ดาวกระจาย สรรพคุณช่วยแก้ตับไตอักเสบ

0
ดาวกระจาย สรรพคุณช่วยแก้ตับไตอักเสบ เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก สีเหลืองสด จะมีริ้วประดับ
ดาวกระจาย
เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก สีเหลืองสด จะมีริ้วประดับ

ดาวกระจาย

ดาวกระจาย จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกกลางแจ้ง มีกำเนิดและมีการแพร่กระจายในประเทศเขตร้อนอย่างเม็กซิโก รวมถึงในแถบกึ่งเขตร้อนของอเมริกาและเวสต์อินดีส ชื่อสามัญ Mexican Aster, Cosmos, Cosmea มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cosmos bipinnatus Cav. อยู่วงศ์ Compositae (วงศ์เดียวกับดาวเรือง) ชื่อเรียกในท้องถิ่น คำเมืองไหว,คำแพ,ดาวเรืองพม่า,หญ้าแหลมนกไส้

ลักษณะของต้นดาวกระจาย

  • ต้น เป็นไม้ล้มลุก มีอายุได้ราว 1 ปี ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ต้นสูงได้ถึงประมาณ 25-85 เซนติเมตร ที่กลางลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยม จะมีขนขึ้นนิดหน่อย ที่โคนต้นจะเป็นสีม่วงและไม่มีขน กิ่งก้านเป็น 4 เหลี่ยม ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอได้ที่ตามที่รกร้างในชนบท[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบจะออกเรียงสลับกัน ที่ปลายใบจะคี่ ดอกช่อใบจะเป็นใบเดี่ยว ที่ปลายใบแหลมกว่าใบอื่น ช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบย่อยเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ที่ขอบใบจักเป็นซี่ฟันประมาณ 2-3 ซี่ ใบมีลักษณะเป็นสีเขียว มีเนื้อใบนิ่ม ที่หลังใบจะมีขนประปราย ส่วนที่ท้องใบก็จะมีขนประปรายเช่นกัน [1],[2]
  • ดอก ดอกจะออกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก ออกดอกที่ตามซอกใบ ที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเป็นสีเหลืองสด สีแดงอมม่วง สีชมพูและขาว จะมีริ้วประดับเป็นรูปหอกเรียงเป็นวง จะมีทั้งวงนอกและวงใน ดอกเมื่อบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-10 มิลลิเมตร ดอกวงนอกจะเป็นหมัน กลีบดอกเป็นรูปรางน้ำ ดอกวงในจะเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกเป็นรูปท่อ ที่ปลายจะมีแฉก 5 แฉก ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1.8-8.5 เซนติเมตร[1],[2],[3]
  • ผล ผลเป็นรูปทรงแคบ จะมีสันประมาณ 3-4 สัน ผลค่อนข้างที่จะแข็ง จะมีรยางค์เป็นหนาม มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร[1]
  • เมล็ด มีลักษณะรียาว หัว และท้ายเรียวแหลม เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง สีน้ำตาลอมดำ

สรรพคุณดาวกระจาย

1. สามารถใช้แก้อาการฟกช้ำได้ โดยนำต้นสดประมาณ 30-70 กรัม มาตำให้แหลก มาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าขาวนิดหน่อย ใช้ทานวันละ 1 ครั้ง (ต้น)[3]
2. สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาแก้พิษงูกัด แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการนำต้นสดมาต้มกับน้ำทาน ส่วนกากที่เหลือสามารถเอามาพอกที่บริเวณที่เป็น (ทั้งต้น, ใบ และต้น)[1],[2],[3]
3. ทั้งต้นสามารถช่วยแก้ฝีในลำไส้ได้ (ทั้งต้น)[3]
4. สามารถนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นยา แก้อาการท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้อาการปวดกระเพาะ แก้อาการปวดท้อง (ทั้งต้น)[1],[3] บ้างก็ว่าสามารถนำใบกับต้นมาต้มกับน้ำแล้วรินเอาแค่น้ำมาดื่มใช้เป็นยาแก้อาการท้องร่วงได้ (ใบและต้น)[2]
5. สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยารักษาบาดแผลได้ (ทั้งต้น, ใบ, ต้น)[1],[2]
6. สามารถช่วยแก้ตับไตอักเสบ อักเสบเฉียบพลันได้ (ทั้งต้น)[3]
7. นำต้นสดประมาณ 30-70 กรัม มาต้มผสมกับน้ำตาลนิดหน่อย สามารถดื่มแก้บิดได้ (ต้น)[3]
8. สามารถช่วยแก้ลำคอปวดบวม แก้ระบบทางเดินหายใจติดเชื้อได้ (ทั้งต้น)[3]
9. ทั้งต้นสามารถช่วยกระจายลม ฟอกโลหิตได้ (ทั้งต้น)[3]

ข้อควรระวัง

  • สตรีมีครรภ์ห้ามทาน [3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดที่ได้จากต้นสดรวมกับหนอนหม่อนแห้ง แล้วเอาไปให้หนูที่มีอาการปวดข้อหรือข้ออักเสบ โดยใช้ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ทานติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ยับยั้งอาการปวดข้อและข้ออักเสบได้ จะต้องใช้ทั้งสองชนิดร่วมกัน ถ้าแยกใช้ตัวใดตัวหนึ่งจะไม่เห็นผล[3]
  • พบว่าทั้งต้นดาวเรืองมีสาร Saponin, Glycoside, Alkaloid, Tannin, Lavanol, Choline [3]
  • สารที่สกัดได้ด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ Staphylo coccus ภายนอกได้แบบมีประสิทธิภาพ[3]
  • พบว่ามีสารที่ให้รสขมหรือ Bittera ที่ก้านกับใบดาวเรือง และพบว่ามีน้ำมันระเหยนิดหน่อย[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ดาว กระ จาย”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 220.
2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ดาวกระจาย (Dao Kra Chai)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 112.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ดาวกระจาย”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 286-287.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.selectseeds.com/
2.https://plants.gardenworks.ca/

ต้นธรณีสาร สรรพคุณช่วยรักษาผิวหนังอักเสบ

0
ต้นธรณีสาร
ต้นธรณีสาร สรรพคุณช่วยรักษาผิวหนังอักเสบ เป็นไม้พุ่งกึ่งไม้ยืนต้น ใบเดี่ยวออกเรียงสลับแน่น ดอกเดี่ยวสีแดงเข้มลักษณะห้อยลง ผลเป็นรูปทรงกลมผิวเกลี้ยงสีน้ำตาลอ่อน ออกเรียงเป็นแนว
ต้นธรณีสาร
เป็นไม้พุ่งกึ่งไม้ยืนต้น ใบเดี่ยวออกเรียงสลับแน่น ดอกเดี่ยวสีแดงเข้มลักษณะห้อยลง ผลเป็นรูปทรงกลมผิวเกลี้ยงสีน้ำตาลอ่อน ออกเรียงเป็นแนว

ธรณีสาร

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phyllanthus pulcher Wall. ex Müll.Arg.[1] อยู่วงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น รุรี (จังหวัดสตูล), ครีบยอด (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), ตรึงบาดาล (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), ก้างปลาดิน (จังหวัดนครศรีธรรมราช), เสนียด (จังหวัดกรุงเทพมหานคร), ก้างปลา (จังหวัดนราธิวาส), คดทราย (จังหวัดสงขลา), ก้างปลาแดง (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), ดอกใต้ใบ (จังหวัดนครศรีธรรมราช), มะขามป้อมดิน (จังหวัดเชียงใหม่), กระทืบยอด (จังหวัดชุมพร) [1],[3]

