มะฝ่อ พืชพรรณพื้นเมืองบังคลาเทศใช้แก้พิษคัน

0
พืชพรรณพื้นเมืองบังคลาเทศใช้แก้พิษคัน พบได้บริเวณริมแม่น้ำในป่าดิบ ดอกสีครีมอมเขียวขนาดเล็ก ผลสดค่อนข้างแข็ง มีขน และฉ่ำน้ำ
มะฝ่อ
พืชพรรณพื้นเมืองบังคลาเทศใช้แก้พิษคัน พบได้บริเวณริมแม่น้ำในป่าดิบ ดอกสีครีมอมเขียวขนาดเล็ก ผลสดค่อนข้างแข็ง มีขน และฉ่ำน้ำ

มะฝ่อ

มะฝ่อ เป็นพืชพรรณพื้นเมืองของบังคลาเทศรวมถึงในอินเดีย ซึ่งพบได้บริเวณริมแม่น้ำในป่าดิบและกึ่งป่าดิบชื้นการแพร่กระจายไปยังทั่วโลกอินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ อินโดจีน เทือกเขาหิมาลัย มาเลเซีย เมียนมาร์ อยู่วงศ์ยางพารา EUPHORBIACEAE ชื่อสามัญอท่นๆ Gutel, Fals white teak และชื่อวิทยาศาสตร์ Trewia nudiflora L. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะปอบ (ภาคเหนือ), ม่อแน่ะ เส่โทคลึ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หม่าที (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) เป็นต้น

ลักษณะของมะฝ่อ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบช่วงสั้นๆ มีความสูงได้อยู่ประมาณ 20-30 เมตร กิ่งก้านใหญ่และแผ่ออกกว้าง ตรงโคนต้นมีพูพอนเล็กๆ อยู่ เปลือกต้นมีสีน้ำตาลอมเทา กิ่งก้านตัดขวางคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ตามกิ่งอ่อน ท้องใบ และช่อมีขนคล้ายรูปดาว สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีการกระจายพันธุ์ในอินเดียถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ ป่าชุ่มชื้นหรือริมห้วย ที่ระดับความสูงประมาณ 50-600 เมตร[1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน เป็นคู่ๆ มีลักษณะเป็นรูปไข่กว้างๆ รูปไข่แกมรี รูปหัวใจ หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบมีความเรียวแหลม ตรงโคนใบจะมีความมนแหลมหรือเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบคล้ายกับใบโพธิ์ ใบมีความกว้างประมาณ 8-13 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 10-22 เซนติเมตร ตรงผิวใบด้านบนจะไม่มีขน แต่ที่เส้นใบจะมีขน และส่วนด้านล่างมีขนขึ้นปกคลุม เส้นใบแตกออกจากฐานใบเป็น 3 เส้น ใบอ่อนมีขนคล้ายรูปดาว ใบแก่บางเป็นสีเขียวออกเหลือง[1],[2]
  • ดอก จะออกดอกอยู่ตามซอกใบ ดอกย่อยมีจำนวนค่อนข้างมาก จะเป็นแบบแยกเพศและอยู่คนละต้นกัน ดอกเป็นสีครีมอมเขียว ขนาดค่อนข้างเล็ก และไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้จะออกช่อตามซอกใบ มีเกสรเพศผู้จำนวนค่อนข้างมาก มีความยาวประมาณ 15-22 เซนติเมตร ดอกจะทยอยบานจากโคนไปสู่ปลายช่อ กลีบรองดอกมีอยู่ประมาณ 3-4 กลีบ มีขนาดประมาณ 3.5 มิลลิเมตร ส่วนดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อ ๆ ก้านดอกจะยาว มีกลีบรองดอกประมาณ 3-5 กลีบ หลุดร่วงได้ค่อนข้างง่าย รังไข่จะมีอยู่มี 2-4 ช่อง ออกดอกในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2]
  • ผล เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือกลมแป้น ผลค่อนข้างแข็ง มีขน และฉ่ำน้ำ มีขนาดประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีเมล็ดเป็นเมล็ดเดี่ยว[1],[2]

สรรพคุณของมะฝ่อ

1. เปลือกต้น น้ำต้มจากเปลือกต้นเป็นยาเย็น มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย (เปลือกต้น)[3]
1.1 สามารถใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้ท่อน้ำดีอักเสบ (เปลือกต้น)[3]
1.2 เปลือกต้น สามารถนำมาต้มกับน้ำ ใช้เป็นยาแก้อาการบวมน้ำ (เปลือกต้น)[3]
1.3 นำมาย่างกับไฟ ต้มกับน้ำดื่มต่างน้ำชา เป็นยารักษาอาการปวดบวมทั้งตัว (เปลือกต้น)[1]
2. ราก สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับลม แก้อาการท้องอืด (ราก)[2],[3]
2.1 น้ำต้มจากรากใช้เป็นยาทาถูนวดแก้อาการปวดตามข้อ (ราก)[3]
3. ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นและราก เข้ายาแก้พิษต่อผิวหนัง มีอาการคัน (เปลือกต้น, ราก)[1]

ประโยชน์ของมะฝ่อ

1. ผล มีรสหวาน สามารถใช้รับประทานได้[1],[2]
2. เนื้อไม้ สามารถใช้ทำหีบ ลังใส่ของ และใช้ทำก้านไม้ขีด คนสมัยก่อนจะชอบนำมาใช้ทำแอกไถนา เพราะมีน้ำหนักเบา[2],[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.(ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ม ะ ฝ่ อ”. หน้า 216.
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ม ะ ฝ่ อ”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7, ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [03 พ.ย. 2014].
3. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ม ะ ฝ่ อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [03 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/
2.http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in/

มะปราง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย

0
มะปราง
มะปราง ผลดิบสีเขียวอ่อนถึงเข้ม ผลสุกสีเหลืองถึงเหลืองอมส้ม เปลือกจะนิ่ม เนื้อด้านในสีเหลืองแดงส้มออกแดง มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด
มะปราง
ผลดิบสีเขียวอ่อนถึงเข้ม ผลสุกสีเหลืองถึงเหลืองอมส้ม เปลือกจะนิ่ม เนื้อด้านในสีเหลืองแดงส้มออกแดง มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด

มะปราง

มะปราง (Plum mango) มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย ลาว พม่า มาเลเซีย ซึ่งจะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Bouea macrophylla Griff. อยู่ในวงศ์มะม่วง ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะผาง ปราง บักปราง ต้นมีลักษณะค่อนข้างแหลมถึงทรงกระบอก จะมีรากแก้วแข็งแรง กิ่งก้านสาขาจะค่อนข้างทึบ ลำต้นสูง 15-30 เมตร

ลักษณะของ

  • ต้น ลักษณะทรงพุ่มค่อนข้างเป็นทรงกระบอก เนื่องจากแตกกิ่งในระดับต่ำ จำนวนกิ่งมาก โดยเฉพาะกิ่งแขนงที่แตกออกจากกิ่งหลัก และกิ่งมีใบติดตลอดจนถึงเรือนยอด ลำต้นมีความสูงในช่วง 15-30 เมตร เนื้อไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง ออกสีเหลืองส้มหรือเหลืองแดง เปลือกลำต้นมียาง
  • ใบ คล้ายกับใบมะม่วงแต่เล็กกว่า ใบเรียวยาว สีเขียว ที่ขอบใบจะเรียบ ส่วนที่แผ่นใบจะเหนียว สามารถเห็นเส้นใบได้ชัด ใบอ่อนจะเป็นสีม่วงแดง มีความยาวประมาณ 14 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3.5 เซนติเมตร
  • ดอกออกเป็นช่อ ออกดอกที่บริเวณปลายกิ่งแขนง เมื่อดอกบานจะเป็นสีเหลือง เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร
  • ผล คล้ายรูปไข่และกลม ที่ปลายจะเรียวแหลม 1 ช่อ จะมีผลประมาณ 1-15 ผล ผลดิบจะเป็นสีเขียวอ่อนถึงเข้ม ผลสุกจะเป็นสีเหลืองถึงเหลืองอมส้ม เปลือกจะนิ่ม เนื้อด้านในจะเป็นสีเหลืองแดงส้มออกแดงจะขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ มีรสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด ภายในผลจะมีเมล็ด 1 เมล็ดมีลักษณะคล้ายเมล็ดของมะม่วง

