มะกอกน้ำ ช่วยให้ชุ่มคอ และช่วยแก้กระหายน้ำได้ดี

0
มะกอกน้ำ ช่วยให้ชุ่มคอ และช่วยแก้กระหายน้ำได้ดี ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ ผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย
มะกอกน้ำ
ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ ผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย

มะกอกน้ำ

มะกอกน้ำ (Elaeocarpus Hygrophilus Kurz) เป็นพืช ผลสามารถใช้รับประทานมีรสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อยเมล็ดภายในเป็นเมล็ดเดี่ยวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณพบได้บริเวณริมคลอง ริมลำธาร และลำห้วย จัดอยู่ในวงศ์มุ่นดอย ELAEOCARPACEAE ชื่อพื้นเมืองทั่วไป เช่น มะกอกน้ำ (ma kok nam) สารภีน้ำ (saraphi nam) สมอพิพ่าย (Samo phi phai) ถิ่นกำเนิดในเอเชียตั้งแต่อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงจังหวัดทางภาคเหนือสุดของไทย ต้นใช้เป็นยาบำรุงเลือดหลังคลอดของสตรี

ลักษณะของมะกอกน้ำ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบแต่ผลัดใบไม่พร้อมกัน มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 8-15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มโปร่ง มีรูอากาศเป็นแนวยาว เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบและมีสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ตื้น ๆ ตามความยาวของลำต้น ตามกิ่งมีรอยแผลของใบชัดเจน สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นหรือบริเวณริมน้ำ มีการกระจายพันธุ์อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบได้ตามบริเวณริมน้ำและลำห้วย ปัจจุบันนิยมปลูกกันทั่วไป ในประเทศไทยพบได้มากในภาคกลาง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นและอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ริมน้ำ ตามชายฝั่งทะเล ตามป่าโกงกาง ป่าพรุ[1],[2],[3], [4],[5],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับหนาแน่นที่บริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบมนหรือป้าน โคนใบสอบ ส่วนตรงขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ใบมีความกว้างอยู่ประมาณ 2.5-5 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร ทั้งท้องใบและหลังใบเรียบ ผิวใบมีความมันเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนใบอ่อนเป็นสีเขียวอมเหลือง ก้านใบอ่อนออกสีแดงเข้ม แต่ก้านใบแก่จะเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีความยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร[1],[4],[5]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกมีความยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร ดอกย่อยมีสีขาว ลักษณะห้อยลงมาคล้ายกับระฆัง มีขนาดประมาณ 4-8 มิลลิเมตร มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับ มีความกว้างอยู่ประมาณ 3-4 มิลลิเมตรและความยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ปลายกลีบดอกมักจะเป็นฝอยเล็กๆ ยาวประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 5 กลีบ เป็นสีเขียว ปลายกลีบค่อนข้างแหลม เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ภายในดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 15-25 ก้าน และมีเกสรเพศเมียอีก 1 ก้าน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม[1],[3],[4] หรืออาจจะออกดอกและติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[4]
  • ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปลายผลมีความเรียวแหลม ผิวผลเรียบและมีสีเขียว ผลสามารถใช้รับประทานได้ โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียวอ่อน ผิวผลเกลี้ยง ไม่มีขน เนื้อในนุ่ม มีรสเปรี้ยวอมฝาด ส่วนผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย มีเมล็ดเดี่ยว ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกระสวยหรือรูปรี ปลายเรียวและแหลม ผิวเมล็ดค่อนข้างขรุขระและมีความแข็งมาก เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนก้านผลมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ให้ผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน[1],[3],[4],[5]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผลในส่วนที่รับประทานได้ต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 86 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ 75.8 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 22.3 กรัม
ใยอาหาร 0.5 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
วิตามินเอ 375 หน่วยสากล
วิตามินบี 1 0.09 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 49 มิลลิกรัม
แคลเซียม 14 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.9 มิลลิกรัม

(ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข) [7]

สรรพคุณของมะกอกน้ำ

1. ดอก สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ดอก)[3]
1.1 เป็นยาแก้พิษโลหิต กำเดา (ดอก)[3]
1.2 ช่วยแก้ริดสีดวงในลำคอ คันเหมือนมีตัวไต่อยู่ (ดอก)[3]
2. ผล มีรสฝาดเปรี้ยวอมหวาน สามารถใช้รับประทานแก้เสมหะในลำคอได้ (ผล)[6]
2.1 เมื่อนำผลไปดองหรือเชื่อม จะเป็นผลไม้ที่ช่วยในการระบาย (ผล)[6]
2.2 เมื่อนำมาดองกับน้ำเกลือ จะช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้ดี และช่วยทำให้ชุ่มคอ (ผล)[1],[2],[3]
3. เปลือกต้นแห้ง มีรสเฝื่อน สามารถนำมาชงกับน้ำรับประทานเป็นยาฟอกเลือดหลังการคลอดบุตรของสตรี (เปลือกต้น)[1],[2]

ประโยชน์ของมะกอกน้ำ

1. ผล มีรสฝาดอมเปรี้ยวหวาน เมื่อนำไปดอง เชื่อม แช่อิ่ม หรือนำมาผลดิบมาจิ้มกับน้ำปลาหวาน[4],[7] ผลแก่ นิยมนำมาดองเป็นผลไม้แปรรูป ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง[5]
2. เมล็ด สามารถนำมากลั่นได้น้ำมัน คล้ายกับน้ำมันโอลีฟ (Olive oil) ของฝรั่ง[3]
3. ชาวสวนในภาคกลางจะนิยมปลูกไว้ตามริมสวน ให้รากช่วยยึดดินเอาไว้ เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินตามริมร่องสวน[5]
4. ปัจจุบันนิยมปลูกไว้เป็นไม้ผลยืนต้นทางเศรษฐกิจ เพราะผลมีการผลิตที่สูงอย่างสม่ำเสมอและขายได้ในราคาที่ดี แต่มีบ้างที่ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะปลูกง่าย โตเร็ว เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลมกว้างและโปร่ง ออกดอกดกขาวเต็มต้น[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะกอกน้ำ (Ma Kok Nam)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 212.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะ กอก น้ำ”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 147.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะ กอก น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [14 พ.ค. 2014].
4. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 5. “ม ะ ก อ ก น้ำ ”.
5. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. “มะกอกน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 158.108.70.5/botanic/. [14 พ.ค. 2014].
6. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะกอก น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [14 พ.ค. 2014].
7. แหล่งการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์ สำนักการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. “มะ กอก  น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.stou.ac.th/study/projects/training/culture/. [14 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://garden.org/plants/view/393558/Makok-Elaeocarpus-hygrophilus/

เซียนท้อ เมล็ดใช้เป็นยารักษาแผลในกระเพาะ

0
ดอกสีครีม มีกลิ่นหอม ผลสุกมีสีเหลืองสด เนื้อจะมีลักษณะนิ่มเหนียวรสมันหวานเล็กน้อย ผลดิบมีรสฝาด
เซียนท้อ
ดอกสีครีม มีกลิ่นหอม ผลสุกมีสีเหลืองสด เนื้อจะมีลักษณะนิ่มเหนียวรสมันหวานเล็กน้อย ผลดิบมีรสฝาด

เซียนท้อ

เป็นผลไม้เมืองร้อนใบเขียวชอุ่ม ผลไม้สีเหลืองเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพ เช่น โพแทสเซียม ไนอาซิน วิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก และใยอาหารผลเซียนท้อขนาดกลางหนึ่งผลมีประมาณ 135 แคลอรี จึงมีชื่อสามัญอื่นว่า ม่อนไข่ คือ Egg Fruit, Chesa, Canistel, Yellow sapote, Tiesa, Lawalu ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Pouteria campechiana (Kunth) Baehni ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ท้อเขมร ทิสซา ลูกท้อพื้นบ้าน[3],[4] หมากป่วน เขมา ละมุดเขมร เซียนท้อ โตมา ละมุดสวรรค์[6]

ลักษณะทั่วไปของเซียนท้อ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8 เมตร อาจสูงได้ถึง 27-30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร ที่ลำต้นจะมียาง กิ่งอ่อนมีสีน้ำตาล[1],[2] ม่อนไข่เป็นผลไม้พื้นเมือง
  • ใบ มีลักษณะเป็นรูปใบหอก ส่วนที่ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 4-7.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 11.25-28 เซนติเมตร ใบจะบางและเป็นมัน[1],[5]
  • ดอก เป็นสีครีม มีกลิ่นหอม[1]
  • ผล มีลักษณะกลมรี ที่ปลายผลมีจะงอย กว้างประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7.5-12.5 เซนติเมตร ผลสุกมีสีเหลืองสด ส่วนเนื้อจะมีลักษณะเหนียว เนื้อนิ่ม ในผลมีเมล็ดขนาดใหญ่ เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี มีสีดำ[1]

สรรพคุณของเซียนท้อ

  • เปลือกต้น สามารถช่วยรักษาผดผื่นคัน[1]
  • สามารถนำผลสุกมารับประทาน ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้[1]
  • สามารถใช้เปลือกต้นเป็นยารักษาอาการไข้ ตัวร้อน[1]
  • สามารถใช้เมล็ดเป็นยาช่วยรักษาแผลเน่าเปื่อย[1]

ประโยชน์ของเซียนท้อ

  • เนื้อไม้มีความละเอียด แข็งแรง สามารถใช้ทำไม้กระดาน, ใช้ในงานก่อสร้าง[5]
  • นิยมนำผลมารับประทาน ชาวฟลอริดานิยมรับประทานกับพริกไทย, น้ำมะนาว, มายองเนส, เกลือ[1]
  • สามารถนำผลมาทำขนมได้ เช่น คัสตาร์ด แพนเค้ก ทาร์ด แยม

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 138.8 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.17 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.0.1 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 3.72 มิลลิกรัม
วิตามินซี 58.1 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 36.69 กรัม
เส้นใย 0.10 กรัม
โปรตีน 1.68 กรัม
ไขมัน 0.13 กรัม
เถ้า 0.90 กรัม
แคโรทีน (โปรวิตามินเอ) 0.32 มิลลิกรัม
น้ำ 60.6 กรัม
ไลซีน 84 มิลลิกรัม
ทริปโตเฟน 28 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 37.3 มิลลิกรัม
เมไธโอนีน 13 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.92 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 26.5 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา According to analyses made at the Laboratorio FIM de Nutricion in Havana. [5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน (นิดดา หงส์วิวัฒน์และทวีทอง หงส์วิวัฒน์). “ม่อนไข่หรือทิสซา”.
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “Pouteria campechiana”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org. [9 ม.ค. 2014].
GRIN (Germplasm Resources Information Network) Taxonomy for Plants. “Pouteria campechiana (Kunth) Baehni”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ars-grin.gov. [9 ม.ค. 2014]
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ม่อนไข่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org. [9 ม.ค. 2014].
The New Crop Resource Online Program, Purdue University. “Canistel”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.hort.purdue.edu. [9 ม.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/

