กัญชาเทศ ดอกชมพู สรรพคุณช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ

0
กัญชาเทศ
กัญชาเทศ ดอกชมพู สรรพคุณช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว มีรูปร่างคล้ายใบกัญชา ดอกเป็นสีชมพูม่วงหรือสีม่วงแดง ผลสุกแล้วจะเป็นสีดำ เมล็ดกัญชาเทศมีรสหวานและฉุน
กัญชาเทศ
เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว มีรูปร่างคล้ายใบกัญชา ดอกเป็นสีชมพูม่วงหรือสีม่วงแดง ผลสุกแล้วจะเป็นสีดำ เมล็ดมีรสหวานและฉุน

กัญชาเทศ

ชื่อสามัญ คือ Motherworth, Siberian Motherwort, Greasy-bush, Lion’s Tail, Honeyweed เป็นต้น[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Leonurus sibiricus L. จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[1] ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ส่าน้ำ (เลย), กัญชาเทศ (ราชบุรี), ซ้าซา (นครพนม), เอิยะบ่อเช่า (จีนแต้จิ๋ว), อี้หมูเฉ่า (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะต้นกัญชาเทศ

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – มีอายุประมาณ 1-2 ปี
    – ลำต้นมีความสูงได้ 60-180 เซนติเมตร
    – ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยมตั้งตรง
    – แตกกิ่งก้านเล็กน้อย
    – มีขนเล็ก ๆ ขึ้นตามต้น
    – เมื่อออกดอกแล้วต้นจะตาย[1],[2],[3]
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – ใบเป็นใบคู่
    – ลักษณะคล้ายกับใบกัญชา
    – มีขนาดใหญ่และหนากว่า
    – ขอบใบหยักตื้น 5-9 หยัก
    – ปลายใบแหลม
    – ใบที่อยู่โคนต้น ตรงขอบใบจะมีขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 4-5 เซนติเมตร และยาว 5-7 เซนติเมตร
    – ก้านใบยาว
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – จะออกจากปลายกิ่งหรือง่ามใบ
    – ดอกเป็นสีชมพูม่วงหรือสีม่วงแดง
    – มีขนาดเล็ก
    – ปลายกลีบดอกมี 5 หยัก
    – กลีบดอกยาว 9-12 มิลลิเมตร
    – มีเกสรเพศผู้ 4 อัน[1]
  • ลักษณะของผล[1],[3]
    – ผลเป็นผลแห้ง
    – ไม่แตก
    – เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีดำ
    – ผลเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม
    – ในผลมีเมล็ด

สรรพคุณของกัญชาเทศ

  • ใบ สามารถใช้เป็นยารักษาพิษฝีหนองของผิวหนังได้[1]
  • รากและใบ สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการปวดศีรษะ และเป็นยาขับลมได้[4],[5]
  • เมล็ด มีรสหวานและฉุน สามารถใช้เป็นยาลดความดันโลหิตสูง แก้ประจำเดือนไม่ปกติ[1]
  • เมล็ด ช่วยขับประจำเดือน ขับน้ำเหลืองเสีย และรักษาแผลต่าง ๆ[4]
  • ทั้งต้นที่อยู่เหนือดิน 3-4 กิ่ง นำมาเติมน้ำ 3 ถ้วย ต้มพอให้เดือด ใช้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย[3]
  • ทั้งต้นและเมล็ด มีรสหอมขมและเผ็ดเล็กน้อย สามารถใช้เป็นยาเย็น มีสรรพคุณเป็นยาบำรุง ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ฟอกเลือด ช่วยขับลม[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ขับประจำเดือน แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนเนื่องจากหลอดเลือดของมดลูกมีการอุดตันและเป็นสาเหตุทำให้ปวดประจำเดือน[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด ช่วยแก้อาการปวดท้องหลังคลอดบุตร[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด ช่วยขับน้ำคาวปลาหลังการคลอดบุตร และมีผลทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด สามารถใช้รักษาไตอักเสบในเบื้องต้นได้[1],[4],[5]
  • ทั้งต้นและเมล็ด สามารถใช้แก้บวมน้ำ และใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อย[1],[4],[5]

ประโยชน์ของกัญชาเทศ

  • ใบยอดอ่อน สามารถนำมาใช้ต้มหมูบะช่อ[2]
  • สามารถใช้ปลูกเป็นสมุนไพร หรือจะปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกัญชาเทศ

  • ในช่วงที่ยังไม่ออกดอกจะมีสารในปริมาณมากกว่าช่วงที่ออกดอกแล้ว โดยสารที่พบในใบจะมีสารอัลคาลอยด์ เช่น Leonurine ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้มดลูกบีบตัว และมีสาร Stachydrine, Leonuridine, Leonurinine เป็นต้น[1]
  • ต้นจะมีน้ำมันหอมระเหย 0.5% มีสารอัลคาลอยด์ leonurine มีลักษณะเป็น amorphous powder สีส้ม, มีสาร iridoids, leonuride ฯลฯ มี flavonoids เช่น apigenin, rutin, quercitin และอื่น ๆ[2]
  • มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ทำให้หลอดเลือดหดตัว ต้านการแข็งตัวของเลือด ยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ[4]
  • น้ำต้มของต้นหรือสารสกัดจากแอลกอฮอล์ เมื่อนำมาฉีดเข้าในเส้นเลือดดำของกระต่ายที่นำมาทดลองหรือให้กระต่ายทดลองกิน พบว่ามดลูกของกระต่ายที่อยู่ในร่างกายหรือนอกร่างกาย ล้วนมีการบีบตัวแรงและถี่ขึ้น อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่า น้ำต้มมีประสิทธิภาพในการบีบตัวแรงกว่าสารที่สกัดได้จากแอลกอฮอล์ และยังพบว่าการออกฤทธิ์นั้นคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง แต่ประสิทธิภาพจะด้อยกว่า[1]
  • เมื่อใช้สารอัลคาลอยด์ที่ได้จากต้น มาฉีดเข้าเส้นเลือดดำของกระต่ายที่นำมาทดลอง พบว่ามีผลทำให้กระต่ายมีการขับปัสสาวะถี่ขึ้น[1]
  • น้ำต้มหรือน้ำแช่ของต้น มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อแบคทีเรียของโรคผิวหนังได้[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “กัญ ชา เทศ”. หน้า 64.
2. ไทยเกษตรศาสตร์. “ข้อ มูล ของ กัญ ชา เทศ”. อ้างอิงใน : ศาสตราจารย์พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [18 มิ.ย. 2015].
3. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กัญ ชา เทศ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [18 มิ.ย. 2015].
4. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กัญ ชา เทศ”. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [18 มิ.ย. 2015].
5. หนังสือสารานุกรมสมุนไพร รวมหลักเภสัชกรรมไทย. (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). “กัญ ชา เทศ”.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.cabidigitallibrary.org/doi/10.1079/cabicompendium.119825

กล้วยบัวสีชมพู สรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสียในเด็ก

0
กล้วยบัวสีชมพู สรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสียในเด็ก เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ปลีช่อดอกตั้งตรงกาบประดับสีชมพู ผลเป็นสีเขียวคล้ายนิ้วมือ ผลสุกจะเป็นสีเหลือง
กล้วยบัวสีชมพู
เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ปลีช่อดอกตั้งตรงกาบประดับสีชมพู ผลเป็นสีเขียวคล้ายนิ้วมือ ผลสุกจะเป็นสีเหลือง