พืชตระกูลมะปราง

  • มะยงห่าง ภายนอกจะคล้ายมะยงชิด ที่ต่างกันคือรสชาติ มะยงห่างรสจะเปรี้ยวมากมีรสหวานเล็กน้อย มะยงห่างไม่ค่อยนิยมปลูกเพื่อการค้า
  • มะปรางเปรี้ยว มีรสเปรี้ยวทั้งผลดิบและผลสุก เหมาะกับการนำไปแปรรูปมากกว่าการนำมาทานสด อย่างเช่น ดอง แช่อิ่ม น้ำผลไม้ เป็นต้น
  • กาวาง ภายนอกคล้ายกับมะยงชิดกับมะยงห่าง ที่ต่างคือมีกาวางมีรสเปรี้ยวใกล้เคียงกับมะดัน ที่มาของชื่อกาวาง มีเรื่องเล่าว่า มีนกกาหิวโซบินมาเห็นผลไม้ชนิดนี้สีเหลืองสวย เมื่อลองจิกเพื่อลิ้มรสชาติก็ต้องวางแล้วบินหนีไปทันที เป็นที่มาของชื่อ “กาวาง”
  • มะปรางหวาน ผลดิบกับผลสุกมีรสชาติหวานสนิท ความหวานจะแตกต่างกัน หวานมากหรือหวานน้อย เมื่อทานอาจทำให้ไอระคายคอ คันคอ ถ้ามีรสชาติหวานสนิท
  • มะยงชิด มีรสหวานอมเปรี้ยวหรือหวานและเปรี้ยวอยู่ในผลเดียว ขนาดมีทั้งผลเล็กและผลใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ยาว 5-7 เซนติเมตร มะยงชิดมีรสชาติหวานมากกว่าเปรี้ยว ผลดิบมีรสมัน ผลสุกจะมีรสออกหวาน เนื้อจะค่อนข้างแข็ง เปลือกหนา (ถ้ารสเปรี้ยวมากกว่าหวาน จะเรียกว่า “มะยงห่าง”)

มะยงชิดและมะปรางกันอย่างไร

  • ผลดิบจะมีรสมัน ส่วนมะยงชิดผลดิบจะมีรสเปรี้ยวจัด
  • ผลดิบเป็นสีเขียวออกซีด ส่วนมะยงชิดผลดิบจะเป็นสีเขียวจัดกว่า
  • ผลมีขนาดเล็กกว่ามะยงชิด
  • ผลสุกจะมีรสชาติหวานมาก ส่วนมะยงชิดผลสุกจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
  • ผลสุกจะเป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนมะยงชิดจะเป็นสีเหลืองแกมส้ม
  • บางสายพันธุ์เมื่อทานอาจจะทำให้คันหรือระคายคอ ส่วนมะยงชิดเมื่อทานจะไม่มีอาการคันหรือระคายคอ

ประโยชน์ของมะปราง

  • ผลสุกสามารถทานเป็นผลไม้ หรือใช้ทำน้ำผลไม้ ทำแยม นำไปกวน ทานผลดิบกับน้ำปลาหวาน กะปิหวาน หรือนำไปดอง แช่อิ่ม
  • สามารถใช้ใบทำเป็นยาพอกแก้อาการปวดศีรษะได้
  • สามารถแก้น้ำลายเหนียวได้
  • สามารถช่วยฟอกโลหิตได้
  • มีแคลเซียม, ฟอสฟอรัส สามารถช่วยบำรุงกระดูกกับฟันได้
  • สามารถช่วยป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดัน
  • มีวิตามินซีกับเบตาแคโรทีนสูง
  • เหมาะกับคนธาตุดิน หรือผู้ที่เกิดราศีพฤษภ ราศีกันย์ ราศีมังกร ผู้เกิดธาตุนี้มักเสี่ยงโรคความอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ
  • สามารถใช้น้ำจากต้นเป็นยาอมกลั้วคอได้
  • ราก มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้อาการไข้กลับและถอนพิษสำแดงได้
  • สามารถแก้เสลดหางวัวได้
  • สามารถป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้
  • มีวิตามินสูง สามารถช่วยบำรุงและช่วยรักษาสายตาได้
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 100 มิลลิกรัม
โปรตีน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 11.3 กรัม
เส้นใย 1.5 กรัม
เบตาแคโรทีน 230 ไมโครกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 9 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก หนังสือคัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, หนังสือเภสัชกรรมไทยฯ (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), หนังสือคัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว

มะตาด สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ

0
มะตาด
มะตาด สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ผลสีเขียวอมเหลือง ผลสุกเต็มที่มีรสเปรี้ยวถึงหวาน มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ป้องกันการติดเชื้อ และลดความดัน
มะตาด
ผลสีเขียวอมเหลือง ผลสุกเต็มที่มีรสเปรี้ยวถึงหวาน มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ป้องกันการติดเชื้อ และลดความดัน

มะตาด

มะตาด เป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่พบขึ้นตามป่าดิบชื้นที่ใบเขียวชอุ่มตลอดปี ซึ่งอยู่ในวงศ์ Dilleniaceae พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกา ทางตะวันออกไปจนถึงจีนตะวันตกเฉียงใต้ เวียดนาม ประเทศไทยไปยังมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ชื่อสามัญ Chulta, Chalta, Ouu, Elephant apple ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dillenia indica L. จัดอยู่ในวงศ์ส้าน (DILLENIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ส้มปรุ ส้านกวาง ส้านท่า ส้านป้าว ส้านปรุ ส้านใหญ่ (เชียงใหม่), แส้น (นครศรีธรรมราช, ตรัง), สั้น บักสั้นใหญ่ (อีสาน), แอปเปิ้ลมอญ, ส้านมะตาด, ไม้ส้านหลวง (ไทใหญ่), ตึครือเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ลำส้าน(ลั้วะ), เปียวกับ (เมี่ยน) เป็นต้น โดยมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คาบสมุทรมลายู ไทย ลาว พม่า และอินโดจีน

ลักษณะของมะตาด

  • ต้น จัดให้เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร เป็นไม้ที่ไม่มีการผลัดใบ ลักษณะต้นเป็นทรงเรือนยอดทรงพุ่มกลมหรือเป็นรูปไข่ เป็นทรงพุ่มทึบ ลำต้นมักจะคดงอ จะไม่ตั้งตรง และมักจะมีปุ่มปมปรากฏอยู่ตามลำต้น ซึ่งจะเกิดจากร่องรอยของกิ่งแก่ที่หลุดร่วงไปแล้ว ส่วนเปลือกต้นเป็นเปลือกหนา เป็นสีน้ำตาลอมแดงหรือสีทองแดง แต่เมื่อแก่แล้วเปลือกต้นจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และจะหลุดล่อนออกมาเป็นแผ่นบาง ๆ ส่วนการแตกกิ่งก้านของลำต้นนั้นจะไม่สูงจากพื้นดินมามากนัก และการแตกกิ่งย่อยจะเกิดตรงที่ส่วนปลายของยอดกิ่งหลัก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและกิ่งตอน ต้นมีความทนทานต่อความแห้งแล้งและน้ำท่วมได้ดี ในประเทศไทยจะสามารถพบขึ้นได้ทั่วไปตามป่าพรุ ป่าดิบชื้น และริมแม่น้ำลำธาร[1]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับถี่ออกกันเป็นช่อ ๆ บริเวณปลายที่กิ่ง ลักษณะใบเป็นรูปใบหอกหรือรูปไข่กลับ ใบมีความกว้างประมาณ 8-12 เซนติเมตรและยาวอีกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้น ๆ ส่วนโคนใบนั้นเรียวสอบแคบและมน แผ่นใบหนา ใบเป็นคลื่นลอนตามเส้นแขนง ใบที่แยกขนานออกจากเส้นใบไปตามขอบใบ ขอบใบหยักและเป็นฟันเลื่อย มีหนามเล็ก ๆ อยู่ที่ปลายสุดของเส้นแขนงตรงขอบใบ ส่วนท้องใบนั้นจะเห็นเส้นแขนงได้ชัดและมีขนขึ้นอยู่ประปราย ส่วนเส้นแขนงใบตรงมีประมาณ 30-40 คู่ และก้านใบมีความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นร่อง โคนก้านใบแบนและเป็นกาบห่อหุ้มกิ่งเอาไว้[1],[3]
  • ดอก เป็นสีขาวนวลและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกเดี่ยว ๆ บริเวณง่ามใบและกิ่งบริเวณที่ใกล้กับปลาย ส่วนก้านดอกมีความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร และมีขนที่สากมือ กลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นแผ่นโค้งคล้ายช้อนมีอยู่ 5 กลีบ ลักษณะกลีบเป็นรูปไข่กลับผิวบาง มีความกว้างประมาณ 15-18 เซนติเมตร กลีบดอกจะร่วงหลุดได้ง่ายเมื่อดอกบาน ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นสีเหลืองอยู่จำนวนมากล้อมรอบเกสรเพศเมียไว้ โดยเกสรเพศเมียจะเป็นสีขาว ยอดเกสรเพศเมียจะแยกออกเป็นแฉก รังไข่มี 20 ช่อง เมื่อดอกตูมในระยะแรกนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับผล และเมื่อดอกมีขนาดที่เท่ากับผลมะนาวก็จะบานออก และเมื่อดอกบานและได้รับการผสมแล้ว กลีบเลี้ยงจะเริ่มมีการห่อหุ้มเข้ามาใหม่จนมีลักษณะที่เป็นผลกลม ๆ เมื่อเกาะอัดกันแน่นและมีการเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นผล[1],[3]
  • ผล เป็นผลเดี่ยวและเป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดใหญ่และอวบ ซึ่งเป็นกาบที่เกิดขึ้นจากกลีบเลี้ยงที่อัดกันจนแน่นและแข็ง มีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม ผลมีกลิ่นที่เฉพาะตัว มีเมือกเหนียว ๆ และมีรสชาติที่เปรี้ยวอมฝาด ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล มีความกว้างประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร เมล็ดมีเมือกห่อหุ้ม และเมื่อถึงเวลาที่แก่จัดแล้ว เมล็ดจะมีสีน้ำตาลเข้มไปจนเกือบดำ โดยในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมาก[1],[3]