ต้นพิกุล ดอกใช้เป็นยาอมกลั้วคอรักษาโรคเหงือกอักเสบ

0
ต้นพิกุล
ต้นพิกุล ดอกใช้เป็นยาอมกลั้วคอรักษาโรคเหงือกอักเสบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ผลอ่อนมีสีเขียวและจะมีขนสั้นนุ่ม ผลสุกมีสีแสด รสหวานอมฝาด
ต้นพิกุล
ดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ผลอ่อนมีสีเขียวและจะมีขนสั้นนุ่ม ผลสุกมีสีแสด รสหวานอมฝาด

ต้นพิกุล

ต้นพิกุล มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา ไทย พม่า อินโดจีน หมู่เกาะอันดามัน ต้นไม้ชนิดนี้จะชอบขึ้นในที่ที่ดินดี ชอบแดดจัด สามารถทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขังได้นานถึง 2 เดือน มักปลูกในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเพื่อใช้เป็นไม้ประดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับดอกที่มีกลิ่นหอมชาวพื้นเมืองใช้ต้นไม้ชนิดนี้เป็นอาหารผลสามารถรับประทานดิบหรือนำไปดอง เมื่อผลเริ่มสุกจะสีเหลืองรสหวาน ใช้เป็นยารักษาโรค ลดอาการปวดฟัน และทำเป็นสินค้ามากมาย ชื่อสามัญ Tanjong tree, Asian bulletwood, Spanish cherry, Bukal, Medlar, Bullet wood ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Mimusops elengi L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Mimusops elengi var. parvifolia (R.Br.) H.J.Lam, Mimusops parvifolia R.Br. อยู่ในวงศ์พิกุล (SAPOTACEAE) [1],[2],[3],[6] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ซางดง พิกุลเขา พิกุลเถื่อน พิกุลป่า แก้ว กุน ไกรทอง พกุล พิกุลทอง [1],[3],[4],[7],[8]

ลักษณะ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่จะไม่ผลัดใบ ต้นสูงประมาณ 10-25 เมตร ลำต้นจะแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างหนาทึบ เปลือกต้นมีสีเทาอมสีน้ำตาลจะแตกเป็นรอยแตกระแหงตามแนวยาว ทั้งต้นจะมีน้ำยางสีขาว ที่กิ่งอ่อนกับตาจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด วิธีการตอนกิ่ง วิธีการปักชำกิ่ง มีการเพาะปลูกเยอะในมาเลเซีย เกาะโซโลมอน นิวแคลิโดเนีย วานูอาตู ออสเตรเลียทางตอนเหนือ และเขตร้อนทั่วไป[1],[2],[4],[6],[7],[8] (พบว่ามีสารกลุ่มไตรเทอร์ปีนในเปลือกต้น คือ Beta amyrin, Betulinic acid, Lupeol, Mimusopfarnanol, Taraxerone, Taraxerol, Ursolic acid, สารในกลุ่มกรดแกลลิก คือ Phenyl propyl gallate, น้ำมันหอมระเหย คือ Cadinol, Diisobutyl phthalate, Hexadecanoic acid, Octadecadienoic acid, Taumuurolol, Thymol)[4]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว จะออกเรียงสลับกันแบบห่าง ๆ ใบเป็นรูปไข่หรือรูปรี ใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ที่ปลายใบจะเรียวแหลมหรือหยักเป็นติ่งสั้น ที่โคนใบจะมน ที่ขอบใบเรียบ เป็นคลื่นนิดหน่อย หลังใบมีสีเขียวเรียบและเป็นมัน ท้องใบจะมีสีเขียวอ่อน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ก้านใบมีความยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร หูใบเป็นรูปเรียวแคบ ยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ร่วงง่าย[1],[3],[4]
  • ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกประมาณ 2-6 ดอก ดอกจะออกที่ตามซอกใบตามปลายกิ่ง ดอกพิกุลมีขนาดเล็กเป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ร่วงง่าย ดอกที่บานเต็มที่จะมีความกว้างประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงอยู่ 8 กลีบ เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น มีชั้นละ 4 กลีบ กลีบเลี้ยงด้านนอกเป็นรูปใบหอก ปลายจะแหลม จะมีขนสั้นสีน้ำตาลนุ่ม มีความยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร กลีบดอกจะสั้นกว่ากลีบเลี้ยงนิดหน่อย มีกลีบดอกอยู่ 8 กลีบ โคนกลีบจะเชื่อมกันเล็กน้อย กลีบดอกแต่ละกลีบจะมีส่วนที่ยื่นออกมาด้านหลัง 2 ชิ้น แต่ละชิ้นมีลักษณะ ขนาด สีคล้ายกับกลีบดอก ดอกจะมีเกสรตัวผู้สมบูรณ์อยู่ 8 ก้าน อับเรณูมีลักษณะเป็นรูปใบหอก จะยาวกว่าก้านชูอับเรณู มีเกสรตัวผู้ที่เป็นหมัน 8 อัน มีรังไข่ 8 ช่อง ถ้าดอกใกล้โรยจะมีสีเหลืองอมสีน้ำตาล ออกดอกได้ตลอดปี[1],[2],[3],[4] (ดอกจะมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบไปด้วย 3-hydroxy-4-phenyl-2-butanone 4.74%, 2-phenylethanol 37.80%, 2-phenylethyl acetate 7.16%, (E)-cinnamyl alcohol 13.72%, Methyl benzoate 13.40%, p-methyl-anisole 9.94%)[5]
  • ผล เป็นรูปไข่ถึงรี ผิวผลจะเรียบ ผลอ่อนมีสีเขียวและจะมีขนสั้นนุ่ม ผลสุกมีสีแสด ที่ขั้วผลจะมีกลีบเลี้ยง ผลกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร เนื้อในผลจะเป็นสีเหลืองมีรสหวานอมฝาด มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะแบนรี แข็ง มีสีดำและเป็นมัน ติดผลได้ตลอดทั้งปี[1],[2],[3],[4] (ผลกับเมล็ดพบ Dihydro quercetin, Quercetin, Quercitol, Ursolic acid, สารในกลุ่มไตรเทอร์ปีน คือ Mimusopane, Mimusops acid, Mimusopsic acid เมล็ดพบสารไตรเทอร์ปีนซาโปนิน คือ 16-alpha-hydroxy Mi-saponin, Mimusopside A and B, Mi-saponin A และมีสารอื่น ๆ อีก อีก Alpha-spinasterol glucoside, Taxifolin)[4]

