อะโวคาโดมีสารอาหารอะไรบ้างนะ? ( Avocado )

0
อโวคาโดมีสารอาหารอะไรบ้างนะ? (Avocado)
อโวคาโด้ หรือลูกเนย มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลาย
อโวคาโดมีสารอาหารอะไรบ้างนะ? (Avocado)
อโวคาโด้ หรือลูกเนย มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลาย

อะโวคาโด

เมื่อกล่าวถึง อะโวคาโด ( Avocado ) หรือ ” ลูกเนย ” แล้ว ผู้ที่รักสุขภาพทุกคนย่อมรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะว่า อะโวคาโด จัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพโดยแท้จริง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอะโวคาโดมีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิดและยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมากอีกด้วย

ความจริงอะโวคาโดจัดว่าเป็นผลไม้หรือผัก

อะโวคาโดที่จริงแล้วคือผลไม้ชนิดหนึ่งตระกูลเบอร์รี่ อะโวคาโดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด มีสารอาหารเกือบ 20 ชนิด มีน้ำตาลต่ำ และเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่มีโปรตีน

แหล่งกำเนิดของอะโวคาโด

อะโวคาโด มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Lauracease เป็นไม้ชนิดยืนต้น ลำต้นโตเต็มวัยมีความสูงสุดประมาณ 18 เมตร มีเปลือกรอบต้นสีน้ำตาลอ่อน ใบเป็นสีเขียว มีดอกสีเขียวอมเหลือง เวลาออกดอกจะออกเป็นช่ออยู่ที่ปลายกิ่ง ผลมีลักษณะคล้ายลูกสาลีหรือลูกแพร์คือเป็นทรงกลมรี เปลือกมีสีเขียวเข้ม เนื้อมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองเข้ม เนื้อเนียนละเอียดคล้ายเนื้อครีม มีรสชาติเหมือนเนยจึงได้ชื่อว่าลูกเนย ภายในผลมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ผลดิบรับประทานไม่ได้เนื่องมีรสขมที่เกิดจากสารแทนนิน ซึ่งสารนี้ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะได้ แต่เมื่อผลสุกจะมีสีม่วงหรือสีดำสามารถรับประทานได้เนื่องจากไม่มีสารแทนนินหลงเหลืออยู่แล้ว นอกจากนิยมรับประทานผลสุกแล้วยังนำมาสกัดเอาน้ำมันไปไว้ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์ด้วย อย่างที่เราทราบกันว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย ด้วยรสชาติและลักษณะเนื้อที่คล้ายกับเนยทำให้บางคนไม่ชื่นชอบในรสชาติสักเท่าใดนักแต่ก็นำมาดัดแปลงด้วยการนำมาปรุงเป็นอารหารชนิดอื่น ๆ เพื่อง่ายต่อการรับประทาน เช่น ทานกับน้ำสลัด ทานกับซอส ทานกับสเต็ก เป็นต้น แล้วใน

สารอาหารใน อะโวคาโด

สารอาหารใน อะโวคาโด จะอยู่ในส่วนที่เป็นเนื้อ การทานต้องทานเนื้อของผลที่สุกแล้วเท่านั้นห้ามทานผลดิบ ซึ่งสารอาหารที่มีอยู่ในเนื้อ คือ

วิตามินอี เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงมาก วิตามินอีในอะโวคาโดเป็นวิตามินที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ จึงต้องรับมาจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นวิตามินอีจากเนื้อสัตว์และผลไม้ วิตามินอีช่วยในการป้องกันเซลล์สมอง เซลล์ผิวหนัง เซลล์หัวใจและหลอดเลือด ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดจากเซลล์สมองถูกทำลาย ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงมีน้ำมีนวล

โพแทสเซียม ( Potassium ) ช่วยควบคุมอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล ซึ่งเป็นตัวควบคุมการหมุนเวียนของเลือดในร่างกายให้มีความไหลลื่นไม่อุดตัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไตในการทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำและเกลือของร่างกาย ลดการบวมน้ำและขับปัสสาวะออกมาเป็นปกติ ช่วยให้กระบวนการสังเคราะห์โปรตีน ไกลโคเจนเกิดขึ้นอย่างสมดุล

วิตามินซี ( Vitamin C ) ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้มีความแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดีโดยเฉพาะโรคไข้หวัด และช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าบำรุงกระดูกทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง

วิตามินเอ ( Vitamin A ) ที่ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับดวงตา ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อ และอาการตามองไม่เห็นในที่มืด

วิตามินบี ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท เช่น ปลายประสาทเสื่อม เหน็บชา เป็นต้น

โฟเลท มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองของทารกที่อยู่ในครรภ์ บำรุงเซลล์ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของสเปิร์มเพื่อให้มีบุตรง่าย โฟเลทจัดเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกตัวหนึ่งที่ช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของเซลล์จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้

โปรตีนสูง เป็นผลไม้ที่มีโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยสูง สามารถช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว

สารแคโรทีนอยด์ ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระถึง 11 ชนิดด้วยกัน แคโรทีนอยด์นี้ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์โดนทำลายจากอนุมูลอิสระ เพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานในร่างกาย ลดการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในส่วนต่างๆ ได้ ส่วนของเนื้อที่มีสารนี้อยู่มากที่สุดก็คือส่วนที่มีเข้มจัดบริเวณติดกับเปลือกของผล ดังนั้นการกินเนื้อ อะโวคาโด เราไม่ควรปอกเปลือกออกจนเหลือแต่เนื้อสีเหลืองเท่านั้น เราควรจะรักษาเนื้อส่วนที่ติดเปลือกไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้รับแคโรทีนอยด์มากขึ้น

กรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่เป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและหัวใจ เพราะร่างกายสามารถนำไปย่อยสลายพร้อมใช้งานได้ทันที ทำให้ไม่หลงเหลือสะสมอยู่ในเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุของหลอดเลือดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคหัวใจได้ และยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่งจากการทดลองของนักวิจัยได้มีการทดลองให้กลุ่มทดลองรับประทานอะโวคาโดวันละ 1 ผลต่อเนื่อง พบว่าระดับไขมันเลวในกลุ่มคนที่เข้าร่วมการทดลองนั้นลดลง ในที่นี้ยังมีการให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำแต่คาร์โบไฮเดรตสูง ที่เป็นไปตามมาตราฐานที่สมาคมหัวใจอเมริกากำหนดไว้ ( American Heart Association ) ซึ่งเป็นอาหารที่ทานแล้วคอเลสเตอรอลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น และให้กลุ่มทดลองรับประทานอะโวคาโดเพิ่มเป็นวันละ 2 ผล ผลปรากฏกว่าไขมันไม่อิ่มตัวหรือ Low-Density Lipoprotein ( LDL ) และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดลดลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นอกจากไขมัน LDL จะลดลงแล้วไขมัน High Density Lipoprotein ( HDL ) ยังมีอตราส่วนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

เราทราบประโยชน์ของ อะโวคาโด ว่ามีอยู่มากจริงๆ แต่ว่าการรับประทานอะโวคาโดสำหรับบางคนนั้นรู้สึกไม่คุ้มค่า เพราะปอกเปลือกแล้วเหลือเนื้อให้รับประทานอยู่นิดเดียวเอง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่รู้เทคนิคในการปอกเปลือกอะโวคาโด ทำให้สูญเสียเนื้อส่วนที่ติดเปลือกไปมากจนเหลือแต่เนื้อส่วนในทำให้สูญเสียส่วนที่มีคุณค่ามากที่สุดไปนั่นเอง

ประโยชน์ด้านความงามของอะโวคาโด

1. เพิ่มชุ่มชื้นให้ผิวและหมักผม
อะโวคาโดมีไขมันดีค่อนข้างสูงจึงสามารถนำมาบำรุงผิวและเส้นผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นได้ โดยให้นำอะโวคาโด ½ ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ต ½ ถ้วย ผสมกันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำมาพอกหน้าและเส้นผมทิ้งไว้ แล้วล้างทำความสะอาด ทำเป็นประจำจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี   

2. พอกหน้า
อะโวคาโดมีวิตามินสูงเมื่อนำมาพอกหน้าทำความสะอาดผิวหน้าได้ โดยใช้ไข่แดง 1 ฟอง นม ½ ถ้วยและอะโวคาโดบดละเอียด ½ ลูก นำมาตีให้ส่วนผมเข้ากันจนเป็นเนื้อครีม จากนั้นใช้สำลีแผ่นชุบแล้วนำมาเช็ดให้ทั่วใบหน้า ล้างหน้าให้สะอาด จะทำให้ใบหน้าสะอาดและดูสดใสขึ้น

3. ลดรอยคล้ำใต้ตา
ลดรอยคล้ำใต้ตา โดยการนำอะโวคาโดมาปอกเปลือกแล้วเฉือนเนื้อให้มีลักษณะเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยวประมาณ 3-4 ชิ้น จากนั้นนำอะโวคาโดวางไว้บริเวณใต้ตาประมาณ 20 นาที ทำเป็นประจำรอยหมองคล้ำใต้ตาจะค่อยๆ จางลงและดวงตาสดใสขึ้น

เทคนิคการปอกเปลือก อะโวคาโด

1.นำลูกอะโวคาดโดล้างให้สะอาดและพักไว้จนสะเด็ดน้ำ
2.นำมีดมากดลงบนลูกอะโวคาโดในแนวยาว คือแนวขั่วลูกจนถึงท้ายลูก การกดมีดให้กดผ่านเนื้อไปจนกระทบกับเมล็ดภายในของลูก ทำการหมุนมีดไปในแนวเดียวกันจนรอบลูก
3.ทำการบีดมีดเพื่องัดเนื้ออะโวคาโดด้านใดด้านหนึ่งออกมาจากเมล็ด เราจะได้เนื้อด้านหนึ่งมีเมล็ดอะโวคาโดติดอยู่ตรงกลาง เนื้ออีกด้านหนึ่งเป็นรูอยู่ตรงกลาง
4.นำปลายมีดทำการงัดเมล็ดอะโวคาโดออกจากเนื้อส่วนที่มีเมล็ดติดอยู่
5.ทำการลอกเปลือกอะโวคาโดออกให้บางที่สุด อย่าใช้ช้อนหรือมีดขูดเนื้อออกมาทานเพราะว่าการขูดจะทำให้เราสูญเสียเนื้อติดกับเปลือกมากกว่าการลอกเปลือก

เพียงเท่านี้เราก็จะได้รับประทานเนื้อ อะโวคาโด อย่างคุ้มค่าและอุดมไปด้วยสารอาหารอย่างครบครันแล้ว นอกจากวิธีการ ปอกอะโวคาโดแล้วการเก็บรักษาอะโวคาโดไม่ให้เนื้อกลายเป็นสีดำก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเนื้ออะโวคาโดเมื่อสัมผัสกับอากาศระยะเวลาหนึ่งเนื้อที่เป็นสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีดำไม่น่ารับประทาน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในเนื้อของอโวคาโดมีสารประกอบฟินอลที่เมื่อเจอกับสารประกอบในอากาศแล้วจะจับตัวเกิดเป็น ควิโนน และเมื่อมีควิโนนหลายตัวจับตัวกันเป็นสายโพลีเมอร์กลายเป็นเมลานินที่เป็นเม็ดสีนั่นเอง ดังนั้นการเก็บไม่ให้ดำ ให้เราบีบน้ำมะนาวเคลือบไปบนเนื้อให้ทั่วทั้งลูก และนำไปใส่ในกล่องหรือถุงสุญญากาศ และนำไปแช่เย็น

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะรับประทานอะโวคาโดแบบไหนดี เรามีเมนูแนะนำในการปรุงอะโวคาโดคือ ” ซอสกัวคาโมชนิดเผ็ด “

ส่วนผสม

1.อะโวคาโดสด 2 ผล ( เลือกผลที่สุกพร้อมรับประทาน )
2.ครีมเปรี้ยว ½ ถ้วย ( แนะนำให้เลือกใช้แบบครีมขาดมันเนย )
3.หัวหอมแดง ½ หัว
4.มะเขือเทศ 1 ผล
5.ชิลันโต 2 ช้อนโต๊ะ
6.พริกแดง ¼ ช้อนชา ( ควรใช้พริกแดงที่ทำการป่นแบบหยาบ )
7.น้ำมันงา 1 ช้อนชา 

ขั้นตอนการทำ

1.นำหัวหอมแดง มะเขือเทศ ชิลันโต้มาสับให้ละเอียด
2.นำแต่เนื้ออะโวคาโดมาปั่นรวมกับพริกแดงป่น น้ำมันงาและหอมแดง มะเขือเทศ ชิลันโต้ที่สับเตรียมไว้
3. นำส่วนผสมที่ปั่นรวมกันเสร็จแล้วมาใส่ภาชนะ นำไปแช่เย็นประมาณ 30 นาที
4.เมื่อแช่เย็นครบเวลาเราก็จะได้ซอสกัวคาโมลชนิดเผ็ดพร้อมเสิร์ฟ สามารถรับประทานกับขนมปังแผ่นหรือกินแกล้มกับผักสดก็ได้ ปริมาณที่เตรียมได้นี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 จาน

ชอสกัวคาโมลชนิดเผ็ดนี้ จะมีปริมาณสารอาหารดังนี้

ข้อมูลทางโภชนาการ
ซอสกัวคาโมลชนิดเผ็ด
( คำนวณจากปริมาณ 1 จาน )
ปริมาณสารอาหารในแต่ละจาน
พลังงานที่ได้รับทั้งหมด 122 แคลอรี     ไขมัน 63 แคลอรี่
%คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม 7 กรัม                                         11%
ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม                                     5%
โคลสเตอรอล 0 มิลลิกรัม                                 0%
โซเดียม 40 มิลลิกรัม                                     2%
คาร์โบไฮเดรตรวม 13 กรัม                               4%
เส้นใยอาหาร 4 กรัม                                 16%
โปรตีน 4 กรัม
วิตามิน เอ      8%                         วิตามิน ซี  19%
แคลเซียม    13%                          ธาตุเหล็ก   4%

อะโวคาโด ในประเทศไทยมีให้เลือกซื้อกันตามห้างสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งราคาอะโวคาโดที่ขายอยู่ตามท้องตลาดก็ไม่สูงนักและหาซื้อได้ง่าย จัดเป็นผลไม้ทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการรับประทานเพื่อสุขภาพที่คนรักสุขภาพห้ามพลาด สำหรับคนที่ต้องการหาผักหรือผลไม้ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและมีคุณค่าทางสารอาหารให้กับร่างกายแล้ว ลองนำอะโวคาโดมาปรุงเป็นอาหารรับประทานก็ดีไม่น้อย จะทานเล่นแบบสด ๆ หรือว่าจะนำมาทำสลัดผักรวมทานกับผักหลายชนิดก็อร่อยไปอีกแบบ

การเก็บรักษาอะโวคาโด

ผลอะโวคาโดสุกที่ไม่ได้หั่นเป็นชิ้นสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้2-3วัน เมื่อหั่นเนื้ออะดวคาโดเป็นชิ้นสีจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งมีวิธีเก็บรักษาไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสีได้ง่ายๆ เพียงเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทไม่ให้อากาศเข้าได้ หรือ ห่อด้วยพลาสติกแรปอาหารห่อ หรือใช้น้ำมะนาวทาเคลือบเนื้ออะโวคาโด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

คลิปความรู้จาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

“Persea americana Mill., The Plant List, Version 1”. Royal Botanic Gardens, Kew and Missouri Botanical Garden. 2010.