ลักษณะของต้นธรณีสาร

  • ต้น เป็นไม้พุ่งกึ่งไม้ยืนต้น จะมีขนาดที่เล็ก ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ต้นสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้นจะแผ่กิ่งก้านใกล้ปลายยอด เปลือกต้นมีลักษณะเรียบเป็นสีน้ำตาล ลำต้นกลม จะมีรอยแผลใบที่ตามลำต้น และมีขนนุ่มขึ้นที่ตามกิ่งอ่อนตามใบประดับ ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด สามารถพบเจอขึ้นกระจายที่ตามป่าผลัดใบ ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกินประมาณ 400 เมตร[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับแน่นในระนาบเดียวกันที่ตรงปลายยอด แต่ละกิ่งย่อยจะมีใบย่อยอยู่ประมาณ 15-30 คู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานแกมไข่ รูปขอบขนานเบี้ยว ที่ปลายใบจะมน ส่วนที่โคนใบจะมนเบี้ยว ขอบใบจะเรียบ ที่ปลายสุดจะเป็นติ่งแหลมเล็ก ใบย่อยกว้างประมาณ 0.8-1.3 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 1.52.5 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะแผ่และบาง ที่หลังใบเรียบและเป็นสีเขียว ที่ท้องใบก็จะเรียบเช่นกันเป็นสีเทาแกมสีเขียว มีเส้นใบอยู่ข้างประมาณ 6-8 คู่ ก้านใบมีลักษณะสั้นสามารถยาวได้ประมาณ 0.8-1.5 มิลลิเมตร และมีสีแดงนิดหน่อย หูใบจะเป็นสีน้ำตาลแดง เป็นรูปหอกแกมสามเหลี่ยม ขนาดประมาณ 3-4 x 1.5-2 มิลลิเมตร[3]
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยว ดอกเป็นสีแดงเข้ม เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ที่ใบประดับจะมีขนนุ่มขึ้นอยู่ที่ฐาน ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นกระจุกที่ตามซอกใบ กลีบดอกมีอยู่ 4 กลีบ ที่โคนกลีบจะเป็นสีแดง มีเกสรเพศผู้อยู่ 2 อัน มีก้านชูที่สั้น จะเชื่อมติดกัน อับเรณูจะแตกตามแนวยาว ก้านดอกมีลักษณะบาง สามารถยาวได้ถึงประมาณ 5-10 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 4 กลีบ มีสีแดงเข้ม เป็นรูปสามเหลี่ยมแกมไข่ ที่ขอบจะแหว่ง กลีบเลี้ยงมีขนาดประมาณ 2-3 x 1-2 มิลลิเมตร จะมีต่อมอยู่ ที่ฐานของดอกจะเป็นต่อม 4 อัน มีลักษณะเป็นรูปเหลี่ยม รูปไตแบนบาง กว้างประมาณ 0.5-0.7 มิลลิเมตร ดอกเพศเมียออกดอกที่ตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ดอกมีลักษณะห้อยลง เรียงอยู่หนาแน่นที่ใต้ท้องใบ มีกลีบดอกเพศเมียอยู่ 6 กลีบ เป็นรูปสามเหลี่ยมแกมไข่ ที่ขอบจะแหว่ง กลีบดอกเพศเมียมีขนาดประมาณ 3.5-4 x 1.5 มิลลิเมตร รังไข่มีลักษณะเป็นรูปกึ่งกลม เกลี้ยง มีที่ปลายจะมี 6 พู รังไข่จะมีอยู่ 3 ห้อง มีก้านชูอยู่ 3 อัน ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน[3]
  • ผล เป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร ผิวผลมีลักษณะเกลี้ยง และเป็นสีน้ำตาลอ่อน ก้านผลมีความยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงที่ติดทน ผลออกเรียงเป็นแนว เป็นระเบียบอยู่ที่บริเวณใต้ใบ ติดผลช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน[3]

สรรพคุณธรณีสาร

1. ใบ สามารถใช้ภายนอกเป็นยาดูดหนองรักษาแผลได้ ยาพอกฝีได้ (ใบ)[1],[2],[5]
2. ต้น ใช้ฝนทาแก้พิษฝีอักเสบ แก้ฝีอักเสบได้ (ต้น)[3],[6]
3. ใบ ตำผสมข้าวเหนียวดำ ใช้เป็นยาพอกแก้กระดูกหักได้ (ใบ)[7]
4. ต้น ใช้เป็นยาทาผิวหนัง แก้อาการคัน และแก้ผิวหนังอักเสบได้ (ต้น)[7]
5. ต้น ใช้เป็นยาทาท้องเด็กได้ จะช่วยทำให้ไตทำงานได้ตามปกติ และสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ (ต้น)[7]
6. ต้น นำมาฝนใช้ทาท้องเด็กได้ จะช่วยแก้ขัดเขา (ต้น)[6]
7. ต้น ต้มกับน้ำทานเป็นยาแก้ปวดท้องได้ [1],[3],[7]
8. สามารถนำใบมาตำ แล้วนำมาใช้พอกเหงือกแก้โรคเหงือก และแก้อาการปวดฟันได้ (ใบ)[3],[7]
9. ราก ช่วยแก้พิษตานซางเด็กได้ (ราก)[3]
10. ราก มีรสจืดเย็น มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ไข้ตัวร้อนได้ (ราก)[3] สามารถนำใบมาตำให้แหลกผสมน้ำซาวข้าวหรือเหล้า แล้วนำมาใช้พอกดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ได้ (ใบ)[5]
11. ในประเทศมาเลเซียจะนำใบใช้เป็นยาแก้ไข้สูง (ใบ)[3]
12. ใบ ตำพอกใช้แก้ปวดบวม และแก้อาการบวมได้ (ใบ)[1],[2],[3]
13. ใบ ตำใช้พอกแก้ผื่นคันตามร่างกายได้ (ใบ)[1],[2],[3]
14. ในมาเลเซียนำใบ ใช้เป็นยาแก้แผล สามารถแก้บวมคัน แก้ปวดแผลจากอาการไหม้ได้ (ใบ)[3]
15. ใบ สามารถช่วยแก้นิ่วในไตได้ (ใบ)[3]
16. ใบ ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะอาหารได้ (ใบ)[3]
17. รากต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาช่วยขับลมในลำไส้ ท้องเฟ้อ แก้ท้องอืดได้ (ราก)[3]
18. ต้น ใช้ภายนอกใช้เป็นยาล้างตาได้ (ต้น)[3],[7]
19. นำใบแห้งมาบดให้เป็นผง แล้วนำมาใช้แทรกพิมเสนกวาดคอเด็ก สามารถช่วยรักษาพิษตานทรางของเด็ก ลดไข้ รักษาแผลในปาก รักษาอาการตัวร้อน และสามารถใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ได้ (ใบ)[1],[2],[3],[4]
20. นำใบมาขยำเอาน้ำมาใช้ชโลมทาเป็นยาลดไข้สำหรับเด็กได้ (ใบ)[7]

ประโยชน์ธรณีสาร

  • คนไทยโบราณเชื่อกันว่าถ้าปลูกไว้ในบ้าน จะมีความเป็นสิริมงคล ทำให้มีความสุขร่มเย็น ถ้าต้นงอกงามได้ดี เป็นสัญญาณที่บอกว่าเจ้าของบ้านจะได้รับเกียรติยศ ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น มีโชคลาภ และเชื่อว่าสามารถแผ่อิทธิคุณ คุ้มครองอาณาบริเวณให้รอดพ้นจากมนต์ดำ ช่วยปัดเสนียดจัญไร การปลูกจะขึ้นดีในที่ร่ม ให้ปลูกในกระถางใบใหญ่ ใช้ดินร่วนปลูก ถ้าใส่ปุ๋ยคอกจะสามารถช่วยทำให้เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น เมื่อเอาดินกลบหัวแล้วอย่ากดดินให้แน่น รดน้ำพอชุ่ม ก่อนรดน้ำให้สวดคาถา นโม พุทธยะ 3 จบทุกครั้ง ถ้าต้นตั้งตัวได้ควรให้รับแสงแดดแบบรำไร เพื่อให้หัวมีขนาดใหญ่ ปลูกวันพฤหัสบดีข้างขึ้นจะดีที่สุด[5]
  • เป็นไม้มงคลโบราณนิยมใช้ประกอบทำน้ำมนต์ ด้วยการนำใบชุบน้ำมนต์ แล้วนำมาใช้ประพรมเพื่อปัดรังควานและเสนียดจัญไร นิยมปลูกที่ตามวัด มีการปลูกที่ตามบ้านแบบประปราย[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง

1. ว่านและสมุนไพรไทย, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร. “ว่าน ธร ณี สาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.skc.rmuti.ac.th/WAN/. [02 มิ.ย. 2014].
2. คู่มือการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตำบลลำพะยา. “ว่านธรณีสาร”. หน้า 34.
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ว่านธรณีสาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [02 มิ.ย. 2014].
4. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ว่านธรณีสาร (Wan Thorani San)”. หน้า 274.
5. ไทยเกษตรศาสตร์. “สมุนไพรธรณีสาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [02 มิ.ย. 2014].
6. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ธร ณี สาร”. หน้า 355.
7. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ว่านธรณีสาร”. หน้า 162.