สรรพคุณของพิกุล

  • ดอกพิกุลอยู่ในตำรับยาหอมนวโกฐ เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน ช่วยแก้ลมจุกแน่นในอกในผู้สูงอายุ และช่วยแก้ลมปลายไข้ได้ (มีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องอืด เป็นอาการหลังจากการฟื้นไข้) [5]
  • ดอกพิกุลอยู่ในตำรับยาพิกัดจตุทิพยคันธา (ประกอบไปด้วยดอกพิกุล รากชะเอมเทศ รากมะกล่ำเครือ เหง้าขิงแครง) เป็นตำรับยาที่สามารถช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ แก้ลมปั่นป่วน แก้พรรดึก และแก้เสมหะได้ [5]
    สามารถช่วยบำรุงครรภ์ของสตรีได้ (ครรภ์รักษา) (ขอนดอก)[1],[4]
  • สามารถช่วยแก้เกลื้อนได้ (กระพี้)[2],[4],[9] แก่นสามารถช่วยรักษากลากเกลื้อนได้[9]
  • สามารถช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อตามร่างกายได้ (ดอก)[1],[5],[9]
  • ขอนดอก (เนื้อไม้ที่ราลง จะมีสีน้ำตาลเข้มประขาว เรียกว่าขอนดอก) สามารถใช้เป็นยาบำรุงตับได้[1],[4]
  • ใบสามารถช่วยรักษากามโรค และฆ่าเชื้อกามโรคได้[4],[9]
  • ใบจะมีสรรพคุณที่สามารถฆ่าพยาธิได้ (ใบ[2],[4], แก่น[9]) สามารถช่วยแก้ตัวพยาธิได้ (ดอกแห้ง[5],[9], เปลือกต้น[9], ราก[9])
  • สามารถช่วยขับลมได้ (แก่นที่ราก)[2]
  • สามารถแก้อาการท้องเสีย ลงท้องได้ (ดอกสด[2],[5], ดอกแห้ง[5],[9], ผลดิบกับเปลือก[4], เปลือกต้น[9], ราก[9])
  • รากกับดอกสามารถใช้ปรุงเป็นยาแก้ลม (ระบบไหลเวียนทางโลหิต) และช่วยขับเสมหะที่เกิดจากลมได้ (ราก, ดอก)[4],[5],[9]
  • สามารถช่วยรักษาอาการปากเปื่อยได้ (เปลือกต้น)[9]
    เปลือกต้นสามารถใช้เป็นยาอมกลั้วคอล้างปาก และแก้โรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวม รำมะนาดได้ (เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[9]
  • ผลสุกสามารถทานแก้โรคในลำคอและปากได้ (เปลือกต้น)[2]
  • สามารถนำดอกแห้งมาป่นใช้ทำเป็นยานัตถุ์ได้[5],[8]
  • สามารถช่วยแก้อาการร้อนในได้ (ดอกแห้ง)[5],[9]
  • สามารถช่วยแก้หืดได้ (ใบ)[3],[4]
  • สามารถแก้อาการอ่อนเพลียได้ (ดอกแห้ง)[5],[9]
  • สามารถแก้โลหิตได้ (ดอก, ราก) สามารถฆ่าพิษโลหิตได้ (เปลือกต้น)[9]
  • สามารถช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่นได้ (ขอนดอก[4], ดอกแห้ง[5])
  • สามารถใช้เป็นยาบำรุงโลหิตได้ (ดอก, แก่น, แก่นที่ราก, ราก)[2],[3],[4],[9]
  • ช่วยแก้ลมกองละเอียด อาการหน้ามืดตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น ช่วยบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่นได้[5]
  • ช่วยบรรเทาอาการไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด แก้พิษสุกใสได้ (สามารถช่วยบรรเทาอาการไข้จากหัดและสุกใส) [5]
  • ดอกพิกุลอยู่ในตำรับยาพิกัดเกสรทั้งห้า (ประกอบไปด้วยดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง) ตำรับยา พิกัดเกสรทั้งเจ็ด (เพิ่มดอกจำปา ดอกกระดังงา) ตำรับยาพิกัดเกสรทั้งเก้า (เพิ่มดอกลำดวน ดอกลำเจียก) เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณที่สามารถช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ ช่วยแก้อาการวิงเวียน หน้ามืดตาลาย ช่วยแก้ลมกองละเอียด ช่วยบำรุงครรภ์ของสตรีได้ หรือใช้เข้ายาผสมดอกไม้ชนิดอื่นที่มีกลิ่นหอมเพื่อทำบุหงา[4],[5]
  • สามารถช่วยแก้ฝีเปื่อยพังได้ (ดอกแห้ง[5],[9], ราก[9])
  • สามารถช่วยแก้อาการบวมได้ (ดอกแห้ง[5],[9], เปลือกต้น[9], ราก[9])
  • ผลดิบกับเปลือกเป็นยาฝาดมาน (ผลดิบและเปลือก[4], ดอกสด[5])
  • สามารถช่วยแก้ตกโลหิตได้ (ดอกแห้ง[5],[9], ราก[9])
  • เมล็ดสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้[3],[4]
  • สามารถช่วยรักษาไส้ด้วนไส้ลามได้ (ใบ)[9]
  • นำเมล็ดมาตำให้ละเอียด ใช้ทำเป็นยาเม็ดสำหรับสวนทวารหรือทำยาเหน็บทวารเด็กเมื่อมีอาการท้องผูก สามารถช่วยแก้โรคท้องผูกได้ [2],[4],[9]
  • สามารถช่วยบำรุงปอดได้ (ขอนดอก)[1],[4]
  • ดอกแห้งสามารถช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะ ละลายเสมหะได้ (ดอกแห้ง, ราก)[2],[3],[4],[5],[9]
  • นำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำเกลือ สามารถช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยทำให้ฟันแน่น แก้ฟันโยก และช่วยฆ่าแมงกินฟันที่ทำให้ฟันผุได้ [7],[8],[9]
  • สามารถแก้อาการเจ็บคอได้ (ดอกแห้ง)[1],[2],[5],[9]
  • สามารถช่วยรักษาโรคคอได้ (เปลือกต้น)[4]
  • ผลสุกสามารถทานแก้อาการปวดศีรษะได้ (ผลสุก, ดอกแห้ง)[2],[5],[9]
  • แก่นสามารถใช้เป็นยาแก้ไข้ได้[3],[4], ผลดิบกับเปลือก[4], ดอกแห้ง[5]), สามารถแก้ไข้จับ แก้ไข้หมดสติ และแก้ไข้คลั่งเพ้อได้ (ดอกแห้ง)[5],[9]
  • สามารถช่วยแก้หอบได้ (ดอกแห้ง)[5],[9]
  • สามารถช่วยแก้เลือดตีขึ้นให้สลบไป และแก้เลือดตีขึ้นถึงกับตาเหลืองได้ (ใบ)[9]
  • สามารถช่วยคุมธาตุในร่างกายได้ (เปลือกต้น)[9]
  • แก่นที่รากกับดอกแห้งสามารถใช้เป็นยาบำรุงหัวใจได้ ดอกสดสามารถใช้เข้ายาหอมช่วยบำรุงหัวใจได้ (ดอก, ขอนดอก, แก่นที่ราก)[1],[2],[4],[5],[9]

หมายเหตุ : ขอนดอก คือ เครื่องยาไทยที่อาจจะได้จากต้นพิกุลหรือต้นตะแบกที่แก่ ๆ จะมีเชื้อราเข้าไปเจริญในเนื้อไม้ ขอนดอกมีกลิ่นหอม มีรสจืด จากข้อมูลระบุว่าขอนดอกที่ได้จากต้นพิกุลมีคุณภาพดีกว่าที่ได้จากชนิดอื่น[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. จากการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากดอกพิกุลด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูทดลองกินขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และให้ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูทดลองขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ[5]
2. จะมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน (EC50 = 0.23-0.55 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) จะมีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ทำให้โพแทสเซียมต่ำ ลดความดันโลหิต จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ฆ่าเชื้อรา ฆ่าพยาธิ ต้านฮีสตามีน จะมีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์ สามารถช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบได้ และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ[5] น้ำที่สกัดจากดอกพิกุลแห้งจะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะในสุนัขที่สลบ แม้ว่าจะนำน้ำสกัดจากดอกที่เอาเกลือโพแทสเซียมไปทดลองขับปัสสาวะสุนัข หนูขาวปกติ หนูขาวที่ตัดต่อมหมวกไต ก็ยังมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ[8]

ประโยชน์ของพิกุล

  • คนไทยโบราณจะมีความเชื่อว่าถ้าบ้านไหนปลูกต้นพิกุลทองไว้ประจำบ้านจะช่วยส่งผลทำให้มีอายุยืนยาว เพราะเป็นไม้ที่มีความแข็ง แรงทนทาน มีอายุยาวนาน และเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเชื่อว่ามีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ สำหรับการปลูกเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้านและผู้อยู่อาศัย ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี (เพราะพิกุลเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี) ควรปลูกต้นพิกุลทองที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ควรปลูกวันเสาร์หรือวันจันทร์ (การปลูกไม้วันเสาร์เป็นการปลูกเพื่อเอาคุณ) จะช่วยป้องกันโทษร้ายต่างๆ[8]
  • เปลือก สามารถใช้สกัดทำสีย้อมผ้าได้[7]
  • น้ำที่ได้จากดอกสามารถใช้ล้างปากล้างคอได้[7]
  • ผลพิกุลสามารถทานเป็นอาหารหรือผลไม้ของคนและสัตว์ได้ และสามารถช่วยดึงดูดสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนก[3]
  • ดอกจะมีกลิ่นหอมเย็น สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ สามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม และใช้แต่งกลิ่นทำเครื่องสำอางได้[2],[4],[5],[6],[7]
  • ต้น มีลักษณะเป็นทรงต้นเป็นพุ่มใบทึบ และมีความสวยงาม สามารถตัดแต่งรูปทรงได้ นิยมใช้ปลูกเพื่อประดับอาคารและเพื่อให้ร่มเงา หรือปลูกที่ตามบริเวณลานจอดรถ ริมถนน ดอกจะมีกลิ่นหอม[3]
  • เนื้อไม้พิกุลสามารถใช้ในการก่อสร้างทำเครื่องมือได้ เช่น ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี การขุดเรือทำสะพาน โครงเรือ ไม้คาน ไม้กระดาน วงล้อ ครก สาก ด้ามเครื่องมือ เครื่องมือทางการเกษตร เป็นต้น และใช้เนื้อไม้ในงานพิธีมงคลได้ เช่น นำมาทำเป็นด้ามหอกที่ใช้เป็นอาวุธ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ เป็นต้น[8]
  • ดอกพิกุลจะมีกลิ่นหอมเย็น นิยมใช้บูชาพระ[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “พิกุล (Pi Kul)”. หน้าที่ 195.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “พิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [10 ม.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “พิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [10 ม.ค. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [10 ม.ค. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [10 ม.ค. 2014].
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “พิกุล”. อ้างอิงใน: หนังสืออุทยานสมุนไพรพุทธมลฑล หน้า 22 (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th. [10 ม.ค. 2014].
อุทยานดอกไม้ ๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ดอกพิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [10 ม.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย. “พิกุล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6/BotanicalGarden/. [10 ม.ค. 2014].
สมุนไพรไทย-ภูมิปัญญาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยพิกุล”. (วชิราภรณ์ ทัพผา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [10 ม.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org/wiki/

ต้นพะวา ผลไม้สีเหลืองอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตัวร้าย

0
ต้นพะวา
ต้นพะวา ผลไม้สีเหลืองอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตัวร้าย เป็นไม้เนื้อแข็ง เสี้ยนไม้ละเอียด มีสีน้ำตาลแดง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง รสเฝื่อนเปรี้ยว
ต้นพะวา
ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง รสเฝื่อนเปรี้ยว ไม้เนื้อแข็ง เสี้ยนไม้ละเอียด มีสีน้ำตาลแดง

ต้นพะวา

ต้นพะวา เป็นพรรณไม้ผลมีรสเฝื่อนอมเปรี้ยวมีถิ่นกำเนิดในบังคลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย หมู่เกาะอันดามัน เกาะนิโคบาร์ ลาว เนปาล มาเลเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม รวมถึงในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอประเทศไทย โดยพืชชนิดนี้อาศัยอยู่ในป่าทึบชื้นขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดซึ่งงอกได้ง่าย และยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง ใช้เป็นยาช่วยรักษาแผลในปาก ลดไข้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Garcinia celebica L. จัดอยู่ในวงศ์มังคุด ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น กวักไหม พะยา มะป่อง มะดะขี้นก หมากกวัก วาน้ำ สารภีป่า ขวาด กะวา ชะม่วง
ชื่อสามัญ: eggtree, false Mangosteen, gambogetree, Himalayan garcinia, Mysore gamboge, มังคุดเปรี้ยว, มังคุดเหลือง (ภาษาอังกฤษ); gamboge des dyers, มังคุดขม (ฝรั่งเศส); Mangostão Amarelo (โปรตุเกส); กูร์กา, มุนดู (สเปน)

