เทียนหยด สรรพคุณแก้ไข้มาลาเรียและปลูกเป็นไม้ประดับ

0
เทียนหยด สรรพคุณแก้ไข้มาลาเรียและปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นพรรณไม้พุ่ม ดอกเป็นช่อกระจะ สีม่วงน้ำเงินหรือสีขาว ผลเป็นพวงหรือเป็นช่อห้อย ผลอ่อนมีสีเป็นสีเขียว ผลสุกสีเหลืองผิวมันสดใส
เทียนหยด
เป็นพรรณไม้พุ่ม ดอกเป็นช่อกระจะ สีม่วงน้ำเงินหรือสีขาว ผลเป็นพวงหรือเป็นช่อห้อย ผลอ่อนมีสีเป็นสีเขียว ผลสุกสีเหลืองผิวมันสดใส

เทียนหยด

ต้นเทียนหยด หรือ ต้นฟองสมุทร มีถิ่นกำเนิดในประเทศอเมริกาเขตร้อนตั้งแต่ฟลอริดาไปจนถึงบราซิล ตลอดจนหมู่เกาะอินดีสทางตะวันตก ชื่อสามัญ Duranta, Golden Dewdrop, Crepping Sky Flower, Pigeon Berry[1],[3] ชื่อวิทยาศาสตร์ Duranta erecta L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Duranta repens L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ เครือออน (จังหวัดแพร่), สาวบ่อลด (จังหวัดเชียงใหม่), พวงม่วง ฟองสมุทร เทียนไข เทียนหยด (กรุงเทพฯ), เอี่ยฉึ่ง (ประเทศจีน) เป็นต้น[1]

ลักษณะของต้นเทียนหยด

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่ม
    – ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 1-3 เมตร
    – ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาได้มากโดยแผ่ออกรอบ ๆ บริเวณของลำต้นตั้งแต่โคนต้นถึงยอดต้น
    – กิ่งก้านมีลักษณะรูปทรงที่ไม่แน่นอน กิ่งมีลักษณะลู่ลง และตามกิ่งอาจจะมีหนามบ้างเล็กน้อย
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย
    – ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน[1],[3]
  • ใบ
    – ใบในลักษณะที่เป็นใบเดี่ยว โดยจะออกใบเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ และต้นจะออกใบดกเต็มต้น
    – ใบเป็นรูปรี ปลายใบสั้นมีลักษณะแหลมหรือมน ตรงโคนใบสอบหรือเรียวยาวไปจนถึงก้านใบ ส่วนขอบใบมีรอยจักเป็นฟันเลื่อยเล็กน้อย
    – แผ่นใบมีสีเป็นสีเขียว [1],[5]
    – ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ 3-3.5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ 5-6 เซนติเมตร
    – ก้านใบสั้น
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณตามซอกใบและส่วนยอดของลำต้น
    – ออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากที่สุดในช่วงฤดูฝน(ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม) [1],[3],[5]
    – ดอก มี 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ดอกสีม่วงและพันธุ์ดอกสีขาว โดยช่อดอกจะมีลักษณะห้อยลงมา มีความยาวอยู่ที่ 5-10 เซนติเมตร ซึ่งภายในช่อจะประกอบไปด้วยดอกที่มีขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
    – ดอกย่อยเมื่อบานเต็มที่แล้ว จะมีขนาดกว้างอยู่ที่ 1-1.5 เซนติเมตร ซึ่งดอกจะทยอยบานครั้งละ 5-6 ดอก
    – โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนบริเวณปลายจะแยกออกเป็นกลีบ 5 กลีบ มีขนาดไม่เท่ากัน มีสีม่วงน้ำเงินหรือสีขาว
    – ตรงกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว โดยกลีบเลี้ยงจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ตรงปลายแยกออกเป็น 5 ริ้ว
  • ผล
    – ออกผลในลักษณะที่เป็นพวงหรือเป็นช่อห้อยลงมา
    – ผลมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก โดยลักษณะรูปทรงของผลเป็นรูปทรงกลมรี มีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร
    – ผลอ่อนมีสีเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ผิวเป็นมันสดใส และผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่[1],[5]
    – ผลมีพิษ

สรรพคุณของต้นเทียนหยด

1. นำใบสดในปริมาณพอสมควร มาตำผสมกับน้ำตาลทราย แล้วนำไปพอกบริเวณที่มีอาการ โดยนำมาใช้เป็นยาสำหรับแก้ฝีฝักบัว แก้หนอง แก้บวม และแก้อักเสบ (ใบสด)[1]
2. ใบสดมีกลิ่นฉุน โดยจะนำมาใช้ตำพอกเป็นยาสำหรับใช้ห้ามเลือดได้ (ใบสด)[1]
3. นำใบสดในปริมาณพอสมควร มาตำผสมกับน้ำตาลทรายแดงปริมาณ 15 กรัม จากนั้นก็นำมาปั้นเป็นก้อน แล้วลนด้วยไฟอุ่น ๆ ใช้เป็นยาสำหรับพอกบริเวณที่เป็นแผล โดยจะนำมาใช้รักษาอาการปลายเท้าเป็นห้อเลือด บวมอักเสบ และเป็นหนองได้ (ใบสด)[1]
4. นำเมล็ดปริมาณประมาณ 15 กรัม มาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าทานเป็นยาที่รักษาอาการปวดหน้าอก หกล้มหรือถูกกระแทกได้ (เมล็ด)[1]
5. นำเมล็ดแห้งปริมาณประมาณ 15-20 เมล็ด มาตำหรือบดให้เป็นผงผสมรับประทาน โดยเมล็ดแห้งนำมาใช้สำหรับเป็นยาเร่งคลอด (เมล็ดแห้ง)[1]
6. นำเมล็ดแก่ที่แห้งแล้วในปริมาณประมาณ 15-20 เมล็ด มาตำหรือบดให้เป็นผงผสมรับประทานก่อนที่จะเป็นไข้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเมล็ดแห้งนี้จะนำมาใช้เป็นยาสำหรับแก้ไข้มาลาเรียได้ (เมล็ดแห้ง)[1]

ข้อควรระวัง

  • สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เด็ดขาด เนื่องจากส่วนผลมีสารพิษที่เมื่อทานเข้าไปมาก ๆ อาจทำให้ตายได้[1]

ประโยชน์ของต้นเทียนหยด

  • ใช้ปลูกเป็นแนวรั้วเพื่อป้องกันวัว กระบือ แพะ แกะ ฯลฯ ได้ เนื่องจากใบมีสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าซาโปนินที่สัตว์จะไม่เลือกกินเพราะมีสารที่เป็นพิษ ในประเทศอินเดียจะนิยมนำมาปลูกกันมากเนื่องจากมีสัตว์จำพวกวัว แพะ ฯลฯ ถูกปล่อยให้เดินตามท้องถนนเป็นจำนวนมาก [5]
  • ใช้น้ำที่ได้มาจากเมล็ดมาละลายกับน้ำในอัตราส่วน 1/100 ส่วน โดยจะนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิและใช้ฆ่าลูกน้ำในบ่อหรือในพื้นที่ที่มีน้ำขังได้ [4],[5]
  • ต้นนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้ โดยจะปลูกไว้ตามทางเดิน ริมถนน ริมทะเล สวนสาธารณะ โดยจะปลูกเป็นไม้ประธาน หรือนำมาปลูกไว้เป็นแนวรั้วบัง เนื่องจากเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม ดอกมีสีสันที่สวยงาม และส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ได้ตลอดทั้งวัน สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ประกอบกับมีผลแก่ที่มีสีเหลืองสดเป็นมันดูสดใสมีความงดงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย แถมยังปลูกและดูแลรักษาได้ง่าย สามารถตัดแต่งใบเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่ก็คือไม่ควรปลูกไว้ใกล้สนามเด็กเล่นเพราะผลและใบมีพิษ[3],[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ใบ มีสาร pectolinaringenin มี scutellarein อยู่จำนวนเล็กน้อย และยังมี durantoside I tethraacetate, durantoside I pentaacetate, durantoside II tethraacetate, durantoside IV tethraacetate นอกจากนี้ก็ยังมีสารอย่าง β-carotene, chlorophyll, xanthophyll, แครอทีน ฯลฯ
  • ผล มีสารจำพวกอัลคาลอยด์ ได้แก่ pyridine derivative และยังมีสาร glucose, fructose, sterols อยู่อีกด้วย[1]

พิษของต้นเทียนหยด

ส่วนที่เป็นพิษ

  • ใบ พบกรดไฮโดรไซยานิค (hydrocyanic acid, HCN) หรือไซยาไนด์
  • ผล พบสารในกลุ่มซาโปนินที่เป็นพิษ ซึ่งได้แก่ duratoside IV, duratoside V ถ้าหากรับประทานโดยการเคี้ยวเข้าไปแล้วก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่ถ้าไม่เคี้ยว ก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด[2],[4]

อาการเป็นพิษ

  • ผู้ป่วยที่ได้รับประทานใบในปริมาณมาก ๆ เข้า สาร hydrocyanic acid ที่อยู่ในใบจะทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจนได้ จนทำให้เกิดอาการตัวเขียว และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ถ้าหากรับประทานในปริมาณเล็กน้อยก็อาจจะทำให้มีอาการอาเจียนและท้องเสียได้ ส่วนในผู้ป่วยที่รับประทานผลอาจจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย มีลำไส้อักเสบ ส่วนในรายที่เกิดอาการเป็นพิษรุนแรงนั้น เนื้อเยื่อที่อยู่ลึก ๆ จะถูกทำลายได้ เม็ดเลือดแดงอาจจะแตกได้ ในกรณีที่มีการดูดซึมของสารพิษเข้าไปมาก ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง มีอาการกระหายน้ำ เริ่มหน้าแดง จิตใจมีความกังวล ตาพร่า และรูม่านตาขยาย
  • พิษที่รุนแรงที่สุดนั่นก็อาจจะแสดงออกที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง การประสานงานของกล้ามเนื้อมีอาการที่ไม่ดี สุดท้ายแล้วการไหลเวียนของเลือดก็จะไม่สม่ำเสมอและอาจถึงขั้นมีอาการชัก และเสียชีวิตได้ในที่สุด[2]

ตัวอย่างผู้ป่วย

  • เด็กหญิงคนหนึ่งในรัฐฟลอริดาได้รับประทานผลเข้าไป และเริ่มมีอาการมึนงง สับสน แต่ในวันต่อมาก็เริ่มกลับมีอาการเป็นปกติ
  • ในประเทศออสเตรเลียก็มีผู้ป่วยเด็กคนหนึ่งที่ได้รับพิษจากเมล็ด จนทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการที่เป็นพิษที่พบก็คือ มีไข้ นอนไม่หลับ และมีอาการชัก[2]

การรักษา

  • โดยการรักษานั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาลในทันที และควรทำให้พิษลดลงหรือทำให้การได้รับการดูดซึมของสารพิษน้อยที่สุด ได้แก่ การทำให้อาเจียนออกมาและให้สารหล่อลื่น เช่น ดื่มนมหรือทานไข่ขาว
  • ในขณะที่พักฟื้นก็ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ แต่ในกรณีที่มีการสูญเสียน้ำและเสียเกลือแร่มากต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด[2],[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ฟองสมุทร”.  หน้า 579-580.
2. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “เทียน หยด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/.   [08 พ.ย. 2014].
3. ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.  (นพพล เกตุประสาท).  “ฟองสมุทร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : clgc.rdi.ku.ac.th.  [08 พ.ย. 2014].
4. ฐานข้อมูลพืชพิษ, ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.  “ฟองสมุทร (เทียนหยด)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : webdb.dmsc.moph.go.th/poison/.  [08 พ.ย. 2014].
5. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 332 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า.  (เดชา ศิริภัทร).  “เทียนหยด :ไม้ประดับที่ผลงดงามกว่าดอก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  www.doctor.or.th.  [08 พ.ย. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://garden.org/plants/photo/469525/
2.https://www.monaconatureencyclopedia.com/