กล้วยบัวสีชมพู

ชื่อสามัญ คือ Flowering Banana[3]ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Musa ornata Roxb.[1] ( ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Musa rosacea N. J. von Jacquin., Musa speciosa M. Tenore, Musa carolinae A. Sterler, Musa rosea J. G. Baker, Musa rosea Jacq., Musa salaccensis H. Zollinger, Musa mexicana E. Matuda[2],[3] จัดอยู่ในวงศ์กล้วย (MUSACEAE)[1]
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กล้วยบัว (กรุงเทพฯ)[1]

ลักษณะกล้วยบัวสีชมพู

  • ลักษณะของต้น[1],[3]
    – จัดเป็นกล้วยไม้ล้มลุก
    – มีความสูงได้ 1-3 เมตร
    – ลำต้นอยู่ใต้ดิน
    – กาบใบห่อหุ้มกับลำต้นเทียม
    – ลำต้นเทียมจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตร
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – เติบโตได้ดีในดินทั่วไป
    – ต้องการน้ำมากและแสงแดดจัด
    – เมื่ออยู่ในที่รำไรลำต้นจะสูงกว่าในที่กลางแจ้งต้นจะเตี้ย
    – พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า และบังกลาเทศ
  • ลักษณะของใบ[1],[3]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก
    – ปลายใบมนหรือตัด
    – โคนใบเบี้ยว ด้านหนึ่งมน ส่วนอีกด้านหนึ่งเรียวแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 2 เมตร
    – หลังใบเรียบ
    – แผ่นใบเป็นนวลสีขาวเล็กน้อยทั้งสองด้าน
    – เส้นกลางใบเป็นสีแดง
    – ก้านใบยาวได้ 60 เซนติเมตร
  • ลักษณะของปลี[1],[3]
    – ปลีช่อดอกตั้งตรง
    – ก้านช่อหนา
    – มีความยาว 2-3 เซนติเมตร
    – ใบประดับมี 2 ใบ
    – มีความยาวได้ 30 เซนติเมตร
    – กาบประดับเป็นสีชมพู
    – ปลายกาบแหลม
    – กาบด้านล่างยาว 10 เซนติเมตร
    – มีขนาดเล็กลงช่วงปลายช่อ
    – ปลายกลีบเป็นสีเหลือง
    – กาบดอกเพศเมียอยู่ช่วงล่าง
    – มีกาบอยู่ 7 กาบ
    – ดอกเพศเมียจะมี 3-5 ดอก
    – ในแต่ละกาบ
    – เรียงแถวเดียว
    – กลีบดอกรวมเป็นสีเหลืองอมส้ม
    – กลีบรวมที่ติดกันยาว 3.5 เซนติเมตร
    – กลีบที่แยกยาวได้ 3 เซนติเมตร
    – ปลายหยักเป็นพูตื้น ๆ 5 พู พับงอ
    – เกสรเพศผู้ที่หมันยาว 1/3 หรือ 1/2 ส่วนของความยาวก้านเกสรเพศเมีย
    – รังไข่ยาว 4 เซนติเมตร
    – ก้านเกสรเพศเมียยาว 3 เซนติเมตร
    – ดอกเพศผู้มี 3-6 ดอก ในแต่ละกาบ
    – เรียงแถวเดียวกัน
    – กลีบรวมเป็นสีส้มครึ่งบน
    – ด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
    – กลีบรวมที่ติดกันยาว 3.5-4 เซนติเมตร
    – คล้ายกับดอกเพศเมีย
    – กลีบรวมที่แยกกว้าง 1 เซนติเมตร และยาว 3-3.5 เซนติเมตร
    – เกสรเพศผู้ยาวเท่ากับกลีบรวมที่แยก
    – ก้านชูอับเรณูยาวกว่าอับเรณู
    – อับเรณูเป็นสีม่วง
  • ลักษณะของผล[1],[2],[3]
    – ผลเป็นสีเขียว
    – เรียงชิดกันคล้ายนิ้วมือ
    – ผลย่อยยาว 6-8 เซนติเมตร
    – มี 4-5 สัน ก้านผลนั้นสั้น
    – ผลเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานเป็นเหลี่ยม
    – ปลายและโคนเรียว
    – ผิวเปลือกเรียบ
    – หวีหนึ่งมีแถวเดียวเรียงไม่เป็นระเบียบ
    – เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง
    – ข้างในผลมีเมล็ดสีดำ
    – เมล็ดเป็นเหลี่ยมและแบน
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร

สรรพคุณ และประโยชน์ของกล้วยบัวสีชมพู

  • แพทย์ตามชนบทจะใช้กาบหัวปลี ผล และรากเหง้า สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กได้[1],[2]
  • นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป
  • นิยมปลูกเป็นไม้ประดับมานานแล้ว[3]
    – ก่อนที่จะมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ (ตั้งในปี 1824) ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีชื่อวิทยาศาสตร์ผิด โดยเฉพาะชื่อ Musa rosacea Jacq.
    – เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงไม้ดอกไม้ประดับ
    – ยังมีพันธุ์ผสมที่มีลักษณะใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก
    – ทำให้ใบประดับแต่ละพันธุ์มีหลากหลายสี
    – โดยเฉพาะพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาเองเพื่อเป็นไม้ตัดดอกแล้วนำมาตั้งชื่อเป็น Musa ornata ตามด้วยพันธุ์ผสมอื่น ๆ เช่น African Red, Bronze, Costa Rican Stripe, Macro, Lavender Beauty, Leyte White

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กล้วยบัวสีชมพู (Kluai Bua Si Chom Phu)”. หน้า 37.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กล้วยบัวสีชมพู”. หน้า 66.
3. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กล้วยบัวสีชมพู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [23 มิ.ย. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1https://wildlifeofhawaii.com/flowers/1432/musa-ornata-flowering-banana/
2.https://www.carousell.com.my/p/musa-ornata-banana-1143432165/

กระทืบยอด สรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน

0
กระทืบยอด สรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นมีขนาดเล็กตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้าน ดอกเป็นช่อกระจุกออกบริเวณยอด ผลที่เขียวอ่อนรูปกระสวย
กระทืบยอด
เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นมีขนาดเล็กตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้าน ดอกเป็นช่อกระจุกออกบริเวณยอด ผลที่เขียวอ่อนรูปกระสวย

กระทืบยอด

กระทืบยอด เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นมีขนาดเล็กตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Biophytum sensitivum (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์กระทืบยอด (OXALIDACEAE)[1],[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กระทืบยอด (เชียงใหม่), นกเขาเง้า (นครราชสีมา), ทืบยอด (สุราษฎร์ธานี), จิยอบต้นตาล จิยอบต้นตาน (ภาคเหนือ), กะทืบยอด กะทืบยอบ (ภาคกลาง), หัวใจไมยราบ (ภาคใต้), ไมยราบ กระทืบยอด (ไทย), เนี้ยซัวเช้า (จีน), กะเสดโคก, คันล่ม, เช้ายอบ, หญ้างับ, หน่อปีเหมาะ[1],[2]