ลักษณะพะวา

  • มีถิ่นกำเนิดที่ทางภาคเหนือ, ภาคอีสาน พบได้ทุกภาคของประเทศ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10-18 เมตร พุ่มเป็นรูปโดม ใบออกดก เปลือกต้นมีสีเทาดำ ที่เปลือกจะมียางสีเหลือง ต้น ใบ ผลจะมียางสีขาว แบ่งแยกต้นเพศผู้และเพศเมีย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง และตอนกิ่ง เติบโตได้ในดินทุกสภาพที่ความชื้นสูง จะชอบดินร่วนปนกับทราย ระบายน้ำได้ และมีแดดเต็มวัน กระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความสูงตั้งแค่ระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 700 เมตร พบเจอในต่างประเทศได้ในอินเตีย เมียนมา เกาะนิโคบาร์
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกใบดกและหนาทึบ ใบออกเรียงข้ามกันเป็นคู่ ใบลักษณะเป็นรูปรี รูปขอบขนาน รูปไข่กลับ รูปขอบขนานแกมรูปรี ส่วนปลายมน โคนใบเป็นรูปสอบ ขอบใบจะเรียบ ใบกว้างประมาณ 4-8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ผิวใบเป็นมัน แผ่นใบหนา มีเส้นแขยงใบถี่ เส้นกลางใบเป็นร่องเห็นได้ชัดที่หลังใบ
  • ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ลักษณะดอกคล้ายดอกชะม่วง เป็นดอกแบบแยกเพศ ดอกเพศผู้มีสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม กลีบดอกมี 4 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรี ก้านกลีบยาวกว่ากลีบเลี้ยง มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบวงนอกมีลักษณะเป็นรูปไข่ กลีบวงในมีลักษณะเป็นรูปไต หลังดอกบานได้ 24-48 ชั่วโมง ดอกจะร่วงหล่น ดอกเพศเมียจะมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกเพศผู้ แต่กลีบดอกยาวกว่า[1],[3],[5] ดอกเพศเมีย เป็นดอกเดี่ยว เส้นผ่านศูนย์กลางมีขนาดเท่ากับดอกเพศผู้ มีกลีบเลี้ยงสีเหลือง 4 กลีบ และกลีบดอก 4 กลีบ ตรงกลางจะมีรังไข่ และจะพัฒนาเป็นผล ที่ปลายรังไข่จะมียอดเกสรเพศเมียมีแฉกประมาณ 6-8 แฉก จะประกฎที่ปลายของ
  • ผล เป็นตัวบ่งบอกจำนวนกลีบผลและเมล็ด หลังดอกบานประมาณ 24 ชั่วโมง กลีบดอกจะร่วง ดอกจะออกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน[4] มีลักษณะเป็นรูปไข่ ผิวเรียบ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงอยู่ 4 กลีบ เนื้อหุ้มเมล็ดมีลักษณะเป็นกลีบใส มีเส้นสีขาวขุ่น ผลมีรสฝาดอมเปรี้ยว สามารถนำมารับประทานได้ เมล็ดมีลักษณะแบนยาว มีร่องของมัดท่อน้ำ มีท่ออาหารให้เห็น มีสีเหลืองอ่อน มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดสามารถงอกเป็นต้นกล้าได้ประมาณ 4-10 ต้น สามารถตัดแบ่ง 2-4 ส่วนแล้วนำไปเพาะ ผลแก่ช่วงเดือนเมษายน และฤดูฝน[5]

สรรพคุณของพะวา

  • เปลือกผลจะมีสรรพคุณที่เป็นยาแก้ท้องเสีย[2]
  • นำดอกแห้ง มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาแก้ไข้[1] น้ำที่ได้จากการต้มเปลือกต้นและใบ มีสรรพคุณที่เป็นยาลดไข้[2]
  • นำใบแห้งมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ[1] ผลที่มีรสเปรี้ยว สามารถใช้เป็นยาระบายได้[3]
  • นำดอกแห้ง มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ใช้ช่วยรักษาลมและโลหิตพิการ [1]
  • ดอกจะมีสรรพคุณที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร นำดอกแห้ง มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม[1]
  • น้ำที่ได้จากการต้มเปลือกต้นและใบ มีสรรพคุณที่เป็นยาฝาดสมาน ช่วยรักษาแผลในปาก[2]

ประโยชน์ของพะวา

  • สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างได้[5]
  • ผล รับประทานเป็นผลไม้[2] แต่ถึงผลจะมีสีสวยงามและสามารถรับประทานได้ก็ตาม แต่ไม่นิยมนำมารับประทาน เพราะเนื้อมีรสเฝื่อน ออกเปรี้ยว หากรับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสีย[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

เมื่อนำเปลือกมาสกัดและแยกสารสกัด จะทำให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมาโตกราฟีและการตกผลึก จะได้สาร 4 ประเภท คือ triterpenes, benzophenones, xanthones, biphenyls เมื่อนำสาร biphenyls กับ triterpenes วิเคราะห์เพื่อหาโครงสร้างทางเคมี เมื่อนำไปทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพจะพบว่า สารจะมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอดส์ในระดับเซลล์และในระดับโมเลกุลได้ และยังมีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ช่วยลดอาการบวมของเนื้อเยื่อ แต่ยังต้องนำสารไปทดลองทางคลินิก เพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในการรักษา (น.ส.ปานฤทัย ภัยลี้ นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) รุ่นที่ 2 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)[6]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พะวา”. หน้า 553-554.
การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “พะวา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : inven.dnp9.com/inven/. [22 ส.ค. 2014].
คมชัดลึกออนไลน์. (นายสวีสอง). “พะวาไม้หายากเป็นยา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.komchadluek.net. [22 ส.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ พันธุ์ผักพื้นบ้านและไม้ผลพื้นเมืองภาคใต้ สำหรับประชาชน, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “รายละเอียดพะวา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th. [22 ส.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “พะวา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [22 ส.ค. 2014].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). “วิจัยพบ ต้นพะวามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง-ยับยั้งเชื้อเอดส์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.trf.or.th. [22 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.tradewindsfruit.com/content/gamboge.htm
2.https://www.flickr.com/photos/dinesh_valke/1095535392

6 ประโยชน์ของพลับพลา ในตำรายาพื้นบ้านอีสานไทย

0
พลับพลา
ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงมีสีเหลือง ผลแก่มีสีเขียว ผลสุกมีสีม่วงดำ ผลแก่มีรสเปรี้ยว
พลับพลา
ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงมีสีเหลือง ผลแก่มีสีเขียว ผลสุกมีสีม่วงดำ ผลแก่มีรสเปรี้ยว

พลับพลา

พลับพลา ไม้ยืนต้นใช้ในตำรายาพื้นบ้านอีสานของไทยพบแหล่งกำเนิดที่อยู่ในป่าดิบชื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50-300 เมตร หรือ 100-600 เมตรมีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศ อินเดีย ศรีลังกา เวียดนาม ไทย ลาว พม่า มาเลเซีย กัมพูชา จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสามารถขยายพันธุ์ได้โดยใช้เมล็ดม ชื่อวิทยาศาสตร์ Microcos tomentosa Sm. อยู่ในวงศ์ชบา และอยู่ในวงศ์ย่อย GREWIOIDEAE ชื่อถิ่นอื่น ๆ เช่น สากกะเบือละว้า ก้อมส้ม กะปกกะปู พลาขาว คอมส้ม พลา หลาย มะก้อม พลองส้ม มลาย ขี้เถ้า สากกะเบือดง น้ำลายควาย ปะตัดหูเปี้ยว พลาลาย คอมขน หมากหอม ไม้ลาย จือมือแก ก่อออม คอมเกลี้ยง เกลี้ยง ม่วงก้อม พลา ก่อออม ลอมคอม คอม ข้าวจี่ ลาย กะผล้า จุกขวด กอม มะคอม ขนาน

ลักษณะต้นของพลับพลาทางพฤกษศาสตร์

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นหรือเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ต้นสูงประมาณ 15 เมตร ลำต้นตรง เปลือกของลำต้นมีสีเทา แตกล่อนเป็นสะเก็ด เปลือกด้านในมีสีชมพู มีเส้นใยเรียงตัวเป็นชั้น ส่วนที่กิ่งอ่อนกับก้านใบมีขนลักษณะเป็นรูปดาว มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบผสม และป่าดิบแล้ง
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปวงรีแกมรูปขอบขนาน รูปวงรีแกมรูปไข่กลับ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ โคนใบเป็นรูปสอบมนหรือกลม ที่ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ไม่เป็นระเบียบที่ปลายใบส่วนกลางกับโคนใบ ที่ขอบเรียบ ปลายใบจะมีติ่งแหลมสั้น ๆ ใบกว้างประมาณ 3-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6.5-19 เซนติเมตร ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านล่างมีสีเขียวหม่น ผิวใบลักษณะคล้ายกระดาษกึ่งหนาคล้ายแผ่นหนัง มีขนรูปดาวอยู่ทั้งสองด้าน ด้านล่างจะมีขนขึ้นหนาแน่นกว่าด้านบน ใบมีเส้นแขนงใบข้างละ 4-9 เส้น มีอยู่ 3 เส้นที่ออกจากโคนใบ เส้นใบย่อยคล้ายขั้นบันได เห็นได้ชัดเจนที่ด้านล่าง ก้านใบยาวประมาณ 6-12 มิลลิเมตร มีขนขึ้นเยอะ[1]
  • ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ดอกออกที่ตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะตูมกลม มีดอกย่อยเป็นจำนวนมาก กลีบดอกมีสีเหลือง ก้านกับแกนช่อดอกมีขนอยู่ ใบประดับมีลักษณะเป็นรูปแถบ รูปใบหอก ยาวได้ 1 เซนติเมตรและมีขนอยู่ ก้านดอกยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดประมาณ 4 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบจะแยกจากกันเป็นอิสระ ลักษณะคล้ายรูปช้อน กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร มีขนอยู่ทั้งสองด้าน มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบแยกจากกันเป็นอิสระ มีลักษณะเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก กว้างประมาณ 0.5-1.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1.5-3 มิลลิเมตร มีขนอยู่ทั้งสองด้าน ส่วนที่โคนกลีบด้านในจะมีต่อมเป็นรูปรี ดอกจะมีเกสรตัวผู้เป็นจำนวนมาก ก้านชูอับเรณู ที่โคนจะมีขน ที่ปลายเกลี้ยง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เป็นรูปวงกลม กว้างประมาณ 1 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีขนอยู่ 2-4 ช่อง แต่ละช่องมีออวุลอยู่ 2 เม็ด ดอกออกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม[1]
  • ผล เป็นรูปทรงกลมแกมรูปไข่กลับ ผลกว้าง 0.6-1 เซนติเมตร ยาว 1-1.2 เซนติเมตร ผนังชั้นในแข็ง ผนังของผลมีลักษณะคล้ายแผ่นหนัง มีขน ผลแก่มีสีเขียว ผลสุกมีสีม่วงดำ ในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ผลออกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม[1]