Morton JF (1987). “Avocado; In: Fruits of Warm Climates”. Creative Resource Systems, Inc., Winterville, NC and Center for New Crops & Plant Products, Department of Horticulture and Landscape Architecture, Purdue University, West Lafayette, IN. pp. 91–102. ISBN 0-9610184-1-0.

มะเร็งหลอดอาหาร ( Esophageal Cancer ) มีสาเหตุและอาการของโรคอย่างไร

0
สาเหตุและอาการของโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer)
โรคมะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต และแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อ
สาเหตุและอาการของโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer)
โรคมะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต และแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อ

มะเร็งหลอดอาหาร

มะเร็งหลอดอาหาร ( Esophageal Cancer ) เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติ จนเกิดเป็นก้อนเนื้อหรือมีการก่อเชื้อมะเร็งขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในมหันต์ภัยโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เป็นโรคที่นับวันจะดูมีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น กับการที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ล้วนแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อโรคมะเร็งขึ้นได้ทั้งหมด  ซึ่งยังรวมไปถึง อวัยวะที่มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารในร่างกายมนุษย์ อย่างหลอดอาหาร ก็สามารถที่จะมีโอกาสเกิดมะเร็งหลอดอาหารขึ้นได้เช่นเดียวกัน

ชนิดของมะเร็งหลอดอาหารที่พบได้บ่อย

มะเร็งหลอดอาหารส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ

  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดสะความัส (Squamous cell carcinoma) เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดอาหาร มักเกิดที่ส่วนต้นและส่วนกลางของหลอดอาหาร
  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดอะดีโนคาร์สิโนมา (Adenocarcinoma) เกิดจากส่วนที่เป็นต่อมในส่วนปลายของหลอดอาหาร
  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดที่ 3 เรียกว่า มะเร็งเซลล์ขนาดเล็ก อาจหาได้ยากมากเริ่มต้นในเซลล์ประสาทซึ่งเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่ปล่อยฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อตอบสนองต่อสัญญาณจากเส้นประสาท

อาการของมะเร็งหลอดอาหาร

โรคนี้เป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่หากเป็นแล้วจะสังเกตได้ยาก เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ในระยะแรกๆ มักจะไม่มีอาการใดๆแสดงออกมา ยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ และโรคมะเร็งหลอดอาหารนี้จะไม่มีอาการเฉพาะตัวของโรคที่เด่นชัด โดยอาการทั่วไปที่แสดงออกมา จะมีความคล้ายกับอาการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยมักทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้เมื่อมีอาการที่หนักแล้ว หรือเป็นระยะที่เชื้อมะเร็งเริ่มแพร่กระจายแล้ว โดยอาการที่จะสามารถพบได้บ่อยๆ คือ

  • กลืนอาหารได้ลำบากมากกว่าปกติ หรือรู้สึกเจ็บขณะกลืนอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นของแข็ง หากเป็นมากขึ้นแล้วจะกลืนไม่ลงทั้งอาหารที่เป็นของแข็งและของเหลว แม้กระทั่งน้ำลายก็ตาม
  • มีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หรือ มีเสมหะปดเลือดออกมาบ่อยครั้ง
  • น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทรายสาเหตุ
  • มีอาการคลื่นไส้และอาเจียนบ่อยครั้ง
  • รู้สึกปวดที่บริเวณกระดูกซี่โครงส่วนบนหรือในลำคอ
  • เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น อาจมีต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้าโตจนสามารถคลำได้

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโตมากเกินปกติ จนทำให้เกิดเป็นเชื้อมะเร็งหลอดอาหารได้นั้น ปัจจุบันยังคงไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่มีการวิเคราะห์กันว่า อาจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. การสูบบุหรี่ เป็นที่ทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่นั้น เป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งได้เกือบทุกชนิด เนื่องจากสารประกอบบางอย่างในบุหรี่จะไปกระตุ้นให้เชื้อมะเร็งมีการก่อตัวขึ้นภายในร่างกาย
2. มะเร็งหลอดอาหารความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแบ่งตัว และการตายของเซลล์ปกติ ข้อนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
3. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ เป็นเวลานานๆติดต่อกัน จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารมากว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
4. การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ผู้ที่ทานผลไม้น้อยจะมีความเสี่ยงมากว่าผู้ที่ทานผลไม้ปกติ และยังรวมถึงผู้ที่ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ บ่อยๆอีกด้วย และเกิดโรค มะเร็งหลอดอาหาร
5. เชื้อชาติ เนื่องจากคนในบางเชื้อชาติ จะสามารถตรวจพบโรคมะเร็งหลอดอาหารได้มากว่าชาติอื่นๆ เช่น เชื้อชาติจีน อินเดีย และอิหร่าน เป็นต้น
6. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกณฑ์มาตรฐาน จนถึงระดับการเป็นโรคอ้วน จะมีความเสี่ยงมากว่าผู้ที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
7. การบริโภคอาหารที่เป็นสารก่อมะเร็งบ่อยๆ เช่นอาหารประเภทปิ้งย่าง อาหารที่ใส่สารกันบูด รวมถึงอาหารที่มีการแปรรูป หรือผ่านการถนอมอาหารบางประเภทด้วย
8. เป็นโรคเรื้องรังเกี่ยวกับหลอดอาหาร ผู้ที่มีภาวะของการเจ็บป่วยเกี่ยวกับหลอดอาหารบ่อยๆ และเรื้อรัง จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรค มะเร็งหลอดอาหาร มากว่าคนปกติ
9. ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากภาวะกรดไหลย้อนจะส่งผลให้ เยื่อบุภายในหลอดอาหารเกิดการบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อเนื่องจนอาจนำไปสู่มะเร็งในหลอดอาหารได้
10. ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆมาก่อน โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับศีรษะและลำคอจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าผู้ที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคประเภทนี้มาก่อน
11. การได้รับสารเคมีบางชนิดบ่อยๆ อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ เช่น จากอาชีพในการทำงาน การเผลอกลืนสารเคมีบางชนิดเข้าไป ได้แก่ น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น เข้าไปสะสมจนทำให้เกิดเป็นตัวกระตุ้นมะเร็งนั่นเอง   

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร

  • อายุ : ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 45 ถึง 70 ปี อาจมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร
  • เพศ : ผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าผู้หญิง 3 ถึง 4 เท่า
  • การสูบบุหรี่ : ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารโดยเฉพาะมะเร็งเซลล์สความัส
  • การดื่มแอลกอฮอล์ : การดื่มหนักเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเซลล์สความัสของหลอดอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับการสูบบุหรี่
  • โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง หรือการอักเสบของหลอดอาหาร : เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมาของหลอดอาหาร แต่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหารยังค่อนข้างต่ำ
  • การรับประทานอาหาร : ผู้ที่ทานอาหารที่มีผักและผลไม้ใน วิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณน้อย อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
  • โรคอ้วน : การมีน้ำหนักและไขมันในร่างกายมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมา   

ระยะของโรคมะเร็งหลอดอาหาร

โรคมะเร็งหลอดอาหารสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะเหมือนโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1 : เป็นระยะเริ่มต้นของโรค ก้อนเนื้อมะเร็งยังมีขนาดเล็กอยู่ เชื้อยังคงอยู่เฉพาะในหลอดอาหาร ไม่มีการแพร่กระจายไปยังที่อื่นๆ
ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งหลอดอาหารเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อของหลอดอาหาร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองไม่เกิน 2 ต่อม
ระยะที่ 3 : เป็นระยะที่เชื้อมะเร็งหลอดอาหารลุกลามไปยังรอบๆ และมีการลุกลามออกมาทะลุเนื้อเยื่อของหลอดอาหารแล้ว นอกจากนี้ยังลุกลามเข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองเกิน 3 ต่อมขึ้นไปแล้ว
ระยะที่ 4 : เป็นระยะสุดท้ายของโรคมะเร็งหลอดอาหาร เชื้อมะเร็งจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือด และแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ รวมถึงต่อมน้ำเหลือง ที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยอวัยวะที่พบเชื้อจากการลุกลามได้บ่อยๆ คือ ปอด ตับ กระดูก และผิวหนัง โดยหากเป็นถึงระยะนี้แล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้เลย 

การรักษาโรคมะเร็งหลอดอาหาร

1. การผ่าตัด หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่าผู้ป่วยสามารถที่จะผ่าตัดได้ และตัวของผู้ป่วยเองยังไม่มีการแพร่กระจายของโรค แพทย์จะนิยมใช้วิธีนี้ในการรักษา โดยการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายออกจากหลอดอาหาร ซึ่งหลังจากผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจจะใช้วิธีการรักษาอื่นควบคู่ไปด้วย อย่างเช่น การให้เคมีบำบัด หรือใช้รังสีรักษา โดยจะต้องดูผลกระทบจากการผ่าตัดก่อน นอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธี การให้เคมีบำบัด หรือใช้รังสีรักษา เพื่อทำมะเร็งมีขนาดเล็กลงก่อนที่จะผ่าตัดก็เป็นได้
2. การใช้รังสีรักษา เป็นวิธีการรักษาอีกรูปแบบหนึ่ง หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่าไม่สามารถใช้การผ่าตัดได้ ซึ่งวิธีนี้แพทย์จะใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เข้าไปทำรายเชื้อมะเร็งที่หลอดอาหาร
3. การใช้เคมีบำบัด หมายถึงการใช้ยาเพื่อให้ไปฆ่าเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินทางปากหรือฉีดเข้าเส้นเลือดก็ได้ โดยวิธีนี้แพทย์ผู้รักษามักจะใช้ร่วมกับวิธีการผ่าตัด

แม้ว่าจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งหลอดอาหารหลากหลายวิธีในทางการแพทย์ แต่เนื่องจากโรคมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคที่สูงมากชนิดหนึ่ง จึงทำให้รักษาให้หายเป็นปกติได้ยากในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็มีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติได้เช่นกัน เพียงต่อผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ที่มี
สุขภาพที่แข็งแรง มีตำแหน่งของก้อนมะเร็งอยู่ในบริเวณที่สามารถจะผ่าตัดได้ และต้องมาพบแพทย์ตั้งแต่ระยะของโรคมะเร็งยังไม่เกิดการแพร่กระจาย

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งหลอดอาหารและการป้องกันโรค

นอกจากจะเป็นโรคมะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงของโรคสูงแล้ว ความน่ากลัวของโรค มะเร็งหลอดอาหารอีกอย่างหนึ่งคือ ในปัจจุบันยังคงไม่มีวิธีการใดที่สามารถจะป้องกันการเกิดโรคชนิดนี้ได้ รวมถึงยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองมะเร็งอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้มีความสมบรูณ์แข็งแรงอยู่เสมอ และควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเชื้อมะเร็งขึ้นได้

ในปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ส่งผลกระทบสามารถทำให้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าคนอื่น ๆ รวมทั้งาการเป็นโรคกรดไหลย้อนรุนแรงเป็นเวลาหลายปีจะเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมาของหลอด
อาหารได้เช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Tongaonkar HB, Desai SB (September 2005). “Benign mixed epithelial stromal tumor of the renal pelvis with exophytic growth: case report”. Int Semin Surg Oncol. 2: 18. PMC 1215508 Freely accessible. PMID 16150156. 