มะส้าน มี 2 พันธุ์ ได้แก่ ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า ซึ่งจะแบ่งออกไปตามรสสัมผัสของเนื้อผล โดยผลที่นิยมนำมาใช้ก็คือข้าวเหนียว เพราะมีเนื้อที่เหนียวนุ่มกว่าข้าวเจ้า [5] ผลสีเขียวอมเหลืองเมื่อสุกเต็มที่จะมีรสเปรี้ยวถึงหวาน มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น รักษาโรคกระเพาะ บำรุงไต สร้างเม็ดเลือดแดง ชะลอความแก่ ป้องกันการติดเชื้อ และลดความดันโลหิต เป็นต้น

สรรพคุณของมะตาด

1. ผลมีสารที่ชื่อว่าฟลาโวนอยด์และสารฟีนอลิก ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (ผล)[1]
2. ผลมีรสชาติที่เปรี้ยวสามารถนำมาใช้รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกายได้ (ผล)[2],[3]
3. ใช้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[1]
4. ใช้ช่วยแก้อาการไอ (ผลสุก)[1],[3],[4]
5. ใช้ช่วยขับเสมหะ (ผลสุก)[1],[3],[4]
6. เปลือกต้นถ้านำมาเคี้ยวจะช่วยทำให้เหงือกและฟันกระชับแน่นขึ้นได้ (เปลือกต้น)[7]
7. ใบและเปลือกต้นมีรสที่ฝาด มักจะนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย โดยการนำเปลือกต้นนั้นเอามาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่ม 2],[4],[7]
8. ผลสุกมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว นำมาใช้รับประทานเป็นยาเย็นได้ [2],[3],[4]
9. ใช้ช่วยต้านอาการลมชัก (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[1]
10. มีฤทธิ์ช่วยถอนพิษไข้ และระบายพิษไข้ (ใบ, เปลือกต้น)[1],[2],[4]
11. ใช้ช่วยแก้ไข้ และลดไข้ (ผล, ใบ, เปลือกต้น)[2],[3],[4]
12. นำมาใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง (ผล)[1],[2],[3]
13. ผลมีเมือกเหนียว ๆ คล้ายกับวุ้น ที่ช่วยในการเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและในลำไส้ (เมือกผล)[1],[7]
14. เปลือกและใบมีรสชาติฝาด นำมาใช้เป็นยาสมานแผลได้ (ใบ, เปลือกต้น)[1]
15. มีฤทธิ์ที่ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก (ผล)[1],[7]
16. นำมาใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ (ผล, ใบ, เปลือกต้น)[1],[2],[3]
17. รากสามารถนำมาใช้เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ (ราก)[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารสกัดหยาบจากผลเทียมและใบด้วยตัวทำละลาย คือ Ethanol 95 % และ Acetone จากการทดสอบความไวของเชื้อแบคทีเรียต่อสารสกัดหยาบ ผลพบว่า สารสกัดหยาบจากผลเทียมที่สกัดด้วยตัวทำละลาย 2 ชนิดที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus แต่จะไม่ยับยั้งเชื้อ Escherichia coli และ Staphylococcus aureus ส่วนสารสกัดจากใบที่สกัดด้วย Acetone นั้นจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus แต่จะไม่ยับยั้งเชื้อ Escherichia coli และ Staphylococcus aureus ส่วนสารสกัดหยาบจากใบที่สกัดด้วย Ethanol 95 % ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิดนี้เลย และจากการทดสอบผลของอุณหภูมิและระยะเวลาต่อความเสถียรของสารสกัดหยาบต่อการเจริญของเชื้อ Bacillus cereus โดยผลพบว่าสารสกัดหยาบจากผลเทียมและใบที่เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีที่สุด รองลงมาคือ 4 องศาเซลเซียส, 60 องศาเซลเซียส และ 100 องศาเซลเซียส ไปตามลำดับ ส่วนผลของระยะเวลาพบว่าในระยะเวลาตั้งแต่ 0, 2, 4 และ 6 สัปดาห์ที่สารสกัดหยาบจากผลเทียมและใบยังคงเสถียรต่อการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย[2]
  • สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ กดระบบประสาทส่วนกลาง และช่วยต่อต้านการอักเสบได้[5]

ประโยชน์ของมะตาด

1. ผลนำมาใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้ และสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อรับประทานมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เช่น การทำเป็นแกงส้ม แกงคั่ว หรือจะนำไปทำเป็นอาหารอื่น ๆ[1] หรือใช้ผลสดจิ้มกินกับน้ำพริก[3] กลีบชั้นในที่มีลักษณะอวบอุ้มน้ำนั้น ใช้จิ้มกับเกลือกินได้ จะให้รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม[7]
2. เมล็ดที่แก่แล้วนั้นสามารถนำมารับประทานสดได้ (มีรสชาติมัน)[5],[6]
3. เปลือกและผล สามารถนำมาใช้ในการย้อมหนังสัตว์และทำเป็นหมึกได้[6]
4. จากภูมิปัญญาของชาวรามัญนั้นได้ทำการนำเปลือกด้านในของผลใช้ทาท้องเรือ เพื่อทำให้เรือแล่นได้เร็วขึ้นได้ เพราะเมือกช่วยลดความเสียดทานของท้องเรือกับผิวน้ำได้[7]
5. คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้ในสวนบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้ในพื้นที่กลางแจ้งและมีเนื้อที่ที่มากพอสมควร เพื่อที่จะใช้เป็นร่มเงาและให้ความร่มรื่น เพราะใบเป็นใบขนาดใหญ่ และขึ้นอยู่หนาแน่น จึงสามารถช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับบรรยากาศ แถมยังช่วยลดโลกร้อนไปในตัวได้อีกด้วย และที่สำคัญมักจะนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกที่มีความโดดเด่นสวยงามเป็นอย่างยิ่ง และมีเส้นใบเป็นริ้วที่ดูสวยงามแปลกตาอีกด้วย[1],[2],[5]
6. เนื้อไม้ของต้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องมือทางการเกษตรหรือทำเครื่องเรือน ใช้ทำเป็นโครงสร้างต่าง ๆ ของบ้านได้ เช่น ทำเสาบ้าน หรือทำเป็นพานท้ายปืน และยังใช้ทำเป็นฟืนได้อีกด้วย[1],[3]
7. น้ำยางจากผลดิบนั้นสามารถนำมาใช้สระผมได้ ซึ่งปัจจุบันนั้นได้มีผู้คิดค้นและดัดแปลงนำมาแปรรูปผลทำเป็นผลิตภัณฑ์สระผม[1],[3]
8. เมือกที่ห่อหุ้มเมล็ดอยู่นั้นสามารถนำมาใช้บำรุงเส้นผมได้ และแถมยังช่วยปกป้องเส้นผมจากแสงแดดและมลพิษได้ โดยการนำเมล็ดที่มีเมือกไปผสมกับน้ำ 4-5 เท่า แล้วจากนั้นนำมาใส่ขวดปิดฝาให้สนิท เขย่าแรง ๆ แล้วกรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอน จากนั้นใช้น้ำที่ได้นี้มาหมักเส้นผมประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็สระผมตามปกติ[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. “มะตาด”. (รศ.ชนะ วันหนุน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 158.108.70.5 (www.kus.ku.ac.th). [8 ธ.ค. 2013].
2. การสำรวจความหลากหลายของพืชสมุนไพร จากตลาดพื้นเมืองทางภาคตะวันตกของประเทศไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “มะตาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pirun.kps.ku.ac.th/~b4816187/. [8 ธ.ค. 2013].
3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะตาด, ส้านใหญ่”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรตอนที่ 5 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [8 ธ.ค. 2013].
4. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “มะ ตาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [8 ธ.ค. 2013].
5. กรุงเทพธุรกิจ. “เมล็ดมะตาด บำรุงเส้นผม”. (ผศ.ดร.ไชยยง รุจจนเวท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokbiznews.com. [8 ธ.ค. 2013].
6. คมชัดลึกออนไลน์. “มะ ตาด เมล็ดกินได้”. (นายสวีสอ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [8 ธ.ค. 2013].
7. สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย. “การถนอมแปรรูปผลมะตาดเพื่อการถนอมอาหารและอนุรักษ์พืชพื้นบ้าน”. (วศินา จันทรศิริ, สุมาลี สุนทรนฤรังสี, นงนุช กัณฑานนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nutritionthailand.or.th. [8 ธ.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/species/show/229573
2.https://www.tasteatlas.com/elephant-apple

มะเดื่อหอม ช่วยบำรุงกำลัง และบำรุงหัวใจ

0
มะเดื่อหอม
มะเดื่อหอม ช่วยบำรุงกำลัง และบำรุงหัวใจ ลำต้นและกิ่งก้านมีขนแข็งและสากมีสีน้ำตาลแกมสีเหลืองอ่อน ผลสดกลมรีสีเหลือง สุกเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม มียางสีขาว
มะเดื่อหอม
ลำต้นและกิ่งก้านมีขนแข็งและสากมีสีน้ำตาลแกมสีเหลืองอ่อน ผลสดกลมรีสีเหลือง สุกเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม มียางสีขาว

