ดังนั้นหากพบว่าตนเองมีอาการมะเร็งที่แสดงออกทางกาย หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่ผิดปกติไปจากเดิม โดยหากตรงกับข้อมูลอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์ตรวจและวินิจฉัย เพราะหากพบเชื้อมะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถรักษาให้กลับมาหายได้ดังปกติ แต่หากปล่อยไว้ ละเลยไม่สนใจ อาการมะเร็งที่เป็นมากขึ้น หรือเข้าสู่มะเร็งระยะท้ายๆแล้ว จะสามารถรักษาได้ยากกว่า หรือบางครั้ง หากเลวร้ายในที่สุดก็อาจจะไม่มีทางรักษาให้หายเลยก็เป็นได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Cancer mortality and morbidity patterns in the U. S. population: an interdisciplinary approach. Berlin: Springer. ISBN 0-387-78192-7.

“Breast cancer”. Am D Health Syst Pharm  (15): 2472–9.

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง

0
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
การเลือกทานอาหารของผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมาก ต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์และเน้นกรดอะมิโนเป็นสำคัญ
อาหารผู้ป่วยมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องได้รับสารอาหารจำพวก โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มากกว่าคนร่างกายปกติ เพื่อที่จะนำสารอาหารไปช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ต่างๆของร่างกายที่ถูกมะเร็งทำลาย

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง

อาหารเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง อาหารช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น โดยควรทานอาหารให้ได้สารอาหารเพียงพอและเหมาะสม ก่อน ระหว่างและหลังการรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ลดอาการแทรกซ้อน และมีความรู้สึกดีขึ้นมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคได้ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีญาติหรือคนใกล้ชิดที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่ตอนนี้ ควรศึกษาเรื่องของอาหารที่จะต้องกินเข้าไปในแต่ละวันสำหรับผู้ป่วย ซึ่งผู้ดูแลต้องออกแบบเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งต้องมีการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนั้นต้องมีอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาวิธีนั้น ๆ เช่น เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะการให้เคมีบำบัด เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะการผ่าตัด เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะฉายรังสี หรือเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งการให้ฮอร์โมนบำบัด ดั้งนั้นอาหารที่ต้องทานเข้าไปในแต่ละวันจึงมีความแตกต่างกับคนที่ร่างคนร่างกายปกติ เพราะ ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องได้รับสารอาหารหลักจำพวก โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มากกว่าคนร่างกายแข็งแรงปกติ เพื่อที่จะนำสารอาหารเหล่านี้ไปช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟู เซลล์ต่างๆของร่างกายที่ถูกมะเร็งทำลายไป และเพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง พร้อมสำหรับการรักษาในขั้นตอนต่อๆไปของแพทย์

เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งจะต้องได้รับ อาหารผู้ป่วยมะเร็ง ที่ต้องถูกต้อง ต้องดูแลและเอาใจใส่เรื่องการทานอาหารเป็นพิเศษ หากยังไม่รู้ว่าต้องทำหรือปฏิบัติตัวในการทานอาหารอย่างไร ให้ทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็ง ต้องมีการเข้ารับการรักษาวิธีต่างๆ เช่น การให้เคมีบำบัด การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ฮอร์โมนบำบัด

ดังนั้นอาหารที่ต้องทานเข้าไปในแต่ละวันจึงมีความแตกต่างกับคนร่างกายปกติ เพราะผู้ป่วยโรคมะเร็งจะต้องได้รับสารอาหารหลักจำพวก โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มากกว่าคนร่างกายแข็งแรงปกติ เพื่อที่จะนำสารอาหารเหล่านี้ไปช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟู เซลล์ต่างๆของร่างกายที่ถูกมะเร็งทำลายไป และเพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง พร้อมสำหรับการรักษาในขั้นตอนต่อๆไปของแพทย์

ทั้งนี้ปัญหาที่จะเจอบ่อยๆสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ทำการรักษาด้วยวิธีให้เคมีบำบัด หรือ การฉายรังสี คือการพบว่าผู้ป่วยมีปริมาณเม็ดเลือดต่ำ  ร่างกายอ่อนแอ น้ำหนักลดลงต่อเนื่อง จนทำให้ต้องหยุดระงับการรักษาไว้ชั่วคราวเพื่อให้ผู้ป่วยแข็งแรงดีขึ้นก่อนจึงทำการรักษาต่อไปได้ ซึ่งค่อนข้างเป็นอันตรายมาก เพราะการรอเวลาให้ผู้ป่วยแข็งแรง อีกด้านหนึ่งมะเร็งก็ยังรุกลามต่อไปแบบไม่หยุดเรื่อยๆ

การเลือกทานอาหารของผู้ป่วยจึงมีความสำคัญมาก ผู้ป่วยต้องเลือกทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ โดยเน้นสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น กรดอะมิโน

อาหารผู้ป่วยมะเร็ง จำเป็นต้องมีกรดอะมิโนที่เป็นสารตั้งต้นของโปรตีนสารอาหารที่สำคัญที่ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องได้รับ เพื่อไปช่วยบำรุง เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด เอ็นไซม์ เป็นต้น ซึ่งก็มักมีความเชื่อผิดๆกันว่า หากป่วยเป็นมะเร็งไม่ควรทานอาหารกลุ่มโปรตีน เพื่อที่จะได้ทำให้เซลล์มะเร็งขาดสารอาหารและตายไป  ซึ่งไม่เป็นความจริง ผู้ป่วยมะเร็งควรทานเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตามระยะอย่างเหมาะสม เช่น โปรตีนและทานให้มากกว่าคนปกติ เพื่อให้ไปเสริมความแข็งแรงของเซลล์ปกติ เช่น เม็ดเลือด กล้ามเนื้อ ให้ได้ทำงานเต็ม ประสิทธิภาพ ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง

อาหารผู้ป่วยโรคมะเร็งประเภทโปรตีน

อาหารผู้ป่วยโรคมะเร็งจากโปรตีนคุณภาพสูงที่สำคัญต่อร่างกายที่นิยมให้ผู้ป่วยทานคือ

1. อัลบูมิน ( Albumin ) เป็นโปรตีนที่สกัดมาจากไข่ขาว เป็นส่วนประกอบกว่า 50 % ของโปรตีนที่พบในเลือด ถูกสร้างจากกรดอะมิโนที่ตับ มีหน้าที่ซ่อมแซมและสร้างความแข็งแรงและภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายหากร่างกายมีระดับของอัลบูมินในเลือกต่ำกว่าปกติ จะเพิ่มความเสี่ยงของอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ และจะยิ่งส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก

2. ซอยย์ โปรตีนที่มาจากพืชตระกูลถั่ว มีไขมันต่ำ มีสารสารไฟโตสเตอรอล ( Phytosterol ) และซาโพนิน ( Saponins ) ที่ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) และทำให้ร่างกายมีความสดชื่น

3. เวย์ หลายคนรู้จักกันดี โดยเฉพาะกลุ่มของนักกีฬาและนักเพาะกล้าม เป็นโปรตีนสกัดจากนม จะสกัดส่วนที่เป็นคาร์โบไฮเดรตและไขมันออกให้เหลือส่วนที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์และนำไปทำให้อยู่ในรูปของผง เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เร็ว และยังไปช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย เนื่องจากมีสาร BCAAs ( Branched Chain Amino Acids ) หรือ กลุ่มของกรดอะมิโน นั่นเอง

การทานโปรตีนให้เกิดประโยชน์กับร่างกายสูงสุด ต้องทานคู่กับวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อที่จะไปช่วยสร้าง เม็ดเลือดและ ฮีโมโกบินช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และยังทำให้ฮอร์โมนและเอ็นไซน์ ต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

อาหารที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรรับประทาน

1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยเน้นอาหารปรุงสุก สดใหม่และสะอาด

2. อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้ต่างๆ ข้าวไม่ขัดสีเป็นต้น เนื่องจากจะช่วยให้ระบบขับถ่ายในร่างกายของผู้ป่วยทำงานได้ดี

3. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ผู้ป่วยควรทานน้ำเปล่าให้มากเพียงพอในแต่ละวันอย่างน้อย 8 – 10 แก้ว

ตารางการดูแลอาหารให้ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อลดอาการข้างเคียง มีดังนี้

อาการผู้ป่วยมะเร็ง ข้อควรปฏิบัติในการดูแลอาหารสำหรับผู้ป่วย
อ่อนเพลีย • แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ เป็นอาหารอ่อนใช้การเคี้ยวน้อยที่สุด
• ให้พักผ่อนมากๆ โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหาร
เบื่ออาหาร • แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ เพิ่มมื้ออาหารบ่อยขึ้น
• เลือกอาหารที่ให้พลังงานและโปรตีนสูง หรืออาหารทางการแพทย์ที่มีโปรตีนสูง
คลื่นไส้ • อาหารเย็นและอาหารแห้ง เช่น แครกเกอร์ น้ำแข็ง โยเกิร์ต ผลไม้ลอยแก้ว ช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้
• อมน้ำแข็ง หรือจิบเครื่องดื่มที่ผสมโซดา
• เลี่ยงอาหารที่มีรสจัด
ประสาทการรับรสเสียไป • จัดอาหารให้มีสีและกลิ่นน่าทาน เสิร์ฟอาหารขณะอุ่นหรือร้อนเพื่อช่วยให้กลิ่นและรสชาติดีขึ้น
• เลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อแดง ชา กาแฟ
• ให้ผู้ป่วยทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาวเพื่อกระตุ้นการรับรส
เหม็นหรือแพ้อาหาร และไม่ชอบรสอาหารที่เคยชอบ • ใช้เครื่องเทศช่วยในการปรุงรสอาหาร และเลือกอาการที่มีสังกะสีสูง
อิ่มไวขึ้น • ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารอาหารครบถ้วน สูตรโปรตีนสูง ดื่มระหว่างมื้อ
• แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ เพิ่มมื้ออาหารบ่อยขึ้น
• เลี่ยงอาหารย่อยยากจำพวกอาหารทอด หรือมัน

อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรกิน คือ

1. อาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร เช่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม เป็นต้น เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และหากทานมากๆยังจะนำไปสู่โรคอื่นๆได้อีกด้วย

2. อาหารที่ไม่สะอาด หรือปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ  เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและตัวพยาธิต่างๆ

3. อาหารหมักดองด้วยดินประสิว เช่น แหนม ไส้กรอก เป็นต้น

4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลังต่าง ผู้ป่วยควรงดและเลี่ยงจะดีที่สุด โดยให้เน้นดื่มน้ำเปล่าทดแทน การทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์สำคัญมากต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง แม้อาหารจะไม่ใช่สิ่งที่ไปรักษาโรคมะเร็งโดยตรง แต่การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จะส่งผลในทางอ้อมแทน โดยจะไปช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความแข็งแรง มีพละกำลังที่พร้อมจะสู้ต่อกับโรคร้ายที่เกิดขึ้นนี้ในวันต่อๆไป

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Food for cancer”. cancer.gov. National Cancer Institute. March, 2015.

“Food Cancer”. National Cancer Institute. 10 June 2014.