อ้างอิงรูปจาก

1.https://www.nparks.gov.sg/
2.https://en.tripadvisor.com.hk/

ต้นโนรา สรรพคุณช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย

0
ต้นโนรา
ต้นโนรา สรรพคุณช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นแตกออกเป็นกิ่งก้าน ดอกสีขาว สีชมพูอ่อน กลิ่นหอมตลอดวัน ช่วงที่อากาศเย็นจะหอมมาก ผลสีแดง เป็นรูปกระสวยปลายแหลม
ต้นโนรา
ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นแตกออกเป็นกิ่งก้าน ดอกสีขาว สีชมพูอ่อน กลิ่นหอมตลอดวัน ช่วงที่อากาศเย็นจะหอมมาก ผลสีแดง เป็นรูปกระสวยปลายแหลม

ต้นโนรา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของต้นโนรา คือ Hiptage benghalensis (L.) Kurz[2] อีกข้อมูลระบุไว้ว่าเป็นชนิด Hiptage benghalensis var. benghalensis[1] อยู่วงศ์โนรา (MALPIGHIACEAE)[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น แหนปีก (ภาคอีสาน), พญาช้างเผือก (จังหวัดแพร่), กะลังจ่าง (กะเหรี่ยง, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), สะเลา (เชียงใหม่), กำลังช้างเผือก (ภาคเหนือ) [1],[4]

ลักษณะของต้นโนรา

  • ลักษณะของต้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้เถาขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกลและเร็ว (เลื้อยไกลได้ถึงประมาณ 10 เมตร) เถามีลักษณะเป็นสีเขียว กลมและเกลี้ยง มีเนื้อไม้ที่แข็ง ลำต้นมีแตกกิ่งก้านเล็กและห้อยลง (บ้างว่าแตกกิ่งก้านสาขามาก) ทรงต้นมีรูปร่างไม่แน่นอน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง แต่จะนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง เพราะออกรากได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนช่วย พบเจอได้ในประเทศอินเดีย จีน มาเลเซีย ประเทศไทย สำหรับประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค ขึ้นที่ตามป่าชายหาด ป่าผลัดใบ ป่าดิบเขา ตั้งแต่ที่ระดับใกล้น้ำทะเลถึง 2,000 เมตร[1],[2],[3]
  • ลักษณะของใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้าม ใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะสอบ ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่แผ่นใบด้านบนจะมีลักษณะเกลี้ยง ที่ท้องใบจะมีขน และจะมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับฐานใบ[1],[2]
  • ลักษณะของดอก ดอกจะออกเป็นช่อ ออกดอกที่ตามซอกใบกับปลายกิ่ง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 9-22 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะเป็นสีขาว สีชมพูอ่อน ที่กลางดอกจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนคล้ายกับกลิ่นดอกส้มโอ กลีบดอกมีอยู่ 5 กลีบ มีขนาดไม่เท่ากัน กลีบด้านข้างพับลง ที่ส่วนปลายกลีบจะจักเป็นฝอย ที่กลีบดอกมักจะยู่ยี่ มีเกสรเพศผู้จำนวน 10 ก้าน มี 1 ก้าน ที่มีความยาวเป็นพิเศษ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ที่โคนเชื่อมจะติดกัน จะมีกลีบอยู่หนึ่งอันที่จะมีต่อมนูน ดอกบานประมาณ 3-4 วันแล้วก็ร่วงหล่น มีดอกใหม่ทยอยบานเรื่อย ๆ ออกดอกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ บ้างก็ว่าออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
  • ลักษณะของผล เป็นผลแห้งจะไม่แตก มีลักษณะเป็นสีแดง เป็นรูปกระสวย ที่ปลายจะแหลม มีปีกอยู่ 3 ปีก ปีกกลางจะมีขนาดที่ใหญ่[1],[2]

สรรพคุณโนรา

1. แก่นกับเปลือกต้น สามารถใช้เป็นยาบำรุงเส้นเอ็นได้ (แก่น, เปลือกต้น)[4]
2. สามารถนำเปลือกต้นมาตำใช้พอกรักษาแผลสดได้ (เปลือกต้น)[2]
3. แก่นต้น สามารถช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ และช่วยขับลมได้ (แก่น)[1]
4. แก่นของต้น สามารถช่วยทำให้เจริญอาหารได้ (แก่น)[1]
5. สามารถใช้เป็นยาบำรุงโลหิตได้ (แก่น, เปลือกต้น)[4]
6. เป็นยาอายุวัฒนะ (แก่น)[1]
7. ใบ มีรสร้อนขื่น สามารถใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนังได้[2] ช่วยรักษาหิด รูมาติกได้ (ใบ)[4]
8. เป็นยาบำรุงกำหนัดได้ โดยนำแก่นมาดองกับเหล้า (แก่น)[1],[4]
9. แก่นต้น สามารถช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ (แก่น)[1]
10. แก่นต้น มีรสร้อนขื่น สามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกายได้ (แก่น, เปลือกต้น)[4]
11. เป็นยาบำรุงกำลังได้ โดยนำแก่นมาดอง (แก่น)[2]

ประโยชน์โนรา

  • นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะดอกสวย ออกดอกเยอะในการออกดอกแต่ละครั้ง ดอกมีกลิ่นหอมทั้งวัน ช่วงอากาศเย็นจะหอมเป็นพิเศษ ถ้าต้องให้ออกดอกบ่อย ๆ ให้ปลูกไว้ที่กลางแจ้งเพื่อให้ได้รับแสงแดดแบบเต็มที่ ควรตัดแต่งกิ่งให้น้อย เนื่องจากต้นที่ถูกตัดแต่งกิ่งให้เป็นไม้พุ่มตลอดจะไม่ค่อยออกดอก เพราะออกดอกที่บริเวณปลายกิ่ง โดยธรรมชาติเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย แต่สามารถตัดแต่งเป็นไม้ยืนต้นแบบเดี่ยวได้[2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “โ น ร า”. (นพพล เกตุประสาท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [28 มี.ค. 2014].
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “โ น ร า”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 129.
3. Green Clinic. “โ น ร า”. อ้างอิงใน: หนังสือเครื่องยาไทย 1 (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.greenclinic.in.th. [28 มี.ค. 2014].
4. หนังสือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. “โ น ร า”. (วีระชัย ณ นคร).
5. https://www.medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.ydhvn.com/
2. https://www.flickr.com/photos/37274296@N08/26935538214

ต้นรักทะเล สรรพคุณเป็นยาแก้บิด

0
ต้นรักทะเล
ต้นรักทะเล สรรพคุณเป็นยาแก้บิด เป็นไม้พุ่มพบขึ้นทั่วไปตามชายหาด ดอกออกเป็นช่อกระจุก ดอกสีขาวเป็นคลื่นและย่น ผลทรงกลมมีเนื้อขาวขุ่น ผลสุกจะเป็นสีเหลืองอ่อน
ต้นรักทะเล
เป็นไม้พุ่มพบขึ้นทั่วไปตามชายหาด ดอกออกเป็นช่อกระจุก ดอกสีขาวเป็นคลื่นและย่น ผลทรงกลมมีเนื้อขาวขุ่น ผลสุกจะเป็นสีเหลืองอ่อน

ต้นรักทะเล

ต้นรักทะเล มีเขตการกระจายพันธุ์ในมาดากัสการ์ อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนถึงออสเตรเลีย ชื่อสามัญ Half Flower[4], Beach Naupaka, Sea Lettuce, Beach Cabbage [6] ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Scaevola taccada (Gaertn.) Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Scaevola koenigii Vahl, Lobelia frutescens Mill., Scaevola sericea Vahl, Scaevola frutescens var. sericea (Vahl) Merr.) อยู่วงศ์รักทะเล (GOODENIACEAE)[1],[2],[6] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น บงบ๊ง (มลายู, จังหวัดภูเก็ต), โหรา (จังหวัดตราด), รักทะเล (จังหวัดชุมพร), บ่งบง (ภาคใต้) [1],[3]

