ลักษณะและสรรพคุณของมะค่าแต้

0
ลักษณะและสรรพคุณของมะค่าแต้ ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองแกมสีเขียว ฝักแบนค่อนกลมรูปโล่ มีหนามแหลม โคนผลเบี้ยวมีติ่งแหลม เมล็ดมีรสชาติเบื่อขม
มะค่าแต้
ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองแกมสีเขียว ฝักแบนค่อนกลมรูปโล่ มีหนามแหลม โคนผลเบี้ยวมีติ่งแหลม เมล็ดมีรสชาติเบื่อขม

มะค่าแต้

ไม้มะค่าแต้ Ma kha num เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ให้ร่มเงาดี ผลทรงแบนสีเขียวมีหนามแหลมคมเมื่อผลเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมีเมล็ดสีดำใหญ่อยู่ด้านใน มีเขตการกระจายพันธุ์จากที่ภูมิภาคอินโดจีนถึงมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยพบเจอได้ที่ตามป่าโคกข่าว ป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณแล้ง และก็ป่าชายหาดที่มีระดับใกล้น้ำทะเลถึงที่มีความสูง 400 เมตร ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Sindora siamensis Miq. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain, Galedupa siamensis (Teijsm.) Prain, Sindora cochinchinensis Baill., Sindora siamensis var. siamensis, Sindora wallichii var. siamensis (Teijsm.) Baker อยู่วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่วงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[1] มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง), กอกก้อ (ชาวบน, จังหวัดนครราชสีมา), มะค่าแต้ (ภาคกลาง), มะค่าหนาม (ภาคเหนือ), แต้หนาม, ก้าเกาะ (เขมร, จังหวัดสุรินทร์), มะค่าหนาม (ภาคกลาง), มะค่าหยุม, แต้ (ภาคอีสาน), กอเก๊าะ (เขมร, จังหวัดสุรินทร์), มะค่าลิง (ภาคกลาง) [1],[3],[7]

ลักษณะมะค่าแต้

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 10-15 เมตร จะแตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เรือนยอดมีลักษณะเป็นรูปร่มหรือทรงเจดีย์ต่ำ กิ่งอ่อนกับยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลอยู่ เปลือกต้นจะเรียบเป็นสีเทาคล้ำ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง[1],[4]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับ ใบย่อยมีอยู่ประมาณ 3-4 ใบ แกนช่อใบมีความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบเป็นรูปรี รูปไข่ ที่ปลายใบจะเว้าตื้น ส่วนที่โคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเป็นคลื่น ใบกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร ใบหนา แผ่นใบด้านบนจะมีขนหยาบ ท้องใบจะมีขนนุ่ม[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อที่ตามซอกใบและที่ตามปลายกิ่ง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะเป็นสีเหลืองแกมสีเขียว มีกลีบเลี้ยงหนารูปไข่กว้างอยู่ 4 กลีบ ที่ปลายกลีบจะมีหนามขนาดเล็กอยู่ กลีบดอกมีความยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้อยู่ 10 ก้าน และจะมี 2 ก้านที่ใหญ่กว่าก้านอื่น ที่ด้านนอกของดอกจะมีขนสีน้ำตาลอยู่ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 0.2-0.4 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2]
  • ผล เป็นฝักเดี่ยว มีลักษณะแบนค่อนข้างที่จะกลม ผิวเปลือกมีหนามแหลมอยู่ ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่กว้าง เป็นรูปโล่ ที่โคนเบี้ยว โคนมักจะมีติ่งแหลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร เมื่อแห้งก็จะจะแตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดสีดำอยู่ในฝักประมาณ 1-3 เมล็ด ผลจะแก่ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน[1],[2]

สรรพคุณมะค่าแต้

1. สามารถนำปุ่มที่เปลือกมาต้มรมให้หัวริดสีดวงที่ทวารหนักฝ่อได้ (ปุ่มเปลือก[4], ผล[6])
2. เมล็ดจะมีรสชาติเบื่อขม สามารถทำให้ริดสีดวงทวารแห้งได้ (เมล็ด)[6]
3. เมล็ด ผล ปุ่มเปลือก สามารถใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนังได้ (เมล็ด, ผล, ปุ่มเปลือก)[4],[6]
4. สามารถนำเปลือกมาต้ม ใช้แก้ซาง แก้ลิ้นเป็นฝ้าได้ (เปลือก)[5]
5. นำเปลือกต้นมาผสมเปลือกต้นยางยา เปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม รากถั่วแปบช้าง เปลือกต้นหนามทันมาต้มกับน้ำดื่ม สามารถใช้เป็นยาแก้อีสุกอีใสได้ (เปลือกต้น)[1]
6. ปุ่มเปลือกจะมีรสเมาเบื่อ สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มใช้เป็นยาแก้พยาธิได้ เมล็ดจะมีรสเมาเบื่อสุขุม สามารถใช้เป็นยาขับพยาธิได้ (ปุ่มเปลือก, เมล็ด)[4]

ประโยชน์มะค่าแต้

  • ใช้ทำเป็นถ่านได้ สามารถให้ความร้อนได้ถึง 7,347 แคลอรีต่อกรัม[4]
  • สามารถนำเมล็ดแก่มาเผาไฟและกะเทาะเปลือกออก นำแต่เนื้อด้านในมาทานเป็นอาหารว่างได้ เนื้อจะแข็งมีรสมัน[4]
  • เนื้อไม้มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลแก่ ถ้าทิ้งเอาไว้นานจะมีสีเข้มขึ้น มีเส้นสีเข้มกว่าสลับกับเนื้อไม้ เสี้ยนสนแต่สม่ำเสมอ แข็งแรง ทนทาน ทนปลวกได้ เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่งยาก ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ แต่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก สามารถใช้ทำกระดูกเรือ หมอนรองรางรถไฟ เครื่องเกวียน เครื่องบน พื้นรอง ตง เสา โครงเรือใบเดินทะเล ลูกกลิ้งนาเกลือ เครื่องไถนา เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องเรือน พื้น และรอดได้[2],[3],[4]
  • เปลือก ฝัก จะให้น้ำฝาดชนิด Pyrogallol กับ Catechol ที่ใช้ฟอกหนัง [4]
  • นิยมนำเปลือกต้นมาใช้ย้อมสีเส้นไหม และย้อมแหสีแดง[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลพรรณไม้โรงเรียนบ้านเขาหินซ้อน(พัฒนาการภาคตะวันออก), งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนบ้านเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา. “มะค่า แต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.hinsorn.ac.th/botanyhinsorn. [12 พ.ค. 2014].
2. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน เพื่อลดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้โครงการชุมชนอยู่คู่อุตสาหกรรม. “มะค่าแต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: onep-intranet.onep.go.th/plant/. [12 พ.ค. 2014].
3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะค่าแต้”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 150.
4. โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะค่า แต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th/learning/botanical-garden/. [12 พ.ค. 2014].
5. โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. “มะค่า แต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: rspg.dusit.ac.th. [12 พ.ค. 2014].
6. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “มะค่า แต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [12 พ.ค. 2014].
7. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/eddingrid/38295273631
2.https://flora.pao-sisaket.go.th/flora-info/6