ต้นเทียนดำ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ

0
ต้นเทียนดำ
ต้นเทียนดำ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ขอบใบหยักลึก ดอกเล็กสีขาวหรือสีฟ้าอ่อนอมม่วง ผลแก่คล้ายกับผลฝิ่น เมล็ดสีดำผิวหยาบไม่มีขน มีกลิ่นเล็กน้อย
ต้นเทียนดำ
เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ขอบใบหยักลึก ดอกเล็กสีฟ้าอ่อนอมม่วง ผลแก่คล้ายกับผลฝิ่น เมล็ดสีดำผิวหยาบไม่มีขน มีกลิ่นเล็กน้อย

เทียนดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Nigella sativa L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Nigella cretica Mill.) จัดอยู่ในวงศ์พวงแก้วกุดั่น (RANUNCULACEAE) ชื่อสามัญ Nigella, Black cumin, Black caraway, Fennel flower, Nutmeg flower, Love in the mist, Roman coriander, Wild onion seed ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เทียนดำหลวง (จีนกลาง) เฮยจ๋งเฉ่า

ลักษณะของเทียนดำ

  • ต้น เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุราว 1 ปี ลำต้นกลมและตั้งตรง มีความสูงของต้นโดยประมาณ 30-60 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านบริเวณกลางลำต้น ต้นมีขนสีเหลืองอ่อนขึ้นปกคลุม
  • ใบ ใบประกอบแบบขนนก ขอบใบหยักลึก ใบบนใหญ่กว่าใบล่าง มีก้านใบสั้น ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปสามแฉก ลักษณะเป็นเส้น ปลายแหลม มีขนขึ้นปกคลุมช่วงล่าง ใบย่อยกว้างโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตรและยาวโดยประมาณ 4-5 เซนติเมตร
  • ดอก ดอกเดี่ยว ออกดอกบริเวณปลายยอดหรือตามซอกใบ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีขนาดใหญ่กว่าและยาวกว่ากลีบดอกมาก ดอกอาจมีสีขาวหรือสีฟ้าอ่อนอมม่วง กลีบดอกมีหลายกลีบ ขนาดเล็ก มีสีเหลืองอมเขียว ที่ปลายกลีบมีเส้นคาดมีสีม่วง ดอกมีเกสรเพศผู้มีสีเหลืองจำนวนมาก ยาวโดยประมาณ 8-12 มิลลิเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงยาวโดยประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
  • ผล ผลแก่จะแตกออก มีลักษณะคล้ายกับผลฝิ่น มีความยาวโดยประมาณ 8-15 มิลลิเมตร ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมถึงห้าเหลี่ยม มีขนาดกว้างโดยประมาณ 1.4-1.8 มิลลิเมตรและยาวโดยประมาณ 2.5-3.0 มิลลิเมตร เมล็ดเป็นสีดำสนิทผิวหยาบหรือขรุขระ ไม่มีขน มีกลิ่นเล็กน้อย ส่วนเนื้อในเมล็ดเป็นสีขาว เมล็ดค่อนข้างแข็ง หากใช้มือถูที่เมล็ดหรือนำไปบดจะได้กลิ่นหอมฉุน มีรสชาติขม เผ็ด ร้อน คล้ายกับเครื่องเทศ

สรรพคุณของเทียนดำ

1. เมล็ดมีสรรพคุณบำรุงโลหิต (เมล็ด)
2. ช่วยในเรื่องระบบการหมุนเวียนของเลือด ด้วยการผสมกับน้ำผึ้งรับประทานได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ (เมล็ด)
3. การแพทย์สมัยก่อนนั้นจะใช้เมล็ดเป็นส่วนประกอบในการบำบัดรักษาโรคทุกชนิด (เมล็ด)
4. ในแถบประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์ใช้เมล็ดเป็นยาแก้อาการซูบผอม (เมล็ด)
5. ดร.อิบรอฮีม อับดุลฟัตตาฮ์ระบุว่า หากต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ให้นำเมล็ดมาบดให้ละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 3 กลีบ, น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำสะอาดอุ่นๆครึ่งแก้ว โดยนำส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกันแล้วใช้รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น (เมล็ด)
6. ดร.อะฮ์หมัด อัลกอฎีระบุว่า เขาได้ใช้เมล็ดผสมกับน้ำผึ้งรับมาเป็นยาบำบัดรักษาโรคเอดส์อย่างได้ผล (เมล็ด)
7. ช่วยรักษาโรคไขมันในเลือดหรือคอเลสเตอรอล ให้ใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 แก้วเล็ก, กระเทียม 3 กลีบ และผักชนิดใดก็ได้ 1 กำมือ นำมาบดรวมกันใช้รับประทานเช้าและเย็น (เมล็ด)
8. หากความดันโลหิตสูงให้ใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และกระเทียม 3 กลีบ นำมาผสมกันใช้รับประทานทุกวัน (เมล็ด)
9. ใช้รักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เมล็ดนำมาบดเป็นผงให้ละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ, ทับทิมบดเป็นน้ำ 1 แก้ว, รากกะหล่ำปลีบดเป็นน้ำ 1 แก้ว และผักแว่นบดเป็นน้ำ 1/2 แก้ว แล้วนำมาผสมกับนมเปรี้ยวใช้รับประทาน (เมล็ด)
10. เมล็ดและทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาฟอกเลือด (เมล็ด, ทั้งต้น)
11. ช่วยรักษาโรคปวดศีรษะ ด้วยการใช้เมล็ดบดละเอียดและกานพลูบดละเอียดอย่างละเท่ากัน แล้วนำมาผสมกับนมเปรี้ยวใช้รับประทานเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งสามารถใช้แทนยาพาราเซตามอลได้ หรือจะใช้ผสมกับน้ำผึ้งรับประทานก็ได้ (เมล็ด)
12. ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับนมสดและน้ำผึ้ง 1 แก้ว ใช้ดื่มก่อนเข้านอน (เมล็ด)
13. หากเป็นโรคมะเร็งให้ใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 3 กลีบ, น้ำแคร์รอต 1 แก้วเล็ก และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะนำมาผสมกัน ใช้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 เดือน (เมล็ด)
14. ช่วยทำให้สติปัญญาดีและมีความจำที่ดีขึ้น ด้วยการใช้น้ำมันเทียนดำ 7 หยด น้ำผึ้ง และใบสะระแหน่ 1 กำมือ นำมาผสมกับน้ำอุ่นรับประทานร่วมกับชา กาแฟ หรือนมสด จะช่วยเพิ่มความจำ ทำให้สมองโล่งขึ้น (เมล็ด)
15. รากช่วยรักษามะเร็งคุด มะเร็งเพลิง (ราก)
16. ใช้เมล็ดบด 1-2 ช้อนชานำมาชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ เช้าและเย็น
17. ช่วยแก้โรคลม (เมล็ด)
18. ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้เมล็ดนำมาบดผสมกับน้ำอุ่น ใช้อมกลั้วในปากแล้วบ้วนทิ้งในขณะที่มีอาการปวดฟัน (เมล็ด)
19. ช่วยรักษาโรคหอบหืด โดยใช้น้ำมันนำมาสูดดมพร้อมกับทาบริเวณหน้าอกก่อนนอนทุกวัน (เมล็ด)
20. ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับตา ด้วยการใช้น้ำมันนำมาหยดที่ตาทั้ง 2 ข้างก่อนเข้านอน พร้อมกับใช้น้ำมันผสมกับน้ำแคร์รอทนำมาดื่มจนกว่าจะหาย (เมล็ด)
21. เมล็ดช่วยในการย่อยอาหาร (เมล็ด)
22. ช่วยแก้อาเจียน (เมล็ด)
23. เมล็ดมีรสเผ็ดร้อน ขม ชุ่ม เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อตับ ม้าม และธาตุ ใช้เป็นยาขับลมและความชื้นในกระเพาะและในลำไส้ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ (เมล็ด)และทั้งต้นก็เป็นยาขับลมเช่นกัน (ทั้งต้น)
24. เมล็ดมีรสเผ็ดขม ช่วยขับเสมหะให้ลงสู่ทวาร (เมล็ด)
25. ช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ด้วยการใช้เมล็ดบดผสมกับน้ำอุ่น นำมากลั้วในปากแล้วบ้วนทิ้งในขณะอักเสบ (เมล็ด)
26. ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด, ทั้งต้น) ส่วนใบและต้นมีรสเฝื่อน เป็นยาขับปัสสาวะเช่นกัน (ใบและต้น)
27. ช่วยรักษาโรคลำไส้ แก้อาการปวดท้องจุกเสียด ให้ใช้เทียนดำ, เครื่องเทศ, สะระแหน่ และน้ำผึ้งอย่างละเท่ากัน นำมาผสมใช้รับประทาน และให้ใช้น้ำมันนำมาทาบริเวณท้อง ไม่กี่นาทีก็จะเห็นผลและอาการปวดก็จะหายไป (เมล็ด)
28. ใบและต้นช่วยรักษาริดสีดวงทวาร (ใบ, ต้น)
29. ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
30. ใช้แก้ภาวะท้องมาน ด้วยการใช้ยาทาแก้ปวดเทียนดำและน้ำส้มสายชู นำมาผสมรวมกันใช้ทาบริเวณท้อง พร้อมกับรับประทาน 1 ช้อนโต๊ะที่ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ โดยให้รับประทานทุกวันทั้งเช้าเย็น ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ (เมล็ด)
31. ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโต โดยใช้น้ำมันนำมาทาบริเวณกระเพาะปัสสาวะและลูกอัณฑะ พร้อมทั้งบดเมล็ด ผสมกับน้ำผึ้งรับประทานทุกวันก่อนเข้านอน (เมล็ด)
32. ช่วยสลายเม็ดนิ่ว ด้วยการใช้เทียนดำ 1 แก้วเล็ก, กระเทียม 3 กลีบ และน้ำผึ้ง 1 แก้วเล็กนำมารวมกัน ใช้รับประทานทุกวัน หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำมะนาวตาม จะช่วยล้างไตให้สะอาดได้ด้วย (เมล็ด)
33. ใช้แก้นิ่วในถุงน้ำดี ด้วยการใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 แก้ว และผักเบี้ยบดละเอียด 1/4 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมรวมกัน ใช้รับประทานเช้าเย็นทุกวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เมล็ด)
34. หากเป็นหมัน ให้ใช้เมล็ดเทียนดำบด, หัวไชเท้า และนมสดอย่างละเท่ากัน นำมาบดรวมกันแล้วรับประทานเช้า, เย็น ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ (เมล็ด)
35. หากเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ให้ใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 3 กลีบ และไข่ไก่ 7 ฟองนำมาผสมรวมกัน นำไปทอดหรือใช้รับประทานสด ๆ วันเว้นวัน ติดต่อกัน 1 เดือน (เมล็ด)
36. เมล็ดช่วยแก้ตับโต ตับอักเสบ (เมล็ด)[1] หากตับอักเสบไวรัสบี ให้ใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะและวุ้นของว่านหางจระเข้ 1 อัน นำมาผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ใช้รับประทานทุกวัน ติดต่อกันประมาณ 2 เดือน (เมล็ด)
37. ช่วยรักษาโรคอะมีบา ด้วยการใช้เทียนดำ 1 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะเขือเทศใส่เกลือเล็กน้อย 1 แก้ว นำมาผสมรวมกัน ใช้รับประทานทุกวันติดต่อกัน 2 สัปดาห์ (เมล็ด)
38. ช่วยรักษาโรคไตอักเสบหรือไตเสื่อม ด้วยการใช้ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ใช้รับประทานเป็นยาทุกวัน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ แล้วจะหายอักเสบ (เมล็ด)
39. รากช่วยรักษาดีพิการ (ราก)
40. รักษาโรคม้าม ด้วยการใช้ยาทาแก้ปวดเทียนดำและน้ำมันมะกอก นำมาผสมรวมกันใช้ทาบริเวณใต้ซี่โครงด้านซ้าย พร้อมกับใช้เทียนดำและน้ำผึ้งมารับประทานด้วย โดยให้รับประทานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ อาการของม้ามจะดีขึ้นและความกระปรี้กระเปร่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิม (เมล็ด)
41. ช่วยแก้โรคดีซ่าน (เมล็ด)
42. เมล็ดนอกจากจะเป็นยาขับประจำเดือนแล้ว ยังช่วยบีบมดลูกอีกด้วย (เมล็ด) ส่วนใบและต้นก็มีสรรพคุณบีบมดลูกเช่นกัน (ใบ, ต้น)
43. ใบและต้นมีรสเฝื่อน เป็นยาแก้หนองใน (ใบและต้น)
44. ช่วยในการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการใช้เทียนดำ น้ำผึ้ง และดอกบาบูนิญผสมกัน ทำให้คลอดบุตรง่ายขึ้น (เมล็ด)
45. ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (เมล็ด, ทั้งต้น)[1],[3],[6] ใบ ต้น และเปลือกมีรสเฝื่อน มีสรรพคุณเป็นยาขับประจำเดือนเช่นกัน (ใบ, ต้น, เปลือกต้น)[6],[7] ส่วนรากและเปลือกรากช่วยทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ (ราก, เปลือกราก)
46. ใช้รักษาโรคกลาก ด้วยการใช้เมล็ดบด นำมาทาบริเวณที่เป็นกลากวันละ 3 ครั้งจนกว่าจะหายขาด (เมล็ด)
47. ช่วยรักษาพิษปรอท (เมล็ด)
48. เมล็ดใช้รักษาโรคเรื้อน (เมล็ด)[6] ช่วยรักษาบาดแผลและขี้เรื้อน ด้วยการใช้เมล็ดบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำกระเทียม 1 ช้อนชา และน้ำส้มสายชู 1 แก้วเล็ก นำมาผสมกันใช้เป็นยาทาบริเวณที่เป็น (เมล็ด)
49. เมล็ดใช้รักษาโรคเรื้อน (เมล็ด) ช่วยรักษาบาดแผลและขี้เรื้อน ด้วยการใช้เมล็ดบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำกระเทียม 1 ช้อนชา และน้ำส้มสายชู 1 แก้วเล็ก นำมาผสมกันใช้เป็นยาทาบริเวณที่เป็น (เมล็ด)
50. ในตำราอายุรเวทของอินเดียใช้เมล็ดเป็นยาระงับเชื้อโรค (เมล็ด)
51. ช่วยแก้เหน็บชา โดยใช้เมล็ดบดละเอียด ผสมกับน้ำส้มคั้น 1 แก้ว ใช้ดื่มทุกวัน ติดต่อกัน 10 วัน (เมล็ด)
52. หากเป็นหูด ไฝ หรือกระ ให้ใช้เมล็ดบดละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชูทำเป็นยาทา ใช้ทาบริเวณที่เป็นทั้งเช้าและเย็นติดต่อกัน 1 สัปดาห์ หรือจะใช้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาบดรวมกับผักกาดหอม 1 กำมือ ใช้ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหายขาด (เมล็ด)
53. ใช้รักษาโรครูมาติสซั่ม (Rheumatism) หรือโรคปวดตามข้อ ด้วยการใช้น้ำมันมาทาบริเวณที่มีอาการปวด พร้อมทั้งนำเมล็ดมาบดให้ละเอียดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งตามต้องการ ใช้รับประทานก่อนเข้านอน (เมล็ด)
54. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการปวดตามร่างกาย (ทั้งต้น)
55. ช่วยแก้อาการปวดอักเสบ (เมล็ด)
56. ในตำรับยารักษาอาการทางระบบทางเดินอาหาร ก็พบว่าปรากฏอยู่ในตำรับ “ยาธาตุบรรจบ” (ประกอบไปด้วยเทียนดำ เทียนขาว เทียนแดง เทียนเยาวพาณี และเทียนสัตตบุษย์ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ) โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และยังปรากฏอยู่ในตำรับ “ยาธาตุประสะกานพลู” (ประกอบไปด้วยเทียนดำและเทียนขาว ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ) โดยเป็นตำรับยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง แก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อเนื่องจากอาหารไม่ย่อยหรือเนื่องจากธาตุไม่ปกติ
57. ช่วยขับน้ำนมของสตรี (เมล็ด,ทั้งต้น)
58. มีปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือตำรับยาแก้ลม ได้แก่ ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” และในตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” ซึ่งมีส่วนประกอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย คลื่นเหียนอาเจียน และแก้ลมจุกแน่นในท้อง
59. อยู่ในตำรับยา “พิกัดเทียน” ที่ประกอบไปด้วยตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งห้า” (เทียนดำ เทียนขาว เทียนแดง เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน), ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเจ็ด” (เพิ่มเทียนเยาวพาณีและเทียนสัตตบุษย์) และในตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเก้า” (เพิ่มเทียนตากบและเทียนเกล็ดหอย) โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณโดยรวมคือ บำรุงโลหิต แก้อาเจียน ช่วยขับลม และใช้ในตำรับยาหอมต่าง ๆ
60. ใช้รักษาโรคผมร่วง ด้วยการใช้เมล็ด 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำหัวหอม 1 แก้วเล็ก, น้ำมันมะกอก 1 แก้วเล็ก และน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา นำมาผสมรวมกันแล้วใช้ชโลมให้ทั่วศีรษะในตอนเช้าทิ้งไว้ แล้วตอนเย็นค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น (เมล็ด)
61. นอกจากนี้ยังมีการใช้เมล็ดในตำรับยา “พิกัดตรีรัตตะกุลา” (ตรีสัตกุลา) ซึ่งเป็นตำรับยาที่จำกัดตัวยา 3 อย่าง ประกอบไปด้วย เทียนดำ ผลผักชีลา และเหง้าขิงสด (อย่างละเท่ากัน) โดยเป็นตำรับยาที่บำรุงธาตุไฟ แก้อาการธาตุ 10 ประการ และช่วยขับลมในลำไส้
62. ในตำรับ “ยาประสะไพล” โดยมีส่วนประกอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยเป็นตำรับยาที่ใช้กับสตรีที่ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติหรือมาน้อยกว่าปกติ

