ต้นพันงูน้อย กับสรรพคุณวัชพืชที่น่ารู้ก่อนถอนทิ้ง

0
ต้นพันงูน้อย
ต้นพันงูน้อย กับสรรพคุณวัชพืชที่น่ารู้ก่อนถอนทิ้ง ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ปลายใบและโคนใบแหลม ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง
ต้นพันงูน้อย
ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ปลายใบและโคนใบแหลม ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง

ต้นพันงูน้อย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Achyranthes bidentata Blume ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Achyranthes bidentata var. longifolia Makino)[2] จัดอยู่ในวงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)[1] ชื่อตามท้องถิ่นอื่น ๆ หญ้าพันงูน้อย พันธุ์งูเล็ก พันงูเล็ก หญ้าพันงูเล็ก ควยงูน้อย (ไทย), หงู่ฉิก (จีนแต้จิ๋ว), หนิวชี (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะต้นพันงูน้อย

  • ลักษณะของต้น [1]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก
    – มีความสูง 30-100 เซนติเมตร
    – มีรากอยู่ใต้ดินยาวเล็ก
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-1 เซนติเมตร
    – ลักษณะของลำต้นจะคล้ายกับหญ้าพันงูขาว
    – ก้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลเหลือง
  • ลักษณะของใบ [1]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงเป็นคู่
    – ใบเป็นรูปไข่กว้าง
    – ปลายใบและโคนใบแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1-5 เซนติเมตร และยาว 2-10 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
    – ผิวใบเรียบ
    – ใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย
    – ก้านใบยาว 5-20 มิลลิเมตร
  • ลักษณะของดอก [1]
    – ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว สีขาวปนแดง
    – จะออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง
    – มีกาบใบช่อดอก 1 ใบ
    – ก้านช่อดอกกลมและตั้งตรง ยาว 15-20 เซนติเมตร
    – กลีบดอกยาว 3-5 มิลลิเมตร
    – มีกลีบ 5 กลีบ
    – กลีบเลี้ยง 2 กลีบ เป็นรูปแหลม
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีรังไข่ 2 อัน
  • ลักษณะของผล [1]
    – ผลเป็นรูปทรงกลมรี
    – ยาวประมาณ 2-5 มิลลิเมตร
    – ผิวผลเรียบมัน
    – มีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของพันงูน้อย

  • ราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ[1]
  • ราก ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด[1]
  • ราก ใช้เป็นยาแก้ฝีบวม[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการฟกช้ำ[1]
  • ราก ใช้เป็นยาบำรุงตับ บำรุงไต[1]
  • ราก มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง [1]
  • ราก ช่วยแก้อาการมือเท้าเป็นเหน็บชา[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการปวดตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดเอว[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการปวดท้องน้อยหลังการคลอดบุตรของสตรี[1]
  • ราก มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นยาสุขุมไม่มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อตับและไต สามารถใช้เป็นยากระจายโลหิตได้[1]
  • ราก สามารถใช้แก้สตรีที่มีประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ หรือมีเลือดคั่งในมดลูก หรือเลือดอุดตันในมดลูก[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้แก้อาการปวดขาและหัวเข่า [1]

ข้อห้ามในการใช้สมุนไพรพันงูน้อย

  • ผู้ที่มีพลังหย่อนหรือพร่อง หรือสตรีมีครรภ์ หรือมีประจำเดือนมามากเกินควร ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารที่พบ ได้แก่โพแทสเซียม และสารจำพวก Alkaloid เช่น Oleanolic acid, ส่วนรากและเมล็ดพบสาร Ecdysterone, Innokosterone เป็นต้น[1]
  • สารที่สกัดได้จากหญ้าพันงูน้อยมีผลต่อการหดเกร็งตัวของมดลูกของกระต่าย ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ก็ตาม และมีผลต่อการหดเกร็งตัวของมดลูกที่อยู่นอกตัวของหนูทดลองอีกด้วย แต่จะมีฤทธิ์กระตุ้นการหดเกร็งตัวของมดลูกของแมวน้อยกว่า แสดงว่าหญ้าพันงูน้อยจะออกฤทธิ์ต่อมดลูกของสัตว์ทดลองแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป[1]
  • เมื่อนำสารที่สกัดได้จากหญ้าพันงูน้อยหรือน้ำที่ต้มกับหญ้าพันงูน้อยมาฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำของสัตว์ทดลอง พบว่าสามารถทำให้ความดันโลหิตลดลง และทำให้การหายใจถี่ขึ้น[1]
  • เมื่อนำน้ำที่ต้มกับหญ้าพันงูน้อย มาฉีดเข้าทางท้องน้อยของสัตว์ทดลอง พบว่าสามารถแก้ปวดได้ แต่จะมีฤทธิ์น้อยกว่ามอร์ฟีนมาก[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้าพันงูน้อย”. หน้า 598.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “พันธุ์งูเล็ก”. หน้า 31.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ครอบฟันสี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [09 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofsrilanka.com/genus/204
2.https://eol.org/pages/585500

พรมมิแดง ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน

0
พรมมิแดง
พรมมิแดง ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน เป็นไม้ล้มลุก ขึ้นตามที่ดินปนทราย ใบเรียงตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น ดอกเป็นช่อกระจุก
พรมมิแดง
เป็นไม้ล้มลุก ขึ้นตามที่ดินปนทราย ใบเรียงตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น ดอกเป็นช่อกระจุก

พรมมิแดง

เมื่อกล่าวถึงพืชสมุนไพรแล้วนั้น พืชสมุนไพรก็ต่างมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ มีสรรพคุณและประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป หรืออาจจะเหมือนกันแต่การนำมาใช้ก็ย่อมจะแตกต่างกันไป ชื่อวิทยาศาสตร์: Trianthema triquetra Rottler & Willd.  จัดอยู่ในวงศ์: วงศ์ผักเบี้ยทะเล (AIZOACEAE)[1] ชื่ออื่น ๆ ผักเบี้ย (จังหวัดราชบุรี, ชลบุรี และในภาคกลาง), พรมมิ (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), อือลังไฉ่ อุยลักก๊วยโชะ (ในประเทศจีน) เป็นต้น[1]

ลักษณะของพรมมิแดง

  • ต้น
    – จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก มักจะขึ้นตามดินปนทราย[1]
    – ประเทศไทยสามารถพบได้ที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    – ต่างประเทศสามารถพบได้ในแอฟริกา ปากีสถาน อินเดีย พม่า มาเลเซีย และออสเตรเลีย (Phuphathanaphong, 2005)
    – มีขนาดความสูงที่ไม่สูงมากนักดูแล้วค่อนข้างเตี้ย โดยลำต้นนี้จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปที่บริเวณโคนต้น และกิ่งก้านที่แผ่ออกมานั้นจะทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน
    – ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบ
    – ใบออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ลักษณะรูปร่างของใบจะเป็นรูปเรียวแคบ และตรงโคนก้านใบจะแผ่ออกเป็นกาบ
    – ก้านใบสั้น[1]
    – ใบมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 0.05-0.2 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 0.15-0.7 เซนติเมตร
  • ดอก
    – ดอกออกเป็นช่อ ๆ กระจุกตัวกันอยู่ โดยดอกจะออกที่บริเวณซอกใบ
    – มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ
    – ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน โดยเกสรเพศผู้นี้จะอยู่สลับกันกับกลีบดอก[1]
  • ผล
    – ผลเป็นแบบฝัก
    – ฝักมีขนาดที่เล็ก โดยฝักจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร
  • เมล็ด
    – โดยภายในฝักนั้นจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 2 เมล็ด
    – เมล็ดจะมีสีเป็นสีดำ และเมล็ดมีลักษณะรูปร่างเป็นรูปไต[1]