มะเกลือ กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
มะเกลือ
มะเกลือ กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ แก่นมีสีดำสนิท ใบอ่อนมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลือง ผลแก่สีดำและแห้ง
มะเกลือ
แก่นมีสีดำสนิท ใบอ่อนมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลือง ผลแก่สีดำและแห้ง

มะเกลือ

มะเกลือ Ebony tree เป็นพืชที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานมักพบในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง เนื่องจากสมัยก่อนชาวบ้านนิยมนำเปลือกแก่นมีสีดำสนิทจากลำต้น และผลนำมาต้มย้อมผ้า ย้อมแห เพราะผลสุกจัดเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Diospyros mollis Griff. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มักเกลือ (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมักเกลือ มะเกลือ (ตราด), ผีเผา ผีผา (ฉาน-ภาคเหนือ), มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกลื้อ (ทั่วไป)

  • ลักษณะของต้น
    – มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    – เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
    – มีความสูงประมาณ 10-30 เมตร
    – มีเรือนยอดเป็นพุ่ม
    – ลำต้นเปลา
    – ที่โคนต้นขึ้นเป็นพูพอน
    – ผิวเปลือกแตกเป็นรอยสะเก็ดเล็ก ๆ ตามยาว
    – สีดำ
    – เปลือกด้านในสีเหลือง
    – กระพี้มีสีขาว
    – แก่นมีสีดำสนิท
    – เนื้อละเอียดและมีความเป็นมันสวยงาม
    – กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ๆ ขึ้น
    – สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ด
    – สามารถพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย
    – ยกเว้นภาคใต้
    – พบได้มากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร และอุดรธานี
    – นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุพรรณบุรีด้วย
  • ลักษณะของใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก
    – ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรี
    – โคนใบกลมหรือมน
    – ปลายใบสอบเข้าหากัน
    – ผิวใบเกลี้ยง
    – ใบกว้าง 3.5-4 เซนติเมตรและยาว 9-10 เซนติเมตร
    – ใบอ่อนมีขนปกคลุมอยู่ทั้งสองด้าน
  • ลักษณะของดอก
    – ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศต่างต้นกัน
    – ดอกตัวผู้จะมีขนาดเล็ก
    – สีเหลืองอ่อน
    – ในหนึ่งช่อจะมีอยู่ 3 ดอก
    – ดอกตัวเมียจะเป็นดอกเดี่ยว
    – กลีบรองดอกยาว 0.1-0.2 เซนติเมตร
    – โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย
    – ปลายกลีบดอกจะแยกเป็น 4 กลีบ
    – เรียงเวียนซ้อนทับกัน
    – ตรงกลางดอกจะมีเกสร
  • ลักษณะของผล
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
    – ผิวเรียบเกลี้ยง
    – ผลอ่อนเป็นสีเขียว
    – ผลสุกเป็นสีเหลือง
    – ผลแก่เป็นสีดำและแห้ง
    – ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่บนผล 4 กลีบ
    – ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
    – ในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองอยู่ประมาณ 4-5 เมล็ด
    – มีขนาดกว้าง 0.5-0.7 เซนติเมตรและยาว 1-2 เซนติเมตร

สรรพคุณในด้านการแพทย์

  • สาร Diospyrol diglucoside ช่วยพยาธิสามัญทุกชนิด พยาธิเส้นด้าย (Threadworm) พยาธิตัวกลม (Roundworm) พยาธิตัวตืด (Tapeworm) พยาธิปากขอ (Hookworm) พยาธิแส้ม้า (Whipworm)
    สารชนิดนี้จะไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ เพราะเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี แต่จะถูกพยาธิกินเข้าไปแทน และทำให้พยาธิตาย แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้นิยมใช้กันแล้ว และยังมีราคาถูกหาได้ทั่วไปตามชนบท
  • ช่วยถ่ายตานซาง
  • ถ่ายกระษัย

วิธีการใช้สมุนไพรมะเกลือขับพยาธิ

– ให้เลือกใช้ผลสดที่โตเต็มที่และเขียวจัด
– ใช้จำนวนผลเท่ากับอายุแต่ไม่เกิน 20-25 ผล เช่น หากอายุ 30 ปี ก็ให้ใช้เพียง 25 ผล
– นำผลสดมาล้างให้สะอาดแล้วมาโขลกพอแหลก
– คั้นเอาแต่น้ำมาผสมกับหัวกะทิสด
– นำมาดื่มขณะท้องว่างก่อนอาหารเช้าทันที
– ห้ามทิ้งไว้เพราะจะทำให้น้ำมีพิษ และฤทธิ์ในการถ่ายพยาธิลดน้อยลง
– หลังรับประทานไป 3 ชั่วโมงแล้ว หากยังไม่ถ่ายให้ใช้ยาถ่ายตาม

สรรพคุณของมะเกลือ

– ใบ ใช้แก้อาการตกเลือดภายหลังการคลอดบุตรของสตรี
– เปลือกต้น ช่วยแก้พิษ
– เปลือกต้น ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
– เปลือกต้น ช่วยขับเสมหะ
– เปลือกต้นกับราก ช่วยแก้พิษตานซาง
– ลำต้น ช่วยแก้ตานซางขโมย
– ราก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร
– ราก ใช้แก้ลม แก้อาเจียน
– แก่น ช่วยแก้ฝีในท้อง
– ลำต้น เปลือกต้น และราก ช่วยแก้กระษัย
– ลำต้น แก่น เปลือกต้น ราก และเมล็ด ช่วยขับพยาธิ

ประโยชน์ของมะเกลือ

  • เปลือกต้น ใช้ทำเป็นยากันบูดได้
  • เปลือก สามารถนำไปปิ้งไฟให้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง นำมาผสมกับน้ำตาล แล้วนำไปหมักไว้ ก็จะได้แอลกอฮอล์ที่เรียกว่า น้ำเมา
  • ไม้ มีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ทำเครื่องเรือนได้ดี หรือจะใช้ทำเป็นเครื่องดนตรี หรือเครื่องประดับมุก
  • ผลสุก สามารถนำมาใช้ย้อมผ้าหรือย้อมแห สีที่ได้จะเป็นสีดำเข้มและติดทนนาน
  • ผล สามารถนำมาใช้ทาไม้ให้มีสีดำ ในการฝังมุกโต๊ะและเก้าอี้ ช่วยทำให้มีลวดลายสวยสดงดงามมากขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้มะเกลือขับพยาธิ