อาหารต้านมะเร็ง เลือกกินอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง

0
กินอย่างไรห่างไกลมะเร็ง
การได้รับอาหารที่ดีจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมีกำลังต่อสู้กับมะเร็ง
กินอย่างไรห่างไกลโรคมะเร็ง
อาหารป้องกันมะเร็งได้จากการได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมีกำลังต่อสู้กับมะเร็ง

อาหารต้านมะเร็ง

การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นมะเร็ง อาหารจึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับป้องกันมะเร็ง ซึ่งพฤติกรรมการกินอาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ ทุกวันนี้คนเรามักจะเน้นการกินอาหาร ที่หาทานง่าย สะดวกรวดเร็ว มากกว่าเรื่องของโภชนาการอาหารที่ดี ซึ่งหากยังทำซ้ำๆเดิมๆ แบบนี้ต่อไป ก็อาจจะมีผลเสียและสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในอนาคตได้  ดังนั้นควรเลือกกินอาหาร ต้าน มะเร็ง และอาหาร ป้องกัน มะเร็ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ควรมีการเลือกทานอาหารที่ดี และช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็งสำหรับผู้ที่ยังมีร่างกายแข็งแรงปกติดี ควรเลือกทานอาหารแบบวิธีลด ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

การเลือกกินอาหารต้านมะเร็ง มีหลักการ ดังนี้

1. เลือกแหล่งโปรตีนที่มีประโยชน์ โดยเน้นการกินโปรตีนจากถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์แบบไร้หนังสีขาว เช่น เนื้อปลาและเนื้อไก่ แทนการกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่เป็นสีแดงสด อย่างเนื้อหมูและเนื้อวัว
2. เน้นกินผักและผลไม้ ผักและผลไม้นอกจากจะอุดมไปด้วยประโยชน์แล้ว ยังมีผักและผลไม้บางชนิด คือ อาหาร ป้องกัน มะเร็ง ที่มีสารช่วยต้านมะเร็ง เช่น ผักจำพวกหัวกะหล่ำ บร็อคโคลี่ ซึ่งผักเหล่านี้ มีสารอินโดลที่มีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็งได้หรือจะเป็นพืชพวกตระกูลเห็ด อย่าง เห็ดชิตาเกะ เห็ดไรชิ เห็ดไมตาเกะ ที่มีสาร ต้านมะเร็ง สูงมากเช่นกันและยังรวมไปถึงพืชตระกูลถั่วหรือเมล็ดพืชที่มีเปลือก ที่มีสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
3. เลือกกินแป้งชนิดที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวแบบไม่ขัดสีข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีตและเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงด้วย
4. กิน อาหาร ป้องกัน มะเร็ง โดยเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น อาหารที่ปรุงด้วยวิธีการทอด และหากเป็นการทอดด้วยน้ำมันที่ไม่สะอาด มีสีดำเกิดจากการใช้ซ้ำ ยิ่งจะส่งผลเป็นตัวกระตุ้นในการเกิดโรคมะเร็งได้มากยิ่งขึ้นด้วย
5. เลี่ยงอาหารปิ้งย่างหรือไหมเกรียม สำหรับผู้ที่ชอบทานอาหารปิ้งย่าง ต้องระมัดระวังในการทานให้ดี ไม่ควรทานบ่อยๆ หรือไม่ทานชิ้นที่ไหม้และเกรียม
6. กินอาหาร ป้องกัน มะเร็งโดยเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงต่อการขึ้นราได้ง่าย เช่น ถั่วลิสง พริกป่นข้าวโพดอาหารกลุ่มนี้มักจะขึ้นราได้ง่ายและมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จึงควรระมัดระวังในการทานให้มาก
7. อาหารอื่นๆที่ควรเลี่ยง เช่น อาหารที่มีสีฉูดฉาดเกินจริง อาหารที่ปรุงไม่สุกอาหารที่ถนอมอาหารด้วยดินประสิวหรือรมควัน เป็นต้น

ผู้ป่วยมะเร็งอยู่แล้วก็ต้องมีการเลือกทานอาหาร ป้องกัน มะเร็ง เนื่องจากการได้รับอาหารที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงช่วยให้มีกำลังต่อสู่กับโรคมะเร็งต่อไป

การเลือกทานอาหารต้านมะเร็ง

1. ทานอาหารครบ 5 หมู่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องเลือก กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
2. ทานโปรตีนได้ปกติ ผู้ป่วยส่วนมากมักจะเข้าใจผิดว่าหากป่วยเป็น มะเร็ง ต้องงดการกินโปรตีนแต่ในความจริง สามารถทานได้ปกติแต่ต้องปรุงให้สุกและได้รับในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร

3. เลี่ยงผักหรือผลไม้ที่ต้องกินทั้งเปลือก เนื่องจากอาจมีการใช้ปุ๋ยคอกรดทำให้มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนได้ ถ้าหากต้องการทานจริง ๆ ต้องล้างให้สะอาดอีกรอบด้วยน้ำยาล้างผักหรือผลไม้
4. เตรียมของว่างไว้ใกล้ตัวให้พร้อม สำหรับข้อนี้ ผู้ป่วยมะเร็ง บางท่าน อาจจะมีอาการเบื่ออาหารหรือทานอาหารได้น้อย จึงควรมีการเตรียมอาหารว่างไว้ข้างๆ ให้พร้อมอยู่เสมอ โดยเน้นอาหารว่างที่ดีและมีประโยชน์ เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ เป็นต้นเพื่อที่หากผู้ป่วยหิวจะได้มีของทานเข้าไปทดแทนอาหารมื้อหลักจะช่วยให้ผู้ป่วยได้มีพลังงานมากขึ้น

แน่นอนว่า อาหาร ที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน ก็มีให้เลือกกินเลือกทานกันมากมาย แต่ก่อนจะกินอะไรเข้าไปก็แล้วแต่ ควรตะหนักไว้เสมอว่า อาหารที่เราทานนี้ จะส่งผลเสียต้อร่างกายเราในอนาคตหรือไม่ ควรรู้จักดูแลตนเองตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่ต้องไปเสียใจในอนาคต

อาหารต้านมะเร็ง เลือกกินอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง
การต่อต้านมะเร็งด้วยตนเองคือ หลีกเหลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบจำพวกอาหารปิ้งย่าง

หลักการบริโภคอาหารเพื่อป้องกัน และลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

การบริโภคอาหารสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ โดยยึดหลักองค์ประกอบ 12 ประการ โดยทั้ง 12 ประการแบ่งเป็น 5 ประการเพื่อการป้องกัน และ 7 ประการเพื่อลดความเสี่ยง ดังต่อไปนี้

1. อาหารต้านมะเร็งที่ดีควรรับประทานทานอาหารและผักที่มีกากใยสูง หรืออาหารที่มีไฟเบอร์สูง ได้แก่ ผลไม้ชนิดต่างๆ ธัญพืช รวมถึงผักต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บร็อคโคลี่ เป็นต้น เนื่องจากอาหารที่มีกากใยสูง จะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพราะอาหาร รวมถึงมะเร็งเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ได้อีกด้วย
2. รับประทานอาหารที่มี เบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เนื่องจากในสารเบต้าแคโรทีน เป็น อาหารต้านมะเร็ง  ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีสรรพคุณช่วยในการต้านสารอนุมูลอิสระ และพบว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร ได้อีกด้วย สำหรับอาหารที่สามารถพบสารเบต้าแคโรทีนได้มากคือ ผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป เป็นต้น และยังสามารถพบได้ใน ผักชนิดที่มีสีเขียว เช่น บร็อคโคลี ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น
3. อาหารต้านมะเร็งในรูปวิตามินซี รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง วิตามินซี พบได้ในอาหารต่างๆ เช่น ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว มะเขือเทศ และพบได้ในผักสด เช่น กะหล่ำ บร็อกโคลี่ เป็นต้น สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระหรือสารพิษส่วนเกินต่างๆในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายกลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง ดังนั้นจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารได้
4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและเลือกทานอาหารต้านมะเร็ง การปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนน้ำหนักมากเกิน จนกลายเป็นโรคอ้วน จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้ตนเองเป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานปกติ ควรบริโภคอาหารที่ดี มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม จะสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งเหล่านี้ได้
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง เป็นการช่วยป้องกันมะเร็งในทางอ้อม เนื่องจากเมื่อร่างกายแข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถป้องกันโรคภัยต่างๆได้รวมทั้งโรคมะเร็งนั้นเอง ดังนั้นควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน ครั้งละ 30 – 45 นาที

อาหารลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง7 ประการ

1. หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากอาหารที่มีไขมันสูง จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ หากทานในปริมาณมากและติดต่อกัน ก็อาจจะมีความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย ดังนั้นควรเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารจากการทอด กลุ่มอาหารฟาสต์ประเภทฟู้ดต่างๆ เป็นต้น

2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารอัลฟาทอกซิน สารอัลฟาทอกซิน เป็นเชื้อราชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในอาหารอย่างเช่น ถั่วลิสง พริกป่น ซึ่งอาหารกลุ่มนี้สามารถเกิดเชื้อราได้ง่าย ควรทานแบบระมัดระวังหรือควรนำไปผ่านความร้อนก่อนทานจะดีที่สุด สารอัลฟาทอกซินหากได้รับในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับได้   

3. หลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่มีสารก่อมะเร็ง ( อาหารดองเค็ม อาหารปิ้งย่าง รวมถึงอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือไนเตรท ) เนื่องจากอาหารในกลุ่มนี้จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็น โรคมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้

4. หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบเลือด ก้อยปลา ปลาจ่อม เป็นต้น การทานอาหารสุกดิบๆ แบบนี้ นอกจากจะเสียต่อการเกิดโรคท้องร่วง ท้องเสียแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีในตับ ได้อีกด้วย เพราะอาหารกลุ่มนี้มักจะมีพยาธิ จนอาจเกิดโรคพยาธิใบไม้ในตับได้ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคตั้งต้นของโรคมะเร็งตับนั้นเอง

5. งดการสูบบุหรี่ เนื่องจากในบุหรี่มีสารประกอบหลายชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง หากสูบบุหรี่หรือได้รับควันพิษในปริมาณมากเป็นเวลานาน ก็จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด และมะเร็งกล่องเสียงได้ นอกจากนี้ การเคี้ยวยาสูบ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ อีกด้วย

6. งดการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์ไปทำให้เกิดโรคตับแข็ง ซึ่งในระยะยาวสามารถพัฒนาต่อไปเป็นมะเร็งตับได้ นอกจากนี้หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมกับการสูบบุหรี่ในปริมาณมาก ก็จะยิ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งชนิดต่างๆได้มากยิ่งขึ้น เช่น มะเร็งช่องปาก และช่องคอ

7. เลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน เนื่องจากการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสัมผัสแสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลต โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหรือชอบออกกำลังกายกายแจ้งบ่อยๆ ซึ่งรังสีชนิดนี้หากได้รับมากๆ ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นจึงไม่ควรตากแสงแดดนานๆ โดยปราศจากการป้องกันอย่างเช่น หมวก แว่นตา เสื้อคลุม เป็นต้น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Food Cancer”. National Cancer Institute. 10 June 2014.

Haefliger, Denise Nardelli; Moskaitis, John E.; Schoenberg, Daniel R.; Wahli, Walter (October 1989). “Amphibian albumins as members of the albumin, alpha-fetoprotein, vitamin D-binding protein multigene family”. Journal of Molecular Evolution.