ลักษณะของต้นรักทะเล

  • ต้น เป็นไม้พุ่ม ต้นสูงประมาณ 2-5 เมตร จะแตกกิ่งก้านเยอะ ลำต้นมีลักษณะตั้งตรงหรือแผ่ไม่เป็นระเบียบ เปลือกต้นจะเรียบ มีไส้ไม้ จะมียางสีขาวข้น กิ่งอ่อนมีลักษณะอวบน้ำและเป็นสีเขียว ที่ซอกใบจะมีขนนุ่ม ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง การเพาะเมล็ด นำหน่อไปปลูกที่ตามพื้นที่ดินทราย ออกดอกออกผลได้ทั้งปี ขึ้นได้ทั่วไปตามพื้นที่โล่ง และมักพบขึ้นทั่วไปตามชายหาด หาดหิน โขดหิน ชายฝั่งทะเลทั้งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ที่ตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง ตามแนวหลังป่าชายเลน[1],[2],[3],[4],[7]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกตรงข้ามแบบสลับหนาแน่นอยู่ที่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูปไข่กลับ รูปช้อนแกมรูปไข่กลับ ที่ปลายใบจะมนกลม ส่วนที่โคนใบจะเรียวแหลมหรือจะสอบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบถึงหยักมนหรือเว้าเป็นคลื่น มีจุดสีเหลืองอมสีเขียวที่ตามขอบ ใบกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร มีแผ่นใบที่หนากึ่งอวบน้ำ หลังใบเรียบมีลักษณะเป็นมันถึงมีขนอ่อน มีเส้นใบแบบร่างแหขนนก ก้านใบสั้น จะมีขนสีขาวที่ตามซอกใบ ที่ขอบใบอ่อนจะม้วนลง[1],[2],[3]
  • ดอก ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุก ออกดอกที่ตามซอกใบ มีดอกย่อยอยู่ประมาณ 2-3 ดอก มีใบประดับเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ ดอกตูมโค้ง โก่งลงคล้ายกับรูปหัวงู เมื่อดอกบานเป็นรูปปากเปิด กลีบเลี้ยงจะเชื่อมติดเป็นรูประฆัง ที่ปลายจะแยกเป็นแฉกเล็ก 5 แฉก ดอกย่อยมีลักษณะเป็นสีขาวและมีลายสีม่วงอ่อน มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ เป็นแฉกรูปใบหอก ที่ขอบกลีบดอกจะเป็นคลื่นและย่น ส่วนที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดเป็นหลอดและจะผ่าออกทำให้กลีบดอกเรียงกันด้านเดียว (ที่ด้านบนของดอกจะฉีกออกด้านหนึ่ง จึงทำให้แฉกกลีบดอกมีลักษณะโค้งลง) มีเกสรเพศเมียโค้งเด่น และมียอดเกสรที่มีเยื่อเป็นรูปถ้วยคลุม ดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยสามารถยาวได้ถึงประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร[1],[2],[3]
  • ผล เป็นผลสดมีเนื้อ ผลเป็นรูปทรงกลม ที่ปลายผลจะมีกลีบเลี้ยงของดอก ผิวผลมีลักษณะเรียบ ผลสดจะเป็นสีขาวขุ่น ผลสุกจะเป็นสีเหลืองอ่อน ขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีเมล็ดแข็งอยู่ในผลประมาณ 1-2 เมล็ด[1],[2],[3]

สรรพคุณต้นรักทะเล

1. สามารถนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม ทานเป็นยาแก้พิษอาหารทะเลได้ อย่างเช่น การทานปู ปลาที่มีพิษ (ราก)[1],[5]
2. ผลจะมีสรรพคุณที่สามารถช่วยทำให้ประจำเดือนของสตรีมาเป็นปกติได้ (ผล)[7]
3. รากจะมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้บิดได้ (ราก)[4]
4. ใบจะมีสรรพคุณที่สามารถช่วยแก้ธาตุพิการ (ใบ)[7]
5. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาแก้เหน็บชาได้ (ราก)[4]
6. นำใบมาตำสามารถใช้พอกแก้อาการแก้ปวดศีรษะ ปวดบวมได้ และสามารถนำใบไปผิงไฟใช้ประคบแก้ปวดบวมได้ (ใบ)[1],[3]
7. สามารถนำเปลือกจากเนื้อไม้ ใบ ดอกมาผสมปรุงเป็นยาขับปัสสาวะได้ (เปลือกจากเนื้อไม้,ใบ, ดอก)[2]
8. สามารถนำน้ำที่ได้จากการต้มใบมาทานช่วยย่อยได้ (ใบ)[1],[7]

ประโยชน์ต้นรักทะเล

  • มีบางข้อมูลระบุไว้ว่าสามารถใช้ใบรักทะเลเป็นยาสูบได้[5]
  • ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือนักสืบชายหาด : คู่มือสัตว์และพืชชายหาด. (วิภาพรรณ นาคแพน, สรณรัชฎร์ กาญจนะวณิชย์, จักรกริช พวงแก้ว). “รักทะเล”. หน้า 145.
2. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน เพื่อลดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้โครงการชุมชนอยู่คู่อุตสาหกรรม, สำนักสิ่งแวดล้อมชุมชนและพื้นที่เฉพาะ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “รักทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: onep-intranet.onep.go.th/plant/. [27 พ.ค. 2014].
3. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “รักทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [27 พ.ค. 2014].
4. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “รักทะเล (Rug Thalae)”. หน้า 259.
5. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Scaevola taccada”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org//wiki/Scaevola_taccada. [27 พ.ค. 2014].
6. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “รักทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [27 พ.ค. 2014].
7. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “รักทะเล”. หน้า 134.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.natureloveyou.sg/
2.https://www.floraofsrilanka.com/

ต้นลำโพงกาสลัก สรรพคุณใช้ฝนทาแก้ปวดบวม แก้พิษร้อน แก้อักเสบ

0
ต้นลำโพงกาสลัก สรรพคุณใช้ฝนทาแก้ปวดบวม แก้พิษร้อน แก้อักเสบ เป็นไม้ล้มลุก ดอกเดี่ยวสีม่วง ผลเป็นสีเขียวอมสีม่วง ค่อนข้างกลม เมล็ดแบนคล้ายกับเมล็ดมะเขือ
ต้นลำโพงกาสลัก
ไม้ล้มลุก ดอกเดี่ยวสีม่วง ผลเป็นสีเขียวอมสีม่วง ค่อนข้างกลม เมล็ดแบนคล้ายกับเมล็ดมะเขือ

ลำโพงกาสลัก

ลำโพงกาสลัก มีลักษณะสีแดงเกือบดำ มีดอกเป็นสีม่วงและเป็นชั้น ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Datura metel L. (Datura metel var. fastuosa (L.) Saff.) (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Datura fastuosa L.) อยู่วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)[1],[2],[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ลำโพงดำ, กาสลัก, มะเขือบ้าดอกดำ (จังหวัดลำปาง), ลำโพงแดง, ลำโพงกาลัก (จังหวัดชุมพร, จังหวัดสุราษฎร์ธานี)[1],[2],[3] ในไทยนิยมใช้ทำยามีอยู่ 2 ชนิด คือ ลำโพงกาสลัก และ ลำโพงขาว (ต้นมีลักษณะเขียว และดอกเป็นสีขาว) ด้านการทำยานิยมใช้ดอกสีม่วงดำ ยิ่งมีชั้นเยอะก็จะยิ่งมีฤทธิ์แรง[3]

ลักษณะของต้นลำโพงกาสลัก

  • ต้น เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี ต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร กิ่งก้านมีลักษณะเป็นพุ่ม ที่ตามลำต้นกับกิ่งก้านจะเป็นสีม่วง[1]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปไข่ ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะมนและขนาดไม่เท่ากัน ขอบใบจะจักเป็นซี่ฟันห่าง ใบกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร[1],[3]
  • ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว จะออกดอกที่ตามซอกใบ กลีบดอกมีลักษณะเป็นสีม่วง ที่ปลายกลีบจะบานเป็นรูปแตร ส่วนที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมกัน มีกลีบซ้อนกันอยู่ 2-3 ชั้น ดอกมีความยาวประมาณ 3.5-5.5 นิ้ว กลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นสีเขียวติดเป็นหลอด มีความยาวประมาณครึ่งหนึ่งของดอก[1],[3]
  • ผล เป็นสีเขียวอมสีม่วง ผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 1-1.5 นิ้ว ผิวผลจะเป็นขนคล้ายกับหนามเป็นตุ่ม เนื้ออ่อนจะเป็นตุ่มรอบ มีลักษณะขั้วเป็นแผ่นกลมหนาริมคม ผลแห้งสามารถแตกได้ มีเมล็ดอยู่ในผลเยอะ
  • เมล็ด ลักษณะกลมแบนคล้ายกับเมล็ดมะเขือ[1],[3]