  • ผลมีสาร “ไดออสไพรรอล” (Diospyrol) เป็นสารจำพวก “แนฟทาลีน” (Naphthalene) ที่เป็นพิษต่อประสาทตา หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปจะทำให้สารดังกล่าวถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจนทำให้เกิดอาการอักเสบของเรตินาได้ โดยจะเกิดภายหลังจากการได้รับสารชนิดนี้เข้าไป 1-2 วัน จะทำให้การมองเห็นแย่ลง แม้จะใส่แว่นตาก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งมองไม่เห็นเลย
  • ควรบดยาด้วยการใช้ครกหินจะดีที่สุด
  • ห้ามใช้น้ำปูนใสในการผสมยา
  • สำหรับบางคนนั้นอาจจะเกิดอาการแพ้ ทำให้เกิดอาการท้องเดินบ่อย ๆ มีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก มีอาการวิงเวียนศีรษะและอาเจียน มีอาการตามัว หากรุนแรงมากอาจถึงขั้นทำให้ตาบอดได้
  • ผู้ที่รับประทานบางคนนั้นอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องเสียได้ เพราะระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
  • การใช้ผิดวิธีหรือแม้แต่ใช้อย่างถูกต้องก็อาจจะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากบางคนมีความไวและการตอบสนองต่อฤทธิ์ยา
  • ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์หรือสตรีหลังคลอดใหม่ ๆ หรือในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ รวมไปถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคอื่น ๆ
  • ไม่ควรรับประทานผลสุกสีดำในการถ่ายพยาธิโดยเด็ดขาด เพราะมีพิษอันตรายมาก อาจทำให้ตาบอดได้
  • การเตรียมยาแต่ละครั้งไม่ควรเตรียมไว้ในปริมาณมากเกินกว่าที่จะรับประทาน ควรเตรียมแบบสดใหม่และใช้กินทันทีเท่านั้น
  • ในปัจจุบันไม่มีการแนะนำให้ใช้ผลในการถ่ายพยาธิแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยง เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยอย่างแน่นอนว่ามันจะแปรสภาพไปเป็นสารที่ทำให้ตาบอดได้มากน้อยเพียงใด และที่สำคัญโรคพยาธิต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ลดน้อยลงอย่างมากหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน แถมกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่แนะนำให้นำมาใช้เป็นยาถ่ายอีกด้วย

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, นิตยสารหมอชาวบ้าน (นพ.ประเสริฐศักดิ์ ตู้จินดา), เว็บไซต์โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.disthai.com/

ลักษณะและสรรพคุณของเฟิร์นใบเงิน

0
เฟิร์นใบเงิน
ลักษณะและสรรพคุณของเฟิร์นใบเงิน เลี้ยงง่าย ชอบที่ร่มแสงรำไร พบตามพื้นที่ ๆ มีความชื้นสูง เช่นตามลำห้วย หน้าผาน้ำตกในป่าดิบชื้น ใบมีสปอร์เป็นตุ่มติดที่ขอบใบ
เฟิร์นใบเงิน
ใบประกอบแบบขนนกซ้อนกัน มีสปอร์เป็นตุ่มติดที่ขอบใบ ใบตรงกลางมีสีขาวอมเหลืองส่วนขอบใบมีสีเขียว ขอบหยักฟันเลื่อย

เฟิร์นใบเงิน

เฟิร์นใบเงิน เป็นพรรณไม้ท้องถิ่นของนิวซีแลนด์ไม้มลคลชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มไม้ประดับ เฟิร์นชนิดนี้มีใบที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะสังเกตุได้ง่ายใบตรงกลางมีสีขาวอมเหลืองส่วนขอบใบมีสีเขียวพบได้ในป่าร้อนชื้นใกล้แหล่งน้ำ ไม่ชอบแดดจัด ชื่อสามัญ Slender brake fern, Silver lace fern, Sword brake fern[3]
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Pteris ensiformis Burm. f. อยู่วงศ์ PTERIDACEAE และอยู่วงศ์ย่อย PTERIDOIDEAE[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เฟิ่งกวนเฉ่า (จีนกลาง), เฟินแซ่เงิน (ไทย), เฟิงเหว่ยเฉ่า (จีนกลาง), เฟิร์นเงินใบเขียว (ไทย), เฟินเงิน (ไทย)[1],[2]

ลักษณะเฟิร์นใบเงิน

  • ต้น เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี สูงประมาณ 15-60 เซนติเมตร ขึ้นเป็นกอ ก้านใบมีความยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร แทงขึ้นจากรากใต้ดิน มีรากที่กลมสั้น จะมีเกล็ด[1] โตได้ดีในที่ที่มีความชื้นสูง มีแสงแดดพอประมาณ และที่สภาพดินโปร่ง[2]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกซ้อนกัน จะมีประมาณ 3-5 คู่ จะแตกแฉกออกอีกประมาณ 1-3 คู่ ใบย่อยรียาว เรียวแคบ ใบกว้างประมาณ 5-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร ที่ขอบใบจะแบนเรียบแต่ใบที่เติบโตไม่สมบูรณ์ขอบจะหยักฟันเลื่อย ใบมีสปอร์เป็นตุ่มติดที่ขอบใบ แต่ใบเล็กไม่มีรังไข่ของสปอร์[1]

สรรพคุณเฟิร์นใบเงิน

1. ทั้งต้นสามารถช่วยแก้อาการตกเลือดของสตรีได้ (ทั้งต้น)[1]
2. สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังผดผื่นคันได้ (ทั้งต้น)[1]
3. สามารถช่วยแก้บิดมูกเลือดได้ (ทั้งต้น)[1]
4. ในตำรับยาแก้บิด ใช้เฟิร์นเงิน 20 กรัม เอี่ยบ๊วย 20 กรัม อึ่งแปะ 20 กรัม มาต้มกับน้ำทาน (ทั้งต้น)[1]
5. ทั้งต้นสามารถช่วยขับน้ำชื้นในร่างกายได้ (ทั้งต้น)[1]
6. ต้นเฟิร์นเงินจะมีรสชาติขมเล็กน้อย เป็นยาเย็น จะมีพิษนิดหน่อย ออกฤทธิ์กับลำไส้ ตับ กระเพาะ สามารถใช้เป็นยาแก้พิษ ทำให้เลือดเย็น แก้อาการร้อนในได้ (ทั้งต้น)[1]
7. ต้นเฟิร์นเงินสามารถใช้รักษาตับอักเสบแบบดีซ่านได้ (ทั้งต้น)[1]
8. ทั้งต้นสามารถใช้เป็นยาแก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ขับปัสสาวะได้ (ทั้งต้น)[1]
9. ทั้งต้นสามารถช่วยรักษาเต้านมอักเสบได้ (ทั้งต้น)[1]
10. ทั้งต้นสามารถช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบได้ (ทั้งต้น)

วิธีใช้ : ต้นแห้งให้ใช้ครั้งละประมาณ 20-35 กรัม มาต้มกับน้ำทาน หรือใช้กับยาตัวอื่นในตำรับยา

