หญ้าลิ้นงู สรรพคุณรักษาตับอักเสบและการติดเชื้อไวรัส

0
หญ้าลิ้นงู
หญ้าลิ้นงู สรรพคุณรักษาตับอักเสบและการติดเชื้อไวรัส เป็นสมุนไพรไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อสีขาวหรือสีม่วง ผลเป็นรูปทรงกลมมีสันสี่มุม
หญ้าลิ้นงู
เป็นสมุนไพรไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อสีขาวหรือสีม่วง ผลเป็นรูปทรงกลมมีสันสี่มุม

หญ้าลิ้นงู

หญ้าลิ้นงู เป็นสมุนไพรไม้ล้มลุกขนาดเล็กลักษณะของดอกเป็นสีขาวหรือสีม่วง สมุนไพรชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษาตับอักเสบ การติดเชื้อไวรัส มะเร็ง สิว โรคตา โรคผิวหนัง และเลือดออก มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Oldenlandia corymbosa L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Hedyotis corymbosa (L.) Lam.) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ จุ่ยจี้เช่า จั่วจิเช่า (จีนแต้จิ๋ว), สุ่ยเฉียบฉ่าว สุ่ยเซี่ยนเฉ่า เสอเสอเฉ่า (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะของหญ้าลิ้นงู

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็กคลุมดิน
    – มีอายุได้ถึง 1 ปี
    – มีลำต้นเลื้อยยาวเป็นข้อ ๆ ประมาณ 6-10 นิ้ว
    – มียอดสูงประมาณ 15-50 เซนติเมตร
    – ลำต้นมีลักษณะเล็กยาว
    – เรียบเกลี้ยงเป็นเหลี่ยม
    – ระหว่างข้อมีร่องเล็ก ๆ ตามความยาวของลำต้น
    – แตกกิ่งก้านสาขาออกมาก
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
    – เติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
    – มีความอุดมสมบูรณ์
    – ชอบขึ้นตามที่ชื่นแฉะ
    – พบได้ในภูมิอากาศเขตร้อนถึงร้อนชื้นของประเทศในแถบแอฟริกา เอเชีย แคริบเบียน อเมริกา ออสเตรเลีย และแปซิฟิก
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปหอกเรียวแหลมขนาดเล็ก
    – มีความกว้าง 1.5-3.5 มิลลิเมตร และยาว 1.5-3 เซนติเมตร
    – หลังใบคดงอ
    – ขอบใบหยาบ
    – ไม่มีก้านใบ
    – มีหูใบขนาดเล็ก
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ช่อหนึ่งจะมีดอก 2-5 ดอก
    – แยกออกจากกันเป็นคู่ ๆ
    – โดยจะออกตามง่ามใบ
    – ช่อดอกยาวประมาณ 0.6-2 เซนติเมตร
    – ดอกมีสีขาวหรือสีแดงอ่อน
    – ดอกย่อยยาวประมาณ 2.5 มิลลิเมตร
    – แตกออกเป็นแฉก 4 แฉก
    – ด้านนอกมีขนปกคลุม
    – เป็นรูปกรวย
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน
    – มีรังไข่ 2 อัน
    – ก้านดอกยาว 0.6-2 เซนติเมตร
  • ลักษณะของผล[1],[2]
    – ผลมีเป็นรูปทรงกลม
    – มีสันสี่มุม
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 มิลลิเมตร
    – เปลือกนอกแข็งไม่แตก
    – ผลเมื่อแก่แล้วปลายผลจะแตกออก
    – มีเมล็ดขนาดเล็ก ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก เป็นเหลี่ยม ๆ

สรรพคุณของหญ้าลิ้นงู

  • ทั้งต้น ใช้ฆ่าพยาธิ[4],[5]
  • ทั้งต้น ช่วยปกป้องตับ[4],[5]
  • ทั้งต้น ช่วยขจัดสารพิษ[4],[5]
  • ชาวฟิลิปปินส์จะใช้หญ้าลิ้นงูนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยารักษาโรคกระเพาะ[4],[5]
  • ชาวอินโดนีเซียจะใช้หญ้าลิ้นงูนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยารักษาไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน[4],[5]
  • ประเทศจีน จะใช้หญ้าริ้นงูเป็นยารักษาเนื้องอกบางชนิด[4],[5]
  • ทั้งต้น นำต้นสดมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี ใช้เป็นยารักษาฝีปวดบวม[2]
  • ทั้งต้น นำหญ้าลิ้นงูประมาณ 20-40 กรัม มาต้มกับน้ำรับประทาน ใช้แก้ฝีในท้อง [2]
  • ทั้งต้น เป็นยาเย็นที่มีรสขม ออกฤทธิ์ต่อปอด ตับ และลำไส้ ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้[2]
  • ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำใช้ชะล้างแผลฝีบวม แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก[1],[2]
  • ลำต้นสด นำมาประมาณ 15-30 กรัม แล้วมาต้มเอาแต่น้ำกิน ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย[1]
  • ลำต้นสด นำมาประมาณ 15-30 กรัม แล้วต้มเอาแต่น้ำกิน ใช้เป็นยาแก้ลำไส้อักเสบ มะเร็งในลำไส้[1],[2]
  • ทั้งต้นใช้เพื่อรักษาโรคที่มีอาการอักเสบและติดเชื้อ เช่น คางทูม ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม การติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ตับอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ถุงน้ำดีอักเสบ และใช้ฆ่าพยาธิ เป็นต้น

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหญ้าลิ้นงู

  • สารที่พบ ได้แก่ Corymbosin, Flavone, Fatty acid, Sterol, Ursolic acid เป็นต้น[2]
  • สาร Ursolic acid มีคุณสมบัติในการปกป้องตับ โดยสามารถลดความเป็นพิษต่อตับของยาพาราเซตามอลที่นำมาทดสอบในหนูทดลองได้[3] จากการศึกษาในหนูทดลองพบว่าสารสกัดมีคุณสมบัติในการปกป้องตับจากการถูกทำลายของสารเคมีต่าง ๆ ได้แก่ Carbon tetrachloride, D-Galatosamine, Perchloroethylene โดยคุณสมบัติดังกล่าวมีความใกล้เคียงกับยา Silymarin[4]
  • มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้ทั้งแกรมบวกและแกรมลบ และมีประสิทธิภาพในการกำจัดแบคทีเรียได้หลากหลายสายพันธุ์, ต้านยีสต์ (เช่น ยีสต์แคนดิดา), ต้านรา (เช่น ราแอสเปอร์จิลัส), ต้านโปรโตซัวที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไข้มาลาเรีย (ภายหลังจึงได้มีการนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาไข้มาลาเรีย)[3],[4]
  • จากการศึกษาในหลอดทดลองว่าสารสกัดมีคุณสมบัติต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งเต้านม[4]
  • มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาการเกิดในกระเพาะอาหารในหนูทดลองที่ได้รับยาแอสไพริน โดยมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับยาแลนโซปราโซล (Lansoprazole)[4] ช่วยบรรเทาอาการปวดได้[4]
  • มีคุณสมบัติต้านการอักเสบในสัตว์ทดลองที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ[5]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หญ้า ลิ้น งู”. หน้า 811.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้า ลิ้น งู”. หน้า 600.
3. Bangladesh Journal of Scientific and Industrial Research. (Tamanna Sultana, M Abdur Rashid, M Ahad Ali, Samsuddin Faisal Mahmood). “Hepatoprotecive and Antibacterial Activity of Ursolic acid Extracted from Hedyotis corymbosa L.”. Res. 45(1), Pages: 27-34, 2010.
4. International Journal of Pharmaceutical Sciences Review and Research. (IJPS). (Sridevi Sangeetha Kothandaraman Sivapraksam, Kavitha Karunakaran, Umamaheswari Subburaya, Sujatha Kuppusamy, Subashini TS). “A Review on Phytochemical and Phamarcological Profile of Hedyotis corymbosa Linn.”. Res. 26(1), Article No. 54, Pages: 320-324, 2014.
5. Global information Hub On Integrated Medicine (Globinmed). “Hedyotis corymbosa”. เข้าถึงได้จาก: www.globinmed.com. [10 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://powo.science.kew.org/
2.https://us.lakpura.com/pages/