มะเร็งตับอ่อน ( Pancreatic Cancer )

0
โรคมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ มักไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก
โรคมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ มักไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก

มะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อน ( Pancreatic Cancer ) คือ เนื้องอกร้ายหรือมะเร็งซึ่งเกิดขึ้นจากเซลล์ของตับอ่อน อาการในระยะแรกมักไม่เฉพาะเจาะจงหรือไม่มีอาการแสดงเลย จนกระทั่งเป็นมากจะแสดงอาการ เช่น ปวดท้องหรือปวดหลังเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ตัวเหลือง ตาเหลือง ( ดีซ่าน ) เกิดที่ตับอ่อน ตับอ่อนประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ต่อมมีท่อ (Exocrine Gland) ซึ่งสร้างและปล่อยเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร และเซลล์ต่อมไร้ท่อ (Endocrine cells) ซึ่งผลิตและปล่อยฮอร์โมนที่สำคัญเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง โรคมะเร็งตับอ่อนอาจพบได้ไม่มากเหมือนโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ก็มีปริมาณที่น้อยเช่นกัน ส่วนมากโรคนี้มักจะพบได้ในผู้ใหญ่ ที่มีอายุอยู่ในช่วง 40 ปี ขึ้นไป และพบได้ในเพศชายมากว่าเพศหญิง

ชนิดของมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดมาก แต่ชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่คือ ชนิดที่ชื่อว่า  อะดีโนคาร์ซิโนมา ( Adenocarcinoma ) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% ของโรคมะเร็งตับอ่อนทั้งหมด โรคมะเร็งตับอ่อนชนิดนี้จะมีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปานกลาง

ลักษณะของตับอ่อน

เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ มีลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ มีรูปร่างยาวรีคล้ายใบไม้ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนหาง โดยมีลำไส้เล็ก ล้อมอยู่ในส่วนหัวของตับอ่อน อยู่ลึกเข้าไปในช่องท้องด้านหลัง ใกล้กับกระเพราะอาหาร ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่มีเพียงชิ้นเดียวในร่างกาย ตับอ่อนจะมีหน้าที่หลักเกี่ยว ข้องกับระบบทางเดินอาหาร คอยสร้างน้ำย่อยมาใช้ในการช่วยย่อยอาหารที่ได้ทานเข้าไป โดยหลั่งน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็ก ผ่านทางท่อตับอ่อน และตับอ่อน ยังมีหน้าที่ในส่วนของระบบต่อมไร้ท่อด้วย เป็นผู้สร้างฮอร์โมนต่างๆให้ร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอินซูลิน ฮอร์โมนกลูคาก้อน ที่เป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด นอกจากนี้ ยังสร้างฮอร์โมนอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายด้วย

สาเหตุของมะเร็งตับอ่อน

ในปัจจุบันยังทางการแพทย์คงไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจน ของการเกิดโรคมะเร็งตับอ่อนได้  แต่ทั้งนี้ก็เชื่อกันว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. การสูบบุหรี่ เนื่องจากสารบางตัวในสูบบุหรี่จะเป็นตัวไปกระตุ้นการเกิดเชื้อมะเร็งตับอ่อนในร่างกาย

2. ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน หรือ โรคเบาหวาน จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากกว่าคนปกติทั่วไป

3. การบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เช่น อาหารทอด หนังสัตว์ อาจก่อมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

4. มะเร็งตับอ่อนอาจเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมบางชนิด ทั้งชนิดถ่ายทอดได้และชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการแบ่งตัว และการตายของเซลล์ปกติ

5. มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับตับอ่อนมาก่อน เช่น การอักเสบเรื้อรังของตับอ่อน

6. การได้รับสารก่อมะเร็งบางชนิดอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โรคมะเร็งตับอ่อน คือ การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆผู้ป่วยมักจะรู้ตัวเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่แล้ว เนื่องจากมักจะไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก

ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งตับอ่อน

  • ผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปมีอัตราความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน
  • เคยมีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งตับอ่อน
  • การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
  • ผู้ที่มีประวัติเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลานานมีโอกาสเป็นมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้น
  • การอักเสบของตับอ่อนในระยะยาว ส่งผลต่อความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จัด

อาการของมะเร็งตับอ่อน

โรคมะเร็งตับอ่อนนี้ มักจะไม่แสดงอาการออกมาในระยะแรก ผู้ป่วยจะยังคงใช้ชีวิตได้ตามคนปกติทั่วไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โรคมะเร็งตับอ่อนจะไม่มีอาการเฉพาะ แต่จะเป็นอาการเหมือนการอักเสบของตับอ่อนหรือโรคทางเดินอาหารทั่วไป จึงทำให้มักตรวจพบโรคนี้ในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว

โดยอาการทั่วไปที่พบได้ของโรคนี้คือ
1. รู้สึกปวดท้องบ่อย โดยจะเป็นๆ หายๆ  เรื้อรัง

2. น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. มีอาการตาและตัวเหลือง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ก้อนเนื้อมะเร็งไปอุดตันบริเวณท่อน้ำดี

4. มีอาการปวดหลังเรื้อรัง และจะมีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รักษาด้วยวิธีปกติไม่หาย

5. อุจาระ มีลักษณะผิดปกติไปจากเดิม มีสีซีด เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี

6. คลื่นไส้และอาเจียนบ่อยๆ เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนเป็นโรคมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่วินิจฉัยได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาในขณะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็กอยู่ ยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ และผู้ป่วยมักจะทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคนี้เมื่อมีอาการของโรคที่เป็นมากแล้ว ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่และเริ่มรุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  แต่ในทางการแพทย์ก็สามารถที่จะตรวจและวินิจฉัยโรคนี้ได้จาก วิธีต่างๆ ดังนี้

1. การสอบถามประวัติอาการ และ การตรวจร่างกาย  เป็นวิธีการตรวจเบื้องต้นที่แพทย์มักใช้

2. การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์   เป็นการตรวจเพื่อให้เห็นโครงสร้างภายในของตับอ่อนและท่อน้ำดี เพื่อที่จะทราบได้ว่ามีการอุดตันหรือไม่

3. การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ ( CT Scan ) คือการภาพเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อแสดงให้เห็นตำแหน่งและขนาดของจุดเกิดโรค และยังสามารถช่วยวินิจฉัยได้ว่า โรคมีการลุกลามไปยังตับและต่อมน้ำเหลืองหรือไม่

4. การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI ) เป็นการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยทำให้เห็นภาพของอวัยวะภายในและสามารถตรวจพบมะเร็งตับอ่อนได้

5. การตัดชิ้นเนื้อตรวจพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา แต่วิธีนี้อาจไม่นิยมทำเนื่องจาก ตับอ่อนจะอยู่ค่อนข้างลึก การตัดชิ้นเนื้อ มีความเสี่ยงต่อการทะลุเข้ายังลำไส้ อาจก่อการอักเสบรุนแรงของช่องท้อง และยังเสี่ยงในการทะลุเข้าหลอดเลือด อาจทำให้มีอาการเลือดออกรุนแรงในช่องท้องได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของก้อนเนื้อด้วย

ระยะการลุกลามของมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนสามารถแบ่งระยะของโรคออกได้เป็น  4 ระยะ เหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ดังต่อไปนี้

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 1 : เป็นระยะเริ่มต้นของโรคมะเร็ง โดยที่เชื้อมะเร็งจะอยู่แค่ในตับอ่อนเท่านั้น ยังไม่มีการลุกลามไปภายนอก

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งจะเริ่มลุกลามออกไปภายนอกตับอ่อน บริเวณอวัยวะใกล้เคียง แต่ยังไม่มีการลุกลามไปยังไม่เข้าเส้นประสาท และหลอดเลือด

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งลุกลามมากขึ้น โดยที่ก้อนมะเร็งจะลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียง หรือเส้นเลือดสำคัญในช่องท้อง หรือลุกลามจนผ่าตัดไม่ได้

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 : เชื้อมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย โดยที่พบได้บ่อยๆ คือ ตับ ปอด และ กระดูก เป็นต้น เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว

สำหรับผู้ป่วยจะสามารถทราบได้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนนขั้นระยะไหนแล้ว จากการตรวจวินิจฉัยของแพทย์โดยใช้วิธีการต่างๆ หลากหลากวิธี  เพื่อนำข้อมูลที่ได้เหล่านี้ไปใช้ในกระบวนการรักษาต่อไป

การรักษามะเร็งตับอ่อน

ในการรักษามะเร็งตับอ่อนนั้น วิธีในทางการแพทย์จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์หาแนวทางที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายให้มากที่สุด  เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะมีปัจจัยในการรักษาแตกต่างกัน เช่น อายุ เพศ  ความแข็งแรงของร่างกาย  ระยะของโรค เป็นต้น โดยปกติแล้ว การรักษาโรคมะเร็งตับอ่อนนี้ แพทย์จะใช้วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดเพียงวิธีเดียวในผู้ป่วยที่เชื้อมะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  แต่หากผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เชื้อมะเร็งแพร่กระจายแล้ว ก็จะใช้วิธีการผ่าตัด และทำการรักษาต่อเนื่องด้วยการใช้เคมีบำบัด หรือ การใช้รังสีรักษา ส่วนวิธีอื่นๆ อย่าง การให้ยารักษาตรงเป้ายังอยู่อยู่ระหว่างการศึกษาของทางแพทย์ต่อไป

โรคมะเร็งตับอ่อน เป็นชนิดโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูง ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ล้วนแต่มีความอันตรายต่อชีวิตสูงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โอกาสในการรักษาให้หายเป็นปกติจะมีอัตราน้อยกว่าโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วย มาพบแพทย์ตั้งแต่เป็นโรคในระยะแรกๆยังไม่มีการแพร่กระจายของโรค โดยในการรักษาต้องขึ้นอยู่กับแพทย์ว่าจะสามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออกได้มากน้อยเพียงใด และยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆของผู้ป่วยอย่าง อายุ และ สุขภาพอีกด้วย

การป้องกันมะเร็งตับอ่อน

ในปัจจุบันนี้ ยังคงไม่มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ในระยะเริ่มเป็นได้ ซึ่งก็มีข้อแนะนำให้กับคนทั่วๆไปว่า ให้รู้จักดูแลร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ  และหากมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจจะดีที่สุด  ส่วนเรื่องของการป้องกันโรคมะเร็งตับอ่อน ปัจจุบันก็ยังคงไม่มีวิธีหรือยาตัวไหน ที่สามารถจะป้องกันโรคชนิดนี้ได้ ทางทีดีที่สุดที่ควรทำคือ ต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆในการก่อให้เกิดมะเร็ง อีกทั้งควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

จะเห็นได้ว่าตับอ่อนเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อร่างกายมาก มีชิ้นเดียวภายในร่างกาย อีกทั้งหากเกิดโรคมะเร็งขึ้นกับตับ อ่อนแล้ว ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคที่สูงมาก  และยังเป็นโรคที่ไม่มีวิธีในการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น วิธีป้องกัน ดังนั้นเราในฐานะเจ้าของร่างกาย ควรดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายและตับอ่อนให้ดีให้แข็งแรงอยู่เสมอ  และหากเป็นผู้ที่มีอายุ 40  ปี ขึ้นไปแล้ว ควรหาโอกาสเข้าตรวจสุขภาพร่างกายอย่างน้อยปีละครั้ง  เพราะหากตรวจพบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ระยะแรก ก็จะสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกตินั่นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

มะเร็งตับ ( Liver Cancer )

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Haffty, B., and Wilson, L. (2009). Handbook of radiation oncology. Singapore: Jones and Bartlett Publishers.

Edge, S. et al. (2010). AJCC: Cancer staging handbook. New York: Springer.

แอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพ

0
แอนโทไซยานิน สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพในมัลเบอร์รี่
สารแอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบปริมาณมากในมัลเบอร์รีหรือลูกหม่อน
แอนโทไซยานิน สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพในมัลเบอร์รี่
สารแอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบปริมาณมากในมัลเบอร์รีหรือลูกหม่อน

แอนโทไซยานิน

แอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) คือ สารที่อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid ) ซึ่งจะให้สีน้ำเงิน แดง และสีม่วง กับดอกไม้ ผักผลไม้ต่างๆ โดยช่วงแรกที่พบสารชนิดนี้  ได้จากการสังเกตองค์ประกอบทางเคมีของดอกไม้สีน้ำเงิน และยังพบอีกว่าสารชนิดนี้สามารถเปลี่ยนสีไปได้ตามค่าความเป็นกรด-ด่าง ต่างๆ ซึ่งหากอยู่ในสภาวะเป็นกลางจะได้สีม่วง หากอยู่ใน สภาวะเป็นด่างจะได้สีน้ำเงิน และหากอยู่ในสภาวะเป็นกรดจะให้สีแดง

โดยในปัจจุบันสารแอนโทไซยานินจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ได้รับความสนใจจากวงการแพทย์มากที่สุดก็มีทั้งหมด 6 ชนิด เพราะสามารถที่จะนำมาใช้ในการหาสารสกัดต้านโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ โดยสารที่ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องได้แก่

  • เดลฟินิดิน ( Delphinidin )
  • พีโอนิดิน ( Peonidin )
  • ไซยานิดิน ( Cyanidin )
  • มาลวิดิน ( Malvidin )
  • เพทูนิดิน ( Petonidin )
  • เพลาโกนิดิน ( Pelargonidin )

อาหารที่มีสารแอนโทไซยานินสูง

1. กะหล่ำปลีสีม่วง
ผลกะหล่ำปลีสีม่วงเป็นอีกหนึ่งพืชผักชนิดที่มีสารแอนโทไซยานินอยู่สูง โดยกะหล่ำปลีสีม่วงขนาด 100 กรัม จะมีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่ 113 มิลลิกรัม

2. แรดิช
ผลแรดิชมีลักษณะลูกกลมๆ สีแดงสด สามารถนำมารับประทานได้แบบสดๆ ก็จะได้รับสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยล่ะค่ะ เพียงรับประทานผลแรดิชขนาด 100 กรัม ก็จะได้รับสารแอนโทไซยานินปริมาณ 116 มิลลิกรัม

3. ข้าวโพดสีม่วง
ข้าวโพดสีม่วงหรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง จะมีสารแอนโทไซยานินอยู่สูงมากขนาดที่ใครหลายคนคิดว่าสามารถต้านมะเร็งได้ โดยข้าวโพดสีม่วงปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่มากถึง 1,642 มิลลิกรัม

4. มะเขือม่วง
มะเขือสีม่วงจัดอยู่ในอาหารที่มีแอนโทไซยานินสูงมากชนิดหนึ่งค่ะ ซึ่งมะเขือม่วงปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 750 มิลลิกรัม

5. โช๊คเบอร์รี่
ผลไม้ที่มีชื่อเรียกว่า โช๊คเบอร์รี่ มีผลสีดำออกม่วงเข้มจัดเป็นแหล่งของสารแอนโทไซยานินชั้นดีเลยล่ะค่ะ โช๊คเบอร์รี่ปริมาณแค่เพียง 100 กรัม ก็มีสารแอนโทไซยานินมากมายถึง 2,147 มิลลิกรัม

6. อัลเดอร์เบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูกันแต่มีสารแอนโทไซยานินอยู่เปี่ยมล้นนัก นั่นก็คือผลอัลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberries) ที่มีปริมาณ 100 กรัมก็ให้สารแอนโทไซยานินมากถึง 1,993 มิลลิกรัม 