สรรพคุณของพลับพลา

  • ผลแก่จะมีรสเปรี้ยวสามารถทานเป็นยาระบายได้[1]
  • ผลแก่สามารถช่วยกระจายโลหิตได้[1]
  • แก่นสามารถช่วยแก้หืด โดยใช้แก่นผสมแก่นโมกหลวง แก่นจำปา ลำต้นกำแพงเจ็ดชั้น ลำต้นสบู่ขาว
  • ลำต้นพลองเหมือด ลำต้นคำรอก มาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ช่วยแก้หืด หรือใช้เนื้อไม้หรือแก่นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม ช่วยแก้หืดได้[1],[6]
  • เปลือกต้นสามารถทำลายพิษของต้นยางน่องได้[5]
  • สามารถใช้ลำต้นเป็นยาประกอบรักษาโรคลำไส้ได้[3]
  • สามารถใช้เปลือกผสมปรุงเป็นยาบำรุงโลหิตสตรีได้[1]

ประโยชน์ของพลับพลา

  • ไม้เป็นเชื้อเพลิงที่ติดไฟได้ง่าย คนใต้สมัยก่อนนิยมนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาศพ และใช้ในการอยู่ไฟของสตรีที่พึ่งคลอดบุตรใหม่[6] น้ำมันยางจากเปลือกสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้[1]
  • เปลือกมีเส้นใย สามารถใช้ทำเชือกแบบหยาบ ๆ[1]
  • ผลสุกสามารถทานได้[1],[3],[6]
  • เนื้อไม้มีความทนทาน นิยมใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือทำเครื่องเรือน[4],[6]
  • ผลดิบ สามารถใช้เป็นของเล่นเด็กที่เรียกว่า บั้งโผ๊ะ หรือ ฉับโผง โดยใช้ทำเป็นกระสุนยิงจากกระบอกไม้ไผ่[3]
  • ผลสุก เป็นอาหารโปรดของกระรอก มูสัง และนกบางชนิด ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบกระจอกจำนวนมากหากพื้นที่ปลูก[6]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พลับ พลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [20 ธ.ค. 2013].
ข้อมูลพรรณไม้ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “พลับ พลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/. [20 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “พลับ พลา, ลอมคอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/. [20 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “พลับพลา”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [20 ธ.ค. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Microcos tomentosa Sm.”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [20 ธ.ค. 2013].
ผักพื้นบ้านและไม้ผลพื้นเมืองภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “พลับพลา ไม้ผลท้องทุ่งเด็กใต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: share.psu.ac.th/blog/khk-473473/. [20 ธ.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.natureloveyou.sg/
2.https://www.inaturalist.org/taxa/

พลองกินลูก พันธุ์ไม้ดอกม่วงสรรพคุณแก้พิษไข้เป็นเลิศ

0
พลองกินลูก พันธุ์ไม้ดอกม่วงสรรพคุณแก้พิษไข้เป็นเลิศ ผลอ่อนเป็นสีชมพูอมม่วงแต่ถ้าสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงดำ รสหวาน
พลองกินลูก
พันธุ์ไม้ดอกม่วงสรรพคุณแก้พิษไข้เป็นเลิศ ผลอ่อนเป็นสีชมพูอมม่วงแต่ถ้าสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงดำ รสหวาน

พลองกินลูก

พลองกินลูก เป็นพรรณไม้ทรงพุ่มพบได้ในป่าดิบชื้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเขตร้อนทั่วไป จะเจริญเติบโตได้ดีในที่ค่อนข้างชื้น ชอบแสงแดดแบบรำไร มักพบได้ในป่าดิบแล้ง ป่าคืนสภาพ และตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีดอกสีม่วงสวยงามสะดุดตา โดยจะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ คือ Memecylon ovatum Sm. จัดอยู่ในวงศ์โคลงเคลง (MELASTOMATACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พลองกินลูก พลองใหญ่ พลองใบใหญ่ (ประจวบคีรีขันธ์), พลอง (นครราชสีมา) เป็นต้น

ลักษณะของต้นพลอง

  • ต้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่มีการผลัดใบ ต้นมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 5-7 เมตร หรืออาจจะสูงได้ประมาณ 6-15 เมตร ลำต้นตั้งตรง ตัวเรือนยอดเป็นพุ่มกลมแตกกิ่งก้านค่อนข้างต่ำ ตรงเปลือกต้นด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแตกเป็นสะเก็ดบาง ๆ หรือเป็นร่องตื้น ๆ เปลือกบาง ส่วนเปลือกด้านในมีสีเหลืองอ่อน สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันที่บริเวณปลายกิ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่มน ใบมีความกว้างประมาณ 2.5-6.5 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 5-12.5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรืออาจจะมน ส่วนตรงขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนาคล้ายกับแผ่นหนัง ใบมีสีเขียวเข้มและมีความมัน ไม่มีขนทั้งสองด้าน ส่วนท้องใบเป็นสีอ่อน[1],[2],[3]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนกัน โดยจะออกตามกิ่ง ตามง่ามใบ หรือตามข้อต้น ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ประมาณ 0.3 เซนติเมตร ดอกตูมจะเป็นสีชมพู แต่เมื่อบานแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงน้ำเงินแทน มีกลีบดอกอยู่ 4 กลีบ และจะบานเกือบพร้อมกันทั้งต้น
  • ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือกลมรี (คล้ายกับผลหว้า) มีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีชมพูอมม่วงแต่ถ้าสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงดำหรือเป็นสีน้ำเงินเกือบดำ มีเนื้อที่บาง จะมีการออกผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[1],[2],[3]

สรรพคุณของพลอง

1. ใบ สามารถใช้เป็นยาแก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ไม่ทำให้เกิดเป็นแผลเป็น และช่วยดับพิษปวดแสบปวดร้อน (ใบ)[1]
2. เนื้อไม้และราก สามารถนำมาใช้ฝนหรือต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้พิษ ไข้หัด (เนื้อไม้, ราก)[1]
2.1 เนื้อไม้และราก สามารถนำมาใช้ฝนหรือต้มดื่มเป็นยาถอนพิษผิดสำแดง ดับพิษร้อน และดับพิษภายในต่าง ๆ (เนื้อไม้, ราก)[1]

ประโยชน์ของพลอง

1. เนื้อที่หุ้มเมล็ดของผลสุก จะมีรสหวานสามารถใช้รับประทานได้[2]
2. เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำเป็นด้ามเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ได้[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “พลอง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 114.
2. หนังสือพืชกินได้ในป่าสะแกราช เล่ม 1. “พลอง กิน ลูก”. (สมัย เสวครบุรี, ทักษิณ อาชวาคม). หน้า 215-216.
3. หนังสือไม้ดอกไม้ประดับ.

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.earth.com/plant-encyclopedia/angiosperms/melastomataceae/memecylon-umbellatum/ca/
2https://medicinallive.com/product/buy-korakaha-nirasa-kayavu-kasavu-anjani-kayam-khaya-kaya-manjiyalli-memecylon-umbellatum-plant-live-online-shopping/

สรรพคุณของพรหมตีนสูง เป็นยาอายุวัฒนะ

0
พรหมตีนสูง
สรรพคุณของพรหมตีนสูง เป็นยาอายุวัฒนะ ต้านความชรา ดอกออกเป็นช่อ ผลออกเป็นช่อเบียดกันแน่น สีเขียว เปลี่ยนเป็นเหลืองและแดง เป็นยาบำรุงกำหนัด
พรหมตีนสูง
เป็นยาอายุวัฒนะ ต้านความชรา ดอกออกเป็นช่อ ผลเป็นขอบขนานปลายแหลมเป็นยาบำรุงกำหนัด

พรหมตีนสูง

พรหมตีนสูง หรือ ว่านขันหมากเศรษฐีเป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในระบบนิเวศตามป่าดงดิบสรรพคุณเด่นในด้านอายุวัฒนะและต้านความชรา ว่านชนิดนี้มีชื่อเรียกสามัญภาษาอังกฤษ ว่า Chinese evergreen ชื่อพ้อง (Synonyms) Aglaonema tenuipes Engl.ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Aglaonema simplex (Blume) Blume (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Aglaonema tenuipes Engl.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า โหรา (ตราด, ชุมพร), ว่านงดหิน (ตรัง), ว่านขัดหมาก (ภาคกลาง), พรมตีนสูง (ภาคใต้), ว่านขันหมากเศรษฐี เป็นต้น

ลักษณะของพรหมตีนสูง

  • ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นจะมีความกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร และสูงได้ถึงประมาณ 35-40 เซนติเมตร สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มักจะขึ้นตามพื้นที่ชุ่มชื้น
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบจะเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมีความแหลมกลม ใบมีความกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ก้านใบมีความกลมและมีความยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ส่วนของโคนใบแผ่แบนและโอบหุ้มลำต้น[1]
  • ดอก ออกเป็นช่อ จะอยู่ตรงยอดหรือตรงด้านข้าง และมีกาบหุ้มช่อดอกลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม ยาวอยู่ประมาณ 3.5-4.5 เซนติเมตร และจะมีจุดเล็ก ๆ สีขาว ลักษณะของช่อดอกจะมีความเป็นแท่งกลมยาว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์ และดอกเพศเมียซึ่งจะมีน้อยกว่าดอกเพศผู้[1]
  • ผล ลักษณะของผลเป็นขอบขนาน ปลายแหลม มีความกว้างอยู่ประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.2-1.8 เซนติเมตร[1]

สรรพคุณของพรหมตีนสูง

1. ผล สามารถใช้รับประทานได้ มีสรรพคุณด้านอายุวัฒนะและต้านความชรา [2]
2. ผล ตำรายาไทยระบุไว้ว่ารับประทานผลสุกก่อนนอนเป็นประจำเพียงวันละ 4 ผล จะทำให้อายุยืน เพราะเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด ที่ช่วยชะลอความแก่ คงความเป็นหนุ่มสาว ทำให้หน้าตา ผิวพรรณขาวผุดผ่อง เนื้อหนังเต่งตึง ผมไม่หงอก [3]
3. ผลหรือทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายมีกำลังวังชาแข็งแรง ว่องไว ไม่เหนื่อยง่าย แก้อาการอ่อนเพลีย โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่จะมีอาการดีขึ้น [3]
4. ต้น สามารถใช้ต้มกินเป็นยาระบาย[1],[3]
5. ทั้งต้น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำหนัดในเพศชาย ช่วยเพิ่มพละกำลังทางเพศ [3]