สมุนไพรหญ้าแส้ม้า สรรพคุณแก้อาการฟกช้ำดำเขียว

0
หญ้าแส้ม้า
สมุนไพรหญ้าแส้ม้า สรรพคุณแก้อาการฟกช้ำดำเขียว พรรณไม้ล้มลุก ปลายใบแหลมโคนมน ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อสีน้ำเงินม่วง ผลเป็นฝักยาว
หญ้าแส้ม้า
พรรณไม้ล้มลุก ปลายใบแหลมโคนมน ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อสีน้ำเงินม่วง ผลเป็นฝักยาว

หญ้าแส้ม้า

หญ้าแส้ม้า Vervain, Juno’s tears, European verbena, Herb of the cross เป็นดอกไม้ป่าพื้นเมืองพบได้ทั่วไปในทุ่งหญ้าชื้น ป่าทึบ ทุ่งหญ้าริมทาง ริมหนองน้ำ และตามคูน้ำ ดอกม่วงมีลำต้นตั้งตรง ใบเรียวยาวขอบใบหยักเป็นฟันปลาออกสลับซ้ายขวาของลำต้น การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรชนิดนี้ใช้เพื่อรักษาอาการพักฟื้น ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า ปวดศีรษะ ดีซ่าน ตะคริว ไอ ไข้ นอกจากนั้นยังใช้รักษาบาดแผลพุพอง และรักษาสิวได้ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Verbena officinalis L. จัดอยู่ในวงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE)[1],[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ นังด้งล้าง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)[2], สะหน่ำบล้อ (ปะหล่อง)[3], ถิแบปี โทเกงไก๊ แบเปียงเช่า หม่าเปียนเฉ่า (จีนกลาง)[1]

ลักษณะของหญ้าแส้ม้า

  • ลักษณะของต้น[1],[4]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – มีอายุอยู่หลายปี
    – ลำต้นตั้งตรง
    – มีความสูงได้ 50-100 เซนติเมตร
    – ลำต้นเล็กเป็นเหลี่ยม
    – มีขนแข็งรอบต้น
    – สามารถพบได้ในที่แห้งแล้งแดดจัด ที่รกร้างไร่เก่า หรือขึ้นประปรายในสวนผลไม้ที่สูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,650 เมตร
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปกลมรี
    – แยกแฉกคล้ายขนนก
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบมน
    – ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย
    – ใบมีความกว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 3-5 เซนติเมตร
    – หน้าใบและหลังใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย
    – เส้นหลังใบจะเห็นได้ชัดเจน
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ดอกมีขนาดเล็ก
    – ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกยาว 16-30 เซนติเมตร
    – มีดอกเล็ก ๆ ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร
    – ดอกเป็นสีน้ำเงินม่วง
    – ดอกเป็นรูปหลอด
    – แตกออกเป็นแฉก 5 แฉก ที่ปลายกลีบ
    – แบ่งออกเป็นแฉกบน 2 แฉก และแฉกล่าง 3 แฉก
    – มีเกสรเพศผู้ 4 อัน อยู่ในกลีบดอก
    – เกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่บนรังไข่ รังไข่มี 4 อัน
    – เมื่อเกสรแห้งและร่วงไปแล้วก็จะติดผลเป็นฝักยาว
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลมีเป็นฝักยาว
    – ผลแก่มีการแตกเมล็ดออก
    – มีเมล็ด 4 เมล็ด เป็นรูปสามเหลี่ยมแบนยาว

สรรพคุณของหญ้าแส้ม้า

  • ทั้งต้น ช่วยฆ่าพยาธิใบไม้ในตับ[1]
  • ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้ตับอักเสบ[1]
  • ทั้งต้น ช่วยแก้ไตอักเสบบวมน้ำ[1]
  • ทั้งต้น ช่วยกระจายเลือด แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ปวดบวม[1]
  • ทั้งต้น เป็นยาแก้โรคผิวหนัง แก้ฝีหนองอักเสบ[1]
  • ทั้งต้น แก้แผลแมลงสัตว์กัดเท้า เท้าเป็นแผล[2]
  • ทั้งต้น ช่วยแก้บิดติดเชื้อ[1]
  • ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้คอเจ็บ คอบวม คออักเสบ คอตีบ[1]
  • ทั้งต้น มีรสขมเป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้[1]
  • ทั้งต้น ช่วยแก้ไข้หวัดตัวร้อน แก้ไข้จับสั่น[1]
  • ใบ นำมาคั้นเอาน้ำมาทาหรือพอก หรือต้มกับน้ำอาบ สระผม ช่วยกำจัดรังแค เหา โลน และหมัดได้[2]
  • ใบ ชาวปะหล่องจะนำมาเป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคตานขโมย โดยประกอบไปด้วยสมุนไพรอื่น ๆ อีก เช่น รากหญ้าคา รากสาบแร้งสาบกา รากด่อกะซองหว่อง ต้นน้ำนมราชสีห์ และเปลือกไข่ที่เพิ่งฟักเป็นตัว ห่อผ้าสีดำ แล้วนำมาต้มให้เด็กที่เป็นตานขโมยอาบ[3]
  • ชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว จะใช้ราก ใบ ทั้งต้น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดหลัง[2]
  • ชาวเขาเผ่าอีก้อ แม้ว จะใช้ราก ใบ ทั้งต้น นำมาต้มกับน้ำดื่มแก้ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย อาหารเป็นพิษ โรคกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย แก้พิษ[2]

ข้อห้าม: สำหรับผู้ที่มีพลังหย่อน ม้ามหรือกระเพาะพร่อง และสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหญ้าแส้ม้า