มะเดื่อหอม

มะเดื่อหอม (Ficus hirta) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีน้ำยางสีขาว ลำต้นมีความสูงได้ถึง 10 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่ง ลำต้นและกิ่งก้านมีขนแข็งและสากมีสีน้ำตาลแกมสีเหลืองอ่อน เมื่อแก่ลำต้นจะกลวง ที่ตาดอกและใบอ่อนมีขนขึ้นหนาแน่น มีรากเก็บสะสมอาหารเป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม พบขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าละเมาะ ป่าโปร่ง และที่โล่งแจ้ง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และวิธีการปักชำกิ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Ficus hirta Vahl จัดอยู่ในวงศ์ขนุน (MORACEAE)[1] นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หาด (เชียงใหม่), นอดน้ำ (ลำปาง), นมหมา (นครพนม), เดื่อหอมเล็ก เดื่อหอมใหญ่ (ตราด), นอดหอม มะเดื่อเตี้ย (จันทบุรี), มะเดื่อขน (นครราชสีมา), พุงหมู (อุบลราชธานี), เดื่อขน (ภาคเหนือ), เยื่อทง (เย้า-เชียงราย), ส้าลควอย (ขมุ), แผละโอชัวะ เพี๊ยะตะโละสัวะ เพี๊ยะดู้ก (ลั้วะ) เป็นต้น

ลักษณะของมะเดื่อหอม

  • ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูงได้ถึง 10 เมตร จะไม่ค่อยแตกกิ่ง ทั้งลำต้นและกิ่งก้านมีขนที่ค่อนแข็งและสาก มีสีน้ำตาลอมสีเหลืองอ่อน เมื่อแก่แล้วลำต้นจะกลวง ที่ตาของดอกและใบอ่อนจะมีขนขึ้นหนาแน่น มีรากที่คอยเก็บสะสมอาหารเอาไว้อยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำกิ่ง และจะพบได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าละเมาะ ป่าโปร่ง และที่โล่งแจ้ง เขตในการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศศรีลังกา จีนตอนใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน รูปขอบขนานที่คล้ายกับรูปไข่กลับ หรือคล้ายกับรูปใบหอก แผ่นใบเป็นพูลึก 3-5 พู และไม่เท่ากัน โดยเฉพาะในต้นอ่อน หรือเป็นขอบเรียบ ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบเบี้ยว ส่วนขอบใบจักเป็นเลื่อย ใบมีความกว้างอยู่ประมาณ 5-12 เซนติเมตรและมีความยาวอีกประมาณ 12-25 เซนติเมตร ส่วนแผ่นใบมีขนขึ้นทั้งสองด้าน ด้านบนขนจะหยาบเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นอยู่ประปราย ขนมีความยาวและหยาบบนเส้นใบ ด้านล่างขนจะมีความอ่อนนุ่มกว่าขนด้านบน ส่วนใบแก่มีลักษณะที่ค่อนข้างบาง เส้นใบที่ฐานมีความยาวน้อยกว่า 1/2 ของใบ มีเส้นข้างใบประมาณ 7-9 เส้น ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 11 เซนติเมตร และมีหูใบที่แหลม ขนาดประมาณ 0.8-2 เซนติเมตรที่กิ่งก้านมักกลวง และที่ข้อพองออกในต้นอ่อน[1]
  • ดอก ดอกช่อเกิดอยู่ข้างในโครงสร้างกลวงออกตามซอกใบ และประกอบไปด้วยดอกขนาดเล็กจำนวนมากเบียดกันแน่นอยู่บนฐานรองดอก ซึ่งเจริญหุ้มดอก มีช่องเปิดด้านบน และมีใบประดับซ้อนทับกันหลายชั้นปิดอยู่ทำให้ดูคล้ายกับรูปไข่ค่อนข้างกลมอยู่บริเวณกิ่งที่มีใบติดอยู่ ดอกจะเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่ในช่อดอกเดียวกัน ดอกเพศผู้จะมีจำนวนค่อนข้างน้อย โดยจะอยู่ในบริเวณรูเปิดของช่อดอก มีกลีบดอกอยู่ 3-4 กลีบ มีเกสรเพศเมียประมาณ 1-2 ก้าน ส่วนดอกเพศเมียจะมีรังไข่เหนือวงกลีบ ออกดอกได้ตลอดปี[1]
  • ผล เป็นผลสดมีลักษณะที่กลมรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ประมาณ 1.1-2.5 เซนติเมตร ออกเดี่ยว ๆ หรือออกคู่ ผลมีสีเหลือง แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม ผลมีขนที่หยาบสีทองขึ้นหนาแน่น มียางสีขาว ไม่มีก้านผล[1],[2]

สรรพคุณของมะเดื่อหอม

1. ผล มีรสฝาดเย็น สามารถใช้เป็นยาแก้พิษฝี (ผล)[1],[2]
2. ราก มีรสฝาดเย็นหอม ช่วยบำรุงกำลัง ชูกำลัง ทำให้ชื่นบาน (ราก)[1],[2]
2.1 ช่วยแก้หัวใจพิการ (ราก)[1],[2]
2.2 รากใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ผิดสำแดง (ราก)[1],[2],[3]
2.3 รากใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาขับลมในลำไส้และเป็นยาระบาย (ราก)[1],[2],[3]
2.4 รากใช้ฝนกับน้ำดื่มช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี (ราก)[1]
2.5 ช่วยแก้ตับพิการ (ราก)[1],[2]
2.6 รากเป็นยาแก้พิษอักเสบ แก้พิษฝี แก้พิษงู (ราก)[1],[2]
3. ลำต้นหรือราก สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงหัวใจ (ลำต้น, ราก)[1],[2],[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมะเดื่อหอม

  • ส่วนที่อยู่เหนือดินของต้น สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50% มีพิษเฉียบพลันปานกลาง เมื่อทำการฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักรจะมีค่า LD50 เท่ากับ 681 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[1]

ประโยชน์ของมะเดื่อหอม

  • ผลสุก สามารถใช้กินได้ (ขมุ, ลั้วะ)[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะเดื่อ หอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [15 พ.ค. 2014].
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะเดื่อ หอม”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 154.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “มะเดื่อ หอม, มะเดื่อขน”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 7 (ก่องกานดา ชยามฤต, ลีนา ผู้พัฒนพงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [15 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/

มะเดื่อฝรั่ง แหล่งไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

0
มะเดื่อฝรั่ง
มะเดื่อฝรั่ง แหล่งไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ผลอ่อนมีสีเขียว เปลือกบางผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีชมพู เนื้อผลสุกกลิ่นหอม
มะเดื่อฝรั่ง
ผลอ่อนมีสีเขียว เปลือกบางผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีชมพู เนื้อผลสุกกลิ่นหอม

มะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่ง (Fig) เป็นหนึ่งในผลไม้ที่อร่อยมีถิ่นกำเนิดในตุรกีไปจนถึงอินเดีย ส่วนใหญ่ปลูกในสภาพอากาศที่อบอุ่น มะเดื่อลูกฟิกมีวิธีทานทั้งแบบสดและแบบแห้งมีรสหวานโดยธรรมชาติอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น กรดฟีนอลและฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สามารถช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเรื้อรังและเกิดการอักเสบได้ ผลไม้ชนิดนี้มีอยู่หลายร้อยชนิดจะมีสี รสชาติ และขนาดที่แตกต่างกัน สามารถรับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก ชื่อสามัญ Fig ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมะเดื่อ คือ Ficus carica L. อยู่ในวงศ์ขนุน ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มะเดื่อญี่ปุ่น มะเดื่อฝรั่ง มะเดื่อในบทความนี้เป็นคนละชนิดกับมะเดื่อไทย (มะเดื่ออุทุมพร, มะเดื่อชุมพร) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ficus racemosa L.