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • ทางคลินิกรายงานว่า การแก้บิดติดเชื้อให้ใช้ยาแห้ง 500 กรัมมาต้มกับน้ำ 5,000 ซีซีเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็ให้นำกากออก นำน้ำที่ต้มมาสกัดให้เข้มข้นประมาณ 60 ซีซีต่อยาแห้ง 35 กรัม ให้คนไข้ทานครั้งละ 60 ซีซี วันละ 2 ครั้ง ให้ทานติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน จากการรักษาผู้ป่วยจำนวน 85 ราย ปรากฏว่า มีผู้ป่วยหายเป็นปกติ คิดเป็น 57% ถ้าหากทานติดต่อกันเป็นเวลา 6 วันขึ้นไปจะสามารถช่วยให้ถ่ายได้เป็นปกติ พบว่าขณะทำการรักษาไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยา หรืออาการเป็นพิษ[1]
  • สารที่ได้จากต้นเฟิร์นเงินนั่นก็คือสารจำพวก Phenols, Flavonoid glycoside, Amino acid [1]
  • จากการทดลองนำน้ำที่ต้มได้มาทดลองกับเชื้อบิดอะมีบา ปรากฏว่ามีฤทธิ์ในการช่วยยับยั้งเชื้อบิดอะมีบาได้[1]

ประโยชน์เฟิร์นใบเงิน

  • สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป จัดสวน ประดับอาคาร[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Pteris ensiformis”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org/wiki/Pteris_ensiformis. [10 พ.ค. 2014].
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เฟิร์นเงิน”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 410.
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เฟิร์นเงินใบเขียว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [10 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.gardensonline.com.au/
2.https://www.bomagardencentre.co.uk/

เพชรสังฆาต กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
เพชรสังฆาต
เพชรสังฆาต กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน เป็นไม้เถาสี่เหลี่ยมมีข้อต่อกัน ดอกเป็นสีเขียวอ่อนเป็นช่อ ผลกลมเรียบเป็นมัน ผลสุกสีแดงออกดำ
เพชรสังฆาต
เป็นไม้เถาสี่เหลี่ยมมีข้อต่อกัน ดอกเป็นสีเขียวอ่อนเป็นช่อ ผลกลมเรียบเป็นมัน ผลสุกสีแดงออกดำ

เพชรสังฆาต

เพชรสังฆาต เป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และแอฟริกาและมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปตามประเทศเขตร้อนของทวีป มักพบตามบริเวณป่าหรือที่ชื้น ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cissus quadrangularis L. จัดอยู่ในวงศ์องุ่น (VITACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ สันชะควด (กรุงเทพ), ขั่นข้อ (ราชบุรี), สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)

ลักษณะของต้นเพชรสังฆาต

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นไม้เถา
    – เถาอ่อนเป็นสีเขียว
    – เป็นสี่เหลี่ยม
    – เป็นข้อต่อกัน
  • ลักษณะของใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว รูปสามเหลี่ยม
    – แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน
    – ออกเรียงสลับกันตามข้อต้น
    – ปลายใบมน
    – โคนใบเว้า
    – ขอบใบหยักมนห่าง ๆ
    – ก้านยาว 2-3 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก
    – ดอกเป็นสีเขียวอ่อน
    – ออกเป็นช่อ
    – ออกตามข้อตรงข้ามกับใบ
    – กลีบดอกมี 4 กลีบ
    – โคนด้านนอกสีแดง
    – โคนด้านในเขียวอ่อน
    – เมื่อดอกบานเต็มที่จะงองุ้มไปด้านล่าง
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน
  • ลักษณะของผล
    – ผลเป็นรูปทรงกลม
    – ผิวเรียบเป็นมัน
    – ผลอ่อนสีเขียว
    – ผลสุกสีแดงออกดำ
    – มีเมล็ดกลมสีน้ำตาล 1 เมล็ด
    – ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร คือ เถา ราก ใบยอดอ่อน และน้ำจากต้น

สรรพคุณของเพชรสังฆาต

  • ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงได้
  • ต้น สามารถช่วยขับน้ำเหลืองเสียได้
  • เถา สามารถใช้แก้กระดูกแตก หัก ซ้นได้
  • เถา สามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้
  • ใบยอดอ่อน สามารถช่วยรักษาโรคลำไส้ที่เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยได้
  • น้ำจากต้น สามารถใช้ปรุงเป็นยาธาตุ ช่วยให้เจริญอาหารได้
  • น้ำจากต้น สามารถนำมาใช้หยอดหู แก้น้ำหนวกไหลได้
  • น้ำจากต้น สามารถนำมาใช้หยอดจมูก แก้เลือดเสียในสตรี ประจำเดือนไม่ปกติได้
  • ใบกับราก สามารถใช้เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหักได้
  • เถากับน้ำจากต้น สามารถใช้แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติได้
  • เถากับน้ำจากต้น สามารถนำมาใช้แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

ประโยชน์ของเพชรสังฆาต ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ

  • การใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยมีงานวิจัยของ พญ. ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ และคณะ ได้ประเมินประสิทธิภาพของสมุนไพรกับผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงทวารจำนวน 121 คน เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันอย่างดาฟลอน (Daflon)
  • ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของการประเมินผลของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับยาดาฟลอนไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
  • ที่สำคัญยังพบว่าค่าใช้จ่ายของยาแคปซูลเพชรสังฆาตถูกกว่ายาดาฟลอนถึง 20 เท่าอีกด้วย
  • ผลการวิจัยนี้จึงมีการสรุปว่าแคปซูลเพชรสังฆาตสามารถใช้ทดแทนยาดาฟลอนในการรักษาโรคริดสีดวงทวารได้อย่างดี

วิธีการทำยารักษาริดสีดวง

วิธีที่ 1

  • ใช้เถาสด ๆ ประมาณ 2-3 องคุลีต่อหนึ่งมื้ออาหาร
  • นำมารับประทานด้วยการสอดไส้ในกล้วยสุก หรือมะขามเปียก หรือใบผักกาดดองแล้วกลืนลงไป ห้ามเคี้ยว
  • เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้จะมีผลึก Calcium Oxalate รูปเข็มเป็นจำนวนมาก การรับประทานสด ๆ อาจทำให้ระคายต่อเยื่อบุในปากและในลำคอได้
  • การรับประทานจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 วัน อาการของโรคริดสีดวงก็จะดีขึ้น

วิธีที่ 2

  • นำเถาแห้งนำมาบดเป็นผง ใส่แคปซูลเบอร์ 2 ขนาด 250 มิลลิกรัม
  • รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและช่วงก่อนนอน
  • รับประทานไปสัก 1 อาทิตย์ก็จะเห็นผล

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.malawiflora.com/
2.https://www.indiamart.com/