  • ทั้งต้นพบสาร Adenosine, Cornin, Stachyose, Tannin, Verbenalin, Verbenalol และน้ำมันระเหย เป็นต้น[1]
  • เมื่อใช้สารที่สกัดมาทำเป็นยาฉีดให้กับผู้ป่วยที่เป็นไข้จับสั่น พบว่ามีการยับยั้งและสามารถรักษาโรคไข้จับสั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแต่ต้องฉีดเข้าก่อนที่ไข้จับสั่นจะกำเริบประมาณ 2-3 ชั่วโมง ในครั้งหน้า
  • เมื่อนำหญ้ามาต้มหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ แล้วนำมาฉีดเข้ากล้ามเนื้อของกระต่ายที่กำลังมีอาการอักเสบของตับ พบว่าสามารถบรรเทาอาการอักเสบและความเจ็บปวดของกระต่ายได้[1]
  • สาร Verbenalin มีฤทธิ์กระตุ้นสัตว์ทดลองให้มีน้ำนมเพิ่มมากขึ้น[1] ส่วนที่อยู่เหนือดินมีฤทธิ์ลดการอักเสบในคนได้ ส่วนในสัตว์ทดลองพบว่ามีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ขับปัสสาวะ[2]
  • สารสกัดจากทั้งต้นด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์แก้ปวด ส่วนสารสกัดจากใบด้วยแอลกอฮอล์หรือกรดมีฤทธิ์ต้านการเจริญของแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิดได้ดีมาก และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริมได้อีกด้วย[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “หญ้าแส้ม้า”. หน้า 584.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “นังด้งล้าง”. หน้า 222.
3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “นังด้งล้าง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [10 ก.ค. 2014].
4. สำนักความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “นังด้งล้าง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: chm-thai.onep.go.th. [10 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://nhgardensolutions.wordpress.com/tag/blue-vervain/
2.https://plants.ces.ncsu.edu/plants/verbena-hastata/

หนาดดำ กับสรรพคุณรู้ไว้ติดตัว

0
หนาดดำ กับสรรพคุณรู้ไว้ติดตัว เป็นพรรณไม้ล้มลุก ต้นตั้งตรงมีขนสากมือ ดอกเป็นฝอยละเอียดสีม่วงเข้ม สีม่วงชมพู หรือสีม่วงแดง ผลแห้งขนนุ่ม
หนาดดำ
พรรณไม้ล้มลุก ต้นตั้งตรงมีขนสากมือ ดอกเป็นฝอยละเอียดสีม่วงเข้ม สีม่วงชมพู หรือสีม่วงแดง ผลแห้งขนนุ่ม

หนาดดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Acilepis squarrosa D.Don (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Vernonia squarrosa (D.Don) Less.) จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)[1],[2]
ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ม่วงนาง (ชัยภูมิ), เกี๋ยงพาช้าง (ภาคเหนือ)[2] บางตำราใช้ชื่อสมุนไพรชนิดนี้ว่า “หนาดคำ“[1]

ลักษณะของหนาดดำ

  • ลักษณะของต้น[1]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุหลายปี
    – ลำต้นตั้งตรง
    – มีความสูงได้ถึง 40-100 เซนติเมตร
    – มีขนที่ค่อนข้างสากมือ
  • ลักษณะของใบ[1]
    ใบเป็นใบเดี่ยว
    ออกเรียงสลับกัน
    ใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่
    ใบมีความกว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 4-8 เซนติเมตร
    ผิวใบด้านล่างมีขน
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเดี่ยวหรือจะออกเป็นช่อเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 ดอก
    – จะออกตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง
    – ดอกมีขนาด 1-2 เซนติเมตร
    – กลีบดอกเป็นฝอยละเอียดสีม่วงเข้ม สีม่วงชมพู หรือสีม่วงแดง
    – อัดกันแน่นอยู่บนกลีบเลี้ยงรูปถ้วยสีเขียว
    – กลีบเลี้ยงเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
    – จะสามารถออกได้ตลอดทั้งปี
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลเป็นผลแห้ง
    – ไม่แตก
    – มีขนนุ่ม
    – มี 10 สัน

สรรพคุณของหนาดดำ

  • ทั้งต้นและราก สามารถนำมาผสมกับสมุนไพรต้นหรือรากของผักอีหลืน ต้นสังกรณีดง ต้นตรีชวา และหัวยาข้าวเย็น นำมาใช้ต้มกับน้ำดื่ม เพื่อใช้เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย[1]
  • รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ท้องร่วง
  • ใบ นำมาย่างไฟแล้วนำมาพันขาจะช่วยบรรเทาอาการปวด
  • ใบ นำมาอังไฟใช้ประคบบริเวณที่มีอาการเคล็ด ปวดบวม

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หนาด ดำ”. หน้า 224.
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “หนาด ดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [14 ก.ค. 2015].

หนามพรม กับสรรพคุณรู้ไว้ติดตัว

0
หนามพรม กับสรรพคุณรู้ไว้ติดตัว เป็นไม้พุ่ม ดอกสีขาวรูปดาวปลายแหลมมีกลิ่นหอม ผลรูปไข่ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีม่วงเข้มหรือสีดำ
หนามพรม
เป็นไม้พุ่ม ดอกสีขาวรูปดาวปลายแหลมมีกลิ่นหอม ผลรูปไข่ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีม่วงเข้มหรือสีดำ

หนามพรม

หนามพรม เป็นไม้พุ่มมีชื่อสามัญ คือ Conkerberry, Bush Plum มีถิ่นกำเนินอยู่ทั่วไปในเขตร้อน เช่น เอเชียใต้ ออสเตรเลีย และต่ามหมู่เกาะต่างๆ ใบเขียวเป็นมันวาว กลีบดอกสีขาวรูปดาว สรรพคุณของรากใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารได้ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Carissa spinarum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Carissa cochinchinensis Pierre ex Pit., Carissa diffusa Roxb.) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)[1],[3]
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ขี้แฮด (ภาคเหนือ), พรม หนามพรม (ภาคกลาง)[1]