สรรพคุณ ประโยชน์ ของต้นพรมมิแดง

1. ลำต้นรสชาติเย็น และมีความขมเล็กน้อย ใช้ทำเป็นยาดับพิษไข้หัว เช่น รักษาอาการไข้ รักษาโรคฝีดาษ แก้อาการกระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน เป็นต้น แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะนำส่วนของลำต้นนำมาปรุงเป็นยาเขียว มีฤทธิ์ในการดับพิษร้อนทั้งปวง (ต้น)[1]
2. ลำต้นนำมาใช้ทานเป็นยาขับเลือดได้ (ต้น)[1]
3. บางข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้อาการร้อนใน และแก้อาการกระหายน้ำได้แล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษตานซาง และแก้อาการอักเสบบวมได้อีกด้วย (ข้อมูลจาก : www.songkhlaportal.com by เวสท์สงขลา)
4. ใบนำมาใช้ทานเป็นยาขับเสมหะได้ (ใบ)[1]
5. ดอกสามารถนำมาใช้ทำเป็นยารักษาโรคประจำเดือนที่จางใสได้ (ดอก)[1]
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “พรม มิ แดง”.  หน้า 532-533.
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/guide_taxa/1183369
2.https://www.picturethisai.com/wiki/Trianthema.html

ต้นทองกวาว สรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการตาแดง

0
ต้นทองกวาว
ต้นทองกวาว สรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการตาแดง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ดอกมีสีแดงส้มหรือแสดคล้ายดอกทองหลาง ฝักแบนสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน
ต้นทองกวาว
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ดอกมีสีแดงส้มหรือแสดคล้ายดอกทองหลาง ฝักแบนสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน

ต้นทองกวาว

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางพบในเขตร้อนพบได้ทั่วไปทั้งในอินเดีย บังคลาเทศ เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ดอกสีส้มแสดจะเริ่มบานตั้งแต่เดือนเมษายนและจะออกผลช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ชื่อสามัญ คือ Bastard teak, Bengal kino, Kino tree, Flame of the forest ต้นทองกวาวมีสรรพคุณทางอายุรเวทลำต้นอุดมไปด้วยกรดแกลลิกและกรดแทนนิก ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Butea monosperma (Lam.) Taub. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ จาน (อุบลราชธานี), จ้า (สุรินทร์), ทองต้น (ราชบุรี), ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ (ภาคกลาง), กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ), ดอกจาน (ภาคอีสาน), จอมทอง (ภาคใต้), กวาวต้น

ลักษณะต้นทองกวาว

  • ลักษณะของต้น
    – ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียใต้ เช่น ประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย
    – เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง
    – มีความสูง 12-18 เมตร
    – กิ่งอ่อนมีขนละเอียด สีน้ำตาลหนา
    – การแตกกิ่งก้านจะไปในทิศทางที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
    – เปลือกต้นจะเป็นปุ่มปม
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการใช้กิ่งปักชำ
  • ลักษณะของใบ
    – เป็นใบประกอบแบบขนนก
    – มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับกัน
    – ใบย่อยที่ปลายรูปไข่
    – กลีบแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
    – ใบย่อยด้านข้างจะเป็นรูปไม่เบี้ยว
    – มีความกว้าง 8-15 เซนติเมตร มีความยาว 17 เซนติเมตร
    – ขอบใบเรียบ
  • ลักษณะของดอก
    – ออกดอกเป็นช่อคล้ายกับดอกทองหลาง
    – ดอกมีสีแดงส้มหรือแสด
    – มีความยาว 6-15 เซนติเมตร
    – มีดอกย่อยเกาะกันเป็นกลุ่ม
    – เมื่อดอกบานจะมีกลีบ 5 กลีบ
    – จะออกดอกมากในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
  • ลักษณะของผล
    – ผลเป็นฝักแบน
    – ฝักมีสีเขียวอ่อน
    – เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง
    – ที่ฝักมีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน
    – ฝักโค้งงอเล็กน้อย
    – ไม่แตก
    – ด้านบนหนาแตกเป็น 2 ซีก
    – ในฝักมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ 1 เมล็ด
    – ฝักมีความยาว 10-14 เซนติเมตร และกว้าง 2-3.5 เซนติเมตร

สรรพคุณของทองกวาว

  • ดอก ช่วยแก้พิษฝี
  • ดอก ช่วยลดกำหนัด
  • ดอก ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • ดอก ช่วยสมานแผลปากเปื่อย
  • ดอกใช้ต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ
  • ดอก สามารถใช้ต้มดื่มช่วยถอนพิษไข้ได้
  • ดอก สามารถใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง
  • ดอก สามารถใช้แก้อาการเจ็บตา ปวดตา ระคายเคืองตา ตามัว ตาแฉะ ตาฟาง
  • ใบ สามารถช่วยรักษาริดสีดวง
  • ใบ สามารถใช้ตำพอกฝีและสิว แก้อาการปวด และช่วยถอนพิษได้
  • ใบ สามารถใช้แก้อาการท้องอืดเพราะลมในกระเพาะอาหารเฟ้อขึ้นได้
  • ราก มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ
  • ราก สามารถใช้ต้มรักษาโรคประสาทได้
  • ราก สามารถนำมาใช้ประคบบริเวณที่เป็นตะคริวได้
  • เมล็ด สามารถใช้บำบัดพยาธิภายในได้
  • เมล็ด สามารถนำมาบดผสมกับมะนาว นำมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่นแดง อักเสบ คันได้
  • เปลือก สามารถช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นได้ แต่จะทำให้จำนวนอสุจิลดลง
  • แก่น สามารถใช้ทาแก้อาการปวดฟันได้
  • ยาว สามารถใช้ช่วยแก้อาการท้องร่วง
  • ฝัก ใบ หรือเมล็ด สามารถนำมาต้มเอาแต่น้ำใช้เป็นยาขับพยาธิหรือพยาธิตัวกลม

ประโยชน์ของทองกวาว

  • ดอกใช้ย้อมสีผ้า ซึ่งจะให้สีแดง
  • ใบสด สามารถนำมาใช้ห่อของได้
  • ใบ สามารถใช้ตากมะม่วงกวนได้
  • ใบ สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับช้างและวัวควายได้
  • ในอินเดีย จะนำมาปั้นเป็นถ้วยไว้ใส่อาหารและขนมแทนการใช้พลาสติก
  • ลำต้น เมื่อนำมาสับเป็นแผลจะมียางไหลออกมา สามารถนำมาใช้แทน Kimo ได้ หรือที่เรียกว่า Bengal kino
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเรือนและเครื่องมือทางการเกษตรได้
  • เนื้อไม้ สามารถใช้ทำกระดานกรุบ่อน้ำ ทำเรือขุดหรือเรือโปงใช้ชั่วคราว หรือใช้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ และกังหันน้ำได้
  • ทองกวาว เป็นไม้มงคลนาม คนไทยสมัยก่อนเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นทองกวาวไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองมาก
  • ดอกทองกวาว มีความสวยงามเรืองรองเหมือนทองธรรมชาติอีกด้วย โดยตำแหน่งที่ปลูกก็คือทิศใต้ และถ้าปลูกในวันเสาร์ก็จะยิ่งเป็นมงคลขึ้นไปอีก