ลักษณะต้นกระทืบยอด

  • ลักษณะของต้น[1],[2],[3]
    – เป็นพรรณไม้ล้มลุกฤดูเดียว
    – ลำต้นมีขนาดเล็กและตั้งตรง
    – ไม่แตกกิ่งก้าน
    – ลำต้นกลมเป็นปล้อง
    – เปลือกต้นเป็นสีแดงระเรื่อ ๆ หรือเป็นสีน้ำตาลแดง
    – มีขนละเอียด
    – ลำต้นมีความสูง 10-20 เซนติเมตร
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
    – เป็นพรรณไม้ที่พบขึ้นตามป่าดงดิบเขา ป่าเบญจพรรณ และบริเวณที่ชื้นแฉะ
    – พบได้มากตามชายเขาในภาคเหนือและภาคกลาง
  • ลักษณะของใบ[1],[2],[3]
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก
    – ออกเรียงสลับเวียนรอบต้น
    – ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด
    – ก้านใบแผ่แบนรวมกันอยู่บนยอด
    – ใบย่อยมีประมาณ 8-12 คู่
    – ใบย่อยเป็นรูปคล้ายโล่ รูปขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[3]
    – ออกดอกเป็นช่อกระจุก
    – ออกบริเวณยอดของลำต้น
    – มีก้านยาว 3-10 เซนติเมตร
    – แต่ละช่อจะมีดอกย่อยเป็นกลุ่ม ๆ
    – ดอกย่อยมีขนาดเล็ก เป็นสีเหลืองสด
    – กลีบดอกเชื่อมติดกันที่โคนเป็นหลอด สีเขียวอ่อน
    – กลีบดอกเป็นสีเหลืองมีขีดสีแดงตามยาว
  • ลักษณะของผล[3]
    – ผลเป็นผลแห้งแตกได้
    – ผลเป็นรูปกระสวย
    – เป็นสีเขียวอ่อน

สรรพคุณของกระทืบยอด

  • ใบ สามารถนำมาใช้เป็นยาขับเสมหะได้[2],[3]
  • ใบ สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้กาฬภายในได้[2],[3]
  • ใบ สามารถนำมาใช้เป็นยาพอกรักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แก้ฟกช้ำได้[2],[3]
  • ใบ สามารถนำมาใช้พอกรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน แก้พิษแมงป่องได้[2],[3]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้กระหายน้ำได้[2],[3]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้โรคหนองในได้[1],[2],[3]
  • ราก สามารถนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ขับนิ่วได้
  • ราก สามารถนำมาใช้ละลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือดได้[1],[2],[3]
  • ลำต้น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้สะอึกได้[1],[3]
  • ลำต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ดับพิษร้อนภายใน แก้ไข้ แก้ไข้กาฬได้
  • ลำต้น สามารถนำมาใช้ถอนพิษเบื่อเมาได้ โดยนำลำต้นมาต้มกับน้ำดื่ม[1],[3]
  • เมล็ด สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาแผลสด แก้ฝี เร่งฝีให้แตกเร็วได้[2],[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้หอบหืดได้[2],[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้เบาหวานได้[2],[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาขับระดูของสตรีได้[2]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ไตพิการได้[2],[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบได้[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กระทืบยอด”. หน้า 31-32.
2. สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “กระทืบยอด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [04 ก.ค. 2015].
3. คุยเฮิร์บ (KUIHERB). “กระทืบยอด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.inf.pharm.su.ac.th/~kuiherb/. [04 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/files-api/api/get/raw/observations//aaaa76a5-677a-45aa-9447-b7b891e96e0e/50462.jpg
2.https://indiabiodiversity.org/species/show/228939

กระทาดง สรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อย

0
กระทาดง
กระทาดง สรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อย เป็นพรรณไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง ดอกเป็นช่อกระจุก กลีบดอกเป็นสีขาว เชื่อมติดกันเป็นหลอด มีขน ผลรูปไข่สีม่วงเข้ม
กระทาดง
เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง ดอกเป็นช่อกระจุก กลีบดอกเป็นสีขาว เชื่อมติดกันเป็นหลอด มีขน ผลรูปไข่สีม่วงเข้ม

กระทาดง

กระทาดง พืชที่คนไทยรู้จักกันใช้เป็นยารักษาโรค หรือ เสริมสุขภาพ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Lasianthus kurzii Hook.f. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lasianthus chrysoneurus (Korth.) Miq.) จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)[1]

ลักษณะกระทาดง

  • ลักษณะของต้น[1]
    – เป็นพรรณไม้พุ่ม
    – ลำต้นตั้งตรง
    – มีความสูงได้ถึง 2-4 เมตร
  • ลักษณะของใบ[1]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอก
    – ใบมีความกว้าง 6-9 เซนติเมตร และยาว 15-25 เซนติเมตร
    – มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
  • ลักษณะของดอก[1]
    – ออกดอกเป็นช่อ
    – ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ
    – มีดอกย่อย 4-7 ดอก
    – กลีบดอกเป็นสีขาว
    – เชื่อมติดกันเป็นหลอด มีขน
  • ลักษณะของผล[1]
    – ผลเป็นผลสด
    – ผลเป็นรูปไข่
    – มีสีม่วงเข้ม

สรรพคุณของกระทาดง

  • ลำต้นหรือราก สามารถนำมาใช้ผสมกับหัวยาข้าวเย็น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “กระทาดง”. หน้า 142.

กระแตไต่หิน สรรพคุณของเหง้าช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต

0
กระแตไต่หิน สรรพคุณของเหง้าช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต เป็นพรรณไม้จำพวกเฟิร์น เกาะตามก้อนหิน หรือกิ่งไม้ มีเกล็ดสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นปกคลุมและมีขนสีน้ำตาล
กระแตไต่หิน
เป็นพรรณไม้จำพวกเฟิร์น เกาะตามก้อนหิน หรือกิ่งไม้ มีเกล็ดสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นปกคลุมและมีขนสีน้ำตาล

กระแตไต่หิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Drynaria bonii Christ. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Drynaria meeboldii Rosenst. จัดอยู่ในวงศ์ POLYPODIACEAE[1] ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ กระจ้อน, กระแตไต่ไม้, กระแตพุ่มไม้, กระปรอกเล็ก, ฮอกกาบลม[2]

ลักษณะของกระแตไต่หิน

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้จำพวกเฟิร์น
    – จะเลื้อยเกาะแน่นตามก้อนหิน หรือกิ่งไม้
    – เหง้ามีลักษณะที่แบน มีความกว้าง 2-5 เซนติเมตร และหนา 5 มิลลิเมตร
    – มีเกล็ดสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นปกคลุมและมีขนสีน้ำตาลอยู่หนาแน่น
    – เขตการกระจายพันธุ์อยู่ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลียเขตร้อน และพอลินีเซีย
    – ในประเทศไทยนั้นสามารถพบขึ้นได้ทุกภาค
    – มักขึ้นบนหินหรือคาคบในป่าดิบแล้งและในป่าเบญจพรรณ
    – จะขึ้นที่ความสูงระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 1,000 เมตร
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    ใบมี 2 ชนิด และมีรูปร่างที่ต่างกัน
    1. ใบไม่สร้างสปอร์ (nest-leaves)
    – มีจำนวนมาก
    – ออกเรียงสลับซ้อนกันปิดเหง้าไว้เกือบมิด
    – เป็นรูปวงรีหรือรูปไข่
    – ปลายใบมนหรือแหลม
    – โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ
    – ขอบใบหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย
    – ใบมีความกว้าง 4.5-7 เซนติเมตร และยาว 5-10 เซนติเมตร
    – เส้นกลางใบและเส้นใบเห็นได้ชัดเจน
    – ใบอ่อนเป็นสีเขียว
    – ใบแก่เป็นสีน้ำตาล
    2. ใบที่สร้างสปอร์ หรือใบแท้ (foliage-leaves)
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ใบชี้ขึ้นข้างบนและอยู่สูงกว่าใบประกบต้น
    – ใบด้านล่างส่วนที่ต่อกับก้านใบจะแผ่ออกเป็นปีก
    – ขอบใบจะเว้าลึกเข้าหาเส้นกลางใบเป็นแฉก
    – แฉกเรียงกันแบบขนนก
    – ปลายพูแหลม
    – ขอบพูหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย
    – ใบจะมีความกว้าง 20-40 เซนติเมตร และยาวความ 30-50 เซนติเมตร
    – แต่ละแฉกเป็นรูปใบหอกกลับหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก
    – มีความกว้างได้ถึง 3.5 เซนติเมตร และยาว 10-22 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – กลุ่มสปอร์จะอยู่ในอับสปอร์
    – มีรูปร่างที่ค่อนข้างกลม
    – เรียงกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่ระหว่างเส้นใบทางด้านหลังใบ
    – แอนนูลัส ประกอบไปด้วยเซลล์เพียงแถวเดียว
    – เรียงตัวในแนวตั้ง
    – ไม่มีเยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์