ลักษณะและสรรพคุณของพญาไร้ใบ

0
พญาไร้ใบ
ลักษณะและสรรพคุณของพญาไร้ใบ กิ่งอ่อนสีเขียว แก่แล้วเป็นสีน้ำตาล กิ่งกลม อวบน้ำ มียางขาว ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอดสีขาวอมเหลือง มีขน
พญาไร้ใบ
กิ่งอ่อนสีเขียว แก่แล้วเป็นสีน้ำตาล กิ่งกลม อวบน้ำ มียางขาว ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอดสีขาวอมเหลือง มีขน

พญาไร้ใบ

ชื่อสามัญ Moon creeper, Moon plant [2]ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Sarcostemma acidum (Roxb.) Voigt อยู่วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่วงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เถาวัลย์ยอดด้วน (ราชบุรี), เถาหูด้วน (สุพรรณบุรี), เถาวัลย์ด้วน (ภาคกลาง), เถาติดต่อ (นครราชสีมา), เอื้องเถา (กาญจนบุรี)[1]

หมายเหตุ : พืชวงศ์เดียวกันยังมีพืชอีกชนิดก็คือ เถาวัลย์ด้วน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarcostemma viminale subsp. brunonianum (Wight & Arn.) P.I. Forst. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Sarcostemma brunonianum Wight & Arn. มีชื่อท้องถิ่นเหมือนกัน ลักษณะต้นคล้ายกัน แต่ชนิดนี้มีสรรพคุณที่เป็นยาดับพิษไข้ร้อน ขับน้ำเหลืองเสีย ช่วยทำให้เจริญอาหาร (เถา) อีกข้อมูลระบุไว้ว่าใช้หัวใต้ดินเป็นยาบำรุงปอด บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงหัวใจ[4] (ไม่มั่นใจว่าน้ำยางมีพิษเหมือน ชนิด Euphorbia tirucalli L. หรือไม่ใช่)

ลักษณะพญาไร้ใบ

  • ต้นเป็นพรรณไม้เถาไม่มีใบ มีกิ่งก้านเป็นข้อ ๆ ข้อต้นมีลักษณะเป็นสีเขียว ข้อแต่ละข้อยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ทั้งลำต้นจะมีน้ำยางสีขาวอยู่ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด มักพบขึ้นที่ตามขึ้นตามหินปูน ป่าราบทั่วไป[1]
  • ดอก ออกเป็นกระจุก ดอกมีลักษณะเป็นสีขาวอมสีเขียว ออกดอกที่ข้อกับปลายกิ่ง มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ติดอยู่บริเวณโคนกลีบ กลีบดอกจะเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนาน ที่ปลายกลีบจะมน เวลาดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร กลีบรองดอกมี 5 แฉก กลีบรองดอกมีขนาดที่เล็ก เกสร Corona ติดกับเกสรเพศผู้ ที่เชื่อมติดกันอยู่ ปลายอับเรณูจะงอเข้าหากัน[1]
  • ผล จะออกผลเป็นฝัก ฝักยาวประมาณ 10-12.5 เซนติเมตร มีปลายฝักจะเรียวแหลมและตรง มีเมล็ดอยู่ในฝัก เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่แบน ยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร[1]

สรรพคุณพญาไร้ใบ

1. สามารถใช้รากทานเป็นยาบำรุงตับได้ (ราก)[1]
2. สามารถใช้ลำต้นแห้งมาทำเป็นยาทำให้อาเจียนได้ (ลำต้นแห้ง)[1]
3. รากจะมีรสชาติหวานมันนิดหน่อย สามารถทานเป็นยาบำรุงกำลังได้ (ราก)[1]
4. ทั้งต้นสามารถใช้เป็นยาเย็น ยาขับน้ำเหลืองเสีย ยาขมได้(ทั้งต้น)[1]
5. สามารถช่วยบำรุงปอดได้ (ราก)[1]
6. สามารถทานเป็นยาบำรุงหัวใจได้ (ราก)[1]
7. ต้น เป็นพิษใช้เบื่อปลา กัดหูด
8. ยาง ใช้กัดหูต แก้ปวดข้อ หากเข้าตาจะตาบอดได้
9. ใบและราก แก้ริดสีตวงทวาร ยาระบายอ่อนๆ

ประโยชน์พญาไร้ใบ

  • ปลูกเป็นไม้ประดับ

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “เถาวัลย์ด้วน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [30 เม.ย. 2014].
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “พญา ไร้ ใบ”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 527-528.
3. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เถาวัลย์ด้วน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [30 เม.ย. 2014].
4. Digital Flora Karnataka. “Sarcostemma acidum (Roxb.) Voigt”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: florakarnataka.ces.iisc.ernet.in/hjcb2/. [30 เม.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/

ประทัดใหญ่ กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
ประทัดใหญ่
ประทัดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดจาก อเมริกาเขตร้อน และ ประเทศซูรินัม ดอกดกสีสันสวยงาม เป็นไม้ที่ชอบดินร่วนมีความสมบูรณ์สูง ปลูกได้ทั้งที่แจ้งและที่รำไร ผลกลมเมื่อแก่เป็นสีแดงคล้ำ
ประทัดใหญ่
ดอกดกสีสันสวยงาม เป็นไม้ที่ชอบดินร่วนมีความสมบูรณ์สูง ปลูกได้ทั้งที่แจ้งและที่รำไร ผลกลมเมื่อแก่เป็นสีแดงคล้ำ

ประทัดใหญ่

ประทัดใหญ่ Quassia เป็นไม้พุ่มมีลำต้นสั้นดอกทรงยาวแดงสีสด มีถิ่นกำเนิดจาก อเมริกาเขตร้อน และ ประเทศซูรินัม ดอกดกสีสันสวยงาม เป็นไม้ที่ชอบดินร่วนมีความสมบูรณ์สูง ปลูกได้ทั้งที่แจ้งและที่รำไร ผลกลมเมื่อแก่เป็นสีแดงคล้ำ ชื่อสามัญ Stave-wood, Sironum wood[2], Surinam quassia, Bitter wood[4], Bitter-ash, Amargo ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Quassia amara L. จัดอยู่ในวงศ์ปลาไหลเผือก (SIMAROUBACEAE)[1] ชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ปิง ประทัด (ภาคกลาง), ประทัดจีน เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะประทัดใหญ่

