มันฝรั่ง พืชอาหารสารพัดประโยชน์

0
มันฝรั่ง พืชอาหารสารพัดประโยชน์ เป็นพืชกินหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม สามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง
มันฝรั่ง
เป็นพืชกินหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม สามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง

มันฝรั่ง

มันฝรั่ง (Potato) เป็นพืชกินหัวที่สำคัญชนิดหนึ่งที่กลายเป็นอาหารหลักและวัตถุดิบสำคัญอันดันที่ 4 ของโลก เนื่องจากสามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง ทำให้มีความต้องการเพื่อบริโภคสูง ถูกจัดอยู่ในวงศ์มะเขือ SOLANACEAE เชื่อว่ามีต้นกำเนินในเทือกเขาแอนดีสอยู่บนพื้นที่ระหว่างเม็กซิโกและชิลี ในประเทศโบลิเวีย หรือเปรู เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุตั้งแต่การปลูกไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งภายหลังมีการใช้ชื่อสามัญอื่น ๆ เช่น Irish potato, White potato และมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Solanum tuberosum L. นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มันเทศ มันอาลู มันอีลู (ภาคเหนือ) เป็นต้น

ลักษณะของมันฝรั่ง

  • ลำต้นมีลักษณะเป็นกิ่ง ที่ตั้งตรงและมีความสูงประมาณ 0.6-1 เมตร ลำต้นเป็นครีบ เมื่ออ่อนแล้วจะมีขน หัวเกิดจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ใน 1 ต้นนั้นจะได้หัวประมาณ 8-10 หัว สำหรับแหล่งปลูกในประเทศไทยที่ได้ผลดีนั้น คือ จังหวัดทางภาคเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ส่วนทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้นั้นก็มีปลูกกันบ้างแต่มีผลผลิตน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดทางภาคเหนือ โดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่มีการปลูกและผลิตมากที่สุด[1],[2]
  • หัว เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดเป็นกิ่งหรือเกิดจากส่วนล่างของลำต้น งอกชอนไชลงไปอยู่ในดิน ขยายใหญ่ เพื่อสร้างหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม ตาแต่ละตานั้นจะสามารถแตกออกได้ 3 กิ่ง ตามีเกล็ดที่มีรูปร่างคล้ายจาน มีไว้สำหรับป้องกันตาไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆ และภายในหัวจะมีแกนตรงกลางพุ่งไปยังตาทุกตา[2]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับกัน มีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย และจะประกอบไปด้วยใบยอด 1 ใบ และใบย่อยที่มีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่แกมวงรีหรือแกมไข่กลับ ปลายแหลมประมาณ 2-4 คู่ และใบย่อยก็จะสั้นอีก 2 คู่ หรือมากกว่านั้น ใบมีความกว้างประมาณ 1.5-5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร[1],[2]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกเกิดเป็นกลุ่มๆ อยู่ตรงยอดของต้นหรือซอกใบ ก้านดอกยาว จะประกอบไปด้วยดอกฝอยที่มีอยู่ประมาณ 7-20 ดอก ก้านดอกย่อยจะมีขน ดอกหนึ่งมีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว สีกุหลาบ สีชมพูม่วง หรือเป็นสีม่วง โคนดอกนั้นจะเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน และเกสรเพศเมียอีก 1 อัน ซึ่งมีก้านชูเกสรยาว[1],[2]
  • ผล เป็นผลสดที่มีหลายเมล็ด ผลจะมีลักษณะเล็กและกลม เป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ผลติดกันเป็นพวงๆ[1],[2]

สรรพคุณของมันฝรั่ง

1. ช่วยขับน้ำนมของสตรี (หัว)[1]
2. หัวมีสรรพคุณเป็นยาระงับประสาท (หัว)[1]
3. ช่วยถอนพิษที่เป็นอันตรายในตับ (หัว)[4]
4. มีวิตามินซีมาก จึงช่วยป้องกันไข้หวัดได้ (หัว)[4]
5. หัวใต้ดินมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการย่อย (หัว)[1]
6. ช่วยลดไขมัน ด้วยการใช้หัวมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน (หัว)[1]
7. ชาวเปรูจะนำมาทาบริเวณศีรษะเพื่อช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ (หัว)[3]
8. หัวมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว (หัว)[1],[4]
9. ชาวเปรูเป็นชาติแรกที่นำมาทำเป็นยาพอกกระดูก เมื่อกระดูกหัก (หัว)[3]
10. นอกจากจะช่วยป้องกันหวัดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย (หัว)[5]
11. ตำรับยาแก้คางทูม ให้ใช้ 1 หัว นำมาฝนกับน้ำส้มสายชู แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น เมื่อแห้งแล้วให้ทาซ้ำจนหาย (หัว)[3]
12. ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กกับวิตามินซีที่มีอยู่ในหัว ซึ่งจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย (หัว)[4]
13. ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้น้ำคั้นจากหัวนำมาทาบริเวณแผลบ่อย ๆ หรือนำมาตำให้ละเอียดแล้วใช้พอก และให้เปลี่ยนยาหลาย ๆ ครั้ง (หัว)[1],[3]
14. อุดมไปด้วยแคลเซียมมีส่งผลดีต่อหัวใจ ช่วยปรับฮอร์โมนและทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการดูดซึมอาหารได้ดี ป้องกันการบูดเน่าของอาหารภายในลำไส้ ลดอาการบวมและไตอักเสบ (หัว)[4]
15. ชาวอิตาลีในสมัยก่อนจะปลูกและนำไปต้มหรือเผากิน ครั้นเวลาจะกินก็จะเติมเกลือลงไปด้วยเล็กน้อย ด้วยเชื่อว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ ทำให้คนที่กินมากจะมีลูกมาก (เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นใดนะครับ) (หัว)[5]
16. มีสารจำพวกเพกทิน (เป็นสารที่พบในผนังเซลล์และเนื้อเยื่อของพืชบางชนิด) ประกอบด้วยกรดกาแล็กทูรอนิก ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกาแล็กโทสเป็นหลัก (ในผลไม้จะมีเพกทินเป็นตัวเชื่อมผนังเซลล์ทำให้แข็งและคงรูป เมื่อผลไม้สุกงอม เพกทินจะสลายตัวเป็นน้ำตาลที่ละลายได้ดี ทำให้ผลไม้นิ่มและเสียรูป) ซึ่งมีประโยชน์ช่วยทำให้การบีบตัวและการคลายตัวของลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น (หัว)[4]
17. ใบมีสรรพคุณช่วยทำให้หลับ (ใบ)[1]
18. ใบมีสรรพคุณแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ (ใบ)[1]
19. ช่วยบำรุงสมองได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ที่เป็นตัวช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทได้อย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน (ช่วยกระตุ้นอารมณ์), กาบา (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย), และอดรีนาลิน (ช่วยลดความเครียด) โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ ครึ่งถึงหนึ่งถ้วยตวง (ทั้งแบบบดและแบบต้ม) และไม่ควรรับประทานมากกว่านี้ เพราะมีวิตามินซีอยู่ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร จนทำให้รู้สึกท้องอืดเฟ้อได้

ประโยชน์ของมันฝรั่ง

1. นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์โดยตรงแล้วยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย ด้วยการใช้หัวสดต้มหรือหมักเป็นอาหารของวัว ควาย และสุกร[2]
2. ใช้ 2-3 หัว และนมอุ่น 3-4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกต้มให้สุก ปอกเปลือกและบดให้เละ แล้วใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำมาพอกมือให้หนา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออก มือจะมืออ่อนนุ่ม[7]
3. หัวเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีปริมาณของแป้ง โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดอยู่ในเกณฑ์สูง จึงใช้เป็นอาหารประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประชากรในยุโรปและอเมริกาจะรับประทานเป็นอาหารหลักแทนข้าว ด้วยวิธีการนำมาต้ม ทอด อบ ฯลฯ[2]
4. โลชั่น (สำหรับผิวมันและผิวธรรมดา) ให้ใช้น้ำคั้นจากหัวดิบ 1 แก้ว และน้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว ชั้นตอนแรกให้ไสและคั้นเอาแต่น้ำโดยใช้ผ้ากรองคั้นอีกครั้ง จากนั้นให้คั้นเอาแต่น้ำมะเขือเทศ นำมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใช้สำลีชุบโลชั่นที่ได้เช็ดหน้าเช้าเย็น ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น[7]
5. โปรตีนที่ได้มีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากถั่วลิสงอีกด้วย และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นักโภชนาการเชื่อว่าหากคนที่ติดอยู่บนเกาะร้างปลูกไว้กินเป็นอาหารพวกเขาจะไม่มีวันอดตาย และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดกัปตันเรือในสมัยก่อนจึงนิยมบรรทุกไว้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทาง[5]
6. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น การนำมาทำแป้ง นำมาหั่นๆ บางแล้วทอดกรอบ ทำเป็นขนมขบเคี้ยว ทำน้ำตาลกลูโคสและเดกทริน (ใช้สำหรับทำกาวและสารให้ความเหนียวต่างๆ) หรือใช้อุตสาหกรรมการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์และกรดซิตริก ล้อยาง พลาสติก ฟิล์ม สีน้ำมัน และใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมทอผ้า เป็นต้น[2],[3]
7. ลดความอ้วนได้ หลายๆ คนอาจเคยเข้าใจผิดว่าหากรับประทานมากก็จะยิ่งทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อย่างที่คุณคิดทั้งหมด ซึ่งความจริงก็คือ ช่วยในการลดน้ำหนักและความอ้วนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิวง่าย และช่วยลดการกินจุกจิก
8. เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามถ้านำมาปรุงแบบผิดวิธี มันก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน เพราะสามารถดูดซับเครื่องปรุงต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันได้มากถึง 30-40% คุณอาจจะเคยชินกับการกินฝรั่งในรูปของการทอด เฟรนช์ฟรายด์
9. ทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกวิธีนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำมาต้มให้สุกแล้วบด โรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย (ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมก็ให้ใส่ส่วนผสมที่ได้ห้อในกระดาษฟรอยด์แล้วค่อยนำเข้าเตาอบ) หรือจะนำมาต้มให้สุกผสมในน้ำแกง เช่น ในเมนูหัวปลาต้มเผือก เป็นต้น หรือนำมาทำเป็นขนม เช่น บัวลอย เป็นต้น
10. ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ ด้วยการใช้น้ำมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ และนม 140 มิลลิกรัม ขั้นตอนแรกให้นำมาต้ม แล้วกรองเอาน้ำต้มที่ได้มา 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในนมแล้วคนให้เข้ากัน เก็บใส่ขวดแล้วนำไปแช่เย็น เมื่อจะนำมาใช้ก็ให้เขย่าขวดก่อน แล้วนำมาทาหน้าด้วยการนวดเบาๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงใช้ผ้าซับออก[7]
11. ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 2 ช้อนชา, สบู่ป่น 2 ช้อนชา, เนย 2 ช้อนชา, และน้ำมันอัลมอนด์ 8 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้นำสบู่และน้ำมันอัลมอนด์ใส่ถ้วย และอุ่นในน้ำร้อนจนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่เนยลงไปคนและตามด้วยน้ำต้ม แล้วนำออกจากเตาและคนต่อไปอีกจนส่วนผสมเย็นตัวลง เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวด เมื่อจะใช้ก็ให้นำครีมที่ได้มาใช้ทำความสะอาดใบหน้าเหมือนโลชั่น ด้วยการนวดคลึงใบหน้าเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น[7]
12. มาส์กหน้าสูตรผิวกระชับผิวเต่งตึงมาส์กหน้ากระชับรูขุมขน และทำให้เลือดไหลเวียนดี ด้วยการป่น 2 ช้อนโต๊ะ แล้วให้เทน้ำอุ่นลงในถ้วย คนเข้ากันจนเนื้อข้น ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าให้ทั่ว และให้ใช้พู่กันจุ่มมาส์กมาทาใบหน้าและคอ ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบแล้วให้ใช้ผ้าอุ่นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัวก่อน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น (สูตรนี้จะทำให้ผิวแห้ง จึงไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป)[7]
13. มาส์กหน้าสูตรบำรุงผิวหน้า ให้ใช้น้ำต้ม 7ช้อนโต๊ะครึ่ง, ขี้ผึ้ง 3 3/4 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันโจโจ้บา 1/4 ช้อนโต๊ะ, และบอแร็กซ์ 1/4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ใช้ความร้อนอ่อนๆ ละลายขี้ผึ้งและน้ำมันให้เข้ากัน ใส่ผงบอแร็กซ์ตามลงไปในน้ำต้ม แล้วค่อยๆ ใส่ส่วนผสมดังกล่าวลงไปคนกับขี้ผึ้งที่ละลายแล้ว เสร็จแล้วเอาขึ้นจากเตาและคนต่อไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเย็นตัว แล้วนำมาทาใบหน้าด้วยการนวดเบาๆ เป็นวงกลม เสร็จแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าซับออก (สูตรนี้สามารถนำมาใช้ทามือ ทาผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอ่อนนุ่มได้อีกด้วย)[7]
14. ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา ลดรอยคล้ำใต้ตาเพราะ มีเอนไซม์ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนและจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำลงได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาตาคล้ำอย่างเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี วิธีการก็คือให้นำมาฝานบางๆ นำมาแปะดวงตาไว้ประมาณ 15-20 นาที (หากนำไปแช่เย็นก่อนนำมาใช้ก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยลดปัญหาตาบวมและทำให้ตาสดชื่นได้ด้วย) สำหรับผู้ที่มีอาการคันยุบยิบเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเอามือไปเกา เพราะตามข้อมูลบอกไว้ว่าอาจรู้สึกคันยิบๆ เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด[6]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของหัวดิบ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 77 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
แป้ง 15.44 กรัม
ใยอาหาร 2.2 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 2 กรัม
น้ำ 75 กรัม
วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี3 1.05 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี5  0.296 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี6 0.295 มิลลิกรัม 23%
วิตามินบี9 16 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม 24%
วิตามินอี 0.01 มิลลิกรัม 0%
วิตามินเค 1.9 ไมโครกรัม 2%
แคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.78 มิลลิกรัม 6%
แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม 6%
แมงกานีส 0.153 มิลลิกรัม 7%
ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม 8%
โพแทสเซียม  421 มิลลิกรัม 9%
โซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
สังกะสี (ซิงค์)  0.29 มิลลิกรัม 3%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ต้านการเป็นพิษต่อตับ ลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำในเลือด[1]
2. สารสำคัญที่พบ ได้แก่ Barogenin, Chaconine, Erytoxanthin, Glucinol optatolectin, Glucoside, Patatin, Stearic acid, Tuberoside, Zeaxanthin[1]
3. Yamakawa และคณะ (1999) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลอง Sweetpotato พบว่ามีสาร angiotensin converting enzyme ที่ช่วยลดความดันโลหิตสูงและลดไขมันได้[1]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษ โดยให้แกะกินส่วนที่อยู่เหนือดินในขนาด 2.8 กิโลกรัม และ 3.85 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 9 วัน ไม่พบพิษ[1]
5. Noguchi และคณะ (2007) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองสารสกัดจาก Potato snacks จำนวน 1.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในหนูถีบจักรทดลอง ผลการทดลองพบว่าสามารถลดความดัน SBP ได้ 35 มิลลิเมตรปรอท และลดไขมันได้[1]
6. มีสาร Solanine โดยในมันฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะมี Solanine ประมาณ 20-100 มิลลิกรัม โดย Solanine จะมีมากในรากและเปลือกมันฝรั่ง ในมันฝรั่งเปลือกแดงจะมี Solanine มากกว่ามันฝรั่งเปลือกเหลือง และมันฝรั่งดิบจะมี SOlanine มากกว่ามันฝรั่งสุก นอกจากนี้มันฝรั่งเมื่อโดนแสงแดดเปลือกจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว และทำให้ปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย[3]
7. เฉพาะในเนื้อของมันฝรั่งที่มีรากงอกออกมาหรือเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะมีปริมาณของ Solanine น้อย เมื่อกินแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากมีปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติเป็น 4-5 เท่า หรือมากกว่า 0.4 กรัมต่อกิโลกรัม เมื่อกินแล้วจะเกิดอาการเป็นพิษได้ แต่ก็ไม่ถึงกับตาย และเคยมีรายงานว่า เด็กที่กินมันฝรั่งที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบถึงตาย[3]