ลักษณะของหนามพรม

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[3]
    – มีความสูงได้ถึง 4-5 เมตร
    – ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก
    – เป็นพุ่มทึบ
    – เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง
    – มีหนามแหลมยาวตามกิ่ง ลำต้น และบริเวณโคนต้น ยาว 1-3 เซนติเมตร
    – ลำต้นมียางสีขาว
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
    – เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด
    – เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง
    – สามารถพบได้ตามบริเวณป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป
    – มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนของทวีปเอเชียและออสเตรเลีย
  • ลักษณะของใบ[1],[2],[3]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปรี รูปกลม รูปไข่ หรือรูปไข่กลับ
    – ปลายใบแหลมมีติ่ง
    – โคนใบสอบ
    – ขอบใบเรียบ
    – ทั้งหลังใบและท้องใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร และยาว 2.5-4 เซนติเมตร
    – แผ่นใบค่อนข้างบาง ไม่มีขน
    – ใต้ท้องใบมีเส้นใบประมาณ 5-7 คู่ ค่อนข้างเห็นได้ชัด
    – ก้านใบสั้น ยาวได้ 1-3 มิลลิเมตร
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3]
    – ดอกเป็นแบบสมบูรณ์เพศ
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – จะออกที่ปลายกิ่ง
    – ดอกย่อยเป็นสีขาวมีกลิ่นหอม
    – มีกลีบดอก 5 กลีบ
    – โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว
    – ปลายกลีบดอกแหลม
    – กลีบดอกยาว 2.5 มิลลิเมตร
    – กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ
    – กลีบเป็นรูปหอก
    – โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปท่อ
    – ปลายกลีบแยกออกจากกัน
    – มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ภายในหลอดดอกหรือกลางท่อดอก
  • ลักษณะของผล[1],[3]
    – ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่
    – ผิวผลเรียบเป็นมัน
    – ผลอ่อนเป็นสีเขียว
    – ผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มหรือสีดำ
    – มีเมล็ด 1 เมล็ด เป็นรูปรี สีน้ำตาลอ่อน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-1 เซนติเมตร

คุณค่าทางโภชนาการ

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
ไขมัน 2.3g 4%
ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม 5%
คอเลสเตอรอล 1 มก 0%
โซเดียม 8 มก 0%
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 19g 6%
ไฟเบอร์ 9.3g 37%
น้ำตาล 1 กรัม
โปรตีน 2.4g 5%
วิตามินเอ 0%
วิตามินซี 7%
แคลเซียม 6%
เหล็ก 16%

สรรพคุณของหนามพรม

  •  แก่น สามารถช่วยบำรุงไขมันได้[4]
  • แก่น มีรสชาติมันเบื่อ สามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้[1],[2]
  • ราก นำมาผสมกับลำต้นไส้ไก่แล้วต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารได้[4]
  • ราก นำมาผสมกับรากไส้ไก่ และรากนมแมวแล้วต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงในจมูก[4]
  • เนื้อไม้ มีรสชาติเฝื่อนมันขมฝาด สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้[1],[3]
  • ใบ ใช้รักษาโรคต่างๆ ในร่างกาย เช่น ช่องปากอักเสบ ปวดหู ท้องร่วง และเป็นไข้

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หนาม พรม (Nam Phrom)”. หน้า 325.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “หนาม พรม”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 188.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หนาม พรม”. หน้า 817.
4. ระบบต้นแบบศูนย์สมุนไพรเสมือนด้วยแอนนิเมชันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง. “หนาม พรม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: khaodanherb.com. [15 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://ecency.com/foo/@phuong.sitha/

ว่านน้ำเล็ก วัชพืชสมุนไพรช่วยระงับอาการปวด

0
ว่านน้ำเล็ก
ว่านน้ำเล็กว่านน้ำเล็ก วัชพืชสมุนไพรช่วยระงับอาการปวด เป็นที่รู้จักว่าเป็นวัชพืชในน้ำหรือที่ชุ่มน้ำ ขึ้นตามก้อนหินในลำธาร เนื้อจะเป็นแป้งและมีรสชาติฝาด ดอกเป็นช่อ มีกาบสั้น
ว่านน้ำเล็ก
วัชพืชในน้ำหรือที่ชุ่มน้ำ ขึ้นตามก้อนหินในลำธาร เนื้อจะเป็นแป้งและมีรสชาติฝาด ดอกเป็นช่อ มีกาบสั้น

ว่านน้ำเล็ก

ว่านน้ำเล็ก Acorus เป็นที่รู้จักว่าเป็นวัชพืชในน้ำหรือที่ชุ่มน้ำ พบได้ตามพื้นดินเปียกชื้นตามธรรมชาติในท้องสวนทั่วไป ใบเรียวยาว ดอกมีหนามแหลมสีขาวและเขียวเล็กน้อยซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ นอกจากนั้นยังชอบแสงแดดจัด จัดอยู่ในวงศ์ว่านน้ำ (ACORACEAE) ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Acorus calamus var. angustatus Besser (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acorus asiaticus Nakai, Acorus rumphianus S.Y.Hu, Acorus tatarinowii Schott, Acorus terrestris Rumph. ex Schott) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ไคร้น้ำ (เพชรบูรณ์), ว่านน้ำเล็ก (ภาคกลาง)

  • ลักษณะของต้นว่าน[1]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – ลักษณะโดยรวมนั้นจะคล้ายกับต้นว่านน้ำเป็นอย่างมาก แต่มีจะมีขนาดของต้นที่เล็กกว่า และมีความสูงต่างกันค่อนข้างมาก
    – เหง้ามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 มิลลิเมตร
    – ภายนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อน
    – ภายในเป็นสีขาว
    – เนื้อจะเป็นแป้งและมีรสชาติฝาด
    – มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – จะขึ้นตามหนองบึง และตามก้อนหินในลำธารทั่วไป
  • ลักษณะของดอกว่าน[1]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ช่อดอกเป็นแท่ง ๆ
    – มีกาบสั้นกว่าต้นว่านน้ำ

สรรพคุณของว่านน้ำเล็ก

  • ทั้งต้น สามารถทำให้รู้สึกสงบได้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาขับลมได้[1],[2]
  • ทั้งต้น สามารถช่วยระงับอาการปวดได้[1]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยารักษาโรคชักได้[1],[2]
  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยากระตุ้น และเป็นยาบำรุงธาตุได้[1],[2]
  • ทั้งต้น สามารถใช้รักษาอาการปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยได้[1],[2]

ประโยชน์ของว่านน้ำเล็ก

  • ทั้งต้น สามารถใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลงได้[2]
  • ว่านชนิดนี้มีน้ำมันหอมระเหย โดยประกอบไปด้วย asarone bitter principle จึงสามารถนำไปใช้ทำเป็นน้ำหอมได้[1]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านน้ำเล็ก”. หน้า 719.
2. สมุนไพรรักษาโรค, โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี. “ว่านน้ำเล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.skn.ac.th. [16 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://inpst.net/twitter/rt-devkota_hp-acorus-calamus-l-acoraceae
2.https://www.lovetoknow.com/home/garden/acorus-calamus

ว่านแร้งคอดำ กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
ว่านแร้งคอดำ
ว่านแร้งคอดำ กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ ไม้ล้มลุก ปลายใบแหลม ดอกตูมรูปหอก สีขาวและแต้มด้วยสีแดงตรงกลาง ผลค่อนข้างกลม
ว่านแร้งคอดำ
ไม้ล้มลุก ปลายใบแหลม ดอกตูมรูปหอก สีขาวและแต้มด้วยสีแดงตรงกลาง ผลค่อนข้างกลม

