แครนเบอร์รี่ วิตามินซีสูงตัวช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา

0
แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ วิตามินซีสูงตัวช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา เป็นไม้ทรงพุ่มแคระผลัดใบ ผลเล็กออกเป็นพวงสีแดงสด รสเปรี้ยวอมหวาน
แครนเบอร์รี่
ผลเล็กออกเป็นพวงสีแดงสด รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นไม้ทรงพุ่มแคระผลัดใบ 

แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีประโยชน์เหนือกว่าสายพันธ์ในตระกลูเบอร์รี่ทั่งไป ซึ่งมีลักษณะเป็นไม้เลื้อยผลสีแดงสด มีรสเปรี้ยวหวาน แม้ผลเล็กแต่อุดมไปด้วยวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีวิตามินซีสูงสามารถชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา และเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ชื่อสามัญ คือ Cranberry จัดอยู่ในวงศ์ ERICACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Vaccinium subg. Oxycoccus

สรรพคุณของแครนเบอร์รี่

1. ช่วยทำให้ร่างกายสามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้หลังเกิดอาการชัก[2]
2. ช่วยป้องกันโรคเหงือก[2]
3. ช่วยรักษาแผลในช่องท้อง[2]
4. การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ 500 มิลลิกรัม แล้วดื่มน้ำตาลอีก 1,500 มิลลิลิตร สามารถช่วยป้องกันการตกตะกอนของ Calcium oxalate ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของนิ่วในไตได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว[7]
5. ช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ[2]
6. ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ ขจัดกลิ่นปัสสาวะได้ดี (บ้างว่าใช้แก้อาการปวดปัสสาวะแบบกระปริบกระปอยได้ด้วย)[2]
7. ช่วยรักษาและป้องกันโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย (ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ระบุว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 30 ml. จะช่วยลดจำนวนของแบคทีเรียในปัสสาวะลง และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะได้ดี เพราะผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย)[2]
8. ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli)[2] (มีรายงานว่าผู้หญิงที่ได้รับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่อย่างต่อเนื่อง จะช่วยยับยั้งการยึดเกาะตัวของเชื้ออีโคไลได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.0001) เมื่อเทียบกับหญิงที่ไม่ได้รับสารสกัดจากผลแครนเบอร์รี่)[5]
9. สามารถช่วยยับยั้ง ป้องกัน และรักษาการเกิดนิ่วในไตได้[2],[3]

ประโยชน์ของแครนเบอร์รี่

1. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต[2]
2. การรับประทานเป็นประจำสามารถช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมองได้[2]
3. วิตามินซีในแครนเบอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น เกลี้ยงเกลา ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน[2]
4. เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาวได้ดี[2]
5. แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูง และยังประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Catechins, Quinic acid, Hippuric acid, Proanthocyanidins, Triterpenoids, และ Tannin จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม[2]
6. ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านการก่อกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย[2]
7. สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมากและอื่น ๆ ได้อีกมากมาย[4]
8. โดยสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Proanthocyanidins) จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสาร Proanthocyanidins สามารถยับยั้งกลไกการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหลายกลไก และพบว่าเป็นตัวเลือดที่ดีที่จะนำไปพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งต่อไป[14]
9. มีผลในการทำลายเซลล์มะเร็งรังไข่ได้ โดยสาร Proanthocyanidins จะเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตายลง หรือเมื่อร่วมกับยารักษามะเร็งรังไข่ ก็จะไปช่วยเสริมฤทธิ์ยาในการลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[15]
10. สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลองได้[3] Proanthocyanidins ที่พบได้มากในผลแครนเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนมะเร็งและนำไปสู่การตายของเซลล์มะเร็งปอด[13]
11. สาร Proanthocyanidins ในผลมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด[2]
12. แครนเบอร์รี่ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Anthocyanin, Flavonoids, Proanthocyanidins) โดยที่ Flavonoids จะไปยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันเลว (LDL) ทำให้ป้องกันเกิด Oxidized LDL ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบและอุดตันได้[8]
13. ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ในเลือด ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย[2]
14. สารต้านอนุมูลอิสระสามารถเหนี่ยวนำให้ตัวรับไขมันเลว (LDL) ที่ตับทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้เพิ่มการขับออกของไขมันเลวจากระบบไหลเวียนของเลือด และเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ตับเพื่อขับออกได้ จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้[9]
15. อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีนแครนเบอรี่ (Lutein & Zeaxanthin) ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา และช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต้อกระจก และโรคจอตาเสื่อมได้[10]
16. สาร Proanthocyanidins ที่ได้จากน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น สามารถช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่สร้างมาจากเซลล์ gingival fibroblasts ได้ เช่น interieukin (IL-6,IL-8) และ PGE(2) ในโรคปริทันต์ จึงส่งผลให้สามารถช่วยลดขบวนการอักเสบได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี ที่จะสามารถพัฒนาเป็นสารช่วยในการรักษาโรคปริทันต์ (Perlodontitis) ต่อไป[10]
17. แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้จากธรรมชาติที่สามารถป้องกันและต่อสู้กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารปัสสาวะได้ดีที่สุด โดยแครนเบอร์รี่นั้นได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการในเภสัชตำรับของสหรัฐอเมริกา (U.S. Pharmacopeia) ให้เป็นยาที่ใช้รักษาปัญหาเหล่านี้อย่างได้ผล (แต่ยังมีข้อโต้แย้งจากนักวิชาการเพียงไม่กี่คนว่า แครนเบอร์รี่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรด จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อตาย หรือเพียงแต่ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะกับผนังของกระเพาะปัสสาวะ)[1],[2]
18. คนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น (ไม่ผสมน้ำตาล) วันละ 300 ml. ทุกวัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้อีก ซึ่งจากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์กับผลการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ พบว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้สูงถึง 50% นอกจากนี้สามารถช่วยป้องกันการยึดเกาะของแบคทีเรียกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองผลไม้ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงการเกิดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน[1],[2]
19. การรับประทานสารสกัดจากแครนเบอร์รี่ในขนาด 500 มิลลิกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับยา Trimethoprim ในการป้องกันการเป็นซ้ำของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ พบว่าสารสกัดจากแครนเบอร์รี่สามารถป้องกันได้ แต่จะได้ผลน้อยกว่ายา Trimethoprim อย่างไรก็ตามผู้ป่วยให้การยอมรับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่มากกว่า Trimethoprim เนื่องจากแครนเบอร์รี่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลข้างเคียงต่ำกว่าในการทำให้เชื้อดื้อยา และการเกิดติดเชื้อรา และ Clostridium difucile ซ้ำซ้อน อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าด้วย[6]
20. ผลแครนเบอร์รี่สามารถนำไปทำเป็นลิปมัน เพื่อใช้ป้องกันริมฝีปากแห้งแตกในช่วงฤดูหนาวได้ โดยใช้ผลแครนเบอร์รี่ 10 ผล นำมาผสมกับน้ำมันสวีทอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ช้อนชา และน้ำมันวิตามินอี 1 หยด นำไปต้มจนเดือด แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปบดให้ละเอียดผ่านกระชอน เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาทาปากเวลาปากแห้ง (เป็นข้อมูลจากกระปุก)
21. ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแครนเบอร์รี่มีวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ แครนเบอร์รี่อบแห้ง ซอส แยม อาหารเสริมทั้งในรูปแบบชงและแบบแคปซูล และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลไม้แครนเบอร์รี่ไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จึงสามารถรับประทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ[2]
22. ในวงการแพทย์ต่างก็ให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าแครนเบอร์รี่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของน้ำผลไม้สด สารสกัดแบบบรรจุแคปซูล แบบชงดื่ม ต่างก็มีประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะภายในช่องท้องของสตรี ที่มักประสบปัญหาการอักเสบขึ้นภายในและการอั้นปัสสาวะ เมื่อได้รับประทานอย่างต่อเนื่องก็จะเห็นผลดีขึ้น[2]
23. แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งในรูปของผลสด ผลตากแห้ง น้ำคั้น หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มประเภทสมูทตี้ผลไม้ก็ได้ ด้วยการนำส้มคั้นลูกขนาดกลาง 1 ลูก เกรปฟรุต 1/2 ลูกคั้นเอาแต่น้ำใส่ลงในเครื่องปั่น แล้วเติมผลแครนเบอร์รี่ 2 กำมือ และกล้วยอีก 1 ผลลงไป ปั่นจนเข้ากัน แล้วนำมาดื่ม จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้[3]
24. น้ำแครนเบอร์รี่มีส่วนประกอบของ High molecular weight non-dialyzable material ที่สามารถช่วยยับยั้งการยึดเกาะและการรวมตัวกันของแบคทีเรียในช่องปากได้หลายชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทางช่องปาก การเกิดคราบหินปูน และจุลินทรีย์บนผิวฟัน และยังช่วยลดอาการฟันผุ และป้องกันโรคเหงือกอักเสบได้อีกด้วย[11]
25. การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 250 มิลลิลิตร ร่วมกับการได้รับยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร จะสามารถเพิ่มอัตราการฆ่าเชื้อได้สูงขึ้นในเพศหญิงที่ติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในกระเพาะอาหาร[12]

คุณค่าทางโภชชนาการ

คุณค่าทางโภชชนาการของแครนเบอร์รี่ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 46 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 12.2 กรัม
น้ำตาล 4.04 กรัม
ใยอาหาร 4.6 กรัม
ไขมัน 0.13 กรัมน้ำแครนเบอร์รี่
โปรตีน 0.39 กรัม
น้ำ 87.13 กรัม
วิตามินเอ 3 ไมโครกรัม (0%)
เบต้าแคโรทีน 36 ไมโครกรัม (0%)
ลูทีน และ ซีแซนทีน 91 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.012 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี2 0.02 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.101 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี5 0.295 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี6 0.057 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี9 1 ไมโครกรัม (0%)
วิตามินซี 13.3 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินอี 1.2 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินเค 5.1 ไมโครกรัม (5%)
แคลเซียม 8 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 0.25 มิลลิกรัม (2%)
แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม (2%)
แมงกานีส 0.36 มิลลิกรัม (17%)
ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม (2%)
โพแทสเซียม 85 มิลลิกรัม (2%)
โซเดียม 2 มิลลิกรัม (0%)
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม (1%)