ลักษณะมะเดื่อฝรั่ง

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง พบเจอเยอะที่ในประเทศตุรกี กรีก เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่ลำต้นเป็นปุ่มแตกกิ่งก้านออก ที่ลำต้นมียางสีขาว
    ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะหนาและแข็ง ด้านหนึ่งจะมีขน ที่ผิวด้านบนจะหยาบ ที่ขอบใบจะหยักลึก 3-5 หยัก
  • ผล ออกเป็นกระจุก ผลมีลักษณะกลมแป้นหรือรูปไข่ เปลือกจะบาง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีแดง สีชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เนื้อมีสีแดงเข้ม เนื้อผลสุกจะกลิ่นหอม มะเดื่อยังเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอียิปต์ อิตาลี กรีซ

ประเทศไทยมีการนำเข้ามะเดื่อแห้งจากต่างประเทศ มีการทดลองปลูกมะเดื่อครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ.2524 มูลนิธิโครงการหลวงกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น มะเดื่อเป็นผลไม้ต่างถิ่นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงติด 1 ใน 10 ของโลก

สรรพคุณของมะเดื่อฝรั่ง

  • ช่วยเสริมสร้างพลังทางเพศได้
  • ช่วยฟอกตับกับม้ามได้
  • ช่วยป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
  • ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ และช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
  • บรรเทาอาการเจ็บคอได้
  • บำรุงกระดูกกับฟันให้แข็งแรง และช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
  • ป้องกันโรคโลหิตจางได้ เพราะมีธาตุเหล็กกับโฟเลตสูง
  • ลดความเสี่ยงการของเกิดโรคหัวใจกับหลอดเลือดได้
  • ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้
  • ช่วยป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงการเกิดของโรคมะเร็งเต้านมในหญิงวัยทองได้
  • บรรเทาอาการของโรคกามโรคได้
  • ป้องกันนิ่วในไต, กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
  • สามารถใช้เป็นยาระบาย และช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
  • สามารถสมานแผลในช่องปากได้
  • สามารถปรับสมดุลกรดด่างในร่างกายได้
  • ช่วยบำรุงและช่วยรักษาสายตาได้
  • สามารถทำให้หัวใจทำงานได้เป็นปกติ และช่วยป้องกันการเกิดของโรคความดันโลหิตสูงได้
  • สามารถช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงการเกิดของโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้

ประโยชน์ของมะเดื่อฝรั่ง

  • สามารถใช้เปลือกของมะเดื่อแทนน้ำตาลได้
  • มีแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัสสูง สามารถช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซม เพิ่มความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อได้
  • ให้พลังงานสูง จะมีคอเลสเตอรอลกับไขมันน้อย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคตับ สามารถทานได้
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
  • สามารถทานเป็นผลไม้สดได้ และสามารถใช้ทำขนมได้ อย่างเช่น พาย แยม อบแห้ง ผลไม้กวน พุดดิง เค้ก ไอศกรีม ใช้ผสมในชาไข่มุก ใส่ในขนมแทนลูกเกด นำผลแห้งไปคั่ว แล้วป่นใช้แทนกาแฟ
  • ประเทศอินเดียนิยมนำใบของมะเดื่อมาทานเป็นอาหาร
  • สามารถช่วยคงความอ่อนเยาว์และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้
  • มะเดื่อเหมาะมากกับผู้ที่ต้องลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีเส้นใยสูง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผลแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 249 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
วิตามินบี 1 0.085 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 2 0.082 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี 3 0.619 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 5 0.434 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 6 0.106 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 9 9 ไมโครกรัม 2%
วิตามินซี 1.2 มิลลิกรัม 1%
วิตามินเค 15.6 ไมโครกรัม 15%
คาร์โบไฮเดรต 63.87 กรัม
เส้นใย 9.8 กรัม
โปรตีน 3.3 กรัม
น้ำตาล 47.92 กรัม
ไขมัน 0.93 กรัม
โคลีน 15.8 มิลลิกรัม 3%
ธาตุเหล็ก 2.03 มิลลิกรัม 16%
ธาตุแมงกานีส 0.51 มิลลิกรัม 24%
ธาตุโพแทสเซียม 680 มิลลิกรัม 14%
ธาตุสังกะสี 0.55 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแคลเซียม 162 มิลลิกรัม 16%
ธาตุแมกนีเซียม 68 มิลลิกรัม 19%
ธาตุฟอสฟอรัส 67 มิลลิกรัม 10%
ธาตุโซเดียม  10 มิลลิกรัม 1%

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

แนะนำ การทานแห้งอาจจะทำให้ฟันผุ เพราะมีน้ำตาลสูง การทานมะเดื่อมากไปอาจทำให้ท้องร่วงได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, นิดดา หงษ์วิวัฒน์), เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, www.organicfacts.net

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.eatingwell.com/
2.https://www.homesandgardens.com/

มะดูก ผลไม้ป่าหายากดอกสีขาวนวล

0
มะดูก
มะดูก ผลไม้ป่าหายากดอกสีขาวนวล ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอมส้ม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่หรือสุกเต็มที่เป็นสีเขียวอมเหลืองแทน
มะดูก
ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอมส้ม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่หรือสุกเต็มที่เป็นสีเขียวอมเหลืองแทน

มะดูก

มะดูก (Ivru wood) เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกแบบทุกสภาพ แต่จะชอบดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี และที่ๆมีแสงแดดเต็มวัน เป็นพรรณไม้ที่มักพบขึ้นตามบริเวณป่าราบ ป่าโปร่งที่ค่อนข้างชื้น โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล และมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Siphonodon celastrineus Griff. จัดอยู่ในวงศ์กระทงลาย (CELASTRACEAE)[1] นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยายปลวก (สุราษฎร์ธานี), ไม้มะดูก (คนเมือง), บั๊กโค้ก (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ลักษณะของมะดูก

  • ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่มีการผลัดใบ ลำต้นมีความสูงได้ถึงประมาณ 20-35 เมตร แตกกิ่งก้านทึบ ตรงเรือนยอดมีลักษณะกลมและทึบ เปลือกต้นเป็นสีเทาอมดำ จะแตกเป็นร่องตามยาว สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปค่อนข้างรีหรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบแถบและเข้าหากัน ส่วนขอบใบเป็นแบบหยักหรือจักเป็นซี่ฟันตื้นๆ จักห่างหรืออาจจะแทบมองไม่ชัด ใบมีความกว้างประมาณ 1-3.5 นิ้ว และความยาวประมาณ 1.5-9 นิ้ว แผ่นใบค่อนข้างหนาคล้ายกับแผ่นหนัง ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม เส้นแขนงของใบมีข้างละ 6-10 เส้น ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร ใบอ่อนเป็นสีเขียวแก่ แต่เมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะกอกหรือสีเขียวอมเทาแทน[1],[2],[5]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อกระจุกอยู่ตามซอกใบ มีประมาณ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 5-11 มิลลิเมตร บางทีจะมีจุดสีน้ำตาลแดงอยู่ ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกเป็นรูปไข่หรือรูปรี มีอยู่ 5 กลีบ จะซ้อนทับกัน มีความกว้างประมาณ 1.7-2.5 มิลลิเมตร และความยาวประมาณ 2.2-3.5 มิลลิเมตร ปลายกลีบค่อนข้างมน ส่วนกลีบเลี้ยงมีอยู่ 5 กลีบ โคนกลีบจะเชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกเป็นรูปไข่หรือกึ่งกลม ค่อนข้างมน มีความยาวได้ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ตรงกลางดอกมีเกสรเชื่อมติดกับกลีบดอกข้างใน มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน ก้านของเกสรเพศผู้แบน ยาวได้ถึงประมาณ 1 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันที่ครึ่งหนึ่งหรือใกล้ ๆ โคนดอก จะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[5]
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปกลมหรือรูปรี มีความกว้างประมาณ 1-2.5 นิ้ว และความยาวประมาณ 1.5-3 นิ้ว ผลอ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่หรือสุกเต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองแทน มีเมล็ดคล้ายรูปไข่อยู่หลายเมล็ด จะออกผลในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2],[5]

สรรพคุณของมะดูก

1. ลำต้น สามารถนำมาตากแห้งผสมกับลำต้นฮ่อสะพานควาย, ข้าวหลามดง, ตานเหลือง, มะตันขอ, ม้ากระทืบโรง, หัวยาข้าวเย็น, แก่นฝาง, โด่ไม่รู้ล้ม และเปลือกลำต้นนางพญาเสือโคร่ง และนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อยได้ (ลำต้น)[3]
2.ราก มีรสมันเมา สามารถใช้รับประทานเป็นยาบำรุงกระดูก ดับพิษในกระดูก (ราก)[1],[2]
2.1 สามารถนำมาต้มผสมกับขันทองพยาบาท ใช้กินเป็นยารักษาโรคมะเร็ง (ราก)[4]
2.2 สามารถใช้กินเป็นยาแก้พิษฝีภายใน ฝีในตับ ฝีในปอด ฝีในกระดูก (ราก)[1],[2]
2.3 สามารถใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน แก้ประดง น้ำเหลืองเสีย เข้าข้อออกดอก (ราก)[1],[2]
2.4 สามารถใช้เป็นยาแก้อาการปวดแสบปวดร้อน (ราก)[2]
2.5 สามารถใช้เป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ (ราก)[1],[2]
2.6 สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดกระดูกและข้อ (ราก)[3]

ประโยชน์ของมะดูก

1. ผลสุก สามารถใช้รับประทานได้ มีรสที่หวานและมีกลิ่นหอม[1],[2]
2. มีการใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ม ะ ดู ก”. หน้า 612-613.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “ม ะ ดู ก”. หน้า 152.
3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ม ะ ดู ก”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [04 พ.ย. 2014].
4. คมชัดลึกออนไลน์. (นายสวีสอง). “ม ะ ดู ก ผลกินได้-รากเป็นยา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.komchadluek.net. [04 พ.ย. 2014].
5. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ม ะ ดู ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [04 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ประโยชน์ของมะขามเทศ 30 ข้อ

0
มะขามเทศ
ประโยชน์ของมะขามเทศ 30 ข้อ ฝักโค้งเป็นวงกลมหรือเป็นเกลียว ฝักแก่สีเขียวอ่อน ขาวปนแดงหรือชมพู เนื้อสีขาวปนแดง หวานมัน เนื้อนุ่ม
มะขามเทศ
ฝักโค้งเป็นวงกลมหรือเป็นเกลียว ฝักแก่สีเขียวอ่อน ขาวปนแดงหรือชมพู เนื้อสีขาวปนแดง หวานมัน เนื้อนุ่ม