ว่านแร้งคอดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Crinum latifolium L. จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)[1] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ หว้านคอแดง หว้านแร้งคอดำ (กรุงเทพฯ), ว่านแร้งคอดำ (ภาคกลาง), ว่านคอแดง (ภาคใต้), ว้านกระทู้, ว่านพระยาแร้ง, ว่านพระยาแร้งคอดำ[1],[2] ชื่อเรียกอื่นว่า “พระยาแร้งคอดำ” หรือ “พระยาแร้งคอแดง” ถ้าเป็นว่านตัวผู้ คอใบและก้านใบจะมีสีแดงอยู่ 2 นิ้ว ถ้าดึงกาบออกจะเป็นใยบัว หัวมีลักษณะคล้ายกับหัวหอมผิวแดงและเนื้อเป็นสีขาว ใบมีความแบนและยาว แตกออกจากหัวกลายเป็นกาบ ร่องกลางใบห่อเล็กน้อยไม่มีก้าน ลักษณะเหมือนว่านรางนาก หรือว่านรางทอง แต่ใบจะมีขนาดเล็กและยาวกว่า[3]

ลักษณะของต้นว่านแร้งคอดำ

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – มีหัวอยู่ใต้ดิน
    – หัวจะกลมคล้ายกับหัวหอมใหญ่
    – ผิวหัวเป็นสีแดง
    – เนื้อในสีขาว
    – ลำต้นที่โผล่พ้นดินขึ้นมามีลายวงเป็นวงสีน้ำตาลแก่ ตั้งแต่กาบโคนต้นจนถึงกาบคอต้น
    – กาบคอต้นลายจะเป็นวงขนาดใหญ่กว่าโคนต้น เป็นสีม่วงอมแดง
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – เติบโตได้ดีในดินทราย ที่สามารถระบายน้ำและเก็บความชื้นได้ดี
    – ชอบแสงแดดแบบรำไร
    – ขึ้นตามที่ชุ่มชื้นทั่วไป
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ใบเป็นรูปขอบขนานยาวเรียว คล้ายกับใบของต้นพลับพลึงขนาดเล็ก
    – ใบจะออกซ้อนกันเป็นกาบ
    – เป็นใบรีรูปขอบขนาน
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบสอบเรียว
    – ขอบใบเป็นคลื่นบาง ๆ
    – กว้างประมาณ 7-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 60-90 เซนติเมตร
    – แผ่นใบบาง
    – เส้นกลางใบจะเป็นร่องลึก
    – แตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของลำต้นใต้ดิน
    – เมื่อดึงกาบใบออกจะมีใยคล้ายใยบัว
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่ม
    – ดอกมีลักษณะตูมเป็นรูปหอก
    – มีกาบหุ้มยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร
    – ปลายดอกเป็นกระจุกประมาณ 10-20 ดอก อยู่บนก้านสั้น ๆ
    – ก้านดอกมีลักษณะอวบหนา มีความยาวประมาณ 60-90 เซนติเมตร
    – กลีบดอกมี 6 กลีบ มีความกว้างกว่าดอกพลับพลึง
    – ก้านดอกสั้น
    – ดอกเป็นสีขาวและแต้มด้วยสีแดงตรงกลางหรือทางด้านหลังของกลีบ
    – มีเกสรเพศผู้ 6 อันอยู่ด้วย
    – มีอับเรณูลักษณะเป็นรูปโค้ง
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม

สรรพคุณว่านแร้งคอดำ

  • หัว เป็นยาแก้กษัย[2]
  • หัว รักษาอาการปวดหู[2]
  • หัว แก้ไตพิการ[2]
  • หัว เป็นยารักษาฝี[1],[2]
  • หัว ใช้รักษาอาการเคล็ดขัดยอก บวม[1]
  • หัว เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับอาการปวดในข้อ[1]
  • หัว ใช้รักษาริดสีดวงทวาร[1],[2]
  • หัว เป็นยาชักมดลูก ช่วยแก้อาการมดลูกหย่อน ปีกมดลูกอักเสบ เหมาะสำหรับสตรีที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ[1],[2]
  • ใบ ใช้รักษาอาการปวดหูได้[1]

ประโยชน์ของว่านแร้งคอดำ

  • ว่านชนิดนี้เชื่อกันว่าเป็นว่านที่คงกระพัน โดยจะใช้หัวพกติดตัวหรือกินหัวว่าน
  • ควรใช้กระถางใบเขื่องกว่าใบธรรมดาในการปลูก และควรใช้อิฐมอญหักรองก้นกระถาง เพราะว่านชนิดนี้จะขยายพันธุ์ได้ดี
  • เมื่อเอาหัวว่านลงกระถางแล้วให้ใช้ดินร่วนปนทรายกลบดินพอให้มิดหัวว่าน แล้วรดด้วยน้ำที่เสกด้วยคาถา “นะโม พุทธายะ” ทุกครั้ง
  • ถ้าจะนำมาใช้ในทางคงกระพันชาตรี ก่อนจะกินหัวว่านก็ให้เสกคาถา “นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ” ตามกำลังวัน[2],[3]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านแร้งคอดำ”. หน้า 729-730.
2. ว่านและสมุนไพรไทย, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร. “ว่านแร้งคอดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.skc.rmuti.ac.th/WAN/. [20 ส.ค. 2014].
3. ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. “ความเชื่อเกี่ยวกับว่านแร้งคอดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : m-culture.in.th. [20 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiagardening.com/
2.https://commons.wikimedia.org/

ต้นหัน กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
ต้นหัน
ต้นหัน กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ เป็นไม้ยืนต้น ดอกเป็นช่อสั้น ๆ สีม่วงแดง ผลสีเขียวเป็นรูปทรงกลมถึงกลมรี เปลือกมีขนสั้นสีน้ำตาล เนื้อในสีขาวและมียางใส
ต้นหัน
ดอกเป็นช่อสั้น ๆ สีม่วงแดง ผลสีเขียวเป็นรูปทรงกลมถึงกลมรี เปลือกมีขนสั้นสีน้ำตาล เนื้อในสีขาวและมียางใส

ต้นหัน

ต้นหัน Wild Mutmeg เป็นพรรณไม้ที่ให้ร่มเงาใบเนาเป็นพุ่ม ลักษณะใบสีเขียวเข้มเป็นมันและผลไม้สีเขียวอมเหลืองเมล็ดด้านในมีสีแดงสด ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้สามารถนำเมล็ดใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังและหิด ชื่อวิทยาศาสตร์  Knema globularia (Lam.) Warb. จัดอยู่ในวงศ์จันทน์เทศ (MYRISTICACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กระเบาเลือด สมิงคำราม เหมือดคน (ภาคเหนือ), ตีนตัง มะเลือด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), สีซวง (ภาคกลาง), กาฮั้น กระฮั้น ลาหัน เลือดม้า เลือดแรด หัน หันลัด (ภาคใต้), ชิงชอง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้), ตูโมะยอ (มลายู-นราธิวาส), ฮ้วงจือ