วิธีใช้ : ให้ใช้ลำต้น ราก ใบ และเมล็ด ไปสะตุหรือทำให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงก่อน แล้วจึงนำไปผึ่งให้แห้งประมาณ 4-5 วัน หรือนำไปย่างกับไฟให้น้ำยางออกมาเสียก่อน แล้วจึงนำไปต้มกิน ส่วนผลสดห้ามเคี้ยวรับประทาน แต่ให้รับประทานโดยการกลืน หรือจะใช้ผลดิบนำมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงอัดเป็นเม็ดแคปซูลรับประทานก็ได้[3]
ข้อควรระวัง : ห้ามรับประทานผลโดยการเคี้ยวเมล็ดโดยเด็ดขาด เนื่องจากผลสดมีรสขื่นคัน มียางทำให้ปากคัน ลิ้นช้า และเกิดอาการบวมพองได้ แต่สามารถกลืนลงไปในท้องได้เลย[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

จากการทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน โดยการป้อนและการฉีดสารสกัดแอลกอฮอล์หยาบจากผลของต้นเข้าหลอดเลือดดำ พบว่า ไม่พบมีความเป็นพิษหรือทำให้หนูตาย ของสารสกัดในหนูตัวใหญ่ที่ได้รับสารสกัดความเข้มข้น 2,000 หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว หรือฉีดสารสกัด 0.5 มิลลิลิตร ที่ความเข้มข้น 50 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เข้าทางหลอดเลือดดำที่หางของหนูทดลอง และในปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาผลของสารสกัดต่อความผิดปกติของโครโมโซมในเซลล์ไขกระดูกของหนูตัวเล็กและฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดแอลกอฮอล์หยาบจากผลมีแนวโน้มว่าจะไม่ก่อพิษเช่นเดียวกัน[2]

ประโยชน์ของพรหมตีนสูง

  • ผล นอกจากจะรับประทานผลเป็นยาบำรุงกำหนัดแล้ว ยังมีความเชื่ออีก ว่า จะช่วยทำให้เกิดเสน่ห์กับคนที่พบเห็นได้อีกด้วย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พรม ตีน สูง”. หน้า 531-532.
2. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ว่านขันหมากเศรษฐี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [10 พ.ย. 2014].
3. กรีนคลินิก. “พรหม ตีน สูง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.greenclinic.in.th. [10 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.flickr.com/photos/adaduitokla/6916341257

เปล้าใหญ่สมุนไพรไทย สามารถใช้ประโยชน์ทางยาแก้ร้อนในได้

0
เปล้าใหญ่
เปล้าใหญ่สมุนไพรไทย สามารถใช้ประโยชน์ทางยาแก้ร้อนในได้ เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่จะแห้งและแตก
เปล้าใหญ่
เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่จะแห้งและแตก

เปล้าใหญ่

เปล้าใหญ่ หรือ ต้นเปล้าหลวง เป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ที่ผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 8 เมตร มักจะพบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ที่มีความสูงไม่เกิน 950 เมตร รู้จักกันในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Croton persimilis Müll.Arg. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Croton oblongifolius Roxb., Croton roxburghii N.P.Balakr., Oxydectes oblongifolia Kuntze, Oxydectes persimilis (Müll.Arg.) Kuntze จัดอยู่ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เปาะ (กำแพงเพชร), ควะวู (กาญจนบุรี), เปล้าหลวง (ภาคเหนือ), ‎เซ่งเค่คัง สะกาวา สกาวา ส่ากูวะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ห้าเยิ่ง (ชาน-แม่ฮ่องสอน), คัวะวู, เป‎วะ เป็นต้น โดยมีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย เนปาล ภูฏาน บังกลาเทศ ภูมิภาคอินโดจีน พม่า และในประเทศไทย โดยจะสามารถพบได้ในทุกภาคยกเว้นในภาคใต้ มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง[9]

ลักษณะของเปล้าใหญ่

  • ต้น จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ที่ผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 8 เมตร เปลือกลำต้นมีผิวเรียบ เป็นสีน้ำตาล มีรอยแตกบ้างเล็กน้อย ตรงกิ่งก้านจะค่อนข้างใหญ่ ตามใบอ่อน ยอดอ่อน และช่อดอกนั้น จะมีเกล็ดสีเทาแผ่นเล็ก ๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป
  • ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือใบเป็นรูปใบหอก ใบรียาว มีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 5-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-30 เซนติเมตร โคนใบและปลายใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบจะจักเป็นซี่ฟันไม่สม่ำเสมอ ลักษณะใบจะลู่ลง ใบตอนอ่อนจะเป็นสีน้ำตาล ส่วนใบเมื่อแก่จะค่อนข้างเกลี้ยง หลังใบมีผิวเรียบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบมีขนไม่มากนัก ใบตอนแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มก่อนจะร่วงหล่นลงมา ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1.3-6 เซนติเมตร และฐานใบมีต่อมอยู่ 2 ต่อม[1]
  • ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกมีหลายช่อ ช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 12-22 เซนติเมตร ลักษณะตั้งตรง ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกันหรือแยกต้นกัน ดอกย่อยจะมีขนาดเล็ก ส่วนกลีบดอกจะมีสีเหลืองแกมสีเขียว ดอกนั้นจะทยอยบานจากโคนช่อไปหาที่ปลายช่อ โดยดอกเพศผู้จะเป็นสีขาวใส มีกลีบดอกสั้นอยู่จำนวน 5 กลีบ ที่โคนกลีบดอกนั้นจะติดกัน มีกลีบเลี้ยงที่เป็นรูปขอบขนานกว้าง ๆ อยู่ 5 กลีบ หลังกลีบเลี้ยงจะมีเกล็ดสีน้ำตาล โดยกลีบดอกจะมีความยาวเท่ากับกลีบเลี้ยง และมีขนอยู่อย่างหนาแน่น ตรงที่ฐานดอกมีต่อมลักษณะกลม ๆ อยู่ 5 ต่อม มีเกสรเพศผู้ 12 อัน มีผิวเกลี้ยง ส่วนดอกเพศเมียจะมีสีเหลืองแกมเขียว มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบเล็ก ลักษณะเป็นรูปยาวแคบ ตรงขอบกลีบมีขน ที่ตรงโคนกลีบดอกจะติดกัน ปลายกลีบดอกจะแหลม กลีบเลี้ยงมีลักษณะคล้ายเป็นรูปขอบขนาน และรังไข่เป็นรูปขอบขนาน มีเกล็ด[1] โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[2],[3]
  • ผลอ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่ผลจะแห้งและแตก ลักษณะผลจะเป็นรูปทรงกลมแบน มีพู 3 พู มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ด้านบนแบน มีเกล็ดเล็กห่างกัน ในผลมีเมล็ดลักษณะแบนรี ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตร[1],[9] จะมีการติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[2],[3]

สรรพคุณของเปล้าใหญ่

1. ช่วยในการบำรุงโลหิต (เปลือกต้นและใบ)[1],[5]
2. ใบนำไปใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (ใบ)[1]
3. ใบมีรสชาติร้อน เมาเอียน นำมาใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ใบ)[1],[5]
4. สามารถช่วยแก้กระหายได้ (ใบ)[1]
5. สามารถช่วยแก้อาการร้อนในได้ (ราก)[1]
6. ใช้ช่วยแก้เสมหะ (ใบ)[1]
7. ใช้ช่วยแก้ลมอันผูกเป็นก้อนให้กระจาย (แก่น)[1]
8. มีฤทธิ์ช่วยขับลม และกระจายลม (ราก)[1]
9. ใบนำไปใช้เข้าเครื่องยาแก้อาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ[3] และช่วยแก้ลมจุกเสียด (ใบ)[1]
10. ใช้ช่วยแก้อาการท้องเสีย (เปลือกต้นและใบ)[1],[5]
11. ใช้ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ราก)[1]
12. มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการวิงเวียน ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยการใช้ใบเข้ายากับใบหนาด ตะไคร้หอม และเครือส้มลม ใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ (ใบ)[1]
13. ใช้ช่วยแก้เลือดร้อน (เปลือกต้นและกระพี้)[1]
14. น้ำต้มเปลือกต้นนำมาใช้ทานเป็นยาแก้ไข้ (เปลือกต้น)[1]
15. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้อาการปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเลือดได้ (ราก)[1]
16. เปลือกต้นและกระพี้มีรสร้อน เมาเย็น จะนำมาใช้เป็นยาช่วยในการย่อยอาหาร (เปลือกต้นและกระพี้)[1],[5]
17. เมล็ดนำมาใช้เป็นยาถ่าย (เมล็ด)[1]
18. ดอกมีรสร้อนใช้เป็นยาขับพยาธิ (ดอก)[1],[5] ส่วนแก่นนั้นจะใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน (แก่น)[1]
19. ผลมีรสที่ร้อน เมาเอียน มักใช้ดองกับสุราดื่มเป็นยาขับเลือดหลังคลอด ใช้ช่วยขับน้ำคาวปลา (ผล)[1],[5]
20. น้ำต้มใบจะนำมาใช้ชำระล้างบาดแผล (ใบ)[1]
21. รากนำมาใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคเรื้อน มะเร็ง คุดทะราด และมีฤทธิ์ที่ทำให้น้ำเหลืองแห้ง (ราก)[1]
22. เนื้อไม้มีส่วนช่วยในการแก้ริดสีดวงลำไส้และริดสีดวงทวารหนัก (เนื้อไม้)[1]
23. น้ำต้มเปลือกต้นนำมาใช้เป็นยาแก้ตับอักเสบ (เปลือกต้น)[1]
24. ใช้ช่วยรักษาโรคในทางเดินปัสสาวะ (ราก)[1]
25. แก่นมีรสร้อน เมาเย็น ใช้ช่วยขับเลือด (แก่น)[1]
26. รากใช้ต้มกินแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือจะใช้ต้นผสมกับรากส้มลม ต้นมะดูก ต้นเล็บแมว ต้นตับเต่าโคก ต้นมะเดื่ออุทุมพร ต้นกำแพงเจ็ดชั้น ต้นกำจาย และต้นกะเจียน นำมาต้มเป็นน้ำดื่มก็ได้ (ต้น, ราก)[1],[4]
27. น้ำต้มเปลือกต้นนำมาใช้กินเป็นยาแก้อาการปวดข้อ และอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ (เปลือกต้น)[1]
28. ใบใช้ต้มน้ำอาบ ช่วยในการแก้ผดผื่นคัน และแก้อาการคันตามตัว (ใบ)[1]
29. ใช้ช่วยขับหนองให้ตก (แก่น)[1]
30. ใบเอามาย่างไฟรองนอนสำหรับคนที่รถล้ม จะช่วยแก้อาการฟกช้ำได้ (ใบ)[3]
31. รากนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มกินแก้โรคเหน็บชา (ราก)[1]
32. ใบนำมาต้มกับน้ำอาบสำหรับสตรีหลังคลอด (ใบ)[2] หรือใช้กิ่ง ใบ และลำต้น เอามาต้มกับน้ำอาบไว้สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น (กิ่ง, ใบ, ต้น)[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเปล้าใหญ่