สรรพคุณลำโพงกาสลัก

1. น้ำมันที่ได้จากเมล็ดจะมีรสเมาเบื่อ สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาใส่แผล แก้เหา กลากเกลื้อน ผื่นคัน และหิดได้ (น้ำมันจากเมล็ด)[3]
2. สามารถนำใบมาใช้เป็นยาทาแก้อักเสบเต้านมได้ (ใบ)[3]
3. น้ำที่คั้นได้จากต้น ถ้านำมาใช้หยอดตาจะช่วยทำให้ม่านตาขยายได้ (ต้น)[3]
4. เมล็ดจะมีรสเมาเบื่อ สามารถเอามาคั่วให้หมดน้ำมัน ใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้กระสับกระส่าย และแก้ไข้ได้ (เมล็ด)[3]
5. นำดอกมาหั่นแล้วเอาไปตากแดดผสมยาสูบ สามารถใช้สูบแก้การบีบตัวของหลอดลม แก้อาการหอบหืด(ดอก)[1],[2],[3]
6. ใบจะมีสรรพคุณที่ช่วยขยายหลอดลม แก้หอบหืดได้ (ใบ)[3]
7. สามารถนำเมล็ดมาหุงทำน้ำมันเอาใส่แผล ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อนผื่นคันได้ (เมล็ด)[1],[2]
8. ใบกับยอด มีสารอัลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สามารถช่วยแก้อาการปวดเกร็งท้อง (ใบกับยอด)[3]
9. ใบ มีฤทธิ์กดสมอง มีสรรพคุณที่ช่วยแก้อาการอาเจียนเนื่องจากเมาเรือเมารถได้ (มีอาการข้างเคียงก็คือ จะทำให้คอแห้ง ปากแห้ง) (ใบ)[3]
10. ใบ มีรสขมเมาเบื่อ จะมีสรรพคุณที่ช่วยแก้สะอึกในไข้พิษกาฬได้ (ใบ)[3]
11. สามารถนำรากมาสุมให้เป็นถ่านใช้ปรุงเป็นยาไข้กาฬ ไข้เซื่องซึมแก้ไข้พิษได้ (ราก)[1],[3]
12. ราก มีรสหวานเมาเบื่อ สามารถนำมาฝนทาใช้แก้ปวดบวม แก้พิษร้อน แก้อักเสบ ดับพิษฝีได้ (ราก)[1],[3] นำเมล็ด 30 กรัม มาทุบให้พอแหลก แล้วเอาไปแช่น้ำมันพืชเป็นเวลาประมาณ 7 วัน แล้วนำมาใช้ที่ที่มีอาการขัดยอก ปวดเมื่อย สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ และก็สามารถนำมาใช้ใส่ฟันที่เป็นรูได้จะบรรเทาอาการปวด (เมล็ด)[3]
13. นำดอกไปตากแห้งแล้วเอามาผสมกับยาเส้นสูบ สามารถช่วยแก้ริดสีดวงจมูก แก้โพรงจมูกอักเสบได้ (ดอก)[3]
14. นำใบสดมาตำพอกฝี สามารถช่วยทำให้ฝียุบ และแก้อาการปวดบวมอักเสบได้ (ใบ)[1],[2],[3]
15. ทั้งต้น มีฤทธิ์ที่เป็นยาเสพติด สามารถแก้อาการเกร็ง ช่วยระงับอาการปวดได้ (ทั้งต้น)[1],[3]
16. ราก มีรสหวานเมาเบื่อ สามารถใช้ฝนทาแก้ปวดบวม แก้พิษร้อน แก้อักเสบ และดับพิษฝีได้ (ราก)[1],[3]
17. สามารถนำใบมาใช้เป็นยาพอกแก้พิษจากสัตว์กัดต่อย ปวดแสบบวมที่แผล แก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน แก้แผลเรื้อรัง แก้พิษฝี (ใบ)[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • มีสารอัลคาลอยด์ Hyoscine และสาร Hyocyamine ซึ่งอาการข้างเคียงก็คือ จะทำให้คอแห้ง ปากแห้ง[2]
  • ใบกับยอด มีสารอัลคาลอยด์ Hyoscine กับสาร Hyocyamine ที่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สามารถใช้แก้หอบหืด ช่วยขยายหลอดลม แก้อาการปวดท้องเกร็งได้[2]
  • มีสารอัลคาลอยด์ Hyoscine ซึ่งมีฤทธิ์กดสมอง ใช้ควบคุมอาการอาเจียนที่เกิดจากเมารถได้[2]

พิษของต้นลำโพงกาสลัก

  • ผลกับเมล็ดเป็นพิษ จะมีสารอัลคาลอยด์ hyoscine กับสาร hyoscyamine ถ้าทานเข้าไป อาการข้างต้น ก็คือ รู้สึกสับสน มีอาการไข้ขึ้นสูง ผิวหนังร้อนแดง สายตาพร่ามัว ปากแห้ง การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ ปวดศีรษะ มีผื่นแดงที่ตามใบหน้า คอ หน้าออก ม่านตาขยายและปรับสายตาไม่ได้ ทำให้ตาไม่สู้แสง กระหายน้ำมาก ถ้าได้รับในปริมาณเยอะ ๆ จะทำให้มีอาการวิกลจริต เพ้อคลั่ง เคลิ้มฝัน และมีอาการทางจิตและประสาท ตัวเขียว หายใจได้ช้าลง ตาแข็ง ตื่นเต้น หายใจได้ไม่สะดวก พูดไม่ออก เมื่อแก้พิษแล้ว จะยังมีอาการวิกลจริตตลอดไป เนื่องจากรักษาไม่ค่อยหาย[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ลำโพง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [30 พ.ค. 2014].
2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ลำโพง กาสลัก (Lam Phong Ka Salak)”. หน้า 270.
3. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ลำโพง กาสลัก”. หน้า 99.
4.  https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.invasive.org/
2. https://www.etsy.com/

ต้นหัวลิง สรรพคุณของใบสดใช้แก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า

0
ต้นหัวลิง
ต้นหัวลิง สรรพคุณของใบสดใช้แก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า เป็นไม้เถา ใบเดี่ยวสีเขียว ดอกเป็นช่อกระจะ ดอกสีม่วงไม่มีกลิ่น ฝักกลมมน เปลือกฝักสีน้ำตาล
ต้นหัวลิง
เป็นไม้เถา ใบเดี่ยวสีเขียว ดอกเป็นช่อกระจะ ดอกสีม่วงไม่มีกลิ่น ฝักกลมมน เปลือกฝักสีน้ำตาล

ต้นหัวลิง

ต้นหัวลิง หรือ เถาหัวลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarcolobus globosus Wall. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1]
ชื่ออื่น ๆ มะปิน ตูดอีโหวด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บาตูบือแลกาเม็ง (ชาวมาลายู-นราธิวาส), หัวกา (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), เถรอดเพล ตองจิง หัวลิง อ้ายแหวน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ), หงอนไก่ใหญ่ (จังหวัดตราด) เป็นต้น[1]

ลักษณะของต้นหัวลิง

  • ต้น
    – เป็นพันธุ์ไม้ประเภทเถา แต่ในบางข้อมูลก็ระบุว่าเป็นไม้พุ่ม
    – มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 3 เมตร และมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร
    – ลำต้นอยู่เหนือพื้นผิวดิน เปลือกของลำต้นมีสีเป็นสีน้ำตาล พื้นผิวของลำต้นเป็นผิวขรุขระ เรือนยอดมีรูปร่างเป็นรูปไข่ ลำต้นสามารถตั้งตรงเองได้และลำต้นไม่มียาง [2]
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น[1],[2]
  • ใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน
    – ลักษณะรูปร่างของใบจะเป็นรูปไข่ รูปรี หรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม ตรงโคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ
    – แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว ใต้ท้องใบมีเส้นใบอยู่ประมาณ 5-7 คู่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน[1],[2]
    – ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4.5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 8 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะ โดยจะออกดอกที่บริเวณตามง่ามของกิ่งก้าน
    – ก้านช่อดอกมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 6-13 มิลลิเมตร
    – ลักษณะของดอกจะมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกัน
    – ดอกมีสีเป็นสีม่วง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1 เซนติเมตร และดอกไม่มีกลิ่น[1],[2]
    – ดอกมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย โดยจะเชื่อมติดกันอยู่ และดอกมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
  • ผล
    – เป็นผลเดี่ยว ลักษณะรูปร่างของผลจะเป็นฝักรูปทรงกลมมน
    – เปลือกฝักมีสีเป็นสีน้ำตาล มีขนาดความกว้างและความยาวอยู่ที่ประมาณ 4 นิ้ว
    – ผลอ่อนจะมีสีเป็นสีเขียว แต่ผลเมื่อแก่จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล และผลจะแตกที่บริเวณกลางพู
  • เมล็ด
    – ภายในฝักจะมีเมล็ดอยู่ โดยลักษณะของเมล็ดจะมีรูปทรงเป็นรูปไข่แบน บริเวณขอบเมล็ดจะหนาเป็นสีน้ำตาลแก่ และขนาดความยาวของเมล็ดจะยาวอยู่ที่ประมาณ 18 มิลลิเมตร [1],[2]

สรรพคุณ และประโยชน์ของต้นหัวลิง

  • ใบสด ๆ นำมาตำผสมกันกับผลของต้นมะเยาตำให้ละเอียด จากนั้นจึงนำมาใช้เป็นยาสำหรับใช้แก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า (ใบสด)[1]
  • เมล็ด มีความเป็นพิษต่อสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ชาวพื้นเมืองในทวีปเอเชียจึงนิยมนำมาใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ป่า

ข้อควรระวัง

  • เมล็ดมีความเป็นพิษต่อสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว เป็นต้น โดยจะมีฤทธิ์เข้าไปยับยั้งกล้ามเนื้อระบบประสาท ซึ่งจะมีอาการเป็นพิษที่แสดงให้เห็น คือ ปัสสาวะเป็นเลือด และไตเสื่อม[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หัวลิง”. หน้า 825-826.
2. โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก. “เถาหัวลิง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.lrp.ac.th. [28 ก.ย. 2014].
3. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Sarcolobus globosus”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : en.wikipedia.org. [28 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.inaturalist.org/