วิธีใช้สมุนไพรเทียนดำ

1. ให้ใช้เมล็ด 1-2 ช้อนชา นำมาชงกับน้ำสะอาดดื่ม เช้าและเย็น
2. หากเป็นยาผงให้ใช้ในขนาด 2-6 กรัม ถ้าเป็นในรูปของเมล็ดให้ใช้ในขนาด 0.6-1.2 กรัมหรือโดยประมาณ 1 ช้อนชา นำมาชงกับน้ำสะอาดเป็นชาร้อนดื่ม
3. เมล็ดให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำสะอาดรับประทานหรือเข้ากับตำรายาอื่น ๆ รับประทาน ส่วนต้นแห้งสามารถใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยาได้ตามที่ต้องการ

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. น้ำมันจากเมล็ดเทียนในขนาด 4-32 ไมโครลิตร/กก. หรือสาร Thymoquinone ในขนาด 0.2-1.6 มก./กก. มีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดความดันโลหิต สารสกัดไดคลอโรมีเทนเมื่อให้หนูทดลองที่เป็นความดันกินต่อวันในขนาด 0.6 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 15 วัน แล้ววัดค่าความดันโลหิตเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน Nifedipine พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถลดความดันได้ 22% ในขณะที่ยามาตรฐาน Nifedipine ลดความดันได้ 18% อีกทั้งยังทำให้การขับปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มการขับโซเดียมคลอไรด์ โพแทสเซียมอิออน และยูเรียทางปัสสาวะ สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเมล็ด สามารถยับยั้ง Fibrinolytic activity ได้ ทำให้ระยะเวลาที่เลือดไหลลดลงในกระต่ายทดลอง
2. ในเมล็ด พบสาร Damascenine และพบน้ำมันระเหยยาก (Fixed oil) เช่น Linoleic acid, Oleic acid, Palmitic acid ประมาณ 30% และพบน้ำมันระเหยง่าย (Volatile oil) ประมาณ 0.5-1.5% ซึ่งมีองค์ประกอบหลักเป็นอนุพันธ์ของควิโนน คือ Thymoquinone โดยคิดเป็น 54% นอกจากนี้ยังพบ 4-terpineol, carvone, carvacrol, dithymoquinone, thymohydroquinone, thymol, trans-anethole, limonene, p-cymene และพบสารอัลคาลอยด์ Nigellon, Nigellimine, Nigellicine, Kaempferol, Quercetin และสารซาโปนิน (Saponin) เช่น alpha-hederin และยังพบโปรตีน ไขมัน เป็นต้น
3. ปี ค.ศ.1988 ที่ประเทศเม็กซิโก ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดในหนูทดลองนาน 3 สัปดาห์ พบว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำในเลือดของหนูทดลองได้
4. เมื่อนำสารที่สกัดได้จากเมล็ดสดด้วยแอลกอฮอล์ในปริมาณ 2.1 กรัมต่อ 1 กิโลกรัม มาทดลองกับสุนัข พบว่า สุนัขมีความดันโลหิตที่ลดลง และเมื่อนำมาทดลองกับกระต่ายก็พบว่ามีฤทธิ์ไปกระตุ้นลำไส้ของกระต่ายให้บีบตัวมากขึ้น
5. ส่วนตำราสมุนไพรลดไขมันในเลือดของเภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ ได้ระบุว่าสารสำคัญที่พบ ได้แก่ amyrin, ascorbic acid, carvone, cholesterol, damascininem eycloartenol, damascenime, hederagenia, melanthin, nigllidine, sitosterol, sitgmastesol, telfairie acid, thymol, trytophan, valine และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในการต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ยับยั้งระดับน้ำตาลในเลือดสูง ลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือด ขยายหลอดลม ช่วยขับปัสสาวะ ขับน้ำนม และช่วยห้ามเลือด
6. สาร 2-(2-methoxypropyl)-5-methyl-1,4-benzenediol, thymol, carvacrol ที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลของเมล็ด และอนุพันธ์อะเซททิเลตของสารทั้งสาม (acetylated derivatives) แสดงฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย arachidonic acid ซึ่งฤทธิ์ในการยับยั้งนั้นมีมากกว่ายามาตรฐาน aspirin ถึง 30 เท่า
7. น้ำมันจากเมล็ดขนาด 4-32 ไมโครลิตรต่อกิโลกรัม มีฤทธิ์เพิ่มแรงดันภายในหลอดลม สาร Nigellone ช่วยป้องกันภาวะหลอดลมตีบในหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารฮิสตามีน และช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลม
8. ผลของน้ำมันต่อน้ำหนักตัวของหนูที่เป็นเบาหวาน มีผลการทดลองที่ระบุว่า เมื่อให้น้ำมันในขนาด 10 มลก./กก.น้ำหนักตัว โดยต่อท่อเข้าทางกระเพาะอาหารของหนูแรท พบว่าหนูกลุ่มที่ให้น้ำมัน 10 มลก./กก.น้ำหนักตัว และหนูในกลุ่มควบคุม มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อทดสอบระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทที่ถูกชักนำให้เกิดเบาหวานก็พบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมันมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าหนูเบาหวานที่ไม่ได้รับ
9. สาร Dithymoquinone และสาร Thymoquinone มีฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ในหลอดทดลอง ส่วนสารซาโปนิน alpha-hederin สามารถช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกในหนูได้ประมาณ 60-70% และสารสกัดเอทิลอะซิเตตสามารถยับยั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูได้
10. ในด้านการออกฤทธิ์ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน พบว่าสาร Thymoquinone มีฤทธิ์ในการยับยั้งปฏิกิริยา lipid peroxidation สาร trans-anethole, carvacrol, 4-terpineol ออกฤทธิ์ดีในการจับ superoxide anion
11. สาร Thymoquinone สามารถช่วยป้องกันตับจากสารพิษคาร์บอนเตตระคลอไรด์ได้ และยังช่วยยับยั้งการเกิด lipid peroxidation ช่วยป้องกันไตจากภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) โดยการจับกับ superoxide และยับยั้งการเกิด lipid peroxidation
12. เมื่อทำการทดลองให้สารสกัดน้ำของเมล็ดกับหนูทางปาก หลังจากนั้น 30 นาที ฉีด serotonin creatinine sulfate ในขนาด 60 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม เข้าทางช่องท้องของหนูทดลอง แล้วสังเกตอาการทุกครึ่งชั่วโมงเป็นเวลา 6 ชั่วโมง และวัดผลของอาการท้องเสีย (ใช้ค่า Purging index (PI) ในการวัด) พบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดเมล็ด มีค่า PI เป็น 0 ที่ทุกชั่วโมงของการสังเกตผล ยกเว้นภายหลังการทดสอบชั่วโมงที่ 3 และ 4 และเมื่อนำสารสกัดน้ำของเมล็ดที่ความเข้มข้น 4.56 มก./มล. ไปทดสอบกับเนื้อเยื่อของลำไส้ที่ตัดแยกออกมาจากตัว ก็พบว่าสามารถช่วยยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ที่เกิดจากสาร acetylcholin และ serotonin ได้ ซึ่งจากการทดลองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำเมล็ด มีผลต้านฤทธิ์ serotonin จึงอาจเป็นประโยชน์ในการพัฒนาทำเป็นยารักษาอาการท้องเสียหรือยาต้านอาเจียนได้
13. สารสกัดจากเมล็ดด้วยน้ำมีฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยยาพาราเซตามอลในหนูขาวทดลอง เมื่อให้ในขนาด 150 มก./กก. ทุกวันเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยตรวจพบว่าค่า SGOT, SGPT และ ALP ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จะมีค่าสูงเมื่อตับมีการอักเสบก็พบว่ามีค่าลดลง และปริมาณของบิลลิรูบิน (Bilirubin) ก็ลดลงด้วย
14. ในเด็กที่ติดเชื้อพยาธิ เมื่อทดลองให้สารสกัดเอทานอลจากเมล็ด โดยให้รับประทานในขนาด 40 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสามารถช่วยลดจำนวนไข่ของพยาธิในอุจจาระได้ และยังมีการทดลองให้น้ำมันจากเมล็ดกับหนูทดลองที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ Schistosoma mansoni เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ก็พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถช่วยลดจำนวนของพยาธิที่ตับได้ และยังช่วยลดจำนวนของไข่พยาธิในลำไส้และตับได้อีกด้วย
15. น้ำมันจากเมล็ด สามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ เมื่อทำการทดสอบโดยให้หนูขาวปกติกิน พบว่าจะทำให้เพิ่มปริมาณการหลั่งของสารเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร Glutathione และลดการหลั่งของฮิสตามีน (Histamine) ของเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร และจากการทดลองในสัตว์ทดลองที่ได้รับน้ำมันจากเมล็ดก่อนที่จะถูกชักนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยเอทานอล ก็พบว่าสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากเอทานอลได้ 53.56% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับน้ำมันจากเมล็ด
16. สารสกัดน้ำจากเมล็ด สามารถช่วยลดอาการปวดในหนูทดลองที่ทำการทดสอบด้วยวิธี Hot plate ได้ แต่จะไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้
17. น้ำมันระเหยจากเมล็ดพบว่ามีฤทธิ์สามารถต่อต้านและยับยั้งเชื้อโรคได้หลายชนิด
18. น้ำมันจากเมล็ด และสาร Thymoquinone สามารถช่วยยับยั้งการหลั่งของสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้หลายชนิด เช่น cyclooxygenase, thromboxane B2, leucotrein B4, lipoxygenase เป็นต้น ส่วนสาร Nigellone สามารถช่วยยับยั้งการปลดปล่อยฮิสตามีน จากช่องท้องหนู