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, รายการสาระความรู้ทางการเกษตร สถานีวิทยุ มอ. เอฟเอ็ม แปดสิบแปด เมกะเฮิร์ตซ์, หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.bimbima.com/herbs/butea-monosperma/4539/
2.https://www.plantslive.in/product/buy-palash-butea-plants-online-india/

ต้นติ้วเกลี้ยง ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น

0
ต้นติ้วเกลี้ยง ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นกระจุกสีชมพูอมแดงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลแก่สีดำ
ต้นติ้วเกลี้ยง
เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกออกเป็นกระจุกสีชมพูอมแดงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลแก่สีดำ

ต้นติ้วเกลี้ยง

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cratoxylum cochinchinense (Lour.) Blume[1] ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ต้นติ้วเกลี้ยง มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ลำติ้ว (ลั้วะ), ติ้วใบเลื่อม (ภาคเหนือ), ติ้วแดง (จังหวัดสุรินทร์), ติ้วส้ม (คนเมือง), ตุ๊ดจรึ่ม (ขมุ), ติ้วหม่น, ขี้ติ้ว (ภาคเหนือ), กุ่ยฉ่องบ้าง (กะเหรี่ยง, จังหวัดลำปาง) [1],[2],[4]

ลักษณะต้นติ้วเกลี้ยง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกต้นจะเรียบหรือสะเก็ด เปลือกเป็นสีเทาอมสีน้ำตาล เปลือกต้นด้านในมีลักษณะเป็นสีเหลืองอ่อน จะมีน้ำยางเหนียวเป็นสีเหลืองออกสีแดงซึมออกเวลาที่ถูกตัด ลำต้นจะมีหนามแหลมยาวและแข็งเป็นเนื้อไม้ออกที่ตามลำต้น พบเจอขึ้นได้ในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ที่มีความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลถึงที่มีความสูงประมาณ 700 เมตร ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะกล้า[1],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่กลับ ที่ปลายใบมักจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะสอบหรือมน ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร แผ่นใบบางคล้ายกับกระดาษถึงกึ่งหนาคล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบมีลักษณะเกลี้ยงทั้งสองด้าน ที่ด้านล่างมักจะมีนวล มีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 10-18 เส้น ที่ปลายจะเชื่อมกันก่อนจะถึงขอบใบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร[1]
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยวหรือจะออกเป็นกระจุกประมาณ 2-5 ดอก ดอกจะออกที่ตามซอกใบ ที่ตามปลายกิ่ง เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ จะมีใบประดับขนาดเล็ก ร่วงง่าย ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร ก้านดอกมีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงอยู่ 5 กลีบ แยกเป็น 2 วง ก็คือ มีกลีบเลี้ยงวงนอก 3 กลีบ ที่ส่วนตรงกลางของกลีบวงนอกจะมีลักษณะเป็นสีม่วงแดง ขอบเป็นสีเขียว กลีบจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบเลี้ยงวงในนิดหน่อย และมีกลีบเลี้ยงวงใน 2 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นสีเขียว เป็นรูปไข่ รูปไข่กลับ กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ จะแยกจากกัน มีลักษณะเป็นสีส้มหรือสีส้มแดง กลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีความยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร ผิวกลีบมีลักษณะเกลี้ยง จะมีเส้นสีม่วงแดงจนถึงสีดำตามแนวยาว มีเกสรตัวผู้จำนวนเป็นมากเชื่อมติดเป็น 3 กลุ่ม สลับกับกลุ่มเกสรตัวผู้ที่ไม่สมบูรณ์ 3 ก้าน จะเป็นก้อน อวบน้ำ มีสีเหลือง รังไข่อยู่ที่เหนือวงกลีบเลี้ยง มีช่อง 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุลอยู่เป็นจำนวนมาก มีก้านเกสรตัวเมียอยู่ 3 ก้าน จะแยกจากกัน[1]
  • ผล เป็นผลแห้งแตก ผลเป็นรูปวงรี ผลมีลักษณะแข็งและเกลี้ยงเป็นมัน กว้างประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงที่ติดทนหุ้มประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวผล ผลแก่จะแตกตามรอยประสานออกเป็นพู 3 พู มีเมล็ดอยู่ในผลประมาณ 6-8 เมล็ดต่อพู เมล็ดมีปีกแบนและบางใส ออกดอกช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม ส่วนผลก็จะออกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม[1]

สรรพคุณต้นติ้วเกลี้ยง

1. สามารถช่วยรักษาอาการที่เกี่ยวกับลำไส้ อาการเสียดท้องได้ (เปลือกต้น)[1]
2. นำต้นกับรากมาต้มน้ำผสมกับลำต้นกำแพงเจ็ดชั้น ใช้ดื่มเป็นยาแก้กระษัยเส้น เป็นยาระบายได้ [1],[2],[3]
3. น้ำยางที่เปลี่ยนเป็นสีแดงที่ได้จากเปลือกสามารถใช้เป็นยารักษาโรคหิดได้ [1]
4. ใบจะมีฤทธิ์ที่เป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถทานใบอ่อนกับยอดอ่อนได้ [3]

ประโยชน์ต้นติ้วเกลี้ยง

1. ชาวมาเลเซียจะนำเปลือกต้นกับใบมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว สามารถใช้ช่วยบำรุงผิวพรรณได้[1]
2. มีบางข้อมูลระบุไว้ว่ามีการนำต้น มาใช้ทำเครื่องสำอาง (ไม่ระบุว่าใช้ส่วนใด และใช้ทำเครื่องสำอางใด)[5]
3. ยอดอ่อนกับใบอ่อนจะมีรสชาติเปรี้ยวค่อนข้างฝาด ทานกับอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถทานเป็นผักสด ทานกับลาบหรือน้ำพริกได้[1],[3],[4]
4. สามารถนำเนื้อไม้มาใช้ทำเสา ถ่าน สร้างบ้าน ฟืน ทำกระดาน [3],[4]
5. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาได้ดี[3]
6. สามารถนำเนื้อไม้มาใช้ทำเชื้อเพลิงและฟืนไว้ใช้สำหรับจุดไฟต้มยาให้สตรีหลังคลอดบุตรที่อยู่ไฟได้ เนื่องจากมีควันที่ไม่เหม็น และเนื้อไม้ก็ยังติดไฟได้ดีมาก[1],[4]
7. สามารถนำเปลือกต้นมาใช้สกัดทำสีย้อมผ้าได้[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ติ้วเกลี้ยง”. (เอกภพ พิมเสน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [15 ม.ค. 2014].
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ติ้วเกลี้ยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [15 ม.ค. 2014].
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ติ้วเกลี้ยง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [15 ม.ค. 2014].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “”ติ้วเกลี้ยง“”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [15 ม.ค. 2014].
5. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติ ภาคเหนือ. “ติ้วเกลี้ยง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้าที่ 116.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย

0
ชัยพฤกษ์
ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดสีชมพู ฝักอ่อนสีเขียวรูปทรงกระบอก ฝักแก่แห้งสีดำ
ชัยพฤกษ์
ชัยพฤกษ์ สรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดสีชมพู ฝักอ่อนสีเขียวรูปทรงกระบอก ฝักแก่แห้งสีดำ

ชัยพฤกษ์

ชื่อสามัญ คือ Javanese Cassia, Rainbow Shower, Pink and white shower, Common pink cassia[2],[3] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cassia javanica L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia javanica subsp. javanica)[2] จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[1],[2] มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ขี้เหล็กยะวา, เหล็กยะวา เป็นต้น[1] เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดชัยนาท[2] และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพอีกด้วย[3]

ลักษณะต้นชัยพฤกษ์

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่
    – มีความสูงได้ 15-25 เมตร
    – ทรงพุ่มเป็นรูปร่ม แผ่กว้างออกไป
    – ทรงพุ่มมีขนาด 6-8 เมตร
    – เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล
    – ต้นเล็กจะมีหนาม
    – ต้นใหญ่จะมีรอยแผลปนหนามตามแนวขวาง
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
    – ชอบดินทราย และชอบแสงแดดจัด
    – มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    – พบขึ้นได้ตามป่าทุ่ง ป่าโปร่ง และปลูกเลี้ยงอยู่ทั่วไป
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับกัน
    – มีใบย่อยประมาณ 7-12 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – แกนกลางใบประกอบยาวได้ 15-30 เซนติเมตร
    – ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบกลม
    – ขอบใบเรียบ มีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 3.5-5 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียวสด
    – ผิวใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
    – เนื้อใบบางเกลี้ยงแต่ค่อนข้างเหนียว
    – ก้านใบยาวประมาณ 1.5-4 เซนติเมตร
    – ก้านใบย่อยมีขนาดสั้นมาก
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด
    – ก้านช่อดอกใหญ่และแข็ง
    – ไม่มีการแตกแขนง
    – ช่อดอกตั้ง ยาวได้ 5-16 เซนติเมตร
    – ดอกเป็นสีชมพู
    – ดอกย่อยเป็นรูปดอกหางนกยูงจำนวนมาก
    – ดอกย่อยมีก้านดอกเรียว ยาว 3-5 เซนติเมตร
    – กลีบเลี้ยงดอกมี 4 กลีบ เป็นรูปไข่ ปลายแหลม สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล ยาว 7-10 มิลลิเมตร
    – กลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ มีขนาดกว้าง 7-8 มิลลิเมตร และยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร
    – โคนกลีบคอดเป็นก้าน ยาว 3 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 9-10 อัน สีเหลือง 3 อัน มีลักษณะยาวโค้ง
    – ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร
    – รังไข่เรียว มีขนปกคลุมบาง ๆ
    – ดอกเมื่อเริ่มบานแล้วจะเป็นสีชมพู
    – แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
    – เมื่อดอกใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
    – ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม
  • ลักษณะของฝัก [1]
    – เป็นผลแห้ง
    – เป็นฝักรูปทรงกระบอก
    – ผิวฝักเรียบ ไม่มีขน
    – ฝักมีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 30-60 เซนติเมตร
    – ฝักอ่อนเป็นสีเขียว
    – เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
    – ฝักแก่จะไม่แตก
    – มีเมล็ดประมาณ 40-50 เมล็ด มีความกลมแบน มีสีน้ำตาลเป็นมัน
    – จะออกผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของชัยพฤกษ์

  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ[1]
  • ฝัก มีสรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย[1]
  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาระบายพิษไข้ ใช้ถ่ายเสมหะ[1]
  • ฝัก สามารถใช้เป็นยาแก้พรรดึกหรืออาการท้องผูก เป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนในท้องหรือไซ้ท้อง[1],[5]
  • เปลือกฝักและเมล็ด มีสรรพคุณทำให้อาเจียนและเป็นยาลดไข้[4]

ประโยชน์ของชัยพฤกษ์

  • สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้[2]
  • สามารถใช้ประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ เพื่อเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่แก่กวีและนักดนตรีในสมัยโบราณ[3]
  • ใช้เป็นช่อประดับมงคลหลายที่ เช่น บนอินทรธนูข้าราชการ ประดับประกอบดาวบนอินทรธนู และในหมวกของทหารและตำรวจ[3]
  • เป็นพรรณไม้มงคล เป็นต้นไม้แห่งชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง ๆ[3],[5]
  • เป็นหนึ่งในเก้าไม้มงคลที่นำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์และใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน[3],[5]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [17 เม.ย. 2014].
2. ฐานข้อมูลท้องถิ่น จังหวัดชัยนาท. “ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอก ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : aritc.nsru.ac.th. [17 มิ.ย. 2015].
3. ภิรมย์วรุณ. “ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : piromwaroon.blogspot.com. [17 มิ.ย. 2015].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กัลปพฤกษ์, ชัย พฤกษ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [17 มิ.ย. 2015].
5. จุลสารเขาเขียว ฉบับเดือนพฤษภาคม 2557, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี. “ชัยพฤกษ์ ดอกไม้ประจำวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rbcat.ac.th. [17 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/36517976@N06/33278115878
2.https://eol.org/pages/704202

ชะลูด ใช้เป็นยาสมุนไพรและใช้ทำเครื่องหอม

0
ชะลูด ใช้เป็นยาสมุนไพรและใช้ทำเครื่องหอม เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก เปลือกต้นสีดำ ยางสีขาวขุ่น ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม ผลแห้งแข็งทรงรี
ชะลูด
เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก เปลือกต้นสีดำ ยางสีขาวขุ่น ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม ผลแห้งแข็งทรงรี

ชะลูด

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Alyxia reinwardtii Blume ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Alyxia reinwardtii var. lucida (Wall.) Markgr., Alyxia nitens Kerr หรือ ช่อสั้น Alyxia schlechteri H.Lév.[2] จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)[1]ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ลูด (ปัตตานี), ชะนูด (สุราษฎร์ธานี), ขี้ตุ่น ช้างตุ่น ต้นธูป (ภาคอีสาน), ชะลูด (ตราด, ภาคกลาง), นูด (ภาคใต้), ชะรูด (ไทย)[1],[2]