ต้นหางไหลขาว สรรพคุณใช้เป็นยาขับระดูในสตรี

0
ต้นหางไหลขาว
ต้นหางไหลขาว สรรพคุณใช้เป็นยาขับระดูในสตรี เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ มีเปลือกสีเทาอมเขียวและเปลือกเรียบ ใบอ่อนสีเหลืองอ่อนออกเขียว ดอกขนาดเล็กสีชมพู ฝักแบน
ต้นหางไหลขาว
เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ มีเปลือกสีเทาอมเขียวและเปลือกเรียบ ใบอ่อนสีเหลืองอ่อนออกเขียว ดอกขนาดเล็กสีชมพู ฝักแบน

ต้นหางไหลขาว

ต้นหางไหลขาว เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ มีเปลือกสีเทาอมเขียวและเปลือกเรียบ มีถิ่นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย ส่วนใหญ่พบในป่าและบนเนินเขา พบขึ้นตามริมน้ำลำธาร ในเขตวนอุทยานถ้ำเพชร ป่าดงดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณทั่วไป[1] ชื่อวิทยาศาสตร์ Derris malaccensis Prain ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Derris cuneifolia var. malaccensis Benth. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)
ชื่ออื่น ๆ ยานาเละ (ชาวมลายู-นราธิวาส)[1]

ลักษณะของต้นหางไหลขาว

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ประเภทเถาที่มีขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบ
    – เป็นใบประกอบ มีใบย่อยอยู่ประมาณ 5-7 ใบ
    – ใบเป็นรูปหอก ปลายใบกว้างแหลม ตรงโคนใบสอบแคบ
    – ใบอ่อนมีสีเป็นสีเหลืองอ่อนออกเขียว เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งแผ่นใบ[1]
  • ดอก
    – ออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อ
    – ดอกมีขนาดเล็กมีสีเป็นสีชมพู[1]
  • ผล
    – มีลักษณะรูปร่างเป็นรูปฝักแบน มีขนาดที่ไม่ยาวมากนัก[1]

สรรพคุณของต้นหางไหลขาว

1. รากนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับขับระดู และแก้ระดูเป็นลิ่ม (ราก)[1]
2. รากนำมาใช้ทำเป็นยาสำหรับถ่ายเส้นเอ็น และทำให้เส้นอ่อน (ราก)[1]
3. รากมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายลม ถ่ายเสมหะและโลหิตได้ (ราก)[1]

ประโยชน์ของต้นหางไหลขาว

1. รากนำมาใช้ผสมกับสบู่และน้ำ จากนั้นก็นำมาใช้ฆ่าสัตว์จำพวกหิดและเหาได้[1]
2. นำรากมาทุบให้แหลกผสมกับน้ำ พอให้ขุ่นขาว จากนั้นก็นำมารดพืชผักในสวนผัก จะช่วยฆ่าแมลงและตัวหนอนได้ และยังสามารถนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลาได้อีกด้วย[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หางไหลขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [28 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/
2.https://commons.wikimedia.org/

ต้นหูปากกา สรรพคุณเป็นยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต

0
ต้นหูปากกา สรรพคุณเป็นยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นไม้เถาเลื้อย ใบเดี่ยว ดอกเป็นสีขาว กลางดอกเป็นสีเหลืองกลิ่นหอม ผลกลม
ต้นหูปากกา
เป็นไม้เถาเลื้อย ใบเดี่ยว ดอกเป็นสีขาว กลางดอกเป็นสีเหลืองกลิ่นหอม ผลกลม

หูปากกา

หูปากกา หรือหนามแน่ขาว เป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีความยาวได้ประมาณ 1-3 เมตร พบตามพื้นป่าผลัดใบ ชื่อสามัญ Sweet clock vine[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ Thunbergia fragrans Roxb. var. fragrans จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)[1],[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ จิงจ้อ จิงจ้อเขาตาแป้น (สระบุรี)[1],[2]

ลักษณะของต้นหูปากกา[1]

  • ต้น[1]
    – เป็นไม้เถาเลื้อย
    – เลื้อยไปพาดพันกับต้นไม้อื่น
    – มีความยาวได้ถึง 1-3 เมตร
    – เถามีความกลม เป็นสีเขียวอมน้ำตาล
    – สามารถพบได้ตามพื้นป่าผลัดใบ
  • ใบ[1],[2]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก
    – ขอบใบหยักตื้น ๆ
    – ใบมีขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 4-8 เซนติเมตร
    – แผ่นใบบาง
    – มีขนขึ้นตามเส้นใบ
    – ผิวใบด้านบนเรียบ
    – ด้านล่างเรียบหรือมีขน
  • ดอก[1],[2]
    – ออกดอกเดี่ยว
    – ออกดอกตามซอกใบ
    – ดอกเป็นสีขาว
    – กลางดอกเป็นสีเหลือง
    – ดอกมีกลิ่นหอม
    – มีกลีบดอก 5 กลีบ
    – ปลายกลีบดอกเว้า
    – โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปปากแตร
    – ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร
    – จะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม
  • ผล[1]
    – ผลมีความกลม
    – ปลายผลเป็นจะงอย ทั้งแหลมและแข็ง
    – ผลแห้งแตกออกได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดจากส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นด้วยแอลกอฮอล์ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด ลดอาการชัก หรือลดการบีบตัวของลำไส้[2]

สรรพคุณของหูปากกา

  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้ผสมกับต้นจันตาปะขาว และต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต[1],[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “หูปากกา”. หน้า 193.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หูปากกา”. หน้า 210.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/
2.https://m.xuite.net/blog/

เถาเอ็นอ่อน ใช้เป็นยาบำรุงเส้นเอ็น

0
เถาเอ็นอ่อน
เถาเอ็นอ่อน ใช้เป็นยาบำรุงเส้นเอ็น เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ใบเดี่ยวสีเขียวนวล ดอกเป็นช่อสีขาวอมสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน ฝักมีเนื้อแข็ง เมล็ดสีน้ำตาลมีขนปุยสีขาวปลิวตามลม
เถาเอ็นอ่อน
เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ใบเดี่ยวสีเขียวนวล ดอกเป็นช่อสีขาวอมสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน ฝักมีเนื้อแข็ง เมล็ดสีน้ำตาลมีขนปุยสีขาวปลิวตามลม

เถาเอ็นอ่อน

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cryptolepis dubia (Burm.f.) M.R.Almeida (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cryptolepis buchananii Roem. & Schult.) อยู่วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่วงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1] มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เครือเถาเอ็น (จังหวัดเชียงใหม่)[1], เครือเขาเอ็น (จังหวัดเชียงใหม่) [4], นอออหมี (กะเหรี่ยง, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), เมื่อย (ภาคกลาง), ตีนเป็ดเครือ (ภาคเหนือ), หญ้าลิเลน (จังหวัดปัตตานี), เขาควาย (จังหวัดนครราชสีมา), กู่โกวเถิง (จีนกลาง), กวน (ฉาน, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), เครือเอ็นอ่อน (ภาคอีสาน), หมอตีนเป็ด (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), เสน่งกู (จังหวัดบุรีรัมย์) [1],[4],[5],[7]

ลักษณะของต้นเถาเอ็นอ่อน

  • ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น ๆ จำพวกเถาเนื้อแข็ง เถาลำต้นจะกลม เปลือกเถามีลักษณะเรียบและหนาเป็นสีน้ำตาลอมดำ หรือสีแดงเข้มมีลายประ มีความยาวประมาณ 4-5 เมตร มีก้านที่เล็ก ก้านเป็นสีเทาอมเขียว เปลือกจะหลุดเป็นแผ่นเมื่อเถาแก่ จะมียางสีขาวขึ้นอยู่ทั้งต้น ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด มักจะพบเจอขึ้นที่ตามป่าราบ ตามที่รกร้างทางสระบุรี[1],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้าม ใบเป็นรูปรี รูปไข่ ที่ปลายใบจะมนและมีหางสั้น ส่วนที่โคนใบจะสอบ ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-18 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะค่อนข้างหนา ที่หลังใบจะเรียบ ลื่น เป็นมัน ส่วนที่ท้องใบจะเรียบและเป็นสีเขียวนวล มีขนขึ้นที่ใบอ่อน มีเส้นใบตามแนวขวางจะเป็นเส้นตรงไม่โค้ง หนึ่งใบมีประมาณ 30 คู่ มีก้านใบที่สั้น สามารถยาวได้ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร[1],[2],[4]
  • ดอก ออกดอกเป็นช่อ ดอกจะออกที่ตามซอกใบ ดอกย่อยมีลักษณะเป็นสีเป็นสีขาวอมสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมกัน มีกลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว[1],[4]
  • ผล เป็นฝักลักษณะเป็นรูปทรงกระสวย กลมยาว มีความยาวประมาณ 6.5-10 เซนติเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางฝักประมาณ 1-2 เซนติเมตร ฝักมีเนื้อแข็ง ที่ปลายผลจะแหลม ส่วนที่โคนผลจะติดกัน ผิวผลมีลักษณะมันและลื่น ผลแก่จะแตกอ้าออก มีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ในผล เมล็ดจะมีขนปุยสีขาวติดและปลิวตามลม เมล็ดเป็นรูปกลมยาวแบนหรือรูปรี ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร[1],[4]