ลักษณะของต้นหัน

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นไม้ยืนต้น
    – มีความสูงประมาณ 10-25 เมตร อาจสูงได้ถึง 30 เมตร
    – เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูง ค่อนข้างกลม
    – เปลือกลำต้นแตกเป็นสะเก็ด
    – เปลือกด้านนอกเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทาเข้ม
    – เปลือกด้านในเป็นสีชมพู
    – ยอดอ่อน ใบอ่อน และช่อดอกมีสะเก็ดเป็นขุยสีน้ำตาล
    – เขตการกระจายพันธุ์จะอยู่ที่ลำธารในป่าดิบชื้น ป่าพรุ ป่าชายหาก และที่ลุ่มน้ำขังทั่วทุกภาคของประเทศไทย
    – ในต่างประเทศจะพบได้ที่ประเทศจีนทางตอนใต้ มาเลเซีย พม่าตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน สุมาตรา
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบแหลมหรือมน
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 3-4 เซนติเมตร และความยาว 10-16 เซนติเมตร
    – ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน
    – ผิวใบด้านล่างเป็นสีขาวนวล
    – เนื้อใบบาง
    – มีเส้นแขนงใบประมาณ 13-20 คู่ ลักษณะค่อนข้างตรงและขนานกัน
    – มีขนสีน้ำตาลโดยเฉพาะตามใบอ่อนและตามกิ่ง
    – ก้านใบยาว 1 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3]
    – ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ
    – ออกเป็นกระจุกตามซอกใบหรือตามกิ่ง
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่กันคนละต้น
    – ดอกย่อยมีขนาดเล็กเป็นสีเหลืองนวลหรือสีเหลืองแกมสีน้ำตาล
    – ด้านในดอกเป็นสีม่วงแดง
    – จะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม
    – ดอกเพศผู้เป็นรูปหลอดยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร
    – ส่วนดอกเพศเมียจะเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร
  • ลักษณะของผล[1],[2],[3]
    – ผลเป็นผลสด
    – ผลเป็นรูปทรงกลมถึงกลมรี
    – ผลมีความกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร และความยาว 1.5-2 เซนติเมตร
    – มีสันนูนตามความยาวของผล
    – ผิวเปลือกมีขนสั้นสีน้ำตาล
    – ผลเป็นสีเขียว
    – ผลเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม และแตกออกเป็นซีก 2 ซีก
    – เนื้อในผลชั้นในเป็นสีขาวและมียางใส
    – ผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
    – เมล็ดเป็นสีดำเกลี้ยงปกคลุมไปด้วยเยื่อสีแดงหุ้มอยู่
    – ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม

สรรพคุณของหัน

  • เปลือก เป็นยาชูกำลัง โดยการนำมาดองกับเหล้า[3]
  • เมล็ด เป็นยารักษาโรคผิวหนังและหิด โดยจะใช้น้ำมันที่บีบได้ โดยสารที่ออกฤทธิ์คือสาร benzyl benzoate[1],[2]

ประโยชน์ของหัน

  • ผล สามารถใช้เป็นอาหารของสัตว์ป่าได้ (สารานุกรมความหลากหลายทางชีวภาพตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง (มัณฑนา นวลเจริญ))
  • น้ำมันจากเมล็ด สามารถใช้ทำเป็นสบู่ยาได้[2]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างภายในอาคารของบ้านได้[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
– หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หัน Wild Nutmeg”. หน้า 130.
– สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “หันลัด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/pattani_botany/. [17 ก.ค. 2014].
– โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เลือดแรด”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [17 ก.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.wikiwand.com/
2.https://toptropicals.com/

ว่านตีนตะขาบ สมุนไพลมงคลสารพัดประโยชน์

0
ว่านตีนตะขาบ
ว่านตีนตะขาบ สมุนไพลมงคลสารพัดประโยชน์ เป็นพืชสมุนไพรไม้เลื้อย ต้นกลมเป็นปล้อง ใบจะออกติดกันเป็นปีกสองข้าง ดูคล้ายกับตะขาบ มียางสีขาวขุ่น
ว่านตีนตะขาบ
เป็นพืชสมุนไพรไม้เลื้อย ต้นกลมเป็นปล้อง ใบจะออกติดกันเป็นปีกสองข้าง ดูคล้ายกับตะขาบ มียางสีขาวขุ่น

ว่านตีนตะขาบ

ว่านตีนตะขาบ Pedilanthus tithymaloides เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งลักษณะเป็นต้นกลมเป็นปล้องๆ ในลำต้นและใบมียางสีขาวขุ่น จัดอยู่ในวงศ์ผักไผ่ POLYGONACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ว่านตะเข็บ (ภาคเหนือ), ว่านตะขาบ (เชียงใหม่), เพว (กรุงเทพฯ), ตะขาบปีนกล้วย ต้นตีนตะขาบ (ไทย)

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก
    – ลำต้นเป็นปล้อง
    – มีลักษณะกลมโตเหมือนหางหนูมะพร้าวอ่อน
    – แต่เมื่อลำต้นสูงขึ้นจะกลายเป็นไม้เลื้อย
    – ต้นหนึ่งจะยาวได้ 7-10 ฟุต
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการปักชำ
  • ลักษณะของใบ
    – ใบจะออกติดกันเป็นปีกสองข้าง
    – ออกจากโคนต้นจนถึงยอด จนดูคล้ายกับตะขาบ

สรรพคุณ และประโยชน์ของว่านตะขาบ

  • ต้นและใบสด เมื่อนำมาตำให้ละเอียดและผสมกับเหล้าแล้ว สามารถนำไปใช้หยอดหู เพื่อรักษาหูเป็นน้ำหนวกได้ ซึ่งได้ผลดีมาก ใช้แค่เพียง 2-3 ครั้ง ก็จะหาย[1]
  • ต้นและใบสด เมื่อนำมาตำผสมกับเหล้าแล้ว สามารถนำมาใช้ทารักษาอาการฟกช้ำหรือเคล็ดขัดยอกได้[1]
  • ส่วนที่เหลือจากการนำไปใช้แก้ฟกช้ำแล้ว สามารถนำมาพอกถอนพิษตะขาบและพิษแมงป่องได้[1]
  • น้ำยาง เมื่อนำมาใช้ทาบริเวณบาดแผลที่ถูกกัด พอรู้สึกว่ายางเริ่มแห้งแล้ว ก็ให้ทาซ้ำไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30 นาที จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและอาการบวมได้

ประโยชน์ของต้นว่านตะขาบ

  • คนจีนนิยมนำมาปลูกในกระถางไว้ดูเพื่อความสวยงามตามบ้าน หรือตามสวนยาจีนทั่วไป[1]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่าน ตีน ตะ ขาบ”. หน้า 712-713.
2. ไทยโพสต์. “ว่าน ตีน ตะ ขาบ-ตะขาบหิน มีฤทธิ์ถอนพิษตะขาบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaipost.net. [20 ส.ค. 2014].