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือวิตามินไบเบิล. (ดร.เอิร์ล มินเดลล์). “แครนเบอร์รี่ (Cranberry)”. หน้า 245.
2. THE CRANBERRY INSTITUTE. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cranberryinstitute.org. [05 ส.ค. 2014].
3. สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. (ดร.นัฐพล ตั้งสุภูมิ). “แครนเบอร์รี่ดีกับสุขภาพจริงหรือ?”.
4. J. Nutr. “Cranberry and Its Phytochemicals: A Review of In Vitro Anticancer Studies.” (Catherine C. Neto)
5. Int J Immunopathol Pharmacol. “Inhibitory activity of cranberry extract on the bacterial adhesiveness in the urine of women: an ex-vivo study.” (Tempera G, Corsello S, Genovese C, Caruso FE, Nicolosi D.)
6. J Antimicrob Chemother. “Cranberry or trimethoprim for the prevention of recurrent urinary tract infections? A randomized controlled trial in older women.” (McMurdo ME, Argo I, Phillips G, Daly F, Davey P.)
7. BJU Int. “Influence of cranberry juice on the urinary risk factors for calcium oxalate kidney stone formation.” (McHarg T, Rodgers A, Charlton K.)
8. Life Sci. “Cranberries inhibit LDL oxidation and induce LDL receptor expression in hepatocytes.” (Chu YF, Liu RH.)
9. J Indian Soc Periodontol. “Inhibitory effect of cranberry juice on the colonization of Streptococci species: An in vitro study.” (Sethi R, Govila V.)
10. Eur J Oral Sci. “Cranberry components inhibit interleukin-6, interleukin-8, and prostaglandin E production by lipopolysaccharide-activated gingival fibroblasts.” (Bodet C, Chandad F, Grenier D.)
11. J Antimicrob Chemother. “Effect of a high-molecular-weight component of cranberry on constituents of dental biofilm.” (Steinberg D, Feldman M, Ofek I, Weiss EI.)
12. Mol Nutr Food Res. “Effect of cranberry juice on eradication of Helicobacter pylori in patients treated with antibiotics and a proton pump inhibitor.” (Shmuely H, Yahav J, Samra Z, Chodick G, Koren R, Niv Y, Ofek I.)
13. Molecules. “Cranberry proanthocyanidins mediate growth arrest of lung cancer cells through modulation of gene expression and rapid induction of apoptosis.” (Laura A. Kresty, Amy B. Howell, Maureen Baird)
14. Nutr Cancer. “North American cranberry (Vaccinium macrocarpon) stimulates apoptotic pathways in DU145 human prostate cancer cells in vitro.” (MacLean MA, Scott BE, Deziel BA, Nunnelley MC, Liberty AM, Gottschall-Pass KT, Neto CC, Hurta RA.)
15. Phytother Res. “Cranberry proanthocyanidins are cytotoxic to human cancer cells and sensitize platinum-resistant ovarian cancer cells to paraplatin.” (Singh AP, Singh RK, Kim KK, Satyan KS, Nussbaum R, Torres M, Brard L, Vorsa N.)
16. .Br J Clin Pharmacol. “Effect of high-dose cranberry juice on the pharmacodynamics of warfarin in patients.” (Mellen CK, Ford M, Rindone JP.)

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.berriesgroup.cz/en/cranberry-vaccinium-oxycoccus/
2.https://www.flickr.com/photos/warrenlynn/2756431965

คอแลน หรือลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก

0
คอแลน
คอแลน หรือลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว เมล็ดมีพิษรับประทานเมล็ดไม่ได้
คอแลน
ลิ้นจี่ป่ารสเปรี้ยวหากินยาก เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว เมล็ดมีพิษรับประทานเมล็ดไม่ได้

คอแลน

คอแลน เป็นผลไม้ที่ใกล้จะสูญพันธุ์เนื่องจากคนไม่ค่อยปลูก เพราะไม่นิยมรับประทาน อาจเป็นเพราะมีรสเปรี้ยวต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธ์ุให้มีรสหวานขึ้นและลูกใหญ่กว่าพันธุ์เดิม
ชื่อสามัญ Korlan ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Nephelium hypoleucum Kurz ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น บักแงว คอลัง ลิ้นจี่ป่า มะแงว กะเบน หมากแวว หมากแงว หมักงาน สังเครียดขอน มะแงะ หมักแงว อยู่ในวงศ์เดียวกับลำไย ลิ้นจี่ มามอนซีโย เงาะ เป็นผลไม้เมืองร้อน คล้ายลิ้นจี่ แต่เนื้อจะคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยว รับประทานเมล็ดไม่ได้เพราะเมล็ดมีพิษ

ลักษณะบักแงว

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกเรียบเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เรือนยอดเป็นพุ่ม
  • ใบ เนื้อหนา มีสีเขียว ใบออกเป็นช่อเรียงสลับ มีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกม หรือรูปไข่กลับถึงรูปรี ติดตรงข้ามประมาณ 1-3 คู่ โคนใบมนและเบี้ยว ส่วนขอบใบจะเรียบ ที่หลังใบเกลี้ยงและเป็นมัน ท้องใบสีจาง
  • ดอก มีขนาดที่เล็ก ออกดอกเป็นช่อที่ตามปลายกิ่ง ดอกมีสีขาวอมเขียว ที่ช่อดอกจะมีขนสีเทา ส่วนโคนกลีบรองดอกติดกัน ปลายจะแยกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน รังไข่มีลักษณะกลมและมีขน ไม่มีกลีบดอก
  • ผล มีลักษณะรีถึงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ผิวขรุขระ จะเป็นปมเล็ก ๆ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีแดงเข้ม ในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด จะมีเนื้อเยื่อใส ๆ กับน้ำหุ้มเมล็ด

สรรพคุณของบักแงว

  • สามารถใช้เป็นยาระบายได้
  • สามารถช่วยลดความเครียดได้
  • สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ทำให้ชุ่มคอ
  • ช่วยป้องกันเชื้อหวัดและไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้
  • สามารถช่วยการย่อยอาหารได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างสมาธิได้
  • สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มพลังงานได้

ประโยชน์ของบักแงว

  • ไม้มีเนื้อเหนียว แข็ง ละเอียด สามารถนำไปใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรได้
  • ผลที่แก่สามารถรับประทานได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งที่มา
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เล่ม 1, เว็บไซต์องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, www.cookingmail.com

อ้างอิงรูปจาก
kaset.today

แคนตาลูป ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน

0
แคนตาลูป ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น เป็นเถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีขนอ่อนปกคลุม ประเทศไทยปลูกได้ทั่วทุกภาค
แคนตาลูป
ผลไม้ฤทธิ์เย็นแก้กระหายดับร้อน เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น เป็นเถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีขนอ่อนปกคลุม ประเทศไทยปลูกได้ทั่วทุกภาค

แคนตาลูป

แคนตาลูป เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย แต่มีผู้นำผลไม้ชนิดนี้ไปปลูกที่ประเทศอิตาลีในเมือง “แคนตาลูโป (Cantalupu)” ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโรม จึงเป็นที่มาของชื่อผลไม้ชนิดนี้ โดยผลไม้ชนิดนี้ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2478 โดยมีการปลูกครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนได้มีการนำมาทดลองปลูกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ปรากฏว่าได้ผลดี โดยปัจจุบันแหล่งปลูกที่สำคัญในประเทศไทยอยู่ที่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร
แคนตาลูป (Cantaloupe) หรือ แตงแคนตาลูป, แคนตาลูป
มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ “Cucumis melo L. var. cantaloupensis” ชื่ออื่น คนไทยจึงนิยมเรียกกันว่า แตงเทศ, แตงฝรั่ง, แตงไทยฝรั่ง

ลักษณะ

  • เป็นพืชล้มลุก เป็นเถาเลื้อยมีขนอ่อนปกคลุม มีอายุสั้นมีเพียงปีเดียวหรือฤดูเดียว มีลำต้นเดี่ยว ลำต้นมีลักษณะกลมๆ เถาแก่มีสีเขียวปนน้ำตาล
  • ราก มีระบบรากแก้ว แทงลึกลงในดิน มีลักษณะทรงกลม จะมีรากแขนงรากฝอยเล็กๆ ออกรอบตามแนวราบ มีสีน้ำตาล
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะทรงรูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม ขอบใบมีรอยหยัก มีใบขนาดใหญ่ มีก้านใบยาว มีขนปกคลุม มีสีเขียว
  • ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ มีลักษณะคล้ายแตร กลีบดอกมีสีเหลือง กลีบเลี้ยงมีสีเขียว มีก้านดอกยาว ดอกเพศเมีย มีผลเล็กๆติดมาด้วย ดอกตัวผู้ไม่มีผลเล็กๆติดมา
  • ผล มีลักษณะทรงกลม มีเปลือกแข็ง ผิวเรียบหรือผิวมีลายตาข่ายนูนสีขาวทั่วผล ตามสายพันธุ์ ผลมีสีเขียว สีเหลือง สีส้ม หรือสีขาวครีม ตามสายพันธุ์ ข้างในมีเนื้อสีส้ม สีเขียวอมขาว หรือสีเหลือง เนื้อนุ่มชุ่มน้ำ จะมีเมล็ดสีครีมแทรกอยู่ มีรสชาติหวานเย็น มีกลิ่นหอม
  • เมล็ด อยู่ภายในผล จะมีหลายเมล็ดอยู่ในเนื้อ เมล็ดมีลักษณะแบนรีๆ เมล็ดอ่อนมีสีขาวนวล เมล็ดแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน

สรรพคุณของแคนตาลูป

1. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
2. มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
3. มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ
4. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
5. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
6. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
7. ช่วยเสริมสร้างภูมิร่างกายให้แก่ร่างกาย
8. มีส่วนช่วยในเรื่องของการเกิดสมาธิ
9. ช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
10. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
11. ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
12. ช่วยบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
13. ช่วยในการขับน้ำนม
14.ช่วยในการขับเหงื่อ
15. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
16. ช่วยในการลดไข้
17. ช่วยดับร้อน แก้กระหาย
18. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
19. ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของแคนตาลูปต่อ 100 กรัม พลังงาน 34 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 8.16 กรัม
น้ำตาล 7.86 กรัม
เส้นใย 0.9 กรัม
ไขมัน 0.19 กรัม
โปรตีน 0.84 กรัม
วิตามินเอ 169 ไมโครกรัม 21%
เบตาแคโรทีน 2,020 ไมโครกรัม 19%
ลูทีนและซีแซนทีน 26 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.041 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 2 0.019 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.734 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 5 0.105 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 6 0.072 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 21 ไมโครกรัม 5%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 36.7 มิลลิกรัม 44%
วิตามินเค 2.5 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 9 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.21 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.41 มิลลิกรัม 20%
ธาตุฟอสฟอรัส 15 มิลลิกรัม 2%
โพแทสเซียม 267 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโซเดียม 16 มิลลิกรัม 1%
ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 2%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คำเตือน : “ไม่ควรรับประทานติดต่อกันมากจนเกินไป เนื่องจากแคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ดูแลยาก มีปัญหาเรื่องโรคต่าง ๆ และแมลงต่าง ๆ มากมาย โดยการปลูกแคนตาลูปนั้นต้องใช้ยาที่แรงและฉีดค่อนข้างบ่อย บางคนฉีดยาไม่เว้นแต่ละวัน แม้กระทั่งวันเก็บผลผลิตขายก็ยังฉีดอยู่ จนยามันสะสมไว้ในลูกแคนตาลูป การรับประทานเข้าไปก็อาจจะสะสมไว้ในร่างกายได้เรื่อย ๆ ซึ่งอันตรายมาก” คำสัมภาษณ์จากลุงลอง นายลิขิต เคลื่อนดอน ผู้ปลูกแคนตาลูปในจังหวัดสระแก้ว

วิธีทำน้ำแคนตาลูปปั่น

1. ปอกเปลือกแคนตาลูปแล้วนำเมล็ดออก
2. นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กประมาณ 1 ถ้วย
3. น้ำส้มคั้นครึ่งถ้วย
4. มะนาว 1 ช้อนชา
5. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
6. ปั่นจนได้ที่ และนำใส่แก้ว
เสร็จแล้วน้ำแคนตาลูป

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง

1. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), บทสัมภาษณ์จากลุงลอง (นายลิขิต เคลื่อนดอน)
2. www.thai-thaifood

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.gardeningknowhow.com/edible/fruits/cantaloupe/growing-cantaloupe.htm
2.https://www.halfyourplate.ca/produce/fruits/cantaloupe/

ไข่เน่าผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ต้านมะเร็ง

0
ไข่เน่าผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ต้านมะเร็ง สุกผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำรสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ
ไข่เน่า
ผลไม้สีดำ สรรพคุณช่วยบำรุงสมอง รสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ

ไข่เน่า

ไข่เน่า เมื่อสุกผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำมีสรรพคุณทางตำหรับสมุนไพรใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น รากใช้แก้ท้องร่วง เจริญอาหาร ขับพยาธิแก้บิด บำรุงธาตุ บำรุงสมอง บรรเทาอาการปวดหัว เป็นลดไข้ และปวดประจำเดือน รวมถึงสารสกัดยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและต้านมะเร็ง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Vitex glabrata R.Br. จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE) ชื่อพื้นเมือง : ไข่เน่า Khai nao, คมขวาน Khom khwan, ฝรั่งโคก Farang khok (ภาคกลาง), ขี้เห็น Khi hen (เลย, อุบลราชธานี), ปลู Khmer-Surin (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ลักษณะของไข่เน่า

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-25 เมตร ผิวลำต้นนั้นเกลี้ยงมีสีหม่นและมีด่างเป็นดวงสีขาวๆ ส่วนบางข้อมูลระบุเอาไว้ว่าเปลือกมีสีเทาหรือสีน้ำตาลแกมสีเหลือง ผิวเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด หรือเป็นร่องตื้นตามความยาวของตัวลำต้น ในส่วนของกิ่งอ่อนและยอดอ่อนนั้นจะมีขนนุ่ม ๆ ขึ้นปกคลุม กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ส่วนลำต้นเป็นทรงเรือนยอดรูปกรวย การแตกกิ่งนั้นต่ำเติบโตได้ดีในพื้นที่แห้งแล้ง เริ่มออกผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 3-4 ปีหลังจากการปลูก จะพบได้ตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบทั่วไป และวิธีการขยายพันธุ์คือขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
  • ใบ มีใบประกอบแบบนิ้วมือ อยู่เรียงตรงข้ามสลับกันเป็นแนวตั้งฉาก มีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบเป็นสีเขียวเข้มคล้ายกับใบงิ้ว ลักษณะเหมือนรูปไข่กลับ หรือรูปรีแกมรูปไข่กลับ ใบมีขนาดที่ไม่เท่ากัน ปลายใบนั้นแหลมเป็นติ่ง ส่วนตรงโคนใบนั้นเป็นสอบแหลมหรือเป็นมน ขนาดใบกว้างประมาณ 3-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-22 เซนติเมตร ผิวใบด้านบนจะเกลี้ยงมีสีเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ส่วนท้องใบจะมีสีที่อ่อนกว่า และมีขนสั้น ๆ อยู่ประปราย ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1-7 เซนติเมตร ส่วนก้านช่อใบจะยาวอยู่ประมาณ 7-20 เซนติเมตร[1],[2],[3],[4],[5],[7]
  • ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง ดอกมีขนาดที่เล็กและมีกลิ่นหอม กลีบดอกสีม่วงอ่อนหรือมีสีม่วงอมชมพูหรือสีขาวมีแดงเรื่อ ๆ ก็มี[7]) กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดกว้าง และมีขนละเอียดอยู่ประปรายที่ดอก[1],[2],[3],[4] ดอกตอนบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร[8] ดอกจะเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือในต่างต้นต่างดอกก็ได้ และออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[7]
  • ผล หรือ ลูก เป็นรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ผลกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร ขั้วผลเป็นรูปกรวยกว้าง ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนผลเมื่อตอนสุกจะเป็นสีม่วงดำ ผลนั้นมีเนื้อที่อ่อนนุ่ม และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่มีกลิ่นเหม็น ส่วนเมล็ดมีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย และมีการสันนิษฐานว่า ชื่อน่าจะมาจากลักษณะและสีของผลนั่นเอง[1],[2],[3],[4] โดยผลแก่นั้นจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม[7]

สรรพคุณของไข่เน่า

1. ผลรับประทานได้ กินแล้วช่วยบำรุงสมองได้ (ผล)[7]
2. ผลอุดมไปด้วยแคลเซียม ที่ช่วยในการบำรุงกระดูก ช่วยแก้อาการกระดูกผุสำหรับผู้สูงอายุได้ดี (ผล)[7]
3. รากทำให้เจริญอาหาร (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
4. ผลสุกรับประทานได้ ช่วยในการรักษาโรคเบาหวาน (ผล, เปลือกต้น)[1],[4],[7]
5. ราก เปลือกต้น และผล ช่วยแก้ตานขโมย (ตานขโมย หรือก็คือโรคพยาธิในเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผอมแห้ง ซูบซีด มีอาการท้องเดิน และก้นปอด) (ราก, เปลือกต้น, ผล)[1],[2],[4],[7]
6. เปลือกต้นมีฤทธิ์รักษาพิษตานซาง (เปลือกต้น)[7]
7. เปลือกต้นสามารถแก้ไข้ได้ (เปลือกต้น)[1],[3],[7]
8. ผลและเปลือกผล แก้โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นนัยน์ตา (ผล[1],[4], เปลือกผล[7])
9. เปลือกต้นมีรสชาติฝาด สามารถแก้อาการท้องเสียได้ (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
10. รากและเปลือกต้นมีฤทธิ์แก้บิด (ราก, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[7]
11. รากช่วยในการรักษาอาการท้องร่วง (ราก)[7]
12. เปลือกต้นช่วยแก้อาการเด็กถ่ายเป็นฟอง (เปลือกต้น)[2],[7]
13. เปลือกต้นมีฤทธิ์ขับพยาธิในเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร (เปลือกต้น)[3],[7] ส่วนรากก็มีฤทธิ์ในการขับพยาธิไส้เดือน (ราก)[7]
14. เปลือกผลช่วยในการรักษาโรคกระเพาะหรือโรคลำไส้อักเสบในเด็กทารก (เปลือกผล)[7]
15. ตัวผลนั้นช่วยในระบบขับถ่าย (ผล)[7]
16. ผลสามารถช่วยบำรุงระบบเพศได้ (ผล)[7]
17. ผลมีฤทธิ์ช่วยบำรุงไต (ผล)[7]
18. เนื้อไม้ช่วยแก้เลือดตกค้าง (เนื้อไม้)[1],[4]
19. หมอยาโบราณนั้นนิยมใช้เปลือกของต้นมาต้มรวมกับรากเต่าไห้ ปรุงเป็นยารักษาโรคซางในเด็กและเป็นยาขับพยาธิ (เปลือกต้น)[3]

ข้อมูลเพิ่มเติม : เปลือกต้นมีสารจำพวกสเตีอรอยด์ (Steroid)ที่มีชื่อว่า -sitosterol และ ecdysterone และ anguside (p-hydroxybenzoic ester of aucubin