ลักษณะต้นชะลูด

  • ลักษณะของต้น[1]
    – เป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก
    – ลำต้นเกลี้ยง
    – เปลือกต้นเป็นสีดำ
    – ทุกส่วนของต้นนั้นจะมีน้ำยางสีขาว
    – พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นกระจัดกระจายอยู่ในป่าดิบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และทางภาคใต้
  • ลักษณะของเถา[2]
    – เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ขนาดเล็ก
    – เปลือกค่อนข้างดำและเกลี้ยง
    – มียางสีขาวขุ่น
    – เถาที่เก็บมาแล้วจะต้องนำมาทุบเพื่อลอกเอาเปลือกสีดำข้างนอกทิ้ง
    – แล้วลอกเอาแต่เนื้อที่หุ้มแก่นไม้มาใช้เป็นยาโดยนำมาผึ่งให้แห้ง
    – เปลือกไม้ก็จะม้วนเป็นแผ่นบาง ๆ
    – มีสีขาว กลิ่นหอมเย็น
  • ลักษณะของใบ[1]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกอยู่รอบ ๆ ข้อ ข้อละ 3 ใบ
    – ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี
    – ปลายใบแหลมหรือมน
    – โคนใบเป็นครีบ
    – ขอบใบม้วนลง
    – ใบมีความกว้าง 2.5-4 เซนติเมตร และมีความยาว 3.5-9 เซนติเมตร
    – แผ่นใบด้านบนเป็นมัน
    – เนื้อใบหนาและแข็ง
    – มีก้านใบยาว 3-7 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ
    – ช่อละ 4-10 ดอก
    – ดอกมีกลิ่นหอม
    – เป็นสีเหลือง
    – ดอกมีใบประดับเป็นรูปขอบขนาน
    – ปลายใบประดับจะแหลม
    – มีความยาว 1 มิลลิเมตร
    – กลีบรองกลีบดอกจะมีอยู่ 5 กลีบ
    – เมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 มิลลิเมตร
    – โคนกลีบติดกันเป็นท่อยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร
    – ตรงคอท่อจะแคบและมีขน
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน จะติดอยู่ภายในใกล้กับปากท่อดอก
    – ก้านเกสรมีขนาดสั้นมาก
    – ท่อเกสรเพศเมียมีความเรียวยาว
    – รังไข่นั้นจะมีอยู่ 2 ช่อง ซึ่งจะแยกออกจากกัน
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลเป็นรูปทรงรี
    – มีความยาว 1 เซนติเมตร
    – เมื่อผลแห้ง จะมีความแข็ง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชะลูด

  • เปลือกต้นมีสาร alyxialactone, coumarin, irridoid glycoside, saponin[2]
  • จากการศึกษาพบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้และมดลูก[2]
  • การศึกษาทางพิษวิทยา ด้วยการนำมาทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากเปลือกด้วยเอทานอล 50% โดยนำมาให้หนูทดลองกินและให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 1,613 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใช้รักษาในคน ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ[2]

สรรพคุณของชะลูด

  • เถา สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษในเลือดและน้ำเหลือง[2]
  • เถา สามารถใช้เป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการอ่อนเพลีย[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น[2]
  • เนื้อไม้ และเปลือกเถาชั้นใน สามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจได้[1],[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน มีกลิ่นหอมและชุ่มชื่น สามารถนำมาใช้เป็นยาบำรุงกำลัง[1],[2]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาพิษไข้ พิษเสมหะ และลม[1]
  • ราก ช่วยแก้อาการใจสั่นหรืออาการหงุดหงิดได้[1]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาลมและยาขับลม[1]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้ดีพิการ[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้อาการปวดบวม[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยขับผายลม[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยบำรุงครรภ์รักษา[2]
  • เปลือกเถาชั้นใน ช่วยแก้อาการปวดในท้อง แก้ปวดมวนท้อง[2]
  • เปลือก ใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้อาการวิงเวียน หน้ามืดตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน ช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง[2]
  • เปลือก มีสรรพคุณเป็นยาแก้สะอึก แก้ดีพิการ แก้ลม ส่วนรากใช้เป็นยาแก้ลม แก้พิษไข้ แก้พิษเสมหะ เนื้อต้นใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยขับผายลม[3]
  • เปลือก สามารถใช้แก้อาการปวดมวนท้องหรือไซ้ท้อง และช่วยขับผายลม[3]
  • ใบและผล สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ร้อนใน แก้สะอึก กระสับกระส่าย แก้ดีพิการ แก้คุดทะราด[3]
  • ลำต้น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ตกขาวแก้เหน็บชา ใช้เข้ายาแก้กระษัยเส้น แก้อาการปวดเมื่อยเนื่องจากการทำงานหนัก[3]
  • รากและเถา สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ[3]

ประโยชน์ของชะลูด

  • นิยมนำมาปลูกไว้เพื่อนำมาใช้ทำเครื่องหอมและใช้เป็นยาสมุนไพร[1]
  • เปลือกชั้นใน สามารถนำมาใช้ปรุงแต่งผ้าให้มีกลิ่นหอม ใช้ปรุงแต่งกลิ่นใบยาสูบหรือใช้อบเสื้อผ้า หรือนำมาใช้ทำเป็นเครื่องหอมได้[1]
  • สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับซุ้มได้ แต่ต้องมีต้นไม้อื่นหรือเสาให้เลื้อยเกาะ เจริญเติบโตได้ดีในดินชื้นที่ระบายน้ำได้ดี (คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้)

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชะ ลูด”. หน้า 251-252.
2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชะ ลูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [12 ก.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชะ ลูดช่อสั้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [12 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://alchetron.com/Alyxia
2.https://powo.science.kew.org/taxon/

จิกนม สรรพคุณใช้ทาแก้ขี้กลาก

0
จิกนม
จิกนม สรรพคุณใช้ทาแก้ขี้กลาก เป็นพรรณไม้ยืนต้น ดอกออกเป็นช่อที่ยอดของต้นห้อยลง มีสีเขียวขอบสีแดง สีแดง สีชมพูเข้ม ผลมนรีสีเขียว
จิกนม
เป็นพรรณไม้ยืนต้น ดอกออกเป็นช่อที่ยอดของต้นห้อยลง มีสีเขียวขอบสีแดง หรือสีแดง หรือสีชมพูเข้ม ผลมนรีสีเขียว

จิกนม

จิกนม พรรณไม้ยืนต้นกลางแจ้งขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง พบขึ้นตามป่าดงดิบทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Barringtonia macrostachya (Jack) Kurz อยู่วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE) ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Stravadium acuminatum (Korth.) Blume, Doxomma macrostachyum (Jack) Miers, Doxomma cochinchinense (Blume) Miers, Careya macrostachya Jack, Barringtonia rosea Wall. ex R.Knuth, Barringtonia olivacea R.Knuth, Barringtonia isabelaensis R.Knuth, Barringtonia cylindrostachya Griff., Barringtonia cochinchinensis (Blume) Merr. ex Gagnep., Barringtonia annamica Gagnep., Baranda angatensis Llanos, Stravadium cochinchinense Blume, Michelia macrostachya (Jack) Kuntze, Doxomma cylindrostachyum (Griff.) Miers, Doxomma acuminatum (Korth.) Miers, Barringtonia wallichiana R.Knuth, Barringtonia pendens R.Knuth, Barringtonia moluccana R.Knuth, Barringtonia fusicarpa Hu, Barringtonia craibiana R.Knuth, Barringtonia balabacensis Merr., Barringtonia acuminata Korth. ชื่อในท้องถิ่นอื่นๆ เช่น จิก (ภาคใต้), นมยาน (หนองคาย), จิกนุ่ม (นครศรีธรรมราช)