มะขามเทศ

มะขามเทศ (Manila tamarind) เป็นผลไม้พื้นบ้านอุดมไปด้วยวิตามินกับแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เส้นใย และเป็นสมุนไพรไทยอีกด้วย เนื่องจากคนโบราณนิยมใช้รักษาโรคปากนกกระจอกเทศ และสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้ นอกจากนั้นยังมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Pithecellobium dulce (Roxb.) Benth. อยู่ในวงศ์ถั่ว และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด เป็นผลไม้ท้องถิ่นบ้านเรา ปลูกทั่วไปที่ตามต่างจังหวัดมีความทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหรือแมลงศัตรู มีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญอยู่ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี โดยมีลักษณะเป็นฝักโค้งเป็นวงกลม มีรสชาติหวานมัน ฝาดนิด ๆ

ประโยชน์ของมะขามเทศ

  • สามารถช่วยรักษาโรคบิดได้
  • ช่วยขับถ่าย และลดปัญหาอาการท้องผูก เนื่องจากมีเส้นใยจำนวนมาก
  • สามารถบรรเทาอาการปวดฟัน ใช้เปลือกต้ม เปลือกข่อย เกลือแกงต้มกับน้ำ นำมาอมแก้ปวดฟัน
  • ช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ใช้เปลือกต้นต้มกับน้ำ นำน้ำฝาดมาใช้กับบาดแผล
  • ใช้เนื้อไม้ต้มกับหัวหอมแล้วนำมาใช้โกรกศีรษะเด็กตอนเช้ามืด สามารถช่วยแก้หวัดจมูกได้
  • ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
  • น้ำที่ได้จากการต้มสามารถเอามาใช้อาบ ใช้อบไอน้ำได้
  • สามารถใช้เนื้อไม้มาทำเป็นเขียงได้ เนื่องจากเนื้อไม้ค่อนข้างเหนียวและทนทาน
  • สามารถใช้ทำยาย้อมผมกับยาสระผมได้
  • นำมาประกอบอาหารได้
  • มีธาตุเหล็ก สามารถช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
  • มีแคลเซียมสูง สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกกับฟัน
  • มีวิตามินบี 1 ช่วยบำรุงประสาทกับสมอง
  • มีวิตามินบี 2 ช่วยบำรุงผิว เล็บ เส้นผม
  • มีวิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
  • มีวิตามินซีสูง ช่วยเรื่องบำรุงผิว เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • มีวิตามินเอ ช่วยเรื่องการมองเห็น
  • มีวิตามินอีสูง ช่วยชะลอวัย
  • เปลือกต้นที่ต้มกับน้ำแล้ว นำมาปรุงยาแก้ท้องร่วงได้
  • นำเมล็ดแก่ 30 เม็ด มาคั่วแล้วกะเทาะเปลือก เอาไปแช่น้ำเกลืออ่อน แล้วทานเป็นยาถ่ายพยาธิ
  • ไส้เดือนในท้องเด็กได้ เปลือกนอกสามารถนำมากินแก้ท้องร่วง แก้อาเจียนได้
  • เปลือกของต้นสามารถช่วยป้องกันโรคฟันผุได้
  • สามารถช่วยรักษาโรคปากเปื่อย โรคปากนกกระจอกเทศ นำเปลือกของต้นต้องเอาเปลือกชั้นนอกออก
  • ก่อน ให้เหลือเปลือกชั้นใน 15 กรัม เกลือป่น 1 ช้อนชา มาต้มกับน้ำ กะพอท่วมยา จนน้ำเดือด รอน้ำอุ่นนำมาใช้
  • อมหลังแปรงฟันทุกครั้ง ทำให้แผลในปากบรรเทาทุเลาลงได้
  • สามารถช่วยขับเสมหะในลำไส้ได้
  • สามารถนำมาปรุงเป็นยาแก้ไอได้
  • ในประเทศอินเดียมีการเอาเมล็ดมาป่นให้ละเอียดต้มกับผ้า ทำให้ผ้าแข็ง
  • เนื้อไม้ที่ต้มกับน้ำแล้ว ใช้กับสตรีหลังคลอด
  • สามารถใช้ทำเป็นยาย้อมผ้า แห อวน จากน้ำฝาดสีดำ
  • สามารถทานดอกกับใบอ่อนได้
  • นำมาทำเป็นสมุนไพรพอกหน้าได้ ใช้ฝักที่แก่จัด มาโขลกเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาวและไข่ขาว คนให้เป็นครีมเหนียว แล้วนำมาพอกหน้า
  • มีฟอสฟอรัส ช่วยการเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารทางการแพทย์ คลิ๊ก @amprohealth

อ้างอิงรูปจาก
1.https://exoticanz.com/products/manila-tamarind-plant-cutting-grown

นมแมวป่า สมุนไพรใช้รากต้มดื่มบำรุงโลหิต

0
นมแมวป่า สมุนไพรใช้รากต้มดื่มบำรุงโลหิต ต้นเป็นไม้เถา ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่ม ผลสดเป็นสีเขียว มีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม ผลสุกสีแดง มีรสหวาน
นมแมวป่า
ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ผลออกเป็นกลุ่ม ผลสดเป็นสีเขียว มีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม ผลสุกสีแดง มีรสหวาน

นมแมวป่า

นมแมวป่า เป็นไม้เถาลักษณะใบหนาทรงพุ่มสมุนไพรไทยชนิดนี้เป็นมากกว่าพืชทั่วไป แต่ยังมีสรรพคุณและประโยชน์ผลสุกมีรสหวานรับประทานได้และใช้รักษา ได้แก่ รากใช้ต้มดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต และยังมีฤทธิ์ต่อต้านเซลล์มะเร็ง สมุนไพรไทยชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด พบได้ในเขตภูมิภาคอินโดจีนรวมถึงในประเทศไทยพบได้ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 150-400 เมตร มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ Ellipeiopsis cherrevensis (Pierre ex Finet & Gagnep.) R.E.Fr. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ : ตุ้มทอง พี้เขา พีพวนน้อย (นครพนม) เป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของนมแมวป่า

  • ต้น เป็นไม้เถา มีความสูงของต้นประมาณ 1-1.5 เมตร และสูงเพิ่มได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งก้านใกล้กับพื้นดิน เปลือกลำต้นผิวเรียบเป็นสีน้ำตาลเข้ม ตามกิ่งก้านกับยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบมน โคนใบมนเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร เนื้อใบหนา หลังใบและท้องใบมีขนขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ก้านใบยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร[1],[2],[3],[4]
  • ดอก ออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุกประมาณ 1-3 ดอก ใต้ใบบริเวณใกล้กับปลายยอด ก้านดอกยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน กลีบดอกหนามีทั้งสิ้น 6 กลีบ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกชั้นนอกมีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอกชั้นใน ปลายกลีบดอกแหลมและสั้นหรือมน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 3 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปไข่และมีขนขึ้นปกคลุม ดอกเกสรเพศผู้มีจำนวนมากเป็นสีส้มล้อมรอบเกสรเพศเมีย รังไข่อยู่เหนือวงกลับ คาร์เพลมีจำนวนมากเรียงอยู่บนฐานดอกแยกกัน ออกดอกในช่วงประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[2],[3],[4]
  • ผล ออกเป็นกลุ่ม มีผลย่อยประมาณ 8-12 ผล ลักษณะผลเป็นรูปกลมรี มีขนาดกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1 เซนติเมตร มีผิวเรียบเป็นมัน ผลสดเป็นสีเขียว มีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม พอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มีรสหวาน เมล็ดมีลักษณะกลม[1],[2],[3],[4]

สรรพคุณของนมแมวป่า

1. นำรากผสมกับรากหญ้าคา เหง้าเอื้องหมายนา และลำต้นของอ้อยแดง เอามาต้มกับน้ำให้สตรีที่ผอมแห้งแรงน้อยดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต กินอาหารไม่ได้ และอาการปัสสาวะขุ่นข้น (ราก)[2],[5]
2. รากต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคไตพิการ (ราก)[1]
3. รากนำมาต้มใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้เล็ก และส่วนรากมีสาร alcaloid ที่มีฤทธิ์ต่อต้านเซลล์มะเร็ง (ราก)[3]
4. ยายหมื่น ดวงอุปะ ให้ข้อมูลว่า ยาตัวนี้ทำให้ผัวเมียรักกัน ด้วยการนำรากมาดองกับเหล้ากินจะทำให้ผัวเมียรักกัน รวมทั้งใช้เคี่ยวกับน้ำมันและสีผึ้ง ใช้นวดริมฝีปากเป็นการนวดเสน่ห์ (ราก)[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “นม แมวป่า (Nom Maeo Pa)”. หน้า 152.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “นม แมวป่า”. หน้า 125.
3. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “นมแมวป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [02 ธ.ค. 2014].
4. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “นม แมวป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [02 ธ.ค. 2014].
5. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่. “ตีนตั่งเตี้ย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rakkhaoyai.com. [02 ธ.ค. 2014].