ประโยชน์ของไข่เน่า

1. ผลสุกรับประทานสดเป็นผลไม้ได้ แต่มีรสชาติหวานเอียน ไม่ค่อยอร่อยมากนัก ซึ่งหากใส่เกลือป่นหรือจิ้มกับเกลือจะมีรสชาติที่ดีขึ้น[3] หรือจะนำไปคลุกเคล้ากับเกลือแล้วนำไปผึ่งแดดเก็บไว้รับประทาน หรือจะรับประทานสด ๆ หรือนำเอาไปดองกับน้ำเกลือก็ได้เช่นกัน[7]
2. ผลนำไปทำขนมที่เรียกว่า “ขนมไข่เน่า” ได้อีกด้วย โดยวิธีการทำนั้นก็คล้ายกับการทำขนมกล้วย แต่จะเปลี่ยนจากกล้วยเป็นไข่เน่า โดยการหยอดใส่ใบตองรูปทรงเป็นกรวยแหลม แล้วเอามะพร้าวขูดโรยหน้าก่อนจะนำไปนึ่ง[7]
3. ต้นเป็นไม้ยืนต้นมีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี และเป็นไม้ที่น่าปลูกไว้สะสม เพราะในปัจจุบันเริ่มที่จะหายากลงขึ้นทุกที โดยมักนิยมปลูกไว้เป็นร่มเงาเนื่องจากต้นไม่ผลัดใบนั่นเอง[7]
4. เนื้อไม้ของต้นแข็งแรง สามารถนำมาทำเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องเรือน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th. [4 พ.ย. 2013].
2.อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [4 พ.ย. 2013].
3.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ไข่เน่า, ฝรั่งโคก”. (ฉันท์ฐิตา ธีระวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [4 พ.ย. 2013].
4.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ไข่เน่า”. (มะลิวัลย์ ชื่นอารมย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [4 พ.ย. 2013].
5.แหล่งเรียนรู้ ศูนย์ค้ำคูณ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดขอนแก่น. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: khonkaen.nfe.go.th. [4 พ.ย. 2013].
6..ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [4 พ.ย. 2013].
7.GotoKnow. “ไข่เน่า”. (นายอานนท์ ภาคมาลี (หมอแดง)). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [4 พ.ย. 2013].
8.ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (FBD). สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [4 พ.ย. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.inaturalist.org/taxa/170272-Vitex-glabrata/browse_photos
2.https://www.facebook.com/KasetTanin/posts/2548157848771125/

เขยตาย แม่ยายปก ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย

0
เขยตาย
เขยตาย แม่ยายปก ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเรียบสีน้ำตาลแดง ใบประกอบแบบขนนก ดอกช่อ กลีบเลี้ยงสีเขียวเชื่อมติดกัน กลีบดอกสีขาวมีขนอ่อน ผลสดทรงกลมขนาดเล็กสีชมพูใสฉ่ำน้ำ มีรสหวาน
เขยตาย
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ผลสดทรงกลมขนาดเล็กสีชมพูใสฉ่ำน้ำ มีรสหวาน

เขยตาย

เขยตาย (Khoei Tai) เป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นมีขนาดที่เล็ก ซึ่งที่มาของพืชชนิดนี้มีตำนานเล่าว่า ลูกเขยกับแม่ยายไปทำไร่บนภูเขา ขากลับลูกเขยถูกงูกัดตาย แม่ยายจึงตัดต้นไม้มาคลุมร่างเอาไว้กันอุจาด จากนั้นจึงไปตามคนในหมู่บ้าน แต่เมื่อกลับไปที่เกิดเหตุก็พบว่าลูกเขยฟื้นขึ้นมาแล้ว เนื่องจากต้นไม้ที่แม่ยายชักปรกไว้นั้น มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษ

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Glycosmis pentaphylla (Retz.) DC. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Glycosmis arborea (Roxb.) DC. ชื่อวงศ์ RUTACEAE
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ส้มชื่น ศรีชมชื่น น้ำข้าวต้น พิษนาคราช พุทธรักษา (สุโขทัย), ประยงค์ใหญ่ (กรุงเทพฯ), กระรอกน้ำ กระรอกน้ำข้าว (ชลบุรี), มันหมู (ประจวบคีรีขันธ์), เขนทะ ส้มชื่น (ภาคเหนือ), ส้มชื่น (ภาคอีสาน), กระโรกน้ำข้าว เขยตายแม่ยายชักลาก ลูกเขยตาย น้ำข้าว (ภาคกลาง), เขยตายแม่ยายชักปรก ลูกเขยตาย ลูกเขยตายแม่ยายทำศพ ต้มชมชื่น น้ำข้าว โรคน้ำเข้า หญ้ายาง (ภาคใต้), ชมชื่น เขยตายแม่ยายปรก ลูกเขยตายแม่ยายทำศพ ตาระเป (บางภาคเรียก), ต้นเขยตาย (ตามตำรายาเรียก) เป็นต้น

ลักษณะของเขยตาย

  • ต้นเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นมีขนาดที่เล็ก สูงได้ประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำตั้งแต่โคนต้นเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นเป็นเหลี่ยม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลอมเทา ผิวลำต้นตกกระเป็นวงสีขาว ใบออกดกทึบ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นพืชในเขตร้อนของทวีปเอเชียและออสเตรเลีย พบได้ในอินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ประเทศในแถบคาบสมุทรอินโดจีน สุมาตราและชวา ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ตามชายป่าและหมู่บ้าน
  • ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับตรงข้ามกันหรือกึ่งตรงข้ามกัน มีใบย่อยประมาณ 3-5 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมถึงกลม โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบนั้นจะเรียบหรือมีรอยจักตื้น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-14 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ ผิวใบทั้งสองด้านมีจุดต่อม หลังใบเรียบและลื่นมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนท้องใบก็เรียบเช่นกันแต่สีอ่อนกว่า ใบที่อยู่ด้านบน ๆ ฐานจะมีสีแดง
  • ดอกออกเป็นช่อเชิงลดแยกแขนงหรือออกดอกเป็นกระจุกประมาณ 12-15 ดอก มีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีขนาดเล็ก ดอกมีสีขาว ส่งกลิ่นหอม โดยดอกนั้นจะออกไปตามซอกใบและที่ปลายของกิ่ง กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลีบทั้งสิ้น 5 กลีบ ขนาด 4-5 x 2-2.5 มิลลิเมตร เรียงกลีบซ้อนกันเป็นวง ผิวมีต่อมจุด กลีบมีลักษณะรูปไข่กลับ ส่วนกลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกัน ปลายจะแยกออกเป็น 5 แฉก ยาวประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร เป็นรูปแหลมกึ่งรูปไข่ มีขนอ่อน ๆ ที่ส่วนปลาย มีใบประดับหุ้มไว้ ชั้นบนจะมี 5 กลีบใหญ่ และมีส่วนย่อยเล็ก ๆ อีกเป็นหลายอัน มีต่อมซึ่งเป็นร่อง ส่วนก้านชูดอกมีขนาดที่สั้นมาก เกสรเพศเมียออกเรียงรูปเป็นวง ตรงกลางแกนดอกมีเกสรเพศผู้เป็นแท่ง รังไข่มีขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร เป็นรูปไข่ ดอกมีเกสรเพศผู้ 8-10 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 2-3 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
  • ผลเป็นรูปทรงกลมมีขนาดที่เล็ก โดยมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.18 เซนติเมตร ปลายผลนั้นแหลม ผิวเรียบ ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูใส มีความดูฉ่ำน้ำ และมีรสชาติหวาน มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม สีดำ และเป็นลาย ติดผลในช่วงเดือนมีนาคม

สรรพคุณของเขยตาย

1. ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถแก้เบาหวานได้ (ใบ)[5]
2. ดอกและผลนั้นมีรสเมาร้อน เป็นยาแก้หิดได้ (ดอกและผล)[1],[2],[4]
3. ส่วนรากมีรสเมาขื่นปร่า เป็นยาแก้ไข้กาฬ ไข้รากสาด และยาลดไข้ได้ (ราก)[1],[2],[4]
4. ใบนำเอามาบดผสมกับขิง ใช้รักษาผิวหนังอักเสบ เป็นตุ่มพุพอง หรือคันอักเสบได้ (ใบ)[4]
5. รากและใบนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ หรือแก้ไข้ได้ (ราก, ใบ)[7]
6. เปลือกต้น เนื้อไม้ และราก มีสรรพคุณเป็นยาขับน้ำนม (เนื้อไม้, เปลือกต้น, ราก)[1],[2],[3],[4]
7. รากและใบนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคบิด ท้องเดิน (ราก, ใบ)[7]
8. ในบังกลาเทศจะนำน้ำคั้นที่ได้จากใบไปผสมกับน้ำตาล ใช้กินตอนท้องว่างเพื่อถ่ายพยาธิตัวกลม และสามารถแก้ไข้ได้ (ใบ)[4]
9. น้ำคั้นที่ได้จากใบนำไปผสมกับน้ำตาลกินตอนท้องว่างเป็นยาแก้โรคตับ (ใบ)[4]
10. เปลือกต้นนั้นมีรสเมาร้อน เป็นยาแก้ฝีได้ทั้งภายนอกและภายใน (เนื้อไม้, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4]
11. รากนำมาฝนแล้วนำไปทาแก้โรคผิวหนังพุพอง และใช้ทาแผลที่อักเสบ (ราก)[1],[2],[4]
12. ใบเอามาขยี้หรือบดผสมกับพวกแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าขาว หรือน้ำมะนาว เป็นยาทารักษางูสวัด เริม ไฟลามทุ่ง ขยุ้มตีนหมา และลมพิษ (ใบ)[9]
13. ตำรายาไทยเขียนไว้ว่า รากเป็นยาแก้ฝีที่นม ตัดรากฝีที่นม เกลื่อนฝีให้ยุบ และสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสบางชนิดได้ (ราก)[4]
14. ส่วนของรากนั้นเป็นยากระทุ้งพิษ แก้พิษฝีทั้งภายในและภายนอก นำมาฝนกับน้ำกินและทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น พิษงู (จากงูพิษที่พิษไม่รุนแรง) พิษตะขาบกัด พิษปลาดุกแทง ปลาแขยงปักมือ ฯลฯ หรือจะนำเอารากมาตำบีบน้ำมะนาวใส่หรือเหล้าพอกทิ้งไว้สักครู่ก็ได้ อาการก็จะหายไป (ราก)[1],[2],[4] หรือจะใช้ส่วนของเปลือกต้นเป็นยากระทุ้งพิษ แก้พิษงู แก้พิษต่าง ๆ แก้พิษไข้ ก็ได้เช่นกัน (เปลือกต้น)[3],[4]

ประโยชน์ของเขยตาย

1. ผลเมื่อสุกมีรสชาติที่หวานนำมารับประทานได้ แต่มีกลิ่นที่ฉุน[5],[7]
2. เนื้อไม้สามารถใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรได้[7]
3. ส่วนของใบใช้เป็นอาหารของหนอนผีเสื้อ[8]

ข้อควรระวัง : ยางจากทุกส่วนของลำต้นมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน เกิดอาการเพ้อคลั่ง จนสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย[6]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเขยตาย

1. ดอกมีสารอัลคาลอยด์ arborine, arbornine, glycorine, glycophymine, glycophymoline, glycosmicine, glycomide, skimmianine[4]
2. ใบมีสารอัลคาลอยด์ arborine, arborinine, glycosine, glycosminine, glycosamine, glycorine, glycosmicine , gamma-fagarine สารกลุ่มไตรเทอร์ปีน เช่น arbinol, arborinone, isoarbinol สารสเตียรอยด์ β-sitosterol, stigmasterol[4]
3. รากมีสารอัลคาลอย์ carbazole alkaloids ได้แก่ glycozolicine, 3-formylcarbazole, glycosinine, glycozoline, glycozolidine, gamma-fagarine, dictamine, skimmianine[4]
4. ลำต้นนั้นมีสารอัลคาลอยด์ arborinine เป็นหลัก และอัลคาลอยด์อื่นๆ[4]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “เขยตาย (Khoei Tai)”. หน้า 69.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “เขยตาย”. หน้า 98.
3. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เขยตาย”. หน้า 152-153.
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เขยตาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [27 ม.ค. 2015].
5. อภัยภูเบศรสาร ปีที่ 3 ฉบับที่ 28 ประจำเดือน มีนาคม 2548. (ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร). “เก็บป่ามาฝากเมือง”. หน้า 2.
6. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552
7. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เขยตาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [27 ม.ค. 2015].
8. พันธุ์ไม้สวนพืชอาหารแมลง, ศูนย์วิจัยกีฏวิทยาป่าไม้ที่ 1. “ชื่อพืชอาหารต้นส้มชื่น (เขยตาย)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/FOREMIC/. [27 ม.ค. 2015].
9. จำรัส เซ็นนิล. “เขยตายแม่ยายปรก “สมุนไพรถอนพิษ เริม-งูสวัด-ไฟลามทุ่ง-ขยุ้มตีนหมา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.jamrat.net. [27 ม.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://tropical.theferns.info/image.php?id=Glycosmis+parviflora
2. http://www.fpcn.net/a/guanmu/20131108/Glycosmis_parviflora.html

เข็มป่า ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม

0
เข็มป่า
เข็มป่า ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม มีดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตา ทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษา รวมถึงใบและราก
เข็มป่า
ราชินีแห่งสมุนไพรป่าที่หลายคนมองข้าม มีดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตา ทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษา รวมถึงใบและราก

เข็มป่า

เข็มป่า เป็นดอกไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมักพบในป่าเขตร้อนแถบเอเชีย ซึ่งดอกสีขาวขนาดเล็กเด่นสะดุดตามีสรรพคุณทางตำหรับยาใช้เป็นยารักษาริดสีดวงจมูก ลดเสมหะ โรคตาแดง แก้บิด รักษาโรคหิด รวมถึงใบและรากใช้เป็นยาพอกฝี มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Ixora cibdela Craib จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)[1]นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เข็มตาไก่ (เชียงใหม่), เข็มโพดสะมา (ปัตตานี), เข็มดอย (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), เข็มไทย เป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ต้น เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นแตกกิ่งก้านค่อนข้างต่ำ มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม ลำต้นมีขนาดใหญ่ประมาณเท่าข้อมือ เปลือกต้นมีสีเทาปนกับสีน้ำตาล มีความสูงของต้นอยู่ที่ประมาณ 3-4 เมตร สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง มักขึ้นตามธรรมชาติในป่าทั่วไปในประเทศไทย[1],[2]
  • ใบ มีลักษณะเป็นรูปไข่ยาว ปลายใบเรียวและแหลม ส่วนตรงขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 6-18 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวสด[1],[2]
  • ดอก ดอกมีขนาดที่เล็ก และจะออกดอกเป็นพวงคล้ายกับดอกเข็มธรรมดา แต่จะมีดอกเป็นสีขาว สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี[1]
  • ผล มีลักษณะที่ค่อนข้างกลมและเป็นสีเขียว ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ตัวเมล็ดมีเนื้อหุ้มอยู่ สามารถใช้รับประทานได้ มีรสหวานปะแล่ม ๆ[1],[2

สรรพคุณของเข็มป่า

1. ดอก สามารถใช้เป็นยารักษาโรคตาแดง ตาเปียก ตาแฉะ (ดอก)[1]
2. ผล มีสรรพคุณเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูก (ผล)[1]
3. ใบ สามารถใช้เป็นยาฆ่าพยาธิทั้งปวง (ใบ)[1]
4. เปลือกต้น สามารถนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้เป็นยาหยอดหูฆ่าแมงคาเข้าหู (เปลือกต้น)[1]
5. ราก มีสรรพคุณเป็นยาแก้เสมหะในทรวงอกและในท้อง (ราก)[1]

ประโยชน์ของเข็มป่า

1. ผล สามารถใช้รับประทานได้ มีรสหวานปะแล่ม[2]
2. สามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ เนื่องจากมีดอกที่สวย และมีกลิ่นหอม มักปลูกกันตามวัดวาอารามแล้วตัดแต่งให้เป็นทรงพุ่มให้ดูสวยงาม[2]

หมายเหตุ : เป็นพรรณไม้คนละชนิดกันกับต้นเข็มป่าที่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavetta indica L. (มีชื่อท้องถิ่นอื่นว่า เข็มโคก) และต้นข้าวสารป่า ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavetta tomentosa Roxb. ex Smith. (มีชื่อท้องถิ่นว่า เข็มป่า เข็มแพะ เข็มขาว กระดูกงูเหลือ) ซึ่งทั้ง 3 ชนิดต่างก็มีสรรพคุณทางยาที่คล้ายคลึงกัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “เ ข็ ม ป่ า”. หน้า 151.
2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เ ข็ ม ป่ า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [08 เม.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.territorynativeplants.com.au/pavetta-brownii-syn-ixora-tomentosa

กำแพงเจ็ดชั้น สมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร

0
กำแพงเจ็ดชั้น
กำแพงเจ็ดชั้น สมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย และเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากใกล้สูญพันธุ์
กำแพงเจ็ดชั้น
เป็นสมุนไพรบำรุงโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย และเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากใกล้สูญพันธุ์

กำแพงเจ็ดชั้น

กำแพงเจ็ดชั้น ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Salacia chinensis L. จัดอยู่ในวงศ์กระทงลาย (CELASTRACEAE)
สมุนไพรกำแพงเจ็ดชั้น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า น้ำนอง มะต่อมไก่ (ภาคเหนือ), ขาวไก่ ตาไก่ ตากวาง เครือตากวาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หลุมนก (ภาคใต้), ตะลุ่มนก (ราชบุรี), ตาไก้ ตาใกล้ (พิษณุโลก), ขอบกระด้ง พรองนก (อ่างทอง), กระดุมนก (ประจวบคีรีขันธ์), กลุมนก เป็นต้น[1],[2]

กำแพงเจ็ดชั้น คือสมุนไพรที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย (คนละชนิดกันกับต้น “ว่านกำแพงเจ็ดชั้น”) เป็นพันธุ์ไม้ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง เพราะอัตราการเกิดและการอยู่รอดมีความเสี่ยงต่อการถูกบุกรุกและทำลายเป็นอย่างมาก ในบางพื้นที่ของป่าหรือตามชุมชนต่าง ๆ ก็มีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในการเพาะและขยายพันธุ์เพื่อที่จะสามารถนำมาปลูกทดแทนในป่าได้ และส่งเสริมให้มีการปลูกตามหัวไร่ปลายนาในชุมชนสืบต่อไป

ลักษณะของกำแพงเจ็ดชั้น

  • ต้นเป็นไม้เถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อยมีเนื้อที่แข็ง ความสูงของต้นอยู่ที่ประมาณ 2-6 เมตร เปลือกต้นผิวเรียบ เป็นสีเทานวล ภายในเนื้อไม้มีวงปีเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มจำนวนหลายชั้นซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เรียงซ้อนกันอยู่ประมาณ 7-9 ชั้น พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักพบตามป่าชายทะเล ตามป่าดิบริมแหล่งน้ำหรือที่โล่ง และป่าเบญจพรรณ ที่มีความระดับความสูงถึง 600 เมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด[1],[2],[3]
  • ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน สลับกับตั้งฉาก ลักษณะแผ่นใบเป็นรูปวงรี หรือรูปวงรีกว้าง หรือรูปวงรีแกมใบหอก หรือรูปไข่ หรือรูปไข่หัวกลับ ใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร ปลายใบนั้นแหลมหรือเป็นมน ส่วนโคนเป็นสอบ ขอบใบเป็นหยักหยาบ ๆ แผ่นใบหนา หลังใบเรียบเป็นมัน เป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบ เนื้อใบกรอบ ผิวด้านบนและด้านล่างของใบหนาและเป็นมัน มีเส้นแขนงใบประมาณ 4-10 คู่ และส่วนของก้านใบนั้นยาวประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร[1]
  • ดอกออกเป็นช่อ แบบเป็นกระจุกหรือช่อแยกเป็นแขนงสั้น ๆ ตามซอกใบหรือตามกิ่งก้าน ดอกมีขนาดที่เล็ก เป็นสีเหลืองหรือสีเขียวอมเหลือง ดอกมีกลีบทั้งสิ้น 5 กลีบ ปลายกลีบดอกเป็นมนและบิดเล็กน้อย แกนดอกนูนเป็นวงกลม มี 3-6 ดอกในแต่ละช่อ กลีบดอกเป็นรูปไข่กว้างหรือรูปรี มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร และมีกลีบเลี้ยงทั้งหมด 5 กลีบ ซึ่งมีขนาดที่เล็กมาก ลักษณะของกลีบเลี้ยงนั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเป็นมนกลม ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ที่ขอบเป็นชายครุย ส่วนจานฐานดอกเป็นรูปถ้วยลักษณะคล้ายกับถุง และมีปุ่มเล็ก ๆ อยู่ตามขอบอีกด้วย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้อยู่ 3 ก้าน ติดบนขอบจานของฐานดอก ก้านเกสรนั้นสั้น มีอับเรณูเป็นรูปส้อม ปลายเกสรชนกันเป็นยอดแหลม และยังมีรังไข่ซ่อนอยู่ในจานฐานดอกอยู่ 3 ช่อง มีออวุล 2 เม็ดในแต่ละช่อง ก้านเกสรเพศเมียสั้น และก้านดอกยาวประมาณ 6-10 มิลลิเมตร ออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1]
  • ผลมีลักษณะค่อนข้างจะกลม เป็นรูปกระสวยกว้างหรือรูปรี ผลผิวเกลี้ยง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๆ 1-2 เซนติเมตร โดยผลตอนอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีแดงอมส้ม และผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม ขนาดใกล้เคียงกับผล ผลสามารถนำมารับประทานได้[1]