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[4]
    – ต้นเป็นไม้พุ่มเตี้ย ๆ
    – มีความสูงของต้นประมาณ 1.5-3 เมตร
    – แตกกิ่งก้านมาก
    – เปลือกลำต้นเรียบและเป็นสีน้ำตาล
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง
    – มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนและประเทศซูรินัม
    – นิยมนำมาปลูกตามสวนสมุนไพรหรือสวนพฤกษชาติ[4]
  • ลักษณะของใบ[1],[2],[4]
    – เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน
    – มีใบย่อยประมาณ 5-7 ใบ
    – ใบเป็นรูปไข่กลับ รูปวงรี หรือรูปใบหอก
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบเป็นรูปสอบหรือเกือบมน
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 3-5 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียวสด
    – เส้นใบเป็นสีแดง
    – ก้านใบและแกนใบเป็นสีแดง แผ่ออกเป็นครีบทั้งสองด้าน
    – ใบอ่อนมีสีแดง[1],[2],[4]
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[4]
    – ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
    – ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร
    – ก้านช่อดอกเป็นสีแดง
    – กลีบเลี้ยงดอกมีขนาดเล็ก มี 5 แฉก และเป็นสีแดง
    – กลีบดอกเป็นสีแดงสด มี 5 กลีบ ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร
    – โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด
    – กลีบดอกจะไม่บานและจะหุ้มเกสรอยู่เป็นรูปกรวย โดยเกสรเพศผู้มี 10 อัน
    – ดอกออกในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป

ลักษณะของผลประทัดใหญ่[1],[2]

  • ออกผลเป็นกลุ่ม
  • ผลย่อยเป็นรูปไข่กลับ สีแดงคล้ำ

สรรพคุณของประทัดใหญ่

  • ใบ ใช้เป็นยาทาผิวหนังแก้อาการคัน[2]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาสกัดเป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายสำหรับเด็กได้ โดยการใช้เนื้อไม้ประมาณ 0.5 กรัม ประมาณ 4-5 ชิ้น และนำมาชงกับน้ำเดือดครึ่งถ้วยแก้ว[2]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาปรุงเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ด้วยการใช้เนื้อไม้ 4 กรัม นำมาต้มกับน้ำ 4 ถ้วยแก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือ 2 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานก่อนอาหารเช้าและเย็นครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว วันละ 2 ครั้ง[2]
  • ราก มีสรรพคุณในการช่วยย่อย[1]
  • ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ดี[1],[2]
  • รากและเนื้อไม้ เป็นยาขมช่วยเจริญอาหารเช่นกัน[1],[2]
  • เปลือกต้นและเนื้อไม้ เป็นยาบำรุงน้ำย่อย ทำให้เกิดอยากรับประทานอาหาร[2]

ประโยชน์ของประทัดใหญ่

  • นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[4]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาสกัดให้เป็นน้ำ และสามารถนำมาใช้เป็นสารฆ่าแมลงได้ ซึ่งสารสำคัญที่พบได้แก่สารที่มีรสขมจัด ชื่อว่า Amaroid และ Quassia[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา จากการศึกษาฤทธิ์การต้านเบาหวานของต้นในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงด้วย nicotinamide-streptozotocin ด้วยการป้อนสารสกัดเมทานอลจากประทัดใหญ่ในขนาดวันละ 100 และ 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยทำการเปรียบเทียบกับการป้อนด้วยยา glibenclamide 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และเก็บตัวอย่างเลือดจากหนูทั้งสองกลุ่มเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาล, ไขมันเลว (LDL-C), ไขมันดี (HDL-C) และไตรกลีเซอไรด์ ผลการทดลองพบว่าหนูทั้งสองกลุ่มมีระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันเลวลดลง อย่างไรก็ตามการป้อนด้วยสารสกัดเมทานอลประทัดใหญ่จะไม่ส่งผลต่อการเพิ่มของ HDL-C และระดับฮอร์โมนอินซูลินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ยา glibenclamide มีผลเพิ่มปริมาณของ HDL-C และระดับฮอร์โมนอินซูลินอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้จึงแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากต้นมีฤทธิ์ต้านเบาหวานและช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ประทัดใหญ่ Quassia”. หน้า 174.
2. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ประทัดใหญ่ ประทัดจีน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [01 ก.ย. 2014].
3. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านเบาหวานของต้นประทัดใหญ่ (Quassia amara)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [01 ก.ย. 2014].
4. ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “ประทัดใหญ่ สวยมีสรรพคุณ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thairath.co.th. [01 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ประทัดจีน กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
ประทัดจีน
ประทัดจีน กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ ประทัดจีน เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวหรือเหง้า ดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อกระจุก มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ผลเป็นแบบแคปซูล ลักษณะกลม
ประทัดจีน
ไม้ล้มลุกที่มีหัวหรือเหง้า ดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อกระจุก มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ผลเป็นแบบแคปซูล ลักษณะกลม

ประทัดจีน

ชื่อสามัญ คือ Fountain Plant, Coral fountain, Coral plant, Coralblow, Firecracker plant[1],[2],[3]ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Russelia equisetiformis Schltdl. & Cham. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Russelia juncea Zucc.)[2] จัดอยู่ในวงศ์เทียนเกล็ดหอย (PLANTAGINACEAE)[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ประทัดเล็ก, ประทัดฝรั่ง[3],[4], ประทัดทอง, ประทัดใหญ่ (กรุงเทพฯ) เป็นต้น[1]

ลักษณะต้นประทัดจีน

  • ลักษณะต้น[1],[2],[3]
    – มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีหัวหรือเหง้า
    – แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นกอพุ่มแน่น
    – มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร
    – ตามลำต้นมีลักษณะเป็นข้อปล้อง
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขึ้นได้ในดินทั่วไป
    – เติบโตเร็ว
    – เติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
    – ชอบความชื้นปานกลาง และแสงแดดแบบเต็มวัน
  • ลักษณะใบ[1],[2],[3]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงเป็นวง
    – ใบเป็นรูปเรียวยาวหรือเป็นรูปเข็มเส้นเล็ก ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร
    – ปลายใบแหลมเป็นติ่ง
    – โคนใบแหลม
    – แผ่นใบเป็นสีเขียวสดมีขนาดเล็ก ออกเรียงต่อกันตามข้อ โดยจะออกรอบ ๆ ลำต้น
    – ก้านใบสั้น ร่วงได้ง่าย
  • ลักษณะดอก[1],[3],[4]
    – ดอกจะเป็นหลอดสีแดงเข้มหรือสีส้มเป็นมัน ขนาดเล็ก
    – ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกยาว 3 เซนติเมตร
    – หนึ่งช่อจะมีดอกย่อย 2-4 ดอก
    – กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วยสั้น ๆ
    – ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉกตื้น ๆ ติดทน
    – ดอกติดกันเป็นหลอด ยาวได้ประมาณ 2.5 เซนติเมตร
    – โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบ
    – ปลายกลีบดอกแยกออกเป็น 5 แฉกเล็ก ๆ
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 4 อัน มีความยาวไม่เท่ากัน
    – ยื่นพ้นออกมาจากปากหลอดกลีบเล็กน้อย
    – เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันมี 1 อัน รังไข่มี 2 ช่อง
    – ก้านเกสรเพศเมียมี 1 อัน ติดทน
    – ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่ดอกเป็นสีชมพูอมส้ม
  • ลักษณะผล[4]
    – ผลเป็นแบบแคปซูล
    – มีลักษณะกลม
    – ผิวด้านในมีขน
    – เมล็ดมีจำนวนมากและมีขนาดเล็ก
    – ผิวมีขนและเป็นเส้นคล้ายกับรังนก

