มะเขือเทศ
มะเขือเทศ ( Tomato ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Lycopersicon Esculentum Mill. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ ( SOLANACEAE ) ซึ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไม่ได้รับความสนใจมากนัก จนต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ตามธรรมชาติ มนุษย์จึงได้เริ่มนำมาเพาะปลูกเป็นอาหาร โดยชนพื้นเมืองที่นำมะเขือเทศมาปลูกอย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรก ก็คือชาวพื้นเมืองเอซเท็ค ( Aztecs ) ในประเทศเม็กซิโกนั่นเอง ซึ่งมะเขือเทศจัดเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีก็ว่าได้ โดยผลขนาดกลางให้แคลอรี่เพียง 22 แคลอรี่ มีหลายสายพันธุ์ เช่น มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศเชอรี่ มะเขือเทศราชินี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไลโคปีน และวิตามินซีอย่างที่ทราบกันดีมะเขือเทศลูกเดียวให้วิตามินซีได้สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์และวิตามินเอที่ช่วยในการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกันที่ดี และบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส วิตามินเคดีต่อกระดูก โพแทสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับการทำงานของหัวใจ การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการรักษาความดันโลหิต นิยมนำมาใส่ลงไปในอาหาร ทำเป็นเครื่องดื่ม หรือรับประทานสดก็ได้
มะเขือเทศ เป็นผักหรือผลไม้
หลายๆคนอาจเกิดความสงสัยว่าจริงๆแล้วมะเขือเทศนั้นเป็นผักหรือผลไม้กันแน่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มะเขือเทศคือผลไม้ เพราะตามหลักพฤกษาศาสตร์ผลมะเขือเทศเป็นส่วนของรังไข่ที่เจริญเติมโตเต็มที่
คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศแดงสด 1 ส่วนต่อ 100 กรัม
สารอาหารในมะเขือเทศ (Nutrient) |
หน่วย |
1 ส่วนต่อ 100 กรัม |
น้ำ ( Water ) | กรัม | 94.34 |
พลังงาน ( Energy ) | กิโลแคลอรี | 18 |
โปรตีน ( Protein ) | กรัม | 0.95 |
ไขมันรวม Total lipid ( Fat ) | กรัม | 0.11 |
คาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate ) | กรัม | 4.01 |
ไฟเบอร์ ( Fiber ) | กรัม | 0.7 |
น้ำตาล ( Sugars ) | กรัม | 2.49 |
แคลเซียม ( Calcium ) | มิลลิกรัม | 11 |
ธาตุเหล็ก ( Iron ) | มิลลิกรัม | 0.68 |
แมกนีเซียม ( Magnesium ) | มิลลิกรัม | 9 |
ฟอสฟอรัส ( Phosphorus ) | มิลลิกรัม | 28 |
โปแตสเซียม ( Potassium ) | มิลลิกรัม | 218 |
โซเดียม ( Sodium ) | มิลลิกรัม | 11 |
สังกะสี ( Zinc ) | มิลลิกรัม | 0.14 |
วิตามินซี ( Vitamin C ) | มิลลิกรัม | 22.8 |
ไทอามิน ( Thiamin ) | มิลลิกรัม | 0.036 |
ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) | มิลลิกรัม | 0.022 |
ไนอาซิน ( Niacin ) | มิลลิกรัม | 0.532 |
วิตามินบี 6 ( Vitamin B-6 ) | มิลลิกรัม | 0.079 |
โฟเลท ( Folate ) | มิลลิกรัม | 13 |
มะเขือเทศมี วิตามินเอ ( Vitamin A ) | IU | 489 |
วิตามินอี ( Vitamin E ) | มิลลิกรัม | 0.56 |
วิตามินเค ( Vitamin K ) | มิลลิกรัม | 2.8 |
กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ( Fatty Acids, Total Saturated ) | กรัม | 0.015 |
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( Fatty Acids, Total Monounsaturated ) | กรัม | 0.016 |
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ( Fatty Acids, Total Polyunsaturated ) | กรัม | 0.044 |
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
มะเขือเทศ ประโยชน์สรรพคุณ
มะเขือเทศทั่วโลกมีมากกว่า 20,000 สายพันธุ์ ดังที่เห็นบ่อยๆจะมีทั้งแบบลูกเล็ก ลูกใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็จะล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีมะเขือเทศเพียงสีเดียวเท่านั้น เพราะในปัจจุบันก็มีมะเขือเทศสีดำ มะเขือเทศสีขาว มะเขือเทศสีม่วง เช่นกัน ซึ่งก็มีประโยชน์และเป็นที่นิยมไม่แพ้มะเขือเทศสีแดงเลย ประเภทของมะเขือเทศในปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น มะเขือเทศท้อ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี มะเขือเทศสีเหลือง ประโยชน์ของมะเขือเทศโดยทั่วไปคือ
- มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารมากมายหลายชนิด และที่โดดเด่นที่สุด ก็คือวิตามินซีและวิตามินเอที่พบได้มากในมะเขือเทศ แถมยังเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
- มะเขือเทศมีสารจำพวกไลโคปีน ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อการเสื่อมของร่างกายได้ดี เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้อเสื่อม โรคหลอดเลือด และโรคตาต้อกระจก เป็นต้น
- มะเขือเทศมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง แก้แผลร้อนในช่องปาก เป็นยาช่วยดับร้อนถอนพิษ และสามารถบรรเทาอาการของโรคหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม
- ผลของมะเขือเทศเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้กระหายน้ำและเบื่ออาหาร
- ต้นมะเขือเทศมีสารสำคัญ คือโทมาทีน ( tomatine ) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นต้นเหตุของโรคในพืชและคน
- รากและใบแก่ต้มกินแก้ปวดฟัน ใบบดเป็นผงละเอียด เป็นยาเย็น ใช้ทาผิวถูกแดดเผา
- ใบชงกับน้ำร้อนใช้เป็นยาพ่นกำจัดหนอนที่มากินผักได้
เพียงแค่ทานมะเขือเทศวันละประมาณ 1-2 ผลเท่านั้น และยิ่งทานมะเขือเทศไปพร้อมกับการรักษาด้วยแล้ว ก็จะยิ่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้มะเขือเทศป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ทั้งยังช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้านช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย มะเขือเทศยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย โรคหัวใจขาดเลือด ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวกได้อีกด้วย
วิธีทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
คือต้องทำให้มะเขือเทศสุกเสียก่อน ปรุงเป็นอาหารเพราะจะทำให้ไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่ากินแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศ จะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างงานวิจัยกี่ยวกับมะเขือเทศและการรักษาโรค ( การรักษาทางเลือกจากธรรมชาติ )
โรคหอบหืด สารต้านอนุมูลอิสระอาจจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการป้องกันและขจัดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ แต่การศึกษาความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหอบหืดยังมีอยู่จำกัด มีงานวิจัยผู้ป่วยโรคหอบหืดและการอักเสบของทางเดินลมหายใจ โดยให้ลองรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำเป็นเวลา 10 วัน จากนั้นให้รับประทานยาหลอก 7 วัน ตามด้วยสารสกัดจากมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีน 45 มิลลิกรัมต่อวันอีก 7 วัน และต่อด้วยน้ำมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีน 45 มิลลิกรัมต่อวันอีก 7 วัน ผลพบว่า การบริโภคไลโคปีนอาจช่วยลดการอักเสบของปอดในโรคหืด ทั้งนี้ ไลโคปีนในรูปแบบอาหารเสริมควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม และระยะเวลาในการศึกษาค่อนข้างสั้น การระบุประสิทธิภาพของมะเขือเทศต่อการบรรเทาอาการโรคหอบหืดยังคงต้องมีการค้นคว้าเพิ่มขึ้น
โรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาปริมาณไลโคปีน แอลฟาแคโรทีน เบตาแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล ( α-Tocopherol ) เรตินอยด์ ( Retinoid ) กับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ชายชาวฟินแลนด์ อายุ 46-65 ปี จำนวน 1,031 คน โดยติดตามผลในช่วงประมาณ 12 ปี ผลพบว่าไลโคปีนในปริมาณสูงจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศอาจช่วยลดความความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและสมองขาดเลือดลง ซึ่งระดับไลโคปีนที่ตรวจพบจากการเจาะเลือด อาจเป็นผลมาจากการรับประทานมะเขือเทศนั่นเอง และนอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่วิเคราะห์อาหารที่ทำจากมะเขือเทศ หรือมีสารไลโคปีนเยอะมีผลต่อความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงวัยกลางคนและสูงอายุด้วยเช่นกัน โดยมี จำนวน 39,876 คน ในช่วงระยะเวลา 7 ปี กลับพบว่าสารไลโคปีนในอาหารไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่การรับประทานไลโคปีนหรือสารพฤกษเคมี (Phytochemicals) อื่น ๆ ที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบอาจส่งผลดีในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension )การศึกษาเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดจากมะเขือเทศในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 โดยให้อาสาสมัครรับประทานสารสกัดจากมะเขือเทศสด 250 กรัม เปรียบเทียบกับยาหลอก ผลพบว่าการรักษาด้วยสารสกัดจากมะเขือเทศระยะสั้น ซึ่งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้
โรคมะเร็ง ( Cancer )สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและพบมากในมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปหรือผ่านความร้อน เช่น ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น น้ำมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น สารไลโคปีนอาจไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอาจช่วยขัดขวางและหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางประเภทเพื่อป้องกันเซลล์ได้รับความเสียหายจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ด้วยเหตุนี้การวิจัยหลายชิ้นจึงให้ความสนใจบทบาทของไลโคปีนต่อการป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น
- โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินในมะเขือเทศที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็ง จึงมีการศึกษาระดับแคโรทีนอยด์และวิตามินต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร จากการวิจัยเชิงสังเกตและติดตามผลชายชาวจีนวัยกลางคนและวัยชราจำนวน 18,244 คน ในระยะเวลา 12 ปี โดยเปรียบเทียบกลุ่มคนที่มีระดับความเข้มข้นของแคโรทีนอยด์และวิตามินหลายตัวในเลือดสูงกับกลุ่มทดลอง ปรากฏว่าแคโรทีนอยด์อย่างแคโรทีน ไลโคปีน และวิตามินซี อาจเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการรับประทานแคโรทีนอยด์ในปริมาณสูงก็อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหารให้น้อยลง แต่ก็คล้ายคลึงกับการวิจัยโรคมะเร็งชนิดอื่นในด้านที่เป็นการศึกษาเฉพาะสารแคโรทีนอยด์และวิตามินทั่วไป ซึ่งร่างกายอาจได้รับจากการรับประทานอาหารประเภทอื่น ไม่ใช่เฉพาะแค่เพียงมะเขือเทศ จึงต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับประทานมะเขือเทศโดยตรง
- โรคมะเร็งตับอ่อน แม้ว่าผักและผลไม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาเหตุของโรคมะเร็งตับอ่อน แต่บทบาทของสารพฤกษเคมีในกลุ่มอาหารเหล่านี้ยังได้รับความสนใจอยู่น้อย จากการศึกษาความสัมพันธ์ของแคโรทีนอยด์ในอาหารกับความเสี่ยงโรคมะเร็งตับอ่อนในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับอ่อน จำนวน 462 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งเป็นประชากรชาวแคนาดา จำนวน 4,721 คนจาก 8 รัฐ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการบริโภคอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบมากหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีนสูงอาจช่วยให้ความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับอ่อนลดลง แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอการค้นคว้าต่อในอนาคตเพื่อการยืนยันผลที่แน่ชัด
- โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเขือเทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่เรียกว่าไลโคปีน ซึ่งอาจช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและลดการเติบโตของเนื้องอกในผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอาหารกับความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่จัดทำโดยสมาคมการวิจัยเพื่อการป้องกันโรคมะเร็ง (American Institute for Cancer Research: AICR) ประเทศสหรัฐอเมริกา และกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund: WCRF) ได้ศึกษากับผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจำนวน 1,806 คน และกลุ่มคนปกติ 12,005 คน ผลการวิเคราะห์พบว่าการรับประทานมะเขือเทศ ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ หรือผักชนิดอื่นก็อาจช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ตรงกันข้ามกับการวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแคโรทีนอยด์ในเลือดกับความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก จำนวน 692 ราย ในช่วง 1-8 ปี ผลการศึกษาพบว่ามีเฉพาะเบตาแคโรทีนในปริมาณสูงที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแต่ไคโลปีนและแคโรทีนอยด์ตัวอื่นไม่พบความเกี่ยวข้องกันกับโรค
จากข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้แบ่งระดับความน่าเชื่อถือของการใช้การรักษาทางเลือกจากธรรมชาติเป็น 7 ระดับ
มะเขือเทศ เป็นสุดยอดสารอาหารผิวที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านความงาม ยังมีคุณสมบัติต้านโรค มะเร็ง อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ
ทำความรู้จักกับสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์
สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ส่วนใหญ่ จะเป็นสารประกอบอินทรีย์ท่สามารถพบได้มากในพืชและแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะทำให้เกิดสีส้ม แดงและสีเหลือง จึงดูได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ชนิดใดที่มีแคโรทีนอยด์สูงนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติของสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ก็มีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าสารในกลุ่มนี้มีสูงมากถึง 600 ชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมและมีการยอมรับมากที่สุด ก็มีเพียง 6 ชนิดได้แก่