ลักษณะจิกนม

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้น มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 4-20 เมตร จะแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น แต่ไม่เยอะนัก เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการใช้เมล็ด พบเจอได้ที่ตามป่าดงดิบที่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคใต้ของประเทศไทย
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกันตามข้อต้น ใบมีลักษณะยาวรี ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบแหลม ขอบใบจะมีจักเล็กทั่วใบ ใบกว้างประมาณ 2.5-3 นิ้ว ยาวประมาณ 6-9 นิ้ว เนื้อใบมีลักษณะบางคล้ายกับกระดาษสีเขียว ก้านใบมีความยาวประมาณ 1-3 นิ้ว
  • ดอก จะออกเป็นช่อที่ยอดของต้น ช่อดอกจะห้อยลง ช่อมีความยาวประมาณ 9-18 นิ้ว ในแต่ละช่อมีเป็นจำนวนมาก ดอกมีลักษณะเป็นสีเขียวขอบสีแดง สีแดง สีชมพูเข้ม มีกลีบ 4 กลีบ กลีบรองดอกจะเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย มีอยู่ 4 กลีบ จะมีเป็นสีม่วง สีแดง สีแดงเข้ม ที่บริเวณฐานดอกมีร่องลึกเป็นวง มีเกสรจำนวนมาก
  • ผล มีลักษณะมนรี มีสันอยู่ 4 สันตามแนวยาว เป็นผลสีเขียว กว้างประมาณ 1-1.5 นิ้ว ยาวประมาณ 2-3.5 นิ้ว มีเมล็ดรูปทรงไข่อยู่ในผล

สรรพคุณของจิกนม

  • สามารถนำใบไปตากแห้ง แล้วเอามาต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยารักษาโรคแก้ปวดท้องได้ (ใบ)
  • สามารถนำผงจากรากมาใช้เป็นยาแก้ตาเจ็บได้ (ราก)
  • นำรากมาล้างให้สะอาด แล้วเอาไปตากแห้ง แล้วก็นำมาบดให้เป็นผงสามารถใช้ทาแก้ขี้กลากได้ (ราก)

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “จิกนม”. หน้า 226-227.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://plantlet.org/
2.https://www.biodiversity4all.org/

ฆ้องสามย่าน สรรพคุณดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย

0
ฆ้องสามย่าน สรรพคุณดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย เป็นพรรณไม้ล้มลุก ดอกสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม ผลแห้งออกเป็นพวง
ฆ้องสามย่าน
เป็นพรรณไม้ล้มลุก ดอกสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม ด้านบนมีสีเหลือง ผลแห้งออกเป็นพวง

ฆ้องสามย่าน

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Kalanchoe laciniata (L.) DC. อยู่วงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE)[1],[2] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ฮอมแฮม (จังหวัดแม่ฮ่องสอน), คะซีคู่ซัวะ (กะเหรี่ยง, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), เถาไฟ (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) [1],[2], ทองสามย่าน, ส้นเส้า, ใบทาจีน, มือตะเข้[3]

ลักษณะต้นฆ้องสามย่าน

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 20-100 เซนติเมตร ผิวจะเกลี้ยงหรือจะมีขนนิดหน่อย ที่ปล้องข้างล่างสั้น ที่ปล้องกลางหรือปล้องบนมีความยาวมากขึ้นนิดหน่อย ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ลำต้นกับใบฉ่ำน้ำ เป็นพรรณไม้จำพวกมหากาฬ ใบหูเสือ หรือคว่ำตายหงายเป็น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด ชอบดินร่วน และที่มีความชื้นปานกลาง แสงแดดปานกลาง มักขึ้นที่ตามพื้นที่ลุ่ม กลิ่นคล้ายการบูรกับผิวส้ม[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีหลายรูปร่าง ใบที่บริเวณตรงกลางลำต้นจะเว้าเป็นแฉกลึกแบบขนนกชั้นเดียวหรือสองชั้น คล้ายกับใบประกอบ แต่ละแฉกเป็นรูปขอบขนานแคบ ที่ปลายจะแหลม ที่ขอบจะจักเป็นฟันเลื่อยแกมซี่ฟันหยาบ เป็นสีเขียวและมีไขเคลือบ ใบที่เล็กกว่าขอบใบจะเรียบหรือเกือบเรียบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร มีลักษณะแบน ค่อนข้างที่จะโอบลำต้นเอาไว้ ใบที่บริเวณโคนต้นจะไม่เว้าหรือจะเว้าเป็นแฉกตื้นหรือเป็นรูปไข่ ที่ขอบเป็นจักซี่ฟันแกมเป็นคลื่น ไม่มีก้านใบหรือมีก้านใบที่สั้น ใบเป็นสีเขียวอ่อนอาจจะมีสีม่วงแซม[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อชูขึ้นที่บริเวณปลายกิ่ง ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก มีใบประดับที่เล็กและแคบ กลีบรองกลีบดอกมีลักษณะเป็นสีเขียวมีผิวจะเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม จะตั้งตรง ที่ปลายแยกเป็นกลีบ เป็นรูปหอกแกมรูปไข่ ที่ปลายจะแหลม ส่วนที่โคนจะเชื่อกัน กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงแจกัน มีกลีบอยู่ 4 กลีบ ที่ปลายแยกเป็นกลีบ เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ส่วนที่โคนจะพองออกสามารถเห็นได้ชัด มีสีเขียว ด้านบนมีสีเหลือง มีเกสรเพศผู้อยู่ 8 อัน จะโผล่พ้นกลีบดอกนิดหน่อย ท่อเกสรเพศเมียมีลักษณะเกลี้ยง ยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร รังไข่เป็นรูปหอก มีความยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร มีผิวที่เกลี้ยง เป็นสีเขียว[1],[2]
  • ผล ออกเป็นพวง เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน จะแตกตามตะเข็บเดียว[1],[2]

สรรพคุณของใบฆ้องสามย่าน

1. นำใบสด 5 กรัม มาผสมต้นสดฟ้าทะลายโจร 15 กรัม (Andrographis paniculate Nees) แล้วนำไปตำชงด้วยเหล้าที่หมักจากข้าว แล้วก็นำมาทานแบบครั้งเดียวหมด สามารถแก้งูพิษกัดได้(ใบ)[4]
2. นำใบมาตำ สามารถใช้พอกกันแผลเรื้อรัง แผลฟกช้ำ แผลฝีมีหนอง แผลไหม้ได้ (ใบ)[2],[3]
3. ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำใบมาตำ ใช้พอกรักษาบาดแผลที่โดนมีดบาด น้ำที่คั้นได้จากใบสามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดในแผลสดได้ (ใบ)[1],[2]
4. สามารถทานใบเป็นยารักษาอาการท้องร่วง แก้บิดได้ (ใบ)[2],[3]
5. นำใบมาตากแดดให้แห้งแล้วเอาไปบดให้เป็นผง สามารถใช้ทาลิ้นเด็กอ่อนเป็นยาแก้ละอองซางได้ (ใบ)[1],[2]
6. นำใบมาผสมดอกบัวหลวงขาว ดีปลี จันทน์ทั้งสอง ใบน้ำเต้า ละลายน้ำดอกพิกุล ดอกมะลิ น้ำตำลึง ดอกบุนนาค ดอกแคแดง สามารถทำให้ตัวเย็นได้ และสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้เพื่อเสมหะ ไข้เพื่อลม ไข้เพื่อโลหิตได้(ใบ)[1]
7. เอาใบมาคั้นเอาน้ำผสมปรุงกับน้ำมันมะพร้าว สามารถใช้เป็นยาทาถูนวดรักษาโรคอวัยวะโตที่เรียกว่าโรคเท้าช้างให้ทุเลาได้ (ใบ)[2],[3]
8. เอาใบมาตำใช้พอกฝีจะช่วยทำให้เย็นเป็นยาถอนพิษ พิษตะขาบ รักษาอาการเจ็บปวด แมงป่องต่อย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้พิษอักเสบปวดบวมได้ (ใบ)[1],[2],[3]
9. สามารถใช้ใบเป็นยาพอกบาดแผล บรรเทาอาการระคายเคือง ทำให้แผลหายด้วยการที่มีเนื้องอกมาปิดแทนได้ เป็นยาสมานแผล ฆ่าเชื้อบาดแผล (ใบ)[1],[2]
10. นำใบมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยานิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะได้ (ใบ)[1],[2]
11. สามารถนำใบมาตำใช้พอกหน้าอกรักษาอาการไอ เจ็บหน้าอกได้ (ใบ)[2]
12. ในตำรายาไทยจะนำใบมาใช้เป็นยาเย็นแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน (ใบ)[1],[2]
13. นำใบมาต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย และช่วยบำรุงร่างกายได้ (ใบ)[1]