7. ราสเบอร์รี่สีดำ
ผลราสเบอร์รี่สีดำพบว่าเมื่อรับประทานทุกวัน สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากถึงร้อยละ 45 เลยทีเดียวค่ะ ราสเบอร์รี่สีดำปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินมากถึง 845 มิลลิกรัม

8. แบล็คเคอร์แรนท์
แบล็คเคอร์แรนท์เป็นผลไม้ตระกูลราสเบอร์รี่ และมีสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยค่ะ แบล็คเคอร์แรนท์ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินถึง 533 มิลลิกรัม

9. บลูเบอร์รี่
ผลไม้แสนอร่อยที่เต็มไปด้วยคุณค่าและโประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างบลูเบอร์รี่ ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 529 มิลลิกรัม

10. มาเรียนเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Marion Blackberry จัดเป็นแหล่งของอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินอยู่สูง ซึ่ง มาเรียนเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 433 มิลลิกรัม

11.แบล็คเบอร์รี่
ผลแบล็คเบอร์รี่จะไม่ติดอันดับก็คงจะไม่ได้ นอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพอย่างนี้ แบล็คเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินมากถึง 353 มิลลิกรัม

12. องุ่นม่วง
ผลองุ่นสีม่วงจัดเป็นแหล่งของอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยล่ะค่ะ องุ่นม่วงปริมาณ 100 กรัม มีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่ 192 มิลลิกรัม

13. เชอร์รี่หวาน
เชอร์รี่หวานนอกจากรสชาติอร่อยแล้วยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เชอร์รี่หวานปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินถึง 177 มิลลิกรัม

14. ราสเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดอย่างราสเบอร์รี่ที่สีสดใสสีแดง มีรสชาติเปรี้ยวก็เต็มเปี่ยมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน โดยราสเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่มากถึง 116 มิลลิกรัม

15. เกรฟฟรุ๊ท
เกรฟฟรุ๊ทเป็นผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายส้มแต่ข้างในมีสีแดง โดยเกรฟฟรุ๊ทปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 200 มิลลิกรัม

16. มัลเบอร์รี่ หรือหม่อน
มีหน้าตาคล้ายกับพวงองุ่นขนาดเล็ก ซึ่งในมัลเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) สูงมาก ซึ่งจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและลดการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของแอนโทไซยานิน

แอนโทไซยานินมีประโยชน์ที่หลากหลาย ดังต่อไปนี้ 

1. ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เพราะสารแอนโทไซยานินมีสานต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถกำจัดสารที่เป็นตัวก่อมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม และช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น

2. ลดระดับน้ำตาลในเลือดและควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติ ซึ่งแอนโทไซยานินก็จะพบได้มากในผลมันเบอร์รี่ จึงเป็นผลให้ชามัลเบอร์รี่มีสรรพคุณในการลดน้ำตาลในเลือดได้ดีนั่นเอง และยังช่วยชะลอการย่อยน้ำตาลที่อยู่ในลำไส้เล็ก จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยเบาหวานจึงนิยมให้ทานอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินนั่นเอง

3. แอนโทไซยานินช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งสามารถขจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน และสามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

4. ช่วยดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต โดยไปขัดขวางการจำลองแบบของ DNA มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีน และทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้

5. ใช้เป็นส่วนผสมในครีมกันแดด ( Sunscreen ) ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนกว่าวัย ชะลอความเสื่อมสภาพของผิวหนัง เนื่องจากสารแอนโทไซยานินช่วยยับยั้งกระบวนการออกซิเดชันที่เกิดจากแสงอัลตราไวโอเลต และหากใช้ร่วมกับวิตามินอีจะทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้ทำสบู่ได้ด้วย

6. ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ เนื่องจากแอนโทไซยานินทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ภายในสิ่งมีชีวิต ทำให้สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งแอนโทไซยานินมีประสิทธิภาพในการต้านสารอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซี และวิตามินอี ถึง 2 เท่า

7. ใช้เป็นสีย้อมอาหาร ( Food dye ) เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์สีผสมอาหารแอนโทไซยานินจะอยู่ในรูปแบบผง และของเหลว จึงสามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการของอาหาร และผสมกับส่วนของไข่ขาวเพื่อใช้เป็นสารช่วยให้ความคงตัวแทนการใช้แป้ง รวมทั้ง เพิ่มความคงตัวให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีค่า Water activity ต่ำ

8. ใช้เป็นส่วนผสมในแชมพู และครีมนวดผม ซึ่งสารแอนโทไซยานินจะช่วยกระตุ้นให้รากผมสร้างผมได้มากขึ้นถึง 3 เท่า

9. ช่วยในการผสมเกสร ซึ่งจะช่วยล่อแมลงและสัตว์ต่างๆให้ดอกไม้ เช่น ผึ้งชอบดอกสีน้ำเงิน หรือสีเหลือง และมีลายเส้นของดอกไม้ที่โดดเด่น ผีเสื้อชอบดอกสีแดง และสีชมพู นกชอบดอกสีแดง และสีส้ม ส่วนด้วงและค้างคาวชอบดอกสีไม่สดใส และไม่ฉูดฉาด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ?  ( Almonds )

0
อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ? (Almonds)
อัลมอนด์ เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ? (Almonds)
อัลมอนด์ เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

อัลมอนด์

อัลมอนด์  ( Almonds ) ถั่วยอดนิยมสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ถั่วเม็ดเล็ก ๆกรุบๆกรอบๆ ถ้าได้ลองกินสักครั้งรับรองว่าต้องติดใจกันทุกคน อัลมอนด์เป็นเมล็ดของผล  Drupe ที่เป็นผลแบบเมล็ดเดี่ยวคือภายในลูกจะมีเพียงแค่เมล็ดเดียวเท่านั้น เมล็ดมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำมีเปลือกสองชั้น เปลือกชั้นนอกสุดมีความแข็งมาก ส่วนเปลือกชั้นในจะมีลักษณะเป็นเยื่อบางๆติดอยู่กับเมล็ด เมล็ดสามารถทานพร้อมกับเมล็ด ผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อภายในเมล็ดมีสีขาวครีม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Prunus Dulcis ( Mill. ) D.A.Webb หรือ Prunus amygdalus Batsch เป็นพืชอยู่ในวงศ์กุหลาบ ( Rosaceae )

เมล็ดอัลมอนด์ มีต้นกำเนิดอยู่ในตะวันออกกลางและภูมิภาคเอเชียใต้ ด้วยรสชาติและคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในอัลมอนด์ ทำให้อัลมอนด์แพร่ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก อัลมอนด์เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นสูงมีความสูง 4-10 เมตร ใบยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ใบมีเป็นหยักโดยรอบ ดอกประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบรวมกันตรงกลางมีเกสรดอก โคนกลีบดอกจะมีสีเข้มกว่าปลายดอก

ชนิดของ อัลมอนด์

1.อัลมอนด์ชนิดหวาน ( Sweet Almond ) อัลมอนด์ชนิดนี้เป็นที่นิยมนำมาทานเล่นหรือนำไปปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน นอกจากการปรุงรับประทานแล้วยังนำไปสกัดทำน้ำมันอัลมอนด์เพื่อใช้การปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น อัลมอนด์สายพันธุ์ดอกจะมีสีขาว เมล็ดยาวกว่าสายพันธุ์บิทเทอร์เล็กน้อย
2.อัลมอนด์ชนิดขม ( Bitter Almon ) เป็นอัลมอนด์ที่เราไม่สามารถรับประทานได้ทันที เราต้องนำไปสกัดน้ำมันหรือสกัดสารอาหารที่มีประโยชน์ออกมาใช้แทนการรับประทานเล่น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในอัลมอนด์ชนิดนี้จะมีสารพิษที่ชื่อว่าสารไซยาไนด์ ( Cyanide ) สารนี้มีอัตรายถึงตายได้เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกาย อัลมอนด์สายพันธุ์นี้มีดอกสีชมพู เมล็ดอ้วนแป้นและมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์หวาน

อัลมอนด์  ( Almonds ) เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของ อัลมอนด์

อัลมอนด์  คือ ถั่วที่มีสารอาหารที่ทรงคุณค่าต่อร่างกายมากกว่าถั่วชนิดอื่นๆ ถึงขั้นที่เป็นอาหารติดอันดับ 1 ใน 10 ของสุดยอดอาหารที่กินเพื่อสุขภาพ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในอัลมอนด์ทุกเมล็ดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย วิตามินและแร่ธาตุที่มีอยู่ในอัลมอนด์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีดังนี้เปลือกของเมล็ดอัลมอนด์มีสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoids ) จากงานวิจัยของ TUFTS University พบว่าสารฟลาโวนอยด์จะทำงานร่วมกับวิตามินอี เข้าไปช่วยดูแลผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง

สถาบันที่มีชื่อเสียงของทั้งอเมริกาและยุโรป ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการรับประทาน อัลมอนด์ พบว่าการรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำทุกวันวันละ 1 หยิบ ช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 4.4 % และถ้าเพิ่มอัตราการกินเป็น 2 หยิบมือต่อวันสามารถช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 9.4 % ที่ถือว่าเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงมาก เมื่อระดับของไขมันเลวลดลงไขมันที่จะเข้าไปในอุดตันในเส้นเลือดก็มีปริมาณลดลง จึงไม่มีการอุดตันในเส้นเลือด เป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดที่ดีและได้ผลดีมากลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะว่าเมื่อรับประทานอัลมอนด์ อัลมอนด์จะเข้าไปช่วยให้มีการหลั่งสารอินซูลินหลังรับประทานอาหาร ทำให้ตับและเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ สามารถดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดที่ได้รับจากรับประทานอาหาร เมื่อน้ำตาลที่ได้รับเข้ามาถูกดูดซึมไปจนหมดแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงนั่นเอง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดคงที่การหลั่งสารอินซูลินเป็นปกติ อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานก็ลดน้อยลงด้วย

อัลมอนด์ ยังมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะเมื่อรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำ ไม่ว่าจะการรับประทานแทนอาหารมื้อหลัก รับประทานแทนขนมกินเล่น รับประทานเป็นอาหารว่างจะช่วยลดการกินจุกกินจิกและลดดความหิวระหว่างมื้ออาหาร และเมื่อรับประทานเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะในอัลมอนด์ 1 เมล็ดนั้นให้พลังงานเพียงแค่ 7 แคลลอรีเท่านั้น เมื่อรับประทานไม่กี่เมล็ดก็จะรู้สึกอิ่มนานอีกด้วย อัลมอนด์จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายที่เป็นแหล่งผลิตไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย เมื่อคอลเลสตอรอลลดลงแล้วไขมันที่เกิดขึ้นใหม่ก็ลดลงด้วย

ได้มีการทดลองจากนักวิจัยของประเทศแคนาดาและประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการทดลองโดยจัดกลลุ่มทดลองขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม ซึ่งทำการคัดเลือกผู้สมัครที่มีความเสี่ยงต่อการมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงมาร่วมการทดลอง โดย 3 อาทิตย์แรกให้คนกลุ่มนี้รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ต่อจากนั้นให้รับประทานอัลมอนด์  9 สัปดาห์พบว่าระดับคอเลสเตอรอลของคนในกลุ่มทดลองลดลงพ้นจากการเสี่ยงในการมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงได้ทุกคน และระดับไขมันไม่ดี ( LDL ) ในเส้นเลือดลดลง แต่ระดับไขมันเลว ( HDL ) ในเส้นกลับมีปริมาณเท่าเดิมก่อนที่จะเริ่มทำการทดลองอีกด้วย จากผลการทดลองจะพบว่าอัลมอนด์มีสารหลายตัวที่เป็นตัวช่วย รวมถึงวิตามินอีที่ช่วยปกป้องไม่ให้ไขมันเลวเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเข้าไปทำลายผนังหลอดเลือดแดงในหัวใจ

สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักการรับประทานอัลมอนด์แทนของกินเล่นที่ให้พลังงานสูง และรับประทานแทนข้าวหรืออาหารหลักในบางมื้อหนึ่งมื้อต่อวันนั้นจะช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเส้นใยคุณภาพดี อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีเส้นใยสูงมากทีเดียว เส้นใยจะเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายได้เป็นปกติลดอาการท้องผูกซึ่งเป็นที่มาของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีสาเหตุมาจากสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่มากและนานเกินไป ทำให้เซลล์มีความผิดปกติเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ สารต่อต้านอนุมูลอิสระและโปรตีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้มีมากขึ้น จึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ชะลอให้ดูเยาว์วัยไม่เสื่อมและเป็นแหล่งพลังงานอีกด้วยกรดโฟลิกที่มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทให้กับทารกในครรภ์

และสำหรับผู้ใหญ่แล้วการรับประทาน อัลมอนด์  เป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้การรับประทานอัลมอนด์สามารถรับประทานได้หลายแบบด้วยกัน เพราะปัจจุบันนี้ได้มีการแปรรูปอัลมอนด์ออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างหลากหลาย เช่น อัลมอนด์อบเกลือ อัลมอนด์เคลือบน้ำตาล อัลมอนด์อบแห้ง เป็นต้น การรับประทานอัลมอนด์สามารถรับประทานทันทีหรือจะนำมารับประทานร่วมกับอาหารอย่างอื่นเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ทานกับโยเกิร์ต ปั่นรวมกับน้ำผักผลไม้ โรยหน้าบนขนมที่ชอบ ทานกับผักสลัด อัลมอนด์สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น แต่ว่าต้องเก็บไว้ในห่อหรือกล่องที่สุญญากาศแช่เย็นไว้เพื่อคงคุณค่าทางสารอาหารของอัลมอนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมนูแนะนำสำหรับ อัลมอนด์

แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์
ส่วนผสม

อัลมอนด์  ( Almonds )                     1 ถ้วยตวง

ลูกแครนเบอร์รี่แบบอบแห้ง                    1 ถ้วยตวง

ลูกเกด                                        0.5 ถ้วยตวง

เมล็ดฟักทองแบบอบแห้ง                     ¼ ถ้วยตวง

มะพร้าวแผ่นอบแห้ง                           ¼ ถ้วยตวง

ถั่วเหลืองอบ                                 0.5 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ
1.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ทำการคลุกเคล้าให้เข้ากัน ด้วยช้อนหรือทัพพี

2.ทำการปิดฝาภาชนะให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ ก็พร้อมนำมารับประทานได้

แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์  ในปริมาณ 1/3 ถ้วยตวง จะมีปริมาณสารอาหารดังตารางด้านล่าง

ข้อมูลทางโภชนาการ
แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์   (คำนวณจากปริมาณของอาหาร ⅓ ถ้วยตวง)
                                                                          ปริมาณสารอาหาร
พลังงานทั้งหมด                                                        193 แคลอรี
พลังงานจากไขมัน                                                     86 แคลอรี่
%คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม                     10 กรัม                                15%
ไขมันอิ่มตัว                 < 1 กรัม                                  4%
โคลสเตอรอล                  0 มิลลิกรัม                            0%
โซเดียม                        0 มิลลิกรัม                             0%
คาร์โบไฮเดรตรวม         23 กรัม                                  8%
เส้นใยอาหาร                  3 กรัม                                13%
โปรตีน                         7 กรัม
 วิตามิน เอ 0%       วิตามิน ซี < 2%       แคลเซียม 7%      ธาตุเหล็ก 6%      วิตามิน อี 35%

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

Illustration from Franz Eugen Köhler, Köhler’s Medizinal-Pflanzen, 1897
The Plant List, Prunus dulcis (Mill.) D.A.Webb

Bailey, L.H.; Bailey, E.Z.; the staff of the Liberty Hyde Bailey Hortorium. 1976. Hortus third: A concise dictionary of plants cultivated in the United States and Canada. Macmillan, New York.