1. อัลฟาแคโรทีน ( Alpha Carotene ) เป็นสาระสำคัญที่ร่างกายจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์วิตามินเอ โดยจะพบมากในผักโขม มะเขือเทศ และแครอท
2. เบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene ) เป็นสารที่จะช่วยสังเคราะห์วิตามินเอเช่นกัน แต่หากมีมากเกินความจำเป็น ก็จะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ซึ่งก็จะพบได้มากใน มะม่วง มันเทศ แครอท แคนตาลูปและลูกพีช
3. คริปโตแซนทีน ( Cryptoxanthin ) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดโดยตรง ซึ่งมักจะพบได้มากในพริกหยวก ฟักทอง ส้มเขียวหวานและลูกพลัม
4. ไลโคปีน ( Lycopene ) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลากหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม เป็นต้น และสามารถลดระดับไขมัน น้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย
5. ลูทีน ( Lutein ) มีส่วนช่วยในการปกป้องและบำรุงสายตา พร้อมกับลดการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ จ้องแสงหน้าจอตลอดเวลา โดยสามารถพบลูทีนได้มากในดอกดาวเรือง และผักเคลหรือผักคะน้า
6. ซีแซนทิน ( Zeaxanthin ) มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาและป้องกันภาวะต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาเช่นกัน โดยจะพบได้มากในผักขม บร็อคโคลี และมะเขือเทศที่ปรุงผ่านความร้อนแล้ว
ไลโคปีนที่อยู่ในมะเขือเทศ
จากการวิจัยพบว่าในมะเขือเทศจะอุดมไปด้วยสารไลโคปีน ( Lycopene ) จำนวนมากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ไลโคปีนก็สามารถป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดเช่นกัน อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น ต้องมีการปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อน เพราะจะทำให้เกิดชีวประสิทธิผลที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณของไลโคปีนให้สูงขึ้นไปอีก นั่นก็ เพราะเมื่อไลโคปีนสัมผัสกับความร้อน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพันธะเคมีแบบทรานส์ ทำให้ไลโคปีนกลายเป็นพันธุแบบซิสที่เป็นเส้นโค้งงอ โดยจะสามารถละลายในไขมันได้ดีกว่า จึงทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าด้วยนั่นเอง จากกรณีของมะเขือเทศจะเห็นได้ว่า ผักผลไม้ทุกชนิดไม่ได้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อทานสดๆ เท่านั้น โดยเฉพาะมะเขือเทศที่จะยิ่งมีคุณค่าสูงขึ้นเมื่อได้ผ่านการปรุงด้วยความร้อนนั่นเอง เพราะฉะนั้นมาทานมะเขือเทศที่ปรุงด้วยความร้อนกันบ่อยๆ ดีกว่าไลโคปีนและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ในมะเขือเทศ
ไลโคปีนและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ในมะเขือเทศ
ไลโคปีน ( Lycopene ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ไลโคปีนก็สามารถป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดเช่นกัน อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น ไลโคปีน เป็นสารที่พบได้มากในผักผลไม้สีแดง เหลืองและสีส้ม โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเรียกสารในกลุ่มนี้ว่าสารเบต้าแคโรทีนนั่นเอง แต่ทั้งนี้ไลโคปีนจะมีโครงสร้างโมเลกุลที่แตกต่างจากสารในกลุ่มนี้อีกด้วย
มะเขือเทศเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพที่ง่าย และอร่อย
- มะเขือเทศผัดไข่
- ซุปมะเขือเทศ
- มะเขือเทศอบแห้ง
- สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ
- พาสต้าซอสมะเขือเทศหมูสับ
- ยำวุ้นเส้นใส่มะเขือเทศ
- ส้มตำใส่มะเขือเทศ
- สลัดมะเขือเทศ
- มะเขือเทศอบชีส
- มะเขือเทศดอง
- มะเขือเทศอบแห้ง
- มะเขือเทศเชื่อม
- มะเขือเทศแช่อิ่ม
- มะเขือเทศกวน
เมนูเครื่องดื่มจากมะเขือเทศ เพื่อสุขภาพทที่ง่ายและอร่อย
- น้ำมะเขือเทศคั้นสด
- ม็อกเทลน้ำมะเขือเทศ
- น้ำมะเขือเทศผสมน้ำส้มและน้ำมะนาว
- น้ำมะเขือเทศสดผสมแครอทและสับปะรด
- สมูทตี้มะเขือเทศ
ไลโคปีนในมะเขือเทศ เป็นสารที่พบได้มากในผักผลไม้สีแดง เหลืองและสีส้ม โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเรียกสารในกลุ่มนี้ว่าสารเบต้าแคโรทีนนั่นเอง แต่ทั้งนี้ไลโคปีนจะมีโครงสร้างโมเลกุลที่แตกต่างจากสารในกลุ่มนี้อีกด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.
USDA Nutrient database
“Tomato History. The history of tomatoes as food”. Home cooking. Retrieved 2013-08-07.
Solanum lycopersicum- Tomato”. Encyclopedia of Life. Retrieved 1 January 2014.
Aculops lycopersici (Tomato russet mite)”. Wallingford, UK: Invasive Species Compendium, Centre for Agriculture and Biosciences International. 23 June 2015. Retrieved 11 November 2016.
ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.