ถาม – ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน

0
ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน
อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงจะเป็นอาหารประเภทของหมักดอง อาหารหวาน
ถาม - ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน
เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งจะไปเสริมฤทธิ์ยาให้มีมากขึ้นในผู้ป่วยที่ใช้อินซูลีนจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากว่าปกติ

อาหารผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ ที่เพิ่งพบหรือตรวจเจอว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน  นอกจากจะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์แล้วก็คงมีคำถามขึ้นมาในหัวมากมายว่า ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตอย่างไรบ้าง อะไรที่สามารถทำได้เหมือน เดิม หรืออะไรที่ไม่ควรทำและต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะเรื่อง อาหารผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีความสำคัญกับอาการของโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก ลองมาดูกันว่ามีคำถามอะไรที่บ้างที่ผู้ป่วยมักสงสัยและอยากถาม ดังต่อไปนี้

คำถามเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวานทั่วไป

1.1 ผู้ป่วยเป็นเบาหวานสามารถรับประทานผลไม้ได้มากน้อยเพียงใดต่างจากคนปกติหรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานสามารถทานผลไม้ได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ต้องทานในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากในผลไม้ทุกชนิดจะน้ำตาลที่อยู่ในรูปของฟรักโทส หากทานมากเกินไปจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้

1.2 ผู้ป่วยเบาหวานทานทุเรียนได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากและให้พลังงานสูง ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานทุเรียนเข้าไปจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าการทานผลไม้อื่นๆ

1.3 ผู้ป่วยเบาหวานดื่นเบียร์ได้หรือไม่?

ตอบ  ไม่ควรดื่ม เนื่องจากเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์จะไปเสริมฤทธิ์ยาให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้อินซูลีนอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากว่าปกติและเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ให้พลังงานสูง หากทานในปริมาณมากจะยิ่งทำให้อ้วนได้

1.4 ผู้ป่วยเบาหวานจะรับประทานข้าวระหว่างมื้อได้หรือไม่?

ตอบ ทานได้แต่ต้องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมโดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตรวมทั้งวันต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด

1.5 ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานขนมหวานๆ บ้างได้หรือไม่?

ตอบ ทานได้ แต่ควรทานในปริมาณน้อย เนื่องจากขนมหวานต่างๆ มักจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลและไขมันที่สูงเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ หากต้องทานขนมหวานควรลดปริมาณอาหารอย่างอื่นในมื้อนั้นๆ แต่ก็จะได้รับสารอาหารที่น้อยตามไปด้วย

1.6 ดื่มน้ำเต้าหู้ตอนเช้าแทนนมได้หรือไม่?

ตอบ  ทานแทนได้สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้นม แม้ว่าน้ำเต้าหู้จะมีแคลเซียมน้อยกว่านมมาก แต่ก็อุดมไปด้วยโปรตีนและ ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรทานแบบหวานน้อยหรือใช้ความหวานจากน้ำตาลเทียมแทน

1.7 ดื่มนมมากกว่าวันละ 2 กล่องได้หรือไม่?

ตอบ  สามารถดื่มได้แต่ควรเลือกนมชนิดพร่องมันเนยหรือนมขาดไขมัน และเลือกทานนมรสจืดจะดีที่สุด ในแต่ละวันผู้ใหญ่ ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 2 กล่อง เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ ส่วนผู้ที่ต้องการแคลเซียมมากขึ้นเป็นพิเศษอย่างคนท้อง ผู้สูงอายุ หรือเด็กที่กำลังโต อาจจะดื่มเพิ่มเป็น 3 กล่องเพื่อให้ได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ

1.8 รับประทานรังนกได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวานทานรังนกได้ แต่ต้องระวังเนื่องจากรังนกที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปจะมีปริมาณน้ำตาลที่สูงผสมเข้าไปเพื่อให้มีรสอร่อย ทานง่าย ควรเลือกแบบไม่มีน้ำตาลหรือทำทานเองได้จะดีที่สุด แต่เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่กับมีคุณค่าทางอาหารไม่สูงเหมือนราคา จึงอาจจะไม่จำเป็นต่อร่างกายมากนัก  ผู้ป่วยสามารถทานอย่างอื่นทดแทนได้ เช่น นม น้ำผลไม้ธรรมชาติ เป็นต้น

1.9 รับประทานซุปไก่สำเร็จรูปได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวาน ทานได้หากไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เพราะซุปไก่สำเร็จรูปมีราคาสูง อาจจะใช้รับประทานเพื่อให้ได้โปรตีนในมื้ออาหาร เมื่อมีอาการเจ็บป่วยและรับประทานอาหารปกติไม่ลงซุปไก่สำเร็จรูปเป็นโปรตีนที่ย่อยแล้วอยู่ในรูปเพปไทด์แม้ว่าจากการวิเคราะห์คุณค่าอาหารจะพบว่าเทียบเท่ากับไข่ครึ่งฟองเพียงเท่านั้น แต่โปรตีนในซุปไก่สำเร็จรูปสามารถย่อยได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการย่อยโปรตีน

1.10 จะดื่มน้ำส้มร่วมกับอาหารมื้อเช้าได้หรือไม่?

ตอบ สามารถดื่มได้ โดยปกติน้ำส้มจะใช้เมื่อ ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงเพราะสามารถหาได้ง่ายและร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็วแต่ทั้งนี้การทานผลไม้สดๆจะให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่าการนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้

1.11 น้ำแครอตมีประโยชน์อย่างไร ต้องจำกัดปริมาณการบริโภคหรือไม่?

ตอบ แครอตเป็นพืชที่มีสารเบตาแคโรทีนสูงช่วยในการมองเห็นในที่มืดช่วยให้สุขภาพผิวพรรณดีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายและที่สำคัญ คือป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้ทำปฏิกิริยาทำลายส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดแต่ในแครอทจะมีคาร์โบไฮเดรตรวมอยู่ด้วย จึงควรทานในปริมาณที่เหมาะสม หากทานมากเกินไป จะทำให้ได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น หากไม่ลดปริมาณอาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นก็จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

1.12 การดื่มนมโคทำให้เป็นโรคเบาหวานจริงหรือไม่?