ว่านคันทมาลา สรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
ว่านคันทมาลา
ว่านคันทมาลา สรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ เป็นพรรณไม้ลงหัวล้มลุกลำต้นและดอกคล้ายกระเจียวกาบ ดอกมีสีเขียว ดอกบานเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมขาว
ว่านคันทมาลา
เป็นพรรณไม้ลงหัวล้มลุกลำต้นและดอกคล้ายกระเจียวกาบ ดอกมีสีเขียว ดอกบานเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมขาว

ว่านคันทมาลา

ว่านคันทมาลา เป็นพรรณไม้ลงหัวล้มลุกลำต้นและดอกคล้ายกระเจียวกาบ ดอกมีสีเขียวเมื่อเริ่มบานสะพรั่งจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมขาว มักใช้เพื่อแต่งกลิ่นหรือแต่งสีเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายชนิดของชาวเอเชีย โดยสมุนไพรชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น และไทยทางทางจังหวัดจันทบุรี ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ขิง ZINGIBERACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma Sp. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ คันฑมาลา, ว่านขาว, ว่านนางคำขาว, ว่านคันทมาลาน้อย

ลักษณะของว่านคันทมาลา

  • ลักษณะของต้น
    – ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัว
    – มีลำต้นเทียมสูงกว่า 1 เมตร
    – ลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้าขนาดใหญ่
    – หัวหลักมีลักษณะเป็นรูปไข่แคบ
    – เนื้อในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
    – ส่วนชั้นนอกจะเป็นสีม่วงดำ
    – ส่วนชั้นในจะเป็นสีขาวอมเหลือง
    – หัวมีกลิ่นเผ็ดร้อนคล้ายว่านพระตะบะ
    – แตกแขนงย่อยทั้งสองข้าง
    – มีข้อและปล้องชัดเจน
    – สามารถขยายพันธุ์โดยใช้หัวว่านลงดิน
    – ดินที่นำมาใช้ปลูกคือดินปนทราย
    – กลบดินให้พอมิดหัวว่าน แต่อย่ากดจนแน่นเกินไป รดน้ำให้ดินชุ่มพอกัน ๆ
    – เติบโตได้ดีในช่วงฤดูฝน พอถึงช่วงฤดูหนาวใบจะตาย
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – มีรูปร่างคล้ายกับใบว่านมหาเมฆ
    – ขนาดของใบมีขนาดเท่ากับใบพุทธรักษา
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน
    – มีเส้นกลางใบเป็นสีแดงเข้ม
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อที่ปลายลำต้นเทียม
    – มีใบประดับตอนล่างเป็นสีเขียวอ่อน
    – ปลายใบเป็นสีม่วงแดง
    – ใบประดับตอนบนเป็นสีม่วงอมแดงทั้งใบ
    – ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน
    – มีแถบกลางเป็นสีเหลืองอ่อน
    – กลีบดอกที่แลบออกมาจากซอกกลีบประดับจะเป็นสีเหลืองสด เป็นรูปกรวยยาว
    – ดอกคล้ายกับลูกสับปะรด
    – มีกลีบดอกเป็นชั้น ๆ

สรรพคุณของว่านคันทมาลา

  • หัว นำมาฝนและผสมกับเหล้า ใช้ทาแก้อาการเจ็บคอ[3]
  • หัว นำมาฝนและผสมกับน้ำปูนใส ใช้ทาท้อง แก้อาการปวดท้องในเด็ก[3]
  • หัว นำมาฝน ใช้ทารักษาอาการเคล็ด ขัดยอก ฟกช้ำ และอาการบวมได้ดีมาก[1]
  • หัว นำมาต้มหรือดองผสมกับเหล้าขาว ใช้กินเป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่เร็ว[3]
  • หัว นำมาโขลกและห่อด้วยผ้าขาวและดองกับเหล้าขาว ใช้กินเป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนักและลำไส้[3]
  • หัว นำมาฝนกับเกลือสินเทา ผสมกับน้ำร้อนหรือน้ำปูนใส ใช้เป็นยาแก้บิด แก้ท้องขึ้น ท้องร่วง [3]
  • หัว นำมาฝนและผสมกับเหล้าหรือน้ำส้มสายชู แล้วชุบด้วยสำลี ใช้อมไว้ข้าง ๆ แก้ม แล้วค่อย ๆ กลืนเอาแต่น้ำทีละน้อย เป็นยารักษาต่อมทอนซิลอักเสบ และรักษาฝีในคอ[1]

ประโยชน์ของว่านคันทมาลา

  • เมื่อนำมาปลูกไว้ในบ้าน แล้วนำหัวมาเสกด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ คือ “นะโมพุทธายะ” 3 จบ แล้วนำมากิน จะช่วยให้คงกระพันชาตรี[1]
  • นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เนื่องจากดอกมีกลีบดอกเรียงเป็นชั้น ๆ ดูสวยงามแปลกตา[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์ (สกัดด้วยน้ำร้อนและตามด้วยการตกตะกอนโดยเอทานอล แล้วนำมาทำให้แห้ง) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ โดยมี 1,1-diphenyl-2 picrylhydrazyl (DPPH) ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ โดยผสมสารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์กับน้ำกลั่นที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 0.5, 1, 2, 3, และ 4 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร พบค่าเปอร์เซ็นต์การต้านอนุมูลอิสระ DPPH มีค่าเท่ากับ 72.13, 54,89, 38.62, 18.94 และ 13.51 ตามลำดับ และมีค่า EC50 เท่ากับ 2.67 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร[4]
  • นอกจากนี้ยังนำมาทดสอบฤทธิ์การเพิ่มจำนวนเซลล์ของเซลล์สร้างเส้นใยที่มาจากเนื้อเยื่อเหงือก โดยใช้ระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันของสารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์ แล้วจึงทดสอบด้วยสาร MTT assay พบว่า สารสกัดที่ระดับความเข้ม 0.01, 0.1, 1 และ 10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ โดยที่ระดับความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้สูงสุด[4]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านคันทมาลา (คันฑมาลา)”. หน้า 711-712.
2. หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ.
3. สรรพคุณสมุนไพร. “สรรพคุณว่านคันทมาลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : samumpri-thai.blogspot.com. [21 ส.ค. 2014].
4. การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 47 วันที่ 17-20 มี.ค. 2552. (พลอยพัฒณ์ นิยมพลอย, พสุธา ธัญญะกิจไพศาล, พลกฤษณ์ แสงวณิช, อภิชาติ กาญจนทัต). “ฤทธิ์การต้านออกซิเดชันและการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ของส่วนสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์จากเหง้าของว่านคันทมาลา Curcuma aromatica Salisb”. หน้า 154-161.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://monsterblooms.com/