มะขวิด พรรณไม้แห่งคาบสมุทรอินโดจีน

0
มะขวิด พรรณไม้แห่งคาบสมุทรอินโดจีน ผลแห้ง เปลือกภายนอกแข็งเป็นกะลาสีเทาอมขาว รสชาติที่หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นที่หอม แต่มียางเหนียว
มะขวิด
ผลแห้ง เปลือกภายนอกแข็งเป็นกะลาสีเทาอมขาว รสชาติที่หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นที่หอม แต่มียางเหนียว

มะขวิด

เป็นพรรณไม้ผลกลมสีเทาอมเขียวที่มีความทนต่อสภาพอากาศร้อนแล้งต่าง ๆ ได้ดี ชอบขึ้นในเขตมรสุมหรือในเขตร้อนที่มีสภาพอากาศแห้งแล้งเป็นบางช่วงมีต้นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย พม่า ศรีลังกา และอินโดจีน ปลูกทั่วไปในพื้นที่บริเวณหมู่บ้านและสวน แล้วแพร่กระจายไปตามธรรมชาติ ในประเทศมาเลเซียและเกาะชวากับเกาะบาลี อินโดนีเซีย และได้มีการนำไปปลูกในแถบแคลิฟอร์เนียและฟลอริดา ภาษาอังกฤษ Limonia, Curd fruit, Elephant apple, Gelingga, kavath, Monkey fruit, Wood apple ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Feronia limonia (L.) Swingle และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Limonia pinnatifolia Houtt.) ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเป็นชนิด Limonia acidissima Groff ซึ่งมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Schinus limonia L. จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย AURANTIOIDEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะฝิด (ภาคเหนือ), บักฝิด , หมากฝิด(ภาคอีสาน) เป็นต้น

ลักษณะของมะขวิด

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 เซนติเมตร เป็นไม้ที่ผลัดใบแต่ผลิใบได้ไว รูปทรงของต้นมีความสวยงาม ลักษณะเป็นทรงเรือนยอดพุ่มกลม เปลือกลำต้นภายนอกนั้นเป็นสีเทา ส่วนภายในนั้นเป็นสีขาว
  • ใบ ออกใบเป็นช่อแบบข้อต่อเรียงสลับกันหรือติดกันเป็นกระจุกในบริเวณปุ่มตามกิ่งต่าง ๆ ช่อใบมีขนาดยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ในแต่ละช่อนี้จะมี 1-4 ปล้อง หลังใบเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบมีลักษณะค่อนข้างหนาและเกลี้ยง แต่ตรงท้องใบจะมีสีที่จางกว่า เมื่อนำใบมาส่องผ่านแสงจะสามารถเห็นเป็นต่อมน้ำมันอยู่ทั่วไป มีลักษณะเป็นรูปรี ๆ ใส ๆ อย่างมากมาย ส่วนที่ขอบใบนั้นมีผิวเรียบ ก้านใบย่อยจะมีความยาวที่สั้นมาก แต่ก้านช่อใบนั้นจะยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร[1]
  • ดอกออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ดอกมีขนาดที่เล็กเป็นสีขาวอมสีแดงคล้ำ ๆ ในแต่ละช่อดอกนั้นจะมีทั้งดอกเพศผู้และดอกรวมเพศ[1]
  • ผล หรือ ลูก มีลักษณะกลม เป็นผลแห้ง เปลือกภายนอกมีผิวที่แข็งเป็นกะลา มีสีเทาอมขาวหรือผิวลักษณะเป็นขุยสีขาวปนสีชมพู ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 8-10 เซนติเมตร ผลมีเนื้อค่อนข้างมาก เนื้อในของผลนั้นอ่อนนิ่ม ตอนเมื่อผลสุกแล้วเนื้อเยื่อจะเป็นสีดำ สามารถนำมารับประทานได้ โดยจะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นที่หอม แต่มียางที่เหนียว ผลนั้นมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก มีเมือกห่อหุ้มเมล็ด เมล็ดมีขนาดยาวประมาณ 0.5-0.6 เซนติเมตร เปลือกมีผิวหนาและมีขนขึ้นปกคลุม สามารถที่จะนำมาเคี้ยวรับประทานได้เช่นกัน[1],[4]

สรรพคุณของมะขวิด

1. ผลนำมาทำเป็นยาบำรุงทำให้เกิดความสดชื่น (ผล)[1]
2. ผลดิบเอามาหั่นให้บางแล้วนำไปตากให้แห้ง ใช้ชงกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ผล)[5]
3. ยางมีฤทธิ์ช่วยเจริญธาตุไฟในร่างกาย (ยาง)[1]
4. ผลสามารถช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิดได้[1] โดยการนำผลดิบมาหั่นให้บางแล้วตากให้แห้ง จากนั้นนำมาใช้ชงกับน้ำไว้ดื่ม (ผล)[5]
5. ผลช่วยทำให้เจริญอาหาร (ผล)[1]
6. ราก เปลือก และดอกมีฤทธิ์แก้ลงท้อง (ราก, เปลือก, ดอก)[1]
7. ใบมีฤทธิ์แก้อาการท้องร่วง (ใบ)[1] และยางจากลำต้นเป็นสีจำพวกแทนนิน มีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคท้องร่วงได้เช่นกัน (ยางจากลำต้น)[5]
8. ใบมีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย (ใบ)[2],[6] ส่วนผลและยางนั้นมีฤทธิ์ช่วยบำบัดโรคท้องเสียได้ (ผล, ยาง)[1],[5]
9. ผลมีฤทธิ์รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร (ผล)[1],[5]
10. ใบนำมาใช้ขับลมในกระเพาะ [1]
11. ราก เปลือก ใบ ดอก และผลมีฤทธิ์ช่วยแก้ตัวพยาธิ (ราก, เปลือก, ใบ, ดอก, ผล)[1]
12. ราก เปลือก ใบ และดอกมีฤทธิ์แก้อาการตกโลหิต (ราก, เปลือก, ใบ, ดอก) ในส่วนของใบนั้นสามารถใช้ห้ามโลหิตระดูของสตรีได้ (ใบ)[1],[4],[6]
13. ราก เปลือก ใบ ดอก และผล สามารถใช้ช่วยแก้ฝีเปื่อยพังได้[1]
14. ใบ นำมาใช้เป็นยาฝาดสมาน (ใบ) ช่วยในการสมานบาดแผลได้ (ยาง)[1],[5]
15. ยางจากลำต้นสามารถนำมาใช้ช่วยห้ามเลือดได้ (ยางจากลำต้น)[5]
16. ราก เปลือก ดอก และผลมีฤทธิ์ช่วยแก้บวม [1]
17. ใบนำมาตำใช้พอกหรือทาแก้อาการฟกบวม ปวดบวม ช่วยในการรักษาฝี และโรคผิวหนังบางชนิดได้  [1],[4],[6]
18. สารสกัดจากใบนั้นยังสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้ออหิวาตกโรคในหลอดทดลองได้ด้วย (ใบ)[6]

ประโยชน์ของมะขวิด

1. ต้นปลูกเพื่อปรับภูมิทัศน์ให้เกิดความสวยงาม เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่สวนสาธารณะ เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม สามารถเจริญเติบโตได้เร็วและมีความแข็งแรง[7]
2. ผลนำมารับประทานสดได้ และยังสามารถนำไปทำเป็นน้ำผลไม้และแยมได้อีกด้วย[2]
3. ผลนำมาใช้เป็นอาหารของนกได้[7]
4. เมล็ดสามารถนำมาเคี้ยวรับประทานได้ มีรสชาติที่อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว[1]
5. ยางของผลมีความเหนียว ที่สามารถนำมาใช้เป็นกาวเพื่อใช้ติดหรือเชื่อมต่อสิ่งของต่าง ๆ ได้[1],[2]
6. เนื้อไม้ของต้นเป็นเนื้อไม้ที่มีความแข็งแรง สามารถนำมาใช้ในงานช่างได้[2]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยมะขวิด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [17 ต.ค. 2013].
2.วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org/wiki/Limonia_acidissima. [17 ต.ค. 2013].
3.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th. [17 ต.ค. 2013].
4.หนังสือไม้เทศเมืองไทย. (เสงี่ยม พงษ์บุญรอด). หน้า 406. กรุงเทพฯ. 2522.
5.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ต้นมะขวิด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [17 ต.ค. 2013].
6.อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ต้นมะขวิด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [17 ต.ค. 2013].
7.สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม. แนะนำพันธุ์ไม้สวนสาธารณะกรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: minpininteraction.com. [17 ต.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://ilikadirect.in/?product=limonia-feronia
2.https://indiabiodiversity.org/species/show/31505

มะกอกเกลื้อน สมุนไพรไทยรับประทานเป็นยาแก้ไอ

0
มะกอกเกลื้อน
มะกอกเกลื้อน สมุนไพรไทยรับประทานเป็นยาแก้ไอ ผลเป็นรูปไข่ รูปกลม หรือรูปกระสวย ผลอ่อนสีเหลือง ผลแก่สีเขียวอมเหลือง ผลสดมีรสฝาดเปรี้ยว
มะกอกเกลื้อน
ผลเป็นรูปไข่ รูปกลม หรือรูปกระสวย ผลอ่อนสีเหลือง ผลแก่สีเขียวอมเหลือง ผลสดมีรสฝาดเปรี้ยว