การเลือกซื้อมันฝรั่ง

1. ในการเลือกซื้อควรเลือกหัวที่มีผิวสวย เนื้อแน่น ผิวเป็นสีเหลืองทอง ไม่มีรากงอกออกมา ไม่มีการเปลี่ยนสี ไม่มีรอยแผลเน่าเป็นสีดำ สีเขียวหรือเนื้อนิ่ม เนื่องจากจะทำให้ปริมาณของสารพิษ Solanine มีเพิ่มมากขึ้น[3]
2. โดยเฉพาะในส่วนของราก ตาราก เปลือก และบริเวณที่เน่า เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดอาการเป็นพิษต่อร่างกาย โดยพิษของ Solanine ถ้าได้รับจะทำให้มีอาการคอแห้ง ชา ปวดแสบปวดร้อนในลำคอ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้มึนงง การเต้นของหัวใจอ่อนลง ตัวเย็นชืด การหายใจล้มเหลว ชักมีไข้ สลบ เป็นต้น (ส่วนการรักษาคือการทำให้อาเจียน หรือให้ Activated chacoal เพื่อช่วยดูดซึมสารพิษ และทำการรักษาไปตามอาการ)[3]
3. มีรายงานว่าถ้าสตรีตั้งครรภ์กินสาร Solanine เข้าไปจะทำให้แท้งบุตรได้ ถ้ามีรากงอกออกมาหรือมีตาราก ให้ตัดส่วนรากและตารากออก แล้วนำไปแช่น้ำสักพัก ก็สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้[3]
4. การปรุงอาหาร ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องนำมาล้างให้สะอาดก่อนนำไปอบหรือต้ม และให้ปรุงทั้งเปลือก เพราะเปลือกจะช่วยรักษากลิ่นหอมไว้และช่วยรักษาคุณค่าของสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่ให้เสื่อมสลายไปด้วย ส่วนน้ำที่ต้มสามารถเก็บไปทำเป็นน้ำซุปได้
5. ไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะความเย็นจะไปกระตุ้นให้เกิดการงอกของรากได้ ดังนั้นควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติจะดีที่สุด

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “มัน ฝรั่ง” หน้า 153.
2. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [25 พ.ค. 2014].
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 90 คอลัมน์: อาหารสมุนไพร. (วิทิต วัณนาวิบูล). “มัน ฝรั่ง อาหารหลักของชาวยุโรป”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [25 พ.ค. 2014].
4. เดลินิวส์. “มัน ฝรั่ง สุดยอดอาหารสุขภาพ”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน (สำนักพิมพ์อินสปายร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [25 พ.ค. 2014].
5. ราชบัณฑิตยสถาน. (ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน). “มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.royin.go.th. [25 พ.ค. 2014].
6. ผู้จัดการออนไลน์. “พิสูจน์! ฝานมัน ฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [25 พ.ค. 2014].
7. เอ็มไทย. “ผิวสวย 6 วิธี ด้วย.. มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: women.mthai.com. [25 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.livescience.com/
2.https://www.gardeningknowhow.com/

มะแว้งเครือ กับสรรพคุณและประโยชน์รู้ไว้ติดตัว

0
มะแว้งเครือ
มะแว้งเครือ กับสรรพคุณและประโยชน์รู้ไว้ติดตัว ผลเป็นช่อคล้ายกับมะเขือพวง ผลอ่อนสีเขียวมีลายสีขาวผล ผลสุกสีแดงสด รสขมขื่นเปรี้ยว
มะแว้งเครือ
ผลเป็นช่อคล้ายกับมะเขือพวง ผลอ่อนสีเขียวมีลายสีขาวผล ผลสุกสีแดงสด รสขมขื่นเปรี้ยว

มะแว้งเครือ

มะแว้งเครือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Solanum trilobatum L. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)[1]
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า แขว้งเคีย (ตาก), มะแว้งเถา (กรุงเทพฯ), มะแว้ง มะแว้งเถาเครือ (ทั่วไป) เป็นต้น[1],[3]
หมายเหตุ : นิยมใช้ทำเป็นยา นำมาจิ้มกับน้ำพริกรับประทาน แพทย์แผนไทยในอดีตจะนิยมใช้ทั้งมะแว้งเครือและมะแว้งต้นร่วมกัน โดยเรียกว่า “มะแว้งทั้งสอง”[8]

ลักษณะของมะแว้งเครือ

  • ต้น เป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีลักษณะกลมเป็นเถาสีเขียว ตามลำต้นนั้นจะมีหนามแหลมขึ้นอยู่ สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือจากสัตว์ (โดยเฉพาะนก) ที่กินผลแล้วถ่ายเมล็ดออกมา เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ต้องการน้ำและความชื้นอยู่ในระดับปานกลาง มักจะขึ้นเองโดยธรรมชาติในบริเวณที่ราบชายป่า ที่โล่งแจ้ง และบริเวณที่รกร้างริมทาง สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย[1],[5],[8]
  • ใบ จะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปไข่ ขอบใบเว้า ใบมีความกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร หลังใบเรียบมัน ส่วนท้องใบนั้นจะมีหนามตามเส้นใบ[1],[2],[3]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่ออยู่ตามซอกใบและตรงปลายกิ่ง ในช่อดอกหนึ่งนั้นจะมีดอกอยู่ประมาณ 5-12 ดอก ซึ่งดอกย่อยจะเป็นสีม่วงอมชมพู ที่มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะย่น ปลายกลีบแหลม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน แต่ละดอกจะมีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกนั้นมี 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้สีเหลืองอยู่ 5 ก้าน ส่วนก้านดอกและก้านช่อเป็นสีเขียว[1],[3],[5]
  • ผล จะออกเป็นช่อคล้ายกับมะเขือพวง มีลักษณะที่ค่อนข้างกลม ผิวผลเรียบเกลี้ยง ผลมีขนาดที่เล็กกว่าผลของมะเขือพวง หรือมีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนจะเป็นสีเขียวมีลายเป็นสีขาวๆ ตามยาว แต่เมื่อแก่หรือสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ผลจะมีเมล็ดลักษณะแบนๆ อยู่หลายเมล็ด และผลจะมีรสขม[1],[2],[3],[5]

สรรพคุณของมะแว้งเครือ

1. ช่วยขับเหงื่อ (ทั้งต้น)[4]
2. ช่วยบำรุงน้ำดี (ผล)[4]
3. ช่วยบำรุงโลหิต (ผล)[4]
4. ผลใช้เป็นน้ำกระสายยากวาด (ผล)[1]
5. ผล แห้งมีฤทธิ์ช่วยทำให้น้ำตับอ่อนเดินได้สะดวก (ผล)[3]
6. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด แก้เบาหวาน ด้วยการใช้ผลที่โตเต็มที่ประมาณ 10-20 ผล นำมารับประทานเป็นอาหาร เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก (ผล)[1],[3],[4]
7. ช่วยขับเสมหะ ตำรายาไทยจะใช้ผลสด 4-10 ผล นำมาโขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำมาใส่เกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อย ๆ หรือเคี้ยวกลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมเฝื่อน (ผล)[1],[2],[3],[4]
8. ทั้งผลสุกและผลดิบเป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล นำมาโขลกให้พอแหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือใช้จิบบ่อย ๆ หรือจะใช้ผลสดนำมาเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ (ผล)[1],[2],[3],[4]
9. ต้นมีสรรพคุณขับเสมหะ (ต้น)[4]
10. ต้นช่วยแก้หญิงท้องขึ้นในขณะตั้งครรภ์ (ต้น)[4]
11. เปลือกต้น ใช้ฝนกับสุราปิดแผล รับประทานแก้พิษงู (เปลือกต้น)[7]
12. ช่วยแก้กระหายน้ำ (ราก)[4]
13. รากมีสรรพคุณกัดและขับเสมหะให้ตก (ราก)[3],[4]
14. รากมีรสขมขื่นเปรี้ยว เป็นยาแก้ไข้สันนิบาต (ราก)[3],[4]
15. สรรพคุณของรากมะแว้งในบางตำราระบุว่า ใช้ระงับความร้อน (ราก)[8]
16. ช่วยกระทุ้งพิษไข้ให้ลดลง (ต้น,ราก)[4],[8]
17. ใบและรากใช้เป็นยารักษาวัณโรค (ใบและราก)[3],[4]
18. ใบและรากนำมาทำเป็นยาลูกกลอน หรือต้มและทำเป็นผง ทำเป็นยาแก้ไอ (ใบและราก)[3]
19. ช่วยแก้น้ำลายเหนียว (ต้น, ราก, ใบ, ผล)[3],[4]
20. กากทิ้ง จะช่วยบำบัดอาการไออย่างได้ผลชะงัด (บ้างก็ใช้ผลแห้งปรุงเป็นยาแก้ไอ) (ราก, ใบ, ผล, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
21. ช่วยแก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา (ราก, ผล)[4]
22. ช่วยแก้หืด หืดหอบ ด้วยการใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำและใส่เกลือ นำมาจิบบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ (ราก, ทั้งต้น)[4]
23. ใบ รากมีรสขม เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก, ใบ, ผล)[3],[4],[5]
24. ต้น ราก ผลสด ผลแห้ง และทั้งต้นใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น, ราก, ผลสด, ผลแห้ง, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
25. ราก ใบ ผล และทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ไอ ตำรายาไทยจะใช้ผลสดเป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ ด้วยการใช้ในผลสด 4-10 ผล นำมาโขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำมาใส่เกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวกลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมเฝื่อน แล้วคาย