1. สารสกัดของลำต้นด้วยแอลกอฮอล์ 50% พบว่ามีสารองค์ประกอบอยู่ในกลุ่มแทนนินส์ ทั้งที่เป็น Condensed tannins และ Hydrolysable tannins ในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก มีสารฟลาโวนอยด์ประเภท Anthocyanidin, Catechin, Dihydroflavonol, Flavonol, Hydroflavonoids และ Leucoanthocyanidin[3]
2. สารสกัดจากลำต้นยังมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง (EC50 = 36.05มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก (ที่ความเข้มข้น 8 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ที่ทำให้เกิดโรคแผลฝีหนองและเชื้อ V. cholerae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค (ที่ความเข้มข้น 3.125 มก./มล.) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก (ที่ความเข้มข้น 0.39 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Shigella ที่ทำให้เกิดโรคบิด (ที่ความเข้มข้น 12.5 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 (IC50 = 40.06 มก./มล.) มีฤทธิ์กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดทีเซลล์และบีเซลล์ (ที่ความเข้มข้น 3.13-200 มก./มล.) มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งตับปานกลาง (IC50 = 378.4±18.7 มก./มล.) โดยพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติบ้าง แต่ไม่พบผลว่าจะสามารถเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตับตายแบบอะพอพโทซิสเมื่อเซลล์ได้รับสารสกัดนาน 1 วัน[3]
3. สารสกัดไม่มีฤทธิ์ในการก่อกลายพันธุ์ ทั้งในสภาวะที่มีและไม่มีเอนไซม์ แต่สามารถลดฤทธิ์ในการก่อกลายพันธุ์ของสารมาตรฐานที่ทำการทดสอบได้เป็นอย่างดี เมื่อมีการทำงานของเอนไซม์ในตับร่วมด้วย โดยมีค่า IC50 = 5.78 และ 4.04 มก./plate[3]

ประโยชน์ของเปล้าใหญ่

1. ผลอ่อนจะนำมาใช้ย้อมผ้า[1]
2. ผลแก่จะนำมาใช้รับประทาน[1]
3. น้ำยางจากใบจะนำมาใช้ทาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากในช่วงฤดูหนาว[4]
4. นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนต้นใช้เลี้ยงครั่ง[8]
5. สามารถนำมาใช้เข้ายาอบสมุนไพร ซึ่งเป็นตำรับยาอบสมุนไพรสูตรบำรุงผิวพรรณให้มีความมีน้ำมีนวล ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยในการทำให้ร่างกายผ่อนคลาย แก้อาการปวดเมื่อย แก้ผดผื่นคัน ช่วยขับพิษออกทางผิวหนัง โดยมีใบเป็นส่วนประกอบ และมีสมุนไพรอื่น ๆ อีก คือ กระชาย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ไพล ใบมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบหนาด และว่านน้ำ แต่ไม่ควรที่จะใช้ตำรับยานี้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง สตรีตั้งครรภ์ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ผู้ที่ไม่สบาย ร่างกายอ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร เป็นไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และผู้ที่เป็นโรคไต[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เปล้าใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [14 ธ.ค. 2013].
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เปล้าใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [14 ธ.ค. 2013].
3. โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สำนักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “เปล้าใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: orip.kku.ac.th/thaiherbs/. [14 ธ.ค. 2013].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Croton roxburghii N.P. Balakr.”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [14 ธ.ค. 2013].
5. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เปล้าใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri. [14 ธ.ค. 2013].
6. ฐานข้อมูลสมุนไพร ในฐานสมุนไพรแม่โจ้ (ชีวกโกมารภัจจ์) ในสวนพฤกษศาสตร์กล้วยไม้ร้อยปีสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่โจ้. “รายงานแสดงลักษณะของพืชสมุนไพร มหาวิทยาลัยแม่โจ้‎”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.mmp.mju.ac.th . [14 ธ.ค. 2013].
7. มูลนิธิสุขภาพไทย. “อบสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [14 ธ.ค. 2013].
8. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เปล้าใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [14 ธ.ค. 2013].
9. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เปล้าหลวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [14 ธ.ค. 2013].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://efloraofindia.com/2013/04/07/croton-persimilis/
2.https://biodiversity.bt/observation/show/710566

ประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าทึ่งของสมุนไพรปรู

0
ประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าทึ่งของสมุนไพรปรู ผลเป็นกระจุก ผลอ่อนเป็นสีเขียวผลแก่สีดำ ผลมีเมล็ดเดี่ยวและมีเนื้อเยื่อสีแดง รสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม
ปรู
ผลเป็นกระจุก ผลอ่อนเป็นสีเขียวผลแก่สีดำ ผลมีเมล็ดเดี่ยวและมีเนื้อเยื่อสีแดง รสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม

ปรู

ปรู (Ankota) เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติซึ่งเป็นยาแผนโบราณตั้งแต่ราก เปลือก เมล็ด น้ำมัน และผลไม้ทุกส่วนของต้นใช้สำหรับรักษาโรคท้องเสีย บำรุงกำลัง แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคผิวหนัง ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ปวด ลดอาการอักเสบ ขับลม และขับปัสสาวะ นอกจากนั้นผลสุกทรงกลมสีดำรสหวานอมเปรี้ยวสามารถรับประทานได้ ต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเป็นชนิด Alangium salviifolium subsp. hexapetalum (Lam.) Wangerin โดยจัดอยู่ในวงศ์ CORNACEAE (ALANGIACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะตาปู๋ (เชียงใหม่), มะเกลือกา (ปราจีนบุรี), ปู๋ ปรู๋ (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ผลู ปลู (ภาคกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของต้นปรู

  • ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดกลางและเป็นทั้งไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เรือนยอดมีลักษณะโปร่ง ค่อนข้างกว้าง รูปร่างไม่แน่นอน และมีความสูงของต้นอยู่ประมาณ 8-10 เมตร ลักษณะของต้นและกิ่งก้านเกลี้ยง ไม่มีขน หรืออาจจะมีขนเล็กน้อยตามกิ่งอ่อน ลำต้นทั้งบิดและคดงอ ส่วนโคนต้นจะเป็นพูต่ำ ๆ ตรงเปลือกต้นด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นสะเก็ด ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีเหลืองอ่อน และแก่นกลางเป็นสีน้ำตาลเขียว มีการผลัดใบหมดก่อนที่จะผลิดอก เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำระดับปานกลางจนถึงมาก และชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน สามารถพบได้ตามบริเวณป่าโปร่งของประเทศที่มีอากาศร้อน มีเขตการกระจายพันธุ์มาจากในอินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยสามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ยกเว้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200 – 500 เมตร
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะเป็นรูปรี รูปขอบขนาน หรือเป็นรูปหอกกลับ ปลายใบแหลมหรือมีติ่งแหลมออกมา ตรงโคนใบแคบแหลมหรือสอบเรียว ส่วนขอบใบจะเรียบไม่มีหยักหรือเป็นคลื่น ใบมีความกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ใต้ท้องใบจะมีเส้นใบอยู่ประมาณ 3-6 คู่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนเส้นใบย่อยเป็นแบบเส้นขั้นบันได เนื้อใบบางเกลี้ยง ไม่มีขน หรืออาจจะมีขนบ้างเล็กน้อย ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ใบอ่อนจะมีขนและเป็นสีเขียวอ่อนใส ส่วนใบแก่จะเป็นสีเขียวเข้ม
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกอยู่ตามซอกใบหรือตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน และมีกลิ่นที่หอม มีขนขึ้นอยู่ประปราย มีกลีบดอกอยู่ประมาณ 5-7 กลีบ ตอนที่ดอกตูมขอบกลีบดอกจะประสานกันเป็นรูปทรงกระบอกยาว ส่วนกลีบรองกลีบดอกเป็นรูปขอบขนานแคบ ๆ ตรงด้านนอกมีขนสีน้ำตาล และแยกแผ่ออกเป็นรูปกังหันในระดับเดียวกันประมาณ 5-6 แฉก มีขนาดประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร ส่วนโคนจะเชื่อมติดกันเป็นท่อรูปกรวย โดยกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกจะมีความคล้ายกัน แต่ตัวกลีบดอกจะม้วนตัวโค้งกลับมาทางโคนก้านดอก ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 10-18 ก้าน ส่วนมากจะมีแค่ 12 ก้าน โคนก้านเกสรมีขนยาว ๆ ส่วนเกสรเพศเมียเกลี้ยง ไม่มีขน รังไข่เป็นรูปรี ภายในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อนอยู่หนึ่งหน่วย และจะออกดอกเต็มต้นหลังจากการผลัดใบหมด โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม
  • ผล ออกผลเป็นกระจุก มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปรี ปลายผลมีกลีบรองกลีบดอกติดอยู่ ส่วนตรงกลางผลมีสันแข็ง ผลมีความกว้างประมาณ 0.9 เซนติเมตรและความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลจะไม่แตก แต่จะเป็นร่องตามยาวหลายร่อง (สัน) ผลมีเมล็ดเดี่ยวและมีเนื้อเยื่อสีแดง ๆ บาง ๆ หุ้มเมล็ดไว้อยู่ ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม สามารถรับประทานได้ จะออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน

สรรพคุณของปรู

1. ผล มีรสร้อนเบื่อ มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ (ผล)[5]
1.1 แก้อาการจุกเสียดได้ (ผล)[2]
1.2 มีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิ (ผล)
2. แก่นหรือเนื้อไม้ ตำรายาไทยใช้แก่นหรือเนื้อไม้เป็นยาบำรุงกำลัง (แก่น, เนื้อไม้)
2.1 ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (แก่น, เนื้อไม้)
3. เนื้อไม้ มีรสฝาดเฝื่อน สามารถใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงลำไส้ (เนื้อไม้)[5]
4. แก่น มีรสจืดเฝื่อน มีสรรพคุณช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (แก่น)
5. เปลือกต้น มีรสฝาด สามารถใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาบำรุงธาตุไฟ ปิดธาตุ (เปลือกต้น)
5.1 ใช้แก้หอบหืด แก้อาการไอ ไอหืด ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (เปลือกต้น)
5.2 นำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้อาการจุกเสียด แก้ท้องร่วง ลงท้อง ท้องเสีย ท้องเดิน (เปลือกต้น)
6. เปลือกราก สามารถนำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้พิษ เป็นยาทำให้อาเจียน (เปลือกราก)[1]
6.1 ช่วยบำบัดอาการเป็นไข้และช่วยขับเหงื่อ ด้วยการใช้เปลือกรากนำมาต้มเป็นยารับประทาน (เปลือกราก)[1]
6.2 ใช้เปลือกรากต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาระบาย (เปลือกราก)[1]
6.3 ช่วยในการขับพยาธิ ด้วยการใช้เปลือกรากนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (เปลือกราก)[1]
6.4 เปลือกรากสดนำมาตำให้ละเอียดหรือคั้นเอาแต่น้ำใช้ล้างแผล แก้โรคผิวหนัง (เปลือกราก)[1]

ผลข้างเคียงของสมุนไพรปรู

เมื่อรับประทานในปริมาณที่แพทย์แผนไทยแนะนำจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียใดๆ อย่างไรก็ตามการกินสมุนไพรชนิดนี้มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้
  • นอนไม่หลับ
  • เบื่ออาหาร
  • รู้สึกไม่สบายท้อง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นปรู

  • พบว่ามีสารอัลคาลอยด์อยู่หลายชนิด ได้แก่ anabasine, cephaeline, psychotrine เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ จึงควรมีการศึกษาทางพิษวิทยาของสารเหล่านี้ด้วย[2]
  • ลดความดันโลหิต เพิ่มความแรงของการบีบตัวของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว ทำให้หลอดเลือดหดตัว มีฤทธิ์ลดการอักเสบ คลายกล้ามเนื้อมดลูก ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย โปรโตซัว ต้านยีสต์ และต้านมะเร็ง[6]

ประโยชน์ของปรู

1. ผล มีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม สามารถใช้รับประทานได้[3]
2. เนื้อไม้ของต้น มีความเหนียวและมีลายที่สวยงาม จึงนิยมนำมาใช้ทำพานท้ายปืน ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องประกอบเกวียน งานแกะสลัก และรวมไปถึงเครื่องเรือนต่างๆ[4],[6]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ป รู”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 449-450.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ป รู”. หน้า 40.
3. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนชลบุรีสุขบท. “ป รู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skb.ac.th/~botanical/. [20 เม.ย. 2014].
4. หนังสือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. “ป รู๋”. (วีระชัย ณ นคร).
5. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ป รู๋, ป รู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [20 เม.ย. 2014].
6. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “ป รู”. อ้างอิงใน: สมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทย. ไม้และของป่าบางชนิดในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: uttaradit.uru.ac.th/~botany/. [20 เม.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://indiabiodiversity.org/observation/show/17183220

ถั่วแระ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

0
ถั่วแระ
ถั่วแระ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ผลเป็นฝักมีขนอ่อนๆ สีเขียว ฝักจะนูนขึ้น มีเมล็ดโต มีรสชาติหวานมัน นำมาประกอบอาหารเมนูต่างๆ
ถั่วแระ
ผลเป็นฝักมีขนอ่อนๆ สีเขียว ฝักจะนูนขึ้น มีเมล็ดโต มีรสชาติหวานมัน นำมาประกอบอาหารเมนูต่างๆ

ถั่วแระ

ถั่วแระ เป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ของเกษตรกรสามารถผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศ เนื่องจากถั่วชนิดนี้ให้พลังงานสูงถึง 343 กิโลแคลอรี ต่อปริมาณ 100 กรัม และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี กลายเป็นอาหารว่างยอดนิยมและถูกนำมาใช้ในอาหารเอเชียมาเป็นเวลานาน นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้วยังมีประโยชน์ เช่น ลดอาการวัยทอง ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ลดระดับคอเลสเตอรอล LDLที่สูง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้
ชื่อสามัญ คือ Edamame ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cajanus cajan (L.) Millsp. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cajanus indicus Spreng.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) อยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วแรด (ชุมพร), มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น (ภาคเหนือ), ถั่วแฮ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), พะหน่อเซะ พะหน่อซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), มะแฮะ (ไทลื้อ), ย่วนตูแฮะ (ปะหล่อง), เปล๊ะกะแลง (ขมุ), ถั่วแฮ อีกด้วย

ลักษณะของถั่วแระ

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อม มีอายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะตั้งตรงสูงประมาณ 1-3.5 เมตร กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ๆ ผิวของลำต้นไม่มีขน มีสีเขียวหม่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีทั้งขาวและแดง สามารถพบขึ้นได้ในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมี 3 ใบ ออกเรียงสลับ ใบย่อยจะแตกออกตามลำต้น หรือตามกิ่งประมาณ 3 ใบ ใบย่อยจะมีขนาดเล็กเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบแหลม คล้ายใบขมิ้นต้นหรือขมิ้นพระ ใบมีความกว้างประมาณ 1-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5-10 เซนติเมตร ผิวใบทั้งสองด้านมีขน เป็นสีขาวนวล[1],[4]
  • ดอก จะออกเป็นช่อกระจะคล้ายดอกโสน ดอกผลย่อยมีอยู่ประมาณ 8-14 ดอก โดยจะออกตามซอกใบ ดอกมีลักษณะเป็นรูปดอกถั่ว กลีบดอกสีเหลืองมีขอบสีน้ำตาลแดง ใบประดับมีขน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นถ้วย ปลายแยกเป็นแฉกมี 4-5 แฉก[1],[4]
  • ผล มีลักษณะเป็นฝักแบนยาว มีสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้อง ๆ และมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็นห้อง 3-4 ห้อง ข้างในจะมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด มีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง[1],[4]

สรรพคุณของถั่วแระ

1. เมล็ด สามารถทานเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น หรือนำเมล็ดมาต้มรับประทานเป็นของกินเล่น ช่วยลดระดับคอเลสเตรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต (เมล็ด)[2]
2. รากและเมล็ด สามารถใช้ปรุงเป็นยากินรักษาไข้ ถอนพิษ ขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น หรือน้ำเบาออกน้อย ส่วนรากอย่างเดียว ตำรายาไทยจะใช้รากปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ปัสสาวะแดงขุ่น ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต(ราก, รากและเมล็ด)[1],[2],[4]
3. ใบ สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย รักษาบาดแผล แก้อาการไอ หรือนำมาคั้นน้ำใช้ใส่แผลในปากหรือหูได้ (ใบ)[2],[4]
4. ต้นและใบ สามารถใช้เป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ แก้เส้นเอ็นพิการ (ความผิดปกติของระบบเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ มักมีอาการเจ็บต่าง ๆ ปวดเมื่อยเสียวไปทุกเส้น ตามตัว ใบหน้า ถึงศีรษะ[2],[4]
5. ต้น ราก และใบ สามารถใช้เป็นยาขับผายลม (ต้น, ราก, ใบ)[2]
6. ทั้งฝัก มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น[4]
7. ทั้งต้น ตำรายาพื้นบ้านจะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยารักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู [4]

ประโยชน์ของถั่วแระ

1. สามารถนำฝักมาตากแห้งแกะเอาเมล็ดออกมาใช้ปรุงเป็นอาหาร หรือนำไปขายเป็นสินค้าได้[1]
2. ชาวปะหล่อง ขมุ และกะเหรี่ยงเชียงใหม่ จะนำผลมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก[5]
3. ชาวปะหล่องจะถือว่ายอดอ่อนและดอกเป็นพืชที่ศักดิ์สิทธิ์ นำมาใช้ในการประพรมน้ำมนต์หรือใช้ในพิธีปลูกเสาเอกของบ้าน[5]
4. เป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ในการเลี้ยงแมลงครั่งได้ดี เพราะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งแห้งแล้ง ปลูกง่าย ทนแล้ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี หลังจากปลูกแล้วจะให้ผลผลิตประมาณ 6-9 เดือน อีกทั้งเมล็ดยังให้โปรตีนสูง เจริญเติบโตแข่งกับพืชชนิดอื่นได้ดี และยังช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินได้อีกด้วย[6]
5. มีการปลูกเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ ช่วยลดการพังทลายของหน้าดินจากน้ำฝน ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งที่ราบและที่ลาดชัน[6]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ด 100 กรัม พลังงาน 343 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 62.78 กรัม
ใยอาหาร 15 กรัม
ไขมัน 1.49 กรัม
โปรตีน 22.7 กรัม
วิตามินบี 1 0.643 มิลลิกรัม (56%)
วิตามินบี 2 0.187 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินบี 3 2.965 มิลลิกรัม (20%)
วิตามินบี 5 1.266 มิลลิกรัม (25%)
วิตามินบี 6 0.283 มิลลิกรัม (22%)
วิตามินบี 9 456 ไมโครกรัม (114%)
วิตามินซี 0 มิลลิกรัม (0%)
วิตามินอี 0 มิลลิกรัม (0%)
วิตามินเค 0 ไมโครกรัม (0%)
แคลเซียม 130 มิลลิกรัม (13%)
ธาตุเหล็ก 5.23 มิลลิกรัม (40%)
แมกนีเซียม 183 มิลลิกรัม (52%)
แมงกานีส 1.791 มิลลิกรัม (85%)
ฟอสฟอรัส 367 มิลลิกรัม (52%)
โพแทสเซียม 1,392 มิลลิกรัม (30%)
โซเดียม 17 มิลลิกรัม (1%)
สังกะสี 2.76 มิลลิกรัม (29%)

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ถั่ว แระ ต้น”. หน้า 331-332.
2. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ถั่ว แระ ต้น” หน้า 96-97.
3. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ถั่ว แระ ต้น”. หน้า 85-86.
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ถั่วแฮ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [14 ธ.ค. 2014].
5. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ถั่วแระ, ถั่วมะแฮะ”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [14 ธ.ค. 2014].
6. ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “ต้นถั่วแระ ทางเลือกใหม่ในการเลี้ยงครั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phtnet.org. [14 ธ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.eda-edamame.com
2.https://savvygardening.com/growing-edamame/
3.https://hub.suttons.co.uk/blog/vegetable-growing/how-to-grow-edamame-beans