มะกอกเกลื้อน

มะกอกเกลื้อน (Kenari) คือ ไม้ยืนต้นที่ถูกจัดอยู่ในวงศ์มะแฟน โดยต้นไม้ชนิดนี้ทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้นตามบริเวณป่าไม้ผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ป่าดิบแล้ง และตามบริเวณป่าหญ้าหรือทุ่งหญ้าทั่วไป บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100 -1,200 เมตร พบได้ในป่าทุกภาคของประเทศไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Canarium subulatum Guillaumin จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น ๆ ว่า มะเลื่อม (พิษณุโลก, จันทบุรี), มักเหลี่ยม (จันทบุรี), โมกเลื่อม (ปราจีนบุรี), มะกอกเกลื้อน (ราชบุรี), มะเหลี่ยมหิน (มหาสารคาม), มะเกิ้ม (ภาคเหนือ), กอกกัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะกอกเลื่อม (ภาคกลาง), มะกอกเลือด (ภาคใต้), มะกอกกั๋น (คนเมือง), มะเกิ้ม (ไทลื้อ), เกิ้มดง เพะมาง สะบาง ไม้เกิ้ม (ขมุ), ซาลัก (เขมร) เป็นต้น[1],[3],[5]

ลักษณะของมะกอกเกลื้อน

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบมีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ความสูงของต้นประมาณ 10-25 เมตร เรือนยอดกลม ลำต้นตั้งตรง ตามกิ่งมีแผลใบชัดเจน กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมส้มขึ้นอย่างหนาแน่น เปลือกต้นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเทาถึงเทาแก่ และมีรอยแตกเป็นสะเก็ดหรือแตกเป็นร่องตามยาว ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีน้ำตาลอ่อนมีขีดเส้นขาว ๆ เมื่อสับจะมีน้ำยางสีขาวขุ่นหรือน้ำยางใสไหลออกมา น้ำยางเมื่อแห้งนั้นจะเป็นสีน้ำตาลดำหรือสีดำ กลิ่นคล้ายกับน้ำมันสน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงเวียน มีใบย่อยประมาณ 2-5 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบประกอบยาวได้ประมาณ 12-14 เซนติเมตร แกนกลางยาวประมาณ 8.5-12 เซนติเมตร ลักษณะใบย่อยเป็นรูปไข่แกมวงรี รูปรีแกมรูปไข่ รูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปหอก ปลายใบเป็นมนมีติ่งแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมนมีเบี้ยวเล็กน้อย ส่วนขอบใบเป็นหยักเป็นซี่เลื่อยตื้น ๆ ตามรอยหยักนั้นมีขนเป็นกระจุก มีหูใบหลุดร่วงได้ง่าย ใบกว้างประมาณ 8-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-18 เซนติเมตร แผ่นใบผิวกึ่งหนา คล้ายแผ่นหนัง หลังใบด้านบนมีขนขึ้นประปรายที่เส้นกลางใบและขอบใบ ส่วนท้องใบด้านล่างนั้นก็มีขนสั้น ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป ท้องใบเห็นเส้นใบชัดเจน เส้นแขนงใบมีข้างละ 8-15 เส้น ก้านใบย่อยยาวอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.2 เซนติเมตร ก้านใบรวมมีหูใบแคบ 1 คู่ ขนาดประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ส่วนใบเมื่อแก่จะเป็นสีแดงเข้ม[1],[2],[3],[4]
  • ดอก ออกดอกเป็นแบบช่อเชิงลดไปตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง ยาวได้ประมาณ 7-25 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียนั้นแยกกัน แต่อยู่ภายในต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้นั้นจะยาวกว่าช่อดอกเพศเมีย ช่อดอกเพศผู้มักออกดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนงยาว 7-25 เซนติเมตร ส่วนช่อดอกเพศเมียออกดอกเป็นช่อกระจะยาวเพียง 8-10 เซนติเมตร ดอกเพศเมียมีขนประปราย มีกลีบดอกเป็นสีขาวแกมเหลือง มีกลีบ 3 กลีบ ลักษณะรูปขอบขนาน มีขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ส่วนกลีบรองนั้นกลีบดอกที่โคนเชื่อมติดกันจะเป็นรูปกรวยหรือรูปถ้วย ยาวอยู่ที่ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 3 แฉก ยาวประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร มีขนนุ่มทั้งสองด้าน ขอบหยัก ดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน เชื่อมที่ฐานเป็นท่อสั้น ๆ รังไข่อยู่ที่เหนือวงกลีบ เป็นรูปรีมี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 2 เม็ด ออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2],[3],[4]
  • ผล เป็นช่อ ช่อหนึ่งมีผล 1-4 ผล ช่อยาวประมาณ 2.5-8 เซนติเมตร ผลเป็นรูปไข่ รูปกลม หรือรูปกระสวย ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเหลือง ผลเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2.7-3.5 เซนติเมตร ตรงขั้วผลมีกลีบรองกลีบดอกเป็นรูปถ้วยเชื่อมติดอยู่กับก้านช่อดอก มีขนาดกว้างประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร ผลมีเมล็ดเป็นรูปกระสวย 3 เมล็ด เรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ชั้นหุ้มเมล็ดจะแข็งมาก ติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม[1],[3],[4]

สรรพคุณของมะกอกเกลื้อน

1. ชาวเขาเผ่าแม้ว นำต้นมาต้มกับน้ำอาบ ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง (ทั้งต้น)[1],[2],[4]
2. ตำรายาไทยนั้นจะใช้ผลมารับประทานเป็นยาแก้ไอ หรือผลสดหรือผลแห้งนำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือให้ใช้ผลแห้งนำมาตำให้ละเอียด แล้วมาชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ไอ (ผล)[1],[2],[3],[4]
3. ผลรับประทานเป็นยาช่วยขับเสมหะ น้ำลายเหนียว หรือผลสดหรือผลแห้งนำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนอีกวิธีคือใช้ผลแห้งมาตำให้ละเอียด แล้วนำมาชงกับน้ำกิน (ผล)[1],[2],[3],[4]
4. ตำรายาพื้นบ้านของทางอีสานจะนำเปลือกต้นเป็นยารักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน (เปลือกต้น)[4]
5. แก่นมีรสที่เฝื่อนใช้เป็นยาแก้โลหิตระดูพิการ (แก่น)[4]
6. ยางสดเป็นยาทาภายนอกแก้อาการคัน ตุ่มคันหรือเม็ดผื่นคัน (ยาง)[1],[3],[4]
7. แก่นเป็นยาแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย) (แก่น)[4]

ประโยชน์ของมะกอกเกลื้อน

1. ผลสดมีรสที่ฝาดเปรี้ยวรับประทานได้[1] เป็นพืชป่าเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง ประชาชนเก็บผลมาขายได้ โดยการนำผลมาดองและแช่อิ่มแทนลูกหนำเลี้ยบเพื่อรับประทาน[4],[7] หรือจะนำผลแก่รับประทานเป็นผักร่วมกับน้ำพริกก็ได้
2. เนื้อในเมล็ดสีขาวมีรสมันรับประทานได้[4]
3. ยางสดเป็นเครื่องหอม[3],[4]
4. เนื้อไม้นำมาทำโครงสร้างต่าง ๆ ของบ้านได้ เช่น หน้าต่าง ประตู กระดาน พื้น ฝา เครื่องมือเครื่องใช้ภายในร่ม ทำก้านและกลัดไม้ขีดไฟ ทำพิณ ฯลฯ[5] (ในปัจจุบันจัดเป็นไม้หวงห้ามธรรมดา ประเภท ก.)[6]
5. นิยมปลูกเป็นไม้เบิกนำการปลูกป่า เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อน กิ่งหักง่าย และก่อให้เกิดโพรงตอนฝนตกลงมา ทำให้น้ำฝนมาขังอยู่ในโพรงตลอดทั้งปี ชาวอีสานเรียกโพรงนี้ว่า “สร้างนก” ซึ่งหมายถึงแอ่งน้ำสำหรับนก ที่ให้นกมีน้ำกินตลอดทั้งปี[7]
6. หมอยาบางท่านยังใช้น้ำที่ได้จาก “สร้างนก” ไปทำน้ำกระสายยาอีกด้วย[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง

1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “มะ กอก เกลื้อน”. หน้า 118.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะกอกเกลื้อน”. หน้า 57.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “มะ กอก เกลื้อน”. หน้า 592-593.
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะกอกเลื่อม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [05 พ.ย. 2014].
5. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะเกิ้ม, มะกอก เกลื้อน”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [05 พ.ย. 2014].
6. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “มะกอก เกลื้อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [05 พ.ย. 2014].
7. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “มะกอกเกลื้อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [05 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก

1. https://www.ydhvn.com/lists/cay-tram-ken-tram-la-do-ca-na-mui-nhon-canarium-subulatum-guill
2. https://www.ydhvn.com/cay-thuoc-quanh-ta/cay-tram-trang-ca-na-canarium-album-lour-raeusch