19. เมื่อให้น้ำมันจากเมล็ดเทียน ด้วยการฉีดเข้าไปทางช่องท้องของหนูขาว พบว่าสามารถช่วยยับยั้งเชื้อเฮอร์ปีส์ที่ตับและม้ามได้ในวันที่ 3 ของการติดเชื้อ และในวันที่ 10 ก็ไม่พบเชื้อ และยังสามารถเพิ่มระดับของ interferon gamma, เพิ่มจำนวน CD4 helper T cell และลดจำนวน macrophage ได้อีกด้วย
20. สารสกัดไดเททิลอีเทอร์จากเมล็ดสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก Staphylococcus aureus, เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Pseudomonas aeruginosa, เชื้อ Escherichia coli และเชื้อยีสต์ Candida albican นอกจากนี้สารสกัดด้วยน้ำจากเมล็ดสามารถช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้อีกหลายชนิด
21. สาร Thymoquinone สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสที่ผิวหนังได้
22. น้ำมันจากเมล็ด และสาร Thymoquinone สามารถช่วยยับยั้งการหลั่งของสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้หลายชนิด เช่น cyclooxygenase, thromboxane B2, leucotrein B4, lipoxygenase เป็นต้น ส่วนสาร Nigellone สามารถช่วยยับยั้งการปลดปล่อยฮิสตามีน จากช่องท้องหนู
23. ปริมาณน้ำมันระเหยยากที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่งมีค่าเท่ากับ 2.06 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง และมีค่าเท่ากับ 28.8 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมเมื่อให้ทางปาก
24. สารสกัดน้ำจากเมล็ด สามารถช่วยลดอาการปวดในหนูทดลองที่ทำการทดสอบด้วยวิธี Hot plate ได้ แต่จะไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้
25. จากการทดสอบความเป็นพิษ พบว่าสาร Thymoquinone และสาร Thymohydroquinone ที่ฉีดเข้าช่องท้องของหนูทดลอง พบว่าในขนาดที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่งมีค่าเท่ากับ 10 มิลลิลิตร และ 25 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตามลำดับ
26. น้ำมันจากเมล็ด ให้หนูทดลองกินในขนาด 1 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ไม่พบว่าเป็นพิษ แต่พบว่าทำให้น้ำหนักตัวของหนูลดลง แต่ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของระดับเอนไซม์ในตับและเนื้อเยื่อตับ ตับอ่อน ไต หัวใจ ส่วนค่าของระดับคอเลสเตอรอล ระดับกลูโคส ไตรกลีเซอไรด์ จำนวนเม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดลดลง
27. สารสกัดจากเมล็ด 50% ด้วยเอทานอล เมื่อฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร มีขนาดสูงสุดที่หนูทดลองทนได้มีค่าเท่ากับ 250 มก./กก. ส่วนสารสกัดจากเมล็ด 70% ด้วยเอทานอล เมื่อทำการฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าในขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งมีค่าเท่ากับ 0.561 ก./กก. และสารสกัดจากเมล็ด 95% ด้วยเอทานอล ไม่พบว่ามีพิษเมื่อผสมลงในอาหารของหนูขาว 0.5% และจากการทดลองให้กระต่ายกินเมล็ดในขนาด 2-8 ก./กก. ก็ไม่พบว่าเป็นพิษ

ประโยชน์ของเทียนดำ

1. ในทางการค้าจะใช้เมล็ดมาทำเป็นน้ำมัน ยาสมุนไพร เครื่องเทศ สบู่ แชมพู
2. มีประวัติการใช้เมล็ดตั้งแต่สมัยโรมัน และยังปรากฏอยู่ในตำรับยาอายุรเวทของอินเดีย โดยนำมาใช้ทำเป็นยาและนำมาใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหาร ส่วนชาวมุสลิมจะนิยมใช้น้ำมันจากเมล็ดทั้งในพิธีกรรมทางศาสนา ใช้เป็นยา ทำอาหาร โดยนิยมใช้ผสมในขนมปังและน้ำผึ้ง น้ำมันจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้
3. ช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึงและสวยงามขึ้น โดยใช้เมล็ดบดละเอียดผสมกับน้ำมันมะกอก ใช้ทาบริเวณใบหน้าตามต้องการ และควรระวังอย่าให้ถูกแดดทุกวัน
4. เมล็ดมีกลิ่นหอม ฉุน เผ็ด ร้อน คล้ายกับเครื่องเทศ ซึ่งบางครั้งมีการนำมาใช้แทนพริกไทย โดยใช้โปรยเพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร ทำให้รู้สึกร้อนที่เพดานปาก และในแถบตะวันออกกลาง จะใช้เมล็ดผสมกับเมล็ดงา ให้กลิ่นเฉพาะตัว จึงใช้ปรุงกลิ่นและรสของขนมปังและขนมเค้ก รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากมีรสชาติขม ส่วนทางยุโรปจะใช้ผสมกับพริกไทยหรือใช้แทนพริกไทยดำ ส่วนในประเทศเอธิโอเปีย จะใช้ผสมลงในซอสพริก และในแถบอาหรับนำมาบดผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ผสมทำลูกกวาด
5. หากเป็นสิว ให้ใช้เมล็ดบดละเอียด, น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ และข้าวสาลีบดละเอียด นำมาผสมกันใช้ทาให้ทั่วใบหน้าก่อนเข้านอน แล้วล้างออกด้วยสบู่และน้ำอุ่นในตอนเช้า โดยให้ทำติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์

ข้อควรระวังในการใช้

การรับประทานเมล็ดนั้นมีความปลอดภัย ในรายงานจากหลาย ๆ ฉบับ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เทียนดํา”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 270.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เทียนดำ Black Cumin”. หน้า 214.
3. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เทียนดํา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [23 มี.ค. 2014].
4. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [23 มี.ค. 2014].
5. หนังสือความมหัศจรรย์ของสมุนไพรตามแนวทางของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม. (แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์ มุสตอฟา มานะ).
6. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เทียนดำ สมุนไพรในพิกัดเทียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [23 มี.ค. 2014].
7. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. “เทียนดำ”. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). หน้า 110.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.healthline.com/
2.https://jaclynmccabe.com/
3.https://www.seeds-gallery.eu/

ต้นเทียนข้าวเปลือก เมล็ดช่วยแก้อาการมือเท้าเย็นหรือชา

0
ต้นเทียนข้าวเปลือก
ต้นเทียนข้าวเปลือก เมล็ดช่วยแก้อาการมือเท้าเย็นหรือชา เป็นไม้ล้มลุก ใบเป็นเส้นฝอย ดอกขนาดเล็กสีเหลือง ผลกลมยาวรูปไข่คล้ายข้าวเปลือก มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสหวานและเผ็ดร้อน
ต้นเทียนข้าวเปลือก
เป็นไม้ล้มลุก ใบเป็นเส้นฝอย ดอกขนาดเล็กสีเหลือง ผลกลมยาวรูปไข่คล้ายข้าวเปลือก มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสหวานและเผ็ดร้อน

เทียนข้าวเปลือก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Foeniculum vulgare Mill. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Anethum foeniculum L., Foeniculum dulce Mill., Foeniculum officinale All., Foeniculum capillaceum Gilib.) จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE) ชื่อสามัญ Fennel, Sweet fennel ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เทียนหวาน เทียนแกลบ ยี่หร่าหวาน เตียนแกบ (จีนกลาง) เสี่ยวหุยเซียง ฮุ่ยเซียง

ลักษณะของเทียนข้าวเปลือก

  • ต้น เป็นไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นมีการแตกกิ่งก้านบริเวณปลายยอด กิ่งและก้านมีสีเทาอมเขียว ผิวมีร่องตามยาว
  • ใบ เป็นเส้นฝอย แตกเป็นแฉกคล้ายขนนกโดยประมาณ 3-4 แฉก มีก้านใบยาวโดยประมาณ 3.5-4.5 เซนติเมตร
  • ดอก เป็นช่อคล้ายร่ม โดยจะออกที่ปลายกิ่ง ในช่อหนึ่งจะมีดอกโดยประมาณ 5-30 ดอก ก้านช่อดอกจะแตกออกเป็นก้านโดยประมาณ 5-20 ก้าน ช่อดอกยาวโดยประมาณ 2-5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีเหลือง ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปกลมรี ยาวได้โดยประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้าน มีเกสรเพศเมีย 1 ก้าน
  • ผล ออกผลเป็นคู่บริเวณดอก ผลมีลักษณะกลมยาวเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนานคล้ายข้าวเปลือก ด้านข้างของผลค่อนข้างแบน ผิวเรียบไม่มีขน เมล็ดหรือซีกผลมีลักษณะด้านนอกนูน ส่วนด้านในที่ประกบกันของเมล็ดหรือด้านแนวเชื่อมค่อนข้างแบนหรืออาจเว้าเล็กน้อย ด้านที่นูนจะมีสันตามแนวยาวของเมล็ด 3 เส้น และด้านแนวเชื่อมอีก 2 เส้น สันมีลักษณะยื่นนูนออกจากผิวอย่างเด่นชัด เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีขนาดกว้างโดยประมาณ 1.1-2.5 มิลลิเมตรและยาวโดยประมาณ 3.6-8.4 มิลลิเมตร ผลมักจะไม่ค่อยแตกเป็น 2 ซีก ทำให้ดูคล้ายข้าวเปลือก แต่บางครั้งก็แตกเป็น 2 ซีก ซึ่งภายในแต่ละซีกจะมีเมล็ด 1 เมล็ด ทำให้เหมือนแกลม เมื่อนำมาบดเป็นผงสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาลอมเขียว โดยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสหวานและเผ็ดร้อน