ประโยชน์ฆ้องสามย่าน

  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกระถาง ปลูกตามบ้านหมอ ตามสวนยาจีน

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ฆ้องสามย่าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [10 ม.ค. 2015].
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ฆ้องสามย่าน”. หน้า 135.
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 9 คอลัมน์ : สมุนไพรน่ารู้. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). “ฟ้าทะลายโจร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [10 ม.ค. 2015].
4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “คะซีคู่ซัวะ”. หน้า 175-176.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://succulentsnetwork.com/kalanchoe-laciniata-christmas-tree-plant2.https://paudhshala.com/kalanchoe-laciniata-kalanchoe-plant.html
3.https://toptropicals.com/catalog/uid/kalanchoe_laciniata.htm

โคลงเคลงขน สรรพคุณช่วยดับพิษไข้

0
โคลงเคลงขน
โคลงเคลงขน สรรพคุณช่วยดับพิษไข้ เป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ดอกสีม่วง ขนสีขาว ผลเป็นรูปไข่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง
โคลงเคลงขน
เป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ดอกสีม่วง ขนสีขาว ผลเป็นรูปไข่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง

โคลงเคลงขน

โคลงเคลงขน เป็นสกุลในตระกูลโคลงเคลง Melastomataceae มีประมาณ 50 ชนิดกระจายอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อินเดียและออสเตรเลีย เป็นพรรณไม้ดอกที่ได้รับความนิยมปลูกเพื่อชมความสวยงามของดอกสีม่วง ตามลำต้นมีขนสีขาวปกคลุมทั่วทั้งลำต้นและกิ่ง นอกจากนั้นสามารถนำรากมาใช้เป็นยาดับพิษไข้ สามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Desmoscelis villosa (Aubl.) Naudin (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melastoma villosum Aubl.) (MELASTOMATACEAE)[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เบร้ (ภาคใต้), มะเร (ภาคใต้), พญารากขาว (ภาคกลาง), ม่ายะ (จังหวัดตราด), โคลงเคลง, เหมร (ภาคใต้), สาเหร่ (ภาคใต้), กะเร (ภาคใต้), เอ็นอ้า (จังหวัดอุบลราชธานี) [1],[2],[3]

ลักษณะต้นโคลงเคลงขน

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่ม ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สามารถสูงได้ถึงประมาณ 2-4 เมตร จะแตกกิ่งเยอะ เป็นพุ่มทรงพุ่มแน่นทึบ มีเปลือกลำต้นที่บางและเรียบ ยอดอ่อนกับกิ่งก้านจะเป็นสีน้ำตาลแดง จะมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนยาวขึ้นอยู่ สามารถพบเจอขึ้นทั่วไปได้ที่บริเวณป่าชายเลนที่เป็นที่ดอนหรือในป่าชายเลนที่ถูกทำลาย[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปวงรีแกมรูปใบหอก รูปไข่แกมรูปใบหอก ที่ปลายใบจะแหลม ส่วนที่โคนใบจะสอบ ที่ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 1.2-2.3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร มีแผ่นใบที่มีขนนุ่มละเอียดขึ้นอยู่ทั้งสองด้าน แผ่นใบมีผิวสัมผัสที่สาก ผิวใบด้านบนนั้นมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้มและมีขนขึ้นบาง ๆ ที่ท้องใบสีจะซีด มีเส้นใบอยู่ 3 หรือ 5 เส้น จะแตกจากที่โคนใบจรดที่ปลายใบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร มีขนขึ้น[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจุกสั้น มีความยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ออกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-6 เซนติเมตร ช่อนึงมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 3-6 ดอก ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร วงกลีบเลี้ยงมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร เป็นสีม่วงแดง จะมีขนปุยขึ้นอยู่ กลีบมีลักษณะเป็นสีม่วงอมสีชมพูหรือเป็นสีชมพู มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบจะไม่ติดกัน กลีบมีขนาดประมาณ 1.5-2.3 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้อยู่ 10 อัน มีขนาดใหญ่ 5 อัน จะมีก้านเป็นสีเหลืองกับสีม่วง ที่ส่วนบนจะโค้ง และมีขนาดเล็ก 5 อัน จะเป็นสีเหลือง มีลักษณะตรง[3]
  • ผล เป็นผลสด ผลเป็นรูปไข่ ผิวผลจะมีขนอยู่ เนื้อผลเป็นสีแดงม่วง ผลแก่จะแตกตามขวางไม่เป็นระเบียบ มีเมล็ดอยู่ในผลเป็นเมล็ดจำนวนมาก ออกดอกประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม และออกผลประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของโคลงเคลงขน

1. นำรากมาต้มน้ำผสมกับรากตับเต่าต้น หญ้าชันกาดทั้งต้น ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือดได้ (ราก)[1]
2. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาบำรุงดีและตับ ไตได้ (ราก)[2]
3. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาดับพิษไข้ สามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด (ราก)[1],[2]
4. สามารถนำรากมาใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำได้ (ราก)[1]
5. รากมีรสขม มีสรรพคุณที่เป็นยาบำรุงธาตุ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร เพิ่มภูมิต้านทานโรค บำรุงกำลัง (ราก)[2]
6. ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำต้นกับราก มาต้มกับข้าวสารเจ้า ใช้ทานครั้งเดียวในคืนวันเดือนดับ สามารถช่วยแก้คอพอกได้ (ต้นและราก)[1]
7. สามารถนำดอกมาใช้เป็นยาห้ามเลือดในคนที่เป็นริดสีดวงทวารได้ (ดอก)[2]
8. สามารถนำดอกมาใช้เป็นยาระงับประสาทได้ (ดอก)[2]
9.  ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะนำต้นกับราก มาต้มกับข้าวสารเจ้า ใช้ทานครั้งเดียวในคืนวันเดือนดับ สามารถช่วยแก้คอพอกได้ (ต้นและราก)[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 4 (สุราษฎร์ธานี). “ต้นโคลงเคลงขน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dmcr.go.th. [10 ม.ค. 2015].
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “โ ค ล ง เ ค ล ง ข น”. หน้า 151.
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “โคลงเคลง (Klong Khleng)”. หน้า 87.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.earth.com/plant-encyclopedia/angiosperms/melastomataceae/desmoscelis-villosa/th/
2.https://colombia.inaturalist.org/taxa/1432222-Rhynchanthera-serrulata