สรรพคุณของกระแตไต่หิน

  • ขนจากเหง้า สามารถนำมาบดให้ละเอียด และใช้สูบแก้หืดได้[1]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้ผสมกับหัวยาข้าวเย็น และต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หอบหืดได้[1]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษามะเร็งในปอด ปอดพิการได้[1]
  • ราก สามารถนำมาใช้ฝนกับน้ำมะนาวกินและทาแก้เนื้อตายจากพิษงูเขียวหางไหม้ได้
  • ต้น ถูกจัดว่าเป็นตัวยาที่มีความสำคัญชนิดหนึ่ง ที่นำมาใช้สำหรับบำบัดอาการป่วยเนื่องจากกระดูกแตกและเส้นเอ็นฉีกขาด
  • เมื่อนำไปผสมกับ Dipsacus และอื่น ๆ จะช่วยบำบัดอาการป่วยได้
  • สามารถนำมาใช้สำหรับบำบัดอาการปวดเข่าและปวดหลัง แก้ปวดฟัน และเลือดออกตามไรฟันได้
  • เหง้า มีรสขม ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
  • เหง้า ช่วยขยายหลอดเลือด แก้อาการมืดเท้าเย็น
  • เหง้า ลดอาการเจ็บปวดเนื่องจากกล้ามเนื้อฉีกขาด
  • เหง้า แก้ไขข้ออักเสบ ปวดข้อ ปวดหลัง และกระดูกแตก

ประโยชน์ของกระแตไต่หิน

  • สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปได้[2],[3]
  • สามารถนำมาปลูกเป็นเฟิร์นประดับตามโขดหินหรือต้นไม้ในสวนได้[2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “กระ แต ไต่ หิน”. หน้า 96.
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “กระแตไต่ไม้ (Drynaria bonii)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [05 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://alchetron.com/Drynaria
2.http://phytoimages.siu.edu/

ต้นกระดาด สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องผูก

0
ต้นกระดาด
ต้นกระดาด สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นไม้ล้มลุก เหง้าอยู่ตามพื้นดิน ใบรูปไข่แกมรูปหัวใจ ก้านใบขนาดใหญ่สีม่วงปนสีน้ำตาล ดอกมีกาบสีเหลืองอมสีเขียว
ต้นกระดาด
เป็นไม้ล้มลุก เหง้าอยู่ตามพื้นดิน ใบรูปไข่แกมรูปหัวใจ ก้านใบขนาดใหญ่สีม่วงปนสีน้ำตาล ดอกมีกาบสีเหลืองอมสีเขียว

ต้นกระดาด

ชื่อสามัญของต้นกระดาด คือ Giant alocasia, Ape, Elephant ear, Giant taro, Pai, Ear elephant ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของต้นกระดาด คือ Alocasia macrorrhizos (L.) G.Don[1] อยู่วงศ์บอน (ARACEAE)[1],[3],[4] ต้นกระดาด มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น มันโทป้าด (เงี้ยว, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), คือ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เอาะลาย (จังหวัดยะลา), บึมบื้อ (จังหวัดเชียงใหม่), กระดาดดำ (จังหวัดกาญจนบุรี), กลาดีบูเก๊าะ (มลายู,จังหวัดยะลา), เผือกกะลา (เงี้ยว, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), โทป๊ะ (กะเหรี่ยง, จังหวัดแม่ฮ่องสอน), โหรา (จังหวัดสงขลา), บอนกาวี (จังหวัดยะลา), กระดาดแดง (จังหวัดกรุงเทพมหานคร) [1] (มีข้อมูลอื่นระบุไว้ว่ามีชื่อ บอนเขียว, กระดาดเขียว, กระดาดขาว [3],[4])

ลักษณะกระดาด

  • ต้น มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้ล้มลุก จะมีเหง้าทอดอยู่ที่ตามพื้นดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ลำต้นจะสั้น สามารถสูงได้ถึงประมาณ 1-2 เมตร เป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล มีหัวอยู่ที่ใต้ดิน ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อและไหล การเพาะเมล็ด มักจะขึ้นที่มีอากาศชื้น และมีแสงแดดรำไร มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไป สำหรับประเทศไทยสามารถพบเจอขึ้นได้ทุกภาคของประเทศไทย
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ใบเป็นรูปไข่แกมรูปหัวใจ ที่ปลายใบจะเป็นติ่งแหลม ส่วนที่โคนใบจะเว้าลึก ที่ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นแบบห่าง ใบกว้างประมาณ 25-60 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร ที่หลังใบจะเรียบเป็นสีเขียวและเป็นมันลื่น ที่ท้องใบจะเรียบ จะมีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 5-7 เส้น มีก้านใบขนาดใหญ่สีม่วงปนสีน้ำตาล มีความยาวประมาณ 1.2-1.5 เมตร[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อ ช่อเป็นแท่งยาวที่ปลายช่อจะแหลม ออกดอกที่บริเวณกลางต้น ยาวประมาณ 11-23 เซนติเมตร ก้านช่อดอกมีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 25-50 เซนติเมตร ดอกมีกาบสีเหลืองอมสีเขียวหุ้ม ที่โคนของกาบจะโอบรอบโคนช่อ ช่อดอกประกอบด้วยดอกเพศเมียอยู่ที่ตรงโคนช่อ ดอกเพศผู้ที่ตรงส่วนด้านบน ดอกเพศผู้ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ดอกเพศเมียยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร เป็นดอกแยกเพศแบบอยู่ช่อเดียวกัน จะมีดอกเพศผู้เยอะกว่าดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้กับดอกเพศเมียคอดมีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ที่ปลายจะไม่มีดอก มีความยาวประมาณ 6.7-13 เซนติเมตร ที่ปลายจะมน ดอกเพศเมียมีรังไข่อยู่ 1 ช่อง จะมีออวุลอยู่ประมาณ 3-5 เม็ด ที่ยอดเกสรเพศเมียเป็นรูปหกเหลี่ยมตัด กว้างประมาณ 1 มิลลิเมตร ดอกเพศผู้มีขนาดที่สั้นกว่าดอกเพศเมียและกว้างกว่าดอกเพศเมีย ที่ด้านข้าค่อนข้างแบน[1],[2]
  • ผล เป็นผลสด ผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8-1.2 เซนติเมตร เนื้อด้านในผลมีผิวสัมผัสนุ่มและเป็นสีแดง มีเมล็ดแข็งอยู่ในผล 1 เมล็ด เมล็ดมีรูปทรงกลมเป็นสีดำ[1],[2],[4]