ประโยชน์ของมะแว้งเครือ

1. ผลอ่อน ใช้รับประทานสดหรือลวก ต้ม เผาไฟ ใช้เป็นผักร่วมกับน้ำพริก
2. ผลอ่อนและยอดอ่อน สามารถใช้รับประทานเป็นผักได้เช่นกัน แต่ต้องนำมาต้มให้สุกเสียก่อน แล้วจึงนำไปใช้เป็นผักจิ้ม (ส่วนผลอ่อนดิบจะใช้เป็นผักจิ้มได้เลย) นิยมรับประทานกับปลาร้า แต่ก็ใช้จิ้มกับน้ำพริกได้เหมือนกัน[8]
3. ในปัจจุบันนั้นสรรพคุณของมะแว้งในด้านการเป็นยาแก้ไอ ได้ถูกพัฒนาเป็นยาสำเร็จรูปโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ รักษาแผลในลำคอ โดยถือเป็นตำรับยาแผนโบราณที่มีประสิทธิภาพสูงอีกตำรับหนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณขนานหนึ่ง มีการผลิตออกมาจำหน่ายอย่างจริงจัง และได้มีการปลูกต้นมะแว้งเพื่อนำมาผลิตเป็นยาโดยเฉพาะกันบ้างแล้ว[8]
4. ผลสุกของมะแว้ง ยังช่วยดึงดูดนกให้มาเยี่ยมเยียนขอชิมอยู่บ่อยๆ ด้วย นอกจากนั้นต้นมะแว้งยังมีหนามอยู่มากมายที่จะทำหน้าที่เป็นรั้วได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น[8]

คุณค่าทางโภชนาการ

โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลมะแว้ง เครือต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 59 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
 น้ำ 82.3%
โปรตีน 2.6 กรัม
ไขมัน  1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 9.9 กรัม
ใยอาหาร 3.3 กรัม
เถ้า 0.9 กรัม
วิตามินเอ 1,383 หน่วยสากล
วิตามินบี 1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 8.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 6 มิลลิกรัม
แคลเซียม 50 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 68 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1 มิลลิกรัม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. ใบมะแว้งเครือมีสาร Tomatid-5-en-3-ß-ol, ส่วนดอกมะแว้งเครือมีสาร Alkaloids, Cellulose, Pectins Unidentified organic acid Lignins, Unidentified saponins, และผลมะแว้งเครือมีสาร Enzyme oxidase, Vitamin A ค่อนข้างสูง[4]
2. จากการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง โดยทำการเปรียบเทียบสารสกัดจากมะแว้งเครือด้วยคลอโรฟอร์ม ปิโตรเลียมอีเทอร์ เอทิลอะซิเตทและเอทานอล พบว่าสารที่สกัดด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Leuk-L292 และ Vero มากที่สุด และเมื่อทำการแยกส่วนสกัดต่อก็พบว่าส่วนที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มากที่สุดคือส่วน Sobatum โดยมีค่า LD50 เมื่อทดสอบกับเซลล์ Leuk-L292 และ Vero มีค่าเท่ากับ 7 และ 7.5 ไมโครกรัมต่อมิลลิกรัมตามลำดับ[6]
3. เมื่อให้สาร Sobatum เข้าทางช่องท้องในขนาด 100, 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พบว่าสารดังกล่าวไม่มีฤทธิ์เหนี่ยวนำ micronucleus ของเซลล์เม็ดเลือดแดงในไขกระดูก หรือทำให้เกิดความผิดปกติในโครโมโซม และเมื่อทำการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันและแบบเฉียบพลันของส่วนสกัดดังกล่าว ก็ไม่พบว่าก่อให้เกิดอาการพิษ หรือความผิดปกติในเนื้อเยื่อ หรือทำให้หนูตาย[6]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 ด้วยการฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูขาวทดลอง พบว่าในขนาดที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[6]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “มะแว้งเครือ”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 641-642.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะ แว้ง เครือ”. หน้า 191.
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะ แว้ง เครือ (Ma Waeng Khruea)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 237.
4. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะ แว้ง เครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [18 พ.ค. 2014].
5. ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “มะแว้งเครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [18 พ.ค. 2014].
6. ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “มะ แว้ง เครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/poisonpr/. [18 พ.ค. 2014].
7. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Solanum trilobatum L.”. อ้างอิงใน: หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1, หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [18 พ.ค. 2014].
8. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 235 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “มะแว้ง : ทั้งต้นและเครือล้วนเชื้อพันธุ์เดิม”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [18 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.comdept.cmru.ac.th/
2.https://tropical.theferns.info/

มะหลอด สมุนไพรพื้นเมืองโบราณผลสีแดงสะดุดตา

0
มะหลอด
มะหลอด สมุนไพรพื้นเมืองโบราณผลสีแดงสะดุดตา ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีส้มแดง รสเปรี้ยวนิยมทานสดเป็นผลไม้ ก่อนนำมารับประทานต้องทำให้นิ่มก่อน
มะหลอด
ผลสีแดงสะดุดตา ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีส้มแดง รสเปรี้ยวนิยมทานสดเป็นผลไม้ ก่อนนำมารับประทานต้องทำให้นิ่มก่อน

มะหลอด

มะหลอด เป็นพันธุ์ไม้พุ่มสมุนไพรพื้นเมืองของไทยที่พบได้มากในทางภาคเหนือ ตามป่า ตามทุ่งนา หรือตามบ้านเรือนชนบท และสามารถพบได้ตามชายป่าชื้น ป่าเบญจพรรณ และมักจะขึ้นอยู่ตามเนินเขาในที่ร่มที่ความสูงระดับ 200-1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมื่อสุกผลจะมีสีแดงดูสะดุดตารสเปรี้ยวมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด แก้ไอ แก้หอบหืด ลดไข้ เมล็ดในมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและฆ่าพยาธิ รากมีฤทธิ์ห้ามเลือด แก้ปวด เป็นต้น
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Elaeagnus latifolia L. จัดอยู่ในวงศ์ (ELAEAGNACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ส้มหลอด (ภาคใต้), สลอดเถา หมากหลอด หรือ บะหลอด บ่าหลอด (ภาษาคำเมือง), ควยรอก (ตราด) เป็นต้น

ลักษณะของมะหลอด

  • ต้น เป็นไม้เถาที่มีเนื้อแข็ง ลำต้นและกิ่งมีเกล็ดสีเทาหรือสีเงินขึ้นปกคลุม
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรีหรือรูปรีแกมหอก ปลายใบแหลม โคนใบเป็นสอบ ขอบใบนั้นจะเรียบ แผ่นใบด้านบนเป็นสีเขียวอมน้ำเงินเกลี้ยง ส่วนใบด้านล่างมีเกล็ดเล็ก ๆ สีน้ำตาลขึ้นอยู่ทั่วไป กว้างประมาณ 3.5-4.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร และก้านใบยาวประมาณ 0.8-1.2 เซนติเมตร
  • ดอก ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ มีความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศหรือมีดอกเพศเมียปะปนรวมอยู่ด้วย ลักษณะกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดคล้ายสันเหลี่ยม ยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ที่ปลายนั้นแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 5 อัน ติดอยู่กับหลอดท่อดอก
  • ผล มีลักษณะหลายรูปทรง เช่น ผลรูปรี รูปไข่ รูปกรวย รูปลูกแพร์ และรูปทรงกระบอก ยาวอยู่ที่ประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลักษณะโดยรวมจะคล้าย ๆ กับมะเขือเทศราชินี ผิวของเปลือกจะมีความสากเล็กน้อย มีจุดสีขาวสีเงินบนผล ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว ผลเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม สีแดง สีส้มแดง หรือสีเหลือง ผลมีรสชาติที่เปรี้ยว รสชาติที่ฝาดจนถึงรสชาติหวาน นำมารับประทานเป็นผลไม้ได้ และผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเหลือง ลักษณะเมล็ดหัวท้ายจะแหลมยาวรี ตัวเมล็ดเป็นพู (ร่อง) โดยเมล็ดหนึ่งจะมีอยู่ 8 พู

ผลไม้ชนิดนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รส โดยทุกรสนั้นจะมีรสชาติฝาดรวมอยู่ด้วย ซึ่งได้แก่ รสชาติที่เปรี้ยว สีผลจะออกสีส้มใส, รสหวานนั้นจะมีสีที่ค่อนข้างแดงเข้ม หารับประทานได้ยาก, และมะหลอดก๋ำปอ มีรสชาติที่ไม่เปรี้ยวและไม่หวานมาก ก่อนที่จะนำมารับประทานต้องทำให้นิ่มเสียก่อนด้วยวิธีการนวดหรือคลึง เพราะจะสามารถช่วยลดรสชาติความฝาดลงไปได้เยอะเลยทีเดียว แถมยังช่วยให้แยกเมล็ดออกมาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ผลไม้ชนิดนี้บางคนอาจไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเท่าที่ทราบนั้นก็คือผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้ของทางภาคเหนือ โดยจะออกดอกออกผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อตอนผลสุก ต้นจะดูสวยงามเป็นอย่างมากเพราะจะเต็มไปด้วยผลที่มีสีแดงสด สีส้ม สีเหลือง และสีเขียว คละเคล้ากันไป เห็นแล้วน่ารับประทานเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ผลไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายมากนัก ทำให้มีผลผลิตจำหน่ายเข้าสู่ตลาดนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก และมักจะพบเห็นวางจำหน่ายตามตลาดในจังหวัดรอบนอกตามแถบชนบทเสียมากกว่า ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักเหมือนผลไม้ชนิดอื่น ๆ และยังไม่มีการส่งเสริมการปลูกอย่างจริงจัง ทำให้ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างจะหาได้ยากขึ้นไปทุกที

สรรพคุณของมะหลอด

1. ดอกช่วยบำรุงหัวใจ
2. ใบใช้ช่วยบำรุงเนื้อหนังให้สมบูรณ์
3. ผลและดอกนั้นช่วยคุมธาตุในร่างกาย
4. ดอกช่วยแก้โรคตา
5. ผลมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียนได้
6. ดอกสามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้
7. เถาช่วยแก้ไข้พิษ
8. เปลือกต้นช่วยขับเสมหะ
9. ดอกมีฤทธิ์ใช้แก้ริดสีดวงจมูก
10. ผลดิบและดอกใช้เป็นยาฝาดสมาน
11. รากนำมาผสมกับรากเติ่ง แล้วนำไปแช่เหล้าที่ทำจากข้าวเหนียวตำ ใช้กินแก้อาการปวดกระดูก ปวดหัว หรืออาการเข่าเดินไม่ได้
12. ดอกใช้เข้าเครื่องยา
13. ทั้งต้นนั้นนำไปใช้ต้มน้ำอาบแก้อาการใจสั่นได้ (ทั้งต้น)
14. ผลสุกสามารถใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้
15. ผลสุกใช้ช่วยแก้อาการบิดและอาการท้องผูกในเด็ก (ผลสุก)
16. ตำรับยาพื้นบ้านของชาวล้านนานั้น จะใช้เนื้อในเมล็ดผสมกับเหง้าสับปะรด 7 แว่น กับสารส้มขนาดเท่าหัวแม่มือ นำเอาไปต้มเป็นน้ำดื่มช่วยแก้โรคนิ่ว (เนื้อในเมล็ด)

ประโยชน์ของมะหลอด

1. อุดมไปด้วยวิตามินซี จึงช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
2. ผลดิบสีเขียวนั้น สามารถนำมารับประทานร่วมกับน้ำพริกถั่วเน่าพันด้วยผักกาดและผักชีได้ รับประทานคล้าย ๆ เมี่ยงคำ หรือนำมาทำส้มตำ ทำแกงส้ม เป็นต้น
3. ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้ได้ กินคู่กับน้ำพริกหวาน หรือจะนำไปดองกับเกลือก็ได้
4. ผลสุกนำไปแปรรูปเป็นผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม หรือนำไปทำไวน์ เป็นต้น