สรรพคุณของกำแพงเจ็ดชั้น

1. ลำต้นช่วยบำรุงโลหิต ด้วยการนำลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 1-2 ช้อนชา ในเวลาช่วงเช้าและเย็น หรืออีกสูตรให้นำไปผสมเข้ากับเครื่องยารากชะมวง รากตูมกาขาว และรากปอก่อน (ลำต้น) หรือจะใช้รากมาต้มหรือนำไปดองเป็นสุราไว้ดื่มก็ได้เช่นกัน (ราก)[1]
2. ช่วยบำรุงกำลังได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[6]
3. สามารถช่วยขับผายลม (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1],[2]
4. ดอกมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการบิดมูกเลือด (ดอก)[1],[5]
5. ลำต้นปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ โดยใช้เข้ากับเครื่องยา แก่นตากวง แก่นตาไก้ แก่นตาน แก่นดูกไส และแก่นตานกกด (ลำต้น)[1],[5]
6. ช่วยฟอกและขับระดูขาว ขับน้ำคาวปลาของสตรี โดยการนำต้นไปผสมเข้ายากับเปลือกต้นมะดูก หรือจะใช้ใบหรือรากก็ได้เช่นกัน (ต้น, ใบ, ราก)[1],[2],[5]
7. ในประเทศฟิลิปปินส์มีการใช้รากกับยาแผนโบราณเพื่อช่วยบำบัดอาการปวดประจำเดือน (ราก)[3]
8. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร โดยใช้เข้ากับเครื่องยา แก่นกระถิน ปูนขาว และว่านงวงช้าง จากนั้นนำมาต้ม (ลำต้น)[1]
9. ต้นสามารถช่วยแก้น้ำดีพิการได้ (ต้น)[5]
10. เถาใช้ช่วยแก้ซางให้ตาเหลือง (เถา)[5]
11. สามารถช่วยรักษาโรคตับอักเสบ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1]
12. หัวช่วยรักษาบาดแผลเรื้อรังได้ (หัว)[5]
13. หัวสามารถช่วยรักษาตะมอยหรือตาเดือน (หัว)[5]
14. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ปวดเมื่อย โดยใช้เข้ากับเครื่องยา ตากวง ตาไก่ ขมิ้นเกลือ ดูกหิน ตับเจ่า และอ้อยดำ (ให้ใช้เฉพาะลำต้นของทุกต้นนำมาต้มน้ำดื่ม) หรือจะใช้ลำต้นมาต้มน้ำดื่ม หรือนำไปดองกับสุราก็ได้เช่นกัน (ต้น)[1]
15. แก่นและรากนำมาต้มน้ำดื่มเป็นแก้เส้นเอ็นอักเสบ (แก่น, ราก)[1]
16. สามารถช่วยแก้อาการปวดตามข้อ แก้ไขข้อพิการ เข้าข้อ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1],[2]
17. ตัวผลนั้นในภูมิภาคอินโดจีนใช้เข้ายาพื้นบ้านเพื่อช่วยลดกำหนัดหรือความต้องการทางเพศ (ผล)[3]
18. ต้นใช้ช่วยฟอกโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษทำให้ร้อน แก้โลหิตจาง ด้วยการนำต้นมาผสมเข้ายากับเปลือกต้นมะดูก (ต้น) หรือจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มหรือดองสุราดื่ม ก็ช่วยดับพิษร้อนของโลหิตเช่นกัน (ราก)[1],[2]
19. เถาช่วยบำรุงหัวใจ (เถา)[4],[5]
20. รากนำมาต้มหรือดองกับสุราดื่มช่วยบำรุงน้ำเหลือง [1],[5]
21. สามารถช่วยแก้อาการผอมแห้งแรงน้อยได้ (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1]
22. ต้นใช้ช่วยแก้เบาหวาน ด้วยการนำลำต้นมาผสมเข้ากับเครื่องยาแก่นสัก รากทองพันชั่ง หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู และหญ้าชันกาดทั้งต้น (ต้น) ส่วนในประเทศกัมพูชาจะใช้เถาของต้นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคเบาหวาน (เถา)[1]
23. รากนั้นมีรสเมาเบื่อฝาด นำไปต้มหรือดองกับสุราดื่ม ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ [1]
24. รากช่วยรักษาโรคตาได้ [1]
25. ต้นและเถาใช้แก้ไข้ [5]
26. สามารถช่วยแก้ประดง (ใช้ต้นผสมกับเปลือกต้นมะดูก)[1], (เถา)[5]
27. ต้นใช้ช่วยแก้หืด โดยการนำลำต้นผสมเข้ากับเครื่องยาแก่นพลับพลา แก่นโมกหลวง แก่นจำปา ต้นสบู่ขาว ต้นคำรอก และต้นพลองเหมือด (ต้น)[1]
28. ต้นสามารถช่วยแก้เสมหะได้ (ต้น)[5]
29. ลำต้นนำมาปรุงเป็นยาระบาย โดยใช้เข้ากับเครื่องยาคอแลน ตากวง ดูกไส พาสาน และยาปะดง (ลำต้น) หรืออีกสูตรให้ใช้ผสมเข้ากับเครื่องยารากชะมวง รากตูมกาขาว และรากปอด่อน (ต้น) หรือจะใช้ส่วนรากและแก่นนำไปต้มเป็นน้ำดื่มเป็นยาระบายก็ได้เช่นกัน (แก่น, ราก)[1]

ประโยชน์ของกำแพงเจ็ดชั้น

นอกจากจะใช้เป็นยาสมุนไพรได้แล้ว ตัวผลนั้นก็สามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้เช่นกัน (ผล)[1],[3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [14 ต.ค. 2013].
2. มูลนิธิสุขภาพไทย. “กำแพงเจ็ดชั้น ไม้ชื่อแปลกช่วยบำรุงโลหิต”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [14 ต.ค. 2013].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [14 ต.ค. 2013].
4. กรมปศุสัตว์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dld.go.th. [14 ต.ค. 2013].
5. เดอะแดนดอตคอม. “Gallery ดอกกำแพงเจ็ดชั้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com. [14 ต.ค. 2013].
6. ส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “การศึกษาความหลากหลายพรรณพืชสมุนไพร ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร”. (ชัยรัตน์ รัตนดำรงภิญโญ).

รูปอ้างอิงจาก
1. https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:162552-1
2. https://indiabiodiversity.org/files-api/api/get/raw/observations//a0bf405b-e293-4fff-90b2-6050d61b658c/211.jpg

ขนุนเนื้อสีเหลืองทอง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร

0
ขนุนเนื้อสีเหลืองทอง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และเป็นไม้มงคล มีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ
ขนุน
เนื้อสีเหลืองทอง มากด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และเป็นไม้มงคลมีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ

ขนุน

ขนุน (Jackfruit) เป็นไม้มงคล มีความหมายว่าช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดีขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ นิยมปลูกไว้ที่หลังบ้านทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นผลไม้ที่มีเนื้อหอมหวานอร่อย สามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนู สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการทานขนุนหรือทานแต่น้อย เนื่องจากขนุนมีรสหวาน ขนุนมีสรรพคุณที่เป็นยาสมุนไพร ส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาอาการ คือ ใบ ยวง เมล็ด แก่น ส่าแห้งของขนุน

ชื่อสามัญของขนุน คือ Jackfruit, Jakfruit
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของขนุน คือ Artocarpus heterophyllus Lam.
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น หมักหมี้ ขนู ปะหน่อย ขะนู มะยวยซะ เนน หมากกลาง ล้าง นากอ นะยวยซะ ขะเนอ ซีคึย ลาน Jack fruit tree มะหนุน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของขนุน

  • ต้นของขนุน จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ถ้ากิ่งกับลำต้นมีแผลจะมีน้ำยางสีขาวออกมา
    ใบของขนุน ใบจะเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปรี ที่ปลายใบจะทู่ถึงแหลม ส่วนที่โคนใบจะมน ใบจะหนา ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ผิวของใบด้านล่างจะสากมือ ใบกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาวประ 10-15 เซนติเมตร
  • ดอกของขนุน ดอกออกเป็นช่อเชิงสด จะแยกเพศอยู่รวมกัน เป็นช่อ มีสีเขียว อัดแน่นอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้ออกดอกที่ตามปลายกิ่งกับซอกใบ เรียกว่า ส่า ดอกเพศเมียออกดอกที่ตามกิ่งใหญ่กับลำต้น ถ้าติดผลดอกทั้งช่อจะเจริญร่วมกันเป็นผลขนาดใหญ่ 1 ดอกจะกลายเป็น 1 ยวง
  • ผลของขนุน ภายนอกจะคล้ายกับจำปาดะ (เป็นวงศ์เดียวกัน) ผลดิบเปลือกจะมีสีขาว หนามทู่ เมื่อกรีดจะมียางเหนียว ผลแก่เปลือกจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง หนามจะป้านขึ้น ในผลขนุนมีซังขนุนหุ้มยวงสีเหลืองอยู่ มีเมล็ดอยู่ในยวง ดอกขนุนจะออกปีละ 2 ครั้ง ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม
  • พันธุ์ของขนุน มีหลายสายพันธุ์ สีของเนื้อจะแตกต่างกันตามแต่ละสายพันธุ์ ขนุนบางสายพันธุ์มีรสหวานสามารถทานได้ บางพันธุ์จะมีรสจืดไม่นิยมทาน สายพันธุ์ขนุนที่นิยมปลูกในประเทศไทย เช่น พันธุ์ตาบ๊วย (ผลใหญ่ เนื้อหนา สีจำปาออกเหลือง), พันธุ์ทองสุดใจ (ผลใหญ่ยาว เนื้อมีสีเหลือง), พันธุ์ฟ้าถล่ม (ผลค่อนข้างกลมใหญ่ เนื้อมีสีเหลืองทอง), พันธุ์จำปากรอบ (ผลขนาดกลาง มีรสหวานอมเปรี้ยว เนื้อมีสีเหลือง)