สรรพคุณของเทียนข้าวเปลือก

1. ช่วยแก้ชีพจรอ่อนหรือพิการ (เมล็ด)
2. เมล็ดมีรสเผ็ด เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะ ไต และกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยากระจายความเย็นในไต ทำให้ไตมีความอุ่น (เมล็ด)
3. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (เมล็ด)
4. ช่วยแก้กระษัย ด้วยการบดเป็นผง นำมาตุ๋นกับไตหมูรับประทาน (เมล็ด)
5. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด)
6. ช่วยในการขับเสมหะและละลายเสมหะ (เมล็ด)
7. แก้อาการคลั่ง นอนสะดุ้ง (เมล็ด)
8. แก้อาการไอ (เมล็ด)
9. แก้ชีพจรอ่อนหรือพิการ (เมล็ด)
10. แก้อาเจียน (เมล็ด)
11. แก้เส้นศูนย์กลางท้องพิการ (เมล็ด)
12. ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกและพริกไทยอย่างละเท่ากัน นำมาบดรวมกันเป็นผง ใช้ผสมกับเหล้าทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสงรับประทานก่อนอาหารครั้งละ 50 เม็ด (เมล็ด)
13. แก้ลำไส้อักเสบในเด็ก (เมล็ด)
14. แก้อาการอาหารไม่ย่อย (เมล็ด)
15. แก้อาการปวดกระเพาะ ปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือก 8 กรัม ข่าลิง 8 กรัม โอวเอี๊ยะ 8 กรัม หัวแห้วหมูคั่ว 10 กรัม นำทั้งหมดมารวมกันต้มกับน้ำรับประทาน (เมล็ด)
16. จัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเทียน” ซึ่งประกอบไปด้วยตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งห้า” (เทียนข้าวเปลือก เทียนขาว เทียนแดง เทียนดำ และเทียนตาตั๊กแตน) ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเจ็ด” (เพิ่มเทียนเยาวพาณีและเทียนสัตตบุษย์) ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเก้า” (เพิ่มเทียนตากบและเทียนเกล็ดหอย) ซึ่งมีสรรพคุณโดยรวมคือเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยขับลม แก้อาเจียน บำรุงโลหิต และใช้ในตำรับยาหอม
17. แก้อาการปวดท้องน้อย ปวดท้องประจำเดือนของสตรี (เมล็ด)
18. แก้อาการปวดหลัง ปวดเอว เนื่องจากไตไม่มีกำลัง ด้วยการนำมาบดเป็นผง ใช้ตุ๋นกับไตหมูรับประทานเป็นยา (เมล็ด)
19. แก้ลมเย็น มือเท้ามีอาการเย็นหรือชา (เมล็ด)
20. ขับปัสสาวะ (เมล็ด)
21. ปรากฏอยู่ในตำรับยา “น้ำมันมหาจักร” ซึ่งในคำอธิบายพระตำราพระโอสถพระนารายณ์ระบุไว้ว่า น้ำมันขนาดนี้จะประกอบไปด้วย เทียนทั้งห้า (รวมถึงเทียนข้าวเปลือก), การบูร, น้ำมันงา, ดีปลี และผิวมะกรูดสด ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลม แก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคัน ใช้ทาแก้อาการเมื่อยขบ และใส่บาดแผลที่มีอาการปวด หรือเกิดจากเสี้ยนหนาม หอกดาบ ถ้าระวังไม่ให้แผลถูกน้ำก็จะไม่เป็นหนอง
22. เทียนข้าวเปลือกปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) อันได้แก่ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” และในตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย คลื่นเหียน อาเจียน ใจสั่น และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง

วิธีใช้สมุนไพรเทียนข้าวเปลือก

1. ยาผง ในขนาด 0.3-0.6 กรัม สารสกัดแอลกอฮอล์ (1:1 ในแอลกอฮอล์ 70%) ขนาด 0.8-2 มิลลิลิตร ใช้วันละ 3 ครั้ง หรือในรูปของยาชง (ยาผง 1-3 กรัมชงกับน้ำ 150 มล. สารสกัดของเหลว(1:1 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 1-3 มล. ทิงเจอร์ (1:5 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 5-15 มิลลิลิตร ใช้รับประทานระหว่างมื้ออาหารวันละ 2-3 ครั้ง และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหลาย ๆ สัปดาห์
2. ให้รับประทานครั้งละ 3-10 กรัม โดยนำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรืออาจใช้ร่วมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ ตามตำรับยาก็ได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. น้ำมันเทียนข้าวเปลือก มีน้ำมันระเหยง่ายอยู่ประมาณ 1.5-8.6% ซึ่งในน้ำมันมี Trans-anethole อยู่ในปริมาณมาก นอกนั้นยังมี anisic acid, anisic, aldehyde, alpha-pinene, camphene, estragole (methyl chavicol), fenchone, limonene สารในกลุ่ม flavonoid เช่น quercetin-3-arabinoside, quercetin-3-glucurunide, isoquercitrin, rutin และมีสารในกลุ่มคูมาริน เช่น umbelliferone
2. สารที่พบได้ในเมล็ด ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยประมาณ 3-6% และในน้ำมันพบสาร Anethole, Anisealdehyde, Anisic acid, a-Phellandrene, a-Pinene, cis-Anethole, Dipentene, Estragole, Fenchone และพบน้ำมันอีก 18% โดยส่วนใหญ่เป็น Petroselinic acid, Stigmasterol, 7-Hydroxycoumarin เป็นต้น
3. น้ำมันหอมระเหย สารสกัดน้ำ และสาร Diglucoside stilbene trimers และอนุพันธ์ Benzoisofuranone มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ
4. น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะตัวกัน
5. เทียนข้าวเปลือกมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ ยับยั้งการเจริญของเนื้องอก บำรุงร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้คลื่นเหียนอาเจียน เป็นยาระบาย แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ถ่ายพยาธิ ขับปัสสาวะ มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยระงับอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบในสัตว์ทดลอง
6. สาร Fenchone มีฤทธิ์ในการต่อต้านและยับยั้งเชื้อบางชนิดในลำไส้และช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
7. สารสกัดด้วยน้ำมันมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูทดลองและมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ
8. เทียนข้าวเปลือกมีฤทธิ์ช่วยลดอาการท้องเสียได้
9. ในกรณีที่มีอาการปวดท้อง พบว่าการให้น้ำมันหอมระเหยเทียนข้าวเปลือกในรูปอิมัลชัน จะช่วยทำให้ทารกมีอาการดีขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม และสูตรตำรับจะช่วยทำให้ทารกมีอาการดีขึ้นด้วย
10. สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ช่วยปกป้องกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูทดลองจากการทำลายของแอลกอฮอล์
11. น้ำมันจากเมล็ด มีฤทธิ์เป็นยาขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง และมีฤทธิ์ทำให้ลำไส้มีการบีบตัวและคลายกล้ามเนื้อเรียบให้เป็นจังหวะได้ จึงสามารถช่วยขับลมในลำไส้และบรรเทาอาการปวดท้องได้
12. สารสกัดอะชิโตนมีฤทธิ์คล้ายกับเอสโตรเจนในหนู โดยมีฤทธิ์ในการขับน้ำนม ขับประจำเดือนของสตรี โดยมีสารสำคัญคือ Polymer ของ Anethole
13. สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ช่วยปกป้องกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูทดลองจากการทำลายของแอลกอฮอล์
14. น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ช่วยปกป้องตับในหนูทดลอง
15. น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ในการต้านจุลชีพ ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด และมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ Helicobacter pylori
16. จากการศึกษาผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนในระดับปานกลางถึงรุนแรง เมื่อได้รับประทานน้ำมันหอมระเหยปริมาณ 25 หยด ทุก ๆ 4 ชั่วโมง พบว่าสามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ แต่จะมีฤทธิ์น้อยกว่ายา Mefenamic acid แต่การได้รับสารสกัดจะช่วยลดอาการปวดได้ดีเทียบเท่ากับยา Mefenamic acid
17. สารสกัดแอลกอฮอล์และน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อหลอดลมโดยมีผลต่อ Potassium channel
18. สารสกัดด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ต้านอาการปวดและอักเสบ
19. สารสกัดด้วยเมทานอลมีผลต่อเอนไซม์ CYP 450 ซึ่งมีผลต่อการเผาผลาญของยาที่ใช้ร่วมกัน
20. ในกรณีคนปกติ การสูดดมน้ำมันหอมระเหยจะมีผลกระตุ้นระบบอัตโนมัติ Sympathetic
21. สาร Estragole ก่อให้เกิดเนื้องอกในหนูทดลอง
22. จากการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลับของสารสกัดผลด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 16 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 2,500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใช้รักษาในคน และยังให้โดยวิธีการฉีดเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่ตรวจพบว่ามีอาการเป็นพิษ
23. น้ำมันหอมระเหยปริมาณ 0.93 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร มีพิษต่อเซลล์ทารกที่เลี้ยงในหลอดทดลอง
24. น้ำมันหอมระเหย มีผลทำให้เกิดประสาทหลอนได้

ประโยชน์ของเทียนข้าวเปลือก

1. มีการใช้ (เข้าใจว่าคือส่วนของเมล็ด) แต่งกลิ่นอาหารประเภทเนื้อ ซอส กลิ่นซุป ขนมหวาน ขนมปัง เหล้า ผักดอง และมีการใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดหวานในการแต่งกลิ่นยาถ่าย (ช่วยบรรเทาอาการไซ้ท้องได้ด้วย) ส่วนน้ำมันหอมระเหยชนิดขมจะนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ครีม เครื่องหอม สบู่ สารชะล้าง และยาทาภายนอก
2. เมล็ดสามารถนำมาใช้ใส่ในอาหารประเภทต้ม ตุ๋น เพื่อช่วยทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
3. ชาวล้านนาจะใช้เมล็ดเป็นส่วนผสมของพริก ลาบพริก น้ำพริกลาบ ส่วนยอดอ่อนของต้นที่เรียกว่า “ผักชีลาว” จะใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก ลาวเนื้อสัตว์ต่างๆ หรือยำต่างๆ
4. ในต่างประเทศจะใช้หน่อและใบ ในการประกอบอาหาร หรือทานแบบสดๆ

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ด 100 กรัม ให้พลังงาน 345 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 52.29 กรัม
ไขมัน 14.87 กรัม
เส้นใยอาหาร 39.8 กรัม
น้ำ 8.81 กรัม
โปรตีน 15.80 กรัม
วิตามินบี 1 0.408 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.353 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 6.050 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.470 มิลลิกรัม
วิตามินซี 21.0 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 18.54 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 1,196 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 487 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม 385 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 88 มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี 3.70 มิลลิกรัม
ธาตุโพแทสเซียม 1,694 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของหน่อดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 31 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 7.29 กรัม
ไขมัน 0.20 กรัม
เส้นใยอาหาร 3.1 กรัม
โปรตีน 1.24 กรัม
ไขมัน 0.20 กรัม
น้ำ 90.21 กรัม
วิตามินบี 1 0.01 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี 2 0.032 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.64 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 5 0.232 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.047 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 27 ไมโครกรัม 7%
วิตามินซี 12 มิลลิกรัม 14%
ธาตุแคลเซียม 49 มิลลิกรัม 5%
ธาตุเหล็ก 0.73 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแมงกานีส 0.191 มิลลิกรัม 9%
ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 414 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 0.20 มิลลิกรัม 2%
ธาตุฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม 7%

ข้อควรระวังในการใช้

1. อาจเกิดอาการแพ้ผิวหนังหรือที่ระบบทางเดินหายใจ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
2. ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ในหญิงตั้งครรภ์
3. มีไข้สูงหรือพิษไข้ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้
4. ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยในเด็กหรือทารก เพราะจะทำให้หลอดลมหดเกร็ง หายใจไม่ได้