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1, หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (นิดดา หงส์วิวัฒน์, ทวีทอง หงส์วิวัฒน์), เว็บไซต์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์,เว็บไซต์สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/
2.https://www.ydhvn.com/
3.https://blogcaycanh.vn/

มะแฟน พรรณไม้พื้นบ้านสรรพคุณเป็นยารักษาแผลในปาก

0
มะแฟน
มะแฟน พรรณไม้พื้นบ้านสรรพคุณเป็นยารักษาแผลในปาก เป็นสมุนไพรพื้นบ้านใช้รากแก้ไข้ ถอนพิษ ผลมีเนื้อนุ่มสีขาวรสเปรี้ยว ผลแก่สีแดง ผลสุกเป็นสีดำรสหวาน
มะแฟน
มีเนื้อนุ่มสีขาวรสเปรี้ยว ผลแก่สีแดง ผลสุกเป็นสีดำรสหวาน

มะแฟน

มะแฟน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านมักใช้รากแก้ไข้ ถอนพิษ ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษตานซาง ถอนพิษผิดสำแดง ผล รักษาแผลในปาก ใบอ่อนและผลรับประทานได้ผลดิบมีรสเปรี้ยวและผลสุกจะมีรสหวาน ส่วนลำต้นเนื้อไม้มีความเหนียวนิยมนำมาใช้ทำเสาที่พักอาศัย กระดาษพื้นบ้าน ประตูไม้ วงกบ โต๊ะนั่ง รวมถึงใช้ทำอุปกรณ์ใช้ทางการเกษตร ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Protium serratum (Wall. ex Colebr.) Engl. จัดอยู่ในวงศ์ (BURSERACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า แฟนส้ม (เลย), ส้มแป้น (นครราชสีมา), ค้อลิง (ชัยภูมิ), มะแทน (ราชบุรี), กะโปกหมา กะตีบ (ประจวบคีรีขันธ์), ปี (ภาคเหนือ), มะแฟน (ภาคกลาง), พี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ฟีแซ พีแซ ผี (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ตะพีเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ไฮ่ม่าดี้ (ปะหล่อง), เจี้ยนต้องแหงง (เมี่ยน) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของมะแฟน

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงได้ถึงประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นเปลาตรง โคนต้นเป็นพูพอน เรือนยอดค่อนข้างทึบ เป็นพุ่มกลมในช่วงบน เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล แตกเป็นสะเก็ดใหญ่ๆ สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้ที่ชอบอยู่กลางแจ้ง ทนต่อความร้อนได้ดี มักพบขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตามป่าเบญจพรรณทั่วไป หรือตามป่าเบญจพรรณบริเวณเขาหินปูนและป่าดิบแล้งใกล้ลำธาร ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-800 เมตร[1],[3]
  • ใบ เป็นใบประกอบ เป็นช่อๆ แบบขนนก ช่อใบติดเรียงสลับ แต่ละแขนงจะมีใบย่อยอยู่ประมาณ 3-11 ใบ ติดตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ยกเว้นใบยอดช่อจะเป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปรียาว หรือเป็นรูปแกมขอบขนาน ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลม โคนใบกลมมนหรือเบี้ยวๆ ขอบใบอ่อนหยักเป็นฟันเลื่อย ส่วนใบแก่มักเรียบหรือเป็นรูปคลื่น ใบมีความกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 6-13 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบอ่อนมีขนขึ้นหน่อยๆ เมื่อแก่แล้วขนจะหลุดออกหมดเป็นใบเรียบเกลี้ยง ท้องใบมองเห็นเส้นใบเป็นรูปตาข่ายได้ค่อนข้างชัดเจน ก้านใบมีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร[1],[3]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อกระจายอยู่ตรงบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง ในแต่ละช่อจะมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศ ลักษณะของดอกจะมีกลีบดอกและรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ส่วนโคนกลีบของรองกลีบดอกจะติดกันคล้ายรูปถ้วยตื้นๆ ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็กๆ 5 แฉก ส่วนกลีบดอกจะมี 5 กลีบ มีขนอยู่ด้านนอก ดอกเป็นสีขาว สีเขียวอ่อน หรือสีเหลืองอ่อน ตรงกลางดอกจะมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 10 อัน และมีเกสรเพศเมีย 1 อัน มีขนาดสั้นกว่ากลีบดอก จะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[3]
  • ผล มีลักษณะค่อนข้างกลมมน และมีร่องแบ่งอยู่ประมาณ 2-4 พู มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ภายในผลมีเนื้อที่นุ่มเป็นสีขาวและมีเมล็ด เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลมแข็ง ส่วนเปลือกผลจะเป็นสีแดง สีเขียว สีเหลือง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง พอแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ออกผลในช่วงประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม[1],[3]

สรรพคุณของมะแฟน

1. ราก ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (ราก)[4]
1.1 ราก สามารถนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้กลับไข้ซ้ำ กระทุ้งพิษไข้หัว ไข้เหนือ (ราก)[1],[2]
1.2 รากสดหรือรากแห้ง สามารถนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้พิษซาง พิษตานซาง ถอนพิษผิดสำแดง และเป็นยาถอนพิษต่างๆ (ราก)[1],[2],[4]
2. ผล มีสรรพคุณเป็นยารักษาแผลในปาก (ผล)[4]

ประโยชน์ของมะแฟน

1. ผล มีรสที่เปรี้ยว สามารถรับประทานได้[1],[2]
2. ใบอ่อน สามารถรับประทานได้เช่นกัน (กะเหรี่ยงแดง)[2]
3. เนื้อไม้ มีความเหนียว เมื่อตัดใหม่ๆ แก่นจะเป็นสีแดง พอทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีอิฐหรือสีน้ำตาลคล้ำ เสี้ยนไม้มักสน เนื้อไม้ละเอียดและสม่ำเสมอพอประมาณ เลื่อย ผ่า ไสกบ ตกแต่งได้ง่าย[2],[3]
4. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำเสาอาคารบ้านเรือน กระดานพื้น ฝา ฝ้า เพดาน ประตู หน้าต่าง วงกบ กรอบรูป กรอบกระจก กรอบประตูหน้าต่าง เครื่องเรือน เครื่องใช้ทางการเกษตร ไถ หัวหมูไถ ใช้ทำฟืน ฯลฯ[2],[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).“ม ะ แ ฟ น”. หน้า 625-626.
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ม ะ แฟ น”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [02 พ.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ม ะ แ ฟ น”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1, ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [02 พ.ย. 2014].
4. พืชสมุนไพรโตนงาช้าง. “มะแฟน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : paro6.dnp.go.th/web_km/พืชสมุนไพรโตนงาช้าง/. [02 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.http://rspg.mfu.ac.th/plant-genetic-conservation/

มะพูด ผลไม้ป่าดงดิบรสเปรี้ยวอมหวานแห่งอินโดนีเซีย

0
มะพูด
มะพูด ผลไม้ป่าดงดิบรสเปรี้ยวอมหวานแห่งอินโดนีเซีย ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองสดอมสีส้ม เนื้อผลมีสีเหลืองเรียบเป็นมัน มีรสเปรี้ยวอมหวาน
มะพูด
ผลไม้ป่าดงดิบรสเปรี้ยวอมหวานแห่งอินโดนีเซีย ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองสดอมสีส้ม เนื้อผลมีสีเหลืองเรียบเป็นมัน มีรสเปรี้ยวอมหวาน

มะพูด

มะพูด (Yelloe mangoesteen) เป็นพันธุ์ไม้ในตระกูลมังคุดและส้มแขก และยังถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมาย ซึ่งผลไม้ชนิดนี้เมื่อผลสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวานรับประทานได้หรือใช้แทนมะนาวในการปรุงอาหาร หรือใช้ผลสุกแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ผลไม้กวน ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Garcinia dulcis (Roxb.) Kurz อยู่ในวงศ์มังคุด ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น จำพูด ปะหูด ไข่จระเข้ ปะพูด พะวาใบใหญ่ ส้มปอง ประโฮด ตะพูด ประโหด ส้มม่วง มะนู ประหูด ตะพูด

ลักษณะ

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน[3] เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 7-10 เมตร บ้างก็ว่าสูงประมาณ 15 เมตร เรือนยอดมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปไข่ เป็นทรงพุ่ม ลำต้นตรง อาจมีร่องรอยแผลเป็น ลักษณะเป็นปุ่มปมตะปุ่มตะป่ำ เกิดจากการหลุดร่วงของกิ่งก้าน จะแตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มโปร่ง ก้านแตกออกจากลำต้นถี่ เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลเข้ม เรียบ แตกเป็นร่อง ถ้าเปลือกต้นเกิดบาดแผลจะมียางสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไหลออกมา โดยการใช้เมล็ด การใช้ต้นกล้าปักชำ มีเขตการกระจายพันธุ์ที่ป่าดิบชื้น ตามชายห้วย พื้นที่ริมน้ำที่ป่าเบญจพรรณ พบเจอได้มากทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และพื้นที่แถบชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ ที่ต่างประเทศสามารถพบเจอได้ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ชวา ลาว กัมพูชา บอร์เนียว[1],[2],[3],[5],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบมีลักษณะเป็นรูปใบหอก แกมรูปขอบขนาน ที่โคนใบจะกว้างมนตัดตรง เว้าคล้ายรูปหัวใจแล้วค่อย ๆ สอบเรียวเล็กที่ปลายใบ ขอบใบจะเรียบ ใบกว้าง 8-12 เซนติเมตร ยาว 15-25 เมตร แผ่นใบจะเป็นคลื่นเล็กน้อย เนื้อใบจะเหนียวหนาคล้ายกับแผ่นหนัง ส่วนหลังใบจะเรียบลื่นและเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม ท้องใบมีขน แต่บางครั้งก็ไม่มี ใบแห้งจะมีสีเหลืองอมสีเทา ก้านใบยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร มีขนบาง ๆ ปกคลุม[1],[2],[3]
  • ดอกออกเป็นช่อ ช่อละ 3-5 ดอก ดอกออกที่ตามซอกใบตามแผลใบตามกิ่งก้าน ดอกมีสีขาวอมเหลือง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบซ้อนกัน ดอกจะมีลักษณะตูมเป็นทรงกลม กลีบดอกมีลักษณะเป็นทรงกลม หนามีสีเหลืองอ่อน ถ้าดอกบานเต็มที่จะกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร บานเป็นรูปถ้วยโถ ดอกออกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม[1],[3],[7]
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 เซนติเมตร ผิวผลจะเรียบเป็นมัน ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองสดอมสีส้ม เนื้อผลมีสีเหลือง มีรสเปรี้ยวอมหวาน ในผลมีเมล็ด 2-5 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี มีสีน้ำตาล ติดผลช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[7]

สรรพคุณของมะพูด

  • สามารถแก้อาการช้ำในได้ (ผล)[4]
  • สามารถช่วยขับถ่ายโลหิตเสียให้ตก (ผล)[4]
  • ผลจะมีฤทธิ์ที่เป็นยาระบายอ่อน ๆ[4]
  • สามารถแก้อาการเจ็บคอได้ (ผล,น้ำที่คั้นจากผล)[1],[2],[3]
  • สามารถแก้อาการร้อนในได้ (ราก)[1],[2],[3]
  • น้ำที่คั้นได้จากผลจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน สามารถช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้[1],[2],[3]
  • นำเมล็ดมาบดผสมน้ำส้มหรือเกลือ สามารถใช้ทาแก้อาการบวมได้[9]
  • เปลือกต้นจะมีรสฝาด นำไปต้มแล้วกรองเอาน้ำมาใช้ชำระล้างบาดแผล[2],[3],[4]
  • สามารถถอนพิษผิดสำแดงได้ (ราก)[1],[2],[3]
  • สามารถช่วยขับเสมหะ และช่วยกัดเสมหะได้ (ผล,น้ำที่คั้นจากผล)[1],[2],[3],[4]
  • สามารถแก้อาการไอได้ (ผล,น้ำที่คั้นจากผล)[1],[2],[3],[4]
  • รากจะมีรสจืด สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[1],[2],[3]