สรรพคุณของประทัดจีน

  • ราก ช่วยในการย่อยอาหาร[1]
  • ราก มีสรรพคุณช่วยขับน้ำลาย[1]
  • ราก มีรสขม ใช้เป็นยาแก้ไข้ ไข้จับสั่น[1]
  • เนื้อไม้ นำมาดองกับเหล้า ใช้กินเป็นยาเพื่อช่วยทำให้เจริญอาหาร[1]

ประโยชน์ของประทัดจีน

  • ราก ช่วยทำให้อาหารมีรสชาติดี[1]
  • ปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อน ให้ความรู้สึกไหวพลิ้วเบาสบาย[3],[4] ดอกขาว จะให้รู้สึกนุ่มนวลทางสายตา[3],[4] ส่วนดอกแดง จะให้ความรู้สึกรื่นเริง[3],[4]
  • นิยมนำมาปลูกประดับตามมุมอาคารหรือขอบแนวอาคาร หรือปลูกตามสวนหิน ริมน้ำตก ริมทะเล หรือจะนำมาปลูกประดับสนามที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวันก็ได้ แต่ควรตัดแต่งกิ่งหลังจากการออกดอกพร้อมกันจำนวนมากทุกครั้ง [3],[4]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ประ ทัด จีน”. หน้า 448.
2. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Russelia equisetiformis”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : en.wikipedia.org/wiki/Russelia_equisetiformis. [01 ก.ย. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ประ ทัด จีน” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : agkc.lib.ku.ac.th. [01 ก.ย. 2014].
4. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ประทัดฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [01 ก.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.baanlaesuan.com/

ลักษณะและสรรพคุณของน้ำเต้าน้อย

0
น้ำเต้าน้อย
ลักษณะและสรรพคุณของน้ำเต้าน้อย ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว สีน้ำตาลแกมสีเหลือง สีเหลืองอ่อน ผิวผลมีขนปกคลุมเป็นสีเขียว ผลสุกเป็นสีเหลือง มีเมล็ดอยู่ในผล
น้ำเต้าน้อย
ดอกสีเหลืองแกมสีเขียว สีน้ำตาลแกมสีเหลือง สีเหลืองอ่อน ผิวผลมีขนปกคลุมเป็นสีเขียว ผลสุกเป็นสีเหลือง มีเมล็ดอยู่ในผล

น้ำเต้าน้อย

น้ำเต้าน้อย เป็นไม้พุ่มแกมไม้เถาเนื้อแข็งจะเลื้อยพาดอาศัยต้นไม้อื่นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cyathostemma micranthum (A.DC.) J.Sinclair อยู่วงศ์กระดังงา (ANNONACEAE) สามารถพยุงตัวเองขึ้นไปได้ถึงประมาณ 10-15 เมตร มีเปลือกเถาเป็นสีน้ำตาล ที่ตามกิ่งอ่อนและตามยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลขึ้น มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศพม่า หมู่เกาะอันดามันถึงประเทศฟิลิปปินส์ นิวกินี มาเลเซีย และที่ทางเหนือของออสเตรเลีย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด พบขึ้นได้ในป่าดิบแล้ง ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้นทั่วไป ชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น พญามีฤทธิ์, ผสมแก้ว (สุราษฎร์ธานี), นมแมว (ประจวบคีรีขันธ์), น้ำเต้าน้อย (ปราจีนบุรี), นมแมวน้อย, ฤๅษี(สุราษฎร์ธานี)

ลักษณะน้ำเต้าน้อย

  • ต้น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ระดับน้ำทะเลประมาณ 300-800 เมตร
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับกัน ใบเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอก ที่ปลายใบจะเรียวแหลม ส่วนโคนใบจะมน ใบกว้างประมาณ 2.3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-14 เซนติเมตร ที่หลังใบเรียบและเป็นมัน ท้องใบเรียบ ใบมีลักษณะค่อนข้างที่จะหนาและเหนียว ก้านใบมีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร[1],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อที่ตามกิ่ง ในช่อดอกจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 2-5 ดอก มีดอกเป็นสีเหลืองแกมสีเขียว สีน้ำตาลแกมสีเหลือง สีเหลืองอ่อน ก้านดอกมีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ดอกมีกลิ่นหอม มีกลีบดอกอยู่ 6 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยม มีกลีบเลี้ยงดอกสีเขียวอยู่ 3 กลีบ เป็นรูปสามเหลี่ยมมีขน ดอกบานออกกลีบกางออก ที่ปลายจะโค้งเข้าหากัน ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[2],[3]
  • ผล ออกเป็นกลุ่ม ก้านช่อผลมีความยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร มีผลย่อยอยู่ประมาณ 10-20 ผล ก้านผลยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ผลย่อยเป็นรูปทรงกลมเรียว มีความยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผิวผลจะมีขนปกคลุม มีผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลสุกเป็นสีเหลือง มีเมล็ดอยู่ในผล 1 เมล็ด เมล็ดกลม ติดผลช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[3]

สรรพคุณของราก

1. รากของจะมีรสฝาดเฝื่อน มีสรรพคุณที่เป็นยาแก้กาฬผอมแห้งของสตรีที่อยู่ไฟไม่ได้ [1]
2. สามารถนำรากมาฝนกับน้ำ ใช้ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ (ราก)[1],[2]

สรรพคุณของเนื้อไม้

  • เนื้อไม้มีรสฝาดเฝื่อน มีสรรพคุณที่เป็นยา แก้ไข้ทับระดู แก้ไข้หวัด แก้ไข้กลับ แก้ไข้เพื่อเสมหะ (เนื้อไม้)[1]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพรรณไม้และพันธุ์สัตว์ในหุบเขาลำพญา ฉบับเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ. (มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา). “น้ำ เต้า น้อย”. หน้า 80.
2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “นมแมว (Nom Maeo)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 150.
3. พืชอาหารของหนอนผีเสื้อกลางวัน, ส่วนประสานงานโครงการพระราชดำริ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา). “นมแมวน้อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: paro6.dnp.go.th. [26 มี.ค. 2014].
4. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “นมแมว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [26 มี.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://apps.lucidcentral.org/

เต่าเกียด ไม้มงคลในด้านการค้าและเมตตามหาเสน่ห์

0
เต่าเกียด
เต่าเกียด ไม้มงคลในด้านการค้าและเมตตามหาเสน่ห์ เป็นยาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ดอกความคล้ายกับดอกบอน สีเขียวอมเหลือง
เต่าเกียด
ไม้มงคลในด้านการค้าและเมตตามหาเสน่ห์ เป็นยาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ดอกความคล้ายกับดอกบอน สีเขียวอมเหลือง