ลักษณะและสรรพคุณของมะนาวผี

0
ลักษณะและสรรพคุณของมะนาวผี เปลือกลำต้นสีน้ำตาล ดอกเป็นช่อซี่ร่ม กลิ่นหอม ผลเป็นรูปทรงกลม สีเขียวอ่อน ผิวผลหนาขรุขระมีกลิ่นคล้ายใบมะกรูดหรือใบมะนาว
มะนาวผี
เปลือกลำต้นสีน้ำตาล ดอกเป็นช่อซี่ร่ม กลิ่นหอม ผลเป็นรูปทรงกลม สีเขียวอ่อน ผิวผลหนาขรุขระมีกลิ่นคล้ายใบมะกรูดหรือใบมะนาว

มะนาวผี

มะนาวผี เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นมีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 2-3 เมตร ลักษณะภายนอกของผลผิวขรุขระมีกลิ่นคล้ายใบมะกรูดหรือใบมะนาว เป็นสมุนไพรทางตำรายาไทย น้ำมันจากเปลือกผลใช้ทาภายนอก แก้โรคไขข้ออักเสบ ใบแก้โรคทางเดินหายใจ แก้จุกเสียด แก้ท้องเสีย รักษาโรคผิวหนัง และผลยังใช้ในการรักษาโรคทางเดินหายใจได้อีกด้วย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Atalantia monophylla DC. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Trichilia spinosa Willd.) อยู่วงศ์ส้ม (RUTACEAE)[1],[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น กะนางพลี (ภาคใต้)[1], มะนาวพลี (ภาคใต้)[2], กะนาวพลี (ภาคใต้)[3], ขี้ติ้ว (ภาคเหนือ), นางกาน (จังหวัดขอนแก่น), มะลิว (จังหวัดเชียงใหม่), จ๊าลิ้ว (ภาคเหนือ), กรูดผี (จังหวัดสุราษฎร์ธานี), กรูดเปรย (จันทบุรี) [1],[2],[3]

ลักษณะมะนาวผี

  • ต้น มีเขตการกระจายพันธุ์ที่ในประเทศเวียดนาม พม่า ไทย อินเดีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว ศรีลังกา ลำต้นกับกิ่งจะค่อนข้างเป็นเหลี่ยม เปลือกลำต้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล จะมีรอยแตกตื้นตามยาวของลำต้น มีหนามยาวอยู่หนึ่งอันที่ตามซอกใบ หนามมีความยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การปักชำกิ่ง สำหรับประเทศไทยพบได้ทุกภาค สามารถพบเจอได้ที่ตามป่าดิบแล้ง ชายฝั่ง บนเขาหิน ป่าชายหาก ป่าเต็งรัง ที่สูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 800 เมตร[1],[3],[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงเวียน ใบเป็นรูปรี รูปไข่ ที่ปลายใบจะป้านเป็นติ่ง ส่วนที่โคนใบจะเป็นรูปลิ่มกว้าง ที่ขอบใบจะเรียบหรือเป็นคลื่นนิดหน่อย ใบกว้างประมาณ 1.8-4.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4.8-8 เซนติเมตร แผ่นใบมี
    ลักษณะแผ่เรียบ หนาคล้ายกับแผ่นหนัง เป็นมัน ด้านบนใบจะเป็นสีเขียวเข้มและเกลี้ยง ท้องใบจะเป็นสีเขียวอ่อนและเกลี้ยง หรือจะมีขนกระจายที่ตามเส้นกลางใบ มีเส้นข้างใบอยู่ประมาณ 5-7 คู่ ใบย่อยเป็นรูปแบบร่างแห ชัดเจนที่ทางด้านล่าง ก้านใบมีความยาวประมาณ 4-8 มิลลิเมตร[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม ออกดอกที่ตามซอกใบ มีกลิ่นหอม ก้านช่อดอกกับก้านดอกจะเกลี้ยงถึงมีขนละเอียด ก้านดอกมีความยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ใบประดับย่อยเป็นรูปใบหอก ร่วงได้ง่าย มีความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร มีขนอยู่ กลีบเลี้ยงจะไม่สมมาตร แยกออกถึงฐานแค่หนึ่งด้านเท่านั้น มักจะมีแฉก 2 แฉก มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร จะเกลี้ยงถึงมีขนละเอียด มีกลีบดอกอยู่ประมาณ 4-5 กลีบ จะแยกจากกันอย่างอิสระ กลีบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปรี มีความยาวประมาณ 6-8 มิลลิเมตร จะเกลี้ยง มีเกสรเพศผู้ประมาณ 8-10 ก้าน มีความยาวไม่เท่ากัน จะสลับกันระหว่างสั้นและยาว ที่โคนจะเชื่อมกันเป็นหลอด จะเกลี้ยง รังไข่อยู่ที่เหนือวงกลีบ มีความยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร มีช่องอยู่ประมาณ 3-4 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุลอยู่ประมาณ 1-2 เม็ด ก้านเกสรเพศเมียมีความยาวเท่ารังไข่ ยอดเกสรเพศเมียมีแฉก 3-4 แฉก มีขนาดไม่เท่ากัน จานฐานดอกมีลักษณะเป็นรูปวงแหวน มีพูประมาณ 8-10 พู [3]
  • ผล เป็นรูปทรงกลม รี มีขนาดเล็ก ผิวผลมีลักษณะเรียบและเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเทา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 เซนติเมตร ผิวผลหนาคล้ายกับหนัง จะมีต่อมน้ำมันเป็นจุดหนา ปลายผลจะมีก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ เนื้อผลด้านในจะเป็นกลีบ มีเมล็ดอยู่ด้านในผล เมล็ดเป็นรูปรี เป็นสีขาว ออกดอกและเป็นผลช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[3]

สรรพคุณมะนาวผี

1. ใบสามารถช่วยแก้อาการท้องเสียได้ (ใบ)[3]
2. น้ำมันที่ได้จากเปลือกผลสามารถใช้ทาภายนอก เป็นยาแก้โรคไขข้ออักเสบได้ (น้ำมันจากเปลือกผล)[3]
3. สามารถช่วยแก้โรคทางเดินหายใจได้ (ใบ)[1],[2],[3]
4. ผลมีสรรพคุณที่สามารถช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจได้ (ผล)[3]
5. สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังได้ (ใบ)[3]
6. ใบ จะมีกลิ่นคล้ายใบมะนาว ใบมะกรูด สามารถช่วยแก้อาการจุกเสียดได้ (ใบ)[3]

ประโยชน์มะนาวผี

  • สามารถนำเนื้อไม้มาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักสาน เครื่องมือใช้สอยภายในบ้านได้[5]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับ[4]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะ นาว ผี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [16 พ.ค. 2014].
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “มะ นาว ผี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [16 พ.ค. 2014].
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะ นาว ผี (Manao Phi)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 225.
4. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะ นาว ผี”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 156.
5. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะนาวผี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [16 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://efloraofindia.com/