ประโยชน์ของมะพูด

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีทรงพุ่มสวยงาม ใบกับผลจะเด่น ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกเพื่อให้ร่มเงา เช่น ปลูกที่บริเวณศาลา ที่ใกล้ทางเดิน ริมน้ำ หรือในสวนผลไม้[3],[7]
  • ผลดิบจะมีรสเปรี้ยว สามารถใช้ผลดิบแทนมะนาวในการทำแกงส้มกุ้งสดได้[3]
    คนไทยโบราณเชื่อกันว่า ถ้าปลูกต้นในบริเวณบ้าน จะส่งเสริมให้ลูกหลานเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา พูดในสิ่งที่ดีงาม พูดจาไพเราะ และเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน และสามารถแก้เด็กปากหนักไม่ยอมพูดกับใคร นิยมปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน[3],[5]
  • ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว สามารถทานเป็นผลไม้ได้ ปัจจุบันมีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้กับผลไม้กวน[2],[3],[9]
  • ใบกับเปลือกต้น สามารถนำมาใช้สกัดย้อมสีเส้นไหมได้ จะให้สีเหลืองคล้ายกับสีเหลืองของดอกบวบ[3] ให้สีเหลืองสด สีน้ำตาล[6]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 49 Unit

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 42 I.U.
วิตามินบี 1 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 5 มิลลิกรัม
โปรตีน 0.4 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.0 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 12.2 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม

แหล่งที่มา ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร[8]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ม ะ พู ด (Mapud)”. หน้าที่ 229.
ข้อมูลพรรณไม้ สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะพูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [12 ม.ค. 2014].
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. “มะพูด”. (รศ.ชนะ วันหนุน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 158.108.70.5/botanic/. [12 ม.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล. “มะ พูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [12 ม.ค. 2014].
๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “มะ พูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [12 ม.ค. 2014].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม. “ม ะ พู ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [12 ม.ค. 2014].
สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร. “มะพูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.155.220.217/office/ppdd/publicpark/thai/2011/. [12 ม.ค. 2014].
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “มะพูด”. อ้างอิงใน: หนังสือไม้อเนกประสงค์กินได้ (คณะอนุกรรมการประสานงานวิจัยและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้และไม้โตเร็วอเนกประสงค์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [12 ม.ค. 2014].
เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 29 ธันวาคม 2554. “มะ พู ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [12 ม.ค. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ม ะ พู ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [12 ม.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/adaduitokla/

มะม่วงหัวแมงวัน ใช้รักษาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย

0
มะม่วงหัวแมงวัน
มะม่วงหัวแมงวัน ใช้รักษาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ผลอ่อนจะเป็นสีเขียวปนม่วง หรือเขียวปนม่วงแดง ผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ มีรสชาติหวาน
มะม่วงหัวแมงวัน
ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ผลอ่อนจะเป็นสีเขียวปนม่วง หรือเขียวปนม่วงแดง ผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ มีรสชาติหวาน

มะม่วงหัวแมงวัน

มะม่วงหัวแมงวัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Buchanania cochinchinensis (Lour.) M.R.Almeida (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Buchanania lanzan Spreng., Buchanania latifolia Roxb.)[1],[2] จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วงแมงวัน (ลำปาง), หัวแมงวัน (สุโขทัย), มะม่วงหัวแมงวัน (นครราชสีมา, ราชบุรี), ฮักหมู ฮักผู้ (ภาคเหนือ), รักหมู (ภาคใต้), มะม่วงนก เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของมะม่วงแมงวัน

  • ต้น จัดเป็นไม้ยืนต้น ที่มีความสูง 8-20 เมตร ขนาดลำต้นวัดรอบได้ประมาณ 60-100 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ตามก้านและกิ่งอ่อนมีขนยาวสีน้ำตาลแดงปกคลุม เปลือกต้นมีรอยแตกเป็นร่องหรือเป็นสะเก็ดยาว ๆ ไปตามลำต้น มีสีเทาแก่หรือสีดำ เปลือกภายในเป็นสีแดงเลือดหมู เมื่อถากเปลือกภายในนั้นจะมีน้ำยางที่มีสีน้ำตาลไหลซึมออกมา ถ้าถากทิ้งไว้ยางจะเป็นสีดำ ทำให้ผิวหนังพุพองได้ พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าชายหาด และป่าเต็งรัง ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-300 เมตร[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปไข่กลับแกมรูปไข่กลับ รูปรียาว หรือรูปขอบขนาน ปลายใบมนเป็นสอบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื้อใบหนาและเหนียวคล้ายหนังสัตว์ หลังใบนั้นเรียบ ส่วนท้องใบมีขนตามเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบ ก้านใบนั้นยาว[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ก้านช่ออวลมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุมหนาแน่น แยกแขนงสั้น ๆ เวลาดอกบานจะดูเหมือนเป็นก้อนทึบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาว มีขนาดกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ทั้งกลีบดอกและกลีบเลี้ยงมีอย่างละ 5 กลีบเท่ากัน กลีบเลี้ยงเป็นสีน้ำตาล มีขนปกคลุมอยู่ที่ใต้กลีบ ด้านนอกของกลีบเลี้ยงและรังไข่มีขนขึ้นอย่างหนาแน่น กลีบดอกเป็นสีขาว กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่ superior ovary 1 ห้อง 1 ออวุล และก้านดอกมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม[1],[2]
  • ผล ลักษณะเป็นรูปทรงค่อนข้างกลมหรือป้อม ผลตอนอ่อนจะเป็นสีเขียวปนม่วง หรือเขียวปนม่วงแดง เมื่อผลตอนแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลมีขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ผลผิวนั้นเรียบ มีเมล็ด 1 เมล็ด[1],[2]

หมายเหตุ : ต้นมะม่วงหัวแมงวันยังมีอีกสปีชีส์หนึ่งที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Buchanania lanzan Spreng. จะมีลักษณะของต้นและสรรพคุณทางยาที่คล้ายกัน สามารถที่จะนำมาใช้แทนกันได้

สรรพคุณของมะม่วงแมงวัน

1. ยางและราก เอามาบดเป็นยาแก้โรคท้องร่วง (ยางและราก)[1],[2],[3]
2. เมล็ดเอามาสกัดเอาน้ำมันไปทำพวกเคมีภัณฑ์ และทำเป็นยาแก้โรคผิวหนัง (เมล็ด)[1],[2],[3,[4]]
3. หลายส่วนของต้นชนิด Buchanania lanzan Spreng. นำมาใช้เป็นยารักษาไข้ กามโรค โรคผิวหนัง และรักษาอาการจากการโดนงูและแมลงป่องกัด อีกทั้งยังมีฤทธิ์ป้องกันแบคทีเรีย[3]
4. เปลือกต้น (Buchanania lanzan Spreng.) นำเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการอักเสบจากพืชที่เป็นพิษได้ (ข้อมูลจาก : หนังสือไม้ป่ายืนต้นของไทย 1, หน้า 402 (เอื้อมพร วีสมหมาย, ปณิธาน แก้วดวงเทียม))

ประโยชน์ของต้นหัวแมงวัน

1. ผลมีรสชาติหวานรับประทานได้ แต่ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในลำคอได้ เพราะมียางคล้ายในพวกมะม่วงทั่วไป[2],[3],[4]
2. ยางและรากทำสีย้อมผ้า และสีพิมพ์ผ้า[2],[3]
3. เนื้อไม้มีสีน้ำตาลปนเทา นำมาใช้ทำลังใส่สิ่งของ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน หรือใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ทำประตู หน้าต่าง เสา รั้ว เป็นต้น[2],[3],[4]
4. กิ่งก้านใช้ทำฟืน นำไปเผาทำถ่าน หรือทำกระสวย ใช้ในการทอผ้าก็ได้เช่นกัน[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “มะ ม่วง หัว แมง วัน”. หน้า 123.
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “มะม่วงหัวแมงวัน”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [02 พ.ย. 2014].
3. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “มะม่วง หัวแมงวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [02 พ.ย. 2014].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “มะม่วงหัวแมงวัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [02 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://commons.wikimedia.org/
2.https://www.plantslive.in/product/

มะพอก สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง

0
มะพอก
มะพอก สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง ผลจะมีสีน้ำตาลและมีจุดประสีขาว ผิวผลหยาบฉ่ำน้ำ เนื้อชุ่มบาง ชั้นในมีขนขึ้นหนา เนื้อในแข็ง ออกเป็นช่อ เนื้อในเมล็ดมีรสมันคล้ายกับถั่ว
มะพอก
ผลมีสีน้ำตาลและมีจุดประสีขาว ผิวผลหยาบฉ่ำน้ำ เนื้อชุ่มบาง ชั้นในมีขนขึ้นหนา เนื้อในแข็ง ออกเป็นช่อ

มะพอก

มะพอก เป็นไม้ยืนต้นที่เขียวชอุ่มตลอดปีพบได้ในป่าดิบและป่าเต็งรังผลสามารถรับประทาน ซึ่งมีชื่อเรียกท้องถิ่น คือ มะคลอก (ภาคเหนือ) ประดงลวด (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) กะทอนโลก (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) นอกจากนั้นพรรณไม้ชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Parinari anamensis Hance จัดอยู่ในวงศ์ (CHRYSOBALANACEAE) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เมล็ดมีน้ำมันสำหรับใช้เคลือบเครื่องเงิน ใช้ทำร่มกระดาษ ใช้ทำสบู่ และเนื้อไม้มีความแข็งแรงเหมาะสำหรับทำที่พักอาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จัด จั๊ด (ลำปาง), พอก (อุบลราชธานี), มะคลอก (สุโขทัย, อุตรดิตถ์), หมักมอก (พิษณุโลก), ประดงไฟ ประดงเลือด (ราชบุรี), กระท้อนลอก (ตราด), ท่าลอก (พิษณุโลก, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์), หมากรอก (ประจวบคีรีขันธ์), มะมื่อ หมักมื่อ (ภาคเหนือ), ตะเลาะ เหลอะ (ส่วย สุรินทร์), ตะลอก, ตะโลก เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของมะพอก

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ไม่มีการผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นมีลักษณะสูงตรง ปลายกิ่งมักจะเอนลงมา ตามกิ่งอ่อนมีขนเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล เปลือกต้นค่อนข้างหนามีสีน้ำตาลปนเทา เปลือกเรียบ แตกเป็นสะเก็ดถี่ ๆ หรือแตกเป็นร่องลึกลงไป สามารถลอกหลุดได้ จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถพบขึ้นทั่วไปตามป่าดิบ ป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ ป่าผสม ป่าเต็งรัง และตามป่าเบญจพรรณ ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค แต่ยกเว้นทางภาคใต้ ที่ความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 1,500 เมตร และในต่างประเทศพบได้ที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว มีการออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายใบมนหยักและมีติ่งแหลม โคนใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบจะเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเป็นสีเขียว ตรงท้องใบเหลือบขาวเด่นชัดและมีขนละเอียดด้านล่างสีขาวแกมน้ำตาล หลังใบอ่อนมีขนสาก ๆ ส่วนใบแก่ค่อนข้างเกลี้ยง ไม่มีขน เส้นใบข้างตรงและขนานกันมี 12-15 คู่ เส้น ด้านบนใบจะนูน ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร และมักมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ 2 ต่อม [1],[2]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตรงปลายกิ่ง มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ก้านช่อมีขนเป็นสีน้ำตาลอมส้มขึ้นอยู่หนา ดอกเป็นสีขาวขนาดค่อนข้างเล็ก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ อยู่ กลีบดอกมี 5 กลีบ และแยกออกจากกันอย่างอิสระ ยาวพอ ๆ กับกลีบเลี้ยง ก้านดอกมีขนาดที่สั้นมาก กลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉกแหลม ขนาดไม่ได้เท่ากัน ขนาดประมาณ 0.3-0.4 เซนติเมตร สีขาวปนเหลือง ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 5-12 อัน ขนาดไม่เท่ากัน ส่วนก้านเกสรเพศเมียติดที่ฐานของรังไข่ ขนาดยาวเท่ากับเกสรเพศผู้ รังไข่จะมีขนขึ้นหนา เชื่อมกับชั้นกลีบเลี้ยงด้านหนึ่ง ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[1],[2]
  • ผล เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปทรงค่อนข้างจะกลม กลมรีเหมือนไข่ หรืออาจจะเป็นรูปกระสวย มีความกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ผลจะมีสีน้ำตาลและมีจุดประสีขาว ผิวผลค่อนข้างหยาบ ผิวฉ่ำน้ำเนื้อชุ่มบาง ชั้นในมีขนขึ้นหนา เนื้อในแข็ง เมล็ดเดี่ยวโต ลักษณะค่อนข้างแข็ง ออกเป็นช่อประมาณ 3-15 ผล ผลจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2]