Rushforth, Keith (1999). Collins wildlife trust guide trees: a photographic guide to the trees of Britain and Europe. London: Harper Collins. ISBN 0-00-220013-9.

ถาม – ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน

0
ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน
อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงจะเป็นอาหารประเภทของหมักดอง อาหารหวาน
ถาม - ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน
เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งจะไปเสริมฤทธิ์ยาให้มีมากขึ้นในผู้ป่วยที่ใช้อินซูลีนจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากว่าปกติ

อาหารผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ ที่เพิ่งพบหรือตรวจเจอว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน  นอกจากจะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์แล้วก็คงมีคำถามขึ้นมาในหัวมากมายว่า ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตอย่างไรบ้าง อะไรที่สามารถทำได้เหมือน เดิม หรืออะไรที่ไม่ควรทำและต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะเรื่อง อาหารผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีความสำคัญกับอาการของโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก ลองมาดูกันว่ามีคำถามอะไรที่บ้างที่ผู้ป่วยมักสงสัยและอยากถาม ดังต่อไปนี้

คำถามเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยเบาหวานทั่วไป

1.1 ผู้ป่วยเป็นเบาหวานสามารถรับประทานผลไม้ได้มากน้อยเพียงใดต่างจากคนปกติหรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานสามารถทานผลไม้ได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ต้องทานในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากในผลไม้ทุกชนิดจะน้ำตาลที่อยู่ในรูปของฟรักโทส หากทานมากเกินไปจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้

1.2 ผู้ป่วยเบาหวานทานทุเรียนได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากและให้พลังงานสูง ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานทุเรียนเข้าไปจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าการทานผลไม้อื่นๆ

1.3 ผู้ป่วยเบาหวานดื่นเบียร์ได้หรือไม่?

ตอบ  ไม่ควรดื่ม เนื่องจากเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์จะไปเสริมฤทธิ์ยาให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้อินซูลีนอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากว่าปกติและเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ให้พลังงานสูง หากทานในปริมาณมากจะยิ่งทำให้อ้วนได้

1.4 ผู้ป่วยเบาหวานจะรับประทานข้าวระหว่างมื้อได้หรือไม่?

ตอบ ทานได้แต่ต้องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมโดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตรวมทั้งวันต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด

1.5 ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานขนมหวานๆ บ้างได้หรือไม่?

ตอบ ทานได้ แต่ควรทานในปริมาณน้อย เนื่องจากขนมหวานต่างๆ มักจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลและไขมันที่สูงเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ หากต้องทานขนมหวานควรลดปริมาณอาหารอย่างอื่นในมื้อนั้นๆ แต่ก็จะได้รับสารอาหารที่น้อยตามไปด้วย

1.6 ดื่มน้ำเต้าหู้ตอนเช้าแทนนมได้หรือไม่?

ตอบ  ทานแทนได้สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้นม แม้ว่าน้ำเต้าหู้จะมีแคลเซียมน้อยกว่านมมาก แต่ก็อุดมไปด้วยโปรตีนและ ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรทานแบบหวานน้อยหรือใช้ความหวานจากน้ำตาลเทียมแทน

1.7 ดื่มนมมากกว่าวันละ 2 กล่องได้หรือไม่?

ตอบ  สามารถดื่มได้แต่ควรเลือกนมชนิดพร่องมันเนยหรือนมขาดไขมัน และเลือกทานนมรสจืดจะดีที่สุด ในแต่ละวันผู้ใหญ่ ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 2 กล่อง เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ ส่วนผู้ที่ต้องการแคลเซียมมากขึ้นเป็นพิเศษอย่างคนท้อง ผู้สูงอายุ หรือเด็กที่กำลังโต อาจจะดื่มเพิ่มเป็น 3 กล่องเพื่อให้ได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ

1.8 รับประทานรังนกได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวานทานรังนกได้ แต่ต้องระวังเนื่องจากรังนกที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปจะมีปริมาณน้ำตาลที่สูงผสมเข้าไปเพื่อให้มีรสอร่อย ทานง่าย ควรเลือกแบบไม่มีน้ำตาลหรือทำทานเองได้จะดีที่สุด แต่เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่กับมีคุณค่าทางอาหารไม่สูงเหมือนราคา จึงอาจจะไม่จำเป็นต่อร่างกายมากนัก  ผู้ป่วยสามารถทานอย่างอื่นทดแทนได้ เช่น นม น้ำผลไม้ธรรมชาติ เป็นต้น

1.9 รับประทานซุปไก่สำเร็จรูปได้หรือไม่?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวาน ทานได้หากไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เพราะซุปไก่สำเร็จรูปมีราคาสูง อาจจะใช้รับประทานเพื่อให้ได้โปรตีนในมื้ออาหาร เมื่อมีอาการเจ็บป่วยและรับประทานอาหารปกติไม่ลงซุปไก่สำเร็จรูปเป็นโปรตีนที่ย่อยแล้วอยู่ในรูปเพปไทด์แม้ว่าจากการวิเคราะห์คุณค่าอาหารจะพบว่าเทียบเท่ากับไข่ครึ่งฟองเพียงเท่านั้น แต่โปรตีนในซุปไก่สำเร็จรูปสามารถย่อยได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการย่อยโปรตีน

1.10 จะดื่มน้ำส้มร่วมกับอาหารมื้อเช้าได้หรือไม่?

ตอบ สามารถดื่มได้ โดยปกติน้ำส้มจะใช้เมื่อ ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงเพราะสามารถหาได้ง่ายและร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็วแต่ทั้งนี้การทานผลไม้สดๆจะให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่าการนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้

1.11 น้ำแครอตมีประโยชน์อย่างไร ต้องจำกัดปริมาณการบริโภคหรือไม่?

ตอบ แครอตเป็นพืชที่มีสารเบตาแคโรทีนสูงช่วยในการมองเห็นในที่มืดช่วยให้สุขภาพผิวพรรณดีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายและที่สำคัญ คือป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้ทำปฏิกิริยาทำลายส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดแต่ในแครอทจะมีคาร์โบไฮเดรตรวมอยู่ด้วย จึงควรทานในปริมาณที่เหมาะสม หากทานมากเกินไป จะทำให้ได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น หากไม่ลดปริมาณอาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นก็จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

1.12 การดื่มนมโคทำให้เป็นโรคเบาหวานจริงหรือไม่?

ตอบ ข้อนี้แม้จะยังไม่มีผลวิจัยไหนที่รองรับ แต่ทางแพทย์ได้แนะนำสำหรับครอบครัวที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ว่าควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่จะดีที่สุด เพราะจะช่วยป้องกันเบาหวานในเด็กได้นอกจากนี้ นมวัวมีโปรตีนที่ย่อยยากกว่านมแม่ แล้วยังขาดธาตุเหล็กอีกด้วยซึ่งอาจส่งผลให้เด็กเป็นโรคโลหิตจางได้ รวมทั้งยังอาจทำให้เด็กแพ้นมวัวได้อีกด้วย

เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อต่างๆในการทานอาหารเพื่อรักษาโรคเบาหวาน

2.1 เคยได้ยินโฆษณาว่าน้ำตาลฟรักโทสสามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานได้จริงหรือไม่?

ตอบ ฟรักโทสหรือน้ำตาลผลไม้ เป็นรูปแบบน้ำตาลจากธรรมขาติ ให้ความหวานสูงโดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของฮอร์โมสอินซูลิน จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงน้อยกว่าการรับประทานน้ำตาลทรายแต่ในที่สุดร่างกายก็จะเปลี่ยนฟรักโทสไปเป็นกลูโคสเช่นกัน ระดับกลูโคสในเลือดจึงสูงขึ้นช้ากว่าการรับประทานน้ำตาลทราย ฟรักโทสให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลทราย ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคได้ไม่ดีจึงไม่ควรรับประทานฟรักโทส แต่ในผู้ป่วยที่ควบคุมได้ดีอาจใช้ฟรักโทสได้เล็กน้อยเป็นครั้งคราวแต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเลี่ยงอาหารรสหวานนั้นเอง

2.2 เคยมีข่าวว่าผู้ป่วยเบาหวานจะใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาลได้ แต่ทำไมข่าวคราวจึงเงียบไป?

ตอบ หญ้าหวานเป็นพืชที่หวานกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า และไม่ก่อให้เกิดพลังงาน จากการทดสอบและทดลองพบว่า สารให้รสหวานสตีวิโอไซด์ที่สกัดจากหญ้าหวาน  เมื่อฉีดเข้าไปในตัวหนูขาวแล้ว มีความเป็นพิษต่อไตของหนูขาวและยังมีฤทธิ์กลายพันธุ์ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งจากการทดลองก็นับว่ายังไม่ปลอดภัยที่จะนำหญ้าหวานมาใช้แทนน้ำตาล

2.3 น้ำมันปลา Fish Oil ช่วยลดระดับไขมันได้จริงหรือ ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานหรือไม่?

ตอบ น้ำมันปลาเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเนื้อปลาทะเลหลายชนิด บรรจุในรูปของแคปซูลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานน้ำปลาไปข้อดีคือ จะช่วยรักษาภาวะไขมันไทรกลีเซอไรด์สูงในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือ ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลเป็นปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานประเภทไม่พึ่งอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เพราะอาจเกิดผลเสียต่อการควบคุมเบาหวานได้

2.4 สมุนไพรรักษาเบาหวานได้ไหม?

ตอบ ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบันได้ในการรักษาเบาหวานได้ แต่หากทานไปก็ไม่มีโทษอะไร หลายสมุนไพร เช่น  มะระไทย หอมใหญ่  เป็นอาหารที่ทานกันประจำอยู่แล้ว  สมุนไพรบางชนิดอาจจะมีสรรพคุณที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ก็ยังไม่ได้การรับรองจากทางการแพทย์ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานห้ามหยุดยาที่ได้จากแพทย์ควรทานต่อเนื่อง แม้ว่าจะทานสมุนไพรต่างๆเป็นประจำเสมออยู่แล้วก็ตาม

2.5 ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานน้ำตาลเทียมได้วันละกี่ซอง?

ตอบ  น้ำตาลเทียมที่นิยมใช้แทนการได้รับความหวานจากน้ำตาลปกติ ที่นิยมใช้กันคือ แอสพาร์เทม สามารถใช้ทานได้วันละ 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม  ( น้ำตาลเทียม 1 ซองมีแอสพาร์เทม 38 มิลลิกรัม )  แต่โดยปกติปริมาณที่ผู้ป่วยจะใช้น้ำตาลเทียมได้ เฉลี่ยเพียงวันละ 3-5 ซองเท่านั้นจึงถือว่าปลอดภัย

เรื่องเกี่ยวกับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อต้องไปงานเลี้ยงหรือต้องทานมากว่าปกติ

3.1 มีหลักเกณฑ์อย่างไรในการเลือกรับประทานอาหารเวลาไปงานเลี้ยง?

ตอบ ควรจำกัดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น อาหารทอดอาหารผัด อาหารที่มีไขมันสูงเนื้อสัตว์ติดมัน และให้เน้นทานอาหารประเภทผักหรือผลไม้ให้มาก เลือกทานเครื่องดื่มเป็นน้ำเปล่าแทน ชากาแฟ หรือน้ำอัดลม ที่สำคัญต้องงดแอลกอฮอล์

3.2 มีวิธีลดไขมันในอาหารได้อย่างไรถ้าต้องออกไปรับประมานอาหารตามภัตตาคาร?

ตอบ เวลาทานควรลดอาหารประเภทไขมันสูงโดยเฉพาะควรเนื้อสัตว์เพราะเนื้อสัตว์มักจะมีไขมันสูง เช่นไส้กรอก แฮม เลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ติดหนัง และทานในปริมาณที่เหมาะ หากเลือกได้ ควรทานอาหารประเภทเสื้อสัตว์อย่าง ปลาเผา ปลาอบ ปลานึ่ง จะลดไขมันลงได้ดีที่สุด

3.3 ช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน สารทจีน ผู้ป่วยเบาหวานอยากจะอร่อยบ้าง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นควรจะทำอย่างไร?

ตอบ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่อยากจะอร่อยกับอาหารในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่ไม่อยากให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นต้องมีการวางแผนในการกินดังต่อไปนี้

ข้อที่ 1 ก่อนถึงเทศกาลต่าง 1 สัปดาห์ ต้องควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดเพื่อเตรียมตัวทานอย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาล
ข้อที่ 2 งดอาหารว่างระหว่างมื้อให้รับประทานเพียงอาหารมื้อหลัก 3 มื้อเท่านั้นพอ
ข้อที่ 3 เมื่อถึงเทศกาล ต้องทานอาหารอย่างมีสติหยุดทันทีเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม ไม่เติมนิดเติมหน่อย
ข้อที่ 4 ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นเพื่อเผลผลาญอาหารที่ทานเข้าไปในปริมาณที่มากขึ้น

3.4 ถ้าหลังจากรับประทานอาหารมื้อใหญ่ในภัตตาคารแล้วระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในเวลาต่อมาควรทำอย่างไร?