สรรพคุณของขนุน

  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา สามารถช่วยจับกลุ่มอสุจิ เม็ดเลือดแดง แบคทีเรีย สารในของเหลวของร่างกาย ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส ลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวได้
  • สามารถใช้ทาแผลบวมอักเสบได้ (ยาง)
  • สามารถรักษาแผลมีหนองเรื้อรังได้ (ยาง, ใบ)
  • สามารถขับพยาธิได้ (ใบ)
  • ไส้ในของขนุนละมุด สามารถทานช่วยแก้อาการตกเลือดในทวารเบาของสตรีที่มากไปให้หยุด
  • สามารถช่วยสมานลำไส้ได้ (แก่น)
  • เมล็ดของขนุนสามารถแก้อาการปวดท้องได้
  • นำใบขนุนละมุดไปเผาให้เป็นถ่านผสมน้ำปูนใส ใช้หยอดหู ช่วยแก้อาการปวดหู และเป็นหูน้ำหนวก
  • สามารถช่วยระงับประสาทได้ (ใบ)
  • สามารถแก้อาการกระหายน้ำได้ (ผลสุก)
  • สามารถบำรุงร่างกายได้ (เมล็ด)
  • สามารถบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็นได้ (แก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุด, ราก, แก่น)
  • สามารถแก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่เกิดจากแผลที่มีหนองที่ผิวหนัง (ยาง)
  • สามารถช่วยสมานแผลได้ (แก่น)
  • สามารถแก้โรคผิวหนังได้ (ใบ, ราก)
  • แก่นกับเนื้อไม้ สามารถใช้ทานช่วยแก้กามโรคได้ (แก่นและเนื้อไม้)
  • เม็ดขนุน จะมีสารพรีไบโอติกหรือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทนการย่อยของกระเพาะอาหารและช่วยการดูดซึมของลำไส้เล็กตอนบน จะช่วยดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม เหล็ก สร้างสารป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ส่ง
  • เสริมการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อโรค
  • สามารถใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ (เนื้อหุ้มเมล็ด, ผลสุก)
  • ใช้ใบของขนุนมาต้ม ใช้ดื่มแก้อาการท้องเสีย (ใบ, ราก)
  • สามารถแก้โรคลมชักได้ (ใบ)
  • ใบสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ มีผลงานวิจัยของประเทศศรีลังกา ได้ทำการทดลองผู้ป่วยโรคเบาหวานและหนูทดลอง ผลการทดลองพบว่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และผลการทดลองได้ทำการเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน ยา Tolbutamide ได้ผลสรุปว่าสารสกัดจากขนุนช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ายา Tolbutamide ในเวลา 5 ชม. วิธีปรุงเป็นยา ใช้ใบขนุนแก่ 5-10 ใบ มาต้มในน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวประมาณ 15 นาที ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกของผลไม้ และมีวิตามินซีสูงจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  • ช่วยบำรุงกำลัง ชูหัวใจให้สดชื่นได้ (เนื้อหุ้มเมล็ดสุก, เนื้อในเมล็ด, ผลสุก, เมล็ด)

ประโยชน์ของขนุน

  • ขนุนอ่อนนิยมมาปรุงอาหารทานเป็นผัก เช่น ใส่ในส้มตำ ตำมะหนุน แกงขนุน ยำ ขนุนอบกรอบ
  • สามารถนำเมล็ดกับยวงมาทานเป็นอาหารได้
  • สามารถนำส่าแห้งของขนุนทำเป็นชุดจุดไฟได้
  • สามารถแก้อาการเมาสุราได้ (ผลสุก)
  • เม็ดขนุนสามารถช่วยบำรุงน้ำนม ขับน้ำนม ทำให้น้ำนมของแม่เพิ่มขึ้น
  • เนื้อสุกมาทานเป็นผลไม้และสามารถทำเป็นขนมได้หลายชนิด เช่น ใส่ในไอศกรีม ลอดช่อง กินกับข้าวเหนียวมูน นำไปอบแห้ง
  • เนื้อไม้สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรีได้
  • แก่นของต้นสามารถนำมาทำสีย้อมผ้าได้ จะให้สีน้ำตาลแก่ นิยมใช้ย้อมสีจีวรพระ
  • เนื้อหุ้มเมล็ดสุกสามารถใช้หมักทำเหล้าได้

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของเนื้อขนุนดิบ

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม 1%
วิตามินบี 1 0.105 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี 2 0.055 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 3 0.92 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 5 0.235 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.329 มิลลิกรัม 25%
วิตามินบี 9 24 ไมโครกรัม 6%
วิตามินซี 14.7 มิลลิกรัม 17%
วิตามินอี 0.34 มิลลิกรัม 2%
คาร์โบไฮเดรต 23.25 กรัม
เส้นใย 1.5 กรัม โปรตีน 1.72 กรัม
เบตาแคโรทีน 61 ไมโครกรัม 1%
น้ำตาล 19.08 กรัม
ไขมัน 0.64 กรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 157 ไมโครกรัม
ธาตุเหล็ก 0.23 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.043 มิลลิกรัม 2%
ธาตุโพแทสเซียม 448 มิลลิกรัม 10%
ธาตุสังกะสี 0.13 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัม 8%
ธาตุฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 95 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), หนังสือเภสัชกรรมไทยร่วมอนุรักษ์มรดกไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน (เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.healthline.com/nutrition/jackfruit-meat-alternative
2.https://www.jmthaifood.com/en/product/jackfruit/

กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย

0
กีวี
กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นผลไม้ขนาดเล็กมีขนอ่อน เนื้อมีทั้งสีเขียวและสีเหลือง มีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก
กีวี
กีวี ผลไม้รสเปรี้ยวอุดรด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นผลไม้ขนาดเล็กมีขนอ่อน เนื้อมีทั้งสีเขียวและสีเหลือง มีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก

กีวี

กีวี มีต้นกำเนิดในประเทศจีน มีผู้นำไปปลูกในประเทศนิวซีแลนด์และได้ปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ทำให้กีวีมีรสชาติดีขึ้น และกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกีวีตามชื่อนกกีวีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน (ชื่อเดิมคือ Chinese gooseberry)
ชื่อสามัญอื่นๆ : กีวีฟรุต / Kiwi / kiwifruit / Hardy Kiwi / Tara Vine / Yang Tao / Chinese Gooseberry / Chinese Strawberry.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Actinidia chinesis.

ประเทศไทยมีนำเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2519 จะปลูกเยอะที่จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอ่างขาง ดอยขุนวาง ผลกีวีมีลักษณะรีรูปไข่ และจะมีขนเล็ก ๆ อยู่ทั่วผล เนื้อมีสีเขียว (บางสายพันธุ์เนื้อจะเป็นสีเหลือง) มีรสเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ สามารถเก็บได้นานถึงสองสัปดาห์ถ้าเก็บในที่ที่เหมาะสม (เก็บในตู้เย็น)

กีวีเป็นผลไม้อันดับต้น ๆ ของผลไม้ลดความอ้วน เนื่องจากมีไฟเบอร์เยอะ จะทำให้อิ่มเร็วและนานขึ้น ผู้ที่มักทานอาหารระหว่างวันหรือเพราะความหิว กีวีสามารถช่วยได้ แต่อดสงสัยไม่ได้ว่ากีวีมีรสหวานถ้าทานมาก ๆ จะไม่อ้วนเหรอ ? ต้องบอกว่าไม่อ้วนเนื่องจากกีวีมีน้ำหนัก 60 กรัมซึ่งจะให้พลังงานเพียง 25 แคลอรี
การทานกีวี นำผลมาหั่นครึ่ง ใช้ช้อนตักเนื้อทานได้เลย ถ้าอยากให้สวยน่าทาน ให้นำผลตัดหัวกับท้ายออก ใช้ช้อนคว้านเนื้อเป็นวงกลม และนำเนื้อกีวีที่ได้มาสไลซ์เป็นแผ่น วิธีดูกีวีว่าทานได้หรือยัง คือผลกีวีจะเริ่มนุ่ม ก็สามารถทานได้ ถ้าซื้อกีวีมาก็อย่าลืมเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าไม่อยากให้กีวีสุกมากกว่านี้ให้เก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ได้นาน 1-2 สัปดาห์

สรรพคุณของกีวี

  • สามารถช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียกับเชื้อไวรัสได้
  • ไฟเบอร์สามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กีวีสีทองสามารถช่วยทำให้ร่างกายสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ได้
  • ควรทานกีวีพร้อมหรือหลังอาหาร ถ้าอาหารในมื้อนั้นมีไขมัน
  • สามารถช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อกับเส้นใยประสาทได้
  • ซิงค์จากกีวี คือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการใช้สร้างฮอร์โมนของเพศชาย
  • สามารถป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดของโรคหัวใจวายได้
  • สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลกับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
  • สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายให้ดีขึ้นได้
  • สามารถบรรเทาอาการอักเสบในร่างกายได้
  • สามารถป้องกันโรคท้องผูก และช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างสะดวกและสม่ำเสมอ
  • สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงได้
  • สามารถซ่อมแซมเซลล์ DNA ที่ถูกทำลายจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายได้
  • สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกกับฟันให้แข็งแรง และช่วยป้องกันฟันผุได้ กีวีจะลดอนุมูลอิสระเหล่านี้
  • โฟเลตจากกีวีสามารถช่วยเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ จำเป็นมากสำหรับมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากสามารถช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองกับระบบประสาทถ้าขาดโฟเลต และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้
  • โพแทสเซียมจากกีวีสามารถลดความดันโลหิตสูงได้
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนอนหลับยาก กีวีสามารถช่วยให้หลับง่ายและสบายขึ้น

ประโยชน์ของกีวี

  • สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ผลไม้กระป๋อง กีวีกวน กีวีตากแห้ง น้ำผลไม้ ไวน์ ผลไม้แช่แข็ง
  • สาร “โพลีฟีนอล” ของผลกีวีมีคุณสมบัติที่ช่วยต่อต้านการเกิดของโรคมะเร็งได้
  • กีวีมีโอเมก้า-3 ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
  • สามารถช่วยลดจุดด่างดำใต้ผิว และแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำได้
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง สามารถช่วยชะลอวัยและช่วยการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
  • สามารถใช้แต่งหน้าเค้กกับสลัดได้
  • สามารถป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากการทานกีวีสามารถช่วยทำให้อิ่มเร็ว และทำให้ไม่อ้วน
  • มีวิตามินซีสูง สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งสดใส