พิษของต้นกระดาด

  • มีสารจำพวกเรซินกับ Protoanemonine ที่เป็นพิษ และมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) เยอะ ที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง[2]

สรรพคุณต้นกระดาด

1. ใบมีรสเย็น สามารถช่วยแก้อาการอักเสบที่ข้อทำให้บวมแดงได้ (ใบ)[1]
2. สามารถนำใบมาใช้เป็นยาฝาดสมาน ช่วยห้ามเลือดได้ (ใบ)[2]
3. สามารถนำไหลมาทานเป็นยาขับพยาธิได้ (ไหล)[2]
4. สามารถนำรากกับเหง้ามาใช้เป็นยาถ่ายชนิดอุจจาระเป็นพรรดึกได้ (รากหรือเหง้า)[2]
5. น้ำที่ได้จากก้านใบจะมีรสเย็น สามารถทานแก้อาการไอได้ (น้ำจากก้านใบ)[1]
6. สามารถนำรากมาใช้ทาแก้พิษของแมงป่องได้ (ราก)[1]
7. หัวจะมีรสเมาเย็น สามารถเอาหัวมาโขลกใช้พอกรักษาแผลหนองได้ (หัว)[1]
8. รากกับเหง้าจะมีรสเย็นจืด สามารถนำมาต้มทานเป็นยาขับปัสสาวะได้ (รากหรือเหง้า)[1],[2],[4]
9. ยาที่ต้มจากใบสามารถทานแก้อาการท้องผูกชนิดพรรดึกได้ (ใบ)[2]
10. สามารถใช้ต้น ราก และเหง้าเป็นยาระบายแบบอ่อน ๆ ได้ ด้วยการนำต้น ราก และเหง้ามาต้มทานเป็นยา (ราก, ต้น)[1],[2],[4]

ประโยชน์ต้นกระดาด

1. สามารถทานเหง้าที่ต้มสุกแล้วได้[2]
2. เหง้าสามารถนำมาใส่ในแกงได้[2]
3. นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในกระถาง ช่วยดูดซับความชื้นได้ดี และยังเป็นพืชที่ทำให้เกิดแหล่งน้ำ อย่างเช่น น้ำตก [2],[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์. “กระ ดาด เขียว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th. [28 ม.ค. 2014].
2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กระ ดาด (Kra Dad)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 23.
3. ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กระดาด”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [28 ม.ค. 2014].
4. หนังสืออนุกรมวิธานพืช อักษร ก. ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. “ก ร ะ ด า ด”.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/

กรวย สรรพคุณช่วยรักษาอาการเจ็บคอ

0
กรวย
กรวย สรรพคุณช่วยรักษาอาการเจ็บคอ ไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว ดอกมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก สีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม ผลกลมออกเป็นพวง ผลสุกสีส้มหรือสีแดงอมส้ม
กรวย
ไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว ดอกมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก สีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม ผลกลมออกเป็นพวง ผลสุกสีส้มหรือสีแดงอมส้ม

กรวย

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Horsfieldia irya (Gaertn.) Warb. จัดอยู่ในวงศ์จันทน์เทศ (MYRISTICACEAE)[1]
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กรวย กรวยน้ำ กรวยสวน (กรุงเทพฯ), กะเพราพระ เพราพระ (ชุมพร), จุมพร้า ตุมพระ (นครศรีธรรมราช), ตุมพระ (สตูล), ยางู (สตูล), ตือระแฮ ระหัน หัน (ปัตตานี)[1]

ลักษณะของต้นกรวย

  • ลักษณะของต้น[1],[2]
    – เป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดกลาง
    – มีความสูงได้ประมาณ 10-25 เมตร
    – โคนต้นเป็นพอน
    – มีรากค้ำยันบริเวณโคนต้น
    – เรือนยอดมีความแคบยาวหรือเป็นรูปกรวยคว่ำ
    – กิ่งแตกเกือบตั้งฉากกับลำต้น
    – ปลายกิ่งห้อยลู่ลง
    – เปลือกต้นเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ
    – เป็นสีน้ำตาลหรือเทา
    – เมื่อสับเปลือกจะมียางใสสีแดงไหลออกมา
    – ตามเปลือกและกิ่งจะมีช่องอากาศทั่วไป
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง
    – มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในศรีลังกา หมู่เกาะอันดามัน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย
    – ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายพันธุ์ทางภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้
    – จะขึ้นตามป่าดิบชื้นริมน้ำหรือบนที่ราบตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลองตอนที่ติดต่อกับทะเล
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับ
    – ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี
    – ปลายใบแหลม
    – โคนใบมนหรือแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 4-8 เซนติเมตร และยาว 15-25 เซนติเมตร
    – เส้นแขนงใบมีข้างละ 10-18 เส้น
    – เป็นเส้นตรงขนานกัน
    – ปลายเส้นโค้งขึ้นเลียบขอบใบ
    – แผ่นใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม
    – แผ่นใบด้านล่างเป็นสีนวล
    – ก้านใบยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – ดอกแยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน
    – จะออกเป็นช่อแยกแขนงตามซอกใบ
    – มีความยาว 10-16 เซนติเมตร
    – ช่อดอกเพศผู้จะแตกแขนงแผ่กว้างกว่าช่อดอกเพศเมีย
    – ดอกมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก
    – ดอกเป็นสีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม
    – ออกชิดกันแน่นเป็นกลุ่ม ๆ
    – ตามแขนงช่อดอก
    – วงกลีบรวมติดกัน
    – ส่วนบนแยกเป็น 2 กลีบ
    – ดอกเพศผู้จะมีเกสรเพศผู้ 6-10 อัน
    – ดอกเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้
    – ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
  • ลักษณะของผล[1],[2]
    – ผลมีความกลมเป็นผลแบบมีเนื้อ
    – ออกเป็นพวง
    – พวงละประมาณ 2-5 ผล
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร
    – เปลือกผลหนา
    – เมื่อสุกผลจะเป็นสีส้มหรือสีแดงอมส้ม
    – ก้านผลมีความยาว 0.8-1.1 เซนติเมตร
    – มีเมล็ด 1 เมล็ด เป็นรูปไข่ สีน้ำตาล แข็ง และมีขนาดใหญ่
    – เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีแดงอมส้ม
    – ออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน

สรรพคุณของกรวย

  • เปลือกต้น สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต[3]
  • ชาวมาเลเซียนั้นจะใช้เปลือกต้น นำมาต้มกับน้ำเดือด ใช้เป็นยากลั้วปากและคอ เพื่อช่วยบำบัดอาการเจ็บคอ

ประโยชน์ของกรวย

  • ผล สามารถใช้เป็นอาหารของสัตว์ป่าได้[4]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างภายในอาคารบ้านเรือนได้[4]
  • สามารถนำมาปลูกเพื่อให้ร่มเงาริมน้ำได้ เนื่องจากมีรากช่วยยึดตลิ่งได้ดี[2]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กรวย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [10 ส.ค. 2015].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กรวย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : agkc.lib.ku.ac.th. [10 ส.ค. 2015].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Horsfieldia irya (Gaertn.) Warb.”. อ้างอิงใน : หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน หน้า 139. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [10 ส.ค. 2015].
4. ไทยเกษตรศาสตร์. “กรวย (Kruai)”. อ้างอิงใน : หนังสือวัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [10 ส.ค. 2015].