ตอบ ข้อนี้แม้จะยังไม่มีผลวิจัยไหนที่รองรับ แต่ทางแพทย์ได้แนะนำสำหรับครอบครัวที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ว่าควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่จะดีที่สุด เพราะจะช่วยป้องกันเบาหวานในเด็กได้นอกจากนี้ นมวัวมีโปรตีนที่ย่อยยากกว่านมแม่ แล้วยังขาดธาตุเหล็กอีกด้วยซึ่งอาจส่งผลให้เด็กเป็นโรคโลหิตจางได้ รวมทั้งยังอาจทำให้เด็กแพ้นมวัวได้อีกด้วย

เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อต่างๆในการทานอาหารเพื่อรักษาโรคเบาหวาน

2.1 เคยได้ยินโฆษณาว่าน้ำตาลฟรักโทสสามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานได้จริงหรือไม่?

ตอบ ฟรักโทสหรือน้ำตาลผลไม้ เป็นรูปแบบน้ำตาลจากธรรมขาติ ให้ความหวานสูงโดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของฮอร์โมสอินซูลิน จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงน้อยกว่าการรับประทานน้ำตาลทรายแต่ในที่สุดร่างกายก็จะเปลี่ยนฟรักโทสไปเป็นกลูโคสเช่นกัน ระดับกลูโคสในเลือดจึงสูงขึ้นช้ากว่าการรับประทานน้ำตาลทราย ฟรักโทสให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลทราย ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคได้ไม่ดีจึงไม่ควรรับประทานฟรักโทส แต่ในผู้ป่วยที่ควบคุมได้ดีอาจใช้ฟรักโทสได้เล็กน้อยเป็นครั้งคราวแต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเลี่ยงอาหารรสหวานนั้นเอง

2.2 เคยมีข่าวว่าผู้ป่วยเบาหวานจะใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาลได้ แต่ทำไมข่าวคราวจึงเงียบไป?

ตอบ หญ้าหวานเป็นพืชที่หวานกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า และไม่ก่อให้เกิดพลังงาน จากการทดสอบและทดลองพบว่า สารให้รสหวานสตีวิโอไซด์ที่สกัดจากหญ้าหวาน  เมื่อฉีดเข้าไปในตัวหนูขาวแล้ว มีความเป็นพิษต่อไตของหนูขาวและยังมีฤทธิ์กลายพันธุ์ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งจากการทดลองก็นับว่ายังไม่ปลอดภัยที่จะนำหญ้าหวานมาใช้แทนน้ำตาล

2.3 น้ำมันปลา Fish Oil ช่วยลดระดับไขมันได้จริงหรือ ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานหรือไม่?

ตอบ น้ำมันปลาเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเนื้อปลาทะเลหลายชนิด บรรจุในรูปของแคปซูลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานน้ำปลาไปข้อดีคือ จะช่วยรักษาภาวะไขมันไทรกลีเซอไรด์สูงในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือ ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลเป็นปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานประเภทไม่พึ่งอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เพราะอาจเกิดผลเสียต่อการควบคุมเบาหวานได้

2.4 สมุนไพรรักษาเบาหวานได้ไหม?

ตอบ ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบันได้ในการรักษาเบาหวานได้ แต่หากทานไปก็ไม่มีโทษอะไร หลายสมุนไพร เช่น  มะระไทย หอมใหญ่  เป็นอาหารที่ทานกันประจำอยู่แล้ว  สมุนไพรบางชนิดอาจจะมีสรรพคุณที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ก็ยังไม่ได้การรับรองจากทางการแพทย์ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานห้ามหยุดยาที่ได้จากแพทย์ควรทานต่อเนื่อง แม้ว่าจะทานสมุนไพรต่างๆเป็นประจำเสมออยู่แล้วก็ตาม

2.5 ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานน้ำตาลเทียมได้วันละกี่ซอง?

ตอบ  น้ำตาลเทียมที่นิยมใช้แทนการได้รับความหวานจากน้ำตาลปกติ ที่นิยมใช้กันคือ แอสพาร์เทม สามารถใช้ทานได้วันละ 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม  ( น้ำตาลเทียม 1 ซองมีแอสพาร์เทม 38 มิลลิกรัม )  แต่โดยปกติปริมาณที่ผู้ป่วยจะใช้น้ำตาลเทียมได้ เฉลี่ยเพียงวันละ 3-5 ซองเท่านั้นจึงถือว่าปลอดภัย

เรื่องเกี่ยวกับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อต้องไปงานเลี้ยงหรือต้องทานมากว่าปกติ

3.1 มีหลักเกณฑ์อย่างไรในการเลือกรับประทานอาหารเวลาไปงานเลี้ยง?

ตอบ ควรจำกัดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น อาหารทอดอาหารผัด อาหารที่มีไขมันสูงเนื้อสัตว์ติดมัน และให้เน้นทานอาหารประเภทผักหรือผลไม้ให้มาก เลือกทานเครื่องดื่มเป็นน้ำเปล่าแทน ชากาแฟ หรือน้ำอัดลม ที่สำคัญต้องงดแอลกอฮอล์

3.2 มีวิธีลดไขมันในอาหารได้อย่างไรถ้าต้องออกไปรับประมานอาหารตามภัตตาคาร?

ตอบ เวลาทานควรลดอาหารประเภทไขมันสูงโดยเฉพาะควรเนื้อสัตว์เพราะเนื้อสัตว์มักจะมีไขมันสูง เช่นไส้กรอก แฮม เลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ติดหนัง และทานในปริมาณที่เหมาะ หากเลือกได้ ควรทานอาหารประเภทเสื้อสัตว์อย่าง ปลาเผา ปลาอบ ปลานึ่ง จะลดไขมันลงได้ดีที่สุด

3.3 ช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน สารทจีน ผู้ป่วยเบาหวานอยากจะอร่อยบ้าง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นควรจะทำอย่างไร?