ตอบ ควรรีบไปพบแพทย์หรือทานยาตามที่แพทย์ได้แนะนำไว้ ถ้าทางที่ดีในการไปทานอาหารมื้อใหญ่ตามภัตตาคาร ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เนื่องจากอาหารต่างๆในภัตตาคารมักจะอุดสมบรูณ์ไปด้วย แป้ง น้ำตาล ไขมัน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งสิ้น

คำถามเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

4.1 ทำอย่างไรจึงจะลดน้ำหนักได้ แม้จะรับประทานอาหารน้อยแต่น้ำหนักก็ยังไม่ยอมลด?

ตอบ การคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วยโดยผู้ป่วยเบาหวานที่อ้วนสามารถลดน้ำหนักตัวได้ด้วยเทคนิคดีๆต่อไปนี้

1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยให้ได้อย่างน้อยวันละประมาณ 30 นาที ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานออกไปเมื่อน้ำหนักลงระดับน้ำตางในเลือกก็จะลดตามไปด้วย
2.จำกัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ไม่ตามใจปาก เช่นลดปริมาณข้าวที่ทานลง 1 ทัพพีในแต่ละมื้อ
3.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นอาหารทอดต่างๆ เนื้อสัตว์ติดหนัง เพราะอาหารกลุ่มนี้จะให้พลังงานสูงเกินเป็น 2 เท่าของอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
4.แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้การรักษาแบบฉีดอินซูลิน หรือต้องออกกำลังกายทุกวันบ่อยๆควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับปริมาณอินซูลินให้พอเหมาะกับอาหารที่รับประทาน

4.2 มีวิธีใดที่จะลดน้ำหนักโดยไม่ต้องตัดขาดจากอาหารที่ชอบ?

ตอบ ผู้ป่วยเบาหวานยังคงสามารถทานอาหารที่ตนเองชอบได้บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องคำนึงถึงคือปริมาณของอาหารที่จะรับประทานในแต่ละมื้อให้มีความเหมาะสม แต่ทั้งนี้อาจจะต้องเลี่ยงอาหารไขมันสูง และควรหาเวลาออกกำลังเพื่อให้เผาผลาญพลังงานในร่างกายจากการกินส่วนเกินด้วย

4.3 ถ้าต้องฉีดอินซูลินตอนเย็นและต้องการรับประทานอาหารว่างก่อนนอนจะต้องรับประทานมากน้อยเท่าไร?

ตอบ ผู้ป่วยที่ต้องฉีดอินซูลินในตอนเย็นอินซูลินจะไปออกฤทธิ์สูงสุด ในเวลาตอนกลางดึกจึงทำให้ระดับน้ำตาลต่ำในเวลานั้น ผู้ป่วยควรอาหารว่างทานก่อนนอน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกินมาตรฐานปกติ โดยการเลือกอาหารว่างที่จะทานเข้าไปมีหลักการเลือกดังนี้

ถ้า ระดับน้ำตาลน้อยกว่า 100 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร ) ควรทานผลไม้หรืออาหารว่างปกติ
ถ้า ระดับน้ำตาล อยู่ในระดับ 101-180 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร )     ควรทานอาหารว่างปกติ
ถ้า ระดับน้ำตาล มากกว่า 181 ( มิลลิกรัม/เดซิลิตร )     ควรงดการทานอาหารว่าง

4.4 ภาวะดื้อต่ออินซูลิน Insulin Resistance คืออะไร?

ตอบ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินน้อยกว่าปกติซึ่งมักจะพิจารณาได้จากผลของอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากอินซูลินมีผลต่อกระบวนการสลายไขมัน และโปรตีนด้วย ดังนั้นเมื่อมีภาวะดื้อต่ออินซูลินจึงเกิดความผิดปกติต่อกระบวนการสลายไขมันและโปรตีนด้วย

กลไกในการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือ การเกิดความผิดปกติต่างๆ ของตัวรับอินซูลินทั้งในด้านจำนวนหรือการทำงานของตัวรับอินซูลินที่ลดลงโดยสาเหตุอาจเกิดจากหลายๆ ปัจจัย เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ระดับอินซูลินในเลือดสูง หรือกรดไขมันอิสระในเลือดสูง  เป็นต้น

ส่วนการรักษาภาวะอาการนี้ ทำได้คือ การทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เช่น ใช้ทานยาตามแพทย์สั่ง หรือใช้การฉีดอินซูลิน ก็จะทำให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง หรืออาจจะใช้ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลินก็จะทำให้ระดับน้ำตาลลดลงได้เช่นกัน

จากคำตอบหลายๆข้อที่ช่วยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับคำถามเรื่องอาหารของโรคเบาหวานนั้น คงจะพอสรุปได้ว่า การทานอาหารไม่ว่าจะชนิดใดก็แล้วแต่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ควรทานในปริมาณที่พอดีเหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป จนส่งผลกระทบต่ออาการเบาหวานที่เป็นอยู่  และต้องรู้ว่าตัวเองต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดบ้าง ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและต้องหลีกเลี่ยงไม่ควรทาน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยเองทั้งสิ้น  คงจะไม่มียาตัวไหนที่สามารถรักษาโรคเบาหวานได้ดีเท่ากับที่ผู้ป่วยรู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

เบาหวาน [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; (ม.ป.ท.) 

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

สรรพคุณและประโยชน์ของ มะเขือเทศ ( Tomato )

0
มะเขือเทศ
มะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
สรรพคุณและประโยชน์ของมะเขือเทศ (Tomato)
มะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

มะเขือเทศ

มะเขือเทศ ( Tomato ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Lycopersicon Esculentum Mill. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ ( SOLANACEAE ) ซึ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไม่ได้รับความสนใจมากนัก จนต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ตามธรรมชาติ มนุษย์จึงได้เริ่มนำมาเพาะปลูกเป็นอาหาร โดยชนพื้นเมืองที่นำมะเขือเทศมาปลูกอย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรก ก็คือชาวพื้นเมืองเอซเท็ค ( Aztecs ) ในประเทศเม็กซิโกนั่นเอง ซึ่งมะเขือเทศจัดเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีก็ว่าได้ โดยผลขนาดกลางให้แคลอรี่เพียง 22 แคลอรี่ มีหลายสายพันธุ์ เช่น มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศเชอรี่ มะเขือเทศราชินี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไลโคปีน และวิตามินซีอย่างที่ทราบกันดีมะเขือเทศลูกเดียวให้วิตามินซีได้สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์และวิตามินเอที่ช่วยในการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกันที่ดี และบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส วิตามินเคดีต่อกระดูก โพแทสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับการทำงานของหัวใจ การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการรักษาความดันโลหิต นิยมนำมาใส่ลงไปในอาหาร ทำเป็นเครื่องดื่ม หรือรับประทานสดก็ได้

มะเขือเทศ เป็นผักหรือผลไม้

หลายๆคนอาจเกิดความสงสัยว่าจริงๆแล้วมะเขือเทศนั้นเป็นผักหรือผลไม้กันแน่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มะเขือเทศคือผลไม้ เพราะตามหลักพฤกษาศาสตร์ผลมะเขือเทศเป็นส่วนของรังไข่ที่เจริญเติมโตเต็มที่

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศแดงสด 1 ส่วนต่อ 100 กรัม

สารอาหารในมะเขือเทศ (Nutrient)

หน่วย

1 ส่วนต่อ 100 กรัม

น้ำ ( Water ) กรัม 94.34
พลังงาน ( Energy ) กิโลแคลอรี 18
โปรตีน ( Protein ) กรัม 0.95
ไขมันรวม Total lipid ( Fat ) กรัม 0.11
คาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate ) กรัม 4.01
ไฟเบอร์ ( Fiber ) กรัม 0.7
น้ำตาล ( Sugars ) กรัม 2.49
แคลเซียม ( Calcium ) มิลลิกรัม 11
ธาตุเหล็ก ( Iron ) มิลลิกรัม 0.68
แมกนีเซียม ( Magnesium ) มิลลิกรัม 9
ฟอสฟอรัส ( Phosphorus ) มิลลิกรัม 28
โปแตสเซียม ( Potassium ) มิลลิกรัม 218
โซเดียม ( Sodium ) มิลลิกรัม 11
สังกะสี ( Zinc ) มิลลิกรัม 0.14
วิตามินซี ( Vitamin C ) มิลลิกรัม 22.8
ไทอามิน ( Thiamin ) มิลลิกรัม 0.036
ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) มิลลิกรัม 0.022
ไนอาซิน ( Niacin ) มิลลิกรัม 0.532
วิตามินบี 6 ( Vitamin B-6 ) มิลลิกรัม 0.079
โฟเลท ( Folate ) มิลลิกรัม 13
มะเขือเทศมี วิตามินเอ ( Vitamin A ) IU 489
วิตามินอี ( Vitamin E ) มิลลิกรัม 0.56
วิตามินเค ( Vitamin K ) มิลลิกรัม 2.8
กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ( Fatty Acids, Total Saturated ) กรัม 0.015
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( Fatty Acids, Total Monounsaturated ) กรัม 0.016
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ( Fatty Acids, Total Polyunsaturated ) กรัม 0.044

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

มะเขือเทศ ประโยชน์สรรพคุณ

มะเขือเทศทั่วโลกมีมากกว่า 20,000 สายพันธุ์ ดังที่เห็นบ่อยๆจะมีทั้งแบบลูกเล็ก ลูกใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็จะล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีมะเขือเทศเพียงสีเดียวเท่านั้น เพราะในปัจจุบันก็มีมะเขือเทศสีดำ มะเขือเทศสีขาว มะเขือเทศสีม่วง เช่นกัน ซึ่งก็มีประโยชน์และเป็นที่นิยมไม่แพ้มะเขือเทศสีแดงเลย ประเภทของมะเขือเทศในปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น มะเขือเทศท้อ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี มะเขือเทศสีเหลือง ประโยชน์ของมะเขือเทศโดยทั่วไปคือ

  • มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารมากมายหลายชนิด และที่โดดเด่นที่สุด ก็คือวิตามินซีและวิตามินเอที่พบได้มากในมะเขือเทศ แถมยังเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
  • มะเขือเทศมีสารจำพวกไลโคปีน ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อการเสื่อมของร่างกายได้ดี เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้อเสื่อม โรคหลอดเลือด และโรคตาต้อกระจก เป็นต้น
  • มะเขือเทศมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง แก้แผลร้อนในช่องปาก เป็นยาช่วยดับร้อนถอนพิษ และสามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม
  • ผลของมะเขือเทศเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้กระหายน้ำและเบื่ออาหาร
  • ต้นมะเขือเทศมีสารสำคัญ คือโทมาทีน ( tomatine ) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นต้นเหตุของโรคในพืชและคน
  • รากและใบแก่ต้มกินแก้ปวดฟัน ใบบดเป็นผงละเอียด เป็นยาเย็น ใช้ทาผิวถูกแดดเผา
  • ใบชงกับน้ำร้อนใช้เป็นยาพ่นกำจัดหนอนที่มากินผักได้

เพียงแค่ทานมะเขือเทศวันละประมาณ 1-2 ผลเท่านั้น และยิ่งทานมะเขือเทศไปพร้อมกับการรักษาด้วยแล้ว ก็จะยิ่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้มะเขือเทศป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ทั้งยังช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้านช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย มะเขือเทศยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย โรคหัวใจขาดเลือด ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวกได้อีกด้วย

วิธีทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

คือต้องทำให้มะเขือเทศสุกเสียก่อน ปรุงเป็นอาหารเพราะจะทำให้ไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่ากินแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศ จะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างงานวิจัยกี่ยวกับมะเขือเทศและการรักษาโรค ( การรักษาทางเลือกจากธรรมชาติ )

โรคหอบหืด สารต้านอนุมูลอิสระอาจจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการป้องกันและขจัดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ แต่การศึกษาความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหอบหืดยังมีอยู่จำกัด มีงานวิจัยผู้ป่วยโรคหอบหืดและการอักเสบของทางเดินลมหายใจ โดยให้ลองรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำเป็นเวลา 10 วัน จากนั้นให้รับประทานยาหลอก 7 วัน ตามด้วยสารสกัดจากมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีน 45 มิลลิกรัมต่อวันอีก 7 วัน และต่อด้วยน้ำมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีน 45 มิลลิกรัมต่อวันอีก 7 วัน ผลพบว่า การบริโภคไลโคปีนอาจช่วยลดการอักเสบของปอดในโรคหืด ทั้งนี้ ไลโคปีนในรูปแบบอาหารเสริมควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม และระยะเวลาในการศึกษาค่อนข้างสั้น การระบุประสิทธิภาพของมะเขือเทศต่อการบรรเทาอาการโรคหอบหืดยังคงต้องมีการค้นคว้าเพิ่มขึ้น

โรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาปริมาณไลโคปีน แอลฟาแคโรทีน เบตาแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล ( α-Tocopherol ) เรตินอยด์ ( Retinoid ) กับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ชายชาวฟินแลนด์ อายุ 46-65 ปี จำนวน 1,031 คน โดยติดตามผลในช่วงประมาณ 12 ปี ผลพบว่าไลโคปีนในปริมาณสูงจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศอาจช่วยลดความความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและสมองขาดเลือดลง ซึ่งระดับไลโคปีนที่ตรวจพบจากการเจาะเลือด อาจเป็นผลมาจากการรับประทานมะเขือเทศนั่นเอง และนอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่วิเคราะห์อาหารที่ทำจากมะเขือเทศ หรือมีสารไลโคปีนเยอะมีผลต่อความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงวัยกลางคนและสูงอายุด้วยเช่นกัน โดยมี จำนวน 39,876 คน ในช่วงระยะเวลา 7 ปี กลับพบว่าสารไลโคปีนในอาหารไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่การรับประทานไลโคปีนหรือสารพฤกษเคมี (Phytochemicals) อื่น ๆ ที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบอาจส่งผลดีในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension )การศึกษาเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดจากมะเขือเทศในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 โดยให้อาสาสมัครรับประทานสารสกัดจากมะเขือเทศสด 250 กรัม เปรียบเทียบกับยาหลอก ผลพบว่าการรักษาด้วยสารสกัดจากมะเขือเทศระยะสั้น ซึ่งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้