กรวยป่า สรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงตับ

0
กรวยป่า
กรวยป่า สรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงตับ พรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว ดอกเป็นกระจุก มีขนสั้นนุ่ม สีขาวหรือสีเหลืองแกมเขียว เปลือกผลหนามีเนื้อ
กรวยป่า
ไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว ดอกเป็นกระจุก มีขนสั้นนุ่ม สีขาวหรือสีเหลืองแกมเขียว เปลือกผลหนามีเนื้อ

กรวยป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Casearia grewiaefolia Vent.[2],[3] ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Casearia kerri Craib, Casearia oblonga Craib[4] ปัจจุบันได้ถูกย้ายมาอยู่ในวงศ์สนุ่น (SALICACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ตวย (เพชรบูรณ์), ตวยใหญ่ ตานเสี้ยน (พิษณุโลก), คอแลน (นครราชสีมา), ขุนเหยิง บุนเหยิง (สกลนคร), ผ่าสาม หมากผ่าสาม (นครปฐม, อุดรธานี), ก้วย ผีเสื้อหลวง สีเสื้อหลวง (ภาคเหนือ), คอแลน ผ่าสามตวย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), สีเสื้อ, หมูหัน[1],[3],[4],[6]

ลักษณะของกรวยป่า

  • ลักษณะของต้น[2],[3],[4]
    – เป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดเล็กถึงกลาง
    – มีความสูงได้ 5-15 เมตร
    – รูปทรงโปร่ง
    – ออกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น
    – ลำต้นเปลาตรง มีลายสีขาวปนดำ
    – คล้ายตัวแลนหรือตะกวด
    – บางท้องที่จึงเรียกว่า “คอแลน”
    – เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีเทา สีน้ำตาลอ่อน หรือสีน้ำตาลเข้ม
    – มีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป
    – กิ่งอ่อนมีขนสั้น หนานุ่ม สีน้ำตาลแดง
    – มีน้ำยางสีขาวใส
    – เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนเกือบขาว
    – ต้นที่มีอายุมาก โคนต้นจะมีพูพอน
    – เขตการกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จนถึงหมู่เกาะในภูมิภาคเมลานีเซีย
    – ในประเทศไทยพบขึ้นทุกภาคของประเทศ
    – มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบ และป่าทุ่งทั่วไป
  • ลักษณะของใบ
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปรียาว ขอบขนาน
    – ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม
    – โคนใบมนกว้าง
    – เว้าเล็กน้อยที่รอยต่อก้านใบ
    – ขอบใบหยักเป็นถี่ตื้น ๆ
    – แผ่นใบมีความกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาว 8-13 เซนติเมตร
    – เนื้อใบหนา
    – แผ่นใบเรียบ
    – หลังใบเรียบเกลี้ยงเป็นมันหรือมีขนเล็กน้อยที่เส้นกลางใบ
    – ท้องใบมีขนสั้นขึ้นปกคลุมทั่วไป
    – เส้นกลางใบเรียบหรือเป็นร่องทางด้านบน
    – ด้านล่างนูนเห็นได้ชัด
    – เส้นแขนงใบมีข้างละ 8-14 เส้น
    – แผ่นใบมีต่อมเป็นจุดและขีดสั้น ๆ
    – กระจัดกระจายทั่วไป
    – เมื่อส่องดูกับแสงสว่างจะโปร่งแสงก้านใบสั้น
    – ยาวได้ 0.6-1.2 เซนติเมตร
    – มีขนสั้นนุ่มหรือเกือบเกลี้ยง
    – หูใบมีขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยม[2],[3],[4]
  • ลักษณะของดอก[2],[3],[4]
    – ออกดอกเป็นกระจุก
    – กระจุกละ 2-8 ดอก
    – จะออกตามซอกใบที่หลุดร่วงไปแล้ว
    – ก้านดอกยาว 5-6 มิลลิเมตร
    – มีขนสั้นนุ่ม
    – ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศสีขาวหรือสีเหลืองแกมเขียว
    – ใบประดับมีจำนวนมาก
    – มีขนสั้นนุ่ม ไม่มีกลีบดอก
    – กลีบเลี้ยงดอกขนาดเล็ก มี 5 กลีบ
    – กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว
    – แต่ละกลีบจะไม่เท่ากัน ด้านนอกมีขนแน่น ด้านในเกลี้ยง
    – ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 8-10 อัน
    – ก้านชูอับเรณูยาวไม่เท่ากัน มีขนสั้นนุ่มเล็กน้อยหรือเกลี้ยง
    – ตรงกลางมีแกนเป็นรูปเจดีย์คว่ำ
    – เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน
    – เป็นรูปขอบขนาน
    – มีขนหนาแน่น
    – รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เป็นรูปกลมเกลี้ยง
    – ก้านเกสรเพศเมียสั้น
    – ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
  • ลักษณะของผล[2],[3],[4]
    – ผลเป็นผลแบบมีเนื้อ
    – เมื่อแห้งจะแตกออก
    – ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่
    – มีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 2.5-5 เซนติเมตร
    – ผิวผลทั้งมันและเรียบ
    – เปลือกผลหนา
    – เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองและจะแตกออกเป็น 3 ซีก
    – บางท้องถิ่นจึงเรียกว่า “ผ่าสาม”
  • ลักษณะของเมล็ด[2],[3],[4]
    – ผลมีเมล็ดจำนวนมาก
    – เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีแดงสด
    – เมล็ดเป็นรูปเหลี่ยม
    – มีขนาด 1 เซนติเมตร
    – รูปร่างดูคล้ายผีเสื้อ
    – หัวท้ายมน
    – ผิวเมล็ดแข็งและเรียบเป็นมัน
    – ออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของกรวยป่า

  • ราก สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุเช่นเดียวกับเปลือก[4]
  • ราก สามารถใช้เป็นยาแก้บิดมูกเลือด[4]
  • ราก สามารถใช้เป็นยาบำรุงตับ แก้ตับพิการ[1],[2],[4],[5]
  • ราก สามารถใช้เป็นยาแก้ผื่นคันเช่นเดียวกับใบ[1],[2],[4]
  • ผล สามารถใช้เป็นยาฟอกโลหิต[4]
  • ผล สามารถใช้เป็นยาแก้น้ำลายเหนียว แก้เสมหะเป็นพิษ แก้เลือดออกตามไรฟัน [4]
  • ผล สามารถใช้เป็นยาแก้บิดปวดเบ่ง แก้ลงท้อง[4]
  • เมล็ด มีรสเมาเบื่อ สามารถใช้เป็นยาแก้พยาธิผิวหนัง[4]
  • เปลือก สามารถใช้เป็นยาสมานแผล[4]
  • เปลือก สามารถใช้เป็นยาขับผายลม[4]
  • เปลือก มีรสเมาขื่น ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต เป็นยาคุมธาตุ[1],[2],[4],[5]
  • ดอกและใบ มีรสเมาเบื่อ สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้พิษหรือพิษไข้ตัวร้อน[1],[2],[4]
  • ราก ใบ และดอก สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้กาฬ พิษกาฬ พิษอักเสบจากหัวกาฬ[1],[2],[4]
  • รากและเปลือก มีรสเมาขื่น สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[1],[2],[4],[5]
  • ใบและราก สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[4]
  • รากและเมล็ด สามารถใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร[1],[2],[4],[5]
  • ใบและดอก สามารถใช้เป็นยาแก้พิษที่เกิดจากการติดเชื้อ[5]