สรรพคุณของมะพอก

1. เปลือกต้น สามารถใช้เป็นยาประคบแก้อาการช้ำใน แก้ปวดบวม (เปลือกต้น)[1],[2]
1.1 นำเปลือกต้นไปอุ่นไอน้ำร้อนใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำ (เปลือกต้น)[2]
2แก่น ตำรายาพื้นบ้านจะใช้แก่นผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หืด (แก่น)[1],[2]
2.1 ตำรายาไทยจะใช้แก่น นำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย) แก้ผื่นคันทั่วตัว ปวดแสบปวดร้อน มีน้ำเหลืองไหลซึม (แก่น)[1],[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

เปลือกต้นเมื่อนำมาทำการสกัดด้วยเทคนิคแบบ Sequential Extraction โดยการหมักแบบ Maceration ด้วยตัวทำละลายอินทรีย์เรียงจากตัวทำละลายที่มีขั้วต่ำไปสูง คือ เฮกเซน เอทิลอะซิเตต และเมทานอล ตามลำดับ และนำสารสกัดไปกรองและระเหยแยกตัวทำละลายออกด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศแบบหมุนจะได้สารสกัดหยาบ และนำสารสกัดหยาบที่ได้ทดลองสอบฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย (Plasmodium falciparum) สายพันธุ์ K1 ด้วยวิธี Microculture Radioisotope Technique ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นที่สกัดด้วยตัวทำละลายที่เป็นเฮกเซนมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย โดยมีค่า IC50 เท่ากัน 3.25 µg/ml ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นการยืนยันฤทธิ์ทางชีวภาพด้านการออกฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาเพื่อผลิตเป็นยาต่อไปได้ (ข้อมูลจาก : ผู้ช่วยศาสตราจารย์อุดมเดชา พลเยี่ยม)

ประโยชน์ของมะพอก

1. เนื้อในเมล็ดมีรสมันคล้ายกับถั่ว สามารถรับประทานได้ เมื่อกะเทาะเปลือกหุ้มเมล็ดจะพบข้างในมีปุยสีน้ำตาลคล้ายปุยฝ้ายหุ้มเมล็ดอยู่ กระแต กระรอก จะชอบกินเมล็ดใน[2]
2. เนื้อผลสุกรอบ ๆ เมล็ด มีรสหวานหอม สามารถรับประทานได้[2] ชาวบ้านจะใช้เนื้อของผลสุกนำมาบดผสมกับแป้งและน้ำตาล ทำเป็นขนมหวานนำมารับประทาน ซึ่งจะมีกลิ่นหอมเฉพาะในปัจจุบันมีคนรับประทานกันน้อย แต่ก็ยังมีคนรับประทานอยู่บ้าง
3. เนื้อไม้ กระพี้สีเหลืองอ่อน แก่นสีชมพูเรื่อ ๆ เนื้อค่อนข้างจะละเอียด สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้[3]
4. เมล็ด สามารถนำมาสกัดเอาน้ำมันใช้ทำเป็นน้ำมันหมึกพิมพ์และน้ำมันหล่อลื่นได้[2] น้ำมันจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ทาเครื่องเขินให้เป็นเงา ทากระดาษร่มกันน้ำซึม ใช้เคลือบธนบัตรให้มีความทนทานเป็นเงาและเนื้อกระดาษไม่ติดกัน[3] มีบางข้อมูลระบุไว้ว่า น้ำมันจากเมล็ดมีคุณสมบัติในการใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ค่อนข้างจะดี และยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำมันชักเงาและเครื่องสำอางได้อีกด้วย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “มะพอก”. หน้า 122.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะพอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [03 พ.ย. 2014].
พรรณไม้สวนรุกขชาติห้างฉัตร. “มะพอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : lampang.dnp.go.th/Departments/Techical_Group/plant.pdff. [03 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.phakhaolao.la/en/
2.https://eva.vn/tin-tuc/

มะม่วงหิมพานต์ ผลไม้เนื้อนิ่มหวานฉ่ำราชาแห่งเมล็ดพืช

0
มะม่วงหิมพานต์
มะม่วงหิมพานต์ ผลไม้เนื้อนิ่มหวานฉ่ำราชาแห่งเมล็ดพืช ผลคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์เป็นพวงห้อย เนื้อผลฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม เม็ดผลเปลือกแข็งคล้ายกับรูปไต
มะม่วงหิมพานต์
ผลไม้เนื้อนิ่มหวานฉ่ำราชาแห่งเมล็ดพืช ผลคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์เป็นพวงห้อย เนื้อผลฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม เม็ดผลเปลือกแข็งคล้ายกับรูปไต

มะม่วงหิมพานต์

มะม่วงหิมพานต์ (Cashew, Cashew nut) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Anacardium occidentale L. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วงกุลา มะม่วงลังกา มะม่วงหยอด มะม่วงสินหน (ภาคเหนือ), มะม่วงสิโห (เชียงใหม่), มะโห (แม่ฮ่องสอน), มะม่วงกาสอ (อุตรดิตถ์), มะม่วงเล็ดล่อ มะม่วงยางหุบ (ระนอง), กายี (ตรัง), ส้มม่วงทูนหน่วย มะม่วงทูนหน่วย (สุราษฎร์ธานี), กะแตแก (นราธิวาส), นายอ (ยะละ), ยาโงย ยาร่วง (ปัตตานี), มะม่วงหิมพานต์ มะม่วงไม่รู้หาว (ภาคกลาง), กาหยู กาหยี ม่วงเม็ดล่อ ม่วงเล็ดล่อ หัวครก ท้ายล่อ ตำหนาว ส้มม่วงชูหน่วย (ภาคใต้) เป็นต้น

ลักษณะของมะม่วงหิมพานต์

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีความสูงโดยเฉลี่ย 6 เมตร (สามารถสูงได้ถึง 12 เมตร) ลำต้นมีเนื้อไม้ที่แข็ง มีกิ่งแขนงแตกออกไปเป็นพุ่มแน่นทรงกลมถึงแบบกระจาย มีเปลือกหนา และผิวเรียบเป็นสีน้ำตาลเทา ในบ้านเราสามารถพบได้ทั่วไปในภาคใต้
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนกัน ใบมีลักษณะหนาผิวเกลี้ยงเหมือนกับแผ่นหนัง ใบคล้ายรูปไข่กลับหัวถึงรูปรีกว้าง ปลายใบกลม โคนใบนั้นแหลม เนื้อใบมีกลิ่นหอม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร
  • ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ดอกเป็นสีขาวถึงสีเหลืองนวล และจะเปลี่ยนสีไปเป็นสีชมพู ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก และมีกลีบเลี้ยงสีเขียวขนาดเล็ก โคนดอกเชื่อมติดกัน ดอกหนึ่งมีปลายแยกเป็นกลีบอยู่ 5 กลีบ ปลายดอกแหลมเรียว ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 8-10 อัน หลังจากที่ดอกร่วงแล้วจะติดผล
  • ผล มีลักษณะคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์ ผลเป็นพวงห้อยลงมา ขนาดผลยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร เนื้อผลมีความฉ่ำน้ำและมีกลิ่นหอม ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมชมพู แต่เมื่อผลสุกแล้วนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดง ที่ปลายผลนั้นมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะคล้ายรูปไต เปลือกนอกมีผิวที่แข็ง และมีขนาดยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีสีเป็นสีน้ำตาลอมเทา
  • เม็ดผลมีเปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียวลักษณะคล้ายกับรูปไต หรือคล้ายคลึงกับนวมของนักมวย มีสีเป็นสีน้ำตาลปนเทา ข้างในผลมีเมล็ดคล้ายรูปไต

สรรพคุณของมะม่วงหิมพานต์

1. แพทย์ในประเทศอินเดียใช้เมล็ดเลี้ยงเด็กทารกที่อายุเกิน 6 ขวบ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้รวดเร็วและแข็งแรง
2. เม็ดอุดมไปด้วยธาตุทองแดง จึงมีฤทธิ์ช่วยบำรุงเส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างดี
3. เม็ด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดได้
4. การวิจัยในประเทศบราซิลและอินเดียพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นและสารสกัดจากส่วนเหนือดินของต้นนั้น สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
5. เมล็ดนั้นมีกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับทรวงอกได้
6. แมกนีเซียมในเม็ด ช่วยลดความดันโลหิตได้
7. เม็ด มีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
8. เม็ด มีธาตุแมกนีเซียมในปริมาณที่สูง จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือก สุขภาพฟัน และกระดูกให้แข็งแรงได้
9. การรับประทานเม็ด เป็นประจำนั้นจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
10. เมล็ดมีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่มาก จึงมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันตับ และแถมยังไม่ให้มีการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป จึงไม่ทำให้อ้วน
11. เม็ด มีแมกนีเซียมที่สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้จะช่วยในเรื่องการทำงานของหัวใจ และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน แถมยังช่วยป้องกันอาการหมดเรี่ยวแรงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
12. ช่วยรักษาโรคฟันผุ บรรเทาอาการเสียวฟันหรือปวดฟันได้ เนื่องจากเม็ดมีกรดอนาร์ดิกที่มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของโรคฟันผุได้ แต่อย่างไรก็ดี การแปรงฟันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากกรดชนิดนี้จะออกฤทธิ์เพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น (ชาร์ลส์ เวเบอร์ นักวิทยาศาสตร์จากนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา)
13. กรดอนาร์ดิกในเม็ดสามารถนำไปประยุกต์ใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้ เช่น วัณโรค โรคเรื้อน กำจัดเชื้อโรคที่พบในสิว เป็นต้น (ชาร์ลส์ เวเบอร์ นักวิทยาศาสตร์จากนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา)
14. ใช้ช่วยแก้อาการเลือดออกตามไรฟัน (ยางจากต้น)
15. สามารถช่วยแก้อาการปวดฟัน และใช้กลั้วคอล้างปากได้ (เปลือกต้น)
16. ใบสดถ้านำมาเผาไฟแล้วสูดดมควันเข้าไปจะช่วยรักษาและบรรเทาอาการไอ อาการเจ็บคอได้ (ใบสด)
17. ชาวโบลีเวียเชื่อกันว่าน้ำจากผลสามารถช่วยกระตุ้นสมองทำให้มีความทรงจำที่ดีขึ้น (ผล)
18. มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคประสาทพิการ และช่วยแก้โรคปวดตามข้อได้อีกด้วย (ผล)
19. ช่วยในการลดไข้ (ผล, ใบ)
20. สามารถแก้อาเจียน และรักษาแผลในช่องปากได้ (น้ำจากผล)
21. รากมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องร่วงและเป็นยาฝาดสมาน (ราก)
22. ใช้ช่วยบรรเทาอาการท้องร่วง (ยอด, ใบ)
23. ในประเทศบราซิลนิยมนำผลมาทำเป็นไวน์ เพราะมีความเชื่อว่ามันสามารถช่วยรักษาโรคบิดเรื้อรังได้ (ผล)
24. มีฤทธิ์ช่วยในการขับเหงื่อ (น้ำจากผล)
25. เมล็ดสามารถนำมาคั่วโรยเกลือรับประทานเป็นยาแก้อาการบวมน้ำได้ (เมล็ดคั่ว)
26. การรับประทานเม็ด ช่วยในการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี (เมล็ด)
27. ใบยอดอ่อนมีสรรพคุณช่วยในการสมานแผลในลำไส้ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และบรรเทาอาการของโรคท้องร่วงได้ (ใบ)
28. น้ำคั้นจากผลสามารถใช้ดื่มเป็นยาขับปัสสาวะได้ (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม) (น้ำคั้นจากผล, เมล็ดคั่ว)
29. เปลือกต้นนำมาใช้รักษาโรคผิวหนังพุพอง และกามโรคเข้าข้อได้ (เปลือกต้น)
30. เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ปวดเนื่องจากรำมะนาด (เปลือกต้น)
31. สามารถใช้เป็นยารักษาหูด โดยการใช้ยางจากผลสดที่ยังไม่สุก 1 ผล เด็ดออกมาใหม่ ๆ แล้วใช้ยางทาตรงบริเวณที่เป็นหูด ใช้ทาเป็นประจำจนกว่าจะหาย (ยางจากผลสด, ยางจากต้น)
32. มีฤทธิ์ในการช่วยทำลายตาปลา ช่วยกัดทำลายเนื้อด้านที่เป็นปุ่มโตหรือโรคเท้าแตกได้ โดยการใช้ยางจากต้นสด ๆ ทาบริเวณที่เป็นตาปลาหรือเนื้อด้านบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย (ยางจากต้น)
33. เมล็ดนั้นใช้ผสมเป็นยารับประทาน ช่วยแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน โรคเรื้อน ทำให้หนังชา (เมล็ด, น้ำมันจากเมล็ด)
34. การรับประทานเม็ดช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนิ่วได้ (เมล็ด)
35. มีฤทธิ์ในการช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงได้ (ใบ)
36. สามารถช่วยต้านกามโรคได้ (น้ำจากผล)
37. น้ำมันสกัดจากเมล็ดมีสรรพคุณใช้เป็นพิษต้านเชื้อจุลินทรีย์ได้ โดยเฉพาะเชื้อหนองชนิด Staphylococus (การสูดดมน้ำมันชนิดนี้อาจทำให้เกิดการระคายเคือง เนื่องจากมีพิษรุนแรง และควรระมัดระวังเมื่อต้องใช้กับเด็ก)
38. สามารถช่วยรักษาแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวกได้ โดยการนำใบแก่มาบดใส่บริเวณที่เป็นแผล (ใบแก่)

ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์

1. เม็ด มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ดีเลยทีเดียว
2. ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
3. เม็ดสามารถรักษารูปร่างให้สมส่วนได้ เพราะมีเส้นใยอาหารที่สูง จึงช่วยลดการดูดซึมไขมันได้ดี
4. ผล มีเนื้อที่นิ่ม ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว สามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้สดได้ ทั้งผลดิบและผลสุก
5. ผลห่าม ทางภาคใต้ของไทยนิยมนำมาใช้ทำแกงส้มหรือใช้ยำ
6. ผลดิบ ใช้รับประทานร่วมกับเกลือเป็นของทานเล่นได้
7. ช่วยทำให้ท้องอิ่มนานขึ้นและรับประทานอาหารได้ ในปริมาณที่น้อยลงอีกด้วย (แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม)
8. เป็นผลไม้ที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเนื่องจากว่าเป็นผลไม้ที่มีสารพิวรีนน้อยหรือไม่มีเลยนั่นเอง
9. เมล็ด นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารว่าง และยังเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกของประเทศอินเดีย เวียดนาม และบราซิลอีกด้วย (90% ของการส่งออกทั่วโลกมาจากสามประเทศนี้)
10. ผลสุกสามารถนำไปหมักทำเป็นไวน์ ทำเป็นน้ำส้มสายชู หรือเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ได้
11. เมล็ดสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเมนูเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แหนมผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เต้าหู้ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขนมจีนผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
12. ยางจากเปลือกของเมล็ด ควาญช้างในประเทศอินเดียมักจะนำมาใช้เพื่อคุมช้างให้เชื่อง
13. ยางจากลำต้นนั้น สามารถนำมาทาบ้านกันปลวกได้
14. เปลือกต้นหรือเปลือกเมล็ด นั้นมีประโยชน์ที่หลากหลายอย่างในด้านของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น สามารถนำไปทำเป็นผ้าเบรค และแผ่นคลัชได้ ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดสีได้สูง หรือสามารถนำมาใช้ทำฉนวนป้องกันไฟฟ้าแมกนิเตอร์เมเตอร์ นำมาใช้ทำน้ำประสานในการบัดกรีโลหะ น้ำมันชักเงาสำหรับใช้ในเครื่องบิน สามารถใช้ผสมทำน้ำหมึก ทำหมึกประทับตราผ้า ทำเป็นลูกกลิ้งยางพิมพ์ดีด นำมาทำกาว ใช้ย้อมอวนให้ทนทาน ทำเป็นผลิตภัณฑ์ปูพื้น ใช้ในการผสมปูนซีเมนต์ทำให้เหนียวขึ้นได้ ใช้กำจัดตัวอ่อนของยุงด้วยการนำไปผสมกับพาราฟินเหลว ผลิตภัณฑ์ทาไม้ป้องกันปลวก ยาฆ่าแมลงและปลวก เป็นต้น
15. ใบอ่อน และยอดอ่อนนั้น สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก หรือแกงเผ็ด ลาบ ก้อย ขนมจีนน้ำยาได้
16. ใบแก่นั้นสามารถนำมาขยี้และใช้สีฟันได้
17. ไม้จากลำต้นเป็นไม้ที่เนื้ออ่อนและมีขนาดเล็ก จึงเหมาะที่จะนำไปใช้ทำลังไม้ หรือหีบใส่ของ ใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ใช้ในการต่อเรือ ใช้ทำเรือเอก แอกเทียม วัวเทียมควายเทียม คุมล้อเกวียน และยังสามารถนำไปทำเป็นฟืนและถ่านได้อีกด้วย
18. เยื่อหุ้มเมล็ดถ้ามีในปริมาณที่มาก อาจใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแทนนิน ที่ใช้กันในอุตสาหกรรมฟอกหนังได้
19. ประโยชน์ของเปลือกเมล็ดที่สกัดเป็นน้ำมันแล้วนั้น ในด้านทางการแพทย์สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเหน็บชา วัณโรค โรคเท้าช้าง โรคเลือดคั่ง โรคเรื้อน โรคผิวหนัง หูด ตาปลา และส้นเท้าแตกได้
20. ผลนั้นสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น แยม ผลไม้กวน เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ ไวน์ และน้ำส้มสายชู เป็นต้น
21. เปลือกเมล็ด สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านความงามได้ เช่น ใช้ลอกหน้าที่เกิดจากการตกกระ (แต่อาจจะส่งผลเสียได้) เป็นต้น
22. ผล มีกลิ่นต่าง ๆ ถึง 20 กลิ่น เพราะเหตุนี้จึงสามารถนำมาสกัดทำเป็นหัวน้ำหอมได้
23. ผลนอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้แล้ว ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารสัตว์ของโค และกระบือ ได้อีกด้วย
24. เมล็ดนั้นสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น อบเกลือ คั่ว อบเนย อบน้ำผึ้ง เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเม็ดดิบ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 30.19 กรัม
แป้ง 23.49 กรัม
น้ำตาล 5.91 กรัม
เส้นใย 3.3 กรัม
ไขมัน 43.85 กรัม
กรดไขมันอิ่มตัว 7.78 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 23.8 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 7.85 กรัม
โปรตีน 18.22 กรัม
น้ำ 5.2 กรัม
วิตามินบี 1 0.42 มิลลิกรัม 37%
วิตามินบี 2 0.6 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 3 1.06 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 5 0.86 มิลลิกรัม 17%
วิตามินบี 6 0.42 มิลลิกรัม 32%
วิตามินบี 9 25 ไมโครกรัม 6%
วิตามินซี 0.5 มิลลิกรัม 1%
วิตามินอี 0.9 มิลลิกรัม 6%
แคลเซียม 37 มิลลิกรัม 4%
ธาตุเหล็ก 6.68 มิลลิกรัม 51%
แมกนีเซียม 292 มิลลิกรัม 82%
แมงกานีส 1.655 มิลลิกรัม 79%
ฟอสฟอรัส 593 มิลลิกรัม 85%
โพแทสเซียม 660 มิลลิกรัม 14%
โซเดียม 12 มิลลิกรัม 1%
สังกะสี 5.78 มิลลิกรัม 61%
ทองแดง 2.195 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 19.9 มิลลิกรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คำแนะนำในการรับประทาน

1. เม็ดมีน้ำมันมากและให้พลังงานที่สูง ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือครั้งหนึ่งไม่ควรรับประทานเกิน 10 เม็ด (แต่ถ้าอยากรู้ว่าพลังงานเยอะแค่ไหน ให้ลองใช้ไฟจุดดู จะเห็นไฟลุกเป็นเปลว และถ้ายิ่งนำไปอบหรือทอดเนยก็จะมีพลังงานที่มากขึ้นไปอีก)
2. ใช่ว่าจะมีแต่ถั่วลิสงที่มีสารอะฟลาทอกซินอย่างเดียว ในเมล็ดอาจจะมีปนเปื้อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรจะเลือกบริโภคเมล็ดที่สะอาด ปิดมิดชิด และไม่ได้ถูกเก็บไว้นานจนเกินไป มีเลขทะเบียน อย. ที่ถูกต้อง หรือผ่านการผลิตด้วยระบบ GMP/HACCP
3. สำหรับบางรายที่รับประทานเม็ดแล้วมีอาการแพ้เกิดขึ้น โดยมีอาการ ดังนี้ เกิดอาการบวมที่ใบหน้า และลำคอ มีผดผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียนหรือท้องเสีย ถ้ามีอาการดังกล่าวที่ว่ามาข้างต้นควรที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทาน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ (มหาวิทยาลัยมหิดล), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, www.cashewthai.com

อ้างอิงรูปจาก
1. https://tirolplantas.com/product/caju-130m-a-160m-pote/
2. https://picclick.fr/

มะยมต้นไม้ชื่อมงคล สารพัดประโยชน์ที่น่าสนใจ

0
มะยมต้นไม้ชื่อมงคล สารพัดประโยชน์ที่น่าสนใจ ผลไม้รสเปรี้ยว อ่อนผลจะเป็นสีเขียว ผลแก่แล้วจะเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อมีความฉ่ำน้ำ
มะยม
ผลไม้รสเปรี้ยว อ่อนผลจะเป็นสีเขียว ผลแก่แล้วจะเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อมีความฉ่ำน้ำ

มะยม

มะยม (Star gooseberry) เป็นผลไม้รสเปรี้ยวเมื่อผลเริ่มแก่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งแบบดิบหรือจะนำมาแปรรูป เช่น เชื่อม ดอง แช่อิ่ม ออกผลในช่วงฤดูฝน นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรพื้นบ้านทั้ง เปลือก ราก ผล และดอก ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งผลไม้ชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phyllanthus acidus (L.) Skeels จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หมากยม หมักยม (ภาคอีสาน), ยม (ภาคใต้) เป็นต้น

ลักษณะของมะยม

  • ต้น ไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง เปลือกของลำต้นมีลักษณะขรุขระ มีสีเป็นสีเทาปนน้ำตาล
  • ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงสลับกันเป็น 2 แถว
  • ดอก ต้นตัวผู้จะออกดอกเต็มต้นแต่ไม่ติดลูก ส่วนต้นมะยมตัวเมียนั้นจะมีดอกที่น้อยกว่า ในทางการแพทย์นั้นจะนิยมใช้มะยมตัวผู้เป็นหลักทั้งในส่วนของใบและราก เพราะมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูงกว่ามะยมตัวเมีย
  • ผล เมื่ออ่อนผลจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลแก่แล้วจะเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อมีความฉ่ำน้ำเป็นอย่างมาก ในผลมีเมล็ดกลม ๆ 1 เมล็ด เป็นสีน้ำตาล ในส่วนของรสชาตินั้นจะมีรสหวานอมฝาด

ข้อควรระวัง : น้ำยางจากเปลือกของรากมะยมนั้นจะมีพิษเล็กน้อย หากรับประทานเข้าไปอาจมีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ และมีอาการง่วงซึมได้ ควรระวังน้ำยางจากเปลือกรากให้ดี

สำหรับความเชื่อในตำราพรหมชาติฉบับหลวง ระบุเอาไว้ว่า ถ้าปลูกในทางทิศตะวันตกจะช่วยป้องกันสิ่งไม่ดีไม่ให้มากล้ำกรายได้ และเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้มงคลนาม ซึ่งคล้ายกับคำว่า “นิยม” ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ปลูกจะมีเมตตามหานิยม