แกแล สรรพคุณบำรุงโลหิต บำรุงกำลัง

0
แกแล สรรพคุณบำรุงโลหิต บำรุงกำลัง เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็ง ดอกเป็นช่อกระจุกแน่น ผลกลมผิวมีลักษณะขรุขระ มียางสีขาว
แกแล
เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็ง ดอกเป็นช่อกระจุกแน่น ผลกลมผิวมีลักษณะขรุขระ มียางสีขาว

แกแล

แกแล Cockspur thorn เป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ้มเลื้อยไม้เถาเนื้อแข็งลำต้นโค้งยาวพบขึ้นตามป่าดงดิบเขตร้อน และตามป่าที่มีแหล่งน้ำ ผลไม้สีเหลืองส้มกินได้เนื้อฉ่ำไม้เถาเนื้อแข็ง จัดอยู่วงศ์ขนุน (MORACEAE) มีถิ่นกำเนิดและพบการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา ญี่ปุ่น จีน ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอขึ้นได้ทั่วทุกภาค ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Maclura cochinchinensis (Lour.) Corner (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cudrania javanensis Trécul) ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น แหร (ภาคใต้), สักขี (ภาคกลาง), หนามเข (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์), ช้างงาต้อก (จังหวัดลำปาง), กะเลอะเซอะ (กะเหรี่ยง, จังหวัดกาญจนบุรี), แกก้อง (จังหวัดแพร่), แกล (ภาคใต้), เหลือง (ภาคกลาง), น้ำเคี่ยวโซ่ (ปัตตานี), เข (นครศรีธรรมราช) [1]

ลักษณะต้นแกแล

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก บ้างก็ว่าเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม้เถาเนื้อแข็ง จะมียางสีขาวถึงสีเหลืองอ่อน ต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตร จะมีหนามที่แข็งและแหลม มีความยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร อยู่ที่ตามต้น กิ่ง ตามง่ามใบ ต้นมีเนื้อไม้แข็ง มักจะขึ้นที่ตามป่าดิบ ป่าละเมาะ ป่าเบญจพรรณ ในพื้นที่มีระดับต่ำถึงพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง การปักชำ เติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ มีแสงแดดจัด [1],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงเวียนสลับ ใบเป็นรูปรี ที่ปลายใบจะแหลมหรือมน ส่วนที่โคนใบจะแหลม ใบกว้างประมาณ 1-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-11 เซนติเมตร จะมีหนามแหลมออกที่ตรงซอกใบ 1 อัน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ผิวใบด้านบนมีลักษณะเรียบเป็นสีเขียวและเป็นมัน จะมีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 6-9 เส้น ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.3-1-5 เซนติเมตร มีหูใบที่ร่วงง่ายและมีขนาดเล็ก[1],[2],[6]
  • ดอก เป็นดอกแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อที่ตามซอกใบ เป็นสีขาวนวลมีขนาดเล็ก มีกลีบดอกอยู่ 4 กลีบ กลีบเป็นรูปไข่กลีบ มีใบประดับที่มีขนาดเล็กมากมีลักษณะเป็นรูปช้อนที่โคนดอก ที่ด้านนอกกลีบดอกจะมีขนสั้น มีเกสรเพศผู้อยู่ 4 ก้าน จะมีที่ขนาดเล็กมาก ๆ ช่อดอกเพศผู้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ดอกเพศเมียออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่น จะออกดอกที่ตามง่ามใบเป็นคู่หรืออยู่เดี่ยว ๆ มีกลีบดอกรวมอยู่ 4 กลีบ ที่ปลายจะแยก ส่วนที่โคนกลีบจะติดกัน ช่อดอกเพศเมียมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร รังไข่อยู่ในฐานรองดอก มีก้านเกสรเพศเมียที่เรียวยาวกว่ากลีบรวมนิดหน่อย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.3-1 เซนติเมตร[1],[2],[6],[7]
  • ผล เป็นผลรวม ผลกลม ผิวผลมีลักษณะขรุขระ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร จะมียางสีขาวอยู่ มีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ในผล [1],[5],[6]

สรรพคุณแกแล

1. แก่นสามารถใช้แก้คุดทะราดได้ (แก่น)[3]
2. สารที่สกัดด้วยเฮกเซนกับคลอโรฟอร์มจากราก มีฤทธิ์ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (ข้อมูลจาก: สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์)
3. แก่นสามารถช่วยแก้กาฬสิงคลีได้ (แก่น)[3],[5]
4. แก่นสามารถใช้เป็นยาสำหรับสตรีที่คลอดบุตรได้ (แก่น)[1],[6]
5. แก่นสามารถช่วยแก้อาการท้องร่วงได้ (แก่น)[2],[3]
6. แก่นสามารถช่วยกล่อมเสมหะโลหิตได้ (แก่น)[3]
7. สามารถใช้แก่นเป็นยาภายนอกเพื่อลดไข้ได้ (แก่น)[6]
8. สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้รากสาด และช่วยรักษาไข้รากสาดหลบเข้าลำไส้ได้ (แก่น)[2],[3]
9. สามารถใช้เป็นยาบำรุงโลหิตในร่างกายได้ (ต้น, แก่น)[3]
10. มีรสปร่า สามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลังได้ (แก่น)[1],[2],[3],[5]
11. แก่นสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ (แก่น)[1],[3],[5]
12. แก่นสามารถช่วยแก้พุพองได้ (แก่น)[1],[3],[5]
13. ช่วยบำรุงน้ำเหลืองให้เป็นปกติได้ (แก่น)[1],[2],[3],[5]
14. สามารถใช้แก่นแก้มุตกิดระดูขาวของสตรีได้ (แก่น)[5]
15. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ (แก่น)[3]
16. ดอกกับแก่นสามารถช่วยขับเสมหะได้ (ดอก, แก่น)[3]
17. แก่นสามารถช่วยแก้ไข้พิษได้ (แก่น)[3]
18. ดอกเป็นยาแก้โลหิต และวาโยกำเริบได้ (ดอก)[3]
19. แก่นสามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกายได้ (แก่น)[3]

ประโยชน์แกแล

  • สามารถนำแก่นหรือเนื้อไม้มาทำสีสำหรับย้อมผ้า ฝ้าย ผ้าไหม จีวรพระ ไหมพรมได้ ซึ่งแก่นหรือเนื้อไม้นั้นจะให้สีเหลือง [4]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [07 ก.พ. 2014].
2. คมชัดลึกออนไลน์, คอลัมน์ ไม้ดีมีประโยชน์. “แกแล แก่นเป็นยา”. (นายสวีสอง). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [07 ก.พ. 2014].
3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “แกแล”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 94.
4. สมุนไพรในร้านยาโบราณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [07 ก.พ. 2014].
5. หนังสืออนุกรมวิธานพืช อักษร ก. ราชบัณฑิตยสถาน.
6. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “แกแล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [07 ก.พ. 2014].
7. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “แกแล”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 135.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/50615476@N03/8331204309
2.https://sown.com.au/maclura-cochinchinensis-moraceae-cockspur-thorn/