เต่าเกียด

เต่าเกียด เป็นยาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมใช้กระตุ้นและมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น บำรุงตับ ขับเสมหะ ใช้ทาแก้โรคผิวหนัง รวมถึงลำต้นยังนำมาสกัดเป็นน้ำหอมได้อีกด้วย ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalomena aromatica (Spreng.) Schott (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Calla aromatica (Spreng.) Roxb.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)[1]
ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ โหรา (ชุมพร), เต่าเขียด ว่านเต่าเขียด (ภาคกลาง)[1],[2]

ลักษณะของต้นเต่าเกียด

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – ลำต้นเป็นเหง้าหรือหัวที่อยู่ใต้ดิน
    – ส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินจะมีแค่ก้านใบและใบเท่านั้น
    – จะมีความสูงได้ 16-36 นิ้ว
    – ก้านใบมีความกลมเรียว และมีสีเขียวอมแดง
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – ชอบอยู่ในที่ชื้น เป็นพืชเมืองร้อน
    – ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าชื้นทั่ว ๆ ไป
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นรูปสามเหลี่ยม
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 5-6 นิ้ว และยาว 4-8 นิ้ว
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
    – ก้านใบยาว
    – จะชูใบแตกขึ้นมาบนผิวดิน
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ไม่มีก้านช่อดอก
    – ดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง
    – ดอกจะมีความคล้ายกับดอกบอน แต่จะมีความเล็กกว่า

สรรพคุณของเต่าเกียด

  • ทั้งต้น สามารถนำมาตำแล้วใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนังได้[1],[2]

ประโยชน์ของเต่าเกียด

  • เหง้า สามารถนำมาใช้ผสมกับเครื่องเทศใส่แกงทำให้มีรสหอมได้[1],[2]
  • เหง้า สามารถนำมาบดให้เป็นผง และใช้ผสมกับใบยาสูบและยานัตถุ์ได้ เมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำแล้วจะได้น้ำมันหอมสีเหลือง ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้น (Stimulant)[1],[2]
  • ถูกจัดเป็นไม้มงคลในด้านการค้าและเมตตามหาเสน่ห์ ที่จะช่วยพัดโบกเงินทองและสิ่งอันเป็นมงคลให้เข้ามาอยู่ภายในบ้าน สิ่งที่ไม่ดีไปจนถึงโรคภัยไข้เจ็บก็ให้ห่างไกลออกไป โดยวิธีการปลูกก็คือ ใช้ส่วนผสมของดินร่วน 5 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน เปลือกถั่ว 1 ส่วน และอิฐก้อนเล็ก ๆ อีก 1 ส่วน[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เต่าเกียด”. หน้า 319.
2. ๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ว่านเต่าเกียด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.panmai.com. [15 ก.ค. 2015].

ลักษณะและสรรพคุณของว่านตาลเดี่ยว

0
ว่านตาลเดี่ยว
ลักษณะและสรรพคุณของว่านตาลเดี่ยว เป็นพืชอายุสั้น ตระกูลกล้วยไม้ ใบรูปหอกแคบ ดอกสีเหลือง ผลแห้งเป็นรูปขอบขนาน สามารถแตกตามยาว
ว่านตาลเดี่ยว
กล้วยไม้ดดิน ดอกสีเหลือง ใบรูปหอกแคบ ผลแห้งเป็นรูปขอบขนาน สามารถแตกตามยาว

ว่านตาลเดี่ยว

ว่านตาลเดี่ยว เป็นพืชอายุสั้นอยู่ในตระกูลกล้วยไม้พบได้ในป่ากึ่งผลัดใบและป่าผลัดใบ ชอบแสงแดดส่องถึงและชอบความชื้นสูงเพื่อการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น ซึ่งหลายประเทศตั้งแต่อินโดจีน เวียดนาม ไทย ลาว และพม่า ว่านชนิดนี้มีดอกสีเหลืองสวยงามนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Spathoglottis affinis de Vriese ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ ก็คือ Spathoglottis regneri Rchb.f., Spathoglottis lobbii Rchb.f. อยู่วงศ์กล้วยไม้ (ORCHIDACEAE)[1],[2],[3] ชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น หัวข้าวเหนียว เอื้องหัวข้าวเหนียว เหลืองพิศมร [2],[3]

ลักษณะว่านตาลเดี่ยว

  • ต้นว่าน มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ในหมู่เกาะแปซิฟิกบางเกาะ ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์ และมีการแพร่กระจายตั้งแต่ทางตอนเหนือของอินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะแปซิฟิก ไปถึงทางตอนใต้ของจีน สำหรับประเทศไทยสามารถพบขึ้นได้ที่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ทางภาคตะวันตก ที่ตามชายป่าตามลานหินที่มีน้ำซับ ทุ่งโล่งที่ชื้นแฉะ ป่าโปร่ง ต้นตาลเดี่ยวเป็นกล้วยไม้ดิน สูงประมาณ 25-50 เซนติเมตร หัวจะมีขนาดเล็ก มีลักษณะค่อนข้างแบน เป็นรูปทรงแป้นหรือกลมรี จะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร ผิวของตาลเดี่ยวจะเรียบและมีเยื่อบางใสคลุมอยู่ ตาลเดี่ยวเป็นกล้วยไม้ชนิดที่จะทิ้งใบหมด ตอนฤดูแล้งจะเหลือแต่หัว ฤดูฝนจะสร้างใบกับดอก [1],[2],[3]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเรียงสลับเวียนเป็นวงรัศมี แผ่นใบจะพับย่นคล้ายกับพัดจีนตามความยาวใบ ใบเป็นรูปใบหอกแคบ ที่ปลายใบจะเรียวแหลม สามารถกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25-50 เซนติเมตร มีใบประมาณ 2-4 ใบต่อต้น[1],[2],[3]
  • ดอก ออกเป็นช่อที่ตามซอกใบ ในหนึ่งช่อดอกมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 5-10 ดอก ก้านช่อมีความยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร ก้านช่อมีลักษณะกลมผอมแต่มีความแข็งแรง จะมีใบประดับเล็กติดอยู่เป็นระยะ ๆ ดอกด้านในช่อโปร่งจะเกิดจากกลางช่อขึ้นไป ก้านดอกตาลเดี่ยวมีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงกับกลีบดอกมีลักษณะเป็นสีเหลือง สีเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยงรอยขีดตามยาวเป็นสีน้ำตาล กลีบปากจะเป็นสีเหลืองเข้ม โคนกลีบจะมีประสีน้ำตาลหรือสีม่วง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม[1],[2]
  • ผล เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปขอบขนาน สามารถแตกได้ตามยาว[1]

สรรพคุณว่านตาลเดี่ยว

  • ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนานำหัวมาตำผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาทาแก้ฝีได้ (หัว)[1]

ประโยชน์ว่านตาลเดี่ยว

  • นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ตาลเดี่ยว”. หน้า 202.
3. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 6. “เอื้องหัวข้าวเหนียว”.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://toptropicals.com/