ประโยชน์ของกรวยป่า

  • น้ำมันจากเมล็ด สามารถใช้เป็นยาเบื่อปลาได้[4],[5]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำเครื่องจักสาน เครื่องใช้สอย และเฟอร์นิเจอร์ได้[6]

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กรวยป่า (Kruai Pa)”. หน้า 17.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กรวยป่า”. หน้า 55.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กรวยป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [09 ก.ค. 2015].
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผ่าสาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [09 ก.ค. 2015].
5. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กรวยป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [09 ก.ค. 2015].
6. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “กรวย ป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [09 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://efloraofindia.com/2011/02/13/casearia/

กกลังกา สรรพคุณใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

0
กกลังกา สรรพคุณใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นไม้ล้มลุกยืนต้น ลำต้นเหนือดินสร้างช่อดอกและแตกเป็นกอ ใบเดี่ยวยาว ใต้ท้องใบสาก ดอกเป็นช่อซี่ร่ม
กกลังกา
ไม้ล้มลุกยืนต้น ลำต้นเหนือดินสร้างช่อดอกและแตกเป็นกอ ใบเดี่ยวยาว ใต้ท้องใบสาก ดอกเป็นช่อซี่ร่ม

กกลังกา

กกลังกา Umbrella plant, Flatsedge เป็นไม้ล้มลุกยืนต้นที่สามารถเติบโตได้สูงถึง 2 เมตร มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก มาดากัสการ์ และคาบสมุทรอาหรับ แต่ปัจจุบันพบได้ทั่วโลก ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cyperus alternifolius L.[1],[2] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า เป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คือ Cyperus involucratus Rottb. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cyperus alternifolius subsp. flabelliformis Kük., Cyperus flabelliformis Rottb.)[4] โดยจัดอยู่ในวงศ์กก (CYPERACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กกขนาก, กกต้นกลม, หญ้าสเล็บ, หญ้าลังกา, กกดอกแดง (พระนครศรีอยุธยา),[1], กกรังกา หญ้ากก หญ้ารังกา (กรุงเทพฯ)[4], จิ่วหลงทู่จู (จีนกลาง), เฟิงเชอเฉ่า (จีนแต้จิ๋ว)[3]

ลักษณะของกกลังกา

  • ลักษณะของต้น[1],[5]
    – จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – อายุหลายปี
    – ลำต้นเหนือดินสร้างช่อดอกและแตกเป็นกอ
    – มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าแข็งสั้น ๆ คล้ายจำพวกขิงหรือเร่ว
    – ลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้าน
    – มีความสูงได้ 100-150 เซนติเมตร
    – ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยมค่อนข้างกลมมน มีสีเขียว
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวที่ชุ่มชื้นและมีอินทรีย์วัตถุสูง
    – ชอบความชื้นสูงและแสงแดดแบบเต็มวัน
    – มักขึ้นตามบริเวณที่ที่เป็นโคลนหรือน้ำ เช่น ข้างแม่น้ำ สระ ลำคลอง หรือบ่อน้ำ
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – แผ่นใบบาง
    – ออกแผ่ซ้อน ๆ กันอยู่ที่ปลายยอดของลำต้น
    – ใบเป็นรูปยาว
    – ปลายใบแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1 เซนติเมตร และยาว 18-19 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
    – ใต้ท้องใบสาก
    – ในต้นหนึ่ง ๆ จะมีใบ 18-25 ใบ
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[4]
    – ออกดอกเป็นช่อซี่ร่มย่อยที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกแตกแขนงย่อย 20-25 แขนง
    – มีขนาดกว้าง 12-20 เซนติเมตร
    – มีใบประดับรองรับช่อดอก 4-10 ใบ
    – มีขนาดกว้าง 6-10 มิลลิเมตร และยาว 15-25 เซนติเมตร
    – แต่ละแขนงจะมีดอกย่อยช่อละ 8-20 ดอก
    – ดอกย่อยจะมีกาบหุ้ม มีความกว้าง 1 มิลลิเมตร และยาว 1-2 มิลลิเมตร
    – ดอกย่อยมีขนาดเล็กเป็นสีขาวแกมเขียว
    – เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน
    – ก้านดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ มีสีเขียวอ่อน ยาวได้ 6-7 เซนติเมตร
  • ลักษณะของผล[2],[5]
    – ผลเป็นผลแห้ง
    – ผลเป็นรูปทรงรียาว รูปรี หรือรูปไข่
    – มีความกว้าง 0.4-0.5 มิลลิเมตร และยาว 0.9-1 มิลลิเมตร
    – ผลเป็นสีน้ำตาล
    – เปลือกแข็ง
    – มีเมล็ดเดียว

สรรพคุณของกกลังกา

  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ตัวเหลือง ตาเหลือง แก้ดีซ่าน[3]
  • ดอก สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มหรืออมกลั้วคอ เป็นยาแก้โรคในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล[1],[2],[3],[4],[5]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มหรือบดเป็นผงละลายกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับเสมหะ แก้เสมหะ เสมหะเฟื่อง และช่วยขับน้ำลาย[1],[2],[4],[6]
  • เหง้า มีรสขม สามารถใช้ต้มเอาน้ำดื่มหรือนำมาบดให้เป็นผงละลายกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ เป็นยาทำให้เจริญอาหาร[1],[2],[4],[6]
  • ทั้งต้น มีรสเปรี้ยว หวาน และขมเล็กน้อย เป็นยาเย็น สามารถนำมาใช้เป็นยาฟอกเลือด ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี[3]
  • ใบ มีรสเย็น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาฆ่าพยาธิ ฆ่าเชื้อโรคภายใน[1],[2],[4],[6]
  • ใบ สามารถนำมาใช้ตำและพอกเป็นยาฆ่าเชื้อโรคหรือพยาธิที่บาดแผล ซึ่งเป็นตัวนำเชื้อโรคทั้งหมดได้[1],[2],[4],[5],[6]
  • ราก สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่ม หรือตำกับเหล้าคั้นเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ช้ำในและการตกเลือดจากอวัยวะภายใน ช่วยขับเลือดเน่าเสียออกจากร่างกายได้[1],[2],[3],[4],[6]
  • ลำต้น มีรสจืด สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยขับน้ำดีให้ตกลำไส้ และเป็นยาทำลายดีอันผูกไว้ซึ่งพิษ[1],[3],[6]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้พิษงู ด้วยการใช้เหง้าแช่เหล้าไว้นาน 2 อาทิตย์ขึ้นไป นำมาล้างแผลที่โดนงูกัดและใช้เหล้าที่ได้จากนี้รับประทานครั้งละ 1 แก้วยา จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือถอนพิษงูได้แค่ชั่วคราว[3]
  • เหง้า สามารถนำมาฝนใส่เหล้า แล้วนำไปคั่วจนเนื้อยาเป็นสีคล้ำ นำข้าวสาร 1 กำมือ และยาที่คั่วแล้วปริมาณ 60 กรัม ใส่หม้อนำไปต้ม ให้รับประทานหลังการคลอดบุตรของสตรี หากมีอาการปวดท้องน้อยหรือตกเลือด[3]