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลกีวีสีเขียว

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.025 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.341 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.183 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.063 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 9 25 กรัม 6%
วิตามินซี 92.7 มิลลิกรัม 112%
วิตามินอี 1.46 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 40.3 ไมโครกรัม 38%
คาร์โบไฮเดรต 14.66 กรัม
เส้นใย 3.0 กรัม
โปรตีน 1.14 กรัม
น้ำตาล 8.99 กรัม
ไขมัน 0.52 กรัม
โคลีน 7.28 กรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.31 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.098 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 312 มิลลิกรัม 7%
ธาตุสังกะสี 0.14 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 34 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 61 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ของผลกีวีสีทอง

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
วิตามินบี 1 0.024 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.046 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.28 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.5 มิลลิกรัม 10%
วิตามินบี 6 0.057 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 34 กรัม 9%
วิตามินซี 105.4 มิลลิกรัม 127%
วิตามินอี 1.49 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 5.5 ไมโครกรัม 5%
คาร์โบไฮเดรต 14.23 กรัม
เส้นใย 2 กรัม
โปรตีน 1.23 กรัม
น้ำตาล 10.98 กรัม
ไขมัน 0.56 กรัม
โคลีน 5 กรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมงกานีส 0.058 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 316 มิลลิกรัม 7%
ธาตุสังกะสี 0.10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม 4%
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

ข้อมูลจาก USDA Nutrient database

วิธีทำน้ำกีวีปั่น

รสเปรี้ยวของกีวีเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ แต่ถ้าเปรี้ยวเกินไปคงจะไม่อร่อย จึงต้องผสมน้ำเขียวเข้มข้นกับน้ำองุ่น เพื่อให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานนิดหน่อยรสชาติจะกลมกล่อม ชื่นใจ

เตรียมวัตถุดิบ

  • กีวีที่จะใช้ปั่น 2 ผล / กีวีสไลซ์ไว้ตกแต่งหน้า / น้ำองุ่น 1½ ถ้วยตวง / น้ำเขียวเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ / น้ำแข็ง
  • นำกีวีทั้ง 2 ผลมาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อแล้วหั่นเป็นชิ้น
  • ใส่กีวีที่ปอกเปลือก น้ำองุ่น น้ำเขียวเข้มข้น ลงในโถปั่น
  • ปั่นพอให้ละเอียด จะได้น้ำกีวี (ใส่น้ำแข็งลงในโถปั่นเลยก็ได้)
  • นำมารินใส่แก้วพร้อมกับน้ำแข็ง
  • ตกแต่งหน้านิดหน่อยด้วยกีวีสไลซ์เพื่อความสวยงามและน่าทานมากขึ้น (ตกแต่งหรือไม่ตกแต่งก็ได้)

โทษของกีวี บางรายอาจจะมีอาการแพ้ เนื่องจากกีวีมีเอนไซม์ชนิดพิเศษอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ แต่อาการแพ้ดังกล่าวถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย แต่ผู้ที่มีอาการแพ้กีวีสีเขียว อาจจะไม่มีปัญหาหรือมีอาการแพ้กีวีสีทอง แต่ควรสอบถามแพทย์ก่อนทาน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), USDA Nutrient database
อ้างอิงรูปจาก
1.https://oscar.kiwi/en/kiwi-fruits-and-digestion/
2.https://hort.extension.wisc.edu/articles/kiwifruit-actinidia-spp/

กะเจียนผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง

0
กะเจียน
กะเจียนผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง เป็นพรรณไม้ยืนต้น ใบรีท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีแดง
กะเจียน
ผลสีแดงสด เพิ่มสมรรถภาพเพศ และบำรุงกำลัง เป็นพรรณไม้ยืนต้น ใบรีท้องใบมีขนนุ่ม ดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่เป็นสีแดง

กะเจียน

กะเจียน ในชื่อทางวิทยาศาสตร์ Polyalthia cerasoides (Roxb.) Bedd. จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)[1]

สมุนไพรกะเจียน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สะบันงาป่า (ภาคเหนือ), เสโพลส่า (ไทใหญ่-แม่ฮ่องสอน), ค่าสามซีก (เชียงใหม่), เหลือง ไม้เหลือง (ลำปาง), โมดดง (ระยอง), จันทน์ดง ทรายเด่น (ขอนแก่น), ไชยเด่น (อุบลราชธานี), กะเจียน พญารากดำ (ชลบุรี), แคหาง (ราชบุรี) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของกะเจียน

  • เป็นไม้ยืนต้นที่มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนไปถึงขนาดกลาง ลำต้นเปลาตรง มีความสูงประมาณ 5-15 เมตร เรือนยอดเป็นรูปกรวยคว่ำ กิ่งเกือบตั้งฉากกับลำต้น เปลือกต้นนั้นเรียบมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน ตามกิ่งอ่อนจะมีขนนุ่มปกคลุม ส่วนกิ่งที่แก่แล้วผิวจะเรียบเกลี้ยง ลำต้นและกิ่งแก่ มีช่องอากาศสีเหลืองอ่อนอยู่ทั่วไป การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน แต่จะขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย ชอบที่ที่มีแสงแดดจัด มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ทั่วทุกภาคมักพบเห็นขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทั่วไป บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 700 เมตร[1],[2],[3],[5]
  • ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบเป็นรูปรี ยาวรี หรือรูปหอกแกมรูปขอบขนาน มักจะเบี้ยว ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นมนจนเว้าเข้า มีลักษณะเบี้ยว ส่วนขอบใบนั้นเรียบ แผ่นใบค่อนข้างบาง หลังใบเกลี้ยงมีสีเขียวเข้ม ส่วนบริเวณท้องใบมีขนนุ่ม ๆ เป็นสีจาง ๆ หรือสีขาวอมเทา เส้นแขนงใบมีข้างละ 8-15 เส้น เห็นชัดทางด้านล่าง ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-16 เซนติเมตร ก้านใบนั้นสั้นมากและมีขนสั้น ๆ ยาวได้ประมาณ 0.5 เซนติเมตร ส่วนใบอ่อนมีขนนุ่ม ๆ อยู่ทั่วไป และขนจะค่อย ๆ ร่วงเมื่อใบแก่ ยกเว้นตามเส้นใบและเส้นแขนงใบ[1],[2],[3]
  • ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุกไม่เกิน 3 ดอก โดยจะออกตามง่ามใบและเหนือรอยแผลใบไปตามกิ่ง ก้านดอกเรียวยาวประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร เมื่อดอกบานได้อย่างเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 2.5 เซนติเมตร กลีบดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกมี 2 ชั้น เรียงสลับกัน ชั้นละ 3 กลีบ รวม 6 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ หนา และเกลี้ยง ส่วนกลีบดอกชั้นในจะใหญ่และยาวกว่ากลีบดอกชั้นนอกเล็กน้อย ส่วนกลีบเลี้ยงดอกจะบาง มีอยู่ 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเล็ก ๆ ที่ปลายแหลม มีขนนุ่มทั้งสองด้าน ก้านดอกยาวได้ประมาณ 3 เซนติเมตร ตรงก้านนั้นมีขนขึ้นประปราย ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่เป็นจำนวนมากและอยู่กันชิดแน่นเป็นพุ่มกลม[1],[2],[3] ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[5]
  • ผลเป็นช่อโปร่ง ออกผลเป็นกลุ่มหรือกระจุกกันอยู่บนแกนตุ้มกลม มีผลย่อยประมาณ 10-20 ผล ผลมีลักษณะป้อมหรือเป็นรูปทรงกลมรี ผลมีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่ง ก้านผลย่อยมีขนาดที่เรียวเล็กยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร โคนก้านติดรวมกันอยู่บนปลายก้านช่อที่โตเป็นตุ้ม ผลตอนอ่อนเป็นสีเขียว ผลตอนที่แก่จัดแล้วนั้น จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ภายในผลมี 1 เมล็ด[1],[2],[3] ออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[5]

สรรพคุณของกะเจียน

1. เปลือกใช้เข้ายาพื้นเมืองบางชนิด (เปลือก)[2]
2. รากกับเนื้อไม้ นำเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย และไตพิการ (ราก)[1],[2],[6]
3. ในตำรายาพื้นบ้านเขียนไว้ว่า รากนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยาบำรุงกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ บำรุงกำลังสำหรับบุรุษ กินแล้วกระชุ่มกระชวย คลายเส้นเอ็น และช่วยปรับสภาพร่างกายได้ (ราก)[1],[4],[6]
4. ใบสดมีรสชาติที่เฝื่อนเย็น เอามาตำพอกฝี แก้ปวด แก้อักเสบได้ (ใบ)[6]
5. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ (ราก)[4],[6]
6. เนื้อไม้มีรสชาติที่ขม จึงนำไปต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร (เนื้อไม้)[6]
7. เนื้อไม้เอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้วัณโรคในลำไส้ และวัณโรคในปอดได้ (เนื้อไม้)[6]
8. เนื้อไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปัสสาวะพิการ (เนื้อไม้)[1],[6]
9. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยาคุมกำเนิดในสตรี (ราก)[1],[4],[6]
10. เนื้อไม้นำมาฝนกับน้ำปูนใสทาเกลื่อนหัวฝี (เนื้อไม้)[6]
11. เนื้อไม้นำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลัง ปวดเอว (เนื้อไม้)[1],[6] หรือจะใช้ส่วนรากแทนโดยการนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกายก็ได้เช่นกัน (ราก)[1]

ประโยชน์ของกะเจียน

1. ผลที่สุกนั้นในส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ดจะมีรสชาติที่หวาน สามารถนำมารับประทานได้[5]
2. เนื้อไม้มีสีขาวอมเหลือง สามารถใช้ทำด้ามเครื่องเกษตรกรรมทั่วไปได้[3] หรือจะใช้ในการทำเครื่องจักสานและเครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ ก็ได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กะเจียน”. หน้า 68.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “พญารากดำ”. หน้า 526-527.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [21 มิ.ย. 2015].
4. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [22 มิ.ย. 2015].
5. พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “กะเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [22 มิ.ย. 2015].
6. กรีนคลินิก. “กระเจียน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.greenclinic.in.th. [22 มิ.ย. 2015].

ภาพประกอบ
https://www.kasettambon.com/
http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in/herbsheet.php?id=699&cat=7