ตอบ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่อยากจะอร่อยกับอาหารในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่ไม่อยากให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นต้องมีการวางแผนในการกินดังต่อไปนี้

ข้อที่ 1 ก่อนถึงเทศกาลต่าง 1 สัปดาห์ ต้องควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดเพื่อเตรียมตัวทานอย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาล
ข้อที่ 2 งดอาหารว่างระหว่างมื้อให้รับประทานเพียงอาหารมื้อหลัก 3 มื้อเท่านั้นพอ
ข้อที่ 3 เมื่อถึงเทศกาล ต้องทานอาหารอย่างมีสติหยุดทันทีเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม ไม่เติมนิดเติมหน่อย
ข้อที่ 4 ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นเพื่อเผลผลาญอาหารที่ทานเข้าไปในปริมาณที่มากขึ้น

3.4 ถ้าหลังจากรับประทานอาหารมื้อใหญ่ในภัตตาคารแล้วระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในเวลาต่อมาควรทำอย่างไร?

ตอบ ควรรีบไปพบแพทย์หรือทานยาตามที่แพทย์ได้แนะนำไว้ ถ้าทางที่ดีในการไปทานอาหารมื้อใหญ่ตามภัตตาคาร ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เนื่องจากอาหารต่างๆในภัตตาคารมักจะอุดสมบรูณ์ไปด้วย แป้ง น้ำตาล ไขมัน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งสิ้น

คำถามเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

4.1 ทำอย่างไรจึงจะลดน้ำหนักได้ แม้จะรับประทานอาหารน้อยแต่น้ำหนักก็ยังไม่ยอมลด?

ตอบ การคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วยโดยผู้ป่วยเบาหวานที่อ้วนสามารถลดน้ำหนักตัวได้ด้วยเทคนิคดีๆต่อไปนี้

1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยให้ได้อย่างน้อยวันละประมาณ 30 นาที ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานออกไปเมื่อน้ำหนักลงระดับน้ำตางในเลือกก็จะลดตามไปด้วย
2.จำกัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ไม่ตามใจปาก เช่นลดปริมาณข้าวที่ทานลง 1 ทัพพีในแต่ละมื้อ
3.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นอาหารทอดต่างๆ เนื้อสัตว์ติดหนัง เพราะอาหารกลุ่มนี้จะให้พลังงานสูงเกินเป็น 2 เท่าของอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
4.แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้การรักษาแบบฉีดอินซูลิน หรือต้องออกกำลังกายทุกวันบ่อยๆควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับปริมาณอินซูลินให้พอเหมาะกับอาหารที่รับประทาน

4.2 มีวิธีใดที่จะลดน้ำหนักโดยไม่ต้องตัดขาดจากอาหารที่ชอบ?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวานยังคงสามารถทานอาหารที่ตนเองชอบได้บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องคำนึงถึงคือปริมาณของอาหารที่จะรับประทานในแต่ละมื้อให้มีความเหมาะสม แต่ทั้งนี้อาจจะต้องเลี่ยงอาหารไขมันสูง และควรหาเวลาออกกำลังเพื่อให้เผาผลาญพลังงานในร่างกายจากการกินส่วนเกินด้วย

4.3 ถ้าต้องฉีดอินซูลินตอนเย็นและต้องการรับประทานอาหารว่างก่อนนอนจะต้องรับประทานมากน้อยเท่าไร?

ตอบ ผู้ป่วยที่ต้องฉีดอินซูลินในตอนเย็นอินซูลินจะไปออกฤทธิ์สูงสุด ในเวลาตอนกลางดึกจึงทำให้ระดับน้ำตาลต่ำในเวลานั้น ผู้ป่วยควรอาหารว่างทานก่อนนอน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกินมาตรฐานปกติ โดยการเลือกอาหารว่างที่จะทานเข้าไปมีหลักการเลือกดังนี้

ถ้า ระดับน้ำตาลน้อยกว่า 100 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร ) ควรทานผลไม้หรืออาหารว่างปกติ
ถ้า ระดับน้ำตาล อยู่ในระดับ 101-180 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร )     ควรทานอาหารว่างปกติ
ถ้า ระดับน้ำตาล มากกว่า 181 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร )     ควรงดการทานอาหารว่าง

4.4 ภาวะดื้อต่ออินซูลิน Insulin Resistance คืออะไร?

ตอบ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินน้อยกว่าปกติซึ่งมักจะพิจารณาได้จากผลของอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากอินซูลินมีผลต่อกระบวนการสลายไขมัน และโปรตีนด้วย ดังนั้นเมื่อมีภาวะดื้อต่ออินซูลินจึงเกิดความผิดปกติต่อกระบวนการสลายไขมันและโปรตีนด้วย

กลไกในการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือ การเกิดความผิดปกติต่างๆ ของตัวรับอินซูลินทั้งในด้านจำนวนหรือการทำงานของตัวรับอินซูลินที่ลดลงโดยสาเหตุอาจเกิดจากหลายๆ ปัจจัย เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ระดับอินซูลินในเลือดสูง หรือกรดไขมันอิสระในเลือดสูง  เป็นต้น

ส่วนการรักษาภาวะอาการนี้ ทำได้คือ การทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เช่น ใช้ทานยาตามแพทย์สั่ง หรือใช้การฉีดอินซูลิน ก็จะทำให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง หรืออาจจะใช้ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลินก็จะทำให้ระดับน้ำตาลลดลงได้เช่นกัน

จากคำตอบหลายๆข้อที่ช่วยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับคำถามเรื่องอาหารของโรคเบาหวานนั้น คงจะพอสรุปได้ว่า การทานอาหารไม่ว่าจะชนิดใดก็แล้วแต่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ควรทานในปริมาณที่พอดีเหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป จนส่งผลกระทบต่ออาการเบาหวานที่เป็นอยู่  และต้องรู้ว่าตัวเองต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดบ้าง ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและต้องหลีกเลี่ยงไม่ควรทาน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยเองทั้งสิ้น  คงจะไม่มียาตัวไหนที่สามารถรักษาโรคเบาหวานได้ดีเท่ากับที่ผู้ป่วยรู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

เบาหวาน [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; (ม.ป.ท.) 