ประโยชน์ของกกลังกา

  • สามารถนำไปใช้เป็นวัสดุในงานหัตถกรรมพื้นบ้านได้[6]
  • นิยมนำมาปลูกไว้เป็นไม้ประดับตามริมสระน้ำในสวนหรือใช้ปลูกในภาชนะร่วมกับไม้น้ำอื่น ๆ[5],[6]
  • การปลูกไว้ริมขอบน้ำจะเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน[6]
  • ช่วยบำบัดน้ำเสียและช่วยปรับสมดุลทางระบบนิเวศวิทยาได้[6]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กก ลัง กา”. หน้า 1-2.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กกรังกา”. หน้า 54.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “กกลังกา”. หน้า 16.
4. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กก ลังกา (Kok Rang Ka)”. หน้า 14.
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กกลังกา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : agkc.lib.ku.ac.th. [11 ก.ค. 2015].
6. โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม. “กก ลัง กา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.kp.ac.th. [11 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.britannica.com/
2.https://housing.com/

สะบ้าลิง ไม้เลื้อยสรรพคุณแก้โรคผิวหนังและแผลเรื้อรัง

0
สะบ้าลิง ไม้เลื้อยสรรพคุณแก้โรคผิวหนังและแผลเรื้อรัง เป็นพรรณไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ดอกเป็นสีม่วงดำ มีกลิ่นเหม็นเอียน ฝักเป็นสีน้ำตาล
สะบ้าลิง
เป็นพรรณไม้เลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ดอกเป็นสีม่วงดำ มีกลิ่นเหม็นเอียน ฝักเป็นสีน้ำตาล

สะบ้าลิง

เป็นพรรณไม้เถาเนื้อแข็งพบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณมักอาศัยต้นไม้ใหญ่เพื่อเลื้อยพาดพันแพร่กิ่งก้านไปเลื่อย ๆ สรรพคุณด้านตำรายาไทยใช้เนื้อในเมล็ดดิบ รสเบื่อเมา แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน โรคเรื้อน คุดทะราด มะเร็ง เป็นยาเบื่อเมา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Entada glandulosa Gagnep. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Entada tamarindifolia Gagnep.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ผักตีนแลน มะบ้าลิง มะบ้าปน (เชียงใหม่), หมากนิมลาย (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน), มะบ้าปน (ลำพูน), ทบทวน ลิ้นแลน มะขามเครือ (ชัยภูมิ), เครือลิ้นแลน (หนองคาย), หมากแทน (ยโสธร), บ้าบนใหญ่ (อุบลราชธานี), ผักตีนแลน มะบ้าลิง มะบ้าบน มะบ้าวอก (ภาคเหนือ), สะบ้าลาย สะบ้าลิง (ภาคกลาง)

ลักษณะของสะบ้าลิง

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นพรรณไม้เถาเนื้อแข็ง
    – เลื้อยพาดพันต้นไม้ใหญ่
    – ตามกิ่งมีขน
    – มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในพม่าและภูมิภาคอินโดจีน
    – ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายห่าง ๆ แทบทุกภาคของประเทศ ยกเว้นทางภาคใต้
    – มักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง โดยเฉพาะบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร
  • ลักษณะของใบ[1],[2]
    – ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น
    – ปลายใบคู่ ออกเรียงสลับกัน
    – แกนกลางใบประกอบยาวประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร
    – ก้านใบยาว 1.8-4 เซนติเมตร
    – ใบประกอบย่อยคู่ปลายมีมือเกาะ
    – ใบประกอบย่อยยาว 4-14.5 เซนติเมตร
    – มีใบย่อย 5-8 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน
    – ใบย่อยเป็นรูปรีหรือรูปขอบขนาน
    – ปลายใบตัดหรือเว้ากลม มีติ่งแหลม
    – ฐานใบเบี้ยวเล็กน้อย
    – ใบมีความกว้าง 0.5-1.7 เซนติเมตร และยาว 1.2-4 เซนติเมตร
    – ผิวใบด้านล่างเกลี้ยงไม่มีนวล
  • ลักษณะของดอก[1],[2]
    – เป็นช่อกระจะเชิงลด
    – จะออกที่ซอกใบและเหนือซอกใบ
    – ยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร
    – มีขนละเอียด
    – ก้านดอกย่อยเกือบไร้ก้าน
    – กลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย
    – ปลายแยกออกเป็นแฉก 5 แฉก
    – ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมตื้น ๆ
    – ผิวด้านนอกมีขนละเอียด
    – ผิวด้านในเกลี้ยง
    – ยาวประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร
    – กลีบดอกนั้นเป็นสีขาวแกมเหลือง มี 5 กลีบ แยกจรดกัน
    – กลีบดอกเป็นรูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก
    – ปลายแหลม
    – โคนเชื่อมกัน
    – ขอบเรียบ
    – ปลายแยก
    – มีความยาว 4.5-5.5 มิลลิเมตร
    – ด้านนอกช่วงล่างมีแนวต่อมขนาดเล็กอยู่ 2 แนว
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน แยกจากกัน เชื่อมกันที่ฐาน
    – แบ่งเป็นขนาดยาว 9 อัน และสั้น 1 อัน
    – ก้านชูอับเรณูยาวได้ประมาณ 1 เซนติเมตร หรือยาวกว่าเล็กน้อย
    – เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
    – ผิวเรียบ
    – รังไข่เกลี้ยง ยาวได้ประมาณ 3 มิลลิเมตร
    – ออกดอกในช่วงประมาณมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
  • ลักษณะของผล[1],[2]
    – ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปขอบขนาน แบน โค้งงอ
    – มีรอยคอดตามเมล็ด
    – ฝักมีขนาดกว้าง 2.2-2.6 เซนติเมตร และยาวได้ถึง 35 เซนติเมตร
    – ฝักเป็นสีน้ำตาล
    – ผนังด้านนอกค่อนข้างหนา
    – เมื่อแก่จะหักเป็นท่อนๆ
    – แต่ละท่อนจะมีเมล็ด 1 เมล็ด
    – เมล็ดเป็นรูปเกือบกลม แบน
    – มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.8 เซนติเมตร
    – เปลือกนอกแข็งเป็นสีน้ำตาลดำ

สรรพคุณของสะบ้าลิง

  • ทั้งต้น ใช้ผสมในลูกประคบเป็นยาแก้ปวดข้อ ปวดเมื่อย[2]
  • เมล็ดหรือราก สามารถนำมาฝนเหล้าทาและฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคผิวหนัง และแผลเรื้อรัง[2]
  • เนื้อในเมล็ดดิบ มีรสเบื่อเมา ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน โรคเรื้อน คุดทะราด มะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเป็นยาเบื่อเมา[2]
  • เนื้อในเมล็ดดิบ สามารถนำมาสุมไฟให้เกรียมดำแล้วผสมกับยาอื่น ๆ รับประทานเป็นยาแก้ไข้พิษเซื่องซึม[2]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
– สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “สะ บ้า ลิง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [13 ก.ค. 2015].
– ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “สะ บ้า ลิง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [14 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.atariyas.ir
2.https://botanyvn.com/