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1 หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เทียนข้าวเปลือก”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 266.
2 หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เทียนข้าวเปลือก Fennel”. หน้า 214.
3 ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เทียนข้าวเปลือก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [20 มี.ค. 2014].
4 ไทยเกษตรศาสตร์. “เทียนข้าวเปลือก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [20 มี.ค. 2014].
5 อาหารพื้นบ้านล้านนา, สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “เทียนข้าวเปลือก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/. [20 มี.ค. 2014].
6 วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Fennel”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org/wiki/Fennel. [20 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://antropocene.it/en/2022/10/25/foeniculum-vulgare-en/

ต้นเบญกานี สรรพคุณแก้อาการปวดฟัน

0
ต้นเบญกานี
ต้นเบญกานี สรรพคุณแก้อาการปวดฟัน เป็นสมุนไพรในตำรับยาไทย เกิดตามใบของไม้ จากการวางไข่ของแมลง เป็นก้อนแข็งค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอมเทา ผิวขรุขระมันเงามีรูพรุน
ต้นเบญกานี
เป็นสมุนไพรในตำรับยาไทย เกิดตามใบของไม้ จากการวางไข่ของแมลง เป็นก้อนแข็งค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอมเทา ผิวขรุขระมันเงามีรูพรุน

เบญกานี

เบญกานี เป็นสมุนไพรในตำรับยาไทย มีลักษณะ กลม แข็ง รสฝาด ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีความหมายว่า ชื่อเรียกก้อนแข็ง ๆ ที่เกิดตามใบของไม้ เกิดจากการวางไข่ของแมลงชนิด Cynips tinctoria ชื่อวิทยาศาสตร์ Quercus infectoria G.Olivier จัดอยู่ในวงศ์ก่อ (FAGACEAE)[1],[2] มีชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ลูกเบญกานี, ลูกเบญจกานี, หมดเจียะจี้ (จีนแต้จิ๋ว), หม้อสือจื่อ (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะของเบญกานี[1]

  • เป็นรังของผึ้งชนิด Quercus infectoria G.Olivier
  • ข้อมูลจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานระบุว่าเกิดจากการวางไข่ของแมลงชนิด Cynips tinctoria
  • โดยผึ้งชนิดนี้จะเข้าไปวางไข่บนต้น Quercus infectoria G.Olivier
  • เมื่อผึ้งเจริญเติบโตเต็มที่จนเป็นผึ้งสมบูรณ์แล้วก็จะบินออกจากรังไปและทิ้งรังไว้
  • รังผึ้งชนิดนี้ถูกนำมาทำเป็นยา
  • เป็นก้อนแข็งค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอมเทา
  • ด้านหนึ่งจะมีขั้วลักษณะคล้ายกับจุกขนาดเล็ก
  • ผิวขรุขระมันเงา มีรูพรุนเข้าไปข้างในได้
  • มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2.5 เซนติเมตร
  • บางครั้งพบซากของตัวอ่อนอยู่ภายใน
  • ต้นไม้ชนิดนี้จะพบได้ที่ประเทศอิหร่าน ตุรกี และประเทศกรีก

ข้อควรระวัง[1]

  • สำหรับผู้ที่เป็นบิดถ่ายแล้วมีอาการแสบร้อน และผู้ที่มีอาการท้องผูก ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เด็ดขาด

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • พบสาร Turkish gallotannin ประมาณ 50-70%, สาร Gallic acid, Tannic acid และพบยางอีกเล็กน้อย เป็นต้น[1]

สรรพคุณของลูกเบญกานี

  • ช่วยแก้อาการปวดมดลูก[4]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้น้ำอสุจิเคลื่อนโดยไม่รู้ตัวได้[1]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาห้ามเลือดภายใน แก้อาการตกเลือดได้[1],[2]
  • ช่วยแก้บิดปวดเบ่ง[1],[4]
  • ช่วยแก้อาเจียน[4]
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย[3]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสียได้[1],[3],[4]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ลิ้นเป็นฝ้าได้[3]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ไอเป็นเลือด หลอดลมอักเสบ[1]
  • สามารถนำมาใช้แก้อาการปวดฟันได้[1]
  • ช่วยรักษาปากหรือลิ้นเป็นแผล[1]
  • ช่วยแก้ปากเป็นแผล แก้ละอง[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เบญจกานี”. หน้า 312.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เบญกานี Nutgall”. หน้า 213.
3. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ.
4. ตำรับยา ตำราไทย. “สรรพคุณยาเภสัช”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: thrai.sci.ku.ac.th. [31 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.indiamart.com/
2. https://herbistha.com/

ใบเตย สรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

0
ใบเตย สรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเป็นทางยาว สีเข้ม เป็นมันขอบใบเรียบ มีกลิ่นหอม
ใบเตย
เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเป็นทางยาว สีเข้ม เป็นมันขอบใบเรียบ มีกลิ่นหอม

ใบเตย

ใบเตย เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเป็นทางยาว สีเข้ม เป็นมันขอบใบเรียบ ชื่อสามัญ คือ Pandan leaves, Fragrant pandan, Pandom wangi ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Pandanus amaryllifolius Roxb. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Pandanus odorus Ridl. จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ)

ลักษณะของใบเตย

  • เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก
  • มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกันเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ
  • ใบเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน
  • ใบค่อนข้างแข็ง มีขอบใบเรียบ
  • สามารถใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง
  • ใบมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant screw pine)
  • กลิ่นหอมของใบมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า 2-acetyl-1-pyrroline
  • สามารถนำมาใช้ทำขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย และมีสีสันสดใส เพื่อให้น่ารับประทานมากขึ้น

สรรพคุณของใบเตย

  • ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  • รสหวานเย็นของใบมีส่วนช่วยชูกำลัง
  • ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
  • ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น
  • ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ
  • ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  • ช่วยบรรเทาอาการและดับพิษไข้ได้
  • ช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยรักษาโรคหัด
  • ช่วยรักษาโรคหืด
  • สามารถใช้เป็นยาแก้กระษัยได้
  • สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้

ประโยชน์ของใบเตย

  • สามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหารได้อย่างหลากหลาย เช่น ขนมลอดช่อง ขนมชั้น เค้ก หรือสลัด
  • สามารถนำมาใช้รองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอม
  • สีเขียวสามารถนำมาใช้แต่งสีของขนมได้
  • สามารถนำมาใช้ทำเป็นทรีตเมนต์สูตรบำรุงผิวหน้าได้

การทำน้ำใบเตยหอม

วัตถุดิบ

– หั่นใบ 2 ถ้วย
– น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
– น้ำ 4 ถ้วย
– น้ำแข็งก้อน

วิธีทำ

1. นำใบที่หั่นไว้ครึ่งหนึ่ง
2. ใส่ลงในโถปั่นพร้อมกับน้ำเล็กน้อย
3. ปั่นจนละเอียด เมื่อปั่นเสร็จให้กรองเอากากออก
4. จะได้น้ำสีเขียว ให้เทใส่ถ้วยแล้วพักไว้
5. ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟระดับกลาง ๆ จนเดือด
6. ใส่ใบที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลงไปต้มประมาณ 5-10 นาที
7. ใส่น้ำตาลลงในหม้อต้มจนน้ำตาลละลาย
8. ปิดไฟและยกลง แล้วกรองเอากากออก
9. จากนั้นให้ยกหม้อขึ้นตั้งไฟระดับกลางอีกครั้ง รอจนเดือดแล้วปิดไฟ
10. ยกหม้อลง และปล่อยให้เย็นเป็นอันเสร็จ

วิธีทำทรีตเมนต์สูตรบำรุงผิวหน้า

  • นำใบมาล้างให้สะอาด
  • นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
  • นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด
  • จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : www.gotoknow.org (ทิพย์สุดา), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ต้นพิษนาศน์ สรรพคุณช่วยรักษาโรคคางทูม

0
ต้นพิษนาศน์
ต้นพิษนาศน์ สรรพคุณช่วยรักษาโรคคางทูม เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อกระจะรูปดอกถั่ว กลีบดอกสีม่วงเข้ม ฝักจะมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุม
ต้นพิษนาศน์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อกระจะรูปดอกถั่ว กลีบดอกสีม่วงเข้ม ฝักจะมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุม

ต้นพิษนาศน์

ต้นพิษนาศน์ถูกจัดให้เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่มที่มีขนาดเล็กลำต้นสั้นจัดอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว ใช้รากต้มกับน้ำดื่มเป็นยากระตุ้นน้ำนมแม่ลูกอ่อนช่วงให้นมบุตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sophora violacea var. pilosa Gagnep. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[2] ชื่ออื่น ๆ แผ่นดินเย็น (จังหวัดอุบลราชธานี), นมราชสีห์ พิษนาท (จังหวัดฉะเชิงเทรา), ถั่วดินโคก (จังหวัดเลย), นมฤาษี เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของต้นพิษนาศน์

  • ต้น
    – เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นสั้น มีความสูงเพียง 15-30 เซนติเมตร[1]
  • ใบ
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยออกเรียงสลับกัน แนบไปกับพื้นดินในแนวรัศมี มีใบย่อยประมาณ 9-13 ใบ
    – ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปวงรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนานแกมรูปวงรี ปลายใบเป็นรูปไข่กลับ
    – ผิวใบมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วใบ[1]
    – ใบย่อยมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และมีขนาดความยาวอยู่ที่ประมาณ 2-5 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ออกดอกในลักษณะที่เป็นช่อกระจะ โดยจะออกดอกที่บริเวณปลายยอด
    – ดอกย่อยมีเป็นจำนวนมาก ดอกมีลักษณะเป็นรูปดอกถั่ว กลีบดอกมีสีเป็นสีม่วงเข้ม ส่วนก้านช่อดอกยาว[1]
  • ผล
    – ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน ตามฝักจะมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุม ภายในฝักจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด[1]
    – ขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด

สรรพคุณของต้นพิษนาศน์

1. ยาพื้นบ้านของอีสานจะนำรากมาฝนกับน้ำใช้สำหรับทาแก้ฝี[1],[2]
2. มีบางข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ชาวบ้านจะใช้ส่วนของรากมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาขับพิษภายใน แก้โรคคางทูม ช่วยขับน้ำค้างที่ขังตามที่ต่าง ๆ แก้อาการฟกบวมตามข้อ ตามกล้ามเนื้อ และนำส่วนของต้นใช้ทำเป็นยาแก้ไข้เซื่องซึม และช่วยดับพิษกาฬที่ทำให้หมดสติได้อีกด้วย (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)

3. ยาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะนำรากมาฝนกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาช่วยลดไข้ในเด็ก ใช้ฝนทาแก้พิษงู (ต้องกล่าวคาถาระหว่างทาด้วย) หรือจะนำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาบำรุงน้ำนมของสตรี (ดื่มมากเกินไปจะส่งผลเสียได้) และใช้ส่วนของลำต้น ราก เหง้า และใบนำมาฝนทาเป็นยาแก้ฝี[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “พิษนาศน์”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [05 ต.ค. 2015].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “ถั่วดินโคก”.  อ้างอิงใน : หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน หน้า 208.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org.  [05 ต.ค. 2015].
อ้างอิงรูปจาก
1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง

ต้นโพธิ์ศรี สรรพคุณของยางเป็นยารักษาโรคเท้าช้าง

0
ต้นโพธิ์ศรี
ต้นโพธิ์ศรี สรรพคุณของยางเป็นยารักษาโรคเท้าช้าง เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง มีน้ำยางสีขาว ดอกเป็นช่อเขียวดอกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลกลมแป้นก้นงผลบุ๋ม เมล็ดแบนคล้ายกับถั่วปากอ้า
ต้นโพธิ์ศรี
เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง มีน้ำยางสีขาว ดอกเป็นช่อเขียวดอกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลกลมแป้นก้นงผลบุ๋ม เมล็ดแบนคล้ายกับถั่วปากอ้า