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง: แนวทางการดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และโภชนาการอย่างรอบด้าน

0
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (Cancer Care)
ผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการการดูแลอย่างรอบด้านมากกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โภชนาการ และกำลังใจจากครอบครัว ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกระยะของโรค บทความนี้จะพาคุณสำรวจรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบองค์รวมที่ควรปฏิบัติอย่างเหมาะสม

ประเภทของการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

1. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

เน้นการบรรเทาอาการเจ็บปวดและไม่สบายจากโรคมะเร็งหรือผลข้างเคียงจากการรักษา เหมาะสำหรับทุกระยะของโรค โดยเฉพาะในระยะท้าย ตัวอย่าง:

  • การให้ยาแก้ปวดหรือคลื่นไส้หลังเคมีบำบัด
  • การพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยและครอบครัว
  • การดูแลเรื่องคุณภาพชีวิต เช่น การนอน การหายใจ อารมณ์ ความวิตกกังวล

2. การดูแลเพื่อหวังผลหายขาด (Curative Care)

เป็นการดูแลที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยหายจากโรค เช่น:

  • การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
  • การให้เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือฮอร์โมนบำบัดในระยะเริ่มต้น

หากรักษาไม่หาย หรือมะเร็งลุกลาม แพทย์จะเปลี่ยนเป้าหมายสู่การดูแลแบบประคับประคอง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด (Chemotherapy Care)

อาการข้างเคียงที่พบบ่อย

  • คลื่นไส้ อาเจียน (Acute & Delayed)
  • ผมร่วง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง

การดูแลระหว่างคีโม

  • ให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ สุกๆ ดิบๆ หมักดอง หรือมีสารกันบูด
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนเพียงพอ
  • ใช้มาตรการป้องกันเชื้อโรค เช่น หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย

หลังการให้คีโม

  • อาการข้างเคียงมักดีขึ้นภายใน 1–3 เดือน
  • ส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย: บริหารเบาๆ, โภชนาการฟื้นฟู, ดูแลสุขภาพจิต

การดูแลเฉพาะโรค: ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัด (Mastectomy)

การดูแลกายภาพ

  • แนะนำกายภาพบำบัด เช่น:
    • แกว่งแขน ขยับไหล่ ป้องกันแขนบวม
    • นวดน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
  • สวมชุดชั้นในที่พยุงเต้านมเทียม เพื่อป้องกันการเสียสมดุล

การดูแลจิตใจ

  • ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกยังมีคุณค่า ไม่ถูกตีตรา
  • ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา หรือสนับสนุนกลุ่มผู้ป่วยร่วมกัน

การดูแลด้านโภชนาการ (Nutrition in Cancer Care)

หลักโภชนาการที่ดี

ประเภทอาหาร คำแนะนำ
โปรตีน ปลา ถั่ว เต้าหู้ ไข่ ปรุงสุกสะอาด
คาร์โบไฮเดรต ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มันเทศ
ผักผลไม้ ผักสดล้างสะอาด ผลไม้ไม่หวานจัด
ไขมัน เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
น้ำ ควรดื่ม 6–8 แก้วต่อวัน

ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาลสูง
  • อาหารมีดินประสิวหรือสารกันบูด

การดูแลด้านจิตใจและกำลังใจผู้ป่วย

ความสำคัญของกำลังใจ

  • ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • ลดความวิตกกังวล ซึมเศร้า

วิธีดูแลทางจิตใจ

  • เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุย ไม่กดดัน
  • สนับสนุนการเข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง
  • หมั่นสังเกตสัญญาณภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • สนับสนุนความหวังและเป้าหมายที่ผู้ป่วยเลือก

แนวทางสำหรับผู้ดูแล (Caregiver Guidelines)

สิ่งที่ควรทำ อธิบาย
เรียนรู้เกี่ยวกับโรค ศึกษาโรคมะเร็งชนิดนั้นเพื่อเข้าใจอาการและแนวทางรักษา
สื่อสารอย่างเข้าใจ อย่าปิดบัง ให้ข้อมูลตามความจริงแต่ใช้ถ้อยคำอ่อนโยน
ให้เวลาคุณภาพ อยู่ใกล้ชิด ฟัง ให้กำลังใจเสมอ
ปรับบ้านให้เหมาะสม มีพื้นที่ปลอดภัย เดินสะดวก ไม่ลื่น
ดูแลตนเองด้วย ผู้ดูแลต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดีเช่นกัน

ข้อสรุป

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจทั้งทางการแพทย์และด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดของโรค ทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ควรร่วมมือกันวางแผนดูแลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

Q1: อาหารแบบใดเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง?

A: อาหารสด สะอาด ปรุงสุก มีโปรตีนสูง กากใยดี หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และสารกันบูด

Q2: ควรออกกำลังกายหรือไม่?

A: ควรออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น เดิน แกว่งแขน โยคะ หรือการกายภาพตามคำแนะนำของแพทย์

Q3: วิธีบรรเทาอาการคลื่นไส้หลังคีโมทำอย่างไร?

A: ให้รับประทานอาหารย่อยง่าย แบ่งมื้อเล็กๆ ดื่มน้ำขิง และพักผ่อนให้เพียงพอ หากรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เรื่องยาแก้คลื่นไส้

Q4: ดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ซึมเศร้าอย่างไร?

A: รับฟังโดยไม่ตัดสิน ส่งเสริมให้เข้าพบนักจิตวิทยา และดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลาย

Q5: ผู้ดูแลควรระวังอะไรเป็นพิเศษ?

A: อย่ารู้สึกผิดที่เหนื่อย ให้เวลาและพื้นที่ตนเองด้วย เพราะสุขภาพใจของผู้ดูแลส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจกว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

“Symptoms in 400 patients referred to palliative care services: prevalence and patterns”. Palliat Med. 17(4):310-314.

[/vc_column][/vc_row]