โรคมะเร็ง ( Cancer )สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและพบมากในมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปหรือผ่านความร้อน เช่น ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น น้ำมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น สารไลโคปีนอาจไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอาจช่วยขัดขวางและหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางประเภทเพื่อป้องกันเซลล์ได้รับความเสียหายจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ด้วยเหตุนี้การวิจัยหลายชิ้นจึงให้ความสนใจบทบาทของไลโคปีนต่อการป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น

  • โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินในมะเขือเทศที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็ง จึงมีการศึกษาระดับแคโรทีนอยด์และวิตามินต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร จากการวิจัยเชิงสังเกตและติดตามผลชายชาวจีนวัยกลางคนและวัยชราจำนวน 18,244 คน ในระยะเวลา 12 ปี โดยเปรียบเทียบกลุ่มคนที่มีระดับความเข้มข้นของแคโรทีนอยด์และวิตามินหลายตัวในเลือดสูงกับกลุ่มทดลอง ปรากฏว่าแคโรทีนอยด์อย่างแคโรทีน ไลโคปีน และวิตามินซี อาจเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการรับประทานแคโรทีนอยด์ในปริมาณสูงก็อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหารให้น้อยลง แต่ก็คล้ายคลึงกับการวิจัยโรคมะเร็งชนิดอื่นในด้านที่เป็นการศึกษาเฉพาะสารแคโรทีนอยด์และวิตามินทั่วไป ซึ่งร่างกายอาจได้รับจากการรับประทานอาหารประเภทอื่น ไม่ใช่เฉพาะแค่เพียงมะเขือเทศ จึงต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับประทานมะเขือเทศโดยตรง 
  • โรคมะเร็งตับอ่อน แม้ว่าผักและผลไม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาเหตุของโรคมะเร็งตับอ่อน แต่บทบาทของสารพฤกษเคมีในกลุ่มอาหารเหล่านี้ยังได้รับความสนใจอยู่น้อย จากการศึกษาความสัมพันธ์ของแคโรทีนอยด์ในอาหารกับความเสี่ยงโรคมะเร็งตับอ่อนในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับอ่อน จำนวน 462 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งเป็นประชากรชาวแคนาดา จำนวน 4,721 คนจาก 8 รัฐ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการบริโภคอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบมากหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีนสูงอาจช่วยให้ความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับอ่อนลดลง แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอการค้นคว้าต่อในอนาคตเพื่อการยืนยันผลที่แน่ชัด
  • โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเขือเทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่เรียกว่าไลโคปีน ซึ่งอาจช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและลดการเติบโตของเนื้องอกในผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอาหารกับความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่จัดทำโดยสมาคมการวิจัยเพื่อการป้องกันโรคมะเร็ง (American Institute for Cancer Research: AICR) ประเทศสหรัฐอเมริกา และกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund: WCRF) ได้ศึกษากับผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจำนวน 1,806 คน และกลุ่มคนปกติ 12,005 คน ผลการวิเคราะห์พบว่าการรับประทานมะเขือเทศ ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ หรือผักชนิดอื่นก็อาจช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ตรงกันข้ามกับการวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแคโรทีนอยด์ในเลือดกับความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก จำนวน 692 ราย ในช่วง 1-8 ปี ผลการศึกษาพบว่ามีเฉพาะเบตาแคโรทีนในปริมาณสูงที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแต่ไคโลปีนและแคโรทีนอยด์ตัวอื่นไม่พบความเกี่ยวข้องกันกับโรค

จากข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้แบ่งระดับความน่าเชื่อถือของการใช้การรักษาทางเลือกจากธรรมชาติเป็น 7 ระดับ

มะเขือเทศ เป็นสุดยอดสารอาหารผิวที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านความงาม ยังมีคุณสมบัติต้านโรค มะเร็ง อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ

ทำความรู้จักกับสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์

สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ส่วนใหญ่ จะเป็นสารประกอบอินทรีย์ท่สามารถพบได้มากในพืชและแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะทำให้เกิดสีส้ม แดงและสีเหลือง จึงดูได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ชนิดใดที่มีแคโรทีนอยด์สูงนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติของสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ก็มีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าสารในกลุ่มนี้มีสูงมากถึง 600 ชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมและมีการยอมรับมากที่สุด ก็มีเพียง 6 ชนิดได้แก่

1. อัลฟาแคโรทีน ( Alpha Carotene ) เป็นสาระสำคัญที่ร่างกายจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์วิตามินเอ โดยจะพบมากในผักโขม มะเขือเทศ และแครอท

2. เบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene ) เป็นสารที่จะช่วยสังเคราะห์วิตามินเอเช่นกัน แต่หากมีมากเกินความจำเป็น ก็จะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ซึ่งก็จะพบได้มากใน มะม่วง มันเทศ แครอท แคนตาลูปและลูกพีช

3. คริปโตแซนทีน ( Cryptoxanthin ) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดโดยตรง ซึ่งมักจะพบได้มากในพริกหยวก ฟักทอง ส้มเขียวหวานและลูกพลัม

4. ไลโคปีน ( Lycopene ) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลากหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม เป็นต้น และสามารถลดระดับไขมัน น้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย 

5. ลูทีน ( Lutein ) มีส่วนช่วยในการปกป้องและบำรุงสายตา พร้อมกับลดการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ จ้องแสงหน้าจอตลอดเวลา โดยสามารถพบลูทีนได้มากในดอกดาวเรือง และผักเคลหรือผักคะน้า

6. ซีแซนทิน ( Zeaxanthin ) มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาและป้องกันภาวะต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาเช่นกัน โดยจะพบได้มากในผักขม บร็อคโคลี และมะเขือเทศที่ปรุงผ่านความร้อนแล้ว

ไลโคปีนที่อยู่ในมะเขือเทศ

จากการวิจัยพบว่าในมะเขือเทศจะอุดมไปด้วยสารไลโคปีน ( Lycopene ) จำนวนมากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ไลโคปีนก็สามารถป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดเช่นกัน อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น ต้องมีการปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อน เพราะจะทำให้เกิดชีวประสิทธิผลที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณของไลโคปีนให้สูงขึ้นไปอีก นั่นก็ เพราะเมื่อไลโคปีนสัมผัสกับความร้อน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพันธะเคมีแบบทรานส์ ทำให้ไลโคปีนกลายเป็นพันธุแบบซิสที่เป็นเส้นโค้งงอ โดยจะสามารถละลายในไขมันได้ดีกว่า จึงทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าด้วยนั่นเอง จากกรณีของมะเขือเทศจะเห็นได้ว่า ผักผลไม้ทุกชนิดไม่ได้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อทานสดๆ เท่านั้น โดยเฉพาะมะเขือเทศที่จะยิ่งมีคุณค่าสูงขึ้นเมื่อได้ผ่านการปรุงด้วยความร้อนนั่นเอง เพราะฉะนั้นมาทานมะเขือเทศที่ปรุงด้วยความร้อนกันบ่อยๆ ดีกว่าไลโคปีนและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ในมะเขือเทศ

ไลโคปีนและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ในมะเขือเทศ

ไลโคปีน ( Lycopene ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ไลโคปีนก็สามารถป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดเช่นกัน อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น ไลโคปีน เป็นสารที่พบได้มากในผักผลไม้สีแดง เหลืองและสีส้ม โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเรียกสารในกลุ่มนี้ว่าสารเบต้าแคโรทีนนั่นเอง แต่ทั้งนี้ไลโคปีนจะมีโครงสร้างโมเลกุลที่แตกต่างจากสารในกลุ่มนี้อีกด้วย

มะเขือเทศเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพที่ง่าย และอร่อย

  • มะเขือเทศผัดไข่
  • ซุปมะเขือเทศ
  • มะเขือเทศอบแห้ง
  • สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ
  • พาสต้าซอสมะเขือเทศหมูสับ
  • ยำวุ้นเส้นใส่มะเขือเทศ
  • ส้มตำใส่มะเขือเทศ
  • สลัดมะเขือเทศ   
  • มะเขือเทศอบชีส
  • มะเขือเทศดอง
  • มะเขือเทศอบแห้ง
  • มะเขือเทศเชื่อม
  • มะเขือเทศแช่อิ่ม
  • มะเขือเทศกวน

เมนูเครื่องดื่มจากมะเขือเทศ เพื่อสุขภาพทที่ง่ายและอร่อย

  • น้ำมะเขือเทศคั้นสด
  • ม็อกเทลน้ำมะเขือเทศ
  • น้ำมะเขือเทศผสมน้ำส้มและน้ำมะนาว
  • น้ำมะเขือเทศสดผสมแครอทและสับปะรด
  • สมูทตี้มะเขือเทศ

ไลโคปีนในมะเขือเทศ เป็นสารที่พบได้มากในผักผลไม้สีแดง เหลืองและสีส้ม โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเรียกสารในกลุ่มนี้ว่าสารเบต้าแคโรทีนนั่นเอง แต่ทั้งนี้ไลโคปีนจะมีโครงสร้างโมเลกุลที่แตกต่างจากสารในกลุ่มนี้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

USDA Nutrient database

“Tomato History. The history of tomatoes as food”. Home cooking. Retrieved 2013-08-07.

Solanum lycopersicum- Tomato”. Encyclopedia of Life. Retrieved 1 January 2014.

Aculops lycopersici (Tomato russet mite)”. Wallingford, UK: Invasive Species Compendium, Centre for Agriculture and Biosciences International. 23 June 2015. Retrieved 11 November 2016.

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

ขี้เหล็กและประโยชน์ของขี้เหล็ก ( Thai Copper Pod )

0
สรรพคุณและประโยชน์ของขี้เหล็ก (Thai Copper Pod)
ขี้เหล็กเป็นพืชที่นิยมนำมาเป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาได้หลายโรค
สรรพคุณและประโยชน์ของขี้เหล็ก (Thai Copper Pod)
ขี้เหล็กเป็นพืชที่นิยมนำมาเป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาได้หลายโรค

ขี้เหล็ก

ขี้เหล็ก ( Thai Copper Pod ) คือ สมุนไพรพื้นบ้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna siamea มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ประโยชน์ของขี้เหล็กมีมาก มีรสขมเล็กน้อย และมีความนุ่ม นิยมนำดอกอ่อนและยอดอ่อนมาทำอาหาร ทั้งเป็นอาหารและเป็นยาสมุนไพรรักษา และบรรเทาอาการต่างๆได้หลายโรค คนโบราณกินแกงขี้เหล็กต้านหวัดแล้วได้ผล เพราะขี้เหล็กมีวิตามินซีสูงมากกว่าส้ม เป็นพืชสมุนไพรประจำท้องถิ่นในภูมิภาคทวีปเอเชีย เช่น เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และไทย เป็นต้น ขี้เหล็กบ้านมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่จะมีแค่พันธุ์ที่พบในประเทศไทยเท่านั้นที่นิยมนำมาประกอบเป็นอาหาร เมนูยอดฮิตอย่างแกงกะทิขี้เหล็กในเนื้อย่างหรือหมู หรือปลาย่าง ที่เป็นอาหารถูกปากใครหลายๆคน ส่วนแกงแบบพื้นบ้านทางภาคเหนือก็คือแกงบวน ภาคอีสานก็คือแกงซกเล็ก แกงขี้เหล็กย่านาง แกงขี้เหล็กใส่วุ้นเส้น เป็นต้น

ขี้เหล็ก ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ขี้เหล็กชื่อนี้เป็นสมุนไพรชื่อคุ้นหูเป็นอย่างดีสำหรับคนไทย ขี้เหล็กเป็นไม้เบญจพรรณยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ ลำต้นขี้เหล็กสามารถสูงได้ถึงประมาณ 8 – 15 เมตร มีลักษณะเป็นพุ่มใหญ่ ขี้เหล็กใบมีขนาดเล็กเรียงกันกับก้านตรงกลาง ลักษณะคล้ายกับขนนก ดอกช่อสีเหลืองอยู่ตามปลายกิ่ง ดอกจะบานจากโคนช่อไปยังปลายช่อ กลีบเลี้ยงมี 3-4 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้10 อัน ผลเป็นฝักแบนยาวมีสีคล้ำ เมล็ดรูปไข่ยาวแบนสีน้ำตาลอ่อนเรียงตามขวางมี 20-30 เมล็ด เนื้อไม้มีสีน้ำตาลแก่เกือบดำ ทั้งผลและใบสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ โดยเฉพาะใบของขี้เหล็ก ซึ่งมีสีเขียวเข้มนี้มีคุณค่าทางสารอาหารเยอะมาก อุดมไปด้วยโปรตีน และเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กสูง และมีเส้นใยอาหารอยู่มาก อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินซี สามารถปลูกขึ้นได้ง่ายในดินทุกชนิด โตเร็ว เป็นไม้ที่มีเนื้อแข็ง ขี้เหล็กทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้งได้ดี ในส่วนของดอกขี้เหล็กจะมีสีเหลืองและสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี จึงนิยมปลูกเป็นต้นไม้ในบ้านไม้ตามรั้วบ้าน ใช้วิธีการขยายพันธุ์ขี้เหล็กด้วยเมล็ด

ขี้เหล็ก คุณค่าทางโภชนาการ

ใบขี้เหล็ก 100 กรัม ให้พลังงาน 87 กิโลแคลอรี

เบตาคาโรทีน 1.4 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 5.6 กรัม
แคลเซียม 156 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 190 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 5.8 มิลลิกรัม
โปรตีน 7.7 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10.9 กรัม