สรรพคุณเถาเอ็นอ่อน

1. เมล็ดจะมีรสขมเมา สามารถใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ จะทำให้ผาย ทำให้เรอ และสามารถช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องได้ (เมล็ด)[1],[2],[3]
2. สามารถนำใบ เถามาใช้เป็นยาบำรุงเส้นเอ็น แก้อาการปวดเมื่อยได้ ใบจะมีรสเบื่อเอียน สามารถนำมาใช้ทำเป็นลูกประคบได้ โดยนำใบมาโขลกให้ละเอียด แล้วก็เอามาห่อกับผ้าทำเป็นลูกประคบแก้ปวดเสียวเส้นเอ็น แก้เมื่อยขบ และสามารถช่วยคลายเส้นเอ็น ช่วยทำให้เส้นเอ็นที่ตึงยืดหย่อนได้ เถาจะมีรสขมเบื่อมัน สามารถนำเถาต้นเอ็นอ่อนมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง ปวดหลัง แก้อาการปวดบวม เส้นแข็ง แก้ขัดยอก แก้เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวดเมื่อยเส้นเอ็น ปวดเมื่อยตามร่างกายได้ (ใบ, เถา)[1],[2],[3],[4],[6]
3. ใบ เถา และราก มีรสขมเบื่อเอียน เป็นยาเย็น จะมีพิษ ออกฤทธิ์ตับและหัวใจ สามารถใช้เป็นยาฟอกเลือดได้ (ราก, เถา, ใบ)[4]
4. สามารถนำเถามาต้มทานช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื่นได้ (เถา)[3]
5. สามารถนำเถามาใช้แก้อาการฟกช้ำดำเขียวได้ ด้วยการนำเถาที่บดเป็นผง 0.35 กรัม มาผสมเหล้าทาน หรือนำยาแห้งประมาณ 5-6 กรัม มาดองกับเหล้าทานครั้งละ 5 ซีซี วันละ 3 ครั้ง (เถา)[4]

ข้อควรระวัง

มีสารที่มีฤทธิ์กับการกระตุ้นของหัวใจ จึงไม่ควรทานเกินกว่าปริมาณที่กำหนดให้ใช้ และไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารสำคัญที่พบ คือ สาร Cryptolepisin และเมื่อเอาสารชนิดนี้ที่สกัดได้ในอัตราส่วน 2.8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของสัตว์ทดลองมาฉีดกับหัวใจที่อยู่ด้านนอกร่างสัตว์ อย่างเช่น กระต่าย หนู จะพบว่าสารที่กล่าวมีฤทธิ์ที่ไปกระตุ้นการบีบตัวของหัวใจให้แรงมากขึ้น แต่ทำให้การเต้นของหัวใจนั้นช้าลง และถ้ากระตุ้นต่อไปสักพักหัวใจก็จะหยุดเต้นในท่าระหว่างบีบตัว[4]

ประโยชน์เถาเอ็นอ่อน

  • มีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้าน [7]
  • ใช้ในสูตรยาอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ จะใช้เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมจากสูตรยาหลัก เวลาที่ต้องการอบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการปวดหลัง ปวดเอว [5]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เถาเอ็นอ่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [18 มี.ค. 2014].
2. ไทยโพสต์. “เถา เอ็น อ่อน สู้เมื่อยขบ เมื่อยตึง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [18 มี.ค. 2014].
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “เถาเอ็นอ่อน (Thao En On)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 140.
4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “เถาเอ็นอ่อน”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 354.
5. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เถา เอ็น อ่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [18 มี.ค. 2014].
6. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เถา เอ็น อ่อน”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 252.
7. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “เถา เอ็นอ่อน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 120.

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.floraofsrilanka.com/

ต้นเทียนกิ่ง ดอกใช้เป็นยารักษาดีซ่าน

0
ต้นเทียนกิ่ง ดอกใช้เป็นยารักษาดีซ่าน เป็นไม้พุ่มกึ่งรอเลื้อยขนาดกลาง ดอกเป็นช่อติดกันเป็นกระจุกยาว ออกตลอดทั้งปี มีกลิ่นหอมแบบอ่อน ๆ ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกหรือแก่เต็มที่สีน้ำตาล
ต้นเทียนกิ่ง
เป็นไม้พุ่มกึ่งรอเลื้อยขนาดกลาง ดอกเป็นช่อติดกันเป็นกระจุกยาว ออกตลอดทั้งปี มีกลิ่นหอมแบบอ่อน ๆ ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกหรือแก่เต็มที่สีน้ำตาล

เทียนกิ่ง

เทียนกิ่ง ถิ่นกำเนิดและเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทางตอนเหนือของแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย (แหล่งปลูกที่สำคัญของโลกคือที่ประเทศอินเดีย อียิปต์ และซูดาน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Lawsonia inermis L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lawsonia alba Lam.จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE) ชื่อสามัญ เฮนน่า (Henna) และมีชื่อสามัญอื่น ๆ อีก เช่น Alcana, Cypress shrub, Egyptian Rrivet Henna Tree Inai Kok khau Krapin Madayanti Mehadi Mignonotte tree Mong Tay Lali Reseda Sinamomo เป็นต้น ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ (ภาคกลาง) เทียนแดง เทียนขาว เทียนต้น เทียนไม้ เทียนป้อม เทียนข้าวเปลือก เทียนย้อม (ภาคอีสาน) ต้นกกกาว ต้นกาว (จีน) โจนกะฮวยเฮี้ยะ ฮวงกุ่ย

ลักษณะของเทียนกิ่ง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งรอเลื้อยขนาดกลาง มีความสูงของต้นโดยประมาณ 3-6 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมากเป็นพุ่มกว้าง ลักษณะของกิ่งก้านเมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียวนวล กิ่งเมื่อแก่จะมีหนาม เปลือกลำต้นเรียบมีสีน้ำตาลอมสีเทา ผิวขรุขระ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้เร็ว ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิดที่มีความชื้นปานกลางถึงต่ำ ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน
  • ใบ มีขนาดเล็ก ใบจะเป็นรูปรีหรือรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมโค้ง โคนใบแหลมเรียวเข้าหากันหรือเป็นรูปลิ่ม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 2-4.5 เซนติเมตร แผ่นใบมีสีเขียว เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง ก้านใบสั้น
  • ดอก เป็นช่อติดกันเป็นกระจุกยาว จะออกตามยอดกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก แบ่งเป็นสองสายพันธุ์คือ พันธุ์ดอกขาวและพันธุ์ดอกแดง ดอกมีกลิ่นหอมแบบอ่อน ๆ ช่อดอกยาวโดยประมาณ 9-14 เซนติเมตร พันธุ์ดอกขาวดอกจะมีสีเหลืองอมสีเขียว กลีบดอกแยกเป็นกลีบ 4 กลีบ ปลายกลีบจะมน มีรอยย่นยับ กลีบดอกมีขนาดยาวโดยประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ที่ฐานดอกที่มีกลีบเลี้ยงดอกเชื่อมติดกันยาวโดยประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร ที่กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 8 ก้านและเกสรเพศเมีย 1 ก้าน เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างโดยประมาณ 8-10 มิลลิเมตร ออกดอกได้ตลอดทั้งปี ดอกร่วงได้ง่าย
  • ผล เป็นรูปทรงกลมคล้ายกับเมล็ดพริกไทย ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกหรือแก่เต็มที่แล้วจะมีสีน้ำตาลและแตกได้ ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้มจำนวนมากอัดกันแน่น ลักษณะของเมล็ดเป็นเหลี่ยม