ต้นโพธิ์ศรี

ต้นโพธิ์ศรี เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง มีถิ่นกำเนิดในแถบพื้นที่อเมริกากลาง แถบพื้นที่อเมริกาใต้ และในพื้นที่ของประเทศนิการากัวจนไปถึงประเทศเปรู ชื่อสามัญ Portia tree, Umbrella tree, Monkey pistol, Monkey’s dinner bell,[1],[2],[3] ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ Hura crepitans L. จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ โพธิ์ทะเล โพธิ์ฝรั่ง โพทะเล โพธิ์ศรี โพฝรั่ง โพศรี (จังหวัดบุรีรัมย์), โพศรีมหาโพ โพธิ์ศรีมหาโพธิ์ (ประเทศไทย), ทองหลางฝรั่ง (จังหวัดกรุงเทพฯ) และโพธิ์อินเดียหรือโพธิ์หนาม เป็นต้น[1],[2],[3]

ลักษณะของต้นโพธิ์ศรี

  • ต้น
    – ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 15 เมตร แต่ถ้าในพื้นที่ถิ่นกำเนิดลำต้นอาจจะมีความสูงได้ถึง 45 เมตร
    – ลำต้นจะมีหนามเล็ก ๆ แหลม บนเต้าที่มีความแบน ๆ ขึ้นปกคลุมกระจายอยู่ทั่ว
    – กิ่งมีขนาดใหญ่ โดยกิ่งก้านจะแตกแขนงแผ่กว้างออกไปจากตัวลำต้น
    – ต้นโพธิ์ศรีภายในจะมีน้ำยางสีขาว
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด[1],[2],[3]
  • ใบ
    – ใบมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปหัวใจคล้ายกับใบโพธิ์ ปลายใบมีลักษณะแหลมยาว ตรงโคนใบเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบจะหยักเป็นซี่ฟันลักษณะห่าง ๆ กัน
    – แผ่นใบมีผิวเกลี้ยง มีขนขึ้นปกคลุมตามเส้นตรงกลางใบด้านล่าง เส้นใบมองเห็นได้ชัดเจน ใบมีเส้นแขนงใบข้างละ 11-16 เส้น มีลักษณะโค้งจรดกัน
    – หูใบมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปใบหอก
    – ใบต้นโพธิ์ศรีสามารถหลุดร่วงได้ง่าย[1],[2]
    – ใบมีขนาดความยาวอยู่ที่ 7-21 เซนติเมตร และก้านใบมีความยาวอยู่ที่ 6-22 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ออกดอกในลักษณะเป็นช่อ ช่อมีสีเขียวแล้วดอกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
    – ดอกมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน
    – ดอกเพศผู้จะมีสีเป็นสีแดงเข้มเป็นช่อดอกยาว ช่อดอกเพศผู้มีความยาวอยู่ที่ 1.5-4.5 เซนติเมตร และก้านช่อดอกจะมีผิวหนา และมีความยาวได้อยู่ที่ 1.2-8 เซนติเมตร ดอกเพศผู้มีดอกเป็นจำนวนมาก ก้านดอกมีความยาวอยู่ที่ 2 มิลลิเมตร ส่วนของเกสรเพศผู้มีอยู่ 10-20 อัน เรียงกันเป็น 2-3 วง อับเรณูมีขนาดเล็ก โดยจะมีความยาวอยู่ที่ 0.5 มิลลิเมตร
    – ดอกเพศเมีย ดอกเพศเมียจะมีลักษณะรูปร่างที่กลมแบนเป็นรูปเห็ดขนาดเล็ก ดอกเพศเมียจะมีดอกเดียวอยู่ที่โคนก้าน โดยดอกเพศเมียจะมีก้านดอกยาวอยู่ที่ 1.2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมีรูปร่างเป็นรูปถ้วย มีความยาวอยู่ 5-8 มิลลิเมตร รังไข่มีความยาวเท่ากันกับกลีบเลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียมีความยาวอยู่ที่ 2-3.5 เซนติเมตร บริเวณยอดของเกสรแยกเป็นแฉก โดยจะแผ่ออกมา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 1.4-2.6 เซนติเมตร[1],[2],[3]
  • ผล
    – ผลมีรูปทรงเป็นแบบแคปซูลมีลักษณะค่อนข้างกลมแป้น
    – ผลจะแบ่งออกเป็นกลีบเท่า ๆ กัน ประมาณ 14-16 กลีบ โดยจะมีรูปทรงคล้ายกับฟักทอง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 เซนติเมตร และมีความสูงอยู่ที่ 3-5 เซนติเมตร
    – ก้นของผลจะบุ๋มทั้งสองด้าน เปลือกผลมีผิวแข็งและหนา เมื่อผลแก่จะมีเมล็ด ถ้าลองเขย่าดูจะมีเสียงคล้ายกับบรรจุทรายไว้ และถ้าผลแก่เต็มที่แล้วก็จะแตกออกมาตามยาวของผลเป็นซี่ ๆ
    -เมล็ดแบนคล้ายกับถั่วปากอ้า เมล็ดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 2 เซนติเมตร[1],[2],[3]

สรรพคุณของต้นโพธิ์ศรี

1. ส่วนของเปลือก ยาง และเมล็ด มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง (เปลือก, ยาง, เมล็ด)[1]
2. เปลือก ยาง และเมล็ดมีฤทธิ์ทำให้ขับอาเจียนออกมา (เปลือก, ยาง, เมล็ด)[1]
3. ยางนำมาทำเป็นยารักษาโรคเท้าช้างได้ (ยาง)[1]

ประโยชน์ของต้นโพธิ์ศรี

1. ในสมัยก่อนจะนำผลที่ยังไม่สุกมาต้ม จากนั้นนำผลมาเจาะรูแล้วนำมาตากให้แห้ง บรรจุทรายเอาไว้ในผล ใช้สำหรับซับหมึกจากปากกา (เป็นที่มาของชื่อ sand box tree)[3]
2. ยางนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลา หรือใช้สำหรับอาบลูกดอก [1]
3. ผลและเมล็ดมีฤทธิ์ในการนำมาฆ่าแมลง[1]
4. เนื้อไม้เป็นเนื้อไม้ที่มีคุณภาพดี แต่ก็ไม่มีความทนทานมากนัก โดยจะนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์[2]
5. ในประเทศไทยมักจะนิยมปลูกเป็นไม้ร่ม ปลูกไว้เป็นต้นไม้ประดับตามสวนสาธารณะ และตามวัดวาอาราม[1],[2]

พิษของต้นโพธิ์ศรี

เมล็ดและยางของต้นโพธิ์นั้นจะมีพิษอยู่ โดยสารพิษที่พบ จะได้แก่ สารกลุ่ม huratoxin, hurin, crepitin และ lectin (ปริมาณของสาร crepitin ที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่ง มีค่าเท่ากับ 187 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)[3]

อาการเป็นพิษ

– เมื่อรับประทานเมล็ดเข้าไปในปริมาณประมาณ 1-2 เมล็ด จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ เกิดอาการตาพร่า ปวดท้อง ท้องร่วง และอาจจะมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ
– ในกรณีที่ได้รับสารพิษในปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ชัก หมดสติ และถึงขั้นเสียชีวิตได้
– ส่วนน้ำยางจะมีฤทธิ์กัดมาก เพราะน้ำยางประกอบไปด้วยสาร hurin และมีน้ำย่อย hurain ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน โดยเอนไซม์ตัวนี้สามารถย่อยเนื้อได้ จึงทำให้เกิดอาการแพ้ได้เมื่อสัมผัสกับผิวหนัง โดยจะทำให้เกิดอาการเป็นผื่นแดงแบบไฟลามทุ่งและพุพองขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสได้ หรือถ้าเข้าตาก็อาจจะทำให้ตาบอดได้[1],[3]

ตัวอย่างผู้ป่วย

– ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ที่ได้รับประทานเมล็ดเข้าไป (มีผู้รับประทานสูงสุดคือ 3 เมล็ด) แล้วเกิดมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เกิดตาแดง มีอาการแสบร้อนในคอ ปวดท้อง ถ่ายเหลว และง่วงนอนอ่อนเพลีย
– กรณีที่ 2 คือ เด็กชายจำนวน 18 ราย มีอายุระหว่าง 12-15 ปี ได้ทำการรับประทานเมล็ดแห้งเข้าไป และเริ่มมีอาการตั้งแต่ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง โดยมีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่มีอาการเมื่อผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมง
โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เกิดอาการแสบร้อนในคอ มีความกระหายน้ำ และในบางรายพบว่ามีอาการปวดท้องและอุจจาระร่วงอีกด้วย แต่วันรุ่งขึ้นอาการก็ดีขึ้น
– กรณีผู้ป่วยมีอาการบวมแดงที่บริเวณผิวหนังและมีอาการอักเสบของเยื่อบุจมูกและตาตลอดปี โดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดมากนัก ตลอดจนการตรวจสอบด้วยวิธี scratch test ก็ได้ผลลัพธ์ที่พบว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้เนื่องจากการสัมผัสยาง [3]

การรักษา

ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลควรให้ดื่มนมหรือผงถ่านเพื่อลดการดูดซึมของสารพิษก่อน แล้วจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้องในทันที และให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดเพื่อป้องกันอาการหมดสติและอาการช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ภายในร่างกาย ส่วนในกรณีอื่น ๆ นี้ก็ให้รักษาตามอาการ เช่น การให้ morphine sulfate ในปริมาณ 2-10 มิลลิกรัม เพื่อช่วยลดอาการปวดท้องให้ทุเลาลงได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โพธิ์ฝรั่ง”. หน้า 577-578.
2. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “โพฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [08 พ.ย. 2014].
3. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “โพธิ์ศรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [08 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/

ต้นพวงตุ้มหู สรรพคุณตำรายาใช้ทำเป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ

0
ต้นพวงตุ้มหู
ต้นพวงตุ้มหู สรรพคุณตำรายาใช้ทำเป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ เป็นพรรณไม้พุ่ม เปลือกต้นและก้านใบสีแดงผิวเรียบไม่มีขน ออกดอกเป็นช่อมีสีชมพูอมม่วง ผลกลมสีเขียว ผลสุกสีแดง
ต้นพวงตุ้มหู
พรรณไม้พุ่ม เปลือกต้นและก้านใบสีแดงผิวเรียบไม่มีขน ออกดอกเป็นช่อมีสีชมพูอมม่วง ผลกลมสีเขียว ผลสุกสีแดง

ต้นพวงตุ้มหู

ต้นพวงตุ้มหู เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีดอกตูมสีชมพูผลคล้ายเบอร์รี่สีแดง จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ PRIMULACEAE (MYRSINACEAE) ชื่อวิทยาศาสตร์ Ardisia pilosa H.R.Fletcher  มีถิ่นกำเนิดถิ่นอาศัยในป่าดิบชื้นใกล้ลำธาร ลำคลองธรรมชาติ และแพร่กระจายอยู่หลายประเทศทั้งจีน อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา ลาว รวมถึงประเทศไทย ชื่ออื่น ๆ เข้าพรรษา (จังหวัดน่าน), ตุ้มไก่ (จังหวัดเลย), ตีนเป็ด[1] เป็นต้น

ลักษณะของต้นพวงตุ้มหู

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ประเภทพุ่ม
    – ต้นมีความสูง: ประมาณ 0.5-1.5 เมตร
    – ลักษณะของลำต้น: ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ลำต้นจะแตกกิ่งก้านน้อยในช่วงบริเวณปลายยอด เปลือกต้นและก้านใบมีสีเป็นสีแดง และมีผิวเรียบไม่มีขน
  • ใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงเวียนสลับกัน
    – ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปรี ค่อนข้างอวบน้ำ ปลายใบกลมมน ตรงโคนใบสอบหรือมน ส่วนขอบใบหยักตื้น
    – ผิวใบด้านบนมีจุดขึ้นอยู่เป็นประปรายตามแผ่นใบ ส่วนด้านหลังใบและท้องใบมีผิวเรียบไร้ขน และก้านใบมีขนขึ้นปกคลุม
    – มีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1-3 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 2.5-7 เซนติเมตร
    – ก้านใบมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3-10 มิลลิเมตร[1],[2]
  • ดอก
    – ออกดอกเป็นช่อ ช่อละหลายดอก โดนดอกจะออกที่บริเวณตามซอกใบ
    – ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงช่วงเดือนกันยายน[1],[2]
    – ก้านช่อดอกมีขนาดความยาวที่เกือบเท่า ๆ กัน ลักษณะของช่อดอกคล้ายกับซี่ร่มแต่หัวห้อยลง
    – กลีบดอกมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ กลีบดอกมีสีชมพูอมม่วง มีกลีบอยู่ 4-5 กลีบ ที่บริเวณโคนกลีบจะเชื่อมติดกัน และกลีบดอกจะเรียงซ้อนกันและมักจะบิดเวียน เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
    – กลีบรองกลีบดอกจะมีรูปร่างเป็นรูปไข่กว้าง มีกลีบอยู่ 4-5 กลีบ
    – เกสรเพศผู้มีก้านเกสรที่สั้น เกสรมีอยู่ 5 อันโดยจะเรียงชิดติด ส่วนรังไข่มีลักษณะกลม ตรงปลายเป็นท่อยาว
  • ผล
    – ผลกลม ผิวผลเป็นมัน และตามผิวจะมีจุดขึ้นเป็นประปราย
    – ผลอ่อนจะมีสีเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงสด
    – ผลมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร[1],[2]