ดอกขี้เหล็ก 100 กรัม ให้พลังงาน 98 กิโลคาลอรี

มีเบตาคาโรทีน 0.2 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 9.8 กรัม
แคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม
โปรตีน 4.9 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม

ขี้เหล็ก สรรพคุณและประโยชน์

  • เป็นยาระบายชนิดอ่อน สำหรับผู้ที่มีปัญหาอาการท้องผูกชนิดไม่รุนแรง
  • เป็นสมุนไพรช่วยขับสารพิษร้ายออกจากร่างกาย
  • สารบาราคอล (Baracol) ในขี้เหล็กเป็นยานอนหลับแบบธรรมชาติที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
  • ดอกของต้นขี้เหล็ก สามารถช่วยรักษาโรคหิต รักษารังแคได้
  • ใบขี้เหล็กมีสารแอนไฮโดรบาราคอล (Anhydrobarakol)ช่วยระงับประสาทช่วยให้คลายเครียดได้
  • ช่วยบำรุงสายตา จากสารเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายจะนำไปสร้างวิตามินเอ
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
  • บำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • เป็นอาหารที่มีวิตามินซีสูง ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต

ขี้เหล็ก ข้อควรระวัง

การรับประทานขี้เหล็กในลักษณะที่นำใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจทำให้เกิดการเสื่อมและทำลายเซลล์ตับ หรือตับอักเสบ ทำให้เกิดโรคตับ สารบาราคอลที่ได้รับในปริมาณมากจากขี้เหล็ก อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม สารในกลุ่มสารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกได้ จึงไม่ควรรับประทานมาก และผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงไม่ควรรับประทาน

โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักจะรู้จักขี้เหล็กในรูปแบบของแกงกะทิที่มีรสชาติดี กินอร่อย แต่หลายคนหารู้ไม่ว่านอกจากขี้เหล็กจะเป็นอาหารที่อร่อยแล้ว ขี้เหล็กยังเป็นพืชสมุนไพรที่ดีมีประโยชน์ และเต็มไปด้วยสรรพคุณมากมาย  และยังเป็นสมุนไพรชนิดที่หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด หรือหากที่บ้านมีพื้นที่มากพอ จะปลูกต้นขี้เหล็กไว้เองก็ทำได้ไม่ยากนักเป็นพืชที่โตง่าย ดูแลรักษาไม่ยาก ดังนั้นเมื่อรู้แบบนี้แล้วควรหันมาทานขี้เหล็กเป็นอาหารให้บ่อยๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเรา และเพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.pharmacy.mahidol.ac.th

Cancer Antigen 125 (CA 125) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกมะเร็งรังไข่

0
CA 125 สารวัดค่ามะเร็งรังไข่
CA 125 เป็น สารที่ใช้สำหรับการวัดหาค่ามะเร็งรังไข่ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำที่ช่วยยืนยันอาการป่วยที่บ่งชี้ถึงมะเร็งรังไข่ได้ดี

Cancer Antigen 125 (CA 125) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกมะเร็งรังไข่

Cancer Antigen 125 (CA 125) คือโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์เยื่อบุผิวของรังไข่และอวัยวะอื่นๆ เช่น มดลูก ช่องท้อง และเยื่อหุ้มปอด ซึ่งในภาวะปกติจะมีระดับต่ำมากในเลือด แต่หากระดับของโปรตีนนี้สูงขึ้น อาจบ่งบอกถึงการมีมะเร็ง โดยเฉพาะ [มะเร็งรังไข่] ได้อย่างชัดเจน

ความสำคัญของการตรวจ CA 125 ในการคัดกรองมะเร็งรังไข่

การตรวจ CA 125 ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามผลการรักษาและตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำของโรค [มะเร็งรังไข่] ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ตรวจพบได้ยากในระยะแรก อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ยังมีข้อจำกัดในด้านการคัดกรองในผู้ที่ยังไม่มีอาการ เพราะอาจให้ผลบวกปลอมได้จากภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง

การตรวจ CA 125 ใช้ได้เมื่อใด?

  • ติดตามผลหลังการรักษาโรคมะเร็งรังไข่

  • ตรวจประเมินมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งตับอ่อน

  • ใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เช่น HE4 และอัลตราซาวด์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของมะเร็งในสตรีที่มีอาการผิดปกติ

วิธีการตรวจ CA 125

การตรวจนี้ทำได้ง่ายโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน และนำตัวอย่างเลือดไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนตรวจ แต่ควรแจ้งแพทย์หากมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือมีอาการอักเสบในอุ้งเชิงกราน เพราะอาจทำให้ค่าผลตรวจสูงขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับมะเร็ง

การแปลผลค่า CA 125

สถานะ ค่าที่พบโดยประมาณ ความหมายเบื้องต้น
ค่าปกติ < 35 U/mL ไม่พบความเสี่ยงเด่นชัด
ค่าเพิ่มสูงขึ้น > 35 U/mL อาจเกิดจากมะเร็งหรือภาวะอักเสบ
ค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก > 200 U/mL เสี่ยงสูงต่อโรคมะเร็งรังไข่ (แต่ต้องยืนยันด้วยการตรวจอื่นร่วมด้วย)

ปัจจัยที่ส่งผลให้ค่า CA 125 สูงผิดปกติ

ภาวะมะเร็ง

  • มะเร็งรังไข่

  • มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

  • มะเร็งตับอ่อน

  • มะเร็งปอด

ภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง

  • การตั้งครรภ์

  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)

  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID)

  • ซีสต์ในรังไข่

  • การมีประจำเดือน

จุดเด่นและข้อจำกัดของการใช้ CA 125

ข้อดี

  • ติดตามผลการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ดี

  • ตรวจจับการกลับมาเป็นซ้ำก่อนมีอาการชัดเจน

  • ใช้ร่วมกับ HE4 และ ROMA score เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

ข้อจำกัด

  • ไม่เหมาะสำหรับใช้ตรวจคัดกรองทั่วไป

  • อาจให้ผลบวกปลอมจากภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง

  • อาจไม่สูงในมะเร็งระยะแรก

CA 125 ควรใช้ร่วมกับการตรวจใด?

  • HE4 (Human Epididymis Protein 4) – เพิ่มความจำเพาะในการคัดกรอง

  • ROMA Score – เครื่องมือที่ใช้คำนวณโอกาสเสี่ยงโดยใช้ข้อมูลจาก CA 125 และ HE4

  • Transvaginal Ultrasound (TVS) – ตรวจหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติที่รังไข่

  • CT Scan หรือ MRI – ใช้ดูการแพร่กระจายของก้อนมะเร็ง

แนวทางดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่

  1. รับประทานอาหารที่สมดุล เน้นผักผลไม้และธัญพืชไม่ขัดสี

  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์

  4. ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่

  5. คุมกำเนิดด้วยยาหรือการตั้งครรภ์มากกว่า 1 ครั้ง อาจลดความเสี่ยงลง

เมื่อใดควรพบแพทย์?

  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องเรื้อรัง ท้องอืด ประจำเดือนผิดปกติ หรือรู้สึกแน่นท้องผิดปกติ

  • ค่าผลตรวจ CA 125 สูงเกิน 35 U/mL ควรปรึกษาแพทย์ทันที

สรุป

การตรวจ CA 125 เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการติดตามผลการรักษาและตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำของโรคมะเร็งรังไข่ แต่ไม่ควรใช้เพียงลำพังในการวินิจฉัย ต้องใช้ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ และการตรวจภาพถ่ายรังสี การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงจากโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ CA 125

ค่า CA 125 สูงแสดงว่าเป็นมะเร็งรังไข่แน่นอนหรือไม่?

ไม่เสมอไป ต้องตรวจร่วมกับวิธีอื่นเพื่อยืนยัน

การมีประจำเดือนมีผลต่อค่า CA 125 หรือไม่?

มีผล อาจทำให้ค่า CA 125 สูงขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับมะเร็ง

ผู้ชายสามารถมีค่า CA 125 สูงได้หรือไม่?

สามารถเกิดขึ้นได้จากมะเร็งหรือโรคตับบางชนิด

CA 125 ใช้ในการวินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง?

ใช้ติดตามมะเร็งรังไข่, ตรวจความเสี่ยงของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งปอด, มะเร็งตับอ่อน และตรวจติดตามผลการรักษา

ค่าปกติของ CA 125 คือเท่าไร?

ค่าปกติอยู่ที่ต่ำกว่า 35 U/mL

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

[/vc_column][/vc_row]

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง: แนวทางการดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และโภชนาการอย่างรอบด้าน

0
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (Cancer Care)
ผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการการดูแลอย่างรอบด้านมากกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โภชนาการ และกำลังใจจากครอบครัว ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกระยะของโรค บทความนี้จะพาคุณสำรวจรูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบองค์รวมที่ควรปฏิบัติอย่างเหมาะสม

ประเภทของการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

1. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

เน้นการบรรเทาอาการเจ็บปวดและไม่สบายจากโรคมะเร็งหรือผลข้างเคียงจากการรักษา เหมาะสำหรับทุกระยะของโรค โดยเฉพาะในระยะท้าย ตัวอย่าง:

  • การให้ยาแก้ปวดหรือคลื่นไส้หลังเคมีบำบัด
  • การพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยและครอบครัว
  • การดูแลเรื่องคุณภาพชีวิต เช่น การนอน การหายใจ อารมณ์ ความวิตกกังวล

2. การดูแลเพื่อหวังผลหายขาด (Curative Care)

เป็นการดูแลที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยหายจากโรค เช่น:

  • การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก
  • การให้เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือฮอร์โมนบำบัดในระยะเริ่มต้น

หากรักษาไม่หาย หรือมะเร็งลุกลาม แพทย์จะเปลี่ยนเป้าหมายสู่การดูแลแบบประคับประคอง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด (Chemotherapy Care)

อาการข้างเคียงที่พบบ่อย

  • คลื่นไส้ อาเจียน (Acute & Delayed)
  • ผมร่วง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง

การดูแลระหว่างคีโม

  • ให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ สุกๆ ดิบๆ หมักดอง หรือมีสารกันบูด
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนเพียงพอ
  • ใช้มาตรการป้องกันเชื้อโรค เช่น หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย

หลังการให้คีโม

  • อาการข้างเคียงมักดีขึ้นภายใน 1–3 เดือน
  • ส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย: บริหารเบาๆ, โภชนาการฟื้นฟู, ดูแลสุขภาพจิต

การดูแลเฉพาะโรค: ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัด (Mastectomy)

การดูแลกายภาพ

  • แนะนำกายภาพบำบัด เช่น:
    • แกว่งแขน ขยับไหล่ ป้องกันแขนบวม
    • นวดน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
  • สวมชุดชั้นในที่พยุงเต้านมเทียม เพื่อป้องกันการเสียสมดุล

การดูแลจิตใจ

  • ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกยังมีคุณค่า ไม่ถูกตีตรา
  • ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา หรือสนับสนุนกลุ่มผู้ป่วยร่วมกัน

การดูแลด้านโภชนาการ (Nutrition in Cancer Care)

หลักโภชนาการที่ดี

ประเภทอาหาร คำแนะนำ
โปรตีน ปลา ถั่ว เต้าหู้ ไข่ ปรุงสุกสะอาด
คาร์โบไฮเดรต ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต มันเทศ
ผักผลไม้ ผักสดล้างสะอาด ผลไม้ไม่หวานจัด
ไขมัน เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
น้ำ ควรดื่ม 6–8 แก้วต่อวัน

ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาลสูง
  • อาหารมีดินประสิวหรือสารกันบูด

การดูแลด้านจิตใจและกำลังใจผู้ป่วย

ความสำคัญของกำลังใจ

  • ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • ลดความวิตกกังวล ซึมเศร้า

วิธีดูแลทางจิตใจ

  • เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุย ไม่กดดัน
  • สนับสนุนการเข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง
  • หมั่นสังเกตสัญญาณภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • สนับสนุนความหวังและเป้าหมายที่ผู้ป่วยเลือก

แนวทางสำหรับผู้ดูแล (Caregiver Guidelines)

สิ่งที่ควรทำ อธิบาย
เรียนรู้เกี่ยวกับโรค ศึกษาโรคมะเร็งชนิดนั้นเพื่อเข้าใจอาการและแนวทางรักษา
สื่อสารอย่างเข้าใจ อย่าปิดบัง ให้ข้อมูลตามความจริงแต่ใช้ถ้อยคำอ่อนโยน
ให้เวลาคุณภาพ อยู่ใกล้ชิด ฟัง ให้กำลังใจเสมอ
ปรับบ้านให้เหมาะสม มีพื้นที่ปลอดภัย เดินสะดวก ไม่ลื่น
ดูแลตนเองด้วย ผู้ดูแลต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดีเช่นกัน

ข้อสรุป

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจทั้งทางการแพทย์และด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดของโรค ทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ควรร่วมมือกันวางแผนดูแลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

Q1: อาหารแบบใดเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง?

A: อาหารสด สะอาด ปรุงสุก มีโปรตีนสูง กากใยดี หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และสารกันบูด

Q2: ควรออกกำลังกายหรือไม่?

A: ควรออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น เดิน แกว่งแขน โยคะ หรือการกายภาพตามคำแนะนำของแพทย์

Q3: วิธีบรรเทาอาการคลื่นไส้หลังคีโมทำอย่างไร?

A: ให้รับประทานอาหารย่อยง่าย แบ่งมื้อเล็กๆ ดื่มน้ำขิง และพักผ่อนให้เพียงพอ หากรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เรื่องยาแก้คลื่นไส้

Q4: ดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ซึมเศร้าอย่างไร?

A: รับฟังโดยไม่ตัดสิน ส่งเสริมให้เข้าพบนักจิตวิทยา และดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลาย

Q5: ผู้ดูแลควรระวังอะไรเป็นพิเศษ?

A: อย่ารู้สึกผิดที่เหนื่อย ให้เวลาและพื้นที่ตนเองด้วย เพราะสุขภาพใจของผู้ดูแลส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจกว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

“Symptoms in 400 patients referred to palliative care services: prevalence and patterns”. Palliat Med. 17(4):310-314.

[/vc_column][/vc_row]