ประโยชน์ของมะยม

1. ผลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่ จึงช่วยในการชะลอวัยและความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้
2. ผลมีฤทธิ์ช่วยในการดับร้อนและปรับสมดุลในร่างกายได้
3. สามารถใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้ผลแก่นำมาดองในน้ำเชื่อมเป็นเวลา 3 วัน (การผสม : น้ำ 1 ส่วน ต่อ น้ำตาล 3 ส่วน) จากนั้นก็นำมารับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
4. มีฤทธิ์ช่วยในการแก้ไข้ (ราก)
5. ช่วยต้านหวัดได้ เพราะมีวิตามินซีสูง
6. ผลมีฤทธิ์กัดเสมหะ และดับพิษเสมหะได้ ด้วยการรับประทานผลแบบสุกหรือแบบดิบก็ได้เช่นเดียวกัน
7. ช่วยในการบำรุงโลหิต โดยการใช้ผลแก่นำมาดองในน้ำเชื่อมจนครบ 3 วัน (น้ำ 1 ส่วน / น้ำตาล 3 ส่วน) แล้วนำมารับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
8. ดอกสดนำมาต้มกรองเอาแต่น้ำสามารถใช้แก้โรคตา ชำระล้างดวงตาได้ (เป็นสูตรในสมัยโบราณ ในปัจจุบันไม่ขอแนะนำให้ทำ)
9. มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ด้วยการใช้เปลือกต้นนำเอามาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกของลำต้น)
10. ผลสามารถใช้เป็นยาระบายได้
11. สามารถใช้แก้น้ำเหลืองเสียให้แห้งได้ (ราก)
12. สามารถใช้ช่วยรักษาเม็ดผดผื่นคันหรือแก้โรคประดง (โรคผื่นคันตามผิวหนัง) ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กิโลกรัมนำมาต้มกับน้ำ 10 ลิตร ต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไว้ให้อุ่นจากนั้นก็นำมาอาบ และควรทำควบคู่ไปกับการใช้รากที่ฝนกับน้ำซาวข้าวทาบริเวณที่เป็นผดผื่นคัน (ราก)
13. นิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด และได้มีการนำมาประกอบอาหาร เช่น ใช้ทำส้มตำ ส่วนของยอดอ่อนก็นำมาใช้รับประทานเป็นผักสดทานกับน้ำพริก ลาบ ขนมจีน ส้มตำ
14. ใช้ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ (ราก)
15. ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคไขข้ออักเสบ ด้วยการนำผลมาตำรวมกับพริกไทยแล้วพอกบริเวณที่ปวด
16. สามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลาย เช่น แช่อิ่ม ดอง เชื่อม น้ำผลไม้ แยม กวน หรือจะนำมาใช้ทำเป็นน้ำส้มสายชูก็ได้เช่นกัน

สรรพคุณของมะยม

1. ใบ สามารถแก้เบาหวานได้ ด้วยการใช้ใบสดและรากใบเตยพอประมาณนำมาใส่หม้อ เติมน้ำแล้วต้มเอาน้ำมาดื่ม ซึ่งจะช่วยในการไปกระตุ้นตับอ่อนให้แข็งแรง และสามารถผลิตน้ำตาลในภาวะที่สมดุลโดยไม่ต้องพึ่งอินซูลินจากภายนอกได้อีกด้วย
2. มีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการใช้ใบแก่พร้อมก้านประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่ในหม้อเติมน้ำให้พอท่วม จากนั้นใส่น้ำตาลเล็กน้อยเพื่อดับรสเฝื่อน แล้วต้มให้เดือดประมาณ 5 นาที จากนั้นนำมาดื่มจนความดันเป็นปกติแล้วจึงหยุดรับประทาน (ส่วนท่านใดที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้วไม่ควรหยุดยาที่แพทย์ให้รับประทาน)
3. ใบมีส่วนช่วยบำรุงประสาท
4. ใบ ช่วยรักษาโรคอีสุกอีใสได้ โดยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วนำมาอาบ
5. ใบสามารถนำมาใช้ต้มน้ำอาบแก้พิษคันได้
6. สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียวได้
7. นำมาทำเป็นอาหารได้
8. ใบ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ใบแก่รวมก้าน 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลกรวดพอประมาณไม่ให้หวานมาก ต้มจนเดือด ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น
9. มีฤทธิ์แก้ไข้เหือด ไข้หัด โดยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วนำมาอาบ
10. ใบสามารถช่วยแก้สำแดงได้
11. ใช้ช่วยทำให้ผู้ที่มีอาการติดเหล้า สามารถเลิกเหล้าได้โดยเด็ดขาด ด้วยการใช้รากมะยมตัวผู้ นำมาสับเป็นชิ้นบาง ๆ จำนวน 10 ชิ้น ชิ้นละ 2 ข้อมือ จากนั้นก็นำไปย่างไฟก่อน แล้วเอามาตากแดด 3 แดด แล้วจึงนำไปดองในเหล้าขาวพอท่วมยาประมาณ 5 วัน แล้วนำมาดื่ม ยิ่งช่วงกำลังเมาจะยิ่งออกฤทธิ์ได้ดี เมื่อดื่มไปได้ไม่ถึงครึ่งแก้ว จะคลุ้มคลั่งและอาเจียนออกมา ซึ่งช่วงนี้ให้ระวังเอาไว้ให้มาก เพราะอาจจะดิ้นคลุ้มคลั่งมีอาการประสาทหลอนกันเป็นพักใหญ่ ต้องหาคนมาช่วยกันจับไว้ ถ้าหมดช่วงนี้ไปได้แล้วละก็จะเป็นปกติ และไม่อยากดื่มเหล้าอีกเลย (อ้างอิง : คุณจำรัส เซ็นนิล, คุณสมจิต คำน้อย )

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (นิดดา หงส์วิวัฒน์, ทวีทอง หงส์วิวัฒน์), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/

มะพลับ ไม้มงคลนิยมปลูกไว้ในบ้านเพื่อเรียกทรัพย์

0
มะพลับ
มะพลับ กับสรรพคุณและประโยชน์รู้ไว้ติดตัว ดอกเดี่ยวสีเหลือง ผลมีกลีบเลี้ยงที่มีขนสีน้ำตาล ผลสุกหรือผลแก่สีส้มเหลืองค่อนข้างจะนุ่ม
มะพลับ
ดอกเดี่ยวสีเหลือง ผลมีกลีบเลี้ยงที่มีขนสีน้ำตาล ผลสุกหรือผลแก่สีส้มเหลืองค่อนข้างจะนุ่ม

มะพลับ

มะพลับ เป็นต้นไม้มีถิ่นกำเนิดมาจากในป่าดงดิบของประเทศไทย พบขึ้นในป่าที่ลุ่มต่ำบริเวณกันชนระหว่างป่าบกและป่าชายเลน ชายป่าพรุ บริเวณชายคลอง ป่าดิบใกล้แหล่งน้ำ ป่าละเมาะริมทะเล และตามเรือกสวนทั่วไป ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2-30 เมตร ในประเทศไทยสามารถพบได้ทางภาคใต้ ส่วนในต่างประเทศจะพบได้ในมาเลเซีย ชื่อสามัญ Bo tree, Sacred fig tree, Pipal tree, Peepul tree ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros malabarica var. siamensis (Hochr.) Phengklai (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Diospyros siamensis Hochr.) จัดอยู่ในวงศ์ (EBENACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขะนิง ถะยิง (นครราชสีมา), มะเขื่อเถื่อน (สกลนคร), ตะโกสวน ปลาบ (เพชรบุรี), ตะโกไทย (ภาคกลาง), ตะโกสวน พลับ มะพลับใหญ่ (ทั่วไปเรียก), มะสุลัวะ (ลำปาง-กะเหรี่ยง) เป็นต้น

ลักษณะของมะพลับ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความเปลาตรง มีความสูงได้ประมาณ 8-15 เมตร ทรงพุ่มกลมและทึบ เปลือกต้นเรียบ หรือบางทีแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ตามยาว มีสีเทาปนดำ ส่วนเนื้อไม้เป็นสีขาว สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยที่มีน้ำและความชื้นระดับกลาง และชอบแสงแดดจัด เป็นไม้ป่าดงดิบ
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอกกลับ ปลายใบแหลมทู่ โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 2.5-8 เซนติเมตรและความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเรียบและมัน ส่วนท้องใบเรียบและมีสีที่อ่อนกว่า มีขนขึ้นอยู่ประปรายตามเส้นกลางใบด้านล่าง โดยมีเส้นใบอยู่ประมาณ 6-12 คู่ แต่ละเส้นมีความคดงอไปมา ส่วนก้านใบมีความยาวอยู่ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และมีขนขึ้นอยู่ประปราย[1],[5]
  • ดอก เป็นดอกแบบแยกเพศและอยู่กันคนละต้น ดอกเพศผู้จะออกดอกแบบเป็นช่อสั้น ๆ และจะออกตามซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร และมีขนขึ้นอย่างหนาแน่น กลีบดอกมี 4-5 กลีบ มีความยาวประมาณ 7-15 มิลลิเมตร ส่วนดอกเพศเมียจะออกดอกเดี่ยว สีเหลือง ก้านดอกมีความยาวประมาณ 5-10 มิลลิเมตร และมีขน ส่วนที่โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกแบบตื้น ๆ และจะออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[3],[5]
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ที่โคนและปลายผลยุบเป็นรอยลึกลงไป มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ที่ขั้วของผลมีกลีบเลี้ยงที่มีขนสีน้ำตาลแผ่กว้างแนบอยู่กับส่วนล่างของผล ขอบกลีบเป็นรูปคลื่น กลีบไม่พับ ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือง ผลสุกหรือผลแก่ค่อนข้างจะนุ่ม ผิวของผลมีเกล็ดและเป็นสีน้ำตาลแดง เกล็ดเหล่านี้จะหลุดได้ง่ายมาก เมล็ดมี 8 เมล็ด เป็นสีน้ำตาลดำทรงรีแป้น มีความกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร โดยจะออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม[1],[2],[3],[5]

สรรพคุณของมะพลับ

1. เปลือกต้น มีรสฝาด สามารถใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุ (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
1.1 ใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยทำให้เจริญอาหาร (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
1.2 ช่วยขับผายลม (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
1.3 เปลือกต้น สามารถใช้เป็นยาทาสมานบาดแผลและช่วยห้ามเลือด (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
1.4 เปลือกต้น เมื่อนำมาย่างให้กรอบชงกับน้ำดื่ม จะเป็นยาแก้กามตายด้าน แก้ความกำหนัด บำรุงความกำหนัด (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
1.5 เปลือกต้น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[1],[2]
2. เปลือกต้น มีสรรพคุณเป็นยาลดไข้ (เปลือกต้น)[6]
3. เปลือกและผลอ่อน สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (เปลือกและผลอ่อน)[6]
4. เปลือกและผลแก่ มีรสฝาดหวาน สามารถใช้เป็นยารักษาแผลในปาก แก้คออักเสบ ด้วยการใช้เปลือกและผลแก่นำมาต้มเป็นยาอม กลั้วคอ (เปลือกและผลแก่)[6]
5. เปลือกและผลอ่อน สามารถนำมาต้มกับน้ำ ใช้เป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (เปลือกและผลอ่อน, ผลดิบ, เมล็ด)[6]
6. ผลดิบ สามารถใช้เป็นยาห้ามเลือดได้ หรือใช้เปลือกและผลอ่อนนำมาต้มเอาน้ำใช้ชะล้างบริเวณบาดแผล สมานแผล (เปลือกและผลอ่อน, เปลือกต้น, ผลดิบ)[6]

ประโยชน์ของมะพลับ

1. ผลแก่ สามารถใช้รับประทานได้[2]
2. เปลือกต้น ให้น้ำฝาดที่นำมาใช้สำหรับการฟอกหนัง[2]
3. เนื้อไม้นำมาใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องกลึง และใช้ในงานแกะสลักได้[2]
4. ยางของลูกจะมีสีน้ำตาล นำมาละลายกับน้ำใช้ย้อมผ้า แห และอวนเพื่อให้มีความทนทานเช่นเดียวกับตะโก แต่ยางจากลูกจะมีคุณภาพที่ดีกว่า และมีราคาดีกว่าลูกตะโกมาก จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของลูกตะโกมาปลอมขาย จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”[2]
4. ปลูกเพื่อใช้งานด้านภูมิทัศน์นั้น สามารถปลูกได้ตามริมน้ำ เพื่อให้ร่มเงาได้ดี เพราะเป็นไม้ที่ไม่มีการผลัดใบ[3]
5. เป็นไม้ที่ควรปลูกไว้ทางทิศใต้ แต่ยังยืนยันไม่ได้แน่ชัด แต่คาดว่าคงเป็นเพราะต้นเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืน ทนทานต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้าน เชื่อว่าจะทำให้มีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนดังต้นมะพลับ[6]
6. ในด้านของความเชื่อ คนไทยเชื่อว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ด้วยเชื่อว่าการปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้ร่ำรวยยิ่งขึ้น โดยให้ปลูกไว้ในทางทิศใต้[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ม ะ พ ลั บ (Ma Phlap)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 228.
2. สำนักงานสหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก. “ม ะ พ ลั บ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: webhost.cpd.go.th/plkcoop/download/b006.pdf. [17 พ.ค. 2014].
3. สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร. “ม ะ พ ลั บ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: minpininteraction.com. [17 พ.ค. 2014].
4. ศูนย์การเรียนคณิตศาสตร์ Online . “ต้นไม้ประจำจังหวัดอ่างทอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/mc41/. [17 พ.ค. 2014].
5. สถาบันการแพทย์แผนไทย. “ม ะ พ ลั บ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ittm-old.dtam.moph.go.th. [17 พ.ค. 2014].
6. สถาบันการแพทย์แผนไทย. “ตะโกสวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ittm-old.dtam.moph.go.th. [22 ธ.ค. 2014].