สรรพคุณของเทียนกิ่ง

1. ใบใช้เป็นยาลดไข้ (ใบ)
2. ดอกแก้อาการปวดศีรษะ (ดอก)
3. ดอกใช้เป็นยารักษาดีซ่าน (ดอก)
4. รากใช้เป็นยารักษาโรคลมบ้าหมู (ราก)
5. รากใช้เป็นยารักษาตาเจ็บ (ราก)
6. รากและใบใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ราก ใบ)
7. ช่วยแก้อาการปวดท้อง (ใบ)
8. ใบสดหรือแห้งนำมาต้มเอาแต่น้ำใช้เป็นยาอมบ้วนปากและคอ จะช่วยแก้อาการเจ็บคอได้ (ใบ)
9. น้ำต้มใบทั้งสด หรือแห้ง หรือยอดอ่อน เมื่อนำมาดื่มจะช่วยแก้โรคท้องร่วงและแก้ท้องร่วงในเด็กได้เป็นอย่างดี (ใบ ยอดอ่อน)
10. ใบใช้เป็นยาแก้บิด กระเพาะอาหารผิดปกติ (ใบ)
11. ใบสดใช้ตำพอกช่วยห้ามเลือด แก้ห้อเลือด (ใบ)
12. ใบสดมีรสฝาดเฝื่อน ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (ใบ)
13. ราก ดอก และผล เป็นยาขับประจำเดือนของสตรี (ราก ดอก ผล)
14. ช่วยรักษากามโรค (ใบ)
15. เปลือกต้นช่วยขับน้ำเหลืองเสียในโรคเรื้อน (เปลือกต้น)
16. ตำรับยากันเล็บถอด แก้เล็บขบ เล็บช้ำ เล็บเป็นแผล เล็บเจ็บเป็นหนอง แก้อาการปวดนิ้วมือนิ้วเท้า ให้นำใบสดของต้นนำมาตำผสมกับขมิ้นอ้อยสดหรือเหง้าขมิ้นชัน และใส่เกลือพอประมาณ หรืออาจจะใช้ใบสดผสมกับเหล้าตำให้ละเอียดก็ได้ ส่วนอีกวิธีให้ใช้ใบสดโดยประมาณ 20-30 ใบที่ล้างสะอาดแล้วนำมาตำให้ละเอียด เอาข้าวสุกปั้นเป็นก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือ นำไปเผาไฟให้บางส่วนดำเป็นถ่าน ตำรวมใส่เกลือเล็กน้อยแล้วนำมาพอกเล็บบริเวณที่เป็นก็จะหาย (ใบ)
17. ใช้ใบสดหรือใบแห้งนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้น้ำล้างหรือทารักษาบาดแผล แผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ แผลมีหนอง แผลอักเสบบวมเป็นหนอง ถอนพิษปวดแสบปวดร้อน (ใบ)
18. น้ำต้มใบสดหรือใบแห้ง ใช้น้ำล้างหรือทารักษาโรคผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ รักษาฝีได้ (ใบ)
19. ใบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและเชื้อหนองซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกลาก (ใบ)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเทียนกิ่ง

1. จากการทดลองพบว่าในใบมีสารเคมีแนพโทควิโนน (Naphthoquinone) ที่ชื่อว่า “ลอโซน” (Lawsone) (2-hydroxy-1,4-naphthoquinone) อยู่ประมาณ 0.5-0.9%, 1,4-naphthoquinone แทนนิน (tannin) 5-10% มีฟลาโวนอยด์ เช่น กลูโคไซด์ของอะพิเจนิน (Apigenin) ลูทีโอลิน (Luteolin) กรดฟีนอลิก (Phenolic acid) กรดไขมัน และแซนโทน (xanthones) ได้แก่ แลคแซนโทน (laxanthone I II) และยังมีรายงานองค์ประกอบทางเคมีเพิ่มเติม ได้แก่
เบนซีนอยด์ (benzenoids) ได้แก่ กรดแกลลิก (Gallic acid) ลาลอยไซด์ (Laloiside)
คูมารินส์ (Coumarins) ได้แก่ เอสคูเลติน (Aesculetin) ฟราเซติน (Fraxetin) สโคโพเลติน (Scopoletin)
ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ได้แก่ ไซนาโรไซด์ (Cynaroside) ทิเลียนิน (Tilianin)
โพลีไซคลิก (Polycyclics) ได้แก่ ลอโซเนียไซด์ (Lawsoniaside)
สเตียรอยด์ (Steroids) ได้แก่ เบต้า-ซิโตสเตียรอล (B-sitosterol)
2. สาร Lawsone มีความปลอดภัยสูง มีรายงานว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็ง และได้มีการทดสอบความเป็นพิษของใบกับคน โดยให้รับประทานใบคนละ 30 กรัม ผลการทดลองไม่พบว่าเป็นพิษ แต่หากใช้ไปนาน ๆ จะมีอาการเบื่ออาหาร ลำไส้มีอาการเคลื่อนไหวมาก และเมื่อทดลองในสุนัขก็ไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษ
3. สารสกัดจากใบด้วยน้ำ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัว
4. สารสกัดจากใบสดด้วยแอลกอฮอล์จะได้สารที่เรียกว่า Lawsone จะมีความเข้มข้นต่ำสุด 1,000 ppm. ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราหรือเชื้อโรคได้หลายประเภท เช่น Brucella Escherichia coli Micrococcus pyogenes var. aureus Salmonella Staphylococcus Streptococcus เป็นต้น แต่สารดังกล่าวจะไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ Candida albicans และเชื้อ Pseudomonas aerugingosa
5. สารสกัดเอทานอล 95% มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ

ประโยชน์ของเทียนกิ่ง

1. ต้นเป็นพรรณไม้จากต่างประเทศที่มีดอกสวยงาม สามารถตัดแต่งต้นให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ จึงนิยมนำเข้ามาปลูกเป็นไม้ประดับตามวัด ปลูกเป็นไม้ประธาน ปลูกเป็นแนวรั้วบังสายตาตามสวนสาธารณะ ริมถนนทางเดิน ริมทะเล หรือตามบ้านเรือน
2. ในต่างประเทศจะใช้ใบบำรุงผิวพรรณ
3. นอกจากนี้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอาง ยังใช้ในการทำความสะอาดผิว ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมัน (Liliac-scented oil) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอม
4. ในวงการเครื่องสำอางจะใช้ผงจากใบแห้ง นำมาใช้ทำเป็นยาย้อมสีผมและบำรุงเส้นผม โดยจะให้สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลแดง หรือสีแดงปนสีส้ม และยังสามารถช่วยป้องกันเส้นผมจากแสงแดดได้อีกด้วย โดยสารที่ออกฤทธิ์คือสาร Lawsone
5. ในประเทศอินเดียจะใช้ใบสดเป็นสีย้อมผ้า ย้อมสีผม ย้อมขน คิ้ว หนวดเครา เล็บมือ ใช้เขียนลายบนฝ่าเท้า ผิวหนังได้อย่างปลอดภัย ไม่มีพิษ ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง และยังใช้ในการย้อมขนสัตว์และเส้นไหมได้อีกด้วย โดยใช้ Ferrous sulphate, Potassium dichromate, Stannous chloride หรือ Alum ซึ่งใช้วิธีย้อมด้วยการแช่ ก็จะทำให้สีย้อมนั้นติดทนนาน โดยสีที่ได้จากใบจะเป็นสีส้มแดง ซึ่งชาวอียิปต์ได้มีการใช้เป็นสีย้อมผมมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว (ลอโซนจะติดผมได้ไม่แน่นเท่ากับสารสกัดจากเฮนน่า ดังนั้นการย้อมสีผมโดยใช้ผงจากใบ จึงประหยัดและติดทนได้ดีกว่าสารลอโซนบริสุทธิ์) หากใช้ผสมสีของดอกอัญชัน ซึ่งได้จากการสกัดด้วยน้ำ เมื่อนำมาย้อมผมจะได้สีผมเป็นสีน้ำตาลเกือบเข้มหรือดำ ซึ่งเป็นสีผมที่เหมาะกับคนไทย และยังพบว่าสีผมหลังการย้อมนั้นติดทนทาน

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “เทียน กิ่ง”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 380-382.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “เทียน กิ่ง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 146.
3. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เทียนกิ่ง”. หน้า 132.
4. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เทียน กิ่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [20 มี.ค. 2014].
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “เทียนกิ่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [20 มี.ค. 2014].
6. โรงเรียนโสภณศิริราษฎร์. “เทียนกิ่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sopon.ac.th. [20 มี.ค. 2014].
7. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. “เทียนกิ่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th. [20 มี.ค. 2014].
8. หนังสือสมุนไพรธรรมชาติที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เล่ม 1. กลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. “เทียนกิ่ง”. (ภก.วันชัย ศรีวิบูลย์, ภญ.แววตา ประพัทธ์ศร, ภญ.อรอนงค์ ตัณฑวิวัฒน์, รศ.ดร.วีณา จิรัจฉริยากูล). หน้า 343-348.
9. คู่มืออบรมย้อมผมสมุนไพร. “การย้อมผมด้วยเทียนกิ่ง & การป้องกันอาการคันศีรษะ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.stou.ac.th/nursing/Project/คู่มืออบรมย้อมผมสมุนไพร.ppt‎. [20 มี.ค. 2014].
10. ไทยสมุนไพร. “เทียน กิ่ง เปลี่ยนสีผมด้วยสมุนไพรไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ไทยสมุนไพร.net. [20 มี.ค. 2014].
11. บทความวิทยุกระจายเสียงรายการวันนี้กับวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 23 (กระจายเสียงจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย) ประจำเดือน มกราคม 2553. “เทียนกิ่ง : สมุนไพรไทยเพื่อความงาม” (พิสมัย เลิศวัฒนะพงษ์ชัย, จิตต์เรขา ทองมณี)