สรรพคุณ และประโยชน์ของต้นพวงตุ้มหู

  • ตำรายาของไทยจะนำราก ใช้ทำเป็นยาแก้ไข้
  • ตำรายาของไทยจะนำใบ ใช้ทำเป็นยาแก้ไอ[1]
  • ต้น ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสำหรับตกแต่งบริเวณตามบ้านเรือนได้[2]
  • ลำต้น ใช้ทำเป็นเครื่องจักสาน[1]
  • ผล เป็นอาหารของสัตว์ป่าและนก[1],[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. ใบและกิ่ง มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ลดปริมาณการสร้างสารอนุมูลอิสระไนตริกออกไซด์ได้ จากผลการทดลองในหลอดทดลอง[1]

2. ใบและกิ่ง มีสาร catechin, gallic acid, quercetin, protocatechuic acid และ p-coumarinic acid อยู่ [1]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “พวง ตุ้ม หู”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [03 ต.ค. 2015].
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้.  “พวง ตุ้ม หู”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th.  [03 ต.ค. 2015].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://efloraofindia.com/

หิ่งเม่นน้อย สมุนไพรตำรับยาพื้นบ้านล้านนา

0
หิ่งเม่นน้อย สมุนไพรตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนนุ่ม ดอกเป็นช่อกระจะสั้นสีเหลืองสด ฝักรูปทรงกระบอกโป่งพองสีดำ ผิวเกลี้ยง ไม่มีขน
หิ่งเม่นน้อย
ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนนุ่ม ดอกเป็นช่อกระจะสั้นสีเหลืองสด ฝักรูปทรงกระบอกโป่งพองสีดำ ผิวเกลี้ยง ไม่มีขน

หิ่งเม่นน้อย

ชื่อสามัญ คือ Rattlebox ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria alata D.Don ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria alata H.Lev., Crotalaria alata H. Lév., Crotalaria bidiei Gamble จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ หิ่งห้อย (เลย), หิ่งเม่น หิ่งเม่นดอย มะหิ่งเม้นน้อย มะหิ่งเม่นดอย (เชียงใหม่)[1],[2]

ลักษณะต้นหิ่งเม่นน้อย

  • ต้น [1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุเพียงฤดูเดียว
    – ลำต้นตั้งตรง
    – ต้นมีความสูงได้ถึง 1 เมตร
    – กิ่งก้านชูขึ้น
    – ลำต้นและกิ่งก้านมีรยางค์ แผ่เป็นปีกแคบ ๆ
    – สามารถพบขึ้นได้ตามพื้นที่โล่ง ในป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบ
  • ใบ [1],[2]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปไข่ รูปวงรี รูปใบหอก หรือรูปใบหอกกลับ
    – ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม
    – โคนใบเป็นรูปลิ่ม และมน
    – ใบมีความกว้าง 0.5-5 เซนติเมตร และยาว 3-9 เซนติเมตร
    – แผ่นใบมีขนนุ่มสั้นทั้งสองด้าน
    – หูใบแผ่ยาวตามกิ่ง มีความกว้างประมาณ 4-10 มิลลิเมตร
    – ปลายเป็นรูปสามเหลี่ยมรูปเคียว
  • ดอก [2]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะสั้น ๆ
    – จะออกดอกตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง
    – มีดอกย่อยอยู่ 2-3 ดอก
    – ก้านช่อดอกยาว 5-10 เซนติเมตร
    – ใบประดับเป็นรูปกึ่งหัวใจถึงรูปใบหอก
    – มีขนาดยาว 4-5 มิลลิเมตร
    – ก้านดอกยาว 4-5 มิลลิเมตร
    – กลีบเลี้ยงเป็นรูปากเปิด
    – ยาวประมาณ 11 มิลลิเมตร
    – กลีบดอกเป็นรูปดอกถั่ว สีเหลืองสด
    – มีเกสรเพศผู้ 10 อัน
    – รังไข่เป็นรูปขอบขนาน ผิวเกลี้ยง
  • ผล [2]
    – ผลเป็นฝัก รูปทรงกระบอกหรือรูปขอบขนาน โป่งพอง และมีสีดำ
    – มีความกว้าง 0.8 เซนติเมตร และยาว 3-4 เซนติเมตร
    – ผิวผลเกลี้ยง ไม่มีขน
    – ผลเมื่อแก่แล้วจะแตก
    – มีเมล็ดขนาดเล็ก

สรรพคุณ และประโยชน์ของหิ่งเม่นน้อย

  • ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนานั้นจะนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำอาบเป็นยาแก้ฟกช้ำ บวม[1],[2]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดได้[3]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หิ่งเม่นน้อย”. หน้า 80.
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “หิ่ง เม่น น้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [22 ก.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “หิ่งเม่นดอย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [24 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/
2.https://www.ipmimages.org/

หิ่งเม่น สรรพคุณช่วยรักษาอาการร้อนใน

0
หิ่งเม่น
หิ่งเม่น สรรพคุณช่วยรักษาอาการร้อนใน ไม้ล้มลุก ใบประกอบเรียงสลับ ดอกเป็นช่อกระจะ ดอกสีเหลืองลายเส้นสีแดงเข้มพาดตามยาว ฝักรูปทรงกระบอกมีขนปกคลุม ฝักอ่อนเป็นสีแดงฝักแก่สีน้ำตาล
หิ่งเม่น
ไม้ล้มลุก ใบประกอบเรียงสลับ ดอกเป็นช่อกระจะ ดอกสีเหลืองลายเส้นสีแดงเข้มพาดตามยาว ฝักรูปทรงกระบอกมีขนปกคลุม ฝักอ่อนเป็นสีแดงฝักแก่สีน้ำตาล

หิ่งเม่น

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria pallida Aiton ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria mucronata Desv.
จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ฮ่งหาย (ชุมพร)[1]

ลักษณะของต้นหิ่งเม่น

  • ต้น
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – มีอายุอยู่ได้หลายปี
    – มีลำต้นตั้งตรง
    – ต้นมีความสูงได้ถึง 1-1.5 เมตร
    – แตกกิ่งก้านย่อย
    – ลำต้นเป็นสีเขียวอ่อนและจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
    – ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9.06-17.4 มิลลิเมตร
    – สามารถพบขึ้นได้ทั่วไปในแถบทวีปเอเชียเขตร้อน ตามป่าหญ้าข้างทาง ชายป่าดิบเขา หรือตามป่าผลัดใบ
    – ขึ้นในที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
  • ใบ
    – เป็นใบประกอบ
    – มีใบย่อย 3 ใบ
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ก้านช่อใบยาว 3-5 เซนติเมตร
    – ก้านใบข้างยาว 2-2.5 มิลลิเมตร
    – ใบย่อยด้านปลายเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่กลับ
    – ปลายใบมนทู่หรือโค้งเว้า
    – ปลายยอดมีติ่งเป็นเส้นสั้น ๆ
    – โคนใบสอบ
    – ขอบใบหยักแบบขนครุย
    – ใบมีความกว้าง 2-4.5 เซนติเมตร และยาว 4.5-7.5 เซนติเมตร
    – หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ไม่มีขน
    – ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน มีขนสีขาวขึ้นอยู่หนาแน่น
    – ผิวใบค่อนข้างนุ่ม
    – เส้นใบปลายโค้งจรดกัน
    – ใบย่อยด้านข้างจะมีความกว้าง 1.5-3.5 เซนติเมตร และยาว 3.5-7.5 เซนติเมตร
    – หูใบแหลม เล็กและสั้น เป็นสีม่วงแดง
  • ดอก[1],[2],[3]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกยาว 15-30 เซนติเมตร
    – ช่อดอกมีดอกย่อย 27-44 ดอก
    – เป็นดอกเดี่ยว
    – ออกดอกเรียงตรงข้ามกัน
    – ออกดอกบนแกนช่อดอก
    – มีก้านยาว 2-2.5 มิลลิเมตร
    – ดอกย่อยเป็นรูปถั่ว มีกลีบดอก 5 กลีบ
    – กลีบบนเป็นรูปไข่ปลายมน
    – กลีบด้านข้างจะคล้ายปีก รูปขอบขนาน
    – กลีบล่างเชื่อมกันเป็นรูปท้องเรือ
    – ปลายแหลมโค้ง
    – กลีบดอกด้านในเป็นสีเหลืองเข้ม
    – กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเหลือง มีลายเส้นสีแดงเข้มพาดตามยาว
    – ดอกเมื่อบานจะมีขนาดกว้าง 1.4-1.6 เซนติเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นมัด 10 อัน
    – มีอับเรณูเป็นสีส้ม
  • ผล
    – ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก
    – มีฝัก 7-16 ฝักต่อช่อ
    – ฝักจะโค้งงอเล็กน้อย
    – มีความกว้าง 0.5 เซนติเมตร และยาว 3-9.5 เซนติเมตร
    – ปลายยอดฝักมีติ่งเป็นเส้นยาว 7 มิลลิเมตร
    – ฝักจะมีขนขึ้นปกคลุม
    – เส้นกลางฝักด้านนอกเป็นแนวยาวลึกลง
    – ฝักอ่อนเป็นสีแดง
    – ฝักเมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
    – ผลเมื่อแก่แล้วจะแตกออกเป็นฝา
    – ฝักจะมีเมล็ดจำนวนมาก มีถึง 56-58 เมล็ด
    – เมล็ดเป็นรูปไต สีน้ำตาล
    – เมล็ดมีขนาด 2-4 มิลลิเมตร
    – จะออกฝักในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม

สรรพคุณของรากหิ่งเม่น

  • ช่วยทำให้มีบุตรง่าย[1]
  • ช่วยกระตุ้นกำหนัด[1]
  • ช่วยแก้อาการอาเจียน[1],[3]
  • ช่วยแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ[1],[3]
  • ช่วยรักษาอาการร้อนใน
  • ช่วยแก้โรคทางเดินปัสสาวะ[1],[3]

ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ( ใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ )

– รากเจตพังคี
– รากเจตมูลเพลิงแดง
– รากละหุ่งแดง
– รากมหาก่าน
– รากหิงหายผี
– เปลือกต้นหรือรากเดื่อหว้า
– ต้นพิศนาด
หัวกระชาย
– หัวกำบัง
เหง้าว่านน้ำ
– ผลยี่หร่า
เมล็ดพริกไทย
– เมล็ดเทียนคำหลวง
วุ้นว่านหางจระเข้
– เทียนทั้งห้า
ให้ใช้ในปริมาณที่เท่ากัน นำมาบดให้เป็นผง แล้วผสมกับน้ำมะนาวและใส่เกลืออีกเล็กน้อย ใช้สำหรับรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ[1],[3]

ประโยชน์ของหิ่งเม่น

  • ตัน สามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดได้[2]
  • เป็นแหล่งของอาหารตามธรรมชาติของโคกระบือ

ปริมาณสารอาหาร

ยอดอ่อน ใบ และก้านใบ ในระยะที่เริ่มมีดอก
– โปรตีน 23.94%
– ไขมัน 2.65%
– เถ้า 2.65%
– เยื่อใย 21.01%
– เยื่อใยส่วน ADF 38.6%
– NDF 47.67%
– ลิกนิน 15.11%[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค  คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หิ่งเม่น”. หน้า 84.
2. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 5. “หิ่ ง เ ม่ น”.
3. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์. “หิ่งเม่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : nutrition.dld.go.th. [